รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: สมุนไพรพิกัดโกษฐ  (อ่าน 457 ครั้ง)

Tawatchai1212

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 92
    • ดูรายละเอียด
สมุนไพรพิกัดโกษฐ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2017, 02:51:11 AM »


สมุนไพรพิกัดโกษฐ์
โกรธเป็นพิกัดเครื่องยาหมู่หนึ่งที่ใช้มากมายในไทย ตำราโบราณเขียนชื่อพิกัดยาเหล่านี้ไม่เหมือนกันออกไปหลายแบบ ในศิลาจารึกตำราเรียนที่วัดราชบุตรชายสาราม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (แต่ว่าครั้งท่านยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์) ขอความกรุณาเกล้าให้จารึกไว้เป็นวิทยาทาน เมื่อทรงซ่อมแซมวัดนี้ใน พ.ศ. ๒๓๖๔ มอบเป็นพระราชบุญกุศลแก่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ปรากฏชื่อพิกัดเครื่องยาไทยเดี๋ยวนี้เป็น โกด ทั้งหมดทั้งปวง ตัวอย่างเช่น (พิมพ์ตาตัวอักษรที่ปรากฏในแผ่นจารึก) หากบุทคลคนใดกันแน่เจ็บป่วยเพื่อเสลด ปิตะ วาตะ สมุถานก็ดีแล้ว ทำให้หิวโหยหาแรงมิได้ ให้ระลอตเตอรี่ไป ให้ใจขุ่นหมองไม่ได้ชื่น ให้สวิงสวายหากำลังไม่ได้  ถ้าจะเอายานี้แก้ ยาชื่อมหาสมมิตร เอาโกดทั้งยังห้า เทียรอีกทั้งห้า ตรีผลา จันทังสอง ลูกจัน ดอกจัน มือวาน กานพูล ขิงแห้ง ดีปลี แห้วหมู ไคร้เครือ เกษรบัวหลวง เกษรสารภี เกษรบัวเผื่อน เกษรบัวขม ดอกคำ ดอกผักตบ ดอกพิกุน เกสรบุนนาค ดอกสลิด สักขีพยาน ชลูด อบเชย ชะเอม ปัญหา ชะมดเชียง พิมเสน เอาเท่าเทียมกันทำเป็นจุณ เอาดีงูงูเหลือม เช่น้ำดอกไม้ประสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำดอกไม้ก็ได้ น้ำตาลก็ได้ น้ำค้างคืนก็ได้ รับประทานแก้รส่ำรสายแลดับพิษไข้ทั้งหมด ทำให้คลั่งให้เพ้อให้เชื่อมให้มัว แก้ลิ้นแข็งกระด้างคางแข็ง แลชูกำลังยิ่งนักฯ
ส่วนศิลาจารึกตำราเรียนที่วัดพระเชตุๆพนบริสุทธิ์มังคลาราม(วัดโพธิ์) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้จารึกไว้เพื่อเป็นวิทยาทาน คราวที่ทรงซ่อมซ่อมแซมใหญ่เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๕ แล้วก็คณะอาจารย์สถานที่เรียนหมอแผนโบราณได้รวบรวมพิมพ์เป็นเล่มเมื่อ พุทธศักราช ๒๕๐๕  ในแบบเรียนยาฯนี้บันทึกชื่อเครื่องยาในหมู่นี้เป็น โกฐ ทั้งหมดทั้งปวง ยกตัวอย่างเช่นแผ่นจารึกที่ศาลา ๗ เสา ๖  แผ่น ๔ ดังต่อไปนี้
ปุนะจะปะรัง ลำดับนี้จะกล่าวด้วยนัยหนึ่งใหม่ เกี่ยวกับลักษณะสันนิบาตอันบังเกิดเพื่อดีรั่วนั้นเป็นคำรบ ๔  เมื่อจะเกิดขึ้นแก่บุคคลใดดีแล้ว ก็ทำให้ลงดุจกินยารุ มูลนั้นเหลืองดังน้ำขมิ้นสด ให้เคลิ้มไปพบสติไม่ได้ แลให้หิวโหยนัก บริโภคอาหารไม่อยู่ท้อง ให้สวิงสวาย ให้แน่นหน้าอกเป็นกำลัง ให้อุทธรลั่นอยู่เป็นนิจมิได้ขาด ถ้าเกิดเเลลักษณะเป็นดังกล่าวมาแล้วข้างต้นมานี้ ฯ ถ้าหากจะแก้เอาสมออีกทั้ง ๓ มะขามป้อม ผลจู๋ม จันทน์อีกทั้ง ๒ โกญสอ โกฐเฉมา โกฐก้านพร้าว โกฐพุงปลา โกฐน้ำเต้า กฤษณา กระลำพัก แก่นสน กรักขี แก่นประดู่ รากขี้กาทั้งยัง ๒ ใบสันมีดพร้ามอน ใบคนทีสอ รากกระทกรก รากทิ้งถ่อน รากผักหวาน ว่านน้ำ ไคร้หอม เสมอภาคต้มตามแนวทางให้กิน แก้สันนิบาตอันเกิดขึ้นเพื่อปิตตะสมุฏฐานโรค กล่าวคือดีรั่วนั้นหายดีเลิศนักฯสำหรับ ตำราหมอแผนไทยแผนโบราณ ซึ่งรวบรวมโดยขุนโสภิตบรรณรักษา (อำพัน คำเล่าลือฟุ้งกระจาย) เขียนชื่อเดี๋ยวนี้เป็น โกฏ ทั้งหมดทั้งปวง ดังเช่นยาแก้คอแห้งผากในคัมภีร์เล่ม ๓ ขณะที่ว่าด้วยเสลดทุพพลภาพและก็ยาแก้ ดังต่อไปนี้ ยาแก้คอแห้ง แก้เสลดเหนียว แก้อ้วก เอาโกฏ ๕ เทียนทั้งยัง ๕ ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู ว่านน้ำ ประพรมมิ ดอกบุนนาค เกสรบัวหลวง ลูกราชดัด ขิง พริกไทย บดละลายน้ำท่าแทรกเกลือกิน แก้อ้วกละลายน้ำลูกยอต้มกิน
                     
ส่วนในหนังสือศาสตร์วัณ์ณนา – ตำราเรียนแพทย์แบบเก่า
ซึ่งเรียบเรียงโดยนายสุ่ม วรกิจไพศาล ตามตำราของพระยาเป็นเยี่ยมศาสตร์ดำรง(หนู) ผู้เป็นพ่อ บันทึกชื่อเครื่องยาหมู่นี้เป็น โกฏฐ์ ทั้งผอง ได้แก่ ยาเทพนิมิตรในเล่ม ๔ ดังนี้ ถ้าหากจะเอายาชื่อเทวดานิมิตต์ขนานนี้ ท่านให้เอาโกฏฐ์สอ ๑ โกฏฐ์เชียง ๑ โกฏฐ์เขมา ๑ โกฏฐ์น้ำเต้า ๑ สมุลแว้ง ๑ อบเชย ๑ ขมิ้นเครือ ๑ แก่นสน ๑ พยาน ๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ สิ่งละ ๒ ส่วน ดอกลำดวน ๑ กระดังงา ๑ ดอกจำปา ๑ สิ่งละ ๓ ส่วน จันทน์ ๒ กฤษณา ๑ กระลำพัก ๑ ขอนดอก ๑ แก่นประพรม ๑ ชะเอมเทศ ๑ หวายตะค้า ๑ ดอกคำฝอย ๑ เลือดแรด ๑ สารส้ม ๑ สิ่งละ ๔ ส่วน การบูร ๑ พริกไทย ๑ สิ่งละ ๕ ส่วน แก่นแสมทะเล ๑๖ ส่วน เบ็ญจกูล ตามพิกัด ทำเป็นผงแล้วเอาแห้วหมูเป็นน้ำกระสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำแก่นไม้ต้มแทรกพิมเสนให้รับประทาน แก้โลหิตปกติโทษอันบังเกิดแต่ว่ากระดูกนั้นหายยอดเยี่ยมนักแล
จึงมองเห็นได้ว่าแบบเรียนยาโบราณของไทยใช้ชื่อเครื่องในหมูนี้เป็น โกด โกฐ โกฏ หรือ โกฏฐ์ แตกต่างกันไปตามแต่จะเขียน เรื่องยาพิกัดนี้ทุกประเภทเป็นของที่มีเกิดในต่างแดน และก็มีพ่อค้าต่างประเทศนำเข้ามาขายในประเทศไทยนานแล้ว อย่างต่ำก็ก่อนสมัยสมเด็จพระทุ่งนารายณ์มหาราช (พุทธศักราช ๒๑๗๕ – ๒๒๓๑) เนื่องจากว่าในแบบเรียนแพทย์แผนไทยซึ่ง หนังสือเรียนพระยาพระนารายณ์ได้อ้างถึง ๒ เล่ม เป็นตำราโรคนิทาน และก็หนังสือมหาโชตรัต มียาที่เข้าเข้าพิกัดนี้มากมายหลายขนาน รวมถึงใหหลายขนานในหนังสือเรียนพระโอสถพระนารายณ์เอง แต่ชื่อเครื่องยาหมู่นี้ควรจะเขียนเป็นอย่างไร มีที่มาแล้วก็ความหมายเช่นไร นอกเหนือจากนี้เครื่องยาหมู่นี้บางชนิดเป็นอย่างไร มีที่มาที่ไปยังไงอย่างเป็นข้อโต้เถียงที่ยังหาผลสรุปมิได้
ที่มาของคำ โกษฐ์
โกษฐ์ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ . ๒๕๔๒ เลือกเก็บคำ โกฐ ไว้โดยนิยามดังนี้ โกฐ (โกด) น. ชื่อยาสมุนไพรจำพวกหนึ่ง ได้จากส่วนต่างๆของพืช มีหลายชนิด แบบเรียนยาแผนโบราณเขียนเป็น โกฎ โกฏ โกฏฐ์ โกด หรือ โกษฐ์ ก็มี (เปรียญโกฏฐ) คำ โกฐ ที่ราชบัณฑิตยสถาน (โดยนักปราชญ์ทางบาลี-สันสกฤต) เลือกเก็บไว้นั้น มีในภาษาสันสกฤตจริง แม้กระนั้นเป็นชื่อที่ใช้เรียกสมุนไพรซึ่งหมอแผนไทยเรียกโกฐกระดูก (kut หรือ kuth ) ก็เลยน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการเลือกเก็บคำ โกฐ ของราชบัณฑิตยสถาน แต่ คำ โกฐ นี้มีความหมายว่าโรคเรื้อน ส่วนคำ โกฏฐ ในภาษาบาลีแปลว่า ไส้ ท้อง คำทั้งยัง ๒ คำนี้ ไม่น่าจะเป็นชื่อพิกัดเครื่องยาสมุนไพร นอกเหนือจากนั้น คำที่อ่านออกเสียงว่า โกด เขียนได้อีกหลายแบบ แต่ว่าก็ให้คำจำกัดความที่แตกต่าง ตัวอย่างเช่น
โกส แปลว่า ผอบ; หมายความว่าผอมมาตราวัดความยาวพอๆกับ ๕๐๐ ชั่ว
โกฏิ มีความหมายว่า ๑๐ ล้าน
โกษ หมายความว่า อัณฑะ
หีบศพแปลว่า ที่ใส่ศพนั่ง , ที่ใส่กระดูกผี ฝัก , กระพุ้ง, คลัง คำที่ออกเสียง โกด ที่ใช้เรียกชื่อรวมทั้งพิกัดเครื่องยาสมุนไพรควรเขียนยังไงนั้น คงจะสืบสาวราวเรื่องหาสาเหตุของคำนี้ แล้วเขียนให้ถูกต้อง ให้ตรงหรือใกล้เคียงกับคำในภาษาเดิมให้สูงที่สุด เพื่ออาจจะความหมายเดิมให้สูงที่สุด น่าสังเกตว่า เรื่องยาสมุนไพรพิกัดมีทั้งหมดเป็นเครื่องยาเทศหรือเครื่องยาจีน เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันว่าเป็นของดีและใช้กันมาในประเทศถิ่นเกิดรวมทั้งประเทศใกล้เคียง และก็คำที่ออกเสียงเช่นนี้ในภาษาไทยไม่มีคำไหนที่มีความหมายเกี่ยวกับยาหรือการบำบัดรักษาเลย คำนี้จึงน่าจะเป็นคำในภาษาอื่น อาจเป็นภาษาจีนหรือภาษาแขก เพราะว่าอายุรเวทซึ่งปรับปรุงขึ้นในชมพูทวีปและการแพทย์แผนจีนมีอิทธิพลอย่างยิ่งในการพัฒนาการแพทย์ทางด้านการแพทย์และเภสัชกรรมแผนแพทย์แผนไทยมาแต่โบราณ แต่ว่าคำที่ออกเสียงตัวสะกดแม่กดนั้นไม่มีใช้ในภาษาจีน ด้วยเหตุดังกล่าว คำที่ออกเสียง โกด ก็เลยน่าจะมีที่มาจากภาษาพื้นเมืองใดในประเทศอินเดียหรือเปอร์เซียในตำราอายุรเวทของอินเดีย มีคำ kuth หรือ kuth root เป็นชื่อเครื่องยาในภาษาถิ่นของแคว้นกัษมิระ แล้วก็ตำราเรียนฯว่ามีรากศัพท์มาจากคำ kusta ในภาษาอิหร่านหรืออิหร่าน ส่วนภาษาสันสกฤตเป็น kushta ภาษาฮินดีและเบงกาลีเป็น kut ภาษาร้ายกาจเป็น kostum หรือ goshtam ตำรายาไทยเรียกเครื่องยาจำพวกนี้ว่า โกษฐ์กระดูก (costus) ก็เลยได้ข้อสรุปในในขั้นต้นว่าคำ โกษฐ์ นี้คงจะมาจากภาษาอิหร่าน และคำนี้สื่อความหมายเช่นไร
ความหมายของคำ โกษฐ์
เมื่อคำ โกษฐ์ เป็นคำในภาษาเปอร์เซีย ก็เลยจะต้องค้นหาความหมายของคำในภาษาอิหร่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำในภาษาดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นที่ใช้กับยาบำบัดโรคในคู่มืออูนานิ (Unani) แพทย์โอนาไม่หลังจากที่ได้พากเพียรค้นหาความหมายของคำนี้มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานหลายสิบปี เมื่อไม่นานนี้เองก็เลยได้พบคำนี้ในหนังสือเก่าชื่อ หนังสือเรียนยาที่การแพทย์ตะวันออกของแฮมดาร์ด (Hamdard Pharmacopoeia of Eastern Medicine) เรียบเรียงคำแนะนำของที่ประชุมที่ปรึกษาทางเภสัชศาสตร์แห่งหมูแฮมดาร์ด (The Pharmaceutical Advisory Council of Hamdard) มีนาย ฮะกิม อับดุล ฮาเมด (Hakim Abdul Hamed) เป็นประธาน และนายฮากิม โมฮัมเมด ซาเหนื่อย (Hakim Mohammed Said) เป็นบรรณาธิการ (หนังสือไม่ได้เจาะจงปีที่พิมพ์รวมทั้งสถานที่พิมพ์) ในแบบเรียนดังที่กล่าวมาแล้ว ๒๒๒ มียาหมวดหนึ่งเรียก kushta เขียนไว้ดังนี้
kushta is the past participle of kushtan (Persian for to kill) kushta therefore means killed or conquered In the Tibbi terminology kushta is employed for a medicine that used in small quantities and one that is immediately effective A kushta is a blend of metallic oxides , non-metals and their compounds, or minerals The ingredients are oxidized through the action of heat-a process that is rather specialized.The preparation of kushta results in the efficacy of a medicine and, after effecting its entry into the body the kushta discharges its curative role promptly and effectively.
จึงสรุปได้ว่า คำนี้เป็นคำในภาษาอิหร่าน มีความหมายว่า ฆ่า ปราบ กำจัด ทําให้หายไป เทียบเสียงเป็น kushta และควรจะเทียบเคียงเป็นภาษาไทยว่า โกษฐ์ ก็เลยจะตรงกับคำในภาษาเดิมเยอะที่สุด และก็ให้ความหมายที่ไม่อาจเป็นอันอื่นได้ คำ โกษฐ์ นี้คงเข้ามาสู่อาณาจักรไทยพร้อมๆกับวัฒนธรรมอื่นๆของอิหร่าน รวมทั้งการแพทย์โบราณแห่งสยามประเทศคงยืมคำนี้มาใช้เรียกเครื่องยาหลายอย่าง ซึ่งแม้จะใช้เพลงปริมาณน้อย แต่ก็ทรงพลังสำหรับการบรรเทาโรคในช่วงช่วงเวลาสั้นๆ
โกษฐ์ที่ใช้ในยาไทย
หมอแผนไทยรู้จักในเครื่องยาจีนแล้วก็เครื่องยาเทศหลายประเภทในยาไทย การแสดงให้เห็นภูมิปัญญาอันเฉียบแหลมปราดเปรื่องของบรรพบุรุษไทยที่รู้จักใช้ของดีๆของต่างชาติในยาไทย เครื่องยาเหล่านี้หลายชนิดเรียก โกษฐ์ โดยจัดเป็นพิกัดตัวยาเป็น โกษฐ์ ๕ โกษฐ์ อีกทั้ง ๗ โกษฐ์  ๙ และโกษฐ์พิเศษ นอกจากนี้ยังมีกดอีกหลายอย่างที่ไม่ได้จะเข้าเอาไว้ในพิกัดตัวยาเรียกโกษฐ์นอกพิกัด
ตารางที่๒ เครื่องยาในพิกัดโกษฐ์
เครื่องยา                ชื่อพฤษศาสตร์ของแหล่งที่มา สกุล             ส่วนของพืช
โกษฐ์เชียง              Angelica sinensis (Oliv.) Diels      Umbelliferae     รากแห้ง
โกษฐ์สอ Angelica dahurica (Fisch. Ex Hoffm.)
Benth. Hook.f. ex France&Sav.  Umbelliferae     รากแห้ง
โกษฐ์หัวบัว            Ligusticum sinense Oliv. cv. Chuanxiong                Umbelliferae     เหง้าแห้ง
โกษฐ์เขมา    Atractylodes lancea (Thunb.) DC.              Compositae        เหง้าแห้ง
โกษฐ์จุฬาลัมพา    Artemisia annua L.           Compositae        ใบและก็เรือนยอดที่-มีดอก
โกษฐ์ก้านพร้าว     Picrorhiza kurrooa Royle ex Benh.            Scrophulariaceae             เหง้าแห้ง
โกษฐ์กระดูก          Saussurea lappa Clarke  Compositae        เหง้าแห้ง
โกษฐ์พุงปลา         Terminalia chebula Retz.               Combretaceae  ปุ่มหูดที่กิ่งอ่อนและก็ใบ
โกษฐ์ชฎามังษี       Nardistachys grandiflora DC.       Valerianaceae   รากและเหง้าแห้ง
โกษฐ์กะเกลือก        Strychnos nux-vomica L.               Loganiaceae       เม็ดแก่จัดเหง้าแห้ง
โกษฐ์กรักกรา        Pistacia chinensis Bunge spp. Integerrima (Stew. Ex Brandis) Rech.f.        Anacardiaceae  ปุ่มหูดที่กิ่งอ่อน
โกษฐ์น้ำเต้า           Rheum officinale Baill. หรือ R.palmatum L. หรือ R. tanguticum (Maxim.) Maxim. Ex Regel  Polyganaceae    รากและก็เหง้าแห้ง
โกฐทั้งยัง  ๕ (ห้าโกษฐ์)  เป็นพิกัดเครื่องยาไทยอย่างเช่น โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เขมา แล้วก็โกษฐ์จุฬาลัมพา หนังสือเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่ายาหมู่นี้มีสรรพคุณโดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสมหะ แก้หืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก ชูกำลัง บำรุงโลหิต และก็แก้ลมในกองธาตุ โกษฐ์ทั้งยัง ๕ นี้เป็นเครื่องยาจีนที่มีขายในประเทศไทยมาแม้กระนั้นโบราณ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นเครื่องยาที่ใช้มากในสมัยก่อนรวมทั้งยาไทย
โกษฐ์ ทั้งยัง  ๗ (สัตตโกษฐ์)  เป็นพิกัดตัวยา ประกอบด้วยเรื่องยา ๗ ชนิด คือโกษฐ์อีกทั้ง (โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เฉมา และโกษฐ์จุฬาลัมพา ) โกษฐ์ก้านพร้าว และก็ โกษฐ์กระดูกอีก ๒ จำพวก แบบเรียนโมสรรพคุณยาโบราณว่ายาพักนี้มีสรรพคุณโดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสมหะ แก้โรคหืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก ชูกำลัง บำรุงโลหิต แก้ลมในกองธาตุ แก้ไข้เรื้อรัง แก้หอบสะอึก และบำรุงกระดูก
โกษฐ์อีกทั้ง  ๙ (เนาวโกษฐ์)
เป็นพิกัดตัวยา มีโกษฐ์ทั้งยัง๗ (โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เฉมา และโกษฐ์จุฬาลัมพา โกษฐ์ก้านพร้าว โกษฐ์กระดูก) กับ โกษฐ์ชฎามังษีและโกษฐ์พุง
โกษฐ์พิเศษ
มีเครื่องยา ๓ ชนิด ดังเช่นว่า โกษฐ์กะเกลือก โกษฐ์กักกรา และโกษฐ์น้ำเต้า พิกัดโกษฐ์นี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้โรคในปากในคอ ขับพยาธิ แก้พิษสัตว์กัดต่อย แก้ในกองอตำหนิสาร แก้ริดสีดวงทวาร ขับลมในไส้ แก้หนองใน ขับเมนส์ร้าย เพื่อช่วยให้เด็กนักเรียนวิชาเภสัชกรรมแผนไทยจำชื่อโกษฐ์ทั้งปวงได้ มหากัน สิกขรชาติ ได้เขียนกลอนช่วยกันจำเกี่ยวกับโกษฐ์ประเภทต่างๆในพิกัดยาไทยเรียงตามลำดับดังนี้
เชียงสอขอหัวบัว เฉมาชั่วลักจุฬา
ก้านพร้าวเผากระดูก พุงปลาปลูกเอาไว้ในชฎา
กะกลิ้งและกรักกรา โกษฐ์น้ําเต้าตามเค้ามูล
โกษฐ์เชียง
โกษฐ์เชียงเป็นรากแห้งของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Angelica sinensis (Oliv.) Diels วงศ์ Umbelliferae คำว่า เชียง แปลได้หลายชนิด เป็นต้นว่า แสดงว่ามาจากเมือง หรือเมือง (ที่อยู่ชายน้ำ) ก็ได้ แต่ว่าในที่นี้หมายความว่า (มาจาก) ที่สูง มีชื่อพ้อง Angelica polymorpha Maxim. var. sinensis Oliv.จีนเรียกเครื่องยานี้ว่า ตังกุย มีชื่อสามัญว่า Chinese angelica พืชที่ให้โกษฐ์เชียงเป็นไม้ล้มลุกอายุยาวนานหลายปีสูง ๔๐-๑๐๐ ซม. ร่างเจ้าเนื้อหนา ทรงกระบอก แยกเป็นรากแขนงหลายราก มีกลิ่นหอมแรงเฉพาะ ลำต้นตั้งชัน สีเขียวอมม่วง ใบหยักลึกแบบขนนกสามชั้น รูปไข่ (ตามแนวเส้นรอบนอก) ขนาดกว้าง ๒๕ เซนติเมตร ยาว ๓๐ เซนติเมตร แฉกใบมีก้านเห็นได้ชัดเจน
รูปไข่ถึงรูปใบหอก แกมรูปไข่ กว้าง ๐.๘-๒.๕ ซม. ยาว ๒-๒.๓ เซนติเมตร ขอบหยักฟันเลื่อยแบบไม่บ่อยนัก มักแยกเป็นแฉกย่อย ๒-๓ แฉก แผ่นใบเรียบ (เว้นเสียแต่บริเวณเส้นใบ) ก้านใบยาว ๕-๒๐ ซม. โคนแผ่นเป็นกาบแคบๆสีอมม่วง ดอกออกเป็นช่อซี่ร่ม ออกตามปลายกิ่งหรือออกข้างๆตามซอกใบ ก้านช่อยาว ๘-๑๐ เซนติเมตร ใบประดับมี ๐-๒ ใบ รูปแถบ มีช่อซี่ร่มย่อยขนาดไม่เท่ากัน ๑๐-๓๐ ช่อ ใบตกแต่งย่อยมี ๒-๔ ใบ รูปแถบ ยาวได้ถึง ๕ มิลลิเมตร ช่อซี่ร่มมีดอกย่อยสีขาว (ครั้งคราวสีแดงอมม่วง) ๑๓-๓๕ ดอก กลีบเลี้ยงฝ่อ รูปไข่กลับ ปลายเว้าตื้น ฐานก้านเกสรเพศเมียกลมแบน ขอบรอยแผลปีกยื่นออก ผลเป็นผลแบบผักชี ด้านล่างแบนข้าง รูปขอบขนานปนรูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง ๓-๔ ไม่ลลิเมคร ยาว ๔-๖ มิลลิเมตร สันด้านล่างครึ้มแคบ ด้านข้างมีปีกบาง กว้างราวความกว้างของผล มีท่อน้ำมัน ๑ ท่อต่อ ๑ ร่อง แต่มี ๒ ท่อตรงแนวเชื่อม พืชจำพวกนี้มีเขตการกระจายชนิดในป่าดิบ ตามภูเขาสูงทางภาคกึ่งกลางของประเทศจีน เป็นบริเวณเขตกานซู หูเปย์ ซานซี ซื่อเชื้อเชิญ (เสฉวน) รวมทั้งหยุนดกน (ยูนนาน) พบขึ้นในที่สูงจากระดับน้ำทะเล ๒๕๐๐-๓๐๐๐ เมตร มีดอกในมิถานายนถึงเดือนกรกฎาคม ได้ผลในก.ค.ถึงกันคุณยายน พืชชนิดนี้ถูกพัฒนาสายพันธุ์เป็นพืชพืชปลูกเอาไว้ในเมืองจีนมานานนับพันปีแล้ว เดี๋ยวนี้ปลูกเป็นพืชอาสินในประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี แล้วก็เวียดนาม
โกษฐ์เชียงเป็นรากแห้ง แบบทรงกระบอก ปลายแยกเป็นแขนง ๓-๕ แขนง หรือมากกว่า ยาว ๑๕-๒๕ ซม. เปลือกนอกสีน้ำตาลอมเหลืองถึงสีน้ำตาล มีรอยย่นตามแนวยาว รอยช่องอากาศตามแนวขวาง ผิวไม่เรียบ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑.๕-๔ เซนติเมตร มีแอนนูลัส ปลายมนรวมทั้งกลม มีร่องรอยส่วนโคนต้นรวมทั้งจากใบสีม่วงหรือสีเขียวอมเหลือง รากกิ้งก้าน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสูงสุด ๐.๓-๑ ซม. ตอนบนดกตอนล่างเรียวเล็ก โดยมากบิด มีแผลที่เกิดขึ้นจากรากฝอย เนื้อเหนียว รอยหักสีขาวหรือสีน้ำตาลอมเหลือง เปลือกรากหนา มีร่องแลกเปลี่ยนจุดหลายชิ้น ส่วนเนื้อรากสีจางกว่า มีวงแคมเบียมสีน้ำตาลอมเหลือง มีกลิ่นหอมยวนใจแรง รสหวาน ฉุน แล้วก็ขมนิดหน่อย
คนจีนนิยมใช้ โกษฐ์เชียง เป็นเครื่องยาในยาขนาดต่างๆเยอะมาก ด้อยกว่าก็แต่ชะเอม (licorice) แค่นั้น จีนใช้ขวดเชียงแตกต่างกันเป็น รากหลักที่จีนเรียก (ตัง) กุยเท้า (สำเนียงแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ส่วนรากแขนงน้ำจีนเรียก (ตัง) กุยบ๊วย (สำเนียงแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยาขับรอบเดือน หมอแผนจีนใช้เครื่องยาประเภทนี้ในยาเกี่ยวกับโรคเฉพาะสตรี เช่น ยาขับเมนส์ ยาโรคตีขึ้น แก้ไข้บนกระดานไฟ เกี่ยวกับอาการเลือดออกทุกชนิด แก้หวัด แก้ท้องขึ้น ท้องอืด ตกมูกเลือด ขนาดที่ใช้คือ ๓-๙ กรัม สตรีจีนนิยมใช้โกษฐ์เชียงเป็นยากระตุ้น อวัยวะสืบพันธุ์ เพื่อให้ปฏิบัติผัวเจริญแล้วก็เมื่อมีให้มีลูกดก โกษฐ์เชียงที่ขายตามร้านขายยาเครื่องยาสมุนไพรมักเป็น(ตัง) กุยบ๊วย หนังสือเรียนบริบูรณ์ยาโบราณว่าโกษฐ์เชียงมีกลิ่นหอมยวนใจ รสหวานขม แก้ไข้ แก้สะอึก แก้เสียดแทงสองราวข้าง โกษฐ์นี้เป็นโกษฐ์ประเภทหนึ่งในพิกัดโกษฐ์อีกทั้ง ๕ โกษฐ์อีกทั้ง ๗ และโกษฐ์ทั้งยัง ๙ โกษฐ์เชียงน้ำมันระเหยง่ายอยู่ราวจำนวนร้อยละ ๐.๑-๐.๓ ในน้ำมันระเหยง่ายมีสารเชฟโรล (safrole) สารไอโซเซฟโรล (isosafrole) สารคาร์วาคคอยล (carvacrol) ฯลฯ เว้นแต่น้ำมันระเหยง่ายแล้วยังมีสารอื่นๆอีกหลายอย่าง ดังเช่น สาร ไลกัสติไลค์ (ligustilide) กรดเฟรูลิก (ferulic acid) กรด เอ็น-วาเลอโรฟีโนน-โอ-คาร์บอกซิลิก(n-valerophenone-O-carboxylic acid)
โกษฐ์สอ
เป็นรากแห้งของพืชอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Angelica dahurica (Fisch ex Hoffm.) Benth & Hook.f. ex Franch , Sav. ในวงศ์ Umbelliferaeมีชื่อพ้องหลายชื่อ ยกตัวอย่างเช่น Callisace dahurica Franch & Sav., Angelica macrocarpa H.Wolff, Angelica porphyrocaulis Nakai &Kitag.,Angelica tschiliensis H.Wolff คำ สอ เป็นภาษาเขมรแปลว่าขาว ตำราเรียนโบราณลางเล่มเรียกเครื่องยานี้ว่า โกษฐ์สอจีน จีนเรียก พ่อยจื่อ (สำเนียงแมนดาริน) เปะจี๋ (สำเนียงแต้จิ๋ว) มีชื่อสามัญว่า Dahurain angelica พืชที่ให้โกษฐ์สอเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูง ๑.-๒.๕๐ เมตร รากเจ้าเนื้อใหญ่ เนื้อแข็ง รูปกรวยยาว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓-๕ ซม. อาจยาวได้ถึง ๓๐ ซม. หรือมากยิ่งกว่า อาจแยกแขนงตรงปลาย มีกลิ่นหอมแรงเฉพาะ ลำต้นตั้งชัน เจ้าเนื้อสั้น โคนต้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒-๕ เซนติเมตร (หรือมากกว่า) มีสีม่วงแต้มนิดหน่อย ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก หรือหยักลึกแบบขนนก ๓ ชั้น แผ่นใบรูปไข่ปนรูปสามเหลี่ยม (ตามแนวเส้นรอบนอก) กว้างถึง ๔๐ เซนติเมตร ยาวถึง ๕๐ ซม. แฉกใบไม่มีก้าน รูปรีแคบถึงรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน กว้าง ๑-๔ เซนติเมตร ยาว ๔-๑๐ ซม. ปลายแหลม โคนเป็นครีบน้อย ขอบหยักฟันเลื่อยห่างๆก้านใบยาว โคนแผ่เป็นปีก ใบด้านบนรถยนต์รูปเหลือเพียงแค่กาบที่เกือบไม่มีแผ่นใบ ดอกเป็นดอกช่อซี่ร่มย่อยขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๑๐-๓๐ ซม. สีขาว ใบตกแต่งมี ๐-๒ ใบ เหมือนกาบ ป่องออกหุ้มช่อดอกเมื่อยังอ่อนอยู่ มีซี่ร่มย่อย ๑๘-๔๐ (หรือบางคราวถึง ๗๐) มีขนสั้นๆใบประดับย่อยมี ๑๔- ๑๖ ใบ รูปใบหอกแกมรูปแถบ ยาวแทบเท่าดอกย่อย กลีบเลี้ยงฝ่อ กลีบดอกมี ๕ กลีบ รูปไข่กลั
บันทึกการเข้า