โรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)- โรคไข้เลือดออกเป็นอย่างไร โรคไข้เลือดออกหมายถึงโรคติดเชื้อซึ่งมีสาเหตุมาจาก เชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) โดยมียุงลายเป็นพาหนะนำโรคลักษณะของโรคนี้มีความคล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดในระยะแรก (แต่ว่าจะไม่มีอาการน้ำมูลไหล คัดจมูก หรือไอ) ก็เลยทำให้ผู้เจ็บป่วยรู้เรื่องคลาดเคลื่อนได้ว่าตนเป็นเพียงโรคไข้หวัด และทำให้มิได้รับการดูแลและรักษาที่ถูกในทันที โรคไข้เลือดออกมีลักษณะแล้วก็ความรุนแรงของโรคหลายระดับตั้งแต่ไม่มีอาการหรือมีลักษณะนิดหน่อยไปจนถึงเกิดภาวะช็อกซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้เจ็บป่วยเสียชีวิต สถิติในปี พุทธศักราช 2554 รายงานโดย กลุ่มโรคไข้เลือดออก สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีอัตราป่วย 107.02 และก็อัตราป่วยตาย 0.10 ซึ่งหมายความว่า ในราษฎรทุก 100,000 คน จะมีบุคคลที่มีอาการป่วยด้วยไข้เลือดออกได้ถึง 107.02 คน และมีคนเสียชีวิตจากโรคนี้ 0.1 คน อย่างยิ่งจริงๆ ทั้งนี้โรคไข้เลือดออกยังเป็นโรคระบาดที่พบได้ทั่วไปแถบบ้านพวกเรารวมทั้งประเทศใกล้เคียง มีการระบาดเป็นระยะๆทั่วในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มักพบการระบาดในช่วงฤดูฝนซึ่งเป็นช่วงที่มียุงลายเยอะมาก จากสถิติในปี พุทธศักราช 2556 ของสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีคนไข้จำนวน 154,444 ราย (คิดเป็นอัตราเจ็บไข้ 241.03 ต่อประชาชน 100,000 ราย) รวมทั้งมีปริมาณคนไข้เสียชีวิตปริมาณ 136 ราย (คิดเป็นอัตราเสียชีวิต 0.21 ต่อประชาชน 100,000 ราย)
- สาเหตุของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออกเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการตำหนิดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่าไวรัสเดงกี Dengue 4 ชนิดเป็น Dengue 1, 2, 3 และ 4 โดยธรรมดาไข้เลือดออกที่พบกันธรรมดาทุกปีชอบมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสDengue จำพวกที่ 3 หรือ 4 แต่ที่มีข่าวสารมาในตอนนี้จะเป็นการติดเชื้อในสายพันธ์2เป็นสายพันธ์ที่พบได้ห่างๆแม้กระนั้นอาการมักจะร้ายแรงกว่าสายพันธ์ที่ 3, 4 แล้วก็ควรเป็นการตำหนิดเชื้อซ้ำครั้งที่ 2 (Secondaryinfection) ไวรัสเดงกี่ เป็น single strandcd RNA ไวรัส อยู่ใน familyflavivirida มี4 serotypes (DEN1, DEN2, DEN3, DEN4) ซึ่งมีantigen ของกรุ๊ปบางชนิดร่วมกัน ก็เลยทำให้มีcross reaction กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อมีการติดโรคชนิดใดชนิดหนึ่งแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสจำพวกนั้นอย่างถาวรตลอดชีพ และจะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสเดงกี่อีก 3 จำพวก ในช่วงระยะสั้นๆโดยประมาณ 6 - 12 เดือน (หรืออาจสั้นกว่านี้) โดยเหตุนี้ผู้ที่อยู่ภายในเขตพื้นที่ที่มีไวรัสเดงกี่มากมายอาจมีการต่อว่าดเชื้อ 3หรือ 4 ครั้งได้ การติดเชื้อไวรัสเดงกีมีลักษณะอาการแสดงได้ 3 แบบหมายถึงไข้เดงกี (Denque Fever – DF),ชอบเกิดกับเด็กโตหรือผู้ใหญ่อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอาการไม่ร้ายแรงและไม่สามารถจะวินัจฉัยได้การอาการทางสถานพยาบาลได้แน่นอนจำเป็นต้องอาศัยการตรวจทางน้ำเหลืองและแยกเชื้อไวรัส ไข้เลือดออก หรือ ไข้เลือดออกเดงกี (Dengue hemorrhagic fever – DHF) แล้วก็ไข้เลือดออกเดงกีที่ช็อก (Denque Shock Syndrome – DSS) เป็นกรุ๊ปอาการที่เกิดขึ้นต่อจากระยะ DHF คือมีการรั่วของพลาสมาออกไปๆมาๆกทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการช็อก และก็สามารถตรวจพบรระดับอีมาโตคริต (Hct) สูงขึ้นรวมถึงมีน้ำในเยื่อห่อช่วงปอดและท้องอีกด้วย
- ลักษณะของโรคไข้เลือดออก ระยะที่ 1 (ระยะไข้สูง) คนป่วยจะมีไข้สูงลอย (กินยาลดไข้ไข้ก็จะไม่ลด) ไข้39 - 41 องศาเซลเซียส โดยประมาณ 2 - 7 วัน ทุกรายจะเป็นไข้สูงเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ส่วนมากไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส ไข้อาจมากถึง 40 - 41 องศาเซลเซียสได้ซึ่งบางรายอาจมี อาการชักเกิดขึ้น คนเจ็บชอบมีหน้าแดง (Flushed face) อาจตรวจ พบคอแดง (Injected pharynx) ได้แม้กระนั้นจำนวนมากคนไข้จะไม่มีอาการ น้ำมูกไหล หรืออาการไอ ซึ่งช่วยสำหรับในการวิเคราะห์แยกโรคที่เกิดจากฝึกฝนใน ระยะต้น รวมทั้งโรคระบบฟุตบาทหายใจได้ เด็กโตอาจพร่ำบ่นปวดหัว ปวดรอบกระบอกตา ในระยะไข้นี้อาการทางระบบทางเดินอาหารที่พบได้มาก คือ ไม่อยากอาหาร อาเจียน บางรายอาจมีลักษณะของการปวดท้องร่วมด้วย ซึ่งใน ระยะต้นจะปวดโดยปกติ และก็อาจปวดที่ชายโครงขวาในระยะ ที่มีตับโต ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว อยากดื่มน้ำ ซึม ในบางรายอาจมีลักษณะของการปวดท้องในบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงทางขวา หรืออาจมีท้องผูกหรือถ่ายเหลว ส่วนในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี อาจเจอลักษณะของการมีไข้สูงร่วมกับอาการชักได้ ระยะที่ 2 (ระยะช็อกและมีเลือดออก หรือ ระยะวิกฤติ) มักจะเจอในไข้เลือดออกที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อเดงกีที่มีความร้ายแรงขั้นที่ 3 แล้วก็ 4 อาการจะเกิดขึ้นในตอนระหว่างวันที่ 3-7 ของโรค ซึ่งถือได้ว่าช่วงที่วิกฤติของโรค โดยอาการไข้จะเริ่มลดน้อยลง แม้กระนั้นผู้เจ็บป่วยกลับมีลักษณะอาการทรุดหนัก มีลักษณะเลือดออก : อาการเลือดออกที่พบได้ทั่วไปที่สุดที่ผิวหนัง โดยจะตรวจพบว่าเส้นเลือดเปราะ แตกง่าย กระบวนการทำ torniquet test ให้ผลบวกได้ตั้งแต่ 2 - 3 วันแรกของโรค ร่วมกับมีจุดเลือดออกเล็กๆกระจัดกระจายอยู่ตามแขน ขาลำตัว จั๊กกะแร้อาจมีเลือดกำเดา หรือเลือดออก ตามไรฟัน ในรายที่ร้ายแรงอาจมีอาเจียน ปวดท้อง และก็อุจจาระเป็นเลือด ซึ่งชอบเป็นสีดำ (Malena) อาการเลือดออกในทางเดินของกิน มีความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด หรือช็อก:ชอบกำเนิด ช่วงไข้จะลดเป็นระยะที่มีการรั่วของพลาสมาซึ่งจะพบทุกรายในคนเจ็บ ไข้เลือดออกเดงกี่ โดยระยะรั่วจะมีโดยประมาณ 24 - 28 ชั่วโมง ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยจะมีลักษณะร้ายแรงมีภาวการณ์การไหล เวียนล้มเหลวเกิดขึ้น เพราะว่ามีการรั่วของพลาสมาออกไปยังช่องปอด/ ท้องมากมาย เกิด hypovolemic shock ผู้เจ็บป่วยจะเริ่มมีลักษณะ กระวนกระวาย มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาเร็ว(อาจมากกว่า 120 ครั้ง/นาที) ปัสสาวะน้อย ความดันเลือดเปลี่ยนแปลง ตรวจเจอ pulse pressure แคบ พอๆกับหรือน้อยกว่า 20 มม.ปรอท (ค่าธรรมดา30-40มม.ปรอท) ภาวการณ์ช็อกที่เกิดขึ้นนี้จะมีการเปลี่ยน อย่างเร็วหากไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยจะมีอาการหยาบช้าลงรอบปากเขียว ผิวสีม่วงๆตัวเย็นชืด เช็คชีพจรรวมทั้ง/หรือวัดความดันมิได้ (Profound shock) ภาวะรู้สติเปลี่ยนไป และจะเสียชีวิตด้านใน 12-24ชั่วโมงหลังเริ่มมีภาวการณ์ช็อกถ้าว่าคนป่วยได้รับการรักษาอาการช็อก อย่างทันทีทันควันแล้วก็ถูกต้องก่อนที่จะไปสู่ระยะ profound shock ส่วนใหญ่ก็จะฟื้นตัวได้อย่างเร็ว ระยะที่ 3 (ระยะฟื้นตัว) ในรายที่มีภาวะช็อกไม่ร้ายแรง เมื่อผ่านวิกฤติช่วงระยะที่ 2 ไปแล้ว อาการก็จะอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่คนไข้ที่มีภาวะช็อกรุนแรง เมื่อได้รับการดูแลและรักษาอย่างแม่นยำและก็ทันการก็จะฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติ โดยอาการที่แปลว่าดียิ่งขึ้นนั้นหมายถึงคนเจ็บจะเริ่มต้องการทานอาหาร แล้วอาการต่างๆก็จะคืนสู่สภาพธรรมดา ชีพจรเต้นช้าลง ความดันเลือดกลับมาสู่ธรรมดา เยี่ยวออกมากขึ้น
- ปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรคไข้เลือดออก เนื่องด้วยโรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่มียุงลายเป็นพาหนะนำโรคโดยเหตุนั้น สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะกระตุ้นให้เกิดโรคไข้เลือดออกนั้น บางทีอาจจะแบ่งได้ 2 กรณี 1.การเช็ดกยุงลายกัด ด้วยความที่พวกเราไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่ายุงตัวไหนมีเชื้อหรือเปล่ามีเชื้อด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อถูกยุงลายกัด ก็เลยมีความเป็นไปได้เสมอว่าเราบางทีก็อาจจะได้รับเชื้อไวรัสเดงกีที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคไข้เลือดออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราถูกยุงลายกัดในพื้นที่ที่การระบายของโรคไข้เลือดออก หรือ อยู่ภายในเขตพื้นที่ที่มีความมากมายของยุงลายสูง 2.แหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย ในเมื่อยุงลายเป็นพาหนะนำโรคไข้เลือดออกแล้วนั้น จึงเท่ากับว่าถ้าหากยุงลายมีจำนวนไม่ใช่น้อยก็จะมีผลให้กำเนิดความเสี่ยงในการกำเนิดโรคไข้เลือดออกมากมายตามมา และถ้าหากยุงลายมีจำนวนน้องลง ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคไข้เลือดออกก็น่าจะลดน้อยลงตามไปด้วย ด้วยเหตุนั้นการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย จึงน่าจะเป็นการลดความเสี่ยงสำหรับในการเกิดโรคไข้เลือดออกได้ แล้วก็หากชุมชนสามารถช่วยเหลือกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้ก็จะทำให้ชุมดูนั้น ปราศจากจากโรคไข้เลือดออกได้
- ขั้นตอนการรักษาโรคไข้เลือดออก การวิเคราะห์โรคไข้เลือดออก หมอสามารถวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกได้จากอาการทางสถานพยาบาล โดยเฉพาะอาการไข้สูง 39-41 องศาเซลเซียส หน้าแดง กลีบตาแดง บางทีอาจลูบคลำได้ตับโต กดเจ็บ มีผื่นแดง หรือจุดแดงจ้ำเขียว โดยไม่มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ หรือเจ็บคอ ร่วมกับการมีประวัติโรคไข้เลือดออกของอาศัยอยู่รอบๆเดียวกัน หรือมีการระบาดของโรคในช่วงนั้นๆแล้วก็การทดลองทูร์นิเคต์ให้ผลบวก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยโรคนี้ได้ นอกเหนือจากนั้น การส่งไปทำการตรวจเลือด ซีบีซี (CBC) จะตรวจเจอเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวค่อนข้างต่ำและความเข้มข้นของเลือดสูง เพียงเท่านี้ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้เป็นส่วนมากแล้ว แม้กระนั้นในบางราย แม้อาการ ผลการตรวจร่างกาย และก็ผลเลือดในเบื้องต้นยังไม่สามารถที่จะวินิจฉัยโรคได้ ในขณะนี้ก็มีวิธีการส่งเลือดไปตรวจหาภูมิคุ้มกันต้านต่อเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งจะช่วยให้การวิเคราะห์โรคนี้ได้อย่างเที่ยงตรงมากเพิ่มขึ้น
เนื่องจากว่ายังไม่มีการพัฒนายาฆ่าเชื้อเชื้อไวรัสเดงกี่การดูแลและรักษาโรคนี้ ก็เลยเป็นการรักษาตามอาการเป็นหลัก พูดอีกนัยหนึ่ง มีการใช้ยาลดไข้ เช็ดตัว และก็การปกป้องภาวะช็อก ยาลดไข้ที่ใช้มีเพียงแค่ประเภทเดียวเป็นยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ปริมาณยาที่ใช้ในคนแก่คือ พาราเซตามอลรูปแบบเม็ดละ500มิลลิกรัมรับประทานทีละ1-2เม็ด ทุก 4 - 6 ชั่วโมง โดยไม่ควรกินเกินวันละ 8 เม็ด (4 กรัม) ส่วนขนาดยาที่ใช้ในเด็กเป็น พาราเซตามอลรูปแบบน้ำ 10-15มก.ต่อ น้ำหนักตัว 1 กิโลต่อครั้ง ทุก 4 - 6 ชั่วโมง โดยไม่ควรรับประทาน เกินวันละ5ครั้ง หรือ2.6กรัม สินค้าพาราเซตามอลรูปแบบน้ำสำหรับเด็กมีจัดจำหน่ายในหลายความแรงเป็นต้นว่า 120 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา (1 ช้อนชา พอๆกับ 5 มิลลิลิตร), 250 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา, และก็ 60 มิลลิกรัมต่อ 0.6 มิลลิลิตร ส่วนใหญ่เป็นยาน้ำเชื่อมที่จำเป็นต้องรินใส่ช้อนเพื่อป้อนเด็ก ในกรณีเด็กอ่อน การป้อนยาทำได้ค่อนข้างยากก็เลยมีผลิตภัณฑ์ยาที่ทำขายโดยใส่ในขวดพร้อมหลอดหยด เวลาใช้ก็เพียงแต่ใช้หลอดหยดดูดยาออกมาจากขวดแล้วก็นำไปป้อนเด็กได้เลย ตามที่สินค้าพาราเซตามอลรูปแบบน้ำสำหรับเด็กมีหลายความแรง ควรต้องอ่านฉลากและก็วิธีใช้ให้ดีก่อนนำไปป้อนเด็ก กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าหากเด็กหนัก 10 โล และมียาน้ำความแรง 120 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา ก็ควรป้อนยาเด็กครั้งละ 1 ช้อนชาหรือ 5 มล. แล้วก็ป้อนซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมงแต่ไม่ควรป้อนยาเกินวันละ 5 ครั้ง หากว่าไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ในทันที ยาพาราเซตามอลนี้เป็นยารับประทาน ตามอาการ ด้วยเหตุดังกล่าวหากไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้โดยทันทีส่วนยา แอสไพรินและไอบูโปรเฟนเป็นยาลดไข้เหมือนกัน แม้กระนั้นยาทั้งสองประเภทนี้ ห้ามประยุกต์ใช้ในโรคไข้เลือดออก เนื่องด้วยจะยิ่งสนับสนุนการเกิดสภาวะ เลือดออกไม่ดีเหมือนปกติกระทั่งบางทีอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อคนเจ็บได้ ในส่วนการป้องกันภาวะช็อกนั้น ปฏิบัติได้โดยการชดเชยน้ำ ให้ร่างกายเพื่อไม่ให้ปริมาตรเลือดลดต่ำลงจนทำให้ความดันโลหิตตก แพทย์จะพิเคราะห์ให้สารน้ำตามความรุนแรงของอาการ โดยบางทีอาจให้ คนไข้ดื่มเพียงแต่สารละลายเกลือแร่ โออาร์เอส หรือผู้ป่วยบางราย อาจได้รับน้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดดำ ในเรื่องที่ผู้เจ็บป่วยเกิดภาวะเลือด ออกไม่ปกติกระทั่งเกิดภาวะเสียเลือดอาจจำต้องได้รับเลือดเพิ่มอีก อย่างไรก็แล้วแต่ ต้องเฝ้าระวังภาวการณ์ช็อกตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น เนื่องมาจากสภาวะนี้มีความอันตรายต่อชีวิตของคนป่วยอย่างมากมาย
- การติดต่อของโรคไข้เลือดออก การติดต่อของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออก มักติดต่อจากคนไปสู่คน ซึ่งมียุงลายตัวเมีย (Aedes aegypt) เป็นตัวพาหะที่สำคัญ โดยยุงตัวเมียจะกัดและก็ดูดเลือดของผู้เจ็บป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกี หลังจากนั้นเชื้อจะเข้าไปฟักตัวและก็เพิ่มในตัวยุงลาย ทำให้มีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวของยุงตลอดระยะเวลาอายุขัยของมันประมาณ 1 - 2 เดือน แล้วถ่ายทอดเชื้อไปสู่ถูกกัดได้ในรัศมี 100 เมตร ยุงลายเป็นยุงที่อาศัยอยู่ในบริเวณบ้าน มักออกกัดกลางวัน มีแหล่งเพาะพันธุ์ คือ น้ำนิ่งที่ขังอยู่ในภาชนะเก็บน้ำต่างๆอาทิ โอ่ง แจกันดอกไม้ ถ้วยรองขาตู้ จาน จานชาม กระป๋อง หม้อ ยางรถยนต์ หรือกระถาง เป็นต้น โรคไข้เลือดออก เจอโดยมากในช่วงฤดูฝน เพราะเหตุว่าในช่วงฤดูนี้เด็กๆมักจะอยู่กับบ้านมากกว่าฤดูอื่นๆทั้งยังยุงลายยังมีการแพร่พันธุ์มากในฤดูฝน ซึ่งในเมืองใหญ่ๆที่มีมวลชนหนาแน่น และก็มีปัญหาด้านกายภาพเกี่ยวกับขยะ อย่าง จังหวัดกรุงเทพมหานคร อาจพบโรคไข้เลือดออกนี้ได้ตลอดทั้งปี
ทราบได้เช่นไรว่าเราจับไข้เลือดออก ข้อคิดเห็นบางประการที่บางครั้งอาจจะช่วยทำให้สงสัยว่าอาจจะเจ็บป่วยเลือดออก อาทิเช่น เป็นไข้สูง เมื่อยล้าเป็นเกิน 2 วัน ถ้าเกิดมีปวดหัวมากมายหรืออาเจียนมากร่วมด้วย หลังเป็นไข้ 2 ถึง 7 วัน แล้วไข้ลดน้อยลงเอง เมื่อไข้ลดแล้วมีลักษณะอาการกลุ่มนี้อย่างใดอย่างหนึ่งบางทีอาจจะจับไข้เลือดออกได้ ปวดศีรษะมากมาย อ่อนเพลียมาก คลื่นไส้มากมาย กินอาหารไม่ได้ เจ็บท้อง มีจ้ำเลือดเล็กๆรอบๆแขน ขา หรือลำตัว มีเลือดออกตามอวัยวะอย่างเช่น เลือดกำเดา ถ่ายเป็นเลือด ประจำเดือนมาก่อนกำคราวด ฯลฯ
- การกระทำตนเมื่อป่วยเลือดออก ในระยะ 2 - 3 วันแรกของการป่วยถ้าเกิดยังรับประทานอาหารแล้วก็ดื่มน้ำได้ ไม่อาเจียน ไม่เจ็บท้อง ไม่มีจ้ำเลือดขึ้นและก็ยังไม่มีอาการเลือดออกหรือภาวะช็อกเกิดขึ้น ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ ให้ผู้ป่วยพักผ่อนมากๆถ้าหากจับไข้สูงให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อยๆและให้ยาลดไข้พาราเซตามอล คนแก่กิน 1-2 เม็ด เด็กโต ½ - 1 เม็ด เด็กตัวเล็กๆใช้ชนิดน้ำเชื่อม 1- 2 ช้อนชา หากยังเป็นไข้กินซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง ห้ามให้ยาแอสไพริน โดยเด็ดขาด เพราะเหตุว่าอาจจะส่งผลให้มีเลือดออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ถ้าหากเป็นผู้เจ็บป่วยเด็กแล้วก็เคยชัก ควรจะให้รับประทานยากันชักไว้ก่อน กินอาหารอ่อนๆตัวอย่างเช่น ข้าวต้ม โจ๊ก และก็กินน้ำมากๆเฝ้าพิจารณาอาการคนเจ็บอย่างใกล้ชิด หมั่นดื่มน้ำ หรือเกลือแร โออาร์เอส ให้มากๆเพื่อคุ้มครองการช็อกจากการขาดน้ำ แล้วก็หากมีลักษณะอาการดังนี้ควรจะไปพบแพทย์โดยด่วน ซึมลงอย่างเร็ว อ่อนเพลียเป็นอย่างมาก มีจ้ำเลือดตามร่างกายมากมาย คลื่นไส้มากมาย รับประทานอาหารรวมทั้งกินน้ำไม่ได้ มีเลือดออกตามร่างกายยกตัวอย่างเช่น เลือดกำเดา อาเจียนเป็นเลือดขี้เป็นเลือด หรือเลือดออก ช่องคลอด ปวดท้องมากมาย
- การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคไข้เลือดออก ถึงแม้ว่าในขณะนี้กำลังเริ่มจะมีการพัฒนาวัคซีนป้องกันการต่อว่าดเชื้อไวรัสเดงกี่ แต่ว่าก็ยังไม่มียาซึ่งสามารถทำลายเชื้อไวรัสเดงกี่ได้ ด้วยเหตุนี้คำตอบที่ยอดเยี่ยมของโรคไข้เลือดออกในตอนนี้เป็นการคุ้มครองไม่ให้เป็นโรคโดยการควบคุมยุงลายให้มีปริมาณต่ำลงซึ่งทำได้โดยการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายแล้วก็การกำจัดยุงลายทั้งลูกน้ำรวมทั้งตัวเต็มวัย แล้วก็ป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด ดังนี้การคุ้มครองทำได้ 3 ลักษณะ คือ
การคุ้มครองป้องกันด้านกายภาพ ตัวอย่างเช่น ปิดภาชนะเก็บน้ำด้วยฝาปิด เช่น มีเขาหินปิดปากโอ่งน้ำ ตุ่มน้ำ ถังเก็บน้ำ หรือถ้าเกิดไม่มีฝาปิด ก็วางคว่ำลงหากยังไม่ต้องการที่จะอยากใช้ เพื่อเป็นการป้องกันและไม่ให้กลายเป็นที่ออกไข่ของยุงลาย เปลี่ยนแปลงน้ำในแจกันดอกไม้สดเป็นประจำขั้นต่ำทุกๆ7 วัน ปลดปล่อยปลากินลูกน้ำลงในภาชนะเก็บน้ำ เป็นต้นว่า โอ่ง ตุ่ม ภาชนะละ 2-4 ตัว รวมทั้งอ่างบัวแล้วก็ตู้ที่เอาไว้เลี้ยงปลาก็ควรมีปลารับประทานลูกน้ำเพื่อรอควบคุมจำนวนลูกน้ำยุงลายเหมือนกัน ใส่เกลือลงน้ำในจานรองขาตู้อาหาร เพื่อควบคุมแล้วก็กำจัดลูกน้ำยุงลาย โดยใส่เกลือ 2 ช้อนชา ต่อความจุ 250 มิลลิลิตร พบว่าสามารถควบคุมลูกน้ำได้เป็นเวลายาวนานกว่า 7 วัน
การป้องกันทางเคมี ได้แก่ เติมทรายทีมีฟอส ซึ่งเป็นสารเคมีที่องค์การอนามัยโลกเสนอแนะให้ใช้และรับประกันความปลอดภัย เหมาะสมกับภาชนะที่ไม่สามารถที่จะใส่ปลารับประทานลูกน้ำได้ การพ่นสารเคมีหรือยากันยุงเพื่อกำจัดยุงตัวสมบูรณ์เต็มวัย มีคุณลักษณะเด่นก็คือ คุณภาพสูง แต่ว่าข้อด้อยคือ แพงแพง และเป็นพิษต่อคนและก็สัตว์เลี้ยง ก็เลยจำต้องอาศัยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญสำหรับเพื่อการฉีดพ่นรวมทั้งฉีดเฉพาะเมื่อต้องเพียงแค่นั้น เพื่อคุ้มครองปกป้องความเป็นพิษต่อคนรวมทั้งสัตว์เลี้ยง ควรจะเลือกฉีดตอนที่มีคนอยู่น้อยที่สุดรวมทั้งฉีดพ่นลงในแหล่งที่คาดว่าเป็นแหล่งเกาะพักของ เป็นต้นว่า ท่อที่มีไว้ระบายน้ำ เป็นต้น การใช้สารเคมีเพื่อกำจัดยุงในบ้านเรือน ที่ใช้กันมี 2 ชนิด คือ ยาจุดกันยุง รวมทั้งสเปรย์ฉีดไล่ยุง โดยสารออกฤทธิ์บางทีอาจเป็นยาในกลุ่มผู้จองเวรทรอยด์ (Pyrethroids), ดีท (DEET, diethyltoluamide) เป็นต้น ครั้งก่อนมียาฆ่ายุงด้วย มีชื่อว่า ดีดีที แม้กระนั้นสารนี้ถูกยกเลิกการใช้ไปแล้วเพราะเหตุว่าเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตและก็หลงเหลือในสิ่งแวดล้อมเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากมาย แต่ สารเคมีไม่ว่าจากยาจุดกันยุงหรือสเปรย์ฉีดไล่ยุง ก็มีความเป็นพิษต่อคนรวมทั้งสัตว์ ฉะนั้นเพื่อลดความเป็นพิษดังที่ได้กล่าวมาแล้วควรจะจุดยากันยุงในรอบๆที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ล้างมือทุกคราวหลังจากสัมผัส ส่วนยาฉีดไล่ยุงจะมีความเป็นพิษมากยิ่งกว่า ฉะนั้นห้ามฉีดลงบนผิวหนัง แล้วก็ควรปฏิบัติตามวิธีการใช้ที่ระบุข้างกระป๋องอย่างเคร่งครัด
การปฏิบัติตัว ดังเช่น นอนในมุ้ง หรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดเพื่อเป็นการป้องกันและยังเป็นการไม่ให้ถูกยุงกัด โดยต้องปฏิบัติเหมือนกันทั้งตอนกลางวันและตอนกลางคืน หากไม่สามารถที่จะนอนในมุ้งหรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดได้ ควรใช้ยากันยุงจำพวกทาผิวซึ่งมีสารสำคัญที่สกัดจากธรรมชาติ ได้แก่ น้ำมันตะไคร้หอม (oil of citronella), น้ำมันยูคาลิปตัส (oil of eucalyptus) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงยิ่งกว่ามาทาหรือหยดใส่ผิวหนังใช้เป็นยากันยุง แต่ว่าคุณภาพจะต่ำกว่า DEET
- สมุนไพรประเภทไหนที่ช่วยรักษาป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ โดยจากการศึกษาข้อมูล พบว่า สามารำใช้ใบมะละกอสดมาคันน้ำควบคู่กับการรักษาแผนปัจจุบัน จะก่อให้เกล็ดเลือดของคนเจ็บโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นได้ข้างใน 24 – 48 ชม. ช่วยลดอัตราการตายลงได้ มีงานศึกษาค้นคว้าวิจัยรอบรับในหลายประเทศ มีการทดลองในคนรับใช้แล้วเห็นผล อย่างเช่น ประเทศอินเดีย ปากีสถาน มาเลเซีย นอกนั้นยังมีการจดสิทธิบัตรน้ำใบมะละกอในเมืองนอกด้วย มิได้ใช้เฉพาะผู้เจ็บป่วยเกล็ดเลือดต่ำจากไข้เลือดออกเพียงอย่างเดียว แต่ว่าใช้ในกรณีอื่นด้วย วิธีการรักษาโรคไข้เลือดออกด้วยใบมะละกอสดหมายถึงใช้ใบมะละกอสดพันธุ์ใดก็ได้โดยประมาณ 50 กรัม จากต้นมะละกอ ต่อจากนั้นล้างให้สะอาด และก็กระทำบทอย่างระมัดระวัง ไม่ต้องเติมน้ำ กรองเอากากออก ดื่มน้ำใบมะละกอสดแยกกาก วันละ ครั้งแก้ว หรือ 30 ซีซี ต่อเนื่องกัน 3 วัน โดยวิธีแบบนี้มีการศึกษาค้นคว้ามาแล้วว่าปลอดภัย
สมุนไพรซึ่งสามารถไล่ยุงได้ ตะไคร้หอม ช่วยในการไล่ยุงเพราะกลิ่นฉุนๆของมันไม่เป็นมิตรกับยุงร้าย ในขณะนี้มีการทำออกมาในรูปของสารสกัดจำพวกต่างๆไว้สำหรับคุ้มครองยุงโดยยิ่งไปกว่านั้น แต่ถ้าเกิดอยากให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีสุดๆควรที่จะใช้ตะไคร้หอมไล่ยุงจำพวกที่สกัดน้ำมันเพียวๆจากต้นตะไคร้หอมจะเยี่ยมที่สุด นอกเหนือจากกลิ่นจะช่วยขับไล่ไสส่งยุงแล้ว ยังช่วยไล่แมลงอื่นๆได้อีกด้วยล่ะ เปลือกส้ม ยังมีสรรพคุณเป็นสมุนไพรไล่ยุงได้อีกด้วย กรรมวิธีการไล่ยุงด้วยเปลือกส้มนั้น เพียงใช้เปลือกส้มที่แกะออกมาจากผลส้มแล้วมาผึ่งจนแห้ง แล้วนำมาเผาไฟ ควันที่เกิดขึ้นรวมทั้งน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในเปลือกส้มมีคุณประโยชน์อย่างดีเยี่ยมสำหรับเพื่อการไล่ยุง มะกรูด นับว่าเป็นสมุนไพรที่มากมายไปด้วยคุณประโยชน์ รวมทั้งยังสามารถเอามาเป็นสมุนไพรไล่ยุงได้อย่างดีเยี่ยม กระบวนการคือ นำผิวมะกรูดสดมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆมาโขลกกับน้ำเท่าตัวจนกระทั่งแหลกละเอียด ต่อจากนั้นให้กรองเอาเฉพาะน้ำ สามารถเอามาทาผิวหรือใส่กระบอกฉีดเพื่อฉีดตามจุดต่างๆของบ้านได้ โหระพา กลิ่นหอมหวนแรงของโหระพายังเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวที่ช่วยสำหรับเพื่อการไล่ยุงแล้วก็แมลง ทำให้มันไม่สามารถที่จะทนกับกลิ่นแรงของโหระพาได้ สะระแหน่ ถือเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่ให้กลิ่นหอม แต่ว่ากลิ่นหอมยวนใจๆของมันไม่ค่อยถูกกันกับยุงนัก วิธีการไล่ยุงเพียงนำใบสะระแหน่มาบดขยี้ให้กลิ่นออกมา ต่อจากนั้นนำไปวางตามจุดต่างๆที่มียุงจำนวนไม่ใช่น้อยหรือสามารถนำใบสะระแหน่มาบดแล้วทาลงบนผิวหนังจะทำให้ผิวหนังกระชุ่มกระชวยและก็ยังช่วยเหลือกันยุงได้อีกด้วย
เอกสารอ้างอิง- กลุ่มโรคไข้เลือดออก สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการประเมินผลตามตัวชิ้วัดงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกระดับจังหวัด ปี 2553. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: 2543.1-12.
- (ภกญ.วิภารักษ์ บุญมาก).”โรคไข้เลือดออก”ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- สิวิกา แสงธาราทิพย์ ศิริชัย พรรณธนะ(2543).โรคไข้เลือดออก.(พิมพ์ครั้งที่2).พิมพ์ที่บริษัท เรดิเอชั่น จำกัด สำนักงานควบคุมโรคไข้เลือดออก กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข http://www.disthai.com/
- สำนักพัฒนาวิชาการแพทย์ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการวินิจฉัยและรักษาไข้เลือดออกในระดับโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด; 2548.8-33.
- แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคไข้เลือดออกเดงกี กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวจสาธารณสุข.(2544).กระทรวจสาธารณสุข
- Sunthornsaj N, Fun LW, Evangelista LF, et al. MIMS Thailand. 105th ed. Bangkok: TIMS Thailand Ltd; 2006.118-33.
- นพ.สมชาญ เจียรนัยศิลป์.ไข้เลือดออก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่267.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2544
- คู่มือวิชาการโรคติดเชื้อเดงกีและโรคไข้เลือดออกเดงกีด้านการแพทย์และสาธารณสุข.สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลงกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข.2558
- กันยา ห่านณรงค์.โรคไข้เลือดออก.จดหมายข่าว R&D NEWSLETTER.ปีที่23.ฉบับที่1 ประจำเดือนมกราคม-มีนาคม2559.หน้า 14-16
- รักษา”ไข้เลือดออก”แนวใหม่ใช้ใบมะละกอคั้นน้ำกินเพิ่มเกล็ดเลือด.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.dailinews.co.th*politics/232509
- World Health Organization Regional Office for South-East Asia. Guidelines for treatment of Dengue Fever/Dengue Hemorrhagic Fever in Small Hospitals,1999:28. Available from: http://www.searo.who.int/linkfiles/dengue_guideline-dengue.pdf Accessed May 10, 2012.
- (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.”ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever/DHF)” หนังสือตำราการตรวจรักษ