รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: สมุนไพร เพชรสังฆาต มีประโยชน์เเละสรรพคุณ  (อ่าน 653 ครั้ง)

k7y656525252

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 27
    • ดูรายละเอียด


เพชรสังฆาต
ชื่อสมุนไพร  เพชรสังฆาต
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น สันชะควด (ภาคกลาง) , สันชะคาด , ขันข้อ (ราชบุรี) , สามร้อยต่อ (ประจวบคีรีขันธ์)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Cissus quadrangularis Linn.
วงศ์  Vitaceae
ถิ่นกำเนิด
เพชรสังฆาตเป็นพืชเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย รวมทั้งแอฟริการวมทั้งมีการแพร่ไปจำพวกไปตามประเทศเขตร้อนของทวีปดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว โดยพบบ่อยตามบริเวณป่าหรือที่เปียกชื้นที่หรูหราความสูงไม่เกิน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล ส่วนในประเทศไทยมักพบตั้งแต่ภาคเหนือตอนล่างลงไป และก็มักจะออกดอกและก็ติดผลในตอนเดือน เดือนมิถุนายน-เดือนสิงหาคม
ลักษณะทั่วไป
เพชรสังฆาตจัดเป็น ไม้เถาเลื้อย โดยมีเปลือกเถาเรียบ เถาอ่อนรูปสี่เหลี่ยมเป็นครีบ เป็นข้อๆต่อกันเห็นข้อข้อชัดเจน ลักษณะเป็นบ้องๆตรงข้อเล็กรัดตัวลงแต่ละข้อยาวประมาณ 6-10 ซม. บางข้ออาจมีรากออกมาด้วย มีมือเกาะออกตรงข้อต่อตรงข้ามกับใบ ตามข้อมียางขาว ใบลำพัง เรียงสลับ ออกตามข้อต้น ข้อละ 1 ใบ กว้าง 3-8 ซม. ยาว 4-10 ซม. ใบเป็นรูปสามเหลี่ยมหรือรูปไข่ กลมครึ้ม เล็ก ผิวเรียบ ปลายใบมน โคนใบเว้า ข้างหลังใบรวมทั้งท้องใบเรียบเป็นมัน ขอบของใบหยักมนห่างๆหรือหยักเว้า 3-5 หยัก เนื้อใบนิ่ม ก้านใบยาว 2-3 ซม. ดอกออกเป็นช่อ ออกตามข้อต้นตรงกันข้ามกับใบ ดอกกลมเล็กสีแดงเขียวเป็นช่อขนาดเล็ก ยาวประมาณ 2-4 ซม.ดอกย่อยสีเขียวอ่อน มีขนาด 2.5 มิลลิเมตร กลีบดอกไม้มี 4 กลีบโคนกลีบภายนอกมีสีแดง ส่วนกลีบข้างในสีเขียวอ่อน เมื่อบานเต็มกำลังดอกจะงองุ้มไปทางด้านล่าง เกสรตัวผู้มี 4 อันวางตรงกับกลีบดอกไม้ ผลสดทรงกลม ผิวเรียบวาว ฉ่ำน้ำ ผลกลมขนาด 4-7 มิลลิเมตร ผลอ่อนสีเขียว พอเพียงสุกเป็นสีแดงหรือดำ เมล็ดกลมสีน้ำตาลมี 1 เม็ด
การขยายพันธุ์
เพชรสังฆาตนิยมใช้กรรมวิธีการปักชำโดยมีวิธีการเป็น เลือกเถาที่มีลักษณะเหมาะสม คือ จะต้องเป็นเถาที่มีลักษณะครึ่งแก่ครึ่งหนึ่งอ่อน นำมาตัดเป็นท่อนให้แต่ละท่อนมีข่อติดอยู่ปริมาณ2 ข้อแล้ว กระทำการปักชำท่อนพันธุ์โดยใช้ข้อทางด้านโคนของเถาฝังลงดินแล้วกลบให้แน่น รดน้ำให้เปียก รวมทั้งควรจะจัดวางถุงต้นกล้าที่ปักชำไว้ในที่ร่ม ในส่วนของข้อที่เหลืออยู่ข้างบนจะเป็นบริเวณที่แตกใบใหม่เพื่อเจริญเป็นเถาต่อไป
องค์ประกอบทางเคมี
เถาของเพชรสังฆาตมีส่วนประกอบทางเคมี อย่างเช่น natural plant steroids (ketosterones): onocer-7-ene-3 alpha, 21 beta-diol, delta-amyrin, delta-amyrone รวมทั้ง 3,3',4,4'- tetrahydroxybiphenyl สารกลุ่ม stilbene: quadrangularins A, B, C, resveratrol, piceatannol, pallidol , parthenocissine A.สารในกรุ๊ป flavonoids อย่างเช่น diosmin, hisdromin, hesperidin. รวมไปถึง ascorbic acid (vitamin C), lupeol, carotene แล้วก็ calcium oxalate.
ผลดี/สรรพคุณ
ตามตำรายาไทย กล่าวว่า เถา รสร้อนขมคัน เป็นยาแก้ริดสีดวงทวารหนัก แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้ประจำเดือนแตกต่างจากปกติ แก้กระดูกแตกหักซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ริดสีดวงทวารทั้งยังชนิดกลีบมะไฟและก็เดือยไก่
• ราก รักษาอาการกระดูกแตกหัก
• ต้น แก้หูน้ำหนวก แก้เลือดกำเดา แก้รอบเดือนไม่ปกติ ช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย
• ใบ รักษากระดูกแตกหัก รักษาโรคไส้ (อาการของกินไม่ย่อย) ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย แก้ริดสีดวงทวารหนัก
นอกเหนือจากนั้นในงานศึกษาวิจัยด้านการแพทย์แผนปัจจุบันยังกำหนดไว้ว่าเพชรสังฆาต มีประสิทธิภาพที่ดีสำหรับการรักษาริดสีดวงทวารหนักโดยยิ่งไปกว่านั้นการลดอาการคัน ปวดการเกิดเลือดออก และกลายเป็นซ้ำ
ทั้งยังในตอนนี้ได้มีงานค้นคว้าพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งรับรองสรรพคุณรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดี และยังอุดมไปด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีส่วนประกอบของแคลเซียมสูงมาก แล้วก็สารอทุ่งนาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic Steroids) ที่มีฤทธิ์เร่งปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการสร้างเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งปฏิบัติภารกิจสร้างกระดูกและก็ยังช่วยให้มีการสร้างสารมิววัวโพลีแซกคาไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในขั้นตอนการสมานกระดูก ยิ่งกว่านั้นสารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีน ที่มาจับกุมกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตจนกระทั่งกลายเป็นกระดูกแข็งที่สามารถรับน้ำหนักรวมทั้งมีความยืดหยุ่นในตนเองอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านี้เพชรสังฆาตยังสามารถใช้ปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับ เพราะเพชรสังฆาตเป็นไม้เถาเลื้อยมีลักษณะรูปทรงเป็นสีเหลี่ยมแปลกตา มีดอกแล้วก็ผลเป็นช่อสีแดงสวย สามารถนำไปปลูกเอาไว้สำหรับเพื่อการประดับรอบๆรั้วบ้าน ซุ้มไม้หรือรอบๆโคนต้นไม้ใหญ่เพื่อให้เถารุ่งโรจน์เลื้อยพันขึ้น
ต้นแบบ/ขนาดวิธีการใช้
ในอดีตการใช้เพชรสังฆาตรักษา ริดสีดวงทวารหนักจะทำ โดยนำ เถาสดใส่กล้วยหรือ มะขามแล้วกลืน (เนื่องมาจากเพชรสังฆาตมีแคลเซียม ออกซาเลต (calcium oxalate) การกลืนเถาสดบางทีอาจ มีการระคายเคืองทางเดินอาหารได้) ถัดมาได้มี การนำ เพชรสังฆาตมาผลิตให้อยู่ในแบบอย่างแคปซูลเพื่อให้ไม่ยุ่งยากต่อการบริหารยา
โดยในรูปยาผงใส่แคปซูล 250 มก. ให้รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง ก่อนที่จะกินอาหารและก็ก่อนนอน ตรงเวลา 5-7 วัน
หนังสือเรียนยาพื้นบ้านจังหวัดโคราช ใช้ ต้น แก้ริดสีดวงทวารโดยหั่นเป็นแว่น ตำผสมเกลือนำไปตาก ปั้นเป็นลูกร้อยกรอง กินทีละ 1 เม็ด 3 เวลา หรือใช้เถาสดคั้นเอาน้ำ แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้ระดูไม่ปกติ แก้กระดูกแตกหักซ้นขับลมในลำไส้
ตำรับยาสมุนไพรพื้นเมืองล้านนา ใช้น้ำจากต้น หยอดหู แก้น้ำหนวกไหล หยอดจมูกแก้เลือดเสียในสตรีใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกรอบๆกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบ น้ำคั้นจากเถาใช้ดื่มแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้เลือดประจำเดือนสตรีไม่ปกติ รักษาริดสีดวงทวารที่เริ่มเป็นระยะแรก
ส่วนอินเดีย ใช้ ลำต้น เป็นยาพอกเมื่อกระดูกหัก น้ำคั้นจากต้นรับประทานแก้โรคลักปิดลักเปิด แก้อาการไม่ดีเหมือนปกติของประจำเดือน
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ผลต่อแรงตึงตัวของหลอดโลหิตดำ สารสกัดเพชรสังฆาตมีฤทธิ์กระตุ้นหลอดโลหิตดำ ให้มีความตึงตัวมากขึ้น คล้ายกับส่วนประกอบของไบโอฟลาโวนอยด์ 2 ประเภท ได้แก่ ไดออสมิน 90%แล้วก็ฮิสเพอริดิน 10% ที่เจอในตำรับยาแผนปัจจุบัน สำหรับใช้รักษาริดสีดวงทวาร
ฤทธิ์ต้านการอักเสบกะทันหัน สารสกัดเมทานอลยั้งการบวมของใบหู และก็การบวมของอุ้งเท้าของหนูขาว ที่ถูกกระตุ้นด้วยสารเคมี
สารสกัดเฮกเซนที่ความเข้มข้นร้อยละ 1 แล้วก็สารสกัดเอทานอลที่ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 5 ลดอาการบวมของใบหูหนูที่รั้งนำด้วยสารเคมี พอดีเวลา 30 นาที ตรวจพบองค์ประกอบทางเคมีของสาร lupeol ในสารสกัดเฮกเซน
ฤทธิ์แก้ปวด สารสกัดเมทานอลลดปริมาณครั้งที่หนูถีบจักรยืดบิดตัวจากลักษณะของการเจ็บเจ็บท้องเพราะเหตุว่าได้รับกรดอะซีติเตียนกที่ฉีดเข้าทางท้อง และลดระยะเวลาของการเลียเท้าหลังทั้งยัง 2ระยะ สำหรับในการทดลองด้วยการฉีดฟอร์มาลิน แสดว่าออกฤทธิ์แก้ปวดผ่านทั้งยังระบบประสาทศูนย์กลาง และก็ส่วนปลาย
ฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร สารสกัดเอทานอล สามารถลดการเกิดแผลในกระเพาะหนูขาวที่ถูกรั้งนำให้เป็นแผลด้วยแอสไพริน เมื่อให้สารสกัดขนาด 250, 500 แล้วก็ 750 มก./กก. ให้หนูกินนาน 7 วัน ลดการเกิดแผลได้ 40, 71.2 และ 72.6% ตามลำดับ เปรียบเทียบกับranitidine ขนาด 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ลดการเกิดแผล 71.9% เพราะฉะนั้นสารสกัดขนาด 500 มก./กิโลกรัม เป็นขนาดที่เหมาะสมที่สุด เนื่องมาจากออกฤทธิ์ใกล้เคียงกับ Ranitidine และก็ให้ผลไม่ได้ต่างอะไรกับขนาด 750 มก./กก.จะลดการทำลายเนื้อเยื่อในกระเพาะ และก็รายงานการวิจัยอีกฉบับหนึ่งระบุว่า การเรียนรู้ประสิทธิผลรวมทั้งผลกระทบของการใช้สมุนไพรเพชรสังฆาตในคนไข้โรคริดสีดวงทวารระยะกะทันหัน จำนวน 570 คน โดยแบ่งเป็น 3 กรุ๊ป คือ กรุ๊ปที่ได้รับยาที่มีส่วนผสมของฟลาวานอยด์ (Daflon 500 มก./เม็ด) กรุ๊ปที่ได้รับสมุนไพรเพชรสังฆาต (500 มิลลิกรัม/เม็ด) และก็กรุ๊ปที่ได้รับยาหลอก ในตอน 4 วันแรก ให้รับประทานทีละ 3 เม็ด รุ่งเช้าแล้วก็เย็นหลังรับประทานอาหาร และก็ตอน 3 วันหน้า ได้รับครั้งละ 2 เม็ด เช้าตรู่แล้วก็เย็น หลังอาหาร ผู้ป่วยจะได้รับการวัดอาการต่างๆคือ เลือดไหลทางทวารหนัก มูก อาการคัน รอยแดงหรืออักเสบรอบทวารหนัก รวมทั้งการสัมภาษณ์เพื่อสอบถามอาการ รวมถึงมีการตรวจเลือดแล้วก็ติดตามผลกระทบของการได้รับยาหรือสมุนไพรควบคู่ไปพร้อมด้วย
ผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยในทุกกลุ่มส่วนมากอาการเลือดไหลฉับพลันจะหยุดในวันที่ 2 ของการให้ยา และมีลักษณะอาการดียิ่งขึ้นข้างหลังการให้ยาครบ 7 วัน ประสิทธิผลของการดูแลรักษาในผู้ป่วยทุกกลุ่มไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และไม่มีผลใกล้กันเกิดขึ้น สรุปได้ว่าเพชรสังฆาตได้ผลในการรักษาริดสีดวงทวารในระยะเฉียบพลันไม่ได้แตกต่างจากยาที่มีส่วนผสมของฟลาวานอยด์แล้วก็ยาหลอก มีความหมายว่าเพชรสังฆาตไม่มีผลช่วยสำหรับในการรักษาริดสีดวงทวารในระยะกะทันหัน
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
ความเป็นพิษกะทันหัน เมื่อทดสอบความเป็นพิษโดยให้หนูขาวรับประทาน ขนาด 0.5 – 5.0 ก./กก
ไม่เจอพิษอะไรก็แล้วแต่
ความเป็นพิษกึ่งเรื้อรัง (3 เดือน) ในหนูขาวชนิดวิสตาร์ 5 กลุ่มๆละ 12 ตัว/เพศ กลุ่มควบคุมได้รับน้ำทางปาก 10 มิลลิลิตร/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน ในตอนที่หนูอีก 4 กรุ๊ปได้รับผงยาเพชรสังฆาตแห้งทางปากในขนาด 0.03,0.3 รวมทั้ง 3.0 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กก/วัน หรือเทียบเท่า 1,10 และ 100 เท่าของขนาดที่ใช้ในคน/วัน ตามลำดับ โดยกลุ่มสุดท้ายเป็นกรุ๊ปสังเกตอาการข้างหลังการหยุดยา ผลวิจัยพบว่าการเติบโตของกลุ่มสุดท้ายเป็นกรุ๊ปดูอาการหลังการหยุดยา ผลการศึกษาวิจัยพบว่าการเจริญเติบโตของกลุ่มได้รับผงยาและกลุ่มควบคุมไม่มีความต่างกัน ไม่นำมาซึ่งความเคลื่อนไหวของค่าทางเลือดวิทยาแล้วก็ค่าทางซีรั่มชีวเคมี หรือจุลพยาธิสภาพของอวัยวะภายในที่มีความข้องเกี่ยวกับขนาดของผงยา และไม่พบความแปลกอะไรก็แล้วแต่ซึ่งสามารถสรุปได้ว่าเนื่องจากความเป็นพิษของผงยาเพชรสังฆาต
ข้อเสนอ/ข้อควรตรึกตรอง

การรับประทานเพชรสังฆาตสด อาจก่อให้เกิดอาการระคายคอ ระคายเยื้อบุในปากเนื่องด้วยเถาสดมีผลึกแคลเซียมออกซาแลตอยู่มากมาย
2. ห้ามกินติดต่อกันนานเกิน 2 อาทิตย์ด้วยเหตุว่าอาจส่งผลให้เกิดนิ่วในทางเดินเยี่ยว ผู้ป่วยโรคไตห้ามรับประทาน
3. การใช้สมุนไพรเพชรสังฆาตควรจะปรึกษาแพทย์หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญสำหรับเพื่อการใช้เสมอ ด้วยเหตุว่าอาจจะส่งผลให้เป็นผลใกล้กันที่ไม่ประสงค์ได้ ดังเช่น ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะน้อย แน่นท้อง ฯลฯ
เอกสารอ้างอิง

  • นพมาศ สุนทรเจริญนนท์.เพชรสังฆาต.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • วีรพล ภิมาลย์และคณะ.การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมานประสิทธิภาพในการรักษาริดสีดวงทวารหนักของเพชรสังฆาต.วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน.ปีที่10.ฉบับที่3.กันยายน-ธันวาคม.2557.หน้า403-418https://www.disthai.com
  • Panthong A, Supraditaporn W, Kanjanapothi D, Taesotikul T, Reutrakul V. Analgesic, anti-inflammatory and venotonic effects of Cissus quadrangularis Linn. J Ethnopharmacology 2007; 110 : 264–70.
  • เพชรสังฆาต.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีPanpimanmas S, Sithipongsri S, Sukdanon C, Manmee C. Experimental Comparative Study of the Efficacy and Side Effects of Cissus quadrangularis L. (Vitaceae) to Daflon (Servier) and Placebo in the Treatment of Acute Hemorrhoids. J Med Assoc Thai 2010; 93 (12): 1360-7.
  • ผลของการใช้เพชรสังฆาตในการรักษาโรคริดสีดวงทวารที่มีอาการเฉียบพลัน.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • เพชรสังฆาต.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.J Med Assoc Thai 2010;93(12):1360-7



บันทึกการเข้า