รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: สัตววัตถุ จระเข้  (อ่าน 488 ครั้ง)

หนุ่มน้อยคอยรัก007

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 98
    • ดูรายละเอียด
สัตววัตถุ จระเข้
« เมื่อ: ธันวาคม 14, 2017, 03:31:43 AM »


ไอ้เข้
จระเข้เป็นสัตว์คลานขนาดใหญ่ มีสามีหนังแข็งเป็นเกล็ด ปากยาว ปลายปากนูนสูงขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก หางเป็นเหลี่ยม แบน ยาว ใช้โบกว่ายน้ำและใช้ฟาดต่างอาวุธ เหมือนปกติหาเลี้ยงชีพในน้ำ ตะเข้หรืออ้ายเข้ก็เรียก อีสานเรียกแข้ ปักษ์ใต้เรียกเข้ ในตำรายาโบราณมักเขียนเป็นจรเข้ เรียกใน๓ษาอังกฤษว่า crocodile
ในทางสัตวานุกรมเกณฑ์นั้น  ตะไข้ที่จัดอยู่ในวงศ์ตะไข้ (Crocodylidae) มีทั้งสิ้น ๒๒ ชนิด  แบ่งออกได้เป็น ๓ วงศ์ย่อย คือ
๑. สกุลย่อยจระเข้ (Crocodylinae) มีทั้งสิ้น ๑๔ จำพวก แบ่งเป็น ๓ สกุล ตะไข้ที่เจอในประเทศไทยมี ๒ สกุล คืสกุลไอ้เข้ (Crocodylus) มีทั้งปวง ๑๒ ประเภท เจอในประเทศไทยเพียงแต่ ๒ จำพวก แล้วก็สกุงตะโขง (Tomistoma) มีเพียงแค่ ๑ จำพวก
๒.ตระกูลย่อยจระเข้จีน (Alligatoriane)  มัทั้งสิ้น ๗ ชนิด  แบ่งเป็น ๔ สกุล  ไม่เจอในธรรมชาติในประเทศไทย Crocodile กับ  Alligator
ตะไข้ที่จัดอยู่ในตระกูลย่อย Crocodylinae มีชื่อสามัญว่า crocodile ส่วนที่อยู่ในตระกูลย่อย  Alligatoriane มีชื่อสามัญว่า  alligator ลักษณะโดยปกติคล้ายกันแม้กระนั้นไม่เหมือนกันที่ alligator  มีส่วนหัวกว้างกว่า  ปลายปากกลมมนกว่า  ฟันบนครอบฟันข้างล่าง  ฟันข้างล่างซี่ที่ ๔ ทั้งสองข้างขยายโตกว่าฟันซี่อื่นๆ จะมองไม่เห็นฟันซี่นี้เมื่อปากปิด  เพราะว่าฟัน ๒ ซี่นี้ใส่ลงในรูที่ฟันด้านบน  ส่วน crocodile  มีส่วนหัวที่แหลมเรียวยาวกว่า  ฟันบนและฟันด้านล่างเรียงตรงกัน  ฟันซี่ที่ขยายใหญ่ขึ้นจะเฉียงออกมาข้างนอก  มองเห็นได้เวลาปิดปาก
๓.วงศ์ย่อยตะโขงประเทศอินเดีย (Gavialinaae) ซึ่งมีเพียงแค่ ๑ สกุล รวมทั้งมีเพียงแค่ ๑ ชนิดเพียงแค่นั้น เป็นตะโขงประเทศอินเดียGavialis gangeticus (Gmelin)  เจอตามแหล่งน้ำจืดแล้วก็แม่น้ำต่างๆทางภาคเหนือของประเทศอินเดีย  ปากีสถาน  บังกลาเทศ  เนปาล  ภูเขาฏาน และพม่า  แม้กระนั้นไม่เจอในไทย
สมุนไพร สมัยก่อนเจอตะไข้อยู่ตามป่าริมน้ำ  ลำห้วย  คลอง  หนอง  บ่อน้ำ  เคยมีเยอะแยะ  ก็เลยมีการจับจระเข้มากินเป็นอาหารแล้วก็ใช้ส่วนต่างๆของตะไข้มาเป็นเครื่องยาสมุนไพร  ตอนนี้เมื่อมีคนมากยิ่งขึ้น  ธรรมชาติแล้วก็สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป  ทั้งที่จำเป็นจะต้องจริงเป็นการใช้พื้นที่ป่าเป็นหลักที่ดินในการเลี้ยงชีพและที่พักที่อาศัย  และที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์  ทำให้จำนวนไอ้เข้ในธรรมชาติต่ำลงมากจนถึงเกือบจะสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ  อาจจะพบบ้างตามแหล่งน้ำในเขตสงวนบางพื้นที่ แม้กระนั้น  เป็นโชคดีที่ถึงแม้จระเข้จวนสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติในประเทศไทยแล้ว  แต่ว่านักธุรกิจของพวกเราก็ไปถึงเป้าหมายสำหรับในการเพาะพันธุ์จระเข้  ทำให้มีจำนวนจระเข้มากเพิ่มขึ้น กลายเป็นสัตว์อาสินที่สำคัญของประเทศ   เป็นสัตว์ที่ให้หนังสำหรับทำเครื่องหนังที่ตลาดต้องการ  และให้เครื่องยาสมุนไพรโดยที่ไม่เป็นการทำลายสัตว์จำพวกนี้ในธรรมชาติ  ผลิตขึ้นจากจระเข้ที่เพราะว่าชนิดขึ้นมา  ไม่ว่าจะเป็นเนื้อจระเข้  ดีจระเข้  หรือหนังตะไข้  แปลงเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ  ที่เย้ายวนใจนักท่องเทียวในขณะที่เป็นคนประเทศไทยและเป็นคนประเทศอื่นให้มาเยี่ยมชมปีละหลายชิ้นๆ
จระเข้ในประเทศไทย
ไอ้เข้ที่เจอในธรรมชาติในประเทศไทยจัดอยู่ในวงศื Crocodylidae  มี ๒ สกุล รวม ๓ ประเภท คือ สกุลตะไข้ (Crocodylus) มี ๒ จำพวก อย่างเช่น จระเข้น้ำจืดหรือตะไข้บึง (Crocodylus siamensis Schneider)  กับไอ้เข้น้ำเค็มหรือตะไข้อ้ายเคี่ยม (Crocodylus porosus Schneider)  และก็สกุลตะโขง  (Tomistoma )  มี ๑ ชนิดหมายถึงตะโขงหรือจระเข้ปากกระทุงเหว Tomistoma  schleielii (S.  Muller)  สัตว์พวกนี้มีสามีหนังแข็งเป็นเกร็ด ปากยาว ปลายปากนูนสูงขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก เรียกขี้หมา  หางเป็นเหลี่ยม แบน ยาว ใช้โบกว่ายแล้วก็ใช้ฟาดต่างอาวุธ (เมื่ออยู่ในน้ำไอ้เข้จะฟาหางได้เมื่อขาหลังจรดพื้นแค่นั้น)
๑.ไอ้เข้น้ำจืด
มีชื่อวิทยาศาสตร์ Crocodylus  siamensis Schneider
เป็นจระเข้ขนาดปานกลาง  ลำตัวบางทีอาจยาวได้ถึง ๓ เมตร มีลักษณะเด่นคือมีแถวเกร็ดนูนบนท้ายหอย  และมีสันเตี้ยอยู่ระหว่างตาอีกทั้ง ๒ ข้าง จระเข้ชนิดนี้พบอาศัยอยู่ตามทะเลสาบน้ำจืด  ตลอดจนในที่ราบ  หนอง บ่อน้ำ แล้วก็แม่น้ำ  โดยยิ่งไปกว่านั้นบึงที่แยกออกจากแม่น้ำ  รวมทั้งสายธารที่ไหลเอื่อยเฉื่อยที่มีฝั่งเป็นโคลน  เคยพบมากที่บ่อน้ำบอระเพ็ด  แม้กระนั้นปัจจุบันแทบจะไม่เจอในแหล่งธรรมชาติเลย  ตะไข้จำพวกนี้กินปลาเป็นอาหารหลัก  โตเต็มที่เมื่ออายุ ๑๐-๑๒ ปี  ผสมพันธุ์ในตอนเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม ตัวเมียตกไข่ในเมษายนและพฤษภาคม  ออกไข่ทีละ ๒๐-๔๐ ฟอง  ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๖๗-๖๘ วัน
๒.ตะไข้น้ำทะเล
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Crocodylus  porosus Schneider
เป็นจระเข้ขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาไอ้เข้ที่ยังมีเผ่าพันธุ์อยู่ในตอนนี้  ลำตัวอาจยาวได้ถึง ๘ เมตร  บริเวณกำดันไม่พบแถวเกร็ดนูนเป็นต้นว่าที่พบในสมุทรน้ำจืด  และรอบๆหน้าผากมีสันซีดๆคู่หนึ่งซึ่งสอบเข้าหากัน  เริ่มตั้งแต่ตาไปสินสุดที่ปุ่มจมูก  (ก้อนขี้มา)   ตัวผู้โตเต็มที่เมื่ออารุราว ๑๖ ปี   ส่วนตัวภรรยาโตเต็มที่เมื่ออายุราว  ๑๐  ปี  ตัวเมียวางไข่ทีละราว  ๕๐  ฟอง  ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว  ๘๐-๙๐  วัน
ลักษณะที่ไม่เหมือนกัน ไอ้เข้น้ำจืด ไอ้เข้น้ำเค็ม
๑.ลำตัว ป้อมสั้น ไม่ได้ส่วนสัดนัก เรียวยาว สมส่วนกว่า
๒.ส่วนหัว รูปสามเหลี่ยมมุมป้าน โหนกที่ข้างหลังตาสูง รวมทั้งเป็นสันมากยิ่งกว่า รูปสามเหลี่ยมมุมแหลม  ปากยาวกว่า
๓.ลายบนตัว สีออกเทาดำ มีลายสีดำเป็นแถบ สีออกเหลืองอ่อน มีลายเป็นจุดสีดำตลอดลำตัว
๔.บริเวณกำดัน มีเกล็ด ๔-๕ เกล็ด มีมีเกล็ด
๕.ขาหลัง พังผืดมองเห็นไม่ชัดเจน  มีพังผืดเห็นได้ชัดราวกับขาเป็ด
๓.ตะโขง หรือ ไอ้เข้ปากกระทุงเหว เป็นตะไข้พันธุ์ที่หายากที่สุดในประเทศไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tomistoma  schlegeill (S. Muller) เป็นจระเข้ขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งของไทย ลำตัวอาจยาวถึง ๕ เมตร ตัวสีน้ำตาลแดง มีลายสีน้ำตาลเข้ม ปากยาวเรียวคล้ายปากปลาเข็ม หางแบนใหญ่ ใช้ว่ายน้ำ ไอ้เข้จำพวกนี้พบเฉพาะทางภาคใต้ของไทย  มักอาศัยอยู่ในแม่น้ำและหนองจืดที่มีบริเวณติดต่อกับแม่น้ำ บางทีอาจเจอได้บริเวรป่าชายเลนหรือบริเวรน้ำกร่อย มีรายงานว่าพบไอ้เข้ปากนกกระทุงเหวที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เขตรักษาจำพวกสัตว์ป่าเขาบรรทัด จังหวัดพัทลุง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าดอกไม้เพลิงโต๊ะแดง จังหวักนราธิวาส แต่เจอเพียงแต่ที่ละ ๑-๒ ตัว ตะไข้ประเภทนี้รับประทานปลาและสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังหลายแบบเป็นของกิน โตเต็มที่เมื่ออายุราว ๔.๕-๖ ปี ตัวเมียตกไข่ครั้งละราว ๒๐-๖๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๗๕-๙๐ วัน  และก็ฟักเป็นตัวในฤดูฝน
๔.จระเข้พันทาง  เป็นจระเข้ผสมรหว่างตะไข้น้ำจืดกับไอ้เข้น้ำทะเล คนไทยเป็นผู้สำเร็จสำหรับการผสมไอ้เข้ ๒ จำพวกนี้  เป็นครั้งแรกในโลกเมื่อกว่า ๒๐ ปีกลาย ไอ้เข้พันธุ์ผสมมีรูปร่าง สีสัน เกล็ด และก็นิสัยที่ดุร้ายเหมือนตะไข้น้ำเค็ม แต่ว่ามีขนาดโตกว่า (เมื่อโตเต็มกำลังมีขนาดยาว ๕.๕ เมตร มีน้ำหนักตัวมากกว่า ๑,๒๐๐ โล) จัดเป็นจระเข้ชนิดที่มีขนาดโตที่สุดในปนะเทศไทย ตะไข้พันทางเริ่มวางไข่เมื่ออายุ ๑๐-๑๒ ปี ตกไข่ราวครั้งละ ๓๐-๔๐  ฟอง มากยิ่งกว่าการวางไข่ของจระเข้น้ำเค็ม ไข่มีขนาดเล็ก  เปลือกไข่บาง  อัตราฟักเป็นตัวได้ต่ำมากมาย เมื่ออายุ ๑๓-๒๐ ปีตกไข่ราวทีละ ๓๐ –๕๕  ฟอง ไข่ขนาดโตปานกลาง เปลือกไข่ครึ้มกว่า อัตราฟักเป็นตัวได้สูง และก็เมื่ออายุ ๒๑ ปี ขึ้นไปวางไข่ครั้งละ ๓๕-๖๐ ฟอง เปลือกไข่หนามาก อัตราฟักเป็นตัวสูง

ชีววิทยาของไอ้เข้ไทย
นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่าจระเข้กำเนิดและมีวิวัฒนาการบนโลกมาตั้งแต่ ๒๕๐  ล้านปีก่อน  เดี๋ยวนี้มีจระเข้ในโลกนี้ราว ๒๒ จำพวก กระจัดกระจายอยู่ตามแหลางน้ำต่างๆในเขตร้อนทั้งโลก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่มีอุณห๓ไม่เฉลี่ยระหว่าง ๒๑-๓๕ องศา ไอ้เข้เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ในฤดูร้อนหรือในกลางวันนั้น อาศัยกลบดานอยู่ในน้ำ ในฤดูหนาวก็เลยออกมาผึ่งแดด เป็นปกติชอบนอนบนริมฝั่งน้ำที่เงียบสงบ น้ำนิ่ง ลึกไม่เกิน ๑.๕๐ เมตร เป็นสัตว์ที่มีความรู้สึกไวต่อความเคลื่อนไหวทางธรณีวิทยาหรือสภาพอากาศ  เป็นต้นว่า  ก่อนเกิดพายุฝนฟ้าร้องหรือแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด ตะไข้จะแผดเสียงร้องออกมาจากลำคอคล้ายเสียงคำรามของสิงโต  รวมทั้งตัวอื่นๆก็จะร้องรับตามกันต่อๆไป ไอ้เข้ไทยแก่เฉลี่ยราว ๖๐-๗๐ ปี แต่ว่าโตสุดกำลังและก็ผสมพันธุ์ละวางไข่ได้เมื่อมีอายุราว ๑๐ ปีขึ้นไป เราสามารถจำแนกประเภทตะไข้เพศผู้และก็จระเข้ตัวเมียได้โดยการดูลักษณะด้านนอกเมื่อจระเข้แก่ตั้งแต่ ๓ ปี ขึ้นไป ตะไข้เริ่มสืบพันธุ์ได้เมื่อมีอายุราว ๑๐ ปี โดยการผสมพันธุ์กันในน้ำเพียงแค่นั้น ฤดูสืบพันธุ์มักเป็นฤดูหนาว  เป็นในราวธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์  เมื่อสืบพันธุ์กัน  ตัวผู้จะเกาะข้างหลังตัวเมียแล้วก็ตวัดหลังหางรัดตัวภรรยา ใช้เวลาผสมพันธุ์กันราว ๑๐-๑๕ นาที จระเข้ตัวเมียตั้งครรภ์ราว ๑ เดือน  และก็เริ่มตกไข่ในราวมีนาคมถึงพฤษภาคม  จระเข้ตัวเมียจะเลือกทำเลที่เหมาะสม ไม่เป็นอันตราย  และใกล้แหล่งน้ำ  แล้วปัดกวาดเอาใบไม้และก็ต้นหญ้ามาทำเป็นรังสูงราว ๔๐-๘๐ ซม. กว้างได้ตั้งแต่ ๑-๒๐ เมตร  สำหรับตกไข่  จากนั้นก็เลยขุดหลุมตรงกลางแล้วตกไข่ โดยใช้เวลาวางไข่ ๒๐-๓๐ นาที เมื่อวางไข่เสร็จก็เลยกลบให้แน่น ไข่ไอ้เข้มีลักษณะโตกว่าไข่เป็ดนิดหน่อย  แต่ว่าเล็กกว่าไข่ห่าน ไอ้เข้ตัวเมียตกไข่คราวละ ๓๕-๔๐ ฟอง ระยะฟักตัวของไข่จระเข้แต่ละจำพวกก็ไม่เท่ากัน เมื่อถึงกำหนดระยะเวลาฟักไข่  ลูกตะไข้จะร้องออกจากไข่  เมื่อตัวหนึ่งร้องตัวอื่นๆก็ร้องรับต่อๆกันไป  เมื่อแม่ไอ้เข้ได้ยินเสียงลูกร้อง  ก็จะขุดค้นไปในรังจนถึงไข่ ลูกตะไข้ใช้ปลายปากที่มีติ่งแหลมเจาะไข่ออกมา  ตัวที่ไม่สามารถที่จะเจาะเปลือกไข่ได้ แม่ตะไข้จะคาบไข่ไว้ในปากและก็ขบให้เปลือกแตกออก ลูกไอ้เข้ทารกมีขนยาว ราว  ๒๕-๓0  เซนติเมตร   มีน้ำหนักตัวราว  ๒00-๓00  กรัม มีฟันแหลมแล้วก็ใช้กัดได้แล้ว รวมทั้งมีไข่แดงอยู่ในท้องสำหรับเป็นอาหารได้อีกราว ๑0  วัน เมื่ออาหารหมดรวมทั้งจระเข้เริ่มหิว  ก็จะหาอาหารกินเอง จระเข้มีระบบย่อยของกินที่ดีเลิศ สามารถย่อยกระดูกสัตว์ต่างๆได้ ตะไข้เมื่อโตสุดกำลังมีฟัน ๖๕  ซี่ ฟันด้านล่าง ๓0 ซี่  เมื่อฟันหักไปก็มีฟันใหม่งอกขึ้นมาแทนที่ในระยะเวลาไม่นาน ฟันจระเข้เป็นกรวยซ้อนกันเป็นชุดๆอยู่ข้างในเหงือก ๓ ชุด ไอ้เข้มีลิ้นติดกับพื้นปาก เมื่อตะไข้อ้าปากจะมองเห็นเป็นจุดเล็กๆสีดำๆปรากฏอยู่ทั่วไปที่พื้นปากข้างล่าง   รอบๆนั้นเป็นจุดที่ไอ้เข้ใช้บอกความแตกต่างของรสชาติของกินที่รับประทานเข้าไป ส่วนลึกในโพรงปากมีลิ้นเปิดปิดเพื่อคุ้มครองปกป้องน้ำถูกคอเมื่อไอ้เข้อยู่ในน้ำ จมูกตะไข้อยู่ส่วนโค้งของปลายข้างบนของจะงอยปาก มีลักษณะเป็นปุ่มรูปวงกลม มีรูจมูก ๒ รู ปิดเปิดได้  เวลามุดน้ำจะปิดสนิทเพื่อปกป้องน้ำเข้าจมูก ไอ้เข้หายใจแล้วก็ดมกลิ่นด้วยจมูก ในช่องปากมีกระเปาะเป็นโพรงอยู่ข้างใน ใช้สำหรับรับกลิ่น
จระเข้มี ๔  ขา แม้กระนั้นขาสั้น มองไม่สมดุลกับลำตัว ขาหน้ามีนิ้วข้างละ ๕ นิ้ว ขาหลังมีนิ้วข้างละ  ๔  นิ้ว ตะไข้ไม่สามารถที่จะคลานไปไหนได้ไกลๆแต่ว่าในระยะสั้นๆทำเป็นเร็วเท่าคนวิ่ง เมื่อจำเป็น ตะไข้สามารถคลานลงน้ำรวมทั้งว่ายได้ อย่างเงียบกริบ  เวลาจับเหยื่อในน้ำ ไอ้เข้จะเคลื่อนเข้าพบเหยื่ออย่างช้าๆ ราวกับท่อนไม้ลอยน้ำมา ครั้นเมื่อสบโอกาสแล้วก็ระยะทางพอเหมาะก็จะพุ่งเข้าใส่เหยื่ออย่างเร็ว พร้อมอ้าปากงับเหยื่อได้อย่างเที่ยงตรง เมื่องับเหยื่อไว้ได้แล้ว ก็จะบิดหมุนควงเหยื่อเหยื่อตายสนิทแล้วจึงค่อยกิน   ฟันตะไข้มีไว้สำหรับจับเหยื่อและฉีกเหยื่อเป็นชิ้นๆแล้วกลืนลงไป มิได้มีไว้สำหรับบดของกิน
จระเข้สามารถลอยน้ำได้โดยการสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วพยุงตัวให้ลอยน้ำได้โดยการใช้ขาพุ้ยน้ำและก็หางโบก แต่ว่าสำหรับการพุ่งตัวแล้วก็ว่ายน้ำด้วยความรวดเร็วนั้น   จระเข้ใช้เพียงแค่หางอันมีพลังโบก ไปๆมาๆอย่างเร็วเพื่อตัวพุ่งไปด้านหน้า จระเข้มีความรู้ความสามารถในการมองเห็นที่ดีและไวมาก สามารถมองภาพได้  ๑๘0  องศา อีกทั้งสามารถมองเห็นวัตถุที่มาจากเหนือหัวได้ สายตาของไอ้เข้มีความไวและก็เร็วพอที่จะประสานกับนกที่บินผ่านไป จระเข้ยังลืมตาและก็เห็นในน้ำได้  เมื่อจระเข้ดำน้ำจะมีม่านตาบางใสมาปิดตาเพื่อปกป้องการเคืองตา จระเข้ยังมีหูที่รับเสียงได้ดี หูไอ้เข้เป็นร่องอยู่ข้างดวงตาตะไข้ ๒ ข้าง นอกเหนือจากนั้นจระเข้ยังรับทราบอันตรายที่จะมาถึงได้ด้วยผิวหนัง ที่สามารถรับความรู้สึกจากการกระตุกสะเทือนของพื้นดินหรือท้องน้ำได้ ในธรรม
บันทึกการเข้า