รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคภูมิเเพ้-อาการ-สาเหตุ-การรักษา-การรักษา-วิธีการป้องกัน-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 545 ครั้ง)

BeerCH0212

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 98
    • ดูรายละเอียด


โรคภูมิแพ้ (Allergy)

  • โรคภูมิแพ้ เป็นยังไง โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นโรคที่เกิดจาการสนองตอบของร่างกายมากมายเปลี่ยนไปจากปกติต่อแรงกระตุ้นบางประเภท จึงทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้นั้น ซึ่งจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีลักษณะอาการไวไม่ปกติต่อสิ่งซึ่งสามารถก่อกำเนิดภูมิแพ้ ซึ่งธรรมชาติสารกลุ่มนี้บางทีอาจไม่ก่อเกิดภูมิแพ้กับคนธรรมดาทั่วไป โดยโรคภูมิแพ้กำเนิดได้ทุกเพศทุกวัย เด็กอายุ 5 ถึง 15 ปี พบได้บ่อยว่าเป็นบ่อยครั้งกว่าช่วงอายุอื่นๆเนื่องมาจากเป็นช่วงในช่วงเวลาที่โรคแสดงออกภายหลังได้รับ “ตัวกระตุ้น” มานานเพียงพอ เช่นไรก็บางคนอาจเริ่มต้นเป็นโรคภูมิแพ้ตอนเป็นผู้ใหญ่และได้ โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นโรคที่พบได้มากทั่วทั้งโลกและก็ในประเทศไทย จากการสำรวจในประเทศ ไทยพบว่ามีอุบัติการณ์มากขึ้น 3 - 4 เท่าภายในช่วงเวลา 40 ปีที่ผ่านมา  จากรายงานการเกิดภาวะภูมิแพ้ระบุว่า เมืองไทยมีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จำนวนประมาณ 10-15 ล้านคน รวมทั้งมีทิศทางเพิ่มขึ้นอีก 3-4 เท่าด้านใน 5 ปี ข้างหน้า

    ยิ่งกว่านั้น จำพวกของโรคภูมิแพ้ สามารถแบ่งออกเป็น 4 โรค เป็น

  • โรคหืด (Asthma)
  • โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) หรือ โรคไซนัสอักเสบ
  • โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic conjunctivitis)
  • โรคผื่นภูมิแพ้ (Atopic eczema)
  • สาเหตุของโรคภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ มีเหตุที่เกิดจากการที่ร่างกายผลิตภูมิคุ้มกันเพื่อขจัดสิ่งเจือปนที่รับเข้ามา ด้วยการขับสารตัวกลางออกมาต้านทานสิ่งแปลกปลอมพวกนั้น กล่าวคือ จะสร้างโปรตีนอีกขึ้นมา (ทางหมอเรียกว่า อิมมูนโนโกบูลิน-อี) ซึ่งมีคุณลักษณะถูกใจจับกับเซลล์พิเศษ 2 ชนิดเป็นมาสต์เซลล์ รวมทั้งเม็ดเลือดขาวชนิดเบโซฟิล แล้วก็สารตัวกลางนั้นก็นำมาซึ่งการอักเสบและอาการแพ้แก่ร่างกายด้วย การเกิดโรคภูมิแพ้เป็นเหตุมาจากภูมิคุ้มกันของร่างกายสถานที่สำหรับทำงานมากเกินความจำเป็น นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการแพ้ต่อบางสิ่งบางอย่างที่บางทีอาจไม่เป็นอันตรายต่อคนทั่วๆไป แม้กระนั้นเกิดอันตรายต่อตัวบุคคลที่แพ้เพียงแค่นั้น สารที่ร่างกายรับเข้ามาและกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการแพ้ในลักษณะต่างๆเรียกว่า “สารก่อภูมิแพ้” โดยร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อสารก่อภูมิแพ้ด้วยการแสดงอาการแพ้ในรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน ตามจำพวกของโรคภูมิแพ้ประเภทต่างๆขึ้นรถภูมิต้านทานซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่ในเลือด มีหน้าที่รอคุ้มครองปกป้อง รวมทั้งขจัดเชื้อโรคและก็สิ่งปลอมปนที่ไปสู่ร่างกาย ทำปฏิกิริยาสนองตอบต่อสารก่อภูมิแพ้บางจำพวกที่คนไข้แพ้ อย่างเช่น ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ของกินส่วนใหญ่ มักแพ้อาหารจำพวกไข่ นม ถั่ว ปลาแล้วก็อาหารทะเล การแพ้อาหารจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีร่างกายแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้ในของกินประเภทนั้นเท่านั้น ผู้ที่ไม่ได้เจ็บป่วยจะไม่ปรากฏอาการแพ้   สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อยจากภูมิแพ้จมูกหรือภูมิแพ้อากาศ มักมาจากไรฝุ่นผง เชื้อรา หญ้า ละอองเกสร ขนสัตว์ ที่ฟุ้งกระจายอยู่กลางอากาศและก็ไปสู่ร่างกายผ่านการหายใจ  สารก่อภูมิแพ้ที่เข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังมีหลายชนิด เช่น สารเคมีจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ถุงมือยาง ยาย้อมสีผม โลหะ เงิน หรือแม้แต่ผงฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่ลอยปะปนอยู่กลางอากาศ   ส่วนภูมิแพ้ตา มักมีสาเหตุมาจากสารก่อภูมิแพ้ประเภทไรฝุ่น ควัน สารเคมี ละอองเกสร ขนหรือสะเก็ดผิวหนังของสัตว์ที่ปนเปื้อนอยู่กลางอากาศและก็กระแสลม ไปสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อบุดวงตา นำไปสู่อาการระคายและก็มีลักษณะแพ้ที่แสดงออกทางดวงตาในหลายต้นแบบฯลฯ


ตัวอย่าง กลไกการเกิดภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ที่มีสาเหตุมาจากฝุ่นและควัน มักเกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทาน โดยสิ่งที่พวกเราแพ้ในฝุ่นละอองเป็นโปรตีนนั่นเอง ซึ่งคล้ายคลึงกับกลไกการแพ้อาหารในบางคน อาทิเช่น แพ้กุ้ง เหตุเพราะโปรตีนอะไรบางอย่างในเนื้อหรือเปลือกกุ้ง ทั้งนี้ ในครั้งแรกที่รับฝุ่นดังกล่าวข้างต้นเข้าไป ร่างกายจะยังไม่แพ้ แต่ว่าระบบภูมิต้านทานจะทำความเข้าใจว่าโปรตีนซึ่งเป็นส่วนประกอบของฝุ่นผงดังกว่างนั้นเป็นสิ่งแปลกปลอก รวมทั้งแล้วจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนจำพวกดังที่กล่าวมาแล้ว (lgE) เมื่อได้รับฝุ่นละอองประเภทเดียวกันในคราวถัดมา โปรตีนในฝุ่นจะเข้าไปจับกับ (lgE) ซึ่งอยู่บนเม็ดเลือดขาว ทำให้เม็ดเลือดขาวนี้แตกออกและปลดปล่อยสารเรียกว่าฮีสตามีน (Histamine) ออกมา ส่งผลให้เยื่อบุจมูก เยื่อบุตา คอ เกิดการอักเสบ บวม รวมทั้งสร้างมูกออกมามากยิ่งกว่าปกติ ก่อให้เกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และคันจมูกตามมา
ดังนี้ ต้นเหตุที่เกิดโรคภูมิแพ้เพราะระบบภูมิต้านทานมีปฏิกิริยาที่ไวเกินไปสำหรับในการสนองตอบสิ่งแปลกปลอมแบบแตกต่างจากปกติแม้ว่าสิ่งแปลกปลอมนั้นปลอดภัยต่อสถาพทางร่างกาย แต่ว่าเป็นความเข้าใจผิดของร่างกายที่มีความรู้สึกว่าสิ่งแปลกปลอมบางสิ่งบางอย่างมีอันตรายจึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง โดยการผลิตภูมิต้านทานทางขึ้นเพื่อกำจัดรวมทั้งทำลายสิ่งปลอมปนนั้น รวมทั้งแทนที่สารภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นจะเป็นเครื่องคุ้มครองร่างกาย กลับกลายเป็นแรงกระตุ้นให้ร่างกายเจ็บปวดเอง ก็เลยส่งผลให้เกิดอาการแพ้นั่นเอง

  • ลักษณะโรคภูมิแพ้ พวกเราสามารถแบ่งอาการโรคภูมิแพ้ตามระบบอวัยวะที่ออกอาการได้ 6 อย่าง เป็น
  • อาการแพ้ทางตา เรียกว่า เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic conjunctivitis) ผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการคันแล้วก็เคืองตา ตาแดง  น้ำตาไหล  หนังตาบวม  แสบตา
  • อาการแพ้ทางจมูก เรียกว่า โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic rhinitis) หรือโรคไซนัสอักเสบ ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะจาม คันจมูก  น้ำมูกไหลออกมาทางจมูก หรือไหลลงคอ  คัดจมูก  คันเพดานปากหรือคอ
  • อาการแพ้ทางหลอด เรียกว่า โรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคหอบหืด (asthma) ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะ ไอ หอบอ่อนแรง หายใจขัด แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงวี้ด หายใจไม่สะดวกหรือหายใจเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาช่วงกลางคืน รุ่งเช้ามืด หรือขณะออกกำลังกาย  หรือขณะจับไข้หวัด
  • อาการแพ้ทางผิวหนัง เรียกว่า โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (atopic dermatitis) ผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการคัน มีผดผื่นตามตัว  ผื่นมักแห้ง แดง มีสะเก็ดบางๆหรือมีน้ำเหลืองแห้งกรังปกคลุมอยู่  ในเด็กตัวเล็กๆ มักเป็นที่แก้ม, ตูด, หัวเข่ารวมทั้งศอก  ในเด็กโตมักเป็นที่ข้อพับของแขนแล้วก็ขา  ในรายที่เป็นเรื้อรัง ผิวหนังบริเวณที่เป็นจะดกตัวขึ้นและมีสีคล้ำขึ้น    นอกจากนั้นผิวหนังอาจมีการอักเสบจากการสัมผัสกับสารบางจำพวกที่แพ้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ผงซักฟอก  เครื่องสำอาง    ผิวหนังอาจมีการอักเสบเป็นตุ่มนูนคัน หรือใหญ่เป็นปื้นนูนแดง รวมทั้งคันมากมายที่เรียกว่า ผื่นคัน  ซึ่งชอบเกิดจากการแพ้ของกิน โดยเฉพาะอาหารทะเล หรือ แพ้แมลงกัดต่อย หรือแพ้ยา
  • อาการแพ้ ทางเดินอาหาร เรียกว่า โรคแพ้ของกิน (food allergy) ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะอาการ อาเจียน คลื่นไส้  ท้องร่วง ปากบวม  เจ็บท้อง  ท้องเฟ้อ อาจมีอาการของระบบฟุตบาทหายใจ (อย่างเช่น หอบหืด, แพ้อากาศ) แล้วก็ผิวหนัง (ตัวอย่างเช่น ผื่นคัน, ผื่นคัน) ร่วมด้วย  ของกินที่เป็นสาเหตุได้บ่อยมาก เช่น นมวัว ไข่ ถั่ว อาหารทะเล ผักรวมทั้งผลไม้บางจำพวก ผงชูรส สารกันบูด สารแต่งกลิ่นและก็สี
  • อาการช็อกจากภูมิแพ้ อาการภูมิแพ้ชนิดนี้นับว่าน่าสยดสยองรวมทั้งรุนแรงที่สุด มักมีสาเหตุจากการแพ้สารหรือยาที่ฉีดมากยิ่งกว่า แต่ว่าอาจแพ้สารหรือยาที่กินเข้าไป หรือยาที่เอามาทาผิวหนังก็ได้ ซึ่งเจอน้อยกว่า การดูแลและรักษาทำได้ไม่ยาก ถ้าเกิดเจอหมอทันการ แต่ถ้าหากเป็นรุนแรงมากมาย หรือรักษาไม่ทันอาจเสียชีวิตได้
  • ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ ทางพันธุกรรม หากพ่อหรือแม่เป็นโรคนี้ เปอร์เซ็นต์ที่ลูกจะเป็น 30% แม้กระนั้นแม้ทั้งบิดาและก็แม่เป็น ลูกมีสิทธิ์เป็นถึง 50% โดยมีการวิจัยและมีหลักฐานหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้มั่นใจว่า โรคนี้ถ่ายทอดด้านกรรมพันธุ์ เพราะเหตุว่าหากทั้งยังบิดาและก็แม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะได้โอกาสเป็นโรคนี้ร้อยละ 30 ถ้าเกิดพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้เพียงผู้เดียว ลูกมีโอกาสเป็นภูมิแพ้ได้จำนวนร้อยละ 25 แต่หากพ่อแม่ไม่มีใครเป็นเลย ลูกมีโอกาสเป็นปริมาณร้อยละ 12.5 เอาง่ายๆก็คือ ถ้าบิดาและก็แม่เป็นภูมิแพ้ ลูกมีโอกาสเป็นภูมิแพ้สูงยิ่งกว่าเด็กอื่นถึง 2-4 เท่าเลยทีเดียว สัมผัสสารก่อภูมิแพ้ คือ สารที่ทำให้ผู้เจ็บป่วยกำเนิดอาการของโรคภูมิแพ้ซึ่งอาจเป็นสารที่ร่างกายได้รับโดยการ ฉีด กิน หายใจ สัมผัส หรือ ถูกกัดต่อยบนผิวหนังก็ได้ มีทั้งสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน (เป็นต้นว่า ไรฝุ่นละออง แมลงสาบ เศษผิวหนังแล้วก็ขนของสัตว์เลี้ยง เชื้อรา ควันที่เกิดจากบุหรี่) แล้วก็สารก่อภูมิแพ้นอกบ้าน (อย่างเช่น ฝุ่นในสถานที่ทำงาน เกสรดอกไม้ ควันต่างๆ) นอกจากนี้ อุณหภูมิของอากาศก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ อากาศหนาวเย็นจะก่อให้มีลักษณะแพ้ง่ายขึ้น ซึ่งสารก่อภูมิแพ้เหล่านี้จะเข้าไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ก่อเป็นภูมิแพ้ขึ้นได้
  • แนวทางการรักษาโรคภูมิแพ้ การวิเคราะห์โรค

ซักประวัติความเป็นมา โดยอาศัยเอกลักษณ์ของอาการ เมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้และก็หมอจะถามหาโรคภูมิแพ้อื่นๆ(atopic diseases) และก็อาการโรคเหล่านั้น ที่คนป่วยอาจเป็นด้วย ตัวอย่างเช่น โรคหอบหืด โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ นอกนั้นจะถามเรื่อง อาชีพ สัตว์เลี้ยง และสิ่งแวดล้อม ของคนไข้ในขณะที่บ้านแล้วก็สถานที่ทำงานรวมถึงสารที่ผู้เจ็บป่วยคิดว่าตนแพ้ เรื่องราวครอบครัวก็มีส่วนช่วยสำหรับการวินิจฉัยโรค โดยคนเจ็บโรคภูมิแพ้อาจมีพ่อ แม่ หรือวงศ์วาน เป็นโรคนี้ได้
ตรวจร่างกาย หมอจะตรวจร่างกายข้างนอกว่ามีลักษณะแสดงใดบ้างที่บ่งชี้ถึงโรคภูมิแพ้ ได้แก่ ตรวจตา จมูก ลำคอ ช่วงอก แล้วก็ผิวหนังทั่วๆไป ในบางรายอาจจำต้องตรวจการปฏิบัติงานของปอดด้วยเครื่องเป่าลม หรือบางทีอาจต้องเอกซเรย์เพื่อมองการทำงานของปอดร่วมด้วย
การหา IgE ที่ผิวหนัง  โดยการทดลองภูมิแพ้ทางผิวหนัง (allergy skin test) จะช่วยให้เนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งที่คนเจ็บแพ้ ทำให้คนเจ็บหลีกเลี่ยงได้ถูกต้อง และก็ให้ข้อมูลในกรณีที่จำเป็นต้องรักษาคนเจ็บด้วยแนวทาง immunotherapy การตรวจวิธีแบบนี้เป็นแนวทางที่มีความไวรวมทั้งความจำเพาะสูงสุด สำหรับในการตรวจวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ มี 2 วิธีคือ

  • Skin prick test ใช้น้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ หยดลงบนผิวหนังที่แขน แล้วก็ใช้เข็มสะกิดกึ่งกลางหยดน้ำยา เพื่อเปิดผิวหนังข้างบนออก ถ้าคนไข้มี IgE ที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้นั้น ก็จะเกิดปฏิกิริยา allergic inflammation ขึ้นโดยกำเนิดรอยนูน (wheal) และผื่นแดง (flare) อ่านผลได้ในเวลา 20 นาที ข้างหลังการทดลอง
  • Intradermal test ใช้น้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ ปริมาณ 0.02 มล.ฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง ให้เกิดรอยนูนที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางโดยประมาณ 5 มัธยมมัธยมอ่านผลในเวลา 20 นาที ข้างหลังฉีดโดยวัดขนาดของรอยนูนที่ขยายใหญ่ขึ้น
  • สารก่อภูมิแพ้ที่เอามาทดสอบ มักเป็นสารก่อภูมิแพ้ ที่พบได้มาก เช่น ฝุ่นบ้าน ตัวไรในฝุ่นผง แมลงต่างๆที่อาศัยในบ้าน ได้แก่ แมลงสาบ และจะมี positive (histamine) และก็ negative control (carrier substance) ร่วมสำหรับการทดลองด้วย เพื่อแน่ใจว่าผู้ป่วยไม่ได้แพ้สารที่ใช้ละลายในสารก่อภูมิแพ้ที่นำมาทดสอบ แล้วก็ผิวหนังตอบสนองได้ดิบได้ดีต่อ histamine โดยทั่วไปจะทดสอบโดยวิธี skin prick test ก่อนโดยนับว่าเป็น screening test ถ้าหากผล skin prick test ได้ผลลบ จึงทดสอบโดยวิธี intradermal test ถัดไป ถ้าหาก skin prick test ได้ผลบวกแจ่มแจ้ง ไม่จำเป็นที่จะต้องทำทดสอบโดยวิธีintradermal test อีก เพื่อลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิด systemic reaction การทดสอบโดยตรวจหา IgE ที่ผิวหนังนี้ จะต้องมีวัสดุเตรียมการสำหรับ resuscitation ด้วยเสมอ เผื่อในกรณีกำเนิด anaphylactic reaction
  • การหาปริมาณ IgE ในเลือด ซึ่งหาได้ทั้ง total IgE คือเป็นระดับของ IgE รวมทั้งสิ้น ไม่เจาะจงต่อสารก่อภูมิแพ้จำพวกใดชนิดหนึ่ง ซึ่งหาได้โดยวิธี Paper Radio – Immunosorbent Test (PRIST) แล้วก็หา specific LgE คือหาระดับ IgE ที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้แต่ละชนิด ซึ่งหาโดยแนวทาง Radio Allergosorbent test (RAST) การหา total IgE ไม่ช่วยมากนักสำหรับการวินิจฉัยโรค ส่วนการหา specific IgE ได้รับความนิยมในเมืองนอก เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงต่อ systemic reaction คนไข้ไม่มีความจำเป็นต้องงดเว้นยา ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาของคนเจ็บนานสำหรับในการทดลอง ไม่เสมือนการทำ skin test ทำให้สบายเพียงแต่เจาะเลือด 1 ครั้ง หาสารที่ผู้ป่วยแพ้ได้หลายอย่าง แต่ว่าในประเทศไม่นิยมใช้ เนื่องมาจากราคาแพงแพง
  • X-ray sinus เพื่อดูว่าผู้เจ็บป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ มีโรคไซนัสอักเสบร่วมด้วยไหม ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ทั่วไป และก็ควรจะทำทุกราย จากการเรียน plain film sinus ในคนป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ที่ รพ.ศิริราช ปริมาณ 356 ราย พบว่ามีพยาธิภาวะเกิดขึ้นที่ sinus ถึงปริมาณร้อยละ 40
การรักษาโรคภูแพ้ อาจแบ่งได้เป็น 3 วิธี คือ

  • การใช้ยาสำหรับในการรักษา เวลานี้มียารักษาลักษณะของโรคภูมิแพ้หลายสิบชนิด แต่เพียงพอจะจัดหมวดหมู่ได้ 4 ชนิด เป็น


ยาแก้แพ้ (แอนติฮิสตะมีน) ที่คนส่วนมากรู้จักกันดี คือ คลอร์เฟนิรามีน (ยาแก้แพ้เม็ดสีเหลือง ในความเป็นจริงแล้วมีหลายสีสุดแต่บริษัทผลิต) ปัจจุบันนี้มียาแก้แพ้ผลิตออกมากว่า 30 จำพวก ราคาตั้งแต่เม็ดละไม่กี่สตางค์จนกระทั่ง 7-8 บาท มั่นใจว่าคุณภาพไม่ได้มีความแตกต่างกัน ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ส่วนใหญ่รับประทานแล้วอยากนอน คอแห้ง แต่ เดี๋ยวนี้มียาแบบใหม่ๆที่กินแล้วไม่ง่วงนอนและก็มีฤทธิ์แก้แพ้ได้นาน โดยกินเพียงแต่วันละ 1-2 ครั้งก็พอเพียง แม้กระนั้นข้อตำหนิเป็น ราคายังแพงอยู่ ยานี้ใช้รักษาอาการคันจมูก จาม ลดน้ำมูก และก็รักษาผื่นคันผื่นคัน
ยาแก้คัดจมูก มักเป็นยาทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว และทำให้น้ำมูกลดลง คนเจ็บจึงรู้สึกสบายขึ้น มีทั้งยังยารับประทานรวมทั้งยาพ่น แต่ยาพ่นมีปัญหา คือ เมื่อใช้แล้วในช่วงแรกจะได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ว่าถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานๆจะมีผลให้ดื้อยาและเป็นมากขึ้นได้ จะต้องใช้ในระยะสั้นๆแค่นั้น
ยาขยายหลอดลม (ยาแก้โรคหืด) สำหรับผู้ที่แพ้จนถึงมีลักษณะอาการเป็นโรคหืด มียากิน ยาฉีด รวมทั้งยาพ่นโดยทั่วไปยังนิยมใช้ยากิน  ส่วนยาพ่น ในเมืองนอกเป็นที่ยอมรับกันมากมาย ส่วนในประเทศไทยกำลังเป็นที่ยอมรับเพิ่มมากขึ้น ลักษณะเด่นคือ มีผลใกล้กันน้อย ไม่ซึมซับเข้ากระแสเลือดและออกฤทธิ์เร็วทันใจ แม้กระนั้นมีข้อเสียคือ ก่อนใช้ควรมีการแสดงให้ดูเป็นตัวอย่างวิธีใช้อย่างถูกต้อง มิฉะนั้นจะไม่ได้เรื่อง ส่วนยาฉีดจะใช้กรณีที่หอบมากมายและก็รับประทานยา พ่นยาแล้วไม่เป็นผล
ยาป้องกันภูมิแพ้ มีทั้งยังยารับประทานและยาพ่น ยารับประทานคุ้มครองภูมิแพ้ได้ผลในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ ส่วนยาพ่นบางประเภทมีคุณประโยชน์ในผู้ใหญ่ด้วย

  • การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ได้แก่ จัดห้องนอนและก็บ้านให้ไม่ยุ่งยากต่อการขจัดฝุ่นผงหรือมีฝุ่นต่ำที่สุด กระบวนการสำคัญๆก็คือ อย่าให้บ้านเกลื่อนกลาด มีเฟอร์นิเจอร์เท่าที่มีความจำเป็น เฟอร์นิเจอร์ควรเป็นไม้ พลาสติก หรือหุ้มห่อเบาะหนัง ไม่สมควรบุนวม ห่อหุ้มผ้า เพื่อจะได้ลดฝุ่นผงแล้วก็ทำความสะอาดได้อย่างง่ายดาย พื้นควรเป็นพื้นปกติหรือไม้ขัดเงา ไม่ควรปูพรม กระบวนการทำความสะอาดพื้น ควรที่จะใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหรือขัดถู หรือใช้เครื่องดูดฝุ่น ไม่สมควรใช้ไม้ปัดกวาด แม้กระนั้นอาจให้คนอื่นปัดกวาดช่วงเวลาที่คุณไม่อยู่ก็ได้ ไม่สมควรนำสัตว์เลี้ยงเข้าในบ้าน แพ้ไรฝุ่นละออง ควรห่อที่นอนด้วยหนังหรือพลาสติก (ก่อนนอนคลุมด้วยผ้าที่มีไว้ปูที่นอนอีกชั้นเยี่ยม) จะได้ใช้น้ำอุ่นถูทุกครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือนได้ ควรใช้หมอนชนิดใยสังเคราะห์และก็ซักน้ำร้อนทุกหนึ่งเดือนเป็นอย่างต่ำ การตากแดดมิได้ฆ่าไรฝุ่นผงแต่อย่างใด ไม่สมควรปลูกต้นไม้ดอกไม้ในห้องนอน เพราะว่าเป็นแหล่งเปียกชื้นอย่างหนึ่ง ควรกำจัดเพื่อลดจำนวนเชื้อรา หน้ากากเครื่องแอร์ที่ชื้นแฉะหรือผนังที่เปียกชื้น ควรจะใช้น้ำยาไลซอลเพื่อขจัดเชื้อรา การหลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคืองต่างๆก็มีความหมาย คือ ควันจากบุหรี่ ควัน รวมทั้งกลิ่นฉุนทั้งหลาย
  • วิธีภูมิคุ้นกันบำบัดรักษา (Immuno therapy) หรือการฉีดยา ถ้าบากบั่นหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้อย่างเต็มเปี่ยมแล้ว แล้วก็รับประทานยารักษาอาการที่แพ้ต่างๆแล้วอาการยังเป็นอยู่มากมาย หรือต้องใช้ยาหลายตัว แพทย์บางทีอาจพิจารณาชี้แนะให้ฉีดวัคซีนภูมิแพ้ จุดมุ่งหมายของการฉีดยาภูมิแพ้ ก็คือ ต้องการเปลี่ยนแปลงภาวะการโต้ตอบของร่างกายจากภูมิแพ้ให้แปลงเป็นมีภูมิคุ้มกันแพ้แทน แนวทางการฉีดยาภูมิแพ้มีว่าหลังจากทดสอบทางผิวหนังจนกระทั่งรู้แล้วว่าแพ้อะไรบ้าง แพทย์ก็จะนำสารสกัดที่แพ้มาฉีดเข้าใต้ชั้นผิวหนัง โดยเริ่มจากขนาดต่ำๆรวมทั้งเบาๆเพิ่มขนาดแล้วก็ปริมาณมากขึ้น โดยขั้นแรกฉีดทุกหนึ่งอาทิตย์จนกระทั่งขนาดเหมาะสม ต่อไปจะฉีดห่างออกไปเรื่อยจากทุกหนึ่งสัปดาห์ท้ายที่สุดเป็นทุกเดือนถึงเดือนครึ่ง เมื่ออาการแพ้ดียิ่งขึ้นมากและก็ลดขนาดยารับประทานต่างๆได้ แปลว่าสำเร็จ ซึ่งมักจะต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 3 เดือนกว่าจะได้ผล ถัดไปจะฉีดทุก 1-2 เดือนจนกระทั่งครบ 3-4 ปี (เฉลี่ยแล้วฉีดปีละ 6-12 ครั้งเท่านั้น) ท่านใดที่อาการแพ้หายไป และก็หยุดยาต่างๆได้ เมื่อครบกำหนด 3-4 ปี แพทย์จะพิเคราะห์หยุดฉีดยาสุดท้าย
  • การกระทำตนเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้
  • ใส่หน้ากากปกป้องฝุ่นผงขณะที่กำลังทำงานกับฝุ่นละออง
  • ชำระล้าง เอาวัตถุที่ไม่จำเป็นออกจากห้องทำงานและก็ห้องนอนให้มากมายหนสุด ในห้องนอนจะต้องมีเครื่องประดับน้อยชิ้นที่สุดเพื่อเป็นการป้องกันและยังเป็นการไม่ให้เป็นแหล่งเก็บฝุ่น
  • ในกรณีแพ้ไรฝุ่นละออง ควรชำระล้างเครื่องนอน (ที่พักผ่อน หมอน ผ้าที่มีไว้เพื่อห่ม) โดยซักด้วยน้ำร้อน 60 องศาเซลเซียส ตรงเวลา 15-20 นาที ขั้นต่ำทุก 2 สัปดาห์
  • ควรตัดหญ้า หรือ วัชพืชรอบๆบ้านเสมอๆเพื่อลดปริมาณเกสรและก็สารก่อภูมิแพ้ในวัชพืชและดอกไม้
  • ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนในบ้าน อย่างเช่น สุนัข แมว นก
  • กำจัดเศษอาหารและขยะต่างๆและปิดฝาท่อเพื่อระบายน้ำเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงสาบ
  • ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศเสมอๆและใช้แบบที่มีเครื่องร่อนอาการประเภท HEPA filter (High Efficiency Particulate Air Filter)
  • ระวังไม่ให้บ้าน ส้วม อับชื้น และไม่ควรจะปลูกต้นไม้ในบ้านเพาะทำให้เชื้อราเติบโต
  • หลบหลีกรอบๆที่มีควันจากบุหรี่ ควันไฟ แล้วก็รอบๆที่มีฝุ่นละอองมาก
  • ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ ถ้ามีลักษณะอาการหอบอ่อนแรงเวลาบริหารร่างกาย ควรสูดยา ปกป้องอาการหอบก่อน
  • ใช้ยาจากที่แพทย์สั่งเพียงแค่นั้น ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง เนื่องจากบางประเภทถ้าใช้ตลอดนานอาจมีอันตรายได้
  • การติดต่อของโรคภูมิแพ้ เหตุเพราะโรคภูมิแพ้เป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากการทำงานที่เปลี่ยนไปจากปกติที่ไวต่อสารก่อภูมิแพ้ของภูมิต้านทานภายในร่างกายของบางบุคคลเท่านั้น ก็เลยไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและก็จากสัตว์สู่คน (แต่มีการตกทอดทางกรรมพันธุ์ได้)
  • การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคภูมิแพ้ เป็นการลดการเสี่ยงสำหรับเพื่อการกำเนิดโรค เป็นการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ ทานอาหารที่มีประโยชน์รวมทั้งถูกสุขลักษณะ บริหารร่างกายอย่างเหมาะควรเป็นประจำ และก็หมั่นตรวจเช็คสุขภาพรายปี  รวมทั้งเนื่องจากว่าโรคภูมิแพ้เป็นโรคไม่ติดต่อ แล้วก็จะเกิดกับผู้ที่ร่างกายแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้เท่านั้น โดยเหตุนี้ การคุ้มครองป้องกันส่วนมากก็เลยเป็นกรรมวิธีสำหรับคนไข้ เพื่อไม่ให้อาการแพ้นั้นกำเริบเสิบสานร้ายแรง  เช่น เลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ถ้าหากมีอาการป่วยด้วยโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือเผชิญกับสิ่งที่มีสารที่ตนแพ้ อย่างเช่น ผู้เจ็บป่วยที่แพ้อาหารทะเล ควรจะหลบหลีกการกินอาหารที่ทำจากสัตว์ทะเลทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นของกินแปรรูป อาหารสด หรืออาหารแห้ง คนที่แพ้ฝุ่นควรจะหลบหลีกการเดินทางบนท้องถนนที่มีฝุ่นละอองควัน ไม่ลดกระจกลงขณะโดยสารอยู่บนรถยนต์ เลี่ยงการเดินผ่านเขตรอบๆที่มีการก่อสร้าง แล้วก็รักษาความสะอาดข้างในบ้านรวมทั้งห้องนอน ให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก แสงแดดเข้าถึง เพื่อคุ้มครองป้องกันการสะสมฝุ่นและไรฝุ่นที่จะส่งผลให้เกิดอาการแพ้ได้ เขียนบันทึก ลงบันทึกประจำวันว่าทำกิจกรรมอะไรหรือกินอะไรแล้วมีลักษณะอาการเช่นไร เป็นการศึกษาเล่าเรียนอาการแพ้ รวมทั้งให้ทราบสิ่งที่แพ้รวมทั้งสิ่งที่ไม่แพ้ เพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่แพทย์พยาบาล แล้วก็การวางเป้าหมายรักษาอย่างเหมาะควรถัดไป กินยา ยาจะช่วยคุ้มครองปกป้องและก็บรรเทาอาการแพ้ โดยผู้ป่วยภูมิแพ้จำต้องรับประทานยาจากที่หมอระบุ ไม่หยุดใช้ยาโดยพลการ เนื่องจากว่าอาจมีผลกระทบ มีอาการดื้อยา หรือมีลักษณะแพ้ที่กำเริบเสิบสานขึ้น  จัดเตรียมในภาวะฉุกเฉิน สำหรับผู้ป่วยที่มีลักษณะแพ้ร้ายแรง ควรแจ้งลักษณะการป่วยของตนเองกับบุคคลสนิทสนม หรือในบางราย หมอจะให้ผู้เจ็บป่วยพกยาฉีดเอพิเนฟรินสำหรับฉีดรักษาโดยใช้ตนเองถ้าเกิดอาการไม่ดีขึ้น แล้วก็ตระเตรียมเบอร์โทรเร่งด่วนที่จำเป็นเอาไว้ภายในกรณีที่มีความเร่งด่วนเสมอ
นอกเหนือจากนี้ควรไปพบหมอเมื่อมีอาการต่อแต่นี้ไป

  • น้ำมูลไหล คัดจมูก จาม คันจมูกเรื้อรัง
  • ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
  • ไอมากมายหรืออ่อนเพลียเวลาเป็นหวัด ตอนออกกำลังกาย หรือช่วงกลางคืน
  • ผื่นคันเรื้อรังตามผิวหนังส่วนต่างๆของร่างกาย
  • เป็นลมพิษหลายครั้ง
  • สัมผัสสารบางอย่างแล้วผื่นขึ้น
  • กินอาหารบางชนิดแล้วมีผื่น น้ำมูกไหล หรือแน่นหน้าอก
  • คันตา แสบตา น้ำตาไหลเรื้อรัง
  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้อง/รักษาโรคอาการหอบหืด
  • ถั่งเช่า มีสรรพคุณลดการตำหนิดเชื้อรวมทั้งบรรเทาอาการ อย่าง ภูมิแพ้ อาการหอบหืด ถั่งเช่ามีฤทธิ์สำหรับการควบคุมสมดุลของ Allergen-reactive helper T cells Type I และก็ II คนไข้ที่เป็นโรคภูมิแพ้มักมีการดำเนินการของ Type II มากเกินธรรมดา อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรค นอกจากนี้มีฤทธิ์ลดการจับตัวของสารก่อภูมิแพ้กับระบบภูมิต้านทานของร่างกาย การลดกลไกนี้ลงจะทำให้ร่างกายสนองตอบต่อสารก่อภูมิแพ้น้อยลง แล้วก็ยังช่วยลดวิธีการสร้างอิมมูโนมายากลอบูลิน ประเภท อี (IgE) +ที่มากเกินไป ซึ่งเป็นสารเคมีที่ร่างกายทำขึ้นเมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้และก็เป็นตัวกระตุ้นให้อาการไม่ดีขึ้น
  • กระเทียม สารอัลลิซินที่สกัดได้จากกระเทียมมีคุณสมบัติ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ช่วยทำให้คนไข้ไม่เป็นหวัด ช่วยบำบัดรักษาอาการของโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
บันทึกการเข้า