รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: เพกา มีสรรพคุณเเละประโยชน์อย่างไรบ้าง  (อ่าน 457 ครั้ง)

bilbill2255

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 112
    • ดูรายละเอียด


เพกา
ชื่อสมุนไพร เพกา
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน ลิ้นฟ้า , หมากลิ้นฟ้า (วัวราช,เลย,ภาคอีสาน) , มะลิดไม้ , มะลิ้นไม้ , ลิดไม้ (ภาคเหนือ) ,เบโก (จังหวัดนราธิวาส,ภาคใต้) ,หมากลิ้นช้าง , หมากลิ้นก้าง (ไทยใหญ่) ,กาโดโด้ง(กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) , ดอก๊ะ ,ดุแก ,ด๊อกก๊ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ,โชยเตี้ยจั้ง (จีน)
ชื่อสามัญ   Broken bone, Damocles tree, Indian trumpet flower, Indian trumpet tree
ชื่อวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Vent.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Kurz
วงศ์             Bignoniaceae
ถิ่นกำเนิด เพกาเป็นพืชท้องถิ่นที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมของทวีปเอเชีย ซึ่งพบในประเทศอินเดียแล้วก็เอเซียอาคเนย์ เป็นครั้งแรก ในปัจจุบันสามารเจอได้หลายประเทศ อาทิเช่น ประเทศอินเดีย ประเทศพม่า ไทย ลาว เขมร มาเลเซีย รวมทั้ง จีนตอนใต้ด้วย ซึ่งมักจะพบเพกาตามป่าเบญจพรรณ และป่าเปียกชื้นทั่วไป ส่วนในประเทศไทยนั้นสามารถพบเพกาได้ทุกภาคของประเทศ แต่สำหรับในการนำเพกามาทำเป็นอาหานั้น ดูเหมือนจะมีแต่คนไทยแค่นั้นที่นำมาบริโภค ส่วนประเทศอื่นๆนั้นไม่เจอข้อมูลสำหรับเพื่อการเอามาบริโภคเป็นอาหารอะไร
ลักษณะทั่วไป   เพกาเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกึ่งกลางรวมทั้งเป็นไม้ ครึ่งผลัดใบหรือเปล่าผลัดใบ สูง 5-12 เมตร ขนาดลำต้นราวๆ 10-30 เซนติเมตร เรือนยอดเล็ก กิ่งเปราะหักง่าย แตกกิ่งก้านน้อย ต้นที่แก่น้อยมีกิ่งใหญ่กึ่งกลางกิ่งเดียว เปลือกเรียบ มีใบเป็นกรุ๊ปกึ่งกลาง คล้ายกับต้นปาล์ม ภายหลังจากออกดอก ลำต้นจะแยกเป็นกิ่งระกะ เปลือกต้น สีน้ำตาลครีมอ่อน หรือเทาอ่อน แตกเป็นสะเก็ดสี่เหลี่ยม และก็แผลของใบยาวถึง 150 ซม. มีต้นเหตุมาจากใบที่ตกไปแล้ว ลำต้นและก็กิ่งก้านมีรูระบายอากาศ กระจายอยู่ทั่วๆไป เปลือกลำต้นเรียบสีเทา มีรอยแผลเป็น จากการหลุดตกของใบ ใบประกอบแบบขนนก 3 ชั้น ปลายคี่ ใบขนาดใหญ่ ยาว 60-200 ซม. เรียงตรงกันข้ามกันอยู่บริเวณปลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่ หรือรูปไข่แกมวงรี กว้าง 4-8 ซม. ยาว 6-12 ซม. ปลายยาว ขอบใบเรียบ ฐานใบสอบแคบ ใบสะอาด หรือมีขนสีขาวสั้นๆข้างล่าง ท้องใบนวล ก้านใบข้างบนสุดแยกออก 1 ครั้ง ก้านใบกลางแยก 2 ครั้ง รวมทั้งก้านใบข้างล่างแยก 3 ครั้ง ทำให้มองเห็นใบทั้งหมดเป็นรูปสามเหลี่ยม  ก้านใบย่อยยาว 5-8 มม. ก้านใบข้าง และก้านใบร่วมโค้งพองออกที่ฐานและที่ข้อ ก้านใบยาว 0.5-2 เมตร ดอกช่อขนาดใหญ่แบบกระจะ ออกที่ปลายยอดเป็นกระจุก มีดอกย่อย 20-35 ดอก จะบานพร้อมกันคราวละ 2-3 ดอก ก้านช่อดอกยาว 60-180 เซนติเมตร ยื่นออกมานอกทรงพุ่มของยอด ดอกย่อยขนาดใหญ่ 8-12 เซนติเมตร กลีบดอกสีนวลปนเขียวโคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดง หรือม่วงด้านนอก หลอดกลีบดอกยาว 2-4 เซนติเมตร รูปแตร กลีบดอกไม้ครึ้ม ขอบย่น ไม่มีพู หรือพูแตกต่างกัน มีต่อมกระจัดกระจายอยู่ข้างนอก ภายในมีขนหนาแน่น ดอกบานกลางคืน มีกลิ่นสาบฉุน แล้วก็ร่วงช่วงเวลาเช้า ชอบมีดอกรวมทั้งผลในกิ่งเดียวกัน เกสรตัวผู้ 5 อัน ชิดกับหลอดดอก โคนก้านมีขน เกสรตัวเมียมี 1 อัน กลีบเลี้ยงยาว 2-4 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมชิดกันเป็นทรงกระบอก ปลายไม่แยกเป็นกลีบอย่างชัดเจน เมื่อได้ผล กลีบเลี้ยงนี้จะเจริญก้าวหน้าเป็นเนื้อแข็งมาก ผลเป็นฝัก แบน โค้งเล็กน้อยที่ฐาน มีสันเล็กๆที่ข้างๆ เหมือนรูปลิ้น ห้อยอยู่เหนือเรือนยอด กว้าง 6-10 เซนติเมตร ยาว 30-120 เซนติเมตร สีน้ำตาลเข้ม สีแดง ติดฝักยาก ฝักเป็นรูปกระบี่ เมื่อแก่จะแตกเป็น 2 ซีก เม็ดแบนสีขาว  ขนาด 4-8 ซม. มีปีกบางโปร่งแสง เยื่อนี้ช่วยให้เมล็ดลอยละล่องตามแรงลมให้ตกห่างต้นเพื่อแพร่พันธุ์ได้ไกลขึ้น
การขยายพันธุ์ เพกาสามารถแพร่พันธุ์ได้โดยการใช้เม็ด  โดยเลือกเมล็ดจากฝักแก่ เปลือกฝักแห้ง มีสีดำ โดยให้เก็บฝักไว้สัก 2-3 เดือน ก่อนนำมาเพาะเมล็ด เนื่องจากว่าหลังจากฝักแก่ เมล็ดเพกาจะเข้าสู่ระยะพักตัวอยู่ตอนหนึ่ง ถ้านำเม็ดมาเพาะในพักหลังฝักแก่มักมีอัตราการงอกต่ำ เพราะฉะนั้น จึงทิ้งฝักไว้สักระยะหนึ่งก่อน
การเพาะเมล็ด ควรเพาะในถุงเพาะชำ เพื่อย้ายต้นลงปลูกเอาไว้ภายในแปลงได้สบาย โดยนำเมล็ดออกมาจากฝัก และตากแดดสัก 2-3 วันก่อน ต่อไปค่อยนำมาเพาะ  สำหรับสิ่งของเพาะ ควรที่จะใช้ดินผสมกับสิ่งของอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และแกลบดำ แต่ถ้าหากไม่สบายให้ใช้เพียงปุ๋ยคอกสิ่งเดียวก็ได้ โดยใช้อัตราส่วนดิน:ปุ๋ยคอก:แกลบดำ ที่ 1:3:1 ก่อนใส่ลงถุงเพาะชำ ต่อไป นำเมล็ดลงกลบ และก็รดน้ำให้ชุ่ม กับดูแลด้วยการรดน้ำเสมอๆทุกๆวัน อย่างต่ำวันละ 1 ครั้ง จวบจนกระทั่งต้นจะแตกออก แล้วก็แตกใบได้ 2 ข้อ ก่อนย้ายลงปลูกไว้ในแปลง  การปลูกเพกานิยมนำมาปลูกในต้นหน้าฝน เมื่อต้นกล้าแตกยอดได้ 2 ข้อแล้ว ให้นำกล้าเพกาลงปลูกได้ สำหรับระยะปลูกให้มีระยะห่างที่ 4×4 เมตร โดยการขุดหลุมขนาดราวๆ 30 ซม. ลึกโดยประมาณ 30 เซนติเมตร ก่อนที่จะรองตูดหลุมด้วยปุ๋ยหมักราว 3-5 กำ แล้วก็ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ราวๆ 1 หยิบมือ พร้อมคลุกหน้าดินผสม ก่อนจะนำกล้าเพกาลงปลูก
องค์ประกอบทางเคมี
ในฝักเจอสาร Oroxylin A , Chrysin     ,Baicalein , Triterpene  , Carboxyliv acid , Ursolic acid
ในเม็ดพบสาร Flavonoids , Chrysin , Oroxylin A ,Terpene , Baicalein , Saponins , Benzoic acid  , 6-Glucoside , Tetuin
สำหรับส่วนประกอบของน้ำมันของเม็ดพบสาร
Caprylic, Lauric  , Myristic ,Palmitic ,Palmotoleic ,Stearic ,Oleic , Linoleic acid
ในใบพบสาร Flavones  ,Baicalein ,Glycosides ,6,7-Glucuronides,7-Glucuronides , Chrysin , Scutellarein , Anthraquinone , Aloe emodin
ส่วนของลำต้นพบสาร Oroxylin A  ,Baicalein  ,Chrysin ,7-Glucuronides, Biochanin A ,Ellagic acid , Puunetin ,B-sitosterols ,b-Methylbailein  ,Lapachol
ส่วนรากพบสาร  Oroxylin A  ,  Baicalein , Chrysin, Pterocarpan , Rhodioside  ,D-Galatose ,Sitosterol
ที่มา : wikipedia
ส่วนค่าทางโภชนาการของเพราะว่านั้นมีดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการในยอดอ่อนเพกา (100 กรัม) พลังงาน 101 กิโลแคลอรี โปรตีน 6.4 กรัม ไขมัน 2.6 กรัม คาร์โบไฮเดรต 13.0 กรัม วิตามินบี1 0.18 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.69 มก.แล้วก็วิตามินบี3 2.4 มก.  ฝักอ่อนของเพกา (ต่อน้ำหนัก 100 กรัม) วิตามินซี 484 มิลลิกรัม วิตามินเอ 8,200 มก. แคลเซียม 13 มก., ธาตุฟอสฟอรัส 4 มก., โปรตีน 0.2 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม, ไขมัน 0.5 กรัม, เส้นใย 4 กรัม
ประโยชน์/สรรพคุณ  คุณประโยช์จากเพกานั้นโดยมากนิยมเอามารับประทานเป็นอาหาร ดังเช่นว่า ฝักอ่อน อายุฝักประมาณ 1 เดือน (ที่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก สามารถใช้เล็บมือจิกลงไปได้) จัดเป็นผักพื้นเมืองที่นิยมเอามารับประทานด้วยการลวกหรือปิ้งไฟ คู่กับน้ำพริก รายการอาหารลาบต่างๆรวมทั้งซุปหน่อไม้ ซึ่งฝักอ่อนนี้ เมื่อกินจะมีรสขมอ่อนๆทั้งนี้ การย่างไฟ นิยมย่างไฟจากเตาถ่าน แต่อาจย่างจากไฟลุกไหม้ก็ได้ โดยย่างให้เปลือกฝักอ่อนร้อน และก็อ่อนตัวจนกระทั่งไหม้เกรียมเป็นสะเก็ดดำ แล้วหลังจากนั้นค่อยขูดสะเก็ดดำออก ก่อนนำมาหั่นรับประทาน    ใบ รวมทั้งยอดอ่อน ประชาชนนิยมนำมากินดิบหรือลวกหรือย่างไฟ คู่กับน้ำพริก ซุปหน่อไม้ แล้วก็เมนูลาบต่างๆรวมทั้งนำมาผัดใส่กุ้ง หรือยำใส่กระเทียมเจียว ทั้งนี้ ใบอ่อน รวมทั้งยอดอ่อน มักไม่นิยมเด็ดมารับประทานมากนัก เพราะจำเป็นให้ยอดเติบโต รวมทั้งติด ดอกบานนิยมเอามาลวกแค่นั้น เนื้อดอกเมื่อลวกแล้วจะมีความนุ่ม และก็ให้รสขมน้อยกว่าฝักอ่อน และก็ยอดอ่อน นับว่าเป็นส่วนที่อร่อยมากที่สุด แล้วก็ชอบใช้สำหรับรับประทานคู่กับน้ำพริก ส่วนการใช้ประโยชน์อื่นๆนั้น อาทิเช่น แก่นไม้เพกา ในบางพื้นของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นิยมใช้เผาถ่านสำหรับทำผงถ่านผสมทำดินปืนหรือดินบั้งไฟ ทั้งนี้ สามารถเผาเป็นถ่านได้ทั้งในรูปไม้สด เพราะว่าเนื้อไม้สดค่อนข้างแห้งอยู่แล้ว และก็เผาในรูปขอนไม้แห้ง ซึ่งเผาได้ง่ายดายกว่า แต่ว่าเดี๋ยวนี้ ไม่ค่อยนิยมแล้ว เพราะเหตุว่า ต้นเพกาในอีสานหายากขึ้น และก็หันมาใช้ไม้ยูคาลิปตัสแทน ส่วนฝักเพกาแก่ นิยมนำมาตากแห้ง แล้วก็ส่งออกต่างประเทศเพื่อใช้ทำยาสมุนไพร สามารถทำรายได้ให้แก่เกษตรกรได้ นอกจากนั้นชาวกะเหรี่ยงยังใช้เปลือกต้นเพกาย้อมผ้าให้ได้สีเขียวอีกด้วย
นอกเหนือจากนั้นเพกายังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย ดังต่อไปนี้  หนังสือเรียนยาไทย  ใช้  เม็ด ต้มน้ำ แก้ไอแล้วก็ขับเสลด ใช้เป็นยาระบาย เมล็ดแก่ มีรสขม เป็นยาระบาย แก้ไอ ขับเสมหะ เม็ดแห้ง ทำน้ำจับเลี้ยงแก้ร้อนใน อยากดื่มน้ำ ฝักแก่ มีรสขมกินได้ แก้ร้อนในหิวน้ำ ช่วยเจริญอาหาร ยับยั้งไอ ฝักอ่อน มีรสขมร้อน ใช้เป็นยาขับลม
ใบ มีรสฝาดขม ต้มน้ำกินแก้เจ็บท้อง เจริญอาหาร แก้ปวดข้อต่างๆ
เปลือกต้น -รสฝาดเย็น และก็ขมบางส่วน เป็นยาสมานแผล ทำน้ำเหลืองให้เป็นปกติ ขับน้ำเหลืองเสีย ขับเลือดดับพิษโลหิต บำรุงเลือด แก้เสลดจุกคอ ขับเสลด แก้บิด แก้อาการจุกเสียด
ราก   มีรสฝาดเย็น ขมน้อย ใช้บำรุงธาตุ ทำให้เกอดน้ำย่อยของกิน เจริญอาหาร   แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้ไข้สันนิบาต
เพกาอีกทั้ง 5    ได้แก่การใช้ส่วนราก ใบ ดอก ผล ต้น รวมกันจะมีรสฝาดเย็น มีสรรพคุณสมานแผล แก้อักเสบบวม แก้ท้องเสีย บำรุงธาตุ แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ไข้เพื่อลม เพื่อเลือด

แบบ/ขนาดวิธีการใช้
ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข      นำเปลือกต้นฝนกับน้ำปูนใสทาแก้อาการบวม ฟกช้ำดำเขียว และก็ อักเสบ  หรือนำเปลือกเพกาฝนทารอบๆฝีแก้ปวดฝี        เปลือกต้นตำผสมกับสุรา     ใช้เป็นยากวาดประสะพิษซางเด็กรูปแบบเม็ดเหลือง      แก้ละอองขึ้นในปาก คอลิ้น แก้ละอองไข้     ใช้ฉีดพ่นตามตัวคนคลอดลูกที่ทนการอยู่ไฟมิได้ ทำให้ผิวหนังชา     ทารอบๆฝี แก้ปวดฝีทาแก้อาการฟกบวมอักเสบ  เปลือกต้นสดตำผสมกับน้ำส้ม  (ซึ่งได้จากรังมดแดง) หรือเกลือสินเธาว์    กินขับลมในไส้ แก้จุกเสียด แก้บิด แก้อ้วกไม่หยุด    กินแก้เสมหะจุกคอ (ขับเสมหะ) ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ บำรุงโลหิต
นอกเหนือจากนี้ ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้เปลือกเพกา เปลือกต้นไข่เน่า ใบไข่เน่า แก่นลั่นทม บอระเพ็ด ใบมัน รากต้นหญ้าค้าง รวม 7 อย่าง น้ำหนักอย่างละ 2 บาท นำมาต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 แก้วเล็ก ก่อนที่จะกินอาหาร รุ่งเช้ารวมทั้งเย็น  ช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ รวมทั้งขับเสลดโดยใช้เมล็ดแก่เพกาประมาณครึ่งกำมือถึงหนึ่งกำมือ (1.5 – 3 กรัม) ใส่ไว้ในหม้อที่เพิ่มน้ำ 300 มิลลิลิตร แล้วต้มไฟอ่อนๆจนถึงเดือดราวๆ 1 ชั่วโมง แล้วนำมาดื่มทีละ 1 แก้ว เช้าตรู่ ช่วงกลางวัน เย็น จวบจนกระทั่งอาการจะดีขึ้น  แก้โรคไส้เลื่อน ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกา รากเขยตาย หญ้าตีนนก เอามาตำรวมกันให้รอบคอบ แล้วค่อยนำไปละลายกับน้ำข้าวถู ใช้ขนไก่ชุบพาด นำมาทาลูกอัณฑะ
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ     ฟลาโวนอยด์ที่สกัดจากเพกาสามารถลดการอักเสบในเท้าของหนูเม้าส์ที่ถูกรั้งนำให้บวมด้วย dextran แล้วก็จะส่งผลลดบวมมากขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ a-chymotrypsin  สารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ลดการอักเสบในหนูที่ถูกทำให้เกิดการอักเสบด้วยอัลบูมินจากไข่  ฟอร์มาลิน รวมทั้งฮีสตามีน แม้กระนั้นไม่เป็นผลในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยซีรัมจากม้า หรือไซลีน (xylene)  ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าสารสกัดจากเปลือกมีฤทธิ์ลดการแพ้ในหนูที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดภูมิแพ้ได้มากกว่าหนูปกติ
           จากการเรียนรู้ฤทธิ์ต้านการอักเสบในหลอดทดสอบ พบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยั้งสารภายในร่างกายที่นำไปสู่การอักเสบเป็นPGE2 รวมทั้ง NF-kB และยังออกฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยการหยุดยั้งวิธีการออกซิเดชันของไขมัน (lipid-peroxidation)  นอกนั้นยังพบว่าสารสกัดด้วยไดคลอโรมีเทนจากเปลือกต้น รวมทั้งรากมีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยับยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase รวมทั้งพบว่าสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นแล้วก็รากของเพกาก็มีฤทธิ์ยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี 5-lipoxygenase ได้ด้วยเหมือนกัน โดยมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับ fisetin ซึ่งใช้เป็นสารมาตรฐานสำหรับเพื่อการทดสอบฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ  ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าสารสกัดด้วยน้ำจากเปลือกยังสามารถลดการอักเสบได้โดยลดการหลั่งเอนไซม์ myeloperoxidase
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและก็แก้ท้องเสียสารสกัดไดคลอโรมีเทนของเปลือกต้น และรากของเพกา มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียได้หลายสายพันธุ์อย่างเช่น Bacillus subtilis, Staphylococcus aureus, Escherichia coli รวมทั้ง Pseudomonas aeruginosa แล้วก็ยังมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อราCandida albicans และพบสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นรวมทั้งรากของเพกา มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อ B. subtilis และก็ S. aureus ได้เท่ากันกับยา streptomycin  สารสกัดเพกาต้นด้วยการต้ม ไม่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Salmonella typi type 2 (ค่า MIC พอๆกับ 125 มิลลิกรัม/มล.) แต่ว่ามีฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเชื้อ Staphylococcus aureus (ค่า MIC พอๆกับ 15.13 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร) (2) สารสกัดจากฝักด้วยเอทานอล (80%) ขนาด 12.5 มก./มิลลิลิตร มีฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเชื้อ S. aureus รวมทั้ง Escherichia coli
สำหรับสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรซึ่งมีเปลือกเพกาเป็นส่วนประกอบ รวมทั้งใช้ทุเลาอาการท้องเดินที่ไม่ได้มีต้นเหตุจากการติดเชื้อ พบว่ามีฤทธิ์ลดอาการท้องร่วงในหนูเม้าส์ที่ทำให้ท้องเดินด้วยน้ำมันละหุ่ง และมีฤทธิ์ยั้งการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเรียบในลำไส้เล็กขิงหนูตะเภา  นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียที่นำมาซึ่งอุจจาระหล่น 6 สายพันธุ์ในหลอดทดสอบเป็นBacillus cereus ATCC 14579, Escherichia coli ATCC 25922, Salmonella typhimurium ATCC 11331, Shigella flexneri  DMSC 1130, Staphylococcus aureus ATCC 25923, Vibrio parahaemolyticus DMST 5665 และก็ แบคทีเรียที่แยกได้จากอาหาร โดยสารสกัดด้วยน้ำจะออกฤทธิ์ดีกว่าสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์และสารสกัดของสมุนไพรโดดเดี่ยวแต่ละประเภทที่เป็นองค์ประกอบในตำรับยานี้
ฤทธิ์ต่อต้านการหดเกร็งกล้าม  สารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลรวมทั้งน้ำ (1:1) มีฤทธิ์ต้านการยุบเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้เล็ก เมื่อกระทำทดสอบในหนูตะเภาที่ถูกกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการยุบเกร็งของกล้ามเนื้อส่วนลำไส้เล็กด้วย acetylcholine รวมทั้ง histamine
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ การศึกษาใช้สารสกัดจากใบเพกาสำหรับในการต้านสารอนุมูลอิสระ DDPH รวมทั้งยับยั้งสารอนุมูลอิสระ Nitric Oxide พบว่า สารสกัดสามารถออกฤทธิ์ยั้งในค่า IC50 = 24.22 ไมโครกรัม/มล. และ ค่า IC10 = 129.81 ไมโครกรัม/มล. ของสารทั้ง 2 เป็นลำดับ
ฤทธิ์ต้านโรคมะเร็ง การเรียนรู้ทดสอบสารสกัดจากเพกาชื่อ Baicalein สำหรับในการต้านทานเซลล์มะเร็ง HL-60 พบว่า สาร Baicalein สามารถยั้งเซลล์ของมะเร็ง HL-60 ได้มากกว่าจำนวนร้อยละ 50 ภายใน 36-48 ชั่วโมง
การเรียนรู้ทางพิษวิทยา
การทดลองความเป็นพิษ มีการทดสอบกรอกสารสกัดรากเพกาด้วยน้ำร้อนแก่หนูเพศผู้ในขนาด 1 โมล/กก. มีกล่าวว่ากระตุ้นให้เกิดพิษ Dhar รวมทั้งแผนก ทำการทดลองฉีดสารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลและก็น้ำ (1:1) แล้วก็สารสกัดรากเพกาด้วยเอทานอลและก็น้ำ (1:1) เข้าช่องท้องหนู พบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่หนูสามารถทนได้ (maximum tolerated dose)เป็น100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม แล้วก็ 1 ก./กิโลกรัม ตามลำดับ (4) ธีระยุทธ ได้กระทำทดลองความเป็นพิษรุนแรงของสารสกัดเปลือกเพกาด้วยเอทานอล (70%) โดยการฉีดเข้าท้องแล้วก็กรอกลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 100 มิลลิกรัม/กก.น้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่ทำให้เกิดพิษฉับพลันในหนู และเมื่อทดสอบความเป็นพิษกะทันหันโดยใช้สารสกัดในขนาดสูงมากขึ้นเป็น400 แล้วก็ 800 มก./กิโลกรัมน้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่ทำให้เกิดพิษกะทันหันเมื่อให้โดยการกรอกลงกระเพาะหนู แต่ว่านำไปสู่พิษทันควันได้เมื่อฉีดเข้าท้องในขนาด 800 มิลลิกรัม/กิโลกรัม สำหรับความเป็นพิษกึ่งทันควันของสารสกัด พบว่าเมื่อกรอกสารสกัดลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 400 และ 800 มิลลิกรัม/กก.น้ำหนักตัว ทุกๆวันเป็นเวลา 30 วัน  พบว่าไม่ส่งผลให้เกิดพิษกระทันหันในหนู
และก็เมื่อป้อนสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรขนาด 5 กรัม/โล ครั้งเดียวให้หนูแรท พิจารณาความประพฤติปฏิบัติด้านใน 14 วัน ไม่เจอพิษแบบกระทันหันแล้วก็ความผิดแปลกของอวัยวะภายใน รวมทั้งเมื่อให้สารสกัดขนาด 1, 2 และ 4 กรัม/กิโลกรัม/วัน แก่สัตว์ทดลองต่อเนื่องกันตรงเวลา 90 วันไม่เจอพิษแบบกึ่งเรื้อรัง ไม่เจอความเปลี่ยนไปจากปกติของน้ำหนักตัว ค่าตรวจทางโลหิตวิทยา รวมทั้งทางชีวเคมี แล้วก็ความเคลื่อนไหวในพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน  สำหรับตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่ประกอบด้วยเพกา ชุมเห็ดเทศ (Senna alata (L.) Roxb.) และก็รางจืด (Thunbergia laurifolia Lindl.) ซึ่งออกฤทธิ์ต่อต้านโรคมะเร็งในหลอดทดลอง ก็พบว่ามีความปลอดภัยสำหรับการทดลองความเป็นพิษแบบรุนแรงในสัตว์ทดลอง
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ จากการทดลองฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ โดยวิธี Ames’ test จากผลของการทดลองพบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่ทำงานทดลอง (2 มก./จานเพาะเชื้อ) กับ Salmonella typhimurium สายพันธุ์ TA98 และ TA100 พบว่าไม่มีคุณลักษณะในการนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการ กลายพันธุ์ อมรศรี และก็ภาควิชา พบว่าสารสกัดเพกาที่ได้จากการต้มมีฤทธิ์ต่อต้านการกลายพันธุ์ เมื่อทดสอบโดยแนวทาง Ames’ test
การคาดการณ์ความเป็นพิษของสารสกัดจากเพกาโดยวิธี somatic mutation and recom bination test ในแมลงหวี่ พบว่าสารสกัดเพกาในขนาด 120 มก./มิลลิลิตร สามารถนำมาซึ่งการก่อให้เกิด somatic mutation ได้  โดยพบว่าแมลงหวี่ที่ได้รับสารสกัดมีจำนวนจุดบนปีกน้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับแมลงหวี่กลุ่มควบคุม รวมทั้งมีรายงานว่าส่วนสกัดอัลกอฮอล์ของเพกาเมื่อเอามาทำปฏิกิริยากับเกลือไนไตรท์ในสถานการณ์ห้อมล้อมที่เป็นกรดแล้วนำมาทดลองการกลายพันธุ์ พบว่าสินค้าที่เกิดขึ้นมีฤทธิ์ก่อการกลายพันธุ์
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง

  • หญิงตั้งท้องไม่สมควรรับประทานฝักอ่อนของเพกา เนื่องจากว่ามีฤทธิ์ร้อน โดยอาจทำให้แท้งลูกได้
  • ควรระวังสำหรับการใช้เพการ่วมกับยากลุ่มต่อต้านการแข็งตัวของเกร็ดเลือด อย่างเช่น แอสไพริน (aspirin) ,วาฟาริน (warfarin) , สารสกัดแปะก๊วย (Ginko biloba)
  • เพกาเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนอาจจะเป็นผลให้เป็นผลข้างๆได้ เช่น เกิดการระคายเคืองกระเพาะได้
เอกสารอ้างอิง

  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 1): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิก และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพร ที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา.สมุนไพรทีใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • จีรเดช มโนสร้อย วรพงษ์ กิจดำรงธรรม ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ อรัญญา มโนสร้อย. การทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันของสารสกัดตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่คัดเลือกจากฐานข้อมูลตำรายาสมุนไพรไทย มโนสร้อย 2. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 2553;8(2):54.
  • อมรศรี ช่างปรีชากุล อริศรา เวชกัลยามิตร มาลิน จุลศิริ ปัญญา เต็มเจริญ.  การต้านสารก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดน้ำจากพืช สมุนไพรชนิดที่สามารถนำมาปรุงเป็นเครื่องดื่ม. Special project, Faculty of pharmacy, Mahidol university,1991.
  • เพกา.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหิทยาลัยอุบลราชธานี
  • Ali RM, Houghton PJ, Raman A, Hoult JRS.  Antimicrobial and antiinflammatory activities of extracts and  constituents of Oroxylum indicum (l.) Vent.  Phytomedicine 1988;5(5):375-81.
  • เพกา.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ป่วยติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • อุดมการณ์ อินทุใส และปาริชาติ ทะนานแก้ว . สมุนไพรไทย ตำรับยา บำบัดโรค บำรุงร่างกาย.2549.
  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 2): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิกและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา/ลิ้นฟ้า สรรพคุณและการปลูกเพกา.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพิชเกษตรไทย http://www.disthai.com/
  • นพมาศ สุนทรเจริญนนท์. การพัฒนาตำรับยาแผนโบราณเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน. การสัมมนาเรื่อง “การเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านสมุนไพรสู่ระดับอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2”, 19-20 มีนาคม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ, 2552.
  • ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ.2551.พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยง ที่ตำบลบ้านจันทร์และแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ .วิทยานิพนธ์(วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.271 หน้า
  • Glinsukon T. Toxicological report. Symposium on Development of Medicinal Plants for Tropical Diseases, 26-27 February, Bangkok, Thailand, 1987. p.110-4.
  • เพกา.กลุ่มยาแก้โรคบิด ท้องเดิน ท้องร่วง โรคกระเพาะ.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด .โครงการอนุรักษ์พันธุกรมมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี.
  •   Siriwatanametanon N, Fiebich BL, Efferth T, Prieto JM, Heinrich M. Traditional Used Thai Medicinal Plants: In Vitro Anti-inflammatory, anticancer and Antioxidant Activities. J Ethnopharmacol 2010; 130:196-207.
  • Golikov PP, Brekhman II. Pharmacological study of a liquid extract from the bark of Oroxylum indicum.  Rastit, Resur 1967; 3(3): 446.
  • พัฒน์ สุจำนงค์.  ตำรายาไทย-จีนยากลางบ้าน ยาสมุนไพร และยาแผนโบราณ.  ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แพร่วิทยา, 2524. หน้า 363.
  •   Chen CP, Lin CC, Namba T.  Development of natural crude drug resources from Taiwan. (VI). In vitro studies of the inhibitory effect on 12 microorganisms.  Shoyakugaku Zasshi 1987; 41(3):215-25.
  • แก้ว กังสดาลอำไพ วรรณี โรจนโพธิ์. การประเมินฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสมุนไพรไทยในรูปของยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และสมุนไพรบางชนิด โดยวิธีเอมส์เทสต์. รายงานผลการวิจัยเอกสารด้านการแพทย์แผนไทยโดยศูนย์ป
บันทึกการเข้า