โรคอีสุกอีใส (Chickenpox , Varicella)โรคอีสุกอีใส คืออะไร อีสุกอีใส (Chickenpox/Varicella) เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่ทำให้ร่างกายเกิดผื่นคัน มีตุ่มนูนขนาดเล็ก หรือตุ่มน้ำใสๆทั่วร่างกาย สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และยังแพร่กระจายได้อย่างเร็ว เป็นโรคติดต่อที่มักพบในเด็ก โดยธรรมดาจะเจออัตราการป่วยได้สูงสุดในกลุ่มวัย 5-9 ปีรองลงมาเป็น 0-4 ปี, 10-14 ปี, 15-24 ปี และ 25-34 ปี ตามลำดับ ส่วนในอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปอาจพบได้บ้าง
มีรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี พ.ศ. 2552 มีคนป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสปริมาณ 89,246 รายทั่วทั้งประเทศแล้วก็เสียชีวิต 4 ราย และก็ในรอบ 5 ปีที่ล่วงเลยไปมีรายงานผู้ตายปีละ 1-3 ราย เมื่อพิจารณาตามกลุ่มอายุพบว่ากลุ่มวัย 5-9 ปี มีอัตราป่วยไข้สูงสุดพอๆกับ 578.95 ต่อมวลชน 100,000 คน รองลงมาเป็นกลุ่มอายุต่ำลงยิ่งกว่า 5 ปี, 10-14 ปีและก็กลุ่มอายุมากกว่า 15 ปี โดยมีอัตราป่วยไข้เท่ากับ 487.13, 338.45 และ 58.81 เป็นลำดับจากข้อมูล 10 ปีย้อนหลังพบว่าปริมาณผู้เจ็บป่วยโรคอีสุกอีใสมีแนวโน้มสูงมากขึ้น แล้วก็ในปี พ.ศ. 2557-2559 มีอัตราการป่วย 129.57 ต่อแสนราษฎร 79.82 ต่อแสนมวลชน แล้วก็ 66.57 ต่อแสนประชาชน เป็นลำดับ
ต้นเหตุของโรคอีสุกอีใส มีต้นเหตุมาจากเชื้ออีสุกอีใส ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่า เชื้อไวรัสวาริเซลลา (varicella virus) (VZV) หรือ human herpes virus type 3 เป็นเชื้อตัวเดียวกับที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดงูสวัด ที่แพร่ระบาดได้ง่ายผ่านทางการสัมผัสกับแผลของคนเจ็บที่เป็นโรคโดยตรง หรือทางเรือลาย ไอ จาม หรือการหายใจเอาเชื้อที่ปะปนกลางอากาศเข้าไป โดยเชื้อนี้จะก่อให้กำเนิดโรคอีสุกอีใสในคนที่พึ่งติดโรคเป็นครั้งแรกแล้วก็โรคนี้เมื่อเป็นแล้ว มักมีภูมิต้านทานตลอดชีพ รวมทั้งคนเจ็บส่วนใหญ่จะไม่เป็นซ้ำอีก แต่ว่าเชื้ออาจหลบอยู่ในปมประสาท แล้วก็ได้โอกาสเป็นงูสวัดได้ในภายหลัง
ลักษณะโรคอีสุกอีใส เด็กจะมีไข้ต่ำๆเหน็ดเหนื่อยแล้วก็ไม่อยากกินอาหารเล็กน้อย ในคนแก่มักเป็นไข้สูง แล้วก็ปวดเมื่อยตามตัวเหมือนไข้หวัดใหญ่เอามาก่อน ผู้ป่วยจะมีผื่นขึ้น ซึ่งจะขึ้นพร้อมเพียงกันกับวันที่เริ่มจับไข้ หรือ ๑ ครั้งหน้าจากมีไข้ เริ่มแรกจะขึ้นเป็นผื่นแดงราบก่อน ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นตุ่มนูน มีน้ำใสๆอยู่ข้างใน และก็มีลักษณะอาการคัน ถัดมาจะกลายเป็นหนอง จากนั้น ๒-๔ วัน ก็จะเป็นสะเก็ด ผื่นและก็ตุ่มจะขึ้นตามไรผมก่อน แล้วลามไปตามหน้า ลำตัว แล้วก็แผ่นข้างหลัง จะทยอยขึ้นเต็มกำลัง ข้างใน ๔ วัน บางรายมีตุ่มขึ้นในช่องปาก ทำให้ปากยุ่ย ลิ้นเปื่อย เจ็บคอ บางรายบางทีอาจไม่มีไข้ มีเพียงแค่ผื่นและตุ่มขึ้น ทำให้รู้ผิดว่าเป็นเริมได้ เนื่องจากว่าผื่นตุ่มของโรคนี้จะค่อยๆออกระลอก (ชุด) ขึ้นไม่พร้อมกันทั่วร่างกาย โดยเหตุนั้นจะพบว่าบางที่ขึ้นเป็นผื่นแดงราบ บางที่เป็นตุ่มใส บางที่เป็นตุ่มกลัดหนอง แล้วก็บางที่เริ่มตกสะเก็ด ด้วยลักษณะนี้ ชาวบ้านก็เลยเรียกว่า อีสุกอีใส (มีอีกทั้งตุ่มสุกตุ่มใส) แต่ว่าคนเจ็บบางรายบางทีอาจเป็นเวลายาวนานกว่านั้นเป็น 2-3 อาทิตย์ โดยไม่เป็นแผลเป็น (นอกเหนือจากการที่จะมีการติดเชื้อโรคแบคทีเรียเข้าแทรก จนถึงแปลงเป็นตุ่มหนองและเปลี่ยนเป็นแผลเป็น)
ด้วยเหตุว่าโรคอีสุกอีใสยังอาจจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้อีกเป็นต้นว่า การตำหนิดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง หรือติดโรคแบคทีเรียในกระแสโลหิต ปอดอักเสบ รวมทั้งภาวะแทรกซ้อนทางสมอง
คนเจ็บที่มีความเสี่ยงที่จะมีลักษณะอาการรุนแรง อย่างเช่น หญิงมีท้อง ทารกแรกเกิด ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น คนป่วยเอดส์ ผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว คนเจ็บเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ แล้วก็คนรับประทานยากด ภูมิต้านทานต่างๆ
หญิงตั้งท้องที่เป็นโรคนี้ในช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์อาจท่าให้เด็กในครรภ์ทุพพลภาพแต่ว่า เกิดได้แต่ว่าเจอนานๆครั้ง(น้อยกว่าจำนวนร้อยละ 2) หากเป็นช่วงๆที่ครรภ์คุณแม่อาจมีอาการรุนแรง และมีภาวะแทรกซ้อน เป็นต้นว่า ปอดอักเสบ ร่วมด้วย และก็แม้มารดาเป็นโรคในช่วงใกล้คลอด (5 วันก่อนคลอดจนกระทั่ง 2 วันหลังคลอด) ทารกแรกเกิดบางทีอาจรับเชื้ออีสุกอีใสรวมทั้งมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
เมื่อผู้เจ็บป่วยหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว เชื้อไวรัสจะไปหลบอยู่ที่ปมประสาท แล้วก็ท่าให้กำเนิดโรค งูสวัดได้เมื่อภูมิต้านทานของร่างกายน้อยลง
กรรมวิธีรักษาโรคอีสุกอีใส แพทย์จะวินิจฉัยโรคอีสุกอีใสจากการดูรูปแบบของผื่น ตุ่มน้ำ หรือตุ่มพองบนผิวหนังเป็นหลัก ร่วมกับการตรวจร่างกายทั่วๆไปและก็อาการที่เกิดขึ้นอยู่กับคนไข้ เช่น จับไข้ขึ้น เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ แม้กระนั้นในบางกรณีที่บอกมิได้เด่นชัดว่าเป็นโรคอีสุกอีใสหรือเปล่ารวมทั้งในคนไข้ที่เกิดผลกระทบเข้าแทรก หรือในกรณีจำเป็นจำต้องวิเคราะห์ให้กระจ่างแจ้ง หมอจะกระทำทดลองน้ำเหลืองเพื่อหาระดับสารภูมิต้านทานต่อไวรัสอีสุกอีใส หรือตรวจหาเชื้อจากตุ่มน้ำ ด้วยเหตุว่าโรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสการรักษาจึงเป็นการรักษาแบบเกื้อหนุนตามอาการ
ซึ่งโรคนี้สามารถหายเองได้การรักษาด้วยยาต่อต้านเชื้อไวรัสอาจท่าให้ระยะการเป็นโรคสั้นลง ถ้าคนป่วยได้รับ ด้านใน 1 วันหลังผื่นขึ้น ผู้ป่วยไม่นายสิบเป็นต้องได้รับยาต่อต้านไวรัสทุกราย แพทย์จะตรึกตรองให้ในรายที่มีการเสี่ยง จะเกิดภาวะแทรกรุนแรงเท่านั้น ดังเช่นว่า
- ถ้าพบว่าตุ่มมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรก (เปลี่ยนเป็นตุ่มหนอง ฝี แผลพุพอง) หมอจะให้ยายาปฏิชีวนะเสริมเติม ถ้าเกิดเป็นเพียงแต่ไม่กี่จุดก็บางทีอาจให้ประเภททา แต่หากเป็นมากก็จะให้จำพวกกิน
- ถ้าหากมีอาการเข้าแทรกรุนแรง ซึ่งพบได้น้อยมาก ได้แก่ ปอดอักเสบ (ไข้สูง หอบ) สมองอักเสบ (ไข้สูง ปวดศีรษะมากมาย คลื่นไส้มากมาย ซึม ชัก ไม่ค่อยรู้ตัว) ตับอักเสบ (ดีซ่าน) หรือมีภาวะเลือดออกง่ายก็จะรับตัวไว้รักษาในโรงหมอ
- ในรายที่มีภาวะภูมิต้านทานผิดพลาด (เช่น เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เอดส์ รับประทานยาสตีรอยด์อยู่นานๆเป็นต้น) หรือเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปที่มีโรคผื่นแพ้ประจำ โรคปอดเรื้อรัง สูดพ่นยาสตีรอยด์ (สำหรับเป็นโรคหืด) หรือรับประทานยาแอสไพรินอยู่ นอกเหนือจากให้การรักษาตามอาการแล้ว แพทย์บางทีอาจให้ยาต้านไวรัส ที่มีชื่อว่า อะไซโคลเวียร์ (acyclovir) เพื่อทำลายเชื้ออีสุกอีใส ป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจายรุนแรง และก็ช่วยทำให้โรคหายเร็วขึ้น ควรให้ยานี้รักษาด้านใน 24 ชั่วโมง ข้างหลังแสดงอาการจะได้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าให้พักหลังๆของโรค
ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคอีสุกอีใส เนื่องมาจากโรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่มีการติดต่อจากเชื้อไวรัสโดยการสัมผัสตุ่มหรือแผลของคนไข้ รวมทั้งติดต่อผ่านทางสารคัดหลั่งของคนป่วย ทั้งยังการสัมผัสหรือการหายใจเอาเชื้อโรคเข้าไป ด้วยเหตุผลดังกล่าวสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส คือ การคลุกคลีกับคนเจ็บ การสัมผัสคนไข้หรือสิ่งของเครื่องใช้ของคนป่วยโดยไม่ได้มีการปกป้องตนเองที่ดี รวมทั้งการไม่ได้รับวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคอีสุกอีใสกระทั่งครบ ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่มีความเสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดโรคอีสุกอีใสได้ด้วยเหมือนกัน
การติดต่อของโรคอีสุกอีใส โรคอีสุกอีใสเป็นโรคติดต่อได้อย่างเร็วมาก โรคอีสุกอีใสมีระยะฟักตัวราว 10 - 224 ชั่วโมง และผู้เจ็บป่วยจะเริ่มแพร่เชื้อได้ในช่วงประมาณ 5 วันก่อนขึ้นผื่น ไปจนกระทั่งเมื่อตุ่มน้ำแห้งแตกเป็นสะเก็ดหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้ระยะแพร่ระบาดในโรคอีสุกอีใสก็เลยนานได้ถึง 7 - 10 วันหรือเป็นเวลายาวนานกว่านี้ในผู้ใหญ่ จึงเป็นต้นเหตุให้เป็นโรคติดต่อที่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งเชื้อไวรัสประเภทนี้จะมีอยู่ในตุ่มน้ำของคนที่เป็นอีสุกอีใส ในน้ำลายและเสลดของผู้ที่เป็นอีสุกอีใสสำหรับในการติดต่อสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสถูกตุ่มน้ำโดยตรง หรือสัมผัสถูกของใช้ เช่น แก้วน้ำ ผ้า เช็ดหน้า ผ้าที่มีไว้สำหรับเช็ดตัว ผ้าสำหรับห่ม ที่พักผ่อน ที่เลอะเทอะ ถูกตุ่มน้ำของผู้ที่เป็นอีสุกอีใส หรือสูดหายใจเอาละอองของตุ่มน้ำ หรือฝอยละอองจากทางเดินหายใจของคนเจ็บเข้าไป
ดังนั้นอีสุกอีใสจึงเป็นโรคที่ระบาดแพร่ได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่เรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือตามชุมชนที่อยู่อาศัยทั่วๆไป สามารถเจอได้ตลอดทั้งปี แต่ว่าจะมีอุบัติการณ์เกิดสูงสุดในตอนม.ค.ถึงม.ย.
การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคอีสุกอีใส- หากเป็นไข้สูง ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเป็นประจำกินน้ำมากมายๆห้ามอาบน้ำเย็น นอนพักให้มากมายๆรวมทั้งให้ยาพาราเซตามอลบรรเทาไข้ ไม่สมควรให้ยาแอสไพรินลดไข้ เพราะยานี้ อาจจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม (Reye's syndrome) ซึ่งจะมีภาวะสมองอักเสบร่วมกับตับอักเสบ จัดว่าเป็นโรคอันตรายรุนแรงชนิดหนึ่ง
- ถ้ามีลักษณะคัน ให้ทาด้วยยาแก้ผื่นผื่นคัน (คาลาไมน์โลชั่น) ถ้าเกิดคันมากให้รับประทานยาแก้แพ้ คลอร์เฟนิรามีนบรรเทา ผู้เจ็บป่วยควรตัดเล็บให้สั้น และก็มานะอย่าแกะหรือเกาตุ่มคัน อาจทำให้มีการติดโรคเปลี่ยนเป็นตุ่มหนองรวมทั้งเป็นแผลเป็นได้
- ถ้าเกิดปากเปื่อย ลิ้นยุ่ย ให้ใช้น้ำเกลือกลั้ว พยายามกินอาหารที่เป็นของเหลวหรือเป็นน้ำแทนของกินแข็ง
- สำหรับอาหาร ไม่มีของแสลงต่อโรคนี้ ให้กินอาหารได้ตามปกติ โดยเฉพาะบำรุงด้วยของกินพวกโปรตีน (ยกตัวอย่างเช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่างๆ) ให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสร้างเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย
- ควรหยุดเรียน หรือหยุดงาน พักผ่อนอยู่บ้าน เพื่อคุ้มครองป้องกันมิให้แพร่เชื้อให้บุคคลอื่น ระยะแพร่เชื้อติดต่อให้ผู้อื่นหมายถึงตั้งแต่ระยะ 24 ชั่วโมง ก่อนมีตุ่มขึ้นจนกระทั่ง 6 วัน ข้างหลังตุ่มขึ้น
- ควรเฝ้าดูอาการเปลี่ยนต่างๆโดยปกติอาการ จะค่อยดีขึ้นกว่าเดิมได้เองภายใน 1-3 อาทิตย์ แม้กระนั้นถ้าพบว่ามีอาการหายใจหอบ ซึม ชัก เดินเซ ตากระตุๆก โรคดีซ่าน (ตาเหลือง) มีเลือดออก ปวดหัวมาก คลื่นไส้มาก เจ็บทรวงอก หรือตุ่มกลายเป็นหนอง ฝี หรือพุพอง ควรจะไปพบ หมอโดยเร็ว
- คนไข้ควรจะพักแล้วก็ดื่มน้ำมากมายๆขั้นต่ำวันละ 8 แก้ว
- คนไข้ควรจะแยกตัวออกไปอยู่ต่างหากจนถึงพ้นระยะติดต่อ รวมถึงแยกของใช้ของสอยส่วนตัวต่างๆได้แก่ เสื้อผ้า ถ้วยน้ำ ช้อน จาน ถ้วยชาม ฯลฯ เพื่อหลบหลีกการแพร่ไปของเชื้อโรค
- สำหรับยาเขียวที่ทำจากสมุนไพร (ยกตัวอย่างเช่น ยาเขียวหอม ที่บรรจุอยู่ในบัญชียาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ พ.ศ.๒๕๕๖) ไม่นับว่าเป็นข้อห้ามหรือมีผลกระทบต่อการดูแลรักษาโรคนี้ คนป่วยสามารถใช้ร่วมกับการรักษาธรรมดาได้ แถมยาเขียวยังช่วยทำให้กินน้ำได้มากขึ้นอีกด้วย
- รักษาสุขลักษณะพื้นฐาน (สุขข้อบังคับแห่งชาติ) เพื่อสุขภาพแข็งแรงและก็ช่วยลดโอกาสสำหรับการเป็นผลข้างๆสอดแทรกจากการตำหนิดเชื้อโรค
การป้องกันตนเองจากโรคอีสุกอีใส- เนื่องจากว่าโรคสุกใสสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายโดยทางการหายใจ จำเป็นจะต้องแยกผู้ป่วยออกมาจากเด็กเล็ก หญิงมีครรภ์ และก็คนที่ไม่เคยติดโรคมาก่อน
- ควรจะให้คนป่วยหยุดเรียนหรือหยุดงาน พักผ่อนอยู่บ้านเพื่อคุ้มครองป้องกันไม่ให้แพร่ระบาดให้บุคคลอื่น
- ไม่สัมผัสหรือใกล้ชิดกับคนป่วยโรคอีสุกอีใส ถ้าจำเป็นต้องมีการป้องกันตนเองอย่างยอดเยี่ยม ดังเช่น สวมถุงมือ สวมหน้ากากอนามัยและควรรีบล้างมือภายหลังจากสัมผัสกับผู้ป่วย ฯลฯ
- เดี๋ยวนี้มีวัคซีนฉีดคุ้มครองป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งราคาค่อนข้างแพง (โดยประมาณเข็มละ 800-1200 บาท) ควรจะฉีดในเด็กอายุ 12-18 เดือน ฉีดเพียงแต่ 1 เข็ม จะปกป้องโรคได้ตลอดไป ถ้าฉีดตอนโต หากอายุต่ำกว่า 13 ปี ก็ฉีดเพียงแค่เข็มเดียว แม้กระนั้นถ้าหากอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป ควรจะฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 4-8 อาทิตย์ หลังฉีดวัคซีน ควรจะหลบหลีกการใช้ยาแอสไพรินนาน 6 อาทิตย์ ดังนี้เพื่อลดช่องทางเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม วัคซีนจำพวกนี้ห้ามฉีดในหญิงตั้งท้อง มีสภาวะภูมิต้านทานขาดตกบกพร่อง ใช้ยาแอสไพรินอยู่ประจำ หรือใช้ยาสตีรอยด์ขนาดสูงมานาน บางทีอาจเกิดภาวะแทรกร้ายแรงได้ สำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์ (15-45 ปี) ถ้าเกิดยังไม่แน่ใจว่าเคยเป็นโรคนี้หรือยัง ควรจะขอคำแนะนำแพทย์ ตรวจทานว่ามีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้หรือยัง ถ้าเกิดยัง หมออาจเสนอแนะให้วัคซีนคุ้มครองปกป้องเพื่อไม่ให้มีอันตรายต่อลูกในท้องขณะตั้งท้อง และข้างหลังฉีดวัคซีนชนิดนี้ ควรคุมกำเนิดนาน 3 เดือน ก็เลยจะสามารถท้องได้อย่างปลอดภัย
- ในเด็กที่ไม่มีข้อบ่งห้าม สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 12-15 เดือน ขึ้นไป และก็ฉีดกระตุ้นอีกครั้งที่อายุ 4-6 ปีหรืออาจฉีด 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งภูมิคุ้มกันจะขึ้นดียิ่งกว่าการฉีด 1 เข็ม
- จากการศึกษาในเด็กอายุ 1-12 ปี หลังได้รับวัคซีนครั้งแรก จะมีภูมิต้านทานในระดับที่ปกป้องโรคได้ปริมาณร้อยละ 85และมากขึ้นเป็นปริมาณร้อยละ 99.6 หลังได้รับวัคซีนครั้งที่ 2
- สำหรับคนที่สัมผัสใกล้ชิดกับคนป่วยโรคนี้ การฉีดยาบางทีอาจไม่ทันกาล ถ้าจำเป็นหมออาจชี้แนะให้ฉีดเซรุ่ม ที่มีชื่อว่า varicella-zoster immune globulin (VZIG) เป็นการฉีดภูมิคุ้มกันเข้าไปโดยตรง มักจะฉีดให้กับผู้ที่สัมผัสโรคอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหญิงมีครรภ์ คนที่มีภาวการณ์ภูมิคุ้มกันบกพร่อง คนเจ็บมะเร็งเม็ดเลือดขาว และเด็กอ่อนที่มีแม่เป็นอีสุกอีใสช่วง 5 วันก่อนคลอดถึง 2 คราวหลังคลอด
- วัคซีนปกป้องโรคอีสุกอีใส ที่ใช้ในตอนนี้ทำมาจากเชื้ออีสุกอีใสที่มีชีวิตแล้วเอามาทำให้อ่อนฤทธิ์ลง ในประเทศไทยมีจำหน่าย 3 ประเภทหมายถึงVarilrix ในวัคซีน 1 เข็มมีเชื้อไม่ต่ำลงมากยิ่งกว่า 2,000 PFU, OKAVAX ในวัคซีน 1 เข็มมีเชื้อไม่ต่ำลงยิ่งกว่า 1,000 PFU, รวมทั้ง Varicella Vaccine-GCC ในวัคซีน 1 เข็มมีเชื้อไม่ต่ำยิ่งกว่า 1,400 PFU อีกทั้งปัจจุบันยังมีการผลิตวัคซีนคุ้มครองโรคอีสุกอีใสให้อยู่ในรูปวัคซีนรวม ได้แก่ วัคซีนรวมฝึก-โรคเหือด-คางทูม-อีสุกอีใส (MMRV) ซึ่งจะรวมอยู่ในเข็มเดียวกันทำให้สะดวก และไม่จะต้องเจ็บตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สมุนไพรที่ช่วยรักษา/ทุเลา ลักษณะโรคอีสุกอีใส
- เสมหะพังพอนตัวเมีย Clinacanthus nutans (Burm.f) มีอีกชื่อหนึ่งเป็น พญายอ ซึ่งเสลดพังพอนตัวเมียไม่เหมือนกับเพศผู้ คือ ตัวเมียไม่มีหนาม ใบเพศผู้มีสีเข้มกว่า ดอกตัวเมียมีสีแดง ดอกเพศผู้มีสีส้นสด วิธีการให้เด็ดใบเสมหะพังพอนตัวเมียมาล้างให้สะอาด แล้วเอามาตำหรือปั่นให้รอบคอบผสมกับน้ำดินสอพอง ทาที่ตุ่มเปล่งปลั่งเป็นประจำจะช่วยบรรเทาอาการคัน และก็ทำให้ตุ่มแผลแห้งเร็ว ลดอาการบวมแดงของตุ่มได้
- ผักชี Coriandrum sativum การอาบน้ำต้มผักชีจะช่วยให้อีสุกอีใสหายไวขึ้น ซึ่งตามตำรายาแผนโบราณกล่าวว่า สรรพคุณของผักชีเป็นเป็นพืชธาตุเย็นที่ช่วยลดอาการผื่นแดง
- สะเดา Azadiracta indica มีการศึกษาเล่าเรียนพบว่าสารเกดูนิน (Gedunin) และก็ นิมโบลิดี (Nimbolide) ในใบและเมล็ดสะเดามีคุณภาพสำหรับในการออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา แบคทีเรียและเชื้อไวรัสสูง โดยเหตุนี้ จึงสามารถทุเลาอาการของโรคที่เกิดจาก ไวรัส อย่างอีสุกอีใสได้
- ใบมะยม Phyllanthus acidus ใช้ใบมะยมไม่อ่อนหรือแก่เหลือเกิน 2-3 กำมือ ใส่น้ำ 2-3 ลิตร ต้มให้เดือดประมาณ 20 นาที แล้วชูลงผสมน้ำเย็นให้อุ่นพอเพียงอาบได้ อาบวันละ 3 ครั้ง ตอนเช้า กลางวัน เย็น หลังอาบน้ำอาการจะค่อยๆดีขึ้นกว่าเดิม
- ย่านาง Tiliacora triandra เอาราก “ย่านาง” แบบสดประมาณขยุ้มมือต้มกับน้ำหลากยากระทั่งเดือด ดื่มขณะอุ่นวันละครั้ง ทีละ 3 ส่วน 4 แก้ว ต้มดื่มเรื่อยต่อเนื่องกัน 3-5 วัน อาการที่เป็นจะดีขึ้น
เอกสารอ้างอิง- รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.อีสุกอีใส.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่296.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.ธันวาคม.2546
- อีสุกอีใส เป็นได้ก็หายได้.เกร็ดความรู้สู่ประชาชน.หน่วยข้อมูลคลังยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
- (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “อีสุกอีใส (Chickenpox/Varicella)”. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 404-407.
- Kuter B, Matthews H, Shinefield H, Black S, Dennehy P, Watson B, et al. Ten year follow-up of healthychildren who received one or two injections of varicellavaccine. Pediatr Infect Dis J. 2004; 23:132-7.
- อ.พญ.เลลานี ไพฑูรย์พงษ์.สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.โรคอีสุกอีใส.สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย.
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC)..Prevention of Varicella Recommendations of the Advisory Committee on Immunization Practices (ACIP). MMVR 2007; 56:1-40.
- อีสุกอีใส.อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ http://www.disthai.com/
- Heininger U, Seward JF. Varicella. Lancet. 2006; 368:1365-76.
- Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
- อ.พญ.จรัสศรี ฟี้ยาพรรณ,นางรษิกา ฤทธิ์เรืองเดช,พญ.พิชญา มณีประสพโชคและคณะ.โรคสุกใส(Chicken pox).ภาควิชาตจวิทยาคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล.
- สำนักระบาดวิทยา. โรคอีสุกอีใส. สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรค 2552. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์. 2553; 55-6.
- Krause PR, Klinman DM. Efficacy,immunogenicity,safety, and use of live attenuated chickenpox vaccine. J Pediatr. 1995; 127:518-25.
- พญ.อารีย์ โอบอ้อมรัก.หนังสือเลี้ยงลูกด้วยสมุนไพร.หน้า 56.สำนักพิมพ์เอเชียบูรพา.
Tags : โรคอีสุกอีใส