รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: ย่านาง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณ เเละ ประโยชน์ที่น่าทึ่ง ดังนี้  (อ่าน 705 ครั้ง)

boiopil020156889

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 65
    • ดูรายละเอียด


ย่านาง
ชื่อสมุนไพร ย่านาง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น จอยนาง , จ้อยนาง (ภาคเหนือ) , เถาย่านาง , เถาวัลย์เขียว , หญ้าภคินี (ภาคกึ่งกลาง) , บริเวณนาง , นางวันยอ , ขันยอยาด (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์   Tiliacora triandra (Colebr.) Diels,
ตระกูล  Menispermaceae
ถิ่นเกิด ย่านางมีถิ่นกำเนิดในตรงกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างเช่น ในประเทศ เมียนมาร์ , ไทย , ลาว , เขมร  เรื่องจริงแล้วพืชตระกูลย่านางนี้มีราว 70  เครือญาติ แม้กระนั้นจำนวนมากเป็นไม้เลื้อยในป่าเขตร้อนรวมทั้งในป่าไม้ผลัดใบในทวีปเอเชียรวมทั้งอเมริกาเหนือ ส่วนย่านางของพวกเรานั้นพบขึ้นตามป่าผลัดใบ ป่าดงดิบ รวมทั้งป่าโปร่ง ในทุกภาคของประเทศไทย แม้กระนั้นในปัจจุบันได้มีการนำมาปลูกใบรอบๆบ้าน เพื่อใช้บริโภครวมทั้งใช้เป็นยาสมุนไพรกันอย่างมากมาย
ลักษณะทั่วไป
       ย่านางเป็นไม้เถาเลื้อย เถากลมขนาดเล็ก มีแก่นไม้ เลื้อยพันตามต้นไม้ หรือก้านไม้ เถามีสีเขียว ยาว 10-15 เมตร เถาอ่อนสีเขียว เมื่อเถาแก่จะมีสีคล้ำ แตกเป็นแนวถี่ เถาอ่อนมีขนนุ่มสีเทา มีเหง้าใต้ดิน กิ่งมีรอยแผลเป็นรูปจานที่ก้านใบหลุดไป มีขนกระจาย หรือหมดจด ใบเดี่ยว ดก สีเขียวเข้มเป็นมัน เรียงแบบสลับ รูปไข่ ยาวราว 6-12 เซนติเมตร กว้างราวๆ 4-6 ซม. ขอบของใบเรียบ ปลายใบแหลม ฐานใบมน ผิวใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ก้านใบยาวประมาณ 1.5 ซม. ผิวใบเรียบมัน ไม่มีหูใบ เนื้อใบคล้ายกระดาษ แต่แข็ง เหนียว มีเส้นใบครึ่งหนึ่งออกมาจากโคนใบรูปฝ่ามือ 3-5 เส้น และก็มีเส้นกิ้งก้านใบ 2-6 คู่ เส้นพวกนี้จะไปเชื่อมกันที่ขอบใบ เส้นกึ่งกลางใบด้านล่างจะร่นละเอียดใกล้ๆโคน ขนเกลี้ยง ก้านใบผิวย่นย่อละเอียด ดอกออกเป็นช่อเล็กๆแบบแยกแขนงตามข้อแล้วก็ซอกใบ มีดอก 1-3 ดอก สีเหลือง ก้านช่อดอกยาวราวๆ 0.5 เซนติเมตร แยกเป็นช่อดอกเพศผู้รวมทั้งช่อดอกเพศเมีย ดอกเพศผู้สีเหลือง กลีบเลี้ยงมี 6-12 กลีบ กลีบวงนอกสุดมีขนาดเล็กที่สุด กลีบวงในมีขนาดใหญ่กว่าและก็เรียงซ้อนกัน รูปรีกว้าง ยาว 2 มิลลิเมตร ค่อนข้างหมดจด กลีบดอกมี 3 หรือ 6 กลีบ สอบแคบ ปลายเว้าตื้น ยาว 1 มิลลิเมตร สะอาด เกสรเพศผู้มี 3 อัน เป็นรูปกระบอง ยาว 1.5-2 มม. ดอกเพศภรรยา กลีบเลี้ยงวงในรูปกลม ยาว 2 มิลลิเมตร ด้านนอกมีขนกระจาย กลีบดอกไม้มี 6 กลีบ รูปรีแกมขอบขนาน ยาว 1 มิลลิเมตร เกสรเพศเมียมี 8-9 อัน แต่ละอันยาวไม่ถึง 1 มิลลิเมตร ติดอยู่บนก้านชูสั้นๆยอดเกสรเพศเมียไม่มีก้าน ผลเป็นผลกรุ๊ป ผลกลมรูปไข่กลับ กว้าง 6-7 มิลลิเมตร ยาว 7-10 มม. ผิวเนียน มีเม็ดแข็ง ผลสีเขียว ชุ่มฉ่ำน้ำ ออกเป็นพวง ตามข้อและก็ซอกใบ ติดบนก้านยาว 3-4 มิลลิเมตร เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแล้วก็แดงสด เมล็ดรูปเกือกม้า ฝาผนังผลชั้นในมีสันไม่เป็นระเบียบ ออกดอกช่วงเดือนมีนาคมถึงม.ย.
การขยายพันธุ์
       ย่านางเป็นพืชที่เจริญรุ่งเรืองได้ ในดินแทบทุกชนิด ถูกใจดินร่วนซุยผสมทรายจะรุ่งโรจน์ได้ดี การปลูกเอาไว้ภายในฤดูฝน จะเจริญเติบโตได้ดีมากว่า จะงอกงามเร็วกว่าปลูกภายในตอนอื่น ย่านางที่ปลูกได้ไม่ยากขึ้นง่าย ดูแลง่าย ไม่ต้องดูแลมากมาย ทนความแห้งได้ดี
ส่วนการขยายพันธุ์สามารถแพร่พันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ด หรือการแยกเหง้าปลูก แม้กระนั้นวิธีที่ได้รับความนิยมในตอนนี้เป็นการเพาะเมล็ด เมล็ดย่านางจะมีอัตราการงอกของเมล็ดสูง แต่ต้องใช้เม็ดที่แก่สุดกำลังที่มีลักษณะสีดำ ซึ่งควรที่จะนำมาตากแห้ง 5-7 วัน ก่อนปลูก การปลูกด้วยการหยอดเมล็ดต้องระมัดระวังอย่าขุดหลุมลึก เนื่องจากว่าจะทำให้เมล็ดเน่าได้ง่าย
ส่วนการดูแลและรักษาย่านางไม่มียุ่งยากมาก เนื่องจากว่าย่านางจะเติบโตเจริญ ในดินมีความชื้นเพียงพอ และก็สามารถเติบโตได้แม้จะมีวัชพืชขึ้นหนา เนื่องด้วยต้นย่านางจะสร้างเถาเลื้อยอยู่ข้างบนพืชจำพวกอื่น
สำหรับประเด็นการให้ปุ๋ยย่านางนั้นไม่มีความสำคัญ ถ้าหากดินมีภาวะอินทรีย์วัตถุที่พอเพียง เราสามารถใช้เพียงแต่ปุ๋ยธรรมชาติจากมูลสัตว์ 1 ถัง/ต้น ก็พอเพียง แม้กระนั้นหากต้องการให้ใบเขียวเข้มมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีอาจจำต้องใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-8-8 หรือปุ๋ยยูเรียเพิ่มในอัตรา 50-100 กรัม/ต้น หรือราว 1 กำมือ สำหรับต้นที่แตกเถายาว ส่วนต้นขนาดเล็กจะต้องปรับปริมาณลดลง แล้วนำต้นกล้าที่ได้มาปลูกภายในแปลงดิน ให้มีระยะห่างระหว่างต้นราว 1×1 เมตร และก็เมื่อต้นเริ่มเลื้อยทอดยอด ให้ทำหลักปักไว้ ทำค้างให้เถาเลื้อยขึ้น
การเก็บผลิตผลย่านาง  จะเริ่มเก็บผลผลิตใบย่านาง ใช้เวลาราวๆ 2-3 เดือน ข้างหลังปลูกภายในแปลง ใบมีขนาดโตเต็มที่มีสีเขียว จะสามารถเก็บเกี่ยวใบย่านางได้ และก็จะเก็บได้ตลอดกาลเรื่อย
ส่วนประกอบทางเคมี
                สาระสำคัญที่เจอในใบย่านางส่วนมากจะเป็นสารกรุ๊ปฟินอลิก (phenolic compound) เป็นต้นว่า ไม่เนวัวไซด์ (Minecoside), กรดพาราไฮดรอกซีเบนโซอิก (p-hydroxy benzoic acid) แล้วก็สารในกลุ่มฟลาโวนไกลโคไซด์ ดังเช่น สารโมโนอีพอกซีบีตาแคโรทีน (moonoepoxy-betacarotene) รวมทั้งอนุพันธ์ของกรดซินนามิก (flavones glycosidf cinnamic acid derivative) ส่วนสารอัลาลอยด์ (alkaloid) ได้แก่ ทิเรียวัวรีน
(tiliacorine) , ทิเรียวัวลินิน (Tiliacorinine) , นอร์ทิเรียโครินิน (nor-tiliacorinine) , tiliacorinin 2,-N-oxide Tiliandrine , Tetraandrine และก็ D-isochondendrine เจอได้ในราก และก็ใบย่านาง  รวมทั้งการเรียนรู้องค์ประกอบหลักที่มีฤทธิ์ต่อต้านไข้มาลาเรียจากรากย่านาง โดยสกัดรากด้วยตัวทำละลาย  chloroform:methanol:ammonium hydroxide ในอัตราส่วน (50:50:1) ใช้วิธีแยกสารด้วย column chromatography  แล้วก็การตกผลึก พบว่าได้สารประกอบ alkaloid  2 ชนิดหมายถึงtiliacorinine (I) และ tiliacorine (II) ปริมาณ  0.0082% แล้วก็ 0.0029% เป็นลำดับ  ส่วนค่าทางโภชนาการของย่านางนั้นมีดังนี้
-               พลังงาน 95 กิโลแคลอรี
-               เส้นใย 7.9 กรัม
-               แคลเซียม 155.0 กรัม
-               ฟอสฟอรัส 11.0 มก.
-               เหล็ก 7.0 มิลลิกรัม
-               วิตามินเอ 30625 (IU)
-               วิตามินบีหนึ่ง 0.03 มิลลิกรัม                              Minecoside
-               วิตามินบีสอง 0.36 มิลลิกรัม
-               ไนอาซิน 1.4 มก.
-               วิตามินซี 141.0 มก.
-               เถ้า 8.46%
-               ไขมัน 1.26%
-               โปรตีน 15%                                          Tiliacorine
-               น้ำตาลทั้งผอง 59.47%
-               แคลเซียม 1.42%
-               ฟอสฟอรัส 0.24%
-               โพแทสเซียม 1.29%
-               กรดยูเรนิค 10.12%
-               โมโนแซคค้างไรด์
-               แรมโนส 0.50%
-               อะราบิโนส 7.70% หน่วยเปอร์เซ็นต์ (ใบย่านาง 100 กรัม/น้ำหนักแห้ง)       tiliacorinine
-               กาแลคโตส 8.36%
-               กลูโคส 11.04%
-               ไซโลส 72.90%
ผลดี/สรรพคุณ ใบย่านางเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ และยังมีวิตามินที่ต้องต่อสภาพทางด้านร่างกายอีกเยอะมาก ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีนในปริมาณออกจะสูง โดยเป็นสมุนไพรที่คนอีกจำนวนไม่น้อยต่างก็คุ้นเคยกันดี เพราะว่านิยมนำมาเป็นเครื่องปรุงรสช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของอาหาร เป็นต้นว่า แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ แกงเลียง แกงหวาน
ผลดีย่านางที่ใช้เป็นอาหารมีดังนี้
ใบย่านาง เก็บบริโภคได้ตลอดปี ยอดอ่อนแตกใบมากมายในฤดูฝน ยอดอ่อนของเถาย่านางใช้รับประทานแกล้มแนมกับของกินเผ็ด คนไทยอีสานรวมทั้งชาวลาวใช้ใบย่านางคั้นเอาน้ำทำกับข้าวต่างๆทำให้น้ำซุปข้นขึ้น อย่างเช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ ย่านางสามารถลดฤทธิ์กรดยูริกในหน่อไม้ได้ ลดความขมของหน่อไม้ รวมทั้งเพิ่มคลอโรฟิลล์แล้วก็อนุภาคบีตาแคโรทีนให้กับอาหารดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
ยิ่งกว่านั้นยังใส่น้ำคั้นใบย่านางในแกงเห็ด ต้มเลอะเทอะ แกงขี้เหล็ก แกงขนุน แกงผักอีลอก แกงยอดหวาย แกงอีลอก นำไปอ่อมและหมก
ชาวใต้ใช้ยอด ใบเพสลาด (ซึ่งก็คือใบที่ไม่อ่อน ไม่แก่เหลือเกิน) นำไปแกงเลียง แกงหวาน แกงขี้เหล็ก น้ำคั้นจากใบช่วยลดความขมของใบขี้เหล็กได้ นอกจากนั้นยังนำไปผัด แกงกะทิ และหั่นซอยรับประทานอาหารยำได้อีก ผลสุกใช้กินเล่น ส่วนชาวเหนือใช้ยอดย่านางอ่อนเอามาลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใบแก่คั้นน้ำนำมาใส่แกงพื้นบ้าน ได้แก่ แกงหน่อไม้ แกงแค
ส่วนสรรพคุณทางยาของย่านาง คือ  ตำราเรียนยาไทย  ใช้ ราก รสจืด รสจืดขม ใช้ในตำรับยาแก้ไข้ห้าโลกวิเชียร (ประกอบด้วยรากย่านาง รวมกับรากเท้าคุณยายม่อม รากมะเดื่อชุมพร รากคนทา รากแส้ม้าทลาย อย่างละเท่าๆกัน) แก้ไข้ (ใช้รากแห้งครั้งละ 1 กำมือ หรือโดยประมาณ 15 กรัม ต้มกับน้ำกินก่อนกินอาหารยามเช้า ช่วงกลางวัน เย็น) แก้พิษเมาเบื่อ กระแทกพิษไข้ แก้เมาสุรา ทำลายพิษผิดสำแดง นำมาต้มกินเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น แก้ไข้ ขับพิษต่างๆแก้ท้องผูก ปรุงยาแก้ไข้รากสาด ไข้กลับ ไข้หัว ไข้พิษ ไข้สันนิบาต ไข้มาลาเรียเรื้องรัง ไข้ทับเมนส์ บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้พิษภายในให้ตกสิ้น แก้โรคหัวใจบวม แก้กำเดา แก้ลม แก้ไข้จับสั่น แก้เมาสุรา รากผสมกับรากหมาน้อย ต้มกินแก้ไข้ไข้จับสั่น ลำต้น รสจืดขม ถอนพิษผิดสำแดง รักษาพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้พิษ แก้ไข้รากสาด ไข้ดำแดง ไข้ไข้ทรพิษ ไข้เซื่องซึม ไข้กลับไข้ซ้ำ แก้ลิ้นเป็นฝ้าขาว แก้ลิ้นแข็งกระด้าง รักษาโรคปวดข้อ ก้านที่มีใบผสมกับพืชอื่นใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย ใบ รสจืดขม รับประทานทำลายพิษ แก้ไข้ แก้ไข้รากสาด ไข้พิษ ไข้เซื่องซึม ไข้หัว ไข้พิษ ปวดศีรษะตัวร้อน อีสุกอีใส ฝึกฝน ลิ้นกระด้างคางแข็ง เป็นยากวาดคอ แก้ไข้ไข้ทรพิษ ไข้ดำแดง
ส่วนอีกหนังสือเรียนหนึ่งบอกว่า ราก นำรากมาต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ดับกระหาย บรรเทาลักษณะของการมีไข้ ไข้รากสาด อีสุกอีใส โรคฝีดาษ ทำลายพิษแฮงค์ เมาสุรา ทุเลาท้องผูก ท้องเสีย บำรุงหัวใจ ถอนพิษ แล้วก็ลดพิษจากพืช สัตว์ รวมทั้งสารเคมีภายในร่างกาย  ลำต้น ลำต้นเอามาต้มหรือบดคั้นน้ำ ทุเลาลักษณะของการมีไข้ชนิดต่างๆลดพิษร้อน พิษจากพืช เห็ด และก็ลดสารพิษยากำจัดแมลงภายในร่างกาย  ใบ  นำใบมาบดคั้นน้ำสด หรือเอามาต้มน้ำดื่ม รวมทั้งใบตากแห้งอัดใส่แคปซูลกิน มีฤทธิ์ในทางยาหลายด้าน ดังเช่นว่า ทุเลาอาการร้อนใน บรรเทาอาการเจ็บป่วย ตัวร้อน บรรเทาไข้รากสาด ไข้ฝีดาษลดพิษสารกำจัดศัตรูพืชภายในร่างกาย แล้วก็ถอนพิษอื่นๆ
ภาคอีสานใช้รากต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น และใช้รากยานางผสมรากสุนัขน้อย ต้มแก้ไข้ไข้จับสั่น บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ เจาะจงการใช้ย่านางในตำรับ “ยาห้าราก” มีส่วนประกอบของรากย่านางร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณทุเลาอาการไข้ ส่วนทางการแพทย์แผนปัจจุบันบอกว่า ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของย่านาง โดยพบว่าย่านางมีฤทธิ์ลดไข้ ยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไข้จับสั่น Plasmodium falciparum แก้ปวด ลดระดับความดันโลหิต ต้านทานเชื้อจุลชีวัน ต่อต้านการแพ้ ลดการหดเกร็งของลำไส้ ต่อต้านการก้าวหน้าของเซลล์มะเร็ง ยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase และมีฤทธิ์อย่างอ่อนๆสำหรับในการต้านอนุมูลอิสระ  และยังมีคุณลักษณะกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดขาวครั้ง-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte) ต้านจุลินทรีย์ Staphylococcus aureus, Bacillus cereus, Escherichia coli รวมทั้ง Salmonellaspp. แล้วก็ยังมีคุณลักษณะกระตุ้นการเพิ่มปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวที-ลิมโฟซัยท์ (T-lymphocyte)  ต่อต้านจุลินทรีย์ Staphylococcus  aureus,  Bacillus  cereus,  Escherichia  coli แล้วก็ Salmonella spp. ต่อต้านไข้ รวมทั้งต้านทานอนุมูลอิสระ ใบย่านางไม่มีอันตรกิริยา (interaction) กับยารักษาโรคเรื้อรังได้แก่ โรคหัวใจและก็เส้นเลือด โรคกระดูกแล้วก็ข้อเบาหวาน โรคระบบฟุตบาทหายใจ
แบบ/ขนาดวิธีการใช้ แก้ไข้ ใช้รากย่านางแห้ง 1 กำมือ ประมาณ 15 กรัม ต้มกับน้ำ 2 แก้วครึ่ง เคี่ยวให้เหลือ 2 แก้ว ให้ดื่มครั้ง1-2 แก้ว ก่อนอาหาร 3 เวลา   แก้ป่วง (เจ็บท้องด้วยเหตุว่ารับประทานอาหารผิดสำแดง)ใช้รากย่านางแดงและรากมะปรางหวาน ฝนกับน้ำอุ่น แต่ว่าไม่ถึงกับข้น ดื่มครั้งละ 1-2  แก้วต่อครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือทุกๆ2 ชั่วโมง ถ้าไม่มีรากมะปรางหวาน ก็ใช้รากย่านางแดงสิ่งเดียวก็ได้ หรือถ้าให้ดีขึ้น ใช้รากมะขามฝนรวมด้วย   ทำลายพิษเบื่อเมาในอาหาร ยกตัวอย่างเช่น เห็ด กลอย ใช้รากย่านางต้นและก็ใบ 1 กำมือ  ตำผสมอาหารสารเจ้า 1 จับมือ เพิ่มน้ำคั้นให้ได้ 1 แก้ว กรองด้วยผ้าขาวบาง ใส่เกลือและน้ำตาลบางส่วนพอดื่มง่ายให้หมดอีกทั้งแก้ว ทำให้คลื่นไส้ออกมา จะช่วยทำให้ดียิ่งขึ้น   ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ใช้หัวย่านางต้มกับน้ำ 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วนดื่มทีละ 1-2 แก้ว  การใช้เป็นยาพื้นบ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   ใช้ราก ต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น   ใช้รากย่านางผสมรากสุนัขน้อย ต้มแก้ไข้มาลาเรีย   ใช้ราก ต้มขับพิษต่างๆ น้ำย่านางเมื่อเอามาผสมกับดินสอพองหรือปูนบดหมากผสมจนเหลว สามารถเอามาทา สิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนองได้อีกด้วย

การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไข้จับสั่น        เล่าเรียนฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย Plasmodium falciparum ของสารสกัดรากย่านางด้วยเมทานอล ซึ่งสารสกัดมีสาร alkaloid เป็นส่วนประกอบ 2 ส่วนสกัด เป็นส่วนที่ละลายน้ำ รวมทั้งส่วนที่ไม่ละลายน้ำ พบว่าเฉพาะสาร alkaloid ที่ไม่ละลายน้ำ (water-insoluble alkaloid) มีฤทธิ์เพิ่มการหยุดยั้งเชื้อมาลาเรีย จากส่วนประกอบทางเคมีที่แยกได้ เจอสาร alkaloid ที่ต่างกัน 5 จำพวก ในกรุ๊ป bisbenzyl isoquinoline เช่น tiliacorine, tiliacorinine, nor-tiliacorinine A, แล้วก็สาร alkaloid ที่ไม่สามารถที่จะเจาะจงองค์ประกอบได้หมายถึงG และ H ซึ่งพบว่าสาร alkaloid G มีฤทธิ์สูงสุดสำหรับการกำจัดเชื้อไข้จับสั่นระยะ schizont (เป็นระยะที่เชื้อไข้จับสั่นเข้าสู่เซลล์ตับ แล้วเปลี่ยนรูปร่างเป็นกลมรี แล้วก็มีขนาดใหญ่ขึ้น มีการแบ่งนิวเคลียสเป็นหลายๆก้อน) โดยมีค่า ID50 พอๆกับ 344 ng/mL และก็ตามด้วย nor-tiliacorinine A รวมทั้ง tiliacorine เป็นลำดับ (ID50s เท่ากับ 558 และก็ 675 mg/mL ตามลำดับ)
ฤทธิ์ยั้งเชื้อวัณโรค   สาร bisbenzylisoquinoline alkaloids 3 ประเภท ดังเช่นว่า tiliacorinine, 20-nortiliacorinine รวมทั้ง tiliacorine ที่แยกได้จากรากย่านาง และอนุพันธ์สังเคราะห์ 1 จำพวกหมายถึง13҆-bromo-tiliacorinine   สารทั้ง 4 ชนิดนี้ ได้นำมาทดลองฤทธิ์ต่อต้านเชื้อวัณโรคสายพันธุ์ดื้อยา multidrug-resistant Mycobacterium tuberculosis (MDR-MTB)  ผลของการทดสอบพบว่า สารทั้ง 4 ชนิด มีค่า MIC อยุ่ระหว่าง 0.7 - 6.2 μg/ml แต่ที่ค่า MIC เท่ากับ 3.1 μg/ml เป็นค่าซึ่งสามารถยั้ง  MDR-MTB ได้เป็นจำนวนมากที่สุด
ฤทธิ์ต่อต้านโรคมะเร็ง     การศึกษาฤทธิ์ยับยั้งเซลล์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดี ในหลอดทดสอบ และในสัตว์ทดลอง โดยศึกษาผลของสาร tiliacorinine ซึ่งเป็นสาร กรุ๊ป alkaloid ที่เจอในย่านาง  ในการทดสอบ in vivo ทำในหนูถีบจักร เพื่อมองผลลดการเจริญก้าวหน้าของก้อน   เนื้องอกในหนูที่ได้รับเซลล์ของมะเร็งท่อน้ำดี และก็สาร tiliacorinine  ผลของการทดลองพบว่า  tiliacorinine  มีความนัยสำคัญในการยั้งการเพิ่มจำนวนของเซลล์ของมะเร็งท่อน้ำดีในหลอดทดสอบ โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 4.5-7 µM โดยกลไกการกระตุ้นแนวทางการ apoptosis ซึ่งเป็นกระบวนการในการกำจัดเซลล์ผิดปกติ และเซลล์ของโรคมะเร็งในร่างกาย รวมทั้งการทดสอบในหนูพบว่าสามารถลดการเจริญของก้อนเนื้องอกในหนูได้
การทดลองฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระของผักพื้นบ้านไทย ปริมาณ 6 ประเภท ดังเช่น ผักกูด ผักติ้ว ผักปลังขาว ย่านาง ผักเหมียง และผักหวานบ้าน โดยการสกัดสารสำคัญด้วยแอลกอฮอล์จากผักแต่ละชนิด ทดลองฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผักทั้ง 6 ประเภทเปรียบเทียบกับตัวควบคุม วิตามินซี รวมทั้งวิตามินอี สารสกัดจากย่านางส่วนที่ละลายน้ำและส่วนที่ไม่ละลายน้ำให้ค่า IC50 499.24 รวมทั้ง 772.63 ไมโครกรัม/มล. เป็นลำดับ เมื่อเทียบกับค่าที่ได้จากวิตามินซี แล้วก็วิตามินอีที่ IC50 9.34 รวมทั้ง 15.91 ไมโครกรัม/มล. ตามลำดับ
งานค้นคว้าอีกชิ้นหนึ่งในประเทศไทยสำรวจฤทธิ์หยุดปวดแล้วก็ฤทธิ์ต้านการอักเสบของพืชผักพื้นเมืองอีสาน 10 ประเภท การตรวจหาฤทธิ์ระงับปวดโดยใช้ writhing test และ tail flick test ในการตรวจฤทธิ์ต้านอักเสบ ใช้ rat hind paw edema model
ผลของการทดลองใช้สารสกัดผักพื้นเมืองด้วยน้ำ ขนาด 1 กรัมต่อน้ำหนักตัวของหนูเพศผู้ 1 กก. พบว่าสารสกัดจาก ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง ผักกาดฮีน มะระขี้นก ผักชะพลู รวมทั้งผักชีลาว ส่งผลลดการเกิด writhing ในหนูปริมาณร้อยละ 35-64 (p<0.05)
การทดสอบฤทธิ์ระงับปวดด้วย tail flick test พบว่าสารสกัดจากใบตำลึงแล้วก็ใบย่านางมีฤทธิ์ยับยั้งปวด แล้วต่อจากนั้นคัดเลือกสารสกัดที่มีฤทธิ์เยอะที่สุด 4 ประเภท เช่น ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง รวมทั้งผักกาดฮีนมาทำทดสอบฤทธิ์ต้านทานการอักเสบโดยใช้คาราจีแนนเป็นสารระตุ้น  พบว่าสารสกัดอีกทั้ง 4 ประเภทไม่มีฤทธิ์ต้านอักเสบในสัตว์ทดลอง ผู้วิจัยมั่นใจว่าสารสกัดจากใบตำลึงและก็ใบย่านางบางทีอาจจะออกฤทธิ์ระงับปวดต่อระบบประสาท
ส่วนงานศึกษาค้นคว้าจากมหาวิทยาลัยมหิดลในห้องแลปขั้นต้นพบว่า สารสกัดใบย่านางมีฤทธิ์กระตุ้นหลักการทำงานของรีเซ็ปเตอร์ที่ขนคอเลสเตอรอลเข้าสู่ตับ แต่ว่าไม่เคยทราบว่าจะส่งผลลดคอเลสเตอรอลในเลือดของระบบร่างกายหรือไม่ การค้นพบนี้อาจเกี่ยวพันกับคุณสมบัติของย่านางที่ใช้รักษาโรคหัวใจมาแม้กระนั้นโบราณได้ ถ้าแต่ควรมีการศึกษาเพิ่มต่อไป
จากการทดลองฤทธิ์ลดไข้ของสารสกัด 50% เอทานอลจากรากย่านาง เมื่อนำไปตรวจดูฤทธิ์สำหรับการลดไข้ พบว่าไม่มีคุณลักษณะสำหรับการลดไข้แต่ว่าเป็นพิษต่อสัตว์ทดสอบ การค้นคว้าทางเคมีได้แยกอัลคาลอยด์ ออกมาสองชนิดเป็นอัลคาลอยด์ที่ไม่ละลายน้ำ(water-insoluble alkaloids) แล้วก็อัลค้างลอด์ที่ละลายน้ำ (water-soluble quarternary base) เมื่อตรวจสอบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของอัลคาลอยด์ที่แยกได้ พบว่าการเกิดพิษต่อสัตว์ทดสอบเกิดขึ้นจาก water-soluble quarternary base ซึ่งมีฤทธิ์คล้าย curare จากการตรวจหาสูตรองค์ประกอบสรุปได้ว่า water-soluble quarternary base นี้อาจอยู่ในพวก aporphine alkaloids
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา พิษทันควัน แล้วก็ครึ่งหนึ่งเรื้อรังของย่านาง 
          เรียนรู้พิษกระทันหันของสารสกัดน้ำจากทุกส่วนของย่านาง โดยการป้อนสารสกัด ในหนูเพศผู้ รวมทั้งเพศเมีย ประเภทละ 5 ตัว ในขนาด  5,000 mg/kg เพียงแต่ครั้งเดียว พบว่าไม่มีอาการแสดงของภาวะเป็นพิษเกิดขึ้น แล้วก็  ไม่มีการแสดงความประพฤติที่ไม่ดีเหมือนปกติ รวมทั้งไม่มีการตาย หรือความเคลื่อนไหวของเยื่อข้างใน สารสกัดใบย่านางด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังของหนู จำนวน 10 กรัม ต่อน้ำหนักตัวของหนู 1 กก. (คิดเป็นปริมาณ 6,250 เท่าของปริมาณที่คนได้รับ) ไม่แสดงความเป็นพิษ   การเรียนพิษเรื้องรัง ทดสอบโดยป้อนสารสกัดแก่ตัวทดลอง เพศผู้ และเพศเมีย ประเภทละ 10 ตัว ทุกวี่วัน ในขนาดความเข้มข้น 300, 600 และก็ 1,200 mg/kg ติดต่อกันเป็นเวลานาน 90 วัน   ไม่พบความไม่ปกติทางด้านความประพฤติ แล้วก็สุขภาพ หนูในกลุ่มทดลอง และก็กลุ่มควบคุม จะมีการทดสอบในวันที่ 90 แล้วก็ 118 โดยตรวจร่างกาย แล้วก็มีกลุ่มที่ติดตามผลถัดไปอีก 118 วัน ผลของการทสอบพบว่า น้ำหนักของอวัยวะ ค่าวิชาชีวเคมีในเลือด และเยื่ออวัยวะภายใน ไม่พบการเกิดพิษ  ผลการศึกษาเรียนรู้ชี้ให้เห็นว่า สารสกัดย่านางด้วยน้ำ ไม่นำมาซึ่งพิษกระทันหัน และพิษกึ่งเรื้อรังในหนูทดลอง ทั้งในหนูเพศผู้ และก็เพศภรรยา
ข้อเสนอแนะ/ข้อพึงระวัง

  • เมื่อทำน้ำย่านางเสร็จแล้วควรดื่มทันที เพราะหากทิ้งเอาไว้นานเกินไปจะเกิดกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือเกิดการบูดขึ้นได้ แม้กระนั้นสามารถเอามาแช่ตู้แช่เย็นได้ แล้วก็ควรดื่มให้หมดภายใน 3 วัน
  • สำหรับในการกินน้ำย่านาง ควรดื่มก่อนที่จะกินอาหารหรือตอนท้องว่างราวครึ่งแก้ว 3 ครั้งต่อวัน
  • บางคนที่มีความรู้สึกว่าน้ำย่านาง เหม็นเขียว กินยากสามารถนำน้ำย่านางไปต้มให้เดือดแล้วเอามาดื่มหรือจะผสมกับน้ำสมุนไพรจำพวกอื่นๆก็ได้ ได้แก่ ขิง ตะไคร้ ขมิ้น หรือจะผสมกับน้ำมะพร้าว น้ำมะนาว น้ำตาล หรือแม้แต่น้ำหวานก็ได้เช่นกัน
  • ควรดื่มปริมาณแม้กระนั้นพอดี ถ้าเกิดดื่มแล้วรู้สึกแพ้ คลื่นเหียน ก็ควรจะลดความเข้มข้นของสมุนไพรที่ใส่ลงไปให้น้อยลง
เอกสารอ้างอิง

  • Dechatiwongse T, Kanchanapee P, Nishimoto K. Isolation of active principle from Ya-nang (Tiliacora triandra Diels). Bull Dept Med Sci. 1974;16(2):75-81.
  • อัจฉราภรณ์  ดวงใจ , นันทีทิพ ลิ้มเพียรชอบ, ขนิษฐพร  ไตรศรัทธ์ .คุณสมบัติคลอเรสเตอรอลของสารสกัดใบย่านางในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่เลี้ยงต่อเนื่อง Caco-2.คอลัมน์บทความวิจัย.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่8.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม 2558.หน้า87-92
  • รศ.ดร.กรณ์กาญจน์ ภมรประวัติธนะ.มหัศจรรย์ย่านาง จากซุปหน่อไม้ถึงเครื่องดื่มสุขภาพ.คอลัมน์บทความพิเศษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่370.กุมภาพันธ์.2553
  • Sireeratawong S, Lertprasertsuke N, Srisawat U, Thuppia A, Ngamjariyawat A, Suwanlikhid N, et al. Acute and subchronic toxicity study of the water extract from Tiliacora triandra (Colebr.) Diels in rats. Sonklanakarin J Sci and Technol. 2008;30(5):611-619.
  • ย่านาง...อาหารที่เป็นยา.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pavanand K, Webster HK, Yongvanitchit K, Dechatiwongse T. Antimalarial activity of Tiliacora triandra Diels against Plasmodium falciparum in vitro. Phytotherapy Research. 1989;3(5):215-217.
  • ย่านาง.ฐานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • ชุตินันท์ ประสิทธิ์ภูริปรีชา.เอกชัย ดำเกลี้ยง,พยุงศักดิ์ สุรินต๊ะ , วสันต์ ดีล้ำ, ฤทธิ์ปรับ ภูมิคึ้มกัน ต้านออกซิเดชั่น และต้านจุลชีพของสารสกัดผักพื้นบ้านและสมุนไพรอีสาน,วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน
  • Janeklang S, Nak
บันทึกการเข้า