รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: สัตววัตถุ เเมงมุม  (อ่าน 564 ครั้ง)

Tawatchai1212

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 92
    • ดูรายละเอียด
สัตววัตถุ เเมงมุม
« เมื่อ: ธันวาคม 26, 2017, 07:44:28 AM »


แมงมุม
แมงมุมเป็นชื่อเรียกสัตว์จำพวกแมงหลายประเภทในวงศ์ ทุกชนิดจัดอยู่ในชั้น  Araneae  มีชื่อสามัญว่า spider กินสัตว์เป็นของกิน มีขนาดนาๆประการตามแต่ชนิด  พวกที่คราวขนาดเล็กอาจมีลำตัวยาวเพียงแต่ ๐.๗  ซม. ส่วนพวกที่มีขนาดใหญ่อาจมีลำตัวยาวถึง ๙ ซม. พวกที่พบตามอาคารบ้านเรือนและก็ก่อความเปรอะเปื้อนรุงรังมักเป็นแมงมุมที่อยู่สกุล Pholcus หลายชนิด (วงศ์  pholcidae )
แมงกับแมลง
ในทางวิชากีฏวิทยา คำ “แมง” กับ “แมลง” สื่อความหมายต่างกัน และมักเรียกงงงวยกัน คำ “แมง”ใช้เรียกชื่อสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังหลายชนิด ซึ่งเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว  ลำตัวแบ่งออกได้เป็น ๒ ส่วนเป็นท่อนหัวกับอกรวมเป็นส่วนเดียวกันส่วนหนึ่งส่วนใด กับส่วนท้องอีกส่วนหนึ่ง มีขา ๘  หรือ ๑๐ ขา ไม่มีหนวด ไม่มีปีก ได้แก่ แมงมุม  แมงป่อง แมงดาทะเล ส่วนคำ “แมลง” ใช้เรียกชื่อสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหลากหลายประเภท ซึ่งเมื่อเจริญเติบโตสุดกำลังแล้ว  ลำตัวแบ่งออกได้เป็น ๓ ส่วนอย่างแจ่มแจ้งหมายถึงท่อนหัว ส่วนอก และก็ส่วนท้อง  มีขา ๖ ขา เป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังเพียงแต่พวกเดียวที่มีปีก อาจมีปีก ๑ หรือ ๒ คู่  หรือไม่มีปีกเลยก็ได้ เป็นสัตว์ที่มีมากมายชนิดที่สุดในโลก ยกตัวอย่างเช่น แมลงสาบ แมลงวัน
ชีววิทยาของแมงมุม
แมงมุมมีลำตัวแบ่งได้เป็น  ๒  ส่วน  ส่วนหัวกับส่วนอกชิดกันเป็นส่วนเดียวปกคลุมด้วยแผ่นแข็งทั้งยังด้านหลังและข้างล่าง มีตาเล็กๆข้างละหลายตา ลางชนิดอาจมีได้ถึง  ๘  ตา อยู่ใกล้ๆกัน  (เว้นเสียแต่แมงมุมลางประเภทที่ไม่มีตา ซึ่งมักเป็นแมงมุมที่อาศัยอยู่ในที่มืด อาทิเช่นในถ้ำ)  ที่ปากมีเขี้ยวเป็นอวัยวะคู่  มีรูปร่างเหมือนปากคีบหรือคีมคีบใช้คีบ  จับ  หรือยึดเหยื่อเป็นของกินได้  มีบ้องฐานข้อเดียว ส่วนปลายอาจมีรูปล่อยพิษซึ่งเชื่อมต่อถึงต่อมพิษที่ฐานปาก  ยิ่งไปกว่านั้นที่ปากยังมีอวัยวะคู่รูปทรงคล้ายขา แต่สั้นกว่าและมักแบนกว่า (มักก้าวหน้าดีแล้วก็เห็นได้ชัดในตัวผู้ที่ยังไม่โตเต็มกำลังรวมทั้งในตัวเมีย) แมงมุมไม่มีหนวด  มีขา ๔ คู่  ที่ขามักมีองค์ประกอบพิเศษให้ใช้ถักใยได้ ดังเช่น มีแผ่นแบนอยู่ระหว่างง่ามเล็บ ส่วนท้องอาจกลมหรือยาวสุดแต่ชนิดของแมงมุมที่ปลายมีท่อเป็นรูเปิดสำหรับปล่อยใยได้  บริเวณด้านล่างของส่วนท้องบ้องที่  ๒  รวมทั้ง ๓ มีอวัยวะปฏิบัติหน้าที่เป็นจมูกสำหรับหายใจ ซึ่งมักเป็นช่อง ภายในมีแผ่นบางๆเรียงทับกันคล้ายกระดาษหนังสือ แมงมุมส่วนมากที่คนไทยเห็นนั้น  มักเป็นจำพวกถักใยขวางทางผ่านของสัตว์เพื่อจับกินเป็นอาหาร เมื่อมีสัตว์มาติดใยแล้วก็ดิ้นรน  แรงสั่นสะเทือนจะไปถึงตัวแมงมุมเจ้าของรัง แมงมุมซึ่งมีสายตาไม่ดีก็จะติดตามทิศทางของแรงสะเทือนนั้นเข้าพบเหยื่อ กัดเหยื่อ รวมทั้งปล่อยน้ำพิษทำให้เหยื่อสลบ  ก่อนจะกินเป็นของกิน
แมงมุมในประเทศไทย
แมงมุมที่พบในประเทศไทยมีมาก  จัดอยู่ในหลายสกุล  แต่ว่าทุกวงศ์จัดอยู่ในชั้นเดียวกัน เป็น Araneae  จำพวกที่เจอในประเทศไทยนั้น  ส่วนใหญ่ไม่มีพิษร้ายถึงกับกัดคนให้เจ็บหรือตายได้  อย่างเช่น
๑.แมงใย หรือ ตัวใยแมงมุม  เป็นแมงมุมที่เจอตามบ้านที่พักรวมทั้งถักใยจนกระทั่งดูสกปรกรวมทั้งรกรุงรัง  มักเป็นพวกที่จัดอยู่ในสกุล  Pholcus หลายแบบ (วงศ์ Pholcidae )  แมงมุมพวกนี้มักมีลำตัวสีน้ำตาลหรือสีเทาทึบ หลังท้องสีมักเข้ม ลางชนิดมีลาย ส่วนใหญ่มีลำตัวยาว ๔-๕  มิลลิเมตร ขายาวกว่าลำตัวมากมาย เป็นยาวราว ๕-๖ เซนติเมตร  ทำให้ดูโย่งเย่งรวมทั้งบอบบาง  จึงมีชื่อสามัญว่า  daddy  long-leg  spider  คนไทยลางถิ่น เรียก แมงมุมเถ้าถ่าน เพราะว่าถักใยทำให้รกแล้วก็มีฝุ่นผงหรือเถ้ามาติด ใยแมงมุมที่แมงมุมพวกนี้ถักทอไว้ในบ้าน  โดยยิ่งไปกว่านั้นในห้องครัว  หรือที่อยู่ใกล้เตาไฟ ซึ่งมีเขม่าไฟหรือเถ้าติดอยู่ด้วยกัน หมอโบราณใช้เป็นเครื่องยา เรียก หญ้ายองไฟ
๒.แมงมุมทำหลาว เป็นแมงมุม พวกที่ถักใยนอกบ้าน  พบบ่อยตามแปลงพืชหรือตามเรือกสวนไร่  เป็นแมงมุมที่จัดอยู่ในสกุล  Tetragnatha  หลากหลายประเภท  (ตระกูล Tetragnathidae ) ซึ่งราษฎรเรียก แมงมุมทำหลาว  เนื่องจากว่าเมื่อตกใจ  แมงมุมเหล่านี้จะวิ่งไปหลบอยู่หลังใบไม้  ยื่นขา ๒ คู่แรกไปข้างหน้า ขาคู่ที่ ๔ ยื่นไปด้านหลังอยู่ในระดับเดียวกับลำตัว ขาคู่ที่ ๓ ใช้ยึดเกาะยืนตั้งฉากกับลำตัว ดูเหมือนคนที่จัดแจงพุ่งแหลนลงน้ำ แมงมุมเหล่านี้ดักจับเพลี้ยจักจั่นกินเป็นของกิน จัดเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อเกษตรกร
๓.แมงมุมก๋า หรือ ตัวก๋า มีชื่อวิทยาศาสตร์  Heteropodae  venatoria  (Linnaeus ) จัดอยู่ในตระกูล Sparassidae  มีชื่อสามัญว่า  banana  spider ( เพราะว่ามักพบแมงมุมก๋านี้ในโกดังเก็บกล้วย ) เป็นแมงมุมขาดกึ่งกลาง ตัวผู้ลำตัวยาว ๑.๕-๒  ซม.  ตัวเมียมีลำตัวยาว  ๒.๕-๓ เซนติเมตร ขายาว ๕-๖ ซม. หัว อก ขา และก็ท้องสีน้ำตาล  ตาสีคล้ำ  ที่ข้างหลังอกมีแถบสีดำดกพิงตามขวางด้านหน้า รวมทั้งแถบเป็นง่ามเหมือนรูปตัววี (V) ด้านปลายอีก ๑ แถบที่สันหลังท้องมีเส้นสีน้ำตาลแก่พาดมาถึงกึ่งกลาง  อาจพบจุดสีน้ำตาลแก่เป็นลายข้างๆ ข้างละ ๔-๕ จุด  มีขนสีน้ำตาลอ่อนรอบๆหน้าแล้วก็ขา  ทำให้ดูน่าสะพรึงกลัว แมงมุมชนิดนี้ไม่ถักใย  ออกหากินโดยการจับเหยื่อโดยตรง  เจออาศัยอยู่ตามบ้านช่องหรือตามโกดังเก็บของ เป็นแมงมุมที่มีประโยชน์  เพราะถูกใจกินแมลงสาบ
๔.แมงมุมมดแดง  มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Myrmarachne  formicaria  Linnaeus  จัดอยู่ในวงศ์  Salticidae เป็นแมงมุมประเภทที่มีรูปร่างเอาอย่างสัตว์อื่น  มักพบและก็มีชุกตามจังหวัดหาดทราย  ยกตัวอย่างเช่น  ชลบุรีหรือจังหวัดระยอง มีรูปร่าง   ขนาด  และสีสันใกล้เคียงกับมดแดง  และชอบอาศัยปะปนอยู่กับมดแดง แต่แตกต่างตรงที่เมื่อแมงมุมพวกนี้กระโจน  จะถักใยทิ้งตัวเพื่อโยกย้ายได้  เมื่อสังเกตอย่างประณีตขมักเขม้น จะพบว่าปริมาณขาและก็ลักษณะอื่นๆไม่เหมือนกับมดแดง

คุณประโยชน์ทางยา
แพทย์แผนไทยรู้จักใช้ “ต้นหญ้ายองไฟ”รวมทั้ง “แมงมุมตายซาก” เป็นเครื่องยาด้วย  ดังต่อไปนี้
๑.ต้นหญ้ายองไฟ  หมอแผนไทยรู้จักใช้หยากไย่แมงมุมเหนือเตาไฟในห้องครัวของบ้านไทยในชนบทอดีต (เตาไฟใช้ฟืนใช้ถ่าน)  หยากไย่แมงมุมที่มีเขม่าควัน ขี้เถ้า  และฝุ่นเกาะอยู่ด้วยนี้ แพทย์โบราณเรียก  ต้นหญ้ายองไฟ  ลางตำราเรียนเรียกเป็น  ใยแมงมุมไฟ  หรือ  หยากไย่ไฟ  ก็มี  ใช้เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง
สมุนไพร ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า  ต้นหญ้ายองไฟมีรสเค็ม  ฝาด  มีคุณประโยชน์แก้โลหิต  ฟอกเลือด  กระจัดกระจายเลือดอันเป็นลิ่มเป็นก้อน  ขับโลหิตระดู
ตำราเรียนยาไทยหลายขนานเข้า “ต้นหญ้ายองไฟ”  เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง  ในที่นี้ขอยกตัวอย่างยา  ๒  ขนาน ขนานแรกเป็นยาแก้กษัยอันเกิดเพื่อโชธาตุชื่อ “สันตัปปัคคี” ซึ่งบันทึกเอาไว้ภายในพระตำราไกษย  ดังนี้ ขนานหนึ่งเล่า  ถ้าหากมันให้จุกเสียดปวดขบเปนกำลัง  ให้เอาพริกเทศ  ๑๐๘  เม็ด  พริกล่อน  ๑๐๘  เม็ด  ผักกะดูดซับเอาอีกทั้งต้นรากใบลูกเอาสิ่งละ ๑ บาท  หญ้าไซย้อย  ๑  หญ้าไซแห้ง ๑ เอาสิ่งละ ๑ บาท  หญ้ายองไฟ  ๑  บาท  ไพลแห้ง  ๑  บาท  ตำเปนผง  ละลายน้ำเหล้าน้ำส้มซ่าน้ำขิงน้ำมะนาวน้ำกระเทียมก็ได้  ยักกระสายให้ชอบโรคนั้นเหอะ อีกขนานหนึ่งเป็นยาขับเลือดของสตรีซึ่งมีบันทึกเอาไว้ใน  พระคู่มือมหาโชตรัต ดังนี้ อนึ่งเอาสหัศคุณเทศ ๑   แก่นแสมทเล  ๑  ต้นหญ้ายองไฟ  ๑  ขมิ้นอ้อย  ๑  บดละลายเหล้ากิน  ใหขับโลหิตดีนักแล ตำรับยาลางขนาน  เจ้าของตำรับอาจเขียนตัวยาไว้เป็นปัญหาให้ตีความหมายกันเอาเอง  ยกตัวอย่างเช่น  ยาแก้บิดขนานหนึ่ง  เจ้าของยาให้ตำรับยาไว้ว่า “ลุกใต้ดิน  กินตีนท่า  อยู่หลังคา  ขี้ค้างรู  คู่อ้ายบ้า”  ซึ่งก็คือ “รากเจตมูลเพลิงเเดง  ๑  ผักเป็ด ๑  หญ้ายองไฟ ๑  ขี้ยาฝิ่น  ๑  สุราเป็นน้ำกระสาย”
๒. แมงมุมตายซาก  แพทย์แผนไทยใช้แมงมุมที่ตายแล้วซากแห้งสนิท  ไม่เหม็นและไม่ขึ้นรา  เป็นเครื่องยาในยาไทยโบราณหลายขนาน  ดังเช่น  “ยานากพด”  ซึ่งมีบันทึกเอาไว้ในพระหนังสือปฐมจินดาร์  ดังนี้ ยาชื่อนากพด  ท่านให้เอาใบหนาด  ๑  พริกไท  ๑  เบี้ยจั่นเผา  ๑  ขิง ๑  รังสุนัขร่าเผา  ๑  แมงมุมตายซาก  ๑  ลำพัน  ๑  รวมยา  ๗  สิ่งนี้เอาเท่าเทียมกัน  บดทำแท่งไว้  แก้ทรางทั้งปวง  แก้ละอองพระบาท  แก้ตะพั้น  ทั้งรับประทานทั้งชะโลมดีนัก

Tags : สมุนไพร
บันทึกการเข้า