รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคเเผลในกระเพาะอาหาร- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 579 ครั้ง)

bilbill2255

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 112
    • ดูรายละเอียด


โรคแผลในกระเพาะอาหาร (โรคกระเพาะ)

  • โรคแผลในกระเพาะเป็นยังไง โรคแผลในกระเพาะอาหาร (Gastric ulcer) หมายถึง โรคที่มีแผลในกระเพาะหรือลำไส้เล็กส่วนต้น หรือมีการอักเสบของเยื่อกระเพาะ เป็นโรคนี้แล้วสามารถรักษาให้หายสนิทได้ ส่วนมากชอบเป็นเรื้อรัง หรือเป็นนานๆหากไม่รักษาหรือประพฤติตัวให้ถูกต้องจะมีลักษณะเป็นๆหายๆรวมทั้งถ้าเกิดปล่อยให้เป็นมาก จะก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อน ซึ่งทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้  หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคแผลเพ็ปติก (peptic ulcer) ซึ่งบางทีอาจเป็นแผลตรงส่วนกระเพาะ เรียกว่า แผลกระเพาะ อาหาร (gastric ulcer, ย่อว่า GU) หรือแผลตรงส่วนลำไส้เล็กส่วนต้น เรียกว่า แผลลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenal ulcer, ย่อว่า DU) ก็ได้
  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคแผลในกระเพาะ มีต้นเหตุมาจากเยื่อเมือกบุด้านในทางเดินอาหาร ถูกทำลายโดยน้ำย่อยจากกระเพาะอาหาร ชื่อ เปบซิน (Pepsin) ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดชื่อโรคว่า แผลเปบตำหนิค ซึ่งเปบสินเป็นน้ำย่อยโปรตีนที่ทำงานร่วมกับกรดในกระเพาะ โดยมีกรดเป็นตัวปลุกฤทธิ์ (Activate)ให้น้ำย่อยนี้มีคุณภาพในการย่อยเพิ่มขึ้น และก็ปัจจุบันพบว่ายังมีสาเหตุเสริมอื่นๆที่นำไปสู่โรคได้อีก อย่างเช่น การต่อว่าดเชื้อเฮลิโคกางคเตอร์ ไพโลไร (Helicobactor Pylori) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ติดต่อโดยการทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของผู้ติดโรค โดยแบคทีเรียชนิดนี้ มีรูปร่างเป็นเกลียวและมีหาง มีความทนทานกรดสูงเพราะสามารถสร้างสารที่เป็นด่างออกมาเจือจางกรดที่อยู่ บริเวณตัวมัน  ทำให้สามารถอาศัยอยู่ในชั้นผิวเคลือบข้างในกระเพาะอาหารได้ เชื้อนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปฝังตัวอยู่ใต้เยื่อบุกระเพาะ ฝาผนังกระเพาะก็เลยอ่อนแอลงและก็มีความทนทานต่อกรดลดลง ทำให้กระเพาะอาหารรวมทั้งไส้ส่วนต้นกำเนิดแผลได้ง่าย


การใช้ยาต้านทานอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (non steroidal anti inflammatory drugs, ย่อว่า NSAIDs) ได้แก่ แอสไพริน ไอบูโพรเฟน อินโดเมทาสิน ที่นาโพรเซน ไพร็อกสิแคม ไดโคลฟีแนก ฯลฯ ซึ่งนิยมใช้เป็นยาแก้ปวดข้อ ปวด เส้นเอ็นหรือกล้าม ปวดประจำเดือน และ ใช้แก้ปวดแก้ไข้ทั่วไป แม้ใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานๆมักจะทำให้กำเนิดแผลเพ็ปติก บางทีอาจรุนแรงถึงขนาดเลือดออก (คลื่นไส้เป็นเลือด อุจจาระดำ) หรือกระเพาะไส้เป็นแผลทะลุได้ กระเพาะถูกกระตุ้นให้มีกรดเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพราะกระตุ้นของปลายประสาท มีต้นเหตุจากความเครียด ตื่นตระหนกแล้วก็อารมณ์ การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้นว่า เหล้า เบียร์ ยาดอง การดื่มกาแฟ การสูบบุหรี่  การกินอาหารไม่ตรงเวลา  มีอุปนิสัยการกินอาหารที่ไม่ถูกจำเป็นต้อง ดังเช่น การทานอาหารอย่างรีบเร่ง รับประทานไม่เป็นเวลาหรืออดอาหารบางมื้อ ฯลฯ

  • ลักษณะโรคแผลในกระเพาะ ปวดท้อง ลักษณะของอาการปวดท้องที่สำคัญเป็นปวดเรื้อรังมานาน เป็นๆหายๆเป็นเดือนหรือเป็นปี  ปวดหรือจุกแน่นท้องรอบๆใต้ลิ้นปี่ หรือ ท้องช่วงบน เป็นอาการที่มักพบที่สุด มักตรงเวลาท้องว่า หรือเวลาหิว อาการก็เลยเป็นเฉพาะบางช่วงเวลาของวัน  อาการปวดแน่นท้อง ชอบบรรเทาได้ด้วยของกินหรือยาลดกรด  อาการปวด ชอบเป็นๆหายๆโดยมีช่วงเว้นที่ปลอดอาการออกจะนาน อย่างเช่น ปวดอยู่ 1-2 สัปดาห์ แล้วหายไปหลายเดือนจึงกลับมาปวดอีก  ปวดแน่นท้องยามดึกดื่นภายหลังที่หลับไปแล้ว  แม้ว่าจะมีอาการเรื้อรังเป็นปี สุขภาพโดยปกติจะไม่เสื่อมโทรม โรคแผลกระเพาะจะไม่เปลี่ยนเป็นโรคมะเร็ง แม้จะเป็นๆหายๆอยู่นานกี่ปีก็ตาม นอกเหนือจากการที่จะเป็นแผลจำพวกที่เกิดขึ้นจากโรคมะเร็งของกระเพาะอาหารตั้งแต่ตอนแรกเริ่มโดยตรง  จุดเสียด แน่นท้อง ท้องขึ้น ท้องขึ้น ท้องอืดท้องเฟ้อ เรอลม มีลมในท้อง ร้อนในท้อง คลื่นไส้คลื่นไส้  อื่นๆที่พบได้หมายถึงเบื่ออาหาร


ผอมบางลง สภาวะไส้ตัน จากแผลส่งผลให้เกิดพังผืด ก็เลยส่งผลให้ทางเดินในกระเพาะอาหารและ/หรือลำไส้เล็กตีบแคบลง ซึ่งอาการเป็น ปวดท้องรุนแรง ร่วมกับอ้วก โดยยิ่งไปกว่านั้นหลังทานอาหาร และก็ดื่มน้ำ และไม่สามารถผายลมได้
                ภาวะแทรกซ้อน  เลือดออกมาจากแผลในกระเพาะอาหาร พบบ่อยที่สุด ผู้เจ็บป่วยจะมีคลื่นไส้เป็นเลือด ถ่ายดำเหลว หรือหน้ามืด ตาลาย เป็นลม  กระเพาะอาหารทะลุ คนไข้จะมีอาการปวดท้องช่วงบนฉับพลันร้ายแรง หน้าท้องแข็งตึง กดเจ็บมากมาย  กระเพาะอาหารตัน คนป่วยจะกินได้น้อย อิ่มเร็ว มีอ้วกหลังอาหารแทบทุกมื้อ เบื่ออาหาร น้ำหนักต่ำลง

  • ปัจจัยเสี่ยงที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคแผลในกระเพาะ ปัจจัยเสี่ยงของโรคกระเพาะอาหาร คือ 1. การรับประทานอาหารต่างๆได้แด่ การทานอาหารไม่ตรงเวลา การกินอาหารรสจัด เป็นต้นว่า เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด 2.การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลผสมหรือน้ำอัดลม รวมถึง ชา กาแฟ 3.การสูบยาสูบ 4.การกินยาต้านทานการอักเสบ ในกรุ๊ป NSAIDs ติดต่อกันนาน 5.การต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโด กางคเตอร์ ไพโลไร (Helicobactor Pylori) ที่แปดเปื้อนมากับอาหารหรือน้ำ
  • กรรมวิธีการรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร แพทย์วินิจฉัยโรคแผลเปบติคได้จาก ความเป็นมาอาการ การตรวจร่างกาย หรือการตรวจภาพกระเพาะและช่องท้องด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ แต่การตรวจที่ได้ผลแน่ นอน คือ การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร และก็ลำไส้ ร่วมกับการตัดชิ้นเนื้อเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา และอาจมีการตรวจอื่นๆเพิ่ม ดังนี้ขึ้นอยู่กับอาการผู้เจ็บป่วยและก็ดุลยพินิจของหมอ เช่น การตรวจค้นสารบางชนิดในอุจจาระซึ่งสร้างโดยเชื้อ เอชไพโลไร หรือการตรวจสารบางจำพวกที่เชื้อนี้สร้างและร่างกายกำจัดออกทางการหายใจ การให้ยารักษา (ในกรณีไม่ติดเชื้อโรคแบคทีเรีย Helicobactor Pylori) โดยรับประทานยาอย่างแม่นยำ เป็นจำเป็นต้องกินยาให้เป็นประจำ กินยาให้ครบตามปริมาณ แล้วก็ระยะเวลา ที่แพทย์สั่งยารักษาโรคกระเพาะอาหาร ส่วนมากต้องใช้เวลาราวขั้นต่ำ 4-6 อาทิตย์ แผลจึงจะหาย ด้วยเหตุนี้คราวหลังกินยา ถ้าหากอาการดีขึ้นห้ามหยุดยา จะต้องกินยาต่อกระทั่งครบ และก็หมอมั่นใจว่าแผลหายแล้ว จึงจะ ลดยาหรือหยุดยาวได้

การให้ยารักษาในกรณีตรวจเจอเชื้อแบคทีเรีย หมอจะให้การรักษาโดยมีสูตรยา 3-4 จำพวกร่วมกัน รับประทานนาน 1-2 อาทิตย์ สูตรยาส่วนมากเป็นยาปฏิชีวนะร่วมกับยาลดกรด เพื่อรักษาแผลและช่วยทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นของยาปฏิชีวนะ คนเจ็บควรได้รับการตรวจหาเชื้อซ้ำหลังจากได้รับประทานยาปฏิชีวนะครบแล้ว โดยอาจเป็นการตรวจโดยการส่องกล้องกระเพาะอีกรอบเพื่อทำการพิสูจน์ ชิ้นเนื้อซ้ำ หรือทดลองโดยการกินยาสำหรับทดลองเชื้อแบคทีเรียโดยตรง แล้วก็ตรวจวัดสารที่ถูกปลดปล่อยออกมาทางลมหายใจ
การผ่าตัด ซึ่งในตอนนี้ มียาสุดที่รักษาโรคกระเพาะของกินอย่างยอดเยี่ยมมากไม่น้อยเลยทีเดียวถ้าให้การรักษาที่ถูก ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดสำหรับเพื่อการผ่าตัดอาจจะเป็นผลให้เป็นกรณีที่เกิดโรคแทรก อย่างเช่น เลือดออกในกระเพาะแล้วก็ลำไส้เล็ก โดยไม่สามารถที่จะทำให้หยุด                เลือดออกได้          แผลกระเพาะอาหารรวมทั้งลำไส้เล็กเกิดการทะลุ        กระเพาะอาหารมีการอุดตัน

  • การติดต่อของโรคแผลในกระเพาะ โรคแผลในกระเพาะ ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คน
  • การกระทำตนเมื่อเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร ควรจะรำลึกไว้เสมอว่า โรคแผลกระเพาะเป็นโรคเรื้อรัง เป็นๆหายๆมักไม่หายขาดตลอดชีพ คนป่วยจะต้องได้รับยารักษาติดต่อกันนาน หลังได้รับยา อาการปวดจะหายไปก่อน ใน 3-7 วัน แต่แผลจะยังไม่หาย ส่วนใหญ่ใช้เวลาถึง 4-8 อาทิตย์ แผลก็เลยหาย เมื่อหายแล้ว จะกลับมาเป็นใหม่ได้อีกหากไม่ระวังประพฤติให้ถูก ดังเช่นว่า  รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย แล้วก็กินอาหารที่สะอาดปรุงสุกใหม่ๆ รับประทานอาหารตรงตามเวลาทุกมื้อ  รับประทานอาหารจำนวนน้อยๆแต่ว่ากินให้บ่อยมากมื้อ ไม่สมควรรับประทานจนถึงอิ่มมากในแต่ละมื้อ  หลบหลีกของกินเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เครื่องดื่มแอลกฮอลล์ งดเว้นดูดบุหรี่  งดการใช้ยาแก้ปวด แอสไพริน และก็ยาแก้โรคกระดูกรวมทั้งข้ออักเสบทุกประเภท รวมถึงยาชุดต่างๆเครียดน้อยลง กลุ้มใจ พักให้พอเพียง รับประทานยาลดกรด หรือยารักษาแผลกระเพาะต่อเนื่องกันอย่างต่ำ 4-8 สัปดาห์ หรือจากที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ถ้าเกิดมีอาการของภาวะแทรกซ้อน จำต้องรีบไปพบแพทย์ ควรออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรง
  • การปกป้องคุ้มครองตนเองจากโรคแผลในกระเพาะ รักษาสุขอนามัย เพื่อลดช่องทางติดเชื้อโรคต่างๆโดย เฉพาะการใช้ช้อนกลาง แล้วก็การล้างมือเป็นประจำโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้างหลังเข้าสุขา รวมทั้งก่อนที่จะรับประทานอาหาร เมื่อมีอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่เสมอๆเป็นๆหายๆหรือเรื้อรัง อาการแย่ลงข้างหลังดูแลตนเองในเบื้องต้น ควรพบแพทย์เสมอ เพื่อการวิเคราะห์หาต้นเหตุและให้การรักษาแม้กระนั้นเนิ่นๆก่อนโรคแผ่ขยายเป็นแผลเปบตำหนิค หรืออาจเป็นลักษณะของโรคมะเร็งกระเพาะได้ เลี่ยงการใช้ยาโดยไม่ จำเป็นต้อง โดยยิ่งไปกว่านั้นกรุ๊ปยาต้านอักเสบ ที่ไม่ใช่สตีรอยด์ที่ใช้แก้ปวดข้อปวดเส้นเอ็นและกล้าม และยาอื่นๆที่เป็นเหตุกระตุ้นให้โรคกำเริบ กินอาหารสุก อย่ากินอาหารดิบๆสุกๆหรือมีแมลงวันตอม เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อเอชไพโรไล หลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า เบียร์ กาแฟ ยาดอง รวมทั้งงดสูบบุหรี่ พักผ่อนให้มากมายพอเพียง ทำจิตใจให้ร่าเริงบรรเทาเครียดตื่นตระหนก และไม่อารมณ์เสียเจ้าอารมณ์
  • สมุนไพรซึ่งสามารถช่วยบรรเทา/รักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารได้ ขมิ้นชัน ในขมิ้นชันจะมีสารชนิดหนึ่งชื่อ เคอคิวไม่นอยด์ เป็นตัวป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะ ลดการอักเสบ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการขับน้ำดี ทำให้ระบบการย่อยอาหาร ก็เลยช่วยคลายปริมาตรกเสียด และก็สารเคอคิวมินอยด์ ยังไปกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารเคลือบกระเพาะก็เลยช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารให้ดีขึ้น วิธีการใช้ เพียงนำเหง้าของขมิ้นชันมาล้างให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นบางๆตากแดดราว 1 – 2 วันแล้วบดให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งรับประทานเป็นลูกกลอน รับประทานทีละ 500 มก. หลังอาหารรวมทั้งก่อนนอน 4 เวลา ว่านหางจระเข้  ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรอีกประเภทหนึ่งที่มีคุณสมบัติในการรักษาโรคกระเพาะ ช่วยสำหรับในการรักษารอยแผลในกระเพาะอาหารแล้วก็ล้างพิษ  โดยให้ใช้ใบสดที่พึ่งจะเอาทิ้งมาจากต้น ล้างน้ำให้สะอาดแล้วปอกเปลือกให้เหลือแค่วุ้นใสๆแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆรับประทานแต่ละวัน ก่อนที่จะกินอาหาร กระเจี๊ยบเขียว เป็นผักสมุนไพรที่มีสรรพคุณสำหรับการรักษาโรคกระเพาะและก็ลำไส้ เพราะว่าในฝักกระเจี๊ยบนั้นจะมีสารประเภทหนึ่งชื่อว่า แพ็คตำหนิน และคัม ที่จะช่วยเคลือบแผลในกระเพาะและก็ลำไส้ วิธีการใช้ เพียงแต่เอามาลวกแล้วกินทุกวี่วันตรงเวลาตลอดอย่างน้อย 2 อาทิตย์ แผลในกระเพาะก็จะดีขึ้นเหตุเพราะเมือกลื่นๆในผลของกระเจี๊ยบเขียวช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารได้
เอกสารอ้างอิง

  • โรคกระเพาะอาหาร.หน่วยโรคทางเดินอาหารฯ.สาขาวิชาอายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคกระเพาะ.นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 288 .คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.เมษายน.2546
  • ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร.โรคกระเพาะอาหาร.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
  • สุรเกียรต์ อาชานานุภาพ,(2543).ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป.(พิมพ์ครั้งที่ 2).กรุงเทพฯ:อุษาการพิมพ์.
  • แผลเปปติค(Pept:c ulcer)/แผลในกระเพาะอาหาร(Gastric ulcer)http://www.disthai.com/
  • วันทนีย์ เกรียงสินยศ,(2548).กินอย่างไรเมื่อเป็นโรคกระเพาะ.หมอชาวบ้าน.(ปีที่ 26 ฉบับที่ 311หน้า52-54).
  • El-Omer E, Penman I, Ardill JE, McColl KE. A substantial proportion of non-ulcer dyspepsia patients have the same abnormality of acid secretion as duodenal ulcer patients. Gut 1995;36:534-8.
  • พิศาล ไม้เรียง.(2536).โรคทางเดินอาหาร การวินิจฉัยและการรักษา.(พิมพ์ครั้งที่ 2).ขอนแก่น:โรงพิมพืคลังนานาวิทยา.
  • กลุ่มวิจัยโรคกระเพาะอาหาร.สมาคมแพทย์ระบบทางเดินแห่งประเทศไทย.แนวทางเวชปฏิบัติในการวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยดิสเปปเซียและผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพลอไร ในประเทศไทย พ.ศ.2553.สำนักพิมพ์กรุงเทพเวชสาร,2010.
  • เฟื่องเพชร เกียรติเสรี.(2541).โรคระบบทางเดินอาหาร.(พิมพ์ครั้งที่1).กรุงเทพฯ:เรือนแก้ว การพิมพ์.


คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : โรคหัวใจขาดเลือด
บันทึกการเข้า