ทับทิมทับทิม เป็นผลไม้ที่นิยมกินอย่างล้นหลาม โดยใช้ประโยชน์จากส่วนที่ได้ผลสำเร็จสดเยอะที่สุดและก็ยังนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆเช่น น้ำทับทิม สารสกัดจากทับทิม สินค้าด้านความสวยงาม อีกทั้งยังใช้ทำเป็นยารักษาโรคตามสูตรยาโบราณในหลายประเทศ
ทัมทิมอุสูดดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระรวมทั้งสารพฤกษเคมีหลายอย่างที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย ก็เลยเชื่อว่าบางทีอาจมีประโยชน์สำหรับการปกป้องโรคหรือบรรเทาอาการ ยกตัวอย่างเช่น โรคปอดอุดกันเรื้อรังหรือทุเลาอาการหายใจลำบากจากโรคนี้ โรคหัวใจและก็เส้นเลือด คอเลสเตอรอลสูง โรคในระบบทางเดินอาหาร โรคความดันโลหิตสูง โรคในโพรงปากและโรคเหงือก โรคริดสีดวงทวาร โรคผิวหนัง และก็อื่นๆ
ในปัจจุบันยังมีงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยที่ศึกษาการใช้ทับทิมในแบบอย่างแตกต่างกับการดูแลและรักษาโรคที่ค่อนข้างจะจำกัด ทำให้ยังไม่สามารถเจาะจงคุณภาพของทับทิมต่อการดูแลและรักษาโรคได้กระจ่างแจ้ง ซึ่งตัวอย่างการเรียนเรื่องทับทิมกับโรคต่างๆมีดังนี้
โรคเส้นโลหิตแดงแข็ง ทับทิมคือผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว ดังเช่น สารเอลลาจิแทนนิน (Ellagitannin) สารแทนนิน (Tannin) สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารโพลิฟีนอล (Polyphenol) ที่มั่นใจว่าช่วยยับยั้งปฏิกิริยาต่อต้านอนุมูลอิสระของไขมันไม่ดี ลดการสร้างโฟมเซลล์ และก็ลดการแข็งตัวของเส้นเลือด ก็เลยอาจช่วยลดความเสี่ยงสำหรับในการกำเนิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
จากการศึกษาฤทธิ์การต้านสารอนุมูลอิสระของทับทิมในคนที่มีน้ำหนักเกินจำนวน 22 คน จากการรับประทานอาหารเสริมที่มีสารสกัด
ทับทิม วันละ 1,000 มก. (มีกรดแกลลิค 610 มก.) และวัดผลจากค่า TBARS ในเลือด (Thiobarbituric Acid Reactive Substances: TBARS) ซึ่งเป็นค่าการตรวจวัดฤทธิ์สำหรับการต้านทานสารอนุมูลอิสระ เพื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนการทดสอบ พบว่าค่าดังกล่าวมาแล้วข้างต้นลดน้อยลง ก็เลยคาดว่าการรับประทานทับทิมอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจแล้วก็เส้นโลหิต
นอกจากนี้ ยังมีการค้นคว้าอีกชิ้นให้ผู้ป่วยโรคเส้นเลือดแดงแข็งจำนวน 15 คน กินอาหารเสริมจากทับทิมเป็นระยะเวลามากยิ่งกว่า 1 ปีขึ้นไปและ 3 ปีขึ้นไป เปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่ไม่ได้ทานอาหารเสริม ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ทานอาหาร 3 ปีขึ้นไป หรูหราไขมันที่ลดลงโดยประมาณ 16% เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปอื่น จึงชี้ให้เห็นว่าการกินสารสกัดจากทัมทิมมากกว่า 3 ปี อาจมีส่วนช่วยสำหรับในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ทั้งนี้ ยังคงต้องมีการศึกษาเสริมเติมในระยะยาวกับกรุ๊ปการทดลองขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ยังไม่สามารถสรุปผลของทับทิมรวมทั้งการดูแลรักษาโรคเส้นเลือดแดงแข็งได้อย่างเห็นได้ชัด
โรคเหงือกอักเสบ ทับทิมคือผลไม้อีกชนิดที่มีคุณลักษณะช่วยต้านทานเชื้อแบคทีเรีย ก็เลยถูกนำมาใช้เป็นตัวเลือกสำหรับการรักษาโรคเหงือก เนื่องจากว่าการดูแลและรักษาหลักบางวิธีที่ยังไม่มีคุณภาพพอเพียงสำหรับเพื่อการบรรเทาอาการจากโรคมากมายซักเท่าไหร่และก็ลดความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการดูแลรักษาโรคนี้โดยใช้สารเคมี
จากการทดสอบทางสถานพยาบาลกับคนไข้โรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง จำนวน 40 คน เพื่อมองคุณภาพของเจลสารสกัดจากทับทิมเป็นระยะเวลา 224 ชั่วโมง โดยในแต่ละกรุ๊ปจะใช้วิธีรักษาที่แตกต่างกัน ผลพบว่า กลุ่มที่ใช้เจลสารสกัดจากทับทิมพร้อมกันกับการดูแลรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยกระบวนการขูดหินน้ำลาย เกลารากฟัน (Mechanical Debridement) มีอาการดีขึ้นข้างใน 7 วันแรก เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่เหลือสำหรับในการทดลอง ซึ่งเจลสารสกัดจากทับทิมก็เลยบางทีอาจนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลโพรงปากสำหรับคนป่วยโรคเหงือกอักเสบพร้อมกันกับการดูแลรักษาด้วยวิธีรักษาที่เป็นมาตรฐานในอนาคต
สอดคล้องกับการทดลองอีกชิ้นที่เรียนประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่ใช้ยาหลอกต้นแบบเจลในการรักษาคนที่เป็นโรคเหงือกอักเสบปริมาณ 32 คน พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม วันละ 3 ครั้ง ตรงเวลา 4 อาทิตย์ มีสุขภาพช่องปากดีขึ้นและก็ปัญหาโรคเหงือกอักเสบต่ำลงมากยิ่งกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก การค้นคว้านี้ชี้ให้เห็นว่าสารสกัดจากทับทิมบางทีอาจเอาไปใช้เป็นส่วนประกอบในสินค้าบำรุงช่องปาก ดังเช่นว่า ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยคุ้มครองแล้วก็ทุเลาลักษณะของโรคเหงือกอักเสบ
ปกป้องการเกิดคราบจุลชีวัน สารสกัดจาก
ทับทิมมีคุณภาพสำหรับในการลดคราบจุลชีวันตามผิวฟัน รวมทั้งบางทีอาจนำมาซึ่งโรคทางโพรงปากอีกหลายอย่าง ซึ่งจากการทดลองให้อาสาสมัครที่มีสุขลักษณะในช่องปากดี ปริมาณ 30 คน หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้ปกติ แต่สลับมาใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน (Chlorhexidine) รวมทั้งยาหลอกในแต่ละกลุ่ม โดยใช้บ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง ตรงเวลา 5 วัน ผลพบว่าอาสาสมัครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมมีอัตราการเกิดคราบจุลชีวันลดลงอย่างเป็นจริงเป็นจังมากยิ่งกว่ายาหลอก แต่มีประสิทธิภาพไม่ได้มีความแตกต่างจากน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน จึงพอเพียงจะกล่าวได้ว่าสารสกัดจากทับทิมบางทีอาจลดช่องทางสำหรับการกำเนิดคราบจุลอินทรีย์ด้านในโพรงปาก
ช่วงเวลาเดียวกัน การเล่าเรียนอีกชิ้นก็ชี้ว่าสารสกัดทับทิมคงจะมีส่วนช่วยสำหรับในการลดการเกิดคราบจุลอินทรีย์ ซึ่งสำหรับการทดสอบได้เก็บรอยเปื้อนจุลชีวันจากช่องปากของอาสาสมัครที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงและก็กำลังจัดฟัน อายุ 9-25 ปี จำนวน 60 คน ข้างหลังงดเว้นแปรงฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อเปรียบเทียบผลก่อนและข้างหลังการใช้น้ำยาบ้วนปากชนิดต่างกันในแต่ละกรุ๊ป ยกตัวอย่างเช่น น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน และก็ยาหลอก ปรากฏพบว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิมมีประสิทธิภาพสำหรับการลดรอยเปื้อนจุลอินทรีย์ลงมากที่สุดประมาณ 84% รองลงมาเป็นน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน 79% และยาหลอกที่น้อยลงเพียงแค่ 11% ก็เลยอาจจะบอกได้ว่าสารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและก็เป็นตัวเลือกในการใช้จัดการกับรอยคราบจุลินทรีย์บนผิวฟัน ทั้งนี้ จากข้อมูลข้างต้นยังคงควรจะมีการต่อว่าดตามผลในระยะยาวจากการใช้สารสกัดทับทิมโดยตลอด เนื่องมาจากช่วงเวลาในการทดลองค่อนข้างจะสั้น
ภาวะคอเลสเตอรอลสูง ทับทิมมีสรรพคุณที่กล่าวกันว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้อย่างดีเยี่ยม จากการเรียนรู้ผลการดื่มน้ำทับทิมเข้มข้น 40 กรัม ในคนป่วยเบาหวานจำพวกที่ 2 รวมทั้งมีภาวการณ์ไขมันในเลือดสูงปริมาณ 22 คน เป็นระยะเวลา 8 อาทิตย์โดยระหว่างการทดลองจะมีการเก็บข้อมูลของกินที่รับประทานอาหารภายใน 24 ชั่วโมง ทุกๆ10 วัน (รวมทั้งของกินที่มีสารฟลาโวนอยด์) หลังจบสัปดาห์ที่ 8 พบว่าคนเจ็บหรูหราไขมันรวม ไขมันประเภทไม่ดี อัตราส่วนของไขมันไม่ดีกับไขมันดี และก็อัตราส่วนของไขมันรวมกับไขมันดีที่มีสะสมอยู่ในเลือดต่ำลง แต่ไม่เจอความเคลื่อนไหวของระดับไตรกลีเซอไรด์แล้วก็ระดับความเข้มข้นของไขมันดี ซึ่งทำให้เห็นว่าน้ำทับทิมอาจมีส่วนช่วยลดการเสี่ยงของโรคหัวใจโดยลดระดับไขมันในคนเจ็บโรคเบาหวานลง แม้กระนั้นยังบอกมิได้กระจ่างแจ้ง เนื่องจากของกินจำพวกอื่นที่รับประทานอาจมีส่วนช่วยสำหรับการลดไขมันในเลือดได้เช่นกัน รวมทั้งกรุ๊ปการทดลองมีขนาดเล็ก ควรต้องขยายผลการศึกษาเล่าเรียนในกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นเพิ่มเติมอีก นอกเหนือจากนั้น การดูแลรักษาสภาวะคอเลสเตอรอลสูงควรจะมีการควบคุมอาหารแล้วก็การออกกำลังกายไปพร้อม ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการลดระดับไขมันในเลือดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารโพลีฟีนอลที่พบได้บ่อยในทับทิม จากรายงานผลที่เจอในห้องแลประบุว่าสารเหล่านี้มีส่วนสำคัญสำหรับในการทุเลาลักษณะของโรคปอดอุดกันเรื้อรังและบางทีอาจชะลอไม่ให้โรคปรับปรุงอย่างเร็ว จึงมีการศึกษาเล่าเรียนสมรรถนะของสารโพลีฟีนอลในคนเพิ่มเติมอีก โดยให้คนไข้โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จำนวน 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่กินน้ำทับทิม 400 มล. (มีสารโพลิฟีนอล 2.66 กรัม) เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่กินยาหลอกต่อเนื่องกันทุกๆวันเป็นระยะ 5 อาทิตย์ ผลปรากฏว่า ไม่พบสารโพลิฟีนอลทั้งยังในเลือดและก็ปัสสาวะของผู้เจ็บป่วย ทั้งยังยังไม่เจอไม่เหมือนกันอย่างเป็นจริงเป็นจังระหว่าง 2 กลุ่ม ก็เลยคาดว่าทับทิมไม่น่ามีส่วนช่วยสำหรับการรักษาหรือทุเลาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
โดยปกติสารอาหารที่เข้าสู่ร่างกายจะถูกเผาผลาญผ่านกระบวนเมตาบอลิซึมแล้วก็ตรวจเจอได้ในเลือดหรือปัสสาวะ แต่ผลการศึกษาวิจัยกลับไม่พบสารโพลีฟีนอลจากการกิน ซึ่งบางทีอาจมีสาเหตุมาจากการย่อยสลายสารกลุ่มนี้โดยจุลอินทรีย์ในระบบย่อยอาหาร จะต้องทำความเข้าใจกรรมวิธีซึมซับสารอาหารที่แตกต่างก่อนจะอ้างถึงถึงคุณประโยชน์ด้านของสุขภาพจากการกิน เนื่องจากว่าสารอาหารที่พบในอาหารที่กินบางทีอาจไม่ได้ถูกเอาไปใช้ประโยชน์ในร่างกายมนุษย์เราทั้งสิ้น
โรคและก็อาการอื่นๆตัวอย่างเช่น โรคเส้นเลือดหัวใจ การหย่อนยานความสามารถทางเพศ เจ็บกล้ามเนื้อหลังการบริหารร่างกาย กรุ๊ปอาการอ้วนลงพุง โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงแดด การติดเชื้อทริวัวโมแนส (Trichomoniasis) ท้องร่วง โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง และอื่นๆยังจำเป็นต้องทำการวิจัยศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับคุณภาพรวมทั้งความปลอดภัยของทับทิมสำหรับการรักษาโรค
ข้อมูลทางโภชนศาสตร์ของผลทับทิม 100 กรัม (คร่าวๆ)น้ำ 77.93 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 1.67 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.70 กรัม
เส้นใย 4.0 กรัม
น้ำตาล 13.67 กรัม
แคลเซียม 10 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.30 มิลลิกรัม
แมงกานีส 12 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม
โซเดียม 3 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.35 มิลลิกรัม
วิตามินซี 10.2 มิลลิกรัม
วิตามินบี 1 0.067 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.053 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.075 มิลลิกรัม
โฟเลต 38 ไมโครกรัม
วิตามินอี 0.60 มก.
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม
ความปลอดภัยสำหรับเพื่อการรับประทานทับทิมหรือผลิตภัณฑ์จากทับทิมโดยทั่วไปการกินน้ำทับทิมค่อนข้างมีความปลอดภัย แต่ในบางรายที่มีอาการแพ้ผลสดของทับทิมอาจเกิดผลข้างเคียงจากการดื่มน้ำทับทิมได้
ราก
ทับทิมมีสารที่เป็นพิษต่อสุขภาพ การกินรากแล้วก็ลำต้นของทับทิมในจำนวนมากอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมค่อนข้างจะปลอดภัยสำหรับเพื่อการกินหรือประยุกต์ใช้กับผิวหนัง แม้กระนั้นอาจทำให้กำเนิดอาการแพ้นิดหน่อยในบางราย เป็นต้นว่า อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจลำบาก
การกินน้ำทับทิมค่อนข้างมีความปลอดภัยสำหรับหญิงมีท้องหรืออยู่ในตอนให้นมลูก แม้กระนั้นยังไม่มีรายงานรับรองความปลอดภัยสำหรับในการกินหรือใช้ทับทิมในแบบอย่างอื่น อย่างเช่น สารสกัดจากทับทิม จำเป็นจะต้องขอความเห็นหมอก่อนที่จะมีการรับประทานทุกคราว
น้ำทับทิมอาจจะก่อให้ความดันเลือดลดลดน้อยลงน้อย ซึ่งอาจจะทำให้ผู้เจ็บป่วยที่มีภาวการณ์ความดันต่ำอาการไม่ดีขึ้น
ผู้ที่มีอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีการเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้จากการกินทับทิมผู้ป่วยที่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดควรจะหยุดรับประทานทับทิมอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะทับทิมทำให้ความดันเลือดต่ำลง ก็เลยบางทีอาจกระทบต่อความดันเลือดในขณะผ่าตัดหรือส่งผลต่อเนื่องไปยังหลังการผ่าตัด
การรับประทาน
ทับทิมควบคู่กับยาบางชนิดอาจจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ดังเช่น ยาที่เกี่ยวพันกับแนวทางการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome ประเภท P450 2D6 หรือชนิด P450 3A4 ยาลดความดันโลหิตหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันเลือดสูง ยาโรสุวาสแตว่ากล่าวน คนที่กินยาเป็นประจำหรือมีโรคประจำตัวควรขอความเห็นแพทย์ก่อนที่จะมีการกินเพื่อให้มีความปลอดภัย