วิถีแห่งความสำเร็จและการได้มาในสิ่งที่คุณต้องการ เลือกทำในสิ่งที่คุณรัก แล้วความสำเร็จจะตามมาเอง ผมอยากแบ่งปันเรื่องแรงบันดาลใจ และความลุ่มหลงในงาน (Passion) ว่าสองสิ่งนี้มีผลต่อการประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงานอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อพูดเรื่องการประสบความสำเร็จ มันต้องมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน เพื่อให้คุณและผมเข้าใจตรงกันว่าเราพูดเรื่องเดียวกันอยู่ การประสบความสำเร็จในที่นี้มี 3ความหมาย คือคุณได้ทำในสิ่งที่คุณรัก, คุณมีรายได้ที่คุณพอใจจากสิ่งที่คุณรัก และคุณมีความสุขในชีวิตการทำงานของตัวเอง ซึ่งจากการสอบถามเศรษฐีที่รวยติดอันดับโลกหลายคน โดย Richard ST.John จาก TED Education ถึงเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง และก็ได้คำตอบว่า ไม่มีใครตอบว่า “รวย” พวกเขาแค่อยากทำในสิ่งที่ตัวเองรัก
คำถามสำคัญคือ “เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรารักที่จะทำอะไร” ไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ หรือรู้ได้ชัดเจนว่าเราอยากทำอะไร หลายคนรู้ตัวตอนเป็นเด็ก หลายคนรู้ตัวตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย หลายคนรู้ตัวตอนฝึกงาน หลายคนรู้ตัวตอนเริ่มทำงานจริงๆ และอีกหลายๆ คนแม้ทำงานมาครึ่งชีวิตก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วเราอยากทำอะไร เราแค่ทำงานเพื่อให้มีเงินใช้เท่านั้น ไม่มีเงินแล้วมันจะอดตาย หรือชีวิตผู้ใหญ่มันไม่ใช่เรื่องของการตามหาความฝันแบบวัยรุ่น มีเรื่องต้องรับผิดชอบมากเกินกว่าจะตั้งคำถามว่า “จริงๆ แล้วเราต้องการทำอะไร” ถ้าคุณคิดอย่างนั้น ผมอยากให้คุณลองคิดดูใหม่อีกครั้ง เพราะประเด็นของผมคือ“คุณจะไม่สามารถประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างมีความสุขได้เลย หากคุณไม่ได้ทำในสิ่งที่คุณชอบหรือรัก”
การค้นหาตัวเองเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่ง ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวเรา คนอื่นจึงช่วยเราไม่ค่อยได้ ผมจึงมีไอเดียง่ายๆ ที่จะช่วยคุณหาสิ่งที่คุณชอบในไม่กี่ขั้นตอน ลองคิดตามนะครับ...
1. ถ้าคุณสามารถหาเงินได้มากพอตามที่คุณต้องการจากการทำอะไรก็ได้ โดยมีข้อแม้ว่าคุณจะต้องทำมันไปเรื่อยๆ จนเกษียณ สิ่งนั้นคือ …
2. ในสิ่งที่คุณเลือกทำจากข้อแรก คุณทำได้ดีกว่าคนอื่นหรือไม่ ถ้าคนอื่นในที่นี้หมายถึงผู้คนรอบๆ ตัวคุณ คนในครอบครัว เพื่อนร่วมชั้นเรียน หรือเพื่อนร่วมงาน ถ้าทำได้ดี กว่าให้คุณไปที่ข้อ
3. แต่ถ้าไม่ คุณต้องหาทางเรียนหรือฝึกฝนเพิ่มเติม
4. พยายามคิดว่าเราจะหารายได้จากสิ่งที่เราเลือกได้อย่างไร ขั้นตอนนี้อาจต้องใช้เวลา ขึ้นอยู่กับมุมมอง ความรู้ และประสบการณ์ที่คุณมีต่อโลก บางสิ่งที่ตอนเด็กคุณไม่คิดว่ามันจะทำเงินได้ มันอาจจะทำเงินได้มหาศาลเมื่อคุณพิจารณามันอีกทีตอนโตขึ้น เช่น นักชิมชา, รับออกแบบและผลิตบ้านสุนัข, รับเพ้นท์หน้ากากโทรศัพท์มือถือ, เขียนรีวิวสินค้าและบริการ, ขายภาพถ่ายกับ Photo Stock ต่างๆ, ประดิษฐ์ของจิ๋ว, เพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยง เป็นต้น
กุญแจสำคัญคือเมื่อคุณรักในสิ่งที่คุณทำ คุณจะอยากทำมันตลอดเวลา หลงไหลมัน (Passion) อยากทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อคุณทำมันได้ดีขึ้น คุณก็จะขายมันได้ เพราะคนอื่นทำอย่างที่คุณทำไม่ได้ เพียงแต่คุณต้องขายให้ถูกคน ถูกที่ และถูกเวลา แล้วความสำเร็จก็จะเป็นของคุณ... หวังว่าบทความนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้คุณเริ่มค้นหา Passion ที่ซ่อนอยู่ในตัวเองนะครับ ^^
คุณอย่าไปเอาการศึกษามาเป็นแพะรับบาปในสาเหตุที่คุณด้อยกว่าเพื่อนในเรื่องฐานะการเงิน การที่เพื่อนเรียนไม่เก่ง ไม่ได้หมายความว่าเค้าไม่ได้มีดีอย่างอื่น หากคุณเป็นคนที่วัดทุกอย่างด้วยการเรียน มันก็เป็นอะไรที่โลกแคบมาก ๆ การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ แต่การศึกษาเรียนรู้สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ใช่แค่ในโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือวัดด้วย GPA อย่างที่คุณคิด เพื่อนคุณกล้าเริ่มต้นทำธุรกิจ ในขณะที่คุณยังเป็นแค่ลูกจ้างกินเงินเดือน แค่นี้ก็มากพอแล้ว หากคุณต้องการซื้อ Cayenne ได้ซักคัน คุณควรจะมีรายได้เดือนละ 3 แสนอย่างต่ำสุด ๆ คุณไม่กล้าแม้แต่จะคิดเรื่องนี้ แต่เพื่อนคุณกล้าที่จะเริ่มต้นเดินเข้าหารายได้ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่คุณทำงานแล้วหวังว่าเงินเดือนจะปรับขึ้นปีละ 10-15% ไปปีต่อปี พอเห็นเพื่อนสำเร็จ แทนที่จะยินดี และกระตือรือร้นขอคำแนะนำ คุณกลับมี ego ที่ยังติดภาพความเหนือกว่า สุดท้ายก็ต้องกลับมา fail เงียบ ๆ คนเดียวที่บ้าน ถ้าจะถามว่าเพื่อนคุณมีอะไรที่คุณไม่มี
1. ความกล้าที่จะคิด และปฏิบัติ
2. ทัศนคติเชิงบวก
เรื่องอื่น ๆ ยังไม่ต้องพูดถึงหรอก หากคุณยังไม่สามารถปลูกความคิด 2 อย่างนี้ในใจคุณได้ คุณจะไม่มีวันได้แตะเท้าเข้าไปอยู่ในโลกของเพื่อนที่คุณอิจฉาเลย ตลอดชีวิตของคุณ แต่อย่าไปคิดมาก คนที่เรียนไม่เก่ง แล้วประสบความสำเร็จน่ะ มันก็แค่ส่วนน้อย แต่เป็นส่วนน้อยที่คนส่วนมาก ไม่เคยคิดจะทำความเข้าใจว่า คนกลุ่มนี้ มีอย่างอื่นที่ดีและเจ๋งกว่าปริญญามากมายนัก
บทความรอบนี้เจ้าของบล็อกขอพูดสาระดีๆในชีวิตมั่งเหอะ น้อยมากที่เจ้าของบล็อกจะมานั่งคิดบทความแบบนี้ได้
ที่เจ้าของบล็อกมานั่งพูดถึง "โอกาส" ในคราวนี้ก็เพราะวันก่อนเจ้าของบล็อกพารุ่นน้องไปรู้จักที่ที่รุ่นน้องสนใจจะฝึกงาน ซึ่งก็เป็นที่ที่เจ้าของบล็อกตั้งใจว่าจบไปจะทำงานที่นั่นเลยล่ะ ก็สาธยายเกี่ยวกับที่นั่นและที่เจ้าของบล็อกเคยทำตอนฝึกงาน รุ่นน้องฟังไปฟังมาก็บอกว่า ทำไมเจ้าของบล็อกดูเก่งจัง
คำนี้ล่ะ จุดเริ่มต้นที่เจ้าของบล็อกมาเขียนบทความนี้ เจ้าของบล็อกไม่ใช่คนที่เก่งซักเท่าไรหรอก แต่เจ้าของบล็อกแค่ได้ทำในสิ่งที่ชอบและสิ่งที่สนใจและรู้จักไขว่คว้า "โอกาส" มาไว้ที่ตัวเอง ก็เท่านั้นเอง คนอื่นๆหลายๆคนที่มีอนาคตที่ดีตามที่ต้องการ ไม่ได้มาจาก เรียนเก่ง มีความรู้ หรือฐานะดีกันทุกคนหรอก มีไม่น้อยเลยที่เริ่มต้นในจุดที่ด้อยกว่าที่ว่ามา แต่คนเหล่านี้รู้จักที่จะไขว่คว้าโอกาสให้มาอยู่ตรงหน้า หาใช่รอโอกาสที่จะมาหาตัวเองเข้าซักวัน เหมือนพวกที่ชอบบ่นว่า เมื่อไรจะมีแฟนกับเค้าบ้าง แต่ตัวเองดันไม่คิดจะออกไปหาใครเลย สักแต่ว่ารอไปวันๆให้มีคนดีๆเข้ามาหาตัวเอง
สำหรับเจ้าของบล็อก โอกาสนั้นมีผ่านเข้ามาในชีวิตเราตลอดแหละ เพียงแต่ว่าคุณเลือกที่จะคว้ามันมาหรือไม่ก็เท่านั้นเอง ตั้งแต่ยังเด็กเราทุกๆคนก็มีโอกาสที่จะได้เกิดได้เรียนอนุบาล จนกระทั่งเรียนจบมัธยมปลายไปจนถึงโอกาสที่จะเข้าเรียนต่อระดับมหาลัย แต่ก็ไม่ใช่ว่าการเลือกเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นจะดีเสมอไป หลายๆคนที่เลือกโอกาสทางอื่นแทนที่จะเรียนต่อก็มีและก็มีมากมายที่ประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่เรียนต่อ คนที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ รู้จักไขว่คว้าโอกาสตามที่ตนเองต้องการ
ในปัจจุบันนี้ เจ้าของบล็อกบอกตรงๆเลยว่ามีหลายคนที่ยังไม่รู้เลยว่าเรียนจบไป อยากจะทำงานอะไร บางคนพูดแล้วกลับหัวเราะได้เต็มปากกับคำพูดของตัวเองที่ไม่มีความฝันในวันข้างหน้า ได้แต่ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ สำหรับเจ้าของบล็อกนะ จะเรียนต่อหรือไม่ก็ตามมันไม่สำคัญ แค่ขอให้รู้ตัวว่าเรามีความฝันอะไร และก้าวไปหามันก็พอ สุดท้ายก็จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดและที่สำคัญคือ ได้ทำในสิ่งที่ "รัก" ในจุดๆนี้ เจ้าของบล็อกเชื่อว่าหลายคนนั้นกลับมองไม่ออก ฝากความหวังไว้ที่การเรียนสูงๆ ก็จะมีงานดีๆเข้ามาเอง อันนี้เจ้าของบล็อกไม่แย้งหรอก แต่ก็ไม่เป็นจริงเสมอไป เพราะสำหรับเจ้าของบล็อกสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ "โอกาส" ไอสิ่งที่เจ้าของบล็อกได้เริ่มพล่ามถึงมันนี่ล่ะ
คุณลองนึกถึงวันที่คุณใกล้จะเรียนจบระดับปริญญาตรี วันหนึ่งได้มีประกาศรับ
สมัครงานจากบริษัทแห่งหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขว่าเกรดเฉลี่ยที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่า 3.00 หลายคนตัดใจที่แห่งนี้เลย เพราะเกรดน้อยกว่า 3.00 สำหรับคนที่ต่ำกว่า 3.00 จนเกินไปอย่างต่ำกว่า 2.50 เจ้าของบล็อกก็เข้าใจนะ แต่คนที่ประมาณ 2.70 ขึ้นไปเนี่ย กลับตัดใจกันทิ้งซะงั้น เพราะคิดว่ายังไงก็ไม่ได้แน่ๆ จริงๆแล้วมีหลายๆแห่งที่รับสมัครคนที่ต่ำกว่า 3.00 อยู่ ทั้งๆที่ใบสมัครบอกว่ารับขั้นต่ำ 3.00 ก็ตามเถอะ เพราะบริษัทจะมีมาตรฐานสำหรับรับคนในแต่ละที่ตามแต่ละบริษัท คนที่เกรดเกิน 3.00 เป็นคนที่มีฝีมือและอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการ ส่วนจะได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการคัดเลือกในขั้นตอนสัมภาษณ์นั่นเอง ในขณะที่จุดนี้คนที่เกรดต่ำกว่า 3.00 ก็มีโอกาสเช่นกัน หลายที่เลยล่ะที่รับคนที่เกรดต่ำกว่าที่กำหนดไว้ในใบสมัคร เพราะถ้าคนเหล่านั้นกล้าที่จะสมัคร ก็หมายถึงคนเหล่านั้นกล้าที่จะคว้าโอกาสให้กับตัวเอง รวมไปถึงความทะเยอทะยานด้วย เชื่อเหอะ มีไม่กี่ที่หรอก ที่ไม่รับที่คนมีความกล้าและกระตือรือร้น
เจ้าของบล็อกเชื่อว่า แค่ทำในสิ่งที่ต้องการ และอยู่ได้อย่างสบายใจ ไม่มีปัญหา และไม่จำเป็นต้องเป็นเป้าหมายสูงสุด ก็พอแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ต้องดูด้วยว่า โอกาส ที่จะเลือกนั้นเหมาะสมแค่ไหน เดือดร้อนคนอื่นมั้ย ต้องการจริงๆมั้ย เพราะคนที่ไขว่คว้าโอกาส ก็ใช่ว่าจะพบกับความสำเร็จในอนาคตเสมอไป ถ้าคุณมองเป็นและคว้ามันถูกต้องละก็ ไม่ใช่ปัญหาเลย
จบท้ายดีกว่า... ชักจะยาวเกินไปแล้ว สำหรับบทความนี้ ไม่ต้องเชื่อทุกเรื่องหรอก นี่ก็แค่คติของเจ้าของบล็อกก็เท่านั้น ไม่ใช่ของทุกๆคน เพราะทุกๆคนก็มีแนวคิดที่แตกต่างกันออกไป จะมานั่งบอกว่าอันนี้ถูกต้องอันนั้นมันผิดก็ใช่เรื่อง แต่สำหรับบทความนี้ เจ้าของบล็อกต้องการให้กำลังใจสำหรับคนที่ยังไม่รู้ตัวหรือพยายามหาทางให้กับตัวเอง ได้หลงเข้ามาเห็นหรือเผลอตัวมาอ่าน ได้รู้จักคว้าโอกาสให้กับตัวเองและได้ทำในสิ่งที่ตนเองเลือกและชอบก็พอแล้ว
"ถึงอนาคตจะเลือกไม่ได้ และอดีตก็แก้ไขไม่ได้ แต่เราเลือกปัจจุบันของเราได้ด้วยการกระทำและคนที่ไม่มีความฝันก็เหมือนคนที่ไม่มีชีวิต คนที่เลือกหาโอกาสที่จะทำตามฝันให้เป็นจริงก็เหมือนคนที่กล้าจะยืนหยัดให้มีชีวิตอยู่ต่อไป"
หางานกับ jobs-dd.comTags : หางาน,สมัครงาน,ตำแหน่งงานว่าง