รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคคางทูม มีวิธีรักษาด้วยสมุนไพร เเละยังมีสรรพคุณ-ประโยชน์อีกมากมาย  (อ่าน 517 ครั้ง)

tawattt005

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 27
    • ดูรายละเอียด


โรคคางทูม (Mumps)
โรคคางทูมเป็นอย่างไร  โรคคางทูม (mumps) เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการตำหนิดเชื้อไวรัสซึ่งนับได้ว่าเป็นโรคติดต่อฉับพลันทางระบบหายใจ อีกโรคหนึ่ง พบได้บ่อยในเด็กนักเรียนและก็วัยรุ่น ผู้เจ็บป่วยโดยมากมักมีลักษณะอาการบวมและกดเจ็บรอบๆต่อมน้ำลาย เหตุเพราะมีการอักเสบของต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ซึ่งอยู่รอบๆแก้มหน้าหู เหนือขากรรไกร ที่เรียกว่า ต่อมพาโรติด (Parotid glands) ซึ่งเป็นต่อมคู่ มีทั้งข้างซ้ายแล้วก็ข้างขวา ซึ่งโรคบางทีอาจเกิดกับต่อมน้ำลายเพียงด้านเดียวหรือทั้งสองข้างได้ นอกจากนั้นอาจกำเนิดกับต่อมน้ำ ลายอื่นได้ เป็นต้นว่า ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร หรือต่อมน้ำลายใต้คาง ซึ่งมักจำต้องกำเนิดร่วมกับการอักเสบของต่อมพาโรติดด้วยเสมอ เป็นโรคที่มีอาการไม่ร้ายแรงรวมทั้งสามารถหายเองได้
คางทูมเป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กอายุ 6-10 ปี พบได้ทั้งปวงศหญิงและก็ผู้ชายใกล้เคียงกัน  แม้กระนั้นในเด็กโต วัยเจริญพันธุ์และก็ผู้ใหญ่ชอบเจอความรุนแรงของโรคคางทูมมากยิ่งกว่าและก็กำเนิดอาการนอกต่อมน้ำลายมากยิ่งกว่าวัยเด็ก มักไม่ค่อยเจอในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี รวมทั้งในคนแก่ที่มีอายุมากยิ่งกว่า 40 ปี โรคนี้มีอุบัติการณ์การเกิดสูงในช่วงม.ค.ถึงเดือนเมษายน รวมทั้งในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน และก็บางทีอาจเจอการระบาดได้เป็นครั้งเป็นคราว ในอดีตจัดว่าเป็นโรคติดต่อที่พบได้มากในเด็ก แต่ว่าในตอนนี้มีลักษณะท่าทางลดน้อยลงจากการฉีดยาคุ้มครองป้องกันโรคนี้กันมากยิ่งขึ้น
เรื่องราวและภูมิหลังของโรคคางทูม ศตวรรษที่ห้าก่อนคริสต์ศักราช  Hippocrates ได้อธิบายโรคคางทูมว่าเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ ถัดมาปลายคริสต์ศักราชที่ 1700  Hamilton เน้นย้ำว่าการกำเนิดอัณฑะอักเสบเป็นอาการสำคัญของโรคคางทูม ในปี คริสต์ศักราช1934 Johnson รวมทั้ง Goodpasture สามารถทดลองเลียนแบบการเกิดโรคคางทูมในลิงได้สำเร็จ เป็นหลักฐานแสดงการเจอเชื้อไวรัสคางทูมผ่านมาสู่น้ำลายของผู้เจ็บป่วยโรคคางทูมได้ ในปี ค.ศ.1945 Habel รายงานการเพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสคางทูมในตัวอ่อนลูกไก่ได้สำเร็จ Enders และก็แผนก ชี้แจงการทดสอบทางผิวหนังแล้วก็การวิวัฒนาการของการเสริมตรึงแอนติบอดี  (complement-fixing antibodies) ตามหลังโรคคางทูมในมนุษย์ได้สำเร็จ
                รากศัพท์คำว่า  mumps มาจากภาษาใดไม่เคยรู้แน่ชัด อาจมาจากคำนามในภาษาอังกฤษ  mump ที่หมายความว่าก้อนเนื้อ หรือมาจากคำกิริยาในภาษาอังกฤษ  to mump ที่หมายความว่า อารมณ์เสีย ซึ่งเป็นลักษณะการแสดงออกทางสีหน้า  mumps ยังมีความหมายถึงลักษณะการพูดอู้อี้ ซึ่งเจอได้ในคนป่วยโรคคางทูม ในรายงานแต่ก่อนโรคคางทูมมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า  epidemic parotitis
ต้นเหตุของโรคคางทูม ที่มาของโรคคางทูมเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า มัมส์ (mumps Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ในอากาศสามารถแพร่กระจายได้โดยการไอ จาม เหมือนกันกับโรคไข้หวัด ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้เป็น
ไวรัสในกรุ๊ปพาราไม่กโซเชื้อไวรัส  (paramyxovirus) (ประกอบด้วย mumps virus, New Castle disease virus, human parainfluenza virus types 2, 4a, and 4b) เชื้อไวรัสคางทูมเป็น enveloped negative singlestranded RNA มีลักษณะรูปร่างทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 90-300 นาโนเมตร ขนาดเฉลี่ยประมาณ 200 นาโนเมตร nucelocapsid ถูกหุ้มห่อด้วย envelope 3 ชั้น
ลักษณะโรคคางทูม อาการของโรคคางทูม กำเนิดข้างหลังสัมผัสโรค               
ที่มา :  WIKIPEDIA
ซึ่งระยะฟักตัวทั่วๆไปประมาณ 14 - 18 วัน แต่ว่าบางทีอาจเร็วได้ถึง 7 วันหรือนานได้ถึง 25 วัน โดยจะก่อให้มีการอักเสบของต่อมน้ำลายพาโรติด อาการ ผู้เจ็บป่วยจะเริ่มมีอาการไม่สบาย หมดแรง ปวดศีรษะ เมื่อยตามตัว เบื่อข้าว  บางคนอาจมีอาการปวดในช่องหูหรือข้างหลังหูขณะเคี้ยวหรือกลืน ๑-๓ วันต่อมา พบว่าบริเวณข้าง
                      ที่มา :  Googleหรือขากรรไกร มีลักษณะอาการบวมรวมทั้งปวด  อาการปวดจะเป็นมากขึ้นเมื่อกินของเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาว คนเจ็บชอบรู้สึกปวดร้าวไปที่หู ขณะอ้าปากบดหรือกลืนของกิน บางบุคคลอาจมีอาการบวมที่ใต้คางร่วมด้วย (ถ้าเกิดมีการอักเสบของต่อมน้ำลายใต้คาง) โดยประมาณ ๒ ใน ๓ ของผู้ที่เป็นคางทูม จะเกิดอาการคางบวมทั้ง ๒ ข้าง โดยเริ่มขึ้นข้างหนึ่งก่อนแล้วอีก ๔-๕ วัน ถัดมาค่อยขึ้นตามมาอีกข้างอาการคางบวมจะเป็นมากในช่วง ๓ วันแรกแล้วจะค่อยๆยุบหายไปใน ๔-๘ วัน ในช่วงที่บวมมากมาย ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการบอกแล้วก็กลืนตรากตรำ บางคนอาจมีอาการคางบวม โดยไม่มีอาการอื่นๆเอามาก่อน หรือมีเพียงแต่อาการไข้ โดยไม่มีอาการคางบวมให้เห็นก็ได้ นอกจากนี้ พบว่าราวจำนวนร้อยละ ๓๐ ของคนที่ติดโรคคางทูม อาจไม่มีอาการแสดงของโรคคางทูมก็ได้
ส่วนภาวะแทรกซ้อน) ของโรคคางทูม มักจะเจอได้สูงขึ้นเมื่อกำเนิดโรคในวัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือในคนมีภูมิต้านทานขัดขวางโรคต่ำ อาทิเช่น

  • โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ พบได้ราว 10% ของผู้เจ็บป่วย และมักมีลักษณะอาการไม่รุนแรง
  • โรคสมองอักเสบ เจอได้แต่ว่าน้อยมาก แต่ถ้าเกิดร้ายแรงอาจก่อให้เสียชีวิต ได้ พบได้ประมาณ 1% และก็พบเกิดในผู้ชายมากยิ่งกว่าผู้หญิง
  • ในเพศชาย อาจเจอการอักเสบของอัณฑะ โดยช่องทางกำเนิดสูงมากขึ้นถ้าหากคางทูมเกิดในวัยรุ่นหรือวัยผู้ ใหญ่เจอได้ 20 - 30% ของผู้เจ็บป่วย อาการอัณฑะอักเสบมักกำเนิดประมาณ 1 - 2 อาทิตย์หลังจากต่อมน้ำลายอักเสบ โดยอัณฑะจะบวม เจ็บ รวมทั้งอาจกลับมาจับไข้ได้อีก อาการต่างๆจะเป็นอยู่ราวๆ 3 - 4 วัน หรือบางทีอาจนานได้ถึง 2 - 3 อาทิตย์ อัณฑะจะยุบบวม และขนาดอัณฑะจะเล็กลง ทั่วๆไปการอักเสบมักกำเนิดกับอัณฑะฝ่ายเดียว ซ้ายหรือขวามีโอกาสเกิดใกล้เคียงกัน แต่ว่าพบกำเนิด 2 ข้างได้ 10 - 30% หลังกำเนิดอัณฑะอักเสบประมาณ 13% ของผู้มีอัณฑะอักเสบด้านเดียว แล้วก็ 30 - 87% ของผู้มีอัณฑะอักเสบ 2 ข้างจะมีลูกยาก (Impaired fertility) บางคนบางทีอาจเป็นหมันได้
  • ในสตรี อาจมีการอักเสบของรังไข่ได้ราว 5% แต่ว่ามักไม่เป็นผลให้มีลูกยาก หรือเป็นหมัน
  • อื่นๆที่อาจพบได้บ้างแต่ว่าน้อยหมายถึงข้ออักเสบ ตับอ่อนอักเสบ รวมทั้ง หูอักเสบ


กรรมวิธีรักษาโรคคางทูม แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคคางทูมได้จากประวัติอาการแล้วก็การตรวจร่างกายของผู้ป่วยดังนี้

  • ตรวจเช็คประวัติการป่วยหนักของคนป่วย
  • ตรวจการบวมของต่อมน้ำลายที่ข้างหู และต่อมทอนซิลในปาก
  • วัดอุณหภูมิของคนป่วยว่าอยู่ในระดับที่สูงผิดปกติหรือเปล่า
  • ตรวจสารก่อภูมิคุ้มกัน (Antigen) ในเลือด
  • แต่เมื่อทำสอบประวัติแล้วพบว่ามีประวัตสัมผัสกับคนเจ็บโรคคางทูมด้านใน 2-3 สัปดาห์ ร่วมกันมีอาการต่อมพาโรติดอักเสบก็สามารถวินิจฉัยโรคได้ในทันที


ส่วนการตรวจทางห้องทดลองเพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสคางทูมนั้น มีความจำเป็นต่อการวิเคราะห์ในเรื่องที่ผู้เจ็บป่วยไม่มีต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบ ต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบเป็นซ้ำหลายหน หรือเพื่อรับรองการไต่สวนการระบาดของโรคคางทูม การตรวจทางห้องทดลองเพื่อรับรองการวินิจฉัยโรคคางทูม โดยการตรวจทางภูมิคุ้นกันวิทยา (serologic studies) มีหลายแนวทาง เช่น

  • ตรวจเลือดหาแทนตำหนิบอดีต่อเชื้อไวรัสคางทูม lgM โดยวิธี enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA)
  • การตรวจหาเชื้อไวรัสคางทูมจากน้ำลาย เยี่ยว น้ำไขสันหลัง เลือด แล้วก็สมอง โดยแนวทาง Reverse transcriptase (RT)–PCR assays แล้วก็
  • แนวทางการแยกเชื้อไวรัสคางทูมในเซลล์เพาะเลี้ยง


ด้วยเหตุว่าโรคคางทูมเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส การดูแลและรักษาโรคคางทูมก็เลยยังไม่มียารักษาโดยยิ่งไปกว่านั้น แม้กระนั้นสามารถทำเป็นโดยทุเลาอาการแล้วก็ทำให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกายแข็งแรงขึ้น โดยหมอจะรักษาตามอาการ ดังเช่นว่า เมื่อมีอาการปวดก็จะให้รับประทานพาราเซตามอลเพื่อทุเลาปวด ยิ่งกว่านั้นก็จะเสนอแนะกรรมวิธีการประพฤติตัวและให้พักฟื้นที่บ้าน
การดำเนินโรค  ดังนี้ส่วนมากโรคคางทูมจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนและก็สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ และก็ลักษณะของการมีไข้จะเป็นอยู่เพียงแค่ ๑-๖ วัน ส่วนอาการคางทูมจะยุบได้เองใน ๔-๘ วัน (ไม่เกิน ๑๐ วัน) รวมทั้งอาการโดยรวมจะหายสนิทด้านใน ๒ สัปดาห์
ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่ไม่รุนแรงที่เกิดกับอวัยวะต่างๆส่วนมากก็มักจะหายได้เป็นปกติส่วนน้อยมากมายที่อาจมีภาวะเป็นหมัน (จากรังไข่อักเสบแล้วก็อัณฑะอักเสบ) หูหนวก (จากประสาทหูอักเสบ)
การติดต่อของโรคคางทูม เชื้อไวรัสคางทูมสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสโดยตรง (direct contact) กับสารคัดหลั่งของทางเดินหายใจ (droplet nuclei) หรือ fomites ผ่านทางจมูกหรือปาก เช่นการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่คนเจ็บไอหรือจามรด การสัมผัสน้ำลายของคนเจ็บ หรือโดยการสัมผัสถูกมือ สิ่งของ
เครื่องใช้ เช่น ผ้าที่เอาไว้เช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ถ้วยน้ำ จาน ชาม เป็นต้น รวมไปถึงสภาพแวดล้อมอื่นๆที่มัวหมองเชื้อ ซึ่งจะต้องใช้การสัมผัสที่สนิทสนมสำหรับในการกระจายเชื้อไวรัสคางทูมมากยิ่งกว่าเชื้อฝึกฝน หรือเชื้ออีสุกอีใส ระยะที่แพร่ระบาดได้มากที่สุดหมายถึง1-2 วันก่อนเริ่มมีลักษณะอาการต่อมน้ำลายพาโรติดบวม จนกระทั่ง 5 คราวหลังจากต่อมน้ำลายพาโรติดเริ่มบวม (แม้กระนั้นมีกล่าวว่าสามารถแยกเชื้อไวรัสคางทูมจากน้ำลายของคนป่วยตั้งแต่ 7 วันก่อนมีลักษณะจนถึง 9 วันหน้าจากเริ่มมีลักษณะอาการต่อมน้ำลายพาโรติดบวม) ส่วนระยะฟักตัวของเชื้อไวรัสคางทูมโดยมาก 16-18 วัน (วิสัย 12-25 วัน)
การแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการคางบวมคล้ายกับโรคคางทูม การแยกโรค อาการคางบวม อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะโรครวมทั้งต้นสายปลายเหตุอื่น ได้อีกได้แก่

  • การเจ็บ อย่างเช่น ถูกต่อย
  • ต่อมทอนซิลอักเสบ ผู้ป่วยจะเป็นไข้ เจ็บคอ ต่อมทอนซิลบวมแดง และบางทีอาจเจอมีต่อมน้ำเหลืองใต้คางบวมร่วมด้วยข้างหนึ่ง
  • เหงือกอักเสบหรือรากฟันอักเสบ ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการปวดฟัน  หรือเหงือกบวม  รวมทั้งอาจมีอาการคางบวมร่วมด้วยข้างหนึ่ง
  • ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ คนเจ็บจะมีอาการต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอหรือใต้คางบวมและก็ปวด และก็อาจมีไข้ร่วมด้วย
  • เนื้องอกต่อมน้ำลายหรือท่อน้ำลายตัน (จากการตีบหรือมีก้อนนิ่วน้ำลาย) ผู้เจ็บป่วยจะมีก้อนบวมที่คางข้างหนึ่ง ซึ่งมักจะเป็นเรื้อรัง
  • ต่อมน้ำลายอักเสบเป็นหนอง จากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรีย คนไข้มีลักษณะอาการคล้ายคางทูม แต่ว่าผิวหนังรอบๆคางทูมจะมีลักษณะแดงและก็เจ็บมาก
  • โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (บางทีอาจกำเนิดที่ต่อมน้ำเหลืองโดยตรง หรือแพร่กระจายจากกล่องเสียงหรือโพรงหลังจมูก) คนป่วยจะมีก้อนบวมที่ข้างคอ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากยิ่งกว่า ๑ เซนติเมตร และไม่มีลักษณะเจ็บปวด อาจมีอาการเสียงแหบ (ถ้าเกิดเป็นโรคมะเร็งกล่องเสียง) หรือคัดจมูกหรือเลือดกำเดาไหล (ถ้าเกิดเป็นโรคมะเร็งโพรงข้างหลังจมูก)
การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคคางทูม เมื่อป่วยด้วยโรคคางทูมแพทย์ชอบให้คำปรึกษาสำหรับในการประพฤติตัวเพื่อบรรเทาลักษณะของโรคมากยิ่งกว่าการให้ยา ซึ่งแพทย์มักจะชี้แนะดังต่อไปนี้

  • เช็ดตัวเวลามีไข้แล้วก็ให้ยาลดไข้ (พาราเซตามอล) และให้ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมงเฉพาะเวลามีไข้สูง ห้ามใช้แอสไพริน สำหรับคนอายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะว่าอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม (Reye’s syndrome) ซึ่งมีการอักเสบของสมองและตับอย่างรุนแรง               ทำให้เป็นอันตรายได้
  • ใช้น้ำอุ่นจัดๆประคบตรงรอบๆที่เป็นคางทูมวันละ 2 ครั้ง แต่ถ้าหากปวด ให้ใช้ความเย็น (ได้แก่ น้ำเย็น น้ำแข็ง) ประคบบรรเทาปวด
  • หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่เคี้ยวยาก ในระยะเริ่มต้นๆควรจะกินอาหารอ่อน อาทิเช่น ข้าวต้ม ซุป
  • หลีกเลี่ยงการกินของกินรสเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาวคั้น เนื่องจากว่าอาจจะเป็นผลให้ปวดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • ควรจะหยุดเรียนหรือหยุดงาน พักรักษาตัวที่บ้านตราบจนกระทั่งจะหาย เพื่อปกป้องการแพร่เชื้อให้คนอื่นๆ
  • พักผ่อนให้พอเพียง
  • ดื่มน้ำมากๆเมื่อไม่ได้เป็นโรคที่จะต้องจำกัดน้ำ
  • บ้วนปากด้วยน้ำเกลือเสมอๆ
  • ควรจะรีบไปพบหมอเมื่อมีลักษณะอาการดังต่อไปนี้


o             ไข้สูง ตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียส ขึ้นไป และก็ไข้ไม่ลงข้างใน 2-3 ครั้งหน้าดูแลตัวเองในเบื้อง ต้น
o             ปวดต่อมน้ำลายมาก รวมทั้งอาการปวดไม่ดีขึ้นหลังกินยาที่ช่วยบรรเทาอาการ
o             รับประทานอาหาร และ/หรือกินน้ำได้น้อยหรือรับประทานมิได้เลย
o             ไข้สูงร่วมกับปวดหัวมาก คอแข็ง หรือปวดท้องมาก เพราะเป็นอาการกำเนิดจาผลข้างเคียง สอดแทรกดังที่กล่าวมาแล้ว
การป้องกันตนเองจากโรคคางทูม

  • วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการเกิดโรคคางทูมนั้นในชุมชนและในโรงพยาบาล ได้แก่ การส่งเสริมให้มีระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสคางทูมสูงโดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคางทูม (MMR) เด็กทุกคนต้องได้รับวัคซีน 2 โด๊ส โด๊สแรกที่อายุ 9-12 เดือน และโด๊สที่สองอายุ 4-6 ปี หากไม่มีประวัติการได้รับวัคซีนมาก่อนในกลุ่มเด็กโต นักศึกษา นักท่องเที่ยว บุคลากรทางการแพทย์ ควรได้รับวัคซีน 2 โด๊ส ในผู้ใหญ่ควรได้รับวัคซีนมาก่อน ควรได้รับวัคซีน 1 โด๊ส
  • หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคคางทูม ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัส และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก
  • ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ โทรศัพท์ จานชาม ของเล่น ฯลฯ ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือโดยตรงกับผู้ป่วยที่เป็นโรคคางทูม
  • ไม่เข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วยที่เป็นโรคคางทูม แต่ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดก็ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง และเพื่อลดโอกาสติดเชื้อต่างๆ รวมทั้งเชื้อไวรัสคางทูม
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคคางทูม

  • พิษนาศน์ ชื่ออื่น  แผ่นดินเย็น นมราชสีห์ น้ำนมราชสีห์ ปันสะเมา พิษหนาด สิบสองราศี  ชื่อวิทยาศาสตร์ Sophora exigua Craib , Fabaceae  สรรพคุณ:   ตำรายาไทย ราก รสจืดเฝื่อนซ่า ต้มเอาน้ำดื่ม ขับพิษภายใน ขับน้ำ แก้คางทูม
  • ตะลิงปลิง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Averrhoa bilimbi L. ชื่อสามัญ : Bilimbing  วงศ์ :   OXALIDACEAE สรรพคุณ : ยารักษาคางทูม วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้ใบสด 1 กำมือ ตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย พอกบริเวณที่บวม พอกวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เปลี่ยนยาใหม่ทุกครั้ง ชาวอินโดนีเซียนิยมใช้ยานี้มาก

    เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.คางทูม.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 321.คอลัมน์ สารานุภาพทันโรค.มกราคม .2549
  • Enders JF, Cohen S, Kane LW. Immunity in mumps. The development of complement fixing antibody and dermal hypersensitivity in human beings following mumps. J Exp Med. 1945;81:119-35.
  • พญ.ฐิติอร ฤาชาฤทธิ์.พอ.วีระชัย วัฒนวีราเดช.วัคซีนป้องกันโรคางทุม.ตำราวัคซีน.สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศทไย.หน้า173-183
  • สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรค ปี พ.ศ.2552.นนทบุรี:สำนักฯ;
  • Kleiman MB. Mumps virus. In: Lennette EH, editor. Laboratory Diagnosis of Viral Infections, 2nd ed. New York: Marcel Dekker;1992. p. 549-66. http://www.disthai.com/
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ “คางทูม (Mumps/Epidemic parotitis)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 407-410.
  • American Academy of Pediatrics. Mumps. In: Pickering LK, Baker CJ, Kimberlin DW, Long SS, editors. Red book.2009 Report of the Committee on Infectious Diseases. 28th ed. Elk Grove Village, IL: American Acedemy of Pediatric; 2009. p. 468-472.
  • Centers for Disease Control and Prevention(CDC). Updated recommendations for isolation of persons with mumps. MMWR Morb Mortal Wkly Rep. 2008;57:1103-5.
  • Johnson CD, Goodpasture EW. An investigation of the etiology of mumps. J Exp Med. 1934;59:1-19.
  • คางทูม-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.(ออนไลน์)เข้าถึงได้
  • กลุ่มเฝ้าระวังสอบสวนทางระบาดวิทยา สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.สรุปสถานการณ์และองค์ความรู้จากการเฝ้าระวังและสอบสวนโรค MMR ปี พ.ศ.2552. นนทบุรี : สำนักฯ ;
  • พิษนาศน์.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • Habel K. Cultivation of mumps virus in the developing chick embryo and its application to the studies of immunity to mumps in man. Public Health Rep. 1945;60:201-12.
  • Baum SG, Litman N. Mumps virus. In Mandell GL. Bennett JE, Dolin R, editors. Mandell, Douglas and Bennett’s principles and practice of infectious disease. 7th ed. New York: Churchill Livingstone; 2010. p. 2201-6.
  • ตะลิงปลิง.กลุ่มยารักษาตา คางทูม แก้ปวดหู.สรรพคุณสมุนไพร200ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี.
  • Travis LW, Hecht DW. Acute and chronic inflammatory diseases of the salivary glands, diagnosis and management. Otolaryng Clin North Am. 1977;10:329-88.
  • Gershon, A. (2001). Mumps. In Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D.,andJamesson, J. Harrrison’s: Principles of internal medicine. (p 1147-1148). New York. McGraw-Hill.



Tags : โรคคางทูม
บันทึกการเข้า