รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: อังกาบหนู มีสรรพคุณเเละประโยชน์  (อ่าน 535 ครั้ง)

ำพ

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 38
    • ดูรายละเอียด
อังกาบหนู มีสรรพคุณเเละประโยชน์
« เมื่อ: ธันวาคม 05, 2018, 11:18:00 AM »


อังกาบหนู
ชื่อสมุนไพร  อังกาบหนู
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น  เขี้ยวแก้ว , เขี้ยวเนื้อ (ภาคกลาง) , มันไก่ (ภาคเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Barleria prionitis Linn.
ชื่อสามัญ   Porcupine flower
วงศ์  ACANTHACEAE
ถิ่นกำเนิด
อังกาบหนูเป็นพืชที่มีบ้านเกิดเมืองนอนในเขตร้อนต่างๆทั้งโลก โดยมีเขตการกระจายจำพวกในหลายประเทศตามเขตร้อนต่างๆตัวอย่างเช่น แอฟริกา อินเดีย ปากีสถาน มาเลเซีย ประเทศพม่า ลาว กัมพูชารวมทั้งไทย สำหรับในประเทศไทย พบได้ทั่วไปขึ้นหนาแน่นเป็นวัชพืชอยู่ตามเขาหินปูนในที่แห้งแล้งทางภาคใต้และภาคตะวันตกเฉียงใต้
ลักษณะทั่วไป
อังกาบหนู จัดเป็นไม้พุ่ม ลำต้นสามารถสูงได้ถึง 1.75 เมตร แตกกิ่งก้านมากที่ซอกใบมีหนามแหลมยาว 11 มม. 2-3 อัน ใบโดดเดี่ยวเรียงตรงกันข้าม รูปไข่แกมวงรีถึงรูปไข่กลับกว้าง 1.8-5.5 เซนติเมตร ยาว4.3-10.5 ซม. ปลายใบเว้าตื้น โคนใบสอบ ก้านใบยาวได้ถึง 2.5 เซนติเมตรดอกลำพังดูคล้ายช่อเชิงลดที่รอบๆซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ใบเสริมแต่งรูปแถบแกมขอบขนาน กว้าง 2-8 มิลลิเมตร ยาว 12-22 มม. ปลายเรียวแหลม มีขนยาวใบประดับย่อยรูปแถบปนใบหอก กว้างได้ถึง1.5 มิลลิเมตร ยาวได้ถึง 14 มม. ปลายเป็นหนามแหลม กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันแยกเป็น 2 วง วงนอกเปิดโปงรูปไข่แกมขอบขนาน กว้างได้ถึง 4 มิลลิเมตร ยาวได้ถึง 15 มม. ปลายเว้าตื้น วงในแฉกรูปแถบปนใบหอกกว้าง 2 มิลลิเมตร ยาว 13 มิลลิเมตร ปลายเว้าตื้น กลีบดอกเชื่อมชิดกันเป็นหลอดยาว ได้ถึง 2.5 เซนติเมตร ปลายแยกเป็นแฉกเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างได้ถึง 3 เซนติเมตรแฉกรูปวงรีแกมขอบขนานถึงรูปกลม กลีบโค้ง ผลแห้งแตกได้ ทรงรูปไข่แกมขอบขนาน กว้าง 9-11 มิลลิเมตร ยาว12-16 มม. เม็ดรูปวงรีปนขอบขนาน 2 เม็ด กว้าง 5 มม. ยาว 8 มม. มีขนเหมือนไหม
การขยายพันธุ์
อังกาบหนูเป็นพรรณไม้ที่โล่งแจ้ง ที่เจริญเติบโตเจริญในดินทุกจำพวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินที่ร่วนซุยระบายน้ำเจริญ และก็มีความชุ่มชื้นในระดับปานกลาง สามารถขยายพันธุ์ได้ ด้วยเมล็ด รวมทั้งการทำหมันกิ่ง อังกาบหนูฯลฯไม้ที่ดูแลไม่ยาก ไม่ค่อยชอบความร่มเงามากมาย เติบโตได้ดีทั้งยังในรอบๆที่แสงแดดจัดเต็มวันหรือแสงแดดร่มรำไร ส่วนน้ำปรารถนาปานกลาง โรคและก็แมลงมารบกวนอีกด้วย ในฤดูร้อนส่วนของลำต้นเหนือดินชอบแห้งตาย แต่ว่าส่วนรากยังคงมีชีวิตอยู่ส่วนของลำต้นเหนือดินจะรุ่งเรืองขึ้นมาอีกรอบหนึ่งในฤดูฝน
ส่วนประกอบทางเคมี ใบอังกาบหนูมีสาร balarenone, pipataline, lupeol, prioniside A, prioniside B, prioniside C scutellarein, melilotic acid, syringic acid, vanillic acid, p-hydroxybenzoic acid, 6-hydroxyflavones ยิ่งไปกว่านี้ใบรวมทั้งยอดดอกมีโพแทสเซียมสูง
Balarenone pipataline lupeolmelilotic acid scutellarein
คุณประโยชน์ / คุณประโยชน์
คุณประโยชน์ของอังกาบหนูตามยาแผนโบราณกล่าวว่า ราก ใช้แก้ดับพิษร้อนในร่างกาย แก้พิษตะขาบพิษงู แก้ขี้กลากเกลื้อน ช่วยกระตุ้นระบบการทำงานด้านการย่อยอาหาร ช่วยรักษาฝี ดอกช่วยทำนุบำรุงธาตุทั้งยังสี่ ช่วยละลายเสมหะ ทุเลาอาการไอ ใบแก้ปวดฟันแก้ขี้กลากโรคเกลื้อน แก้ปวดฝี แก้ไข้ แก้หวัด รักษาโรคเลือดไหลตามไรฟัน แก้ท้องผูก แก้หูอักเสบ แก้ปวดบวมตามข้อ แก้ของกินไม่ย่อย ช่วยฟอกโลหิต บรรเทาอาการคันต่างๆแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ใช้คุ้มครองส้นแตก ทั้งยังต้น ใช้แก้อักเสบ ขี้กลากโรคเกลื้อน แก้อาการบวมน้ำ ช่วยขับเยี่ยว แก้ไข้
นอกเหนือจากนี้อินเดียยังใช้ น้ำคั้นจากใบ ผสมกับน้ำตาลรับประทานแก้หืดหอบ น้ำคั้นจากใบผสมกับน้ำผึ้ง กินครั้งละ 2 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง จะช่วยลดอาการไอ ไอกรน ลดเสลด ลดไข้ น้ำคั้นจากใบใช้หยอดหูเมื่อมีลักษณะอาการซึ่งรู้สึกเจ็บในหูอีกด้วย
จากการค้นหาข้อมูลงานวิจัยของอังกาบหนูจะเห็นได้ว่ายังไม่มีคุณวุฒิในคน โดยส่วนมากจะเป็นการเล่าเรียนในหลอดทดสอบและก็ในสัตว์ทดลองในฤทธิ์ต่างๆเช่น ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา ต่อต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ แต่ว่ายังไร้การศึกษาวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับการต้านมะเร็ง จึงสรุปได้ว่าต้นอังกาบหนูยังการศึกษาต่ำวิจัยเกี่ยวกับการต้านมะเร็ง เป็นเพียงแต่การบอกกล่าวต่อๆกันมา ด้วยเหตุดังกล่าวถ้าหากต้องการใช้ต้นอังกาบหนู ในการรักษาโรคมะเร็งควรที่จะใช้พร้อมกันไปกับการดูแลและรักษาโดยวิธีการหมอแผนปัจจุบัน อย่างไรก็ดีการใช้สมุนไพรจำต้องใช้ให้ละเอียด โดยยิ่งไปกว่านั้นผู้มีโรคประจำตัว ร่วมด้วย ส่วนที่มีกระแสข่าวลือว่าอังกาบหนูสามารถรักษาโรคมะเร็งได้นั้น
แบบ / ขนาดการใช้ การใช้ผลดีทางยามีรายงานการใช้ประโยชน์จากส่วนต่างๆดังนี้
 
ใบ น้ำคั้นจากใบใช้ทาแก้ส้นแตก ใช้ใบสดเคี้ยวแก้อาการปวดฟัน ใบใช้ผสมกับน้ำผึ้งช่วยรักษาโรคเลือดไหลตามไรฟัน น้ำคั้นจากใบใช้หยอดหู แก้หูอักเสบได้ ใช้แก้พิษงู ช่วยรักษาโรคคันต่างๆโรคปวดตามข้อ บวม ใช้ทาแก้ปวดหลังแก้ท้องผูก แก้โรคไขข้ออักเสบ หรือเอามาผสมกับน้ำมะนาวใช้แก้กลากหรือใช้ผสมกับน้ำผึ้งรักษาเลือดออกตามไรฟัน
ราก นำมาตากแห้งแล้วนำมาต้มเป็นยาดื่ม ช่วยขับเสลด ใช้เป็นยาแก้ฝียาลดไข้ เมื่อเอารากมาผสมกับน้ำมะนาวแก้ขี้กลาก แก้อาหารไม่ย่อย หรือนำมาตำให้ละเอียดใช้ใส่รอบๆที่เป็นฝีหนอง รากนำมาต้มใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก
รากแล้วก็ดอก อังกาบนำมาตากแห้งใช้ปรุงเป็นยาสมุนไพร ช่วยบำรุงรักษาธาตุภายในร่างกาย ช่วยเจริญรุ่งเรืองธาตุไฟเจริญรากใช้เป็นยาลดไข้ ใช้ผสมกับน้ำมะนาวช่วยรักษาขี้กลากโรคเกลื้อน ถ้าเกิดประยุกต์ใช้ทุกส่วนหรือเรียกว่าทั้ง 5 ส่วนของต้นอังกาบหนูก็ใช้เป็นยาปรับปรุงข้ออักเสบได้
 
เปลือกลำต้น
 
นำมาบดให้เป็นผงกินทีละครึ่งช้อนชาวันละ 2 ครั้ง ช่วยลดอาการปวดจากไขข้ออักเสบ
ทั้งต้น เอามาสกัดเอาน้ำมันมานวดศีรษะทำให้ผมดำ ทั้งยังต้นนำมาต้มดื่มทีละ 50-100 มิลลิลิตร แก้โรคเกาต์ ไขข้ออักเสบอาการบวมตามตัว ลดอาการอักเสบตามข้อ ใช้เป็นสมุนไพรเพิ่มอสุจิ โดยนำอีกทั้งต้นนำมาทำให้แห้ง บดเป็นผง ใช้ทีละ 6 กรัม ผสมกับน้ำผึ้งกิน ในกรณีที่ต่อมน้ำเหลืองบวม ให้นำรากมาตีให้แหลก นำไปแช่ลงไปภายในน้ำซาวข้าว พอกบริเวณที่บวม ยอดอ่อน นำมาเคี้ยวในกรณีที่เป็นแผลในปาก
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
การเล่าเรียนในหลอดทดสอบพบว่า สารสกัดอีกทั้งต้นของอังกาบหนูด้วยเอทานอลและก็น้ำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดลองด้วยวิธี DPPH รวมทั้ง ABTS โดยที่สารสกัดเอทานอลมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดียิ่งไปกว่าสารสกัดน้ำ การศึกษาเล่าเรียนหาจำนวนสารประกอบฟีโนลิก แล้วก็ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด 50% เอทานอลจากใบ ดอกและลำต้นอังกาบหนู พบว่าสารสกัดจากใบมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกโดยรวมเยอะที่สุด โดยมีค่าเสมอกันกรดแกลลิกเท่ากับ 67.48 มิลลิกรัม/กรัม น้ำหนักพืชแห้ง และมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ DPPH และhydroxyl radical ด้วยค่าความเข้มข้นที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้กึ่งหนึ่ง (IC50) เท่ากับ 336.15 แล้วก็ 568.65 มคกรัม/มล. เป็นลำดับ ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าสารที่แยกได้จากส่วนเหนือดินของอังกาบหนู ดังเช่นสาร barlerinoside ซึ่งเป็นสารในกรุ๊ป phenylethanoid glycosides มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ DPPH ที่ดี โดยค่า IC50 พอๆกับ 0.41 มก./มิลลิลิตร และมีฤทธิ์ยั้ง glutathione S-transferase (GST) ด้วยค่า IC50 เท่ากับ 12.4 ไมโครโมลาร์ นอกเหนือจากนั้นเจอสารกรุ๊ปiridoid glycosides เป็นต้นว่า shanzhiside methyl ester, 6-O-trans-pcoumaroyl-8-O-acetylshanzhiside methyl ester, barlerin, acetylbarlerin, 7-methoxydiderroside รวมทั้ง lupulinoside มีฤทธิ์ต้าน DPPH ด้วยค่า IC50 อยู่ในตอน 5–50 มก./มิลลิลิตร
ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ สารสกัดใบ ลำต้น ราก ของต้นอังกาบหนูด้วยปิโตรเลียมอีเทอร์ แล้วก็เอทานอล มีฤทธิ์ต้านทานเอนไซม์ที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบ cyclooxygenase-1 (COX-1) รวมทั้ง cyclooxygenase-2 (COX-2) แล้วก็ยั้งการสร้างสารตัวกลางการอักเสบ prostaglandin เมื่อป้อนส่วนสกัดน้ำของรากอังกาบหนูชนิดที่ 3 รวมทั้ง จำพวกที่4 ขนาด 400 มิลลิกรัม/กก. นน. ตัว ให้กับหนูที่เหนี่ยวนำให้มีการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน พบว่าส่วนสกัดดังที่กล่าวผ่านมาแล้วสามารถลดอาการบวมอักเสบได้ 50.64 แล้วก็55.75% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน indomethacin ที่ยับยั้งการอักเสบได้ 60.25% นอกจากนี้เมื่อป้อนสารสกัดดอกอังกาบหนูด้วย 50% เอทานอล ขนาด 200 มก./กิโลกรัม นน.ตัว ให้กับหนูแรทที่เหนี่ยวนำให้มีการอักเสบด้วยสารค้างรจีแนน และรั้งนำให้เกิดลักษณะของการปวดด้วยกรดอะซิว่ากล่าวก พบว่าสารสกัดดอกอังกาบหนูสามารถลดการอักเสบได้ 48.6% รวมทั้งลดลักษณะของการปวดได้ 30.6% เป็นลำดับ เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบัน phenylbutazone ขนาด100 มิลลิกรัม/ กิโลกรัมนน. ตัว ที่สามารถลดการอักเสบได้ 57.5% แล้วก็ลดลักษณะของการปวด 36.4% ตามลําดับ
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย การทดสอบในหลอดทดลองพบว่า สาร balarenone, lupeol, pipataline และก็ 13,14-secostigmasta-5,14-dien-3-a-ol ซึ่งเป็นสารสกัดอีกทั้งต้นอังกาบหนูด้วยเอทานอล มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียสิ่งแรกต่อเชื้อ Escherischia coli, Staphylococcus aureus, Corynebacteriun xerosis, Streptococcus agalactiae, Enterococcus faecalis, Bacillus cereus, Pseudomonas aeruginosa โดยเปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบัน ceftriaxone
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา การศึกษาเล่าเรียนในหลอดทดสอบเปลือกต้นอังกาบหนูด้วยอะซิโตน เมทานอล แล้วก็เอทานอล สามารถต่อต้านเชื้อราในปาก Saccharomyces ceruisiae และก็ Candida albicans โดยที่สารสกัดเมทานอลมีประสิทธิภาพมากที่สุด ในตอนที่ลำต้นและก็รากของต้นอังกาบหนูด้วยปิโตรเลียมอีเทอร์ ไดคลอโรมีเทน แล้วก็เอทานอลสามารถต่อต้านเชื้อ C. albicans ได้
ฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส สาร iridoid glycosides : 6-O-transp-coumaroyl-8-O-acetylshanzhiside methyl ester จากต้นอังกาบหนูเมื่อนำไปทดลองในหลอดทดสอบ พบว่าขนาดความเข้มข่นที่ส่งผลสำหรับการต่อต้านเชื้อไวรัสที่ก่อเกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ respiratory syncytial virus (RSV) ได้ครึ่งหนึ่ง(ED50) มีค่าเท่ากับ 2.46 มคกรัม/ มิลลิลิตร และก็ขนาดความเข้มข้นที่มีผลสำหรับการฆ่าเชื้อเชื้อไวรัส respiratory syncytial virus (RSV) ได้กึ่งหนึ่ง (ID50) มีค่าพอๆกับ 42.2 มคก./มิลลิลิตร
ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อป้อนสารสกัดใบอังกาบหนูด้วยแอลกฮอล์ ขนาด 200 มิลลิกรัม/นน. ตัว ให้กับหนูแรทที่รั้งนำให้เป็นเบาหวานด้วยสาร alloxan นาน 14 วัน พบว่าสารสกัดใบอังกาบหนูสามารถลดระดับน้ำตาล เพิ่มระดับอินซูลินในเลือด แล้วก็เพิ่มระดับไกลโคเจนในตับได้
ฤทธิ์คุ้มครองตับ เมื่อป้อนส่วนสกัด iridoid glycosides ที่ได้จากใบแล้วก็ลำต้นอังกาบหนูให้หนูแรท และก็หนูเม้าส์ก่อนที่จะเหนี่ยวนำให้กำเนิดความเป็นพิษที่คับด้วยสารคาร์บอนเตตระคลอไรด์ กาแลคโตซามีน รวมทั้งพาราเซทตามอล ขนาด 12.5 - 100 มก./กก. นน.ตัว พบว่าสารสกัดดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นสามารถลดความเป็นพิษที่ตับได้ โดยไปลดระดับค่าชีวเคมีในเลือดที่เกี่ยวกับตับ alanine aminotransferase (ALT), aspartate transaminase (AST), alkaline phosphatase (ALP), birirubin แล้วก็triglyceride ยิ่งกว่านั้นยังเพิ่มระดับเอนไซม์ glutathione ในตับและลดการเกิดการออกซิไดซ์ของไขมันที่ตับด้วย โดยเทียบกับยาแผนปัจจุบันที่ช่วยคุ้มครองป้องกันเซลล์ตับ silymarin ในขนาด 50 มิลลิกรัม/กก. นน. ตัว
ฤทธิ์ฆ่าพยาธิ การเรียนฤทธิ์ต้านพยาธิไส้เดือน Pheretima posthuma ของสารสกัดทั้งต้นของอังกาบหนูด้วยน้ำแล้วก็เอทานอล ที่ความเข้มข้น 50, 75 รวมทั้ง 100 มิลลิกรัม/มล. พบว่าฤทธิ์สำหรับในการทำให้พยาธิเป็นอัมพาต รวมทั้งฆ่าพยาธิไส้เดือนนั้นสังกัดขนาดที่ใช้ โดยที่สารสกัดเอทานอลของอังกาบหนูขนาด 100 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่ 2.58 ± 0.15 แล้วก็พยาธิตายที่ 7.12 ± 0.65 นาที ในขณะสารสกัดน้ำใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่5.25 ± 0.51 แล้วก็พยาธิตายที่ 9.00 ± 0.68 นาที เมื่อเปรียบเทียบกับยาฆ่าพยาธิ albendazole ขนาด 20 มิลลิกรัม/มล. ใช้เวลาที่ทำให้พยาธิไส้เดือนเป็นอัมพาตที่ 11.06 ± 0.22 และก็ พยาธิตายที่ 16.47 ± 0.19 นาที
ฤทธิ์คุมกำเนิดเพศผู้ เมื่อทดลองให้สารสกัดรากอังกาบหนูด้วยเมทานอล แก่หนูขาวเพศผู้ในขนาด100 มก./กิโลกรัมนน.ตัว นาน 60 วัน ได้ผลคุมกำเนิดได้100% ผลนี้มีเหตุมาจากฤทธิ์ของสารสกัดรากอังกาบหนูสำหรับเพื่อการรบกวนการผลิตน้ำเชื้อ ลดปริมาณสเปิร์ม และก็ทำให้การเคลื่อนที่ของสเปิร์มลดน้อยลง สารสกัดส่งผลลดความอ้วนอัณฑะ และมีผลลดปริมาณโปรตีน กรดเซียลิก (sialic acid) และก็กลัยโคเจนในอัณฑะ ซึ่งทำให้การผลิตอสุจิ โครงสร้างและก็หน้าที่ของอสุจิไม่ดีเหมือนปกติไป
 
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การเรียนรู้

 
ความเป็นพิษ ส่วนสกัด iridoid glycosides ที่ได้จากใบและก็ลำต้นอังกาบหนู เมื่อป้อนให้หนูเม้าส์กิน ขนาดที่ต่างกันตั้งแต่ 100 - 3,000 มก. ตรงเวลา 15 วัน ไม่เจอความแตกต่างจากปกติอะไรก็แล้วแต่และไม่มีหนูเสียชีวิต ผู้ทำการศึกษาสรุปว่าขนาดของสารสกัดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหนึ่ง LD50 มีค่ามากยิ่งกว่า3,000 มิลลิกรัม/กก. และถ้าเกิดฉีดสารสกัดเข้าทางช่องท้องของหนูเม้าส์พบว่า LD50 มีค่าเท่ากับ 2,530 มก./กก. ± 87 มก./กก. ซึ่งจัดว่าค่อนข้างปลอดภัย
 
ข้อเสนอ/ข้อควรคำนึง
1. การใช้อังกาบหนูสำหรับเพื่อการรักษาโรคต่างๆตามสรรพคุณที่กำหนดไว้ ไม่สมควรใช้ในปริมาณที่มากเหลือเกินและใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานเนื่องจากว่าอาจมีผลกระทบต่อระบบต่างๆของร่างกายได้
2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน ควรใช้ให้รอบคอบและควรจะขอความเห็นแพทย์ที่ให้การรักษาโดยใช้เสมอ
3. สำหรับเพื่อการใช้สมุนไพรอังกาบหนูอย่างต่อเนื่องจะต้องมีการเจาะเลือดดูค่าการทำงานของตับแล้วก็ไตอยู่ตลอด
4. ในขณะนี้ยังไม่มีรายงานการศึกษาเรียนรู้วิจัยอีกทั้งในมนุษย์และก็สัตว์ทดลองว่าอังกาบหนูสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ด้วยเหตุดังกล่าวถ้าเกิดปรารถนาจำใช้เพื่อสำหรับในการรักษามะเร็งควรจะใข้ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาของแทพย์แผนปัจจุบันด้วย
 
เอกสารอ้างอิง

  • พนิดา ใหญ่ธรรมสาร.อังกาบหนู....รักษามะเร็งได้จริงหรือ? .สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • นันท่วัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริพร (บรรณาธิการ).สมุนไพรไม้พื้นบ้าน (5).กรุงเทพฯ:บริษัทประชาชน จำกัด.2543:508 หน้า
  • อังกาบหนู สมุนไพรไม้ประดับ.คอลัมน์ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ.นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์.ฉบับวันที่ 9-15 มีนาคม 2561 .ฉบับที่ 1960 . ปีที่ 38.
  • ปิยวรรณ จิตเจริญรุ่งเรือง ,ประนอม ขาวเมฆ,องค์ประกอบทางเคมีของใบอังกาบหนู.เอกสารประกอบการประชุมวิชาการระดับชาติ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสถาบัน ครั้งที่ 2 .วันที่ 21 มีนาคม 2557 ณ.โรงแรกมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ.หน้า 98-101https://www.disthai.com/
  • Gupta RS, Kumar P, Dixit VP, Dobhal MP. Antifertility studies of the root extract of the Barleria prionitis Linn in male albino rats with special reference to testicular cell population dynamics. J Ethnopharmacol. 2000;70: 111-7.
  • Ata A, Van Den Bosch SA, Harwanik DJ, Pidwinski GE. Glutathione S-transferase- and acetylcholinesterase-inhibiting natural products from medicinally important plants. Pure Appl. Chem. 2007;79(12):2269-76.
  • Khadse CD, Kakde RB. Anti-inflammatory activity of aqueous extract fractions of Barleria prionitis L. roots. Asian J Plant Sci Res. 2011; 1(2):63-8.
  • Cramer LH. Acanthaceae. In : Dassanayake MD, Clayton WD, eds. A revised handbook to the flora of Ceylon, Vol 12. Rotterdam: A.A. Bulkema 1998.
  • Ata A,. Kalhari KS, Samarasekera R. Chemical constituents of Barleria prionitis and their enzyme inhibitory and free radical scavenging activities. Phytochem Lett. 2009;2:37-40.
  • Kosmulalage KS, Zahid S, Udenigwe CC, Akhtar S, Ata A, Samaraseker R. Glutathione S-transferase, acetylcholinesterase inhibitory and antibacterial activities of chemical constituents of Barleria prionitis. Z. Naturforsch. 2007;62b:580-6.
  • Amitava, G. (2012). Comparative Antibacterial study of Barleria prionitis Linn. Leaf extracts. International Journal of Pharmaceutical & Biological Archives. 3(2), 391-393.
  • . Chavana CB, Hogadeb MG, Bhingea SD, Kumbhara M , Tamboli A. In vitro anthelmintic activity of fruit extract of Barleria prionitis Linn. against Pheretima posthuma. Int J Pharmacy Pharm Sci. 2010;2(3):49-50.
  • Jaiswal SK, Dubey MK, Das S, Verma RJ, Rao CV. A comparative study on total phenolic content, reducing power and free radical scavenging activity of aerial parts of Barleria prionitis. Inter J Phytomed. 2010;2:155-9.
  • Daniel M. Medicinal Plants: Chemistry and Properties. 1st Ed. Enfield (NH) : Science Publishers, 2006:78.
  • Amoo SO, Ndhlala AR, Finnie JF, Van Staden J. Antifungal, acetylcholinesterase inhibition, antioxidant and phytochemical properties of three Barleria species. S Afr J Bot. 2011;77: 435-45.
  • Amoo SO, Finnie JF, Van Staden J. In vitro pharmacological evaluation of three Barleria species. J Ethnopharmacol. 2009;121:274-7.
  • Aneja KR, Joshi R, Sharma C. Potency of Barleria prionitis L. bark extracts against oral diseases causing strains of bacteria and fungi of clinical origin. N Y Sci J. 2010;3(11):1-12
  • Chetan C, Suraj M, Maheshwari C, Rahul A, Priyanka P. Screening of antioxidant activity and phenolic content of whole plant of Barleria prionitis Linn. IJRAP. 2011;2(4):1313-9.
  • Chen JL, Blanc P, Stoddart CA, Bogan M, Rozhon EJ, Parkinson N, et al. New Iridoids from the medicinal plant Barleria prionitis with potent activity against respiratory syncytial virus. J Nat Prod. 1998;61:1295-7.
  • Jaiswal SK, Dubey MK, DAS S, Verma A, Vijayakumar M and Rao CV. Evaluation of flower of Barleria prionitis for anti-inflammatory and antinociceptive activity. Inter J Pharma Bio Sci. 2010;1(2)1-10.
  • Ata A, Van Den Bosch SA, Harwanik DJ, Pidwinski GE. Glutathione S-transferase- and acetylcholinesterase-inhibiting natural products from medicinally important plants. Pure Appl. Chem. 2007;79(12):2269-76.
  • Singh B, Chandan BK, Prabhakar A, Taneja SC, Singh J and Qazi GN. Chemistry and hepatoprotective activity of an active fraction from Barleria prionitis Linn. in experimental animals. Phytother Res. 2005;19:391-404.



Tags : อังกาบหนู
บันทึกการเข้า