วัวคำ “โค” เป็นคำที่แผลงมาจากคำไทยว่า “งัว” ส่วนคำ “วัว” เป็นคำเรียกสัตว์ประเภทนี้ในภาษาบาลี (คำ“โค” นี้บางทีอาจหมายคือดวงอาทิตย์ ยกตัวอย่างเช่นในคำ“โคจร” ซึ่งมีความหมายว่า ฟุตบาทของดวงตะวัน )
ชีววิทยาของวัวโคเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง รับประทานต้นหญ้า มี ๔ เท้า แล้วก็กีบเป็นคู่ เขากลวง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bos Taurus (Linnaeus) จัดอยู่ในตระกูล Bovidae
โคบ้านมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า bos Taurus domesticus Gmelin วัวบ้านของไทยมีวิวัฒนาการมาจากโคป่าหรือวัวออรอคอยกส์ (Aurochs) ซึ่งตอนนี้สิ้นซากไปหมดแล้ว โคป่าที่ยังคงพบในบ้านเราเป็นวัวแดง ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bos javanicus (D’Alton) เข้าใจว่าวัวแดงนี้คงจะสืบสกุลมาจากสชโคออรอคอยกส์ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ถัดมาวัวแดงนี้ก็เลยสืบทอดมาเป็นวัวบ้านของประเทศไทย ทำให้รูปร่างรวมทั้งสีสันของโคบ้านเหมือนวัวแดงมาก แม้กระนั้นรูปร่างใหญ่มากยิ่งกว่าและก็สูงขึ้นยิ่งกว่า โคแดงมีความสูงที่ไหล่ราว ๑.๗๐ เมตร หรือกว่านั้น มีเขายาวราว ๗๐ เซนติเมตร วัวแดงมีสีน้ำตาลแกมแดงเสมือนวัวบ้าน เพศผู้เมื่อแก่มากมายๆสีอาจเปลี่ยนไป วัวแดงเป็นสัตว์ที่ชอบอยู่เป็นฝูง ฝูงหนึ่งมีราว ๒๐-๓๕ ตัว มักมีตัวภรรยาแก่ๆเป็นจ่าฝูง แต่ละฝูงมักมีตัวผู้เพียงแค่ตัวเดียว รอปฏิบัติหน้าที่สืบพันธุ์เมื่อตัวเมียเป็นสัด
สรรพคุณทางยาแพทย์แผนไทยรู้จักใช้นมโค (นมวัว) ขี้วัว (ขี้วัว) และก็น้ำมูตรโค (น้ำมูตรวัว) น้ำมันไขข้อวัว เป็นยา๑. น้ำนมวัว ได้จากเต้านมของโคเพศภรรยาที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ แบบเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า น้ำนมวัวหรือน้ำนมโคมีรสหวาน มัน เย็น มีสรรพคุณปิดธาตุ แก้โรคในอก ชูกำลังและเลือดเนื้อ เจริญรุ่งเรืองไฟธาตุ หมอแผนไทยมักใช้นมวัวเป็นน้ำกระสายยา อาทิเช่น “ยาแก้ลมโกฏฐาสยาวาตา” ใน พระหนังสือโรคนิทาน ใช้ “นมโค” เป็นน้ำกระสายยา ดังนี้ลมโกฏฐาสยาวาตาแตกนั้น มักให้กลิ่นคาวคอ ให้อ้วก ให้จุกเสียด ให้ยัดในอกถ้าเกิดจะแก้ ให้เอาใบสลอดต้มกับเกลือให้สุกแล้วตากแดดให้แห้ง ๑
ชะเอมเทศ ๑
รากเจตมูลเพลิงเเดง ๑ ราก{ตอ|โคนงแตก ๑ รากจิงจ้อใหญ่ ๑
ลำพัน ๑ พริกล่อน ๑
ดีปลี ๑
ใบหนาด ๑
การะบูร ๑ เอาเท่าเทียม ทำเปนจุณ ละลาย น้ำนมโค ก็ได้ น้ำผึ้งก็ได้ น้ำร้อนก็ได้ รับประทานหายแล
๒. ขี้วัว หนังสือเรียนยามักเรียก น้ำมูลโค หมอแผนไทยใช้ขี้วัวปรุงเป็นยาบำบัดโรคอีกทั้งด้านในแล้วก็ข้างนอกหลายขนาน โดยมากใช้ขี้วัวดำ หนังสือเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ขี้วัวดำมีรสขม เย็น มีคุณประโยชน์ดับพิษร้อน พิษไข้ พิษรอยแดง ลางตำราว่าขี้วัวสดแล้วก็แห้งผสมกับใบน้ำเต้าสดและก็สุรา ตำคั้นเอาน้ำ ทาแก้เริม ไฟลามทุ่ง งูสวัด ผื่นคัน แล้วก็แก้พุพอง ฟกบวม ถอนพิษ
๓. น้ำมูตรโค แบบเรียนยามักเรียกว่า น้ำมูตรโค รวมทั้งมักใช้น้ำมูตรวัวดำเป็นน้ำกระสายยา อย่างเช่น ยาสตรีขนานหนึ่งใน พระคัมภีร์มหาโชตรัต ใช้ “มูตรโคดำ” เป็นกระสาย ดังนี้ ถ้าหญิงเลือดตกทางทวารหนักทวารเบา ไม่ออกสะดวก ให้เอาขมิ้นอ้อย ๑
ไพล ๑ ผลผักชีล้อม ๑ บดละลายด้วย มูตรวัวดำ กินหายแล
๔. น้ำมันไขข้อวัว พระคัมภีร์มุจฉาปักขันทิกา ให้ยาน้ำมันทาแก้ไส้ขาดไส้ลุกลามและแผลฝีเน่าขนานหนึ่ง เข้า “น้ำมันไขข้อโค” เป็นเครื่องยาด้วย ดังต่อไปนี้
ถ้าหากมิฟัง พิษนั้นกล้านักมักเผาเอาเนื้อนั้นสุก รุ่นเข้าไปแต่ปลายองคชาตวันแล้ววันเล่าๆดีแล้ว ท่านให้หุงน้ำมันนี้ใส่ ดับพิษรักษาเนื้อไว้ มิให้รุ่นเข้าไปได้ ท่านให้เอามะพร้าวผลิออกบนต้นเขี้ยวน้ำมันให้ได้ถ้วย ๑ จึงเอาใบกระเม็ง ๑ ใบยาดูดใหม่ๆ๑ เปลือกโพกพาย ๑ เปลือกจิก ๑ เปลือกกรด ๑ เบญจลำโพง ๑ ใบเทียน ๑
ใบทับทิม ๑
ใบขมิ้นอ้อย ๑ ใบมัน ๑ ยาทั้งนี้เอาสิ่งละถ้วย ใส่ลงกับน้ำมันที่ทำจากมะพร้าวหุงให้คงแต่ว่าน้ำมัน แล้วเอาน้ำมันแมวดำชาตรีจอก ๑ น้ำมันขัดไก่จอก ๑ น้ำมันไขข้อวัวจอก
๑ ปรุงใส่ลงเถอะยอดเยี่ยมนัก น้ำมันนี้ท่านตีค่าไว้ตำลึงทองหนึ่งใช้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แลตานทรางสรรพพิษฝียุ่ยรุ่น ทั้งแก้มิให้เป็นด่างเป็นแผลให้คงคืนดีคนเก่า แลแก้ไส้กุดไส้ลาม ดังที่ได้กล่าวมาแล้วมาแต่ว่าคราวหลังหายสิ้นอย่าสงสัยเลย ได้ทำมามากมายแล้ว แบบเรียนนี้ฝรั่งเอามาแต่ว่าเมืองยักกัตราแล