การบูร (Camphor)การบูรเป็นอย่างไร การบูรเป็นชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่ง ที่มีผลึกแทรกอยู่ตามรอยแตกของแก่นไม้และยังสามารถนำลำต้น,ราก,ใบ มากลั่นหรือสกัดจนได้ผลึกดังกล่าวอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งแต่เดิมนั้น คำว่า “การบูร” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “Karapur” หรือ “แขนปูร” ซึ่งหมายความว่า “หินปูน” เพราะโบราณรู้เรื่องว่าผนึกนี้เป็นพวกหินปูนที่มีกลิ่นหอมยวนใจ ต่อมาชื่อนี้เพี้ยนเป็น “กรบูร” และก็เป็น “การบูร” ในขณะนี้ (คนเขียนเข้าใจว่า ชื่อ
การบูรนี้อาจถูกเรียกจากผลึกที่ได้แล้วจากนั้นจึงค่อยนำมาตั้งชื่อต้นไม้ที่ให้ผลึก) ส่วนรูปแบบของผลึกการบูรนั้น มีลักษณะเป็นผลึกหรือเกล็ดกลมๆเล็กๆมันวาว สีขาวแห้ง มีกลิ่นหอมเย็นฉุน ชอบจับกันเป็นก้อนร่วนๆแตกง่าย ถ้าหากทิ้งเอาไว้ภายในอากาศ จะระเหิดไปหมด มีรสร้อนปร่าเมา
สูตรทางเคมีและก็สูตรองค์ประกอบ ผลึกการบูรมีชื่อสามัญว่า Camphor, Gum camphor, Formosan camphor, Laurel camphor เป็นสารประกอบกลุ่มเทอร์พีนที่เจอได้จากต้นการบูรมีความไวไฟ มีชื่อตาม IUPAC ว่า 1,7,7-trimethylbicyclo 2.2.1heptan-2-one และก็มีชื่ออื่นๆอย่างเช่น 2-bornanone, 2-camphanone bornan-2-one, Formosa มีสูตรเคมี C10H16O มีน้ำหนักโมเลกุล 152.23 ความหนาแน่น 0.990 มีจุดหลอมเหลวที่ 179.75 องศาเซลเซียส (452.9 K) จุดหลอมเหลว 204 องศาเซลเซียส (477K) สามารถละลายน้ำได้ และก็มีสูตรส่วนประกอบดังนี้
มูลเหตุ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าผลึกการบูรได้มาจากการระเหิดของยางจากแก่นไม้ของต้นการบูรและก็การกลั้นหรือสกัด ลำต้น ราก ใบ ต้น การบูร ซึ่งมีข้อมูลทางวิชาพฤกษศาสตร์ของต้นการบูรเป็น สมุนไพรการบูร มีชื่อเขตแดนอื่นๆว่า การะบูน การบูร (ภาคกึ่งกลาง), อบเชยญวน (ไทย), ประพรมเส็ง (เงี้ยว), เจียโล่ (จีนแต้จิ๋ว), จางมู่ จางหน่าว (จีนกลาง) เป็นต้น ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum camphora (L.) J. Presl.ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์Camphora camphora (L.) H.Karst., Camphora hahnemannii Lukman., Camphora hippocratei Lukman., Camphora officinarum Nees, Camphora vera Raf., Camphorina camphora (L.) Farw., Cinnamomum camphoriferum St.-Lag., Cinnamomum camphoroides Hayata, Cinnamomum nominale (Hats. & Hayata) Hayata, Cinnamomum officinarum Nees ex Steud., Laurus camphora L., Persea camphora (L.) Spreng. ชื่อสกุล Lauraceae
การบูร เป็นพรรณไม้พื้นเมืองของประเทศจีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน และก็มีการกระจัดกระจายประเภทไปในแถบ เมดิเตอร์เรเนียน อินโดนีเซีย ประเทศอินเดีย อียิปต์ แอฟริกาใต้ จาแร่กลีบหิน บราซิล สหรัฐอเมริกา และประเทศไทย โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นทรงพุ่มไม้กว้างและก็ทึบ มีความสูงของต้นได้ถึง 30 เมตร ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 1.5 เมตร เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาล ผิวหยาบคาย ส่วนเปลือกกิ่งเป็นสีเขียวหรือเป็นสีน้ำตาลอ่อน ลำต้นและกิ่งเรียบไม่มีขน ส่วนเนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลปนแดง เมื่อเอามากลั่นแล้วจะได้ “การบูร” ทุกส่วนของต้นการบูรจะมีกลิ่นหอมสดชื่น โดยเฉพาะที่ส่วนที่ของรากและโคนต้น แพร่พันธุ์ด้วยแนวทางเพาะเม็ด แล้วก็กรรมวิธีการปักชำ
ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรี หรือรูปรีแกมรูปไข่ กว้าง 2.5-5.5 ซม. ยาว 5.5-15 ซม. ปลายใบเรียวแหลม โคนใบป้านหรือกลม ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นน้อย แผ่นใบค่อนข้างจะเหนียว ข้างบนสีเขียวเข้ม เป็นมัน ด้านล่างสีเขียวอมเทาหรือนวล ไม่มีขน เมื่อขยี้จะมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นการบูร เส้นใบขึ้นตรงมาจากโคนใบโดยประมาณ 3-8 มิลลิเมตร แล้วแยกออกเป็น 3 เส้น ตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกนั้นมีต่อม 2 ต่อม และตามเส้นกึ่งกลางใบอาจมีต่อมเกิดขึ้นตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกไป ก้านใบยาว 2-3 เซนติเมตร ไม่มีขน ตาใบมีเกล็ดซ้อนล้ำห่อหุ้มอยู่ เกล็ดชั้นนอกเล็กกว่าเกล็ดชั้นในเป็นลำดับ
ดอกช่อแบบแยกกิ้งก้านออกตามเป็นกลุ่มบริเวณง่ามใบ ดอกเล็กสีขาวอมเหลืองหรืออมเขียว ก้านดอกสั้นมากมาย กลีบรวมมี 6 กลีบ เรียงเป็น 2 วง วงละ 3 กลีบ รูปรี ปลายมน ด้านนอกเกลี้ยง ข้างในมีขนละเอียด เกสรเพศผู้มี 9 อัน เรียงเป็น 3 วง วงละ 3 อัน อับเรณูของวงที่ 1 และวงที่ 2 หันหน้าเข้าข้างใน ก้านเกสรมีขน ส่วนอับเรณูของวงที่ 3 หันหน้าออกด้านนอก ก้านเกสรค่อนข้างใหญ่ มีต่อม 2 ต่อมอยู่ใกล้โคนก้าน ต่อมรูปไข่กว้างและก็มีก้าน อับเรณูมีช่องเปิด 4 ช่อง เรียงเป็น 2 แถว แถวละ 2 ช่อง มีลิ้นเปิดทั้งยัง 4 ช่อง เกสรเพศผู้เป็นหมันมี 3 อัน อยู่ข้างในสุด รูปร่างคล้ายหัวลูกศร มีขนแม้กระนั้นไม่มีต่อม รังไข่รูปไข่ ไม่มีขน ก้านเกสรเพศเมียยาวราว 1 มิลลิเมตร ไม่มีขน ปลายเกสรเพศเมียกลม ใบประดับเรียวยาว หล่นง่าย มีขนอ่อนนุ่มผลรูปไข่ หรือกลม ได้ผลสำเร็จมีเนื้อ ยาว 6-10 มม. สีเขียวเข้ม เมื่อสุกกลายเป็นสีดำ มีฐานดอกซึ่งเติบโตขึ้นมาเป็นแป้นรองรับผลมีเม็ด 1 เมล็ด มีดอกราวมิ.ย.ถึงเดือนกรกฎาคมซึ่งการบูรจากธรรมชาตินั้น เป็นผลึกที่แทรกอยู่ในแก่นไม้ของต้นการบูร ที่เกิดอยู่ทั่วๆไปต้น ชอบอยู่สะกดรอยแตกของแก่นไม้ มีเยอะที่สุดในแก่นของราก รองลงมาที่แก่นของต้น ส่วนที่อยู่ใกล้โคนต้นจะมีการบูรมากกว่าส่วนที่อยู่สูงขึ้นมา ในใบและยอดอ่อนมีการบูรอยู่น้อย แล้วก็จะมีน้อยกว่าใบแก่ ส่วนการผลิตการบูร จะใช้กรรมวิธีการกลั่นด้วยละอองน้ำ (ซึ่งอาจไม่สามารถกลั่นการบูรได้เองด้านในครัวเรือน ด้วยเหตุว่าจะต้องใช้เครื่องมือที่เฉพาะ) โดยนำส่วนต่างๆของลำต้นและรากการบูรที่มีอายุเกิน 40 ปี มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปกลั่น เมื่อกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหย การบูรจะตกผลึกเป็นก้อนสีขาวๆแยกออกมาจากน้ำมันหอมระเหย ต่อไปจึงกรองแยกเอาผลึกการบูร (บางทีอาจเอามาทำให้บริสุทธิ์โดยการระเหิด) การบูรที่ได้นี้เรียกว่า refined camphor หรือ resublimed camphor แต่ว่าในประเทศอเมริกา จะใช้ใบรวมทั้งยอดอ่อนของต้นที่แก่ 5 ปีขึ้นไปแทน แม้ว่าจะให้ปริมาณการบูรน้อยกว่า แต่ว่าสามารถตัดใบแล้วก็ยอดอ่อนมากมายลั่นได้ทุกๆสองเดือน ในขณะนี้การบูรเกือบทั้งหมดได้จากขั้นตอนการครึ่งหนึ่งสังเคราะห์จากสารขึ้นต้น คือ แอลฟา-ไพนีน (alpha-pinene) ที่ได้จากน้ำมันสน
ผลดี/สรรพคุณหนังสือเรียนยาไทย: “การบูร” มีรสร้อนปร่าเมา ใช้ทาเช็ดนวดแก้ปวด แก้กลยุทธ์บวม ขัดยอก พลิก แก้กระตุก แก้ปวดข้อ แก้ปวดเส้นประสาท แก้รอยผิวหนังแตก แก้พิษแมลงต่อย และก็โรคผิวหนังเรื้อรัง เป็นยายับยั้งเชื้ออย่างอ่อน ขับเหงื่อ ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ แก้ไข้หวัด รวมทั้งขับลม บำรุงธาตุ บำรุงกำหนัด ยากระตุ้นหัวใจ บำรุงหัวใจ ใช้เป็นส่วนผสมในยาหอมต่างๆดังเช่นว่า ยาหอมเทพจิตร นอกเหนือจากนี้ยังใช้แก้อาการชักบางจำพวก ใช้การบูร 1-2 เกรน แก้ปวดขัดตามเส้นประสาท ข้อบวมเป็นพิษ แก้เคล็ดลับบวม เส้นตกใจ กระตุก ปวดเมื่อยพลิก แก้ปวดท้อง ท้องเดิน ขับน้ำเหลือง แก้เลือดลม บำรุงกำหนัด ขับเหงื่อ ขับเสมะหะ บำรุงธาตุ แก้โรคตา กระจัดกระจายลม ขับผายลม เอามาผสมเป็นขี้ผึ้ง เป็นยาร้อน ใช้ทาแก้เพื่อถอนพิษอักเสบเรื้อรัง ปวดยอกตามกล้าม สะบักจม หน้าอก เจ็บปวดรวดร้าวตามเส้นเอ็น โรคปวดผิวหนัง รอยผิวแตกในฤดูหนาว แก้พิษสัตว์กัดต่อย วางในห้องหรือตู้ที่มีไว้ใส่เสื้อผ้าไล่ยุงและแมลง
บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการปรับปรุงระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ปรากฏการใช้การบูร ร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ ในยารักษาหลายกลุ่มอาการ เป็นต้นว่า “ยาธาตุบรรจบ” มีคุณประโยชน์ของตำรับ ใช้บรรเทาอาการท้องอืดเฟ้อ และก็อาการอุจจาระธาตุทุพพลภาพ ท้องเสียที่ไม่ติดเชื้อ ฯลฯ, ตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของการบูรร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์ของตำรับในการทุเลาลักษณะของการปวดตามเอ็น กล้าม มือ เท้า ตึงหรือชา ตำรับ "ยาประสะไพล" มีส่วนประกอบของการบูรร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณของตำรับสำหรับเพื่อการรักษาประจำเดือนมาไม่บ่อยนักหรือมาน้อยกว่าปกติ ทุเลาอาการปวดประจำเดือน รวมทั้งขับน้ำคาวปลาในหญิงหลังคลอดบุตร
ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันพบว่าการบูรดูดซึมทางผิวหนังได้ดี รวมทั้งรู้สึกเย็นเมื่อสัมผัสกับผิวหนังเช่นเดียวกับเมนทอล มีฤทธิ์เป็นยาชาแล้วก็ต่อต้านจุลินทรีย์อย่างอ่อนๆใช้ทาเฉพาะที่แก้กลยุทธ์บวม ขัดยอก แพลง แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย และก็โรคผิวหนัง นอกเหนือจากนี้ยังมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง นอกจากนั้นยังมีการนำการบูรมาใช้ประโยชน์อื่นๆอีกดังเช่นว่า
- ช่วยแก้รอยผิวหนังแตกในช่วงฤดูหนาว
- การบูรเมื่อเอามาวางในห้องหรือตู้ที่มีไว้สำหรับใส่เสื้อผ้าจะสามารถช่วยไล่ยุงแล้วก็แมลง และยังเอามาผสมเป็นตัวดับกลิ่นอับในรองเท้าได้อีกด้วย
- แขนงรวมทั้งใบสามารถนำมาใช้แต่งกลิ่นอาหารและขนมได้ ดังเช่นว่า ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเนื้อสัตว์ ไส้กรอก เบคอน ข้าวหมกไก่ ลูกกวาด แยม เยลลี่ เครื่องดื่มโคค้างโคลา เหล้า หรือใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องพะโล้ เครื่องแกงมัสมั่น ผงกะหยี คุกกี้ เค้ก อื่นๆอีกมากมาย ใช้แต่งกลิ่นยาและก็ใช้เป็นส่วนประกอบของของกินจำพวกผักดอง ซอส ฯลฯ
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา- รากของต้นการบูรมีน้ำมันหอมระเหย 3% ซึ่งประกอบไปด้วย azulene, cadinene, camphene, camphor, carvacrol, cineol, citronellol, citronellic acid, fenochen, limonene, phellandene, pinene, piperiton, piperonylic acid, safrole และก็ terpineol ส่วนใบของต้นการบูรเจอ camphor และก็ camperol
- แก่นไม้ของต้นการบูรเมื่อเอามากลั่นด้วยละอองน้ำ จะได้การบูรและน้ำมันหอมระเหยรวมกันราวๆ 1% ซึ่งมี acetaldehyde, betelphenol, caryophyllen, cineole, eugenol, limonene, linalool, orthodene, p-cymol, รวมทั้ง salvene
- ราก กิ่ง รวมทั้งใบ พบน้ำมันระเหยโดยเฉลี่ยราวๆ 3-6% โดยในน้ำมันระเหยจะมีสารการบูรอยู่ราวๆ 10-50% และก็พบว่าต้นการบูรยิ่งมีอายุมากเท่าไหร่ จะพบว่ามีสารการบูรมากตามไปด้วย โดยเจอสาร ต่างๆดังเช่นว่า Azulene, Bisabolone, Cadinene, Camphorene, Carvacrol, Safrol ฯลฯ
- ฤทธิ์ต้านการอักเสบ เรียนฤทธิ์ต้านการอักเสบในหลอดทดสอบของการบูร โดยนำสารสกัดหยาบจากใบการบูร สกัดด้วย 80% methanol แล้วนำสารสกัดที่ได้ มาผ่านการแยกโดยใช้ hexane แล้วก็ ethyl acetate (EtOAc) จากการทดลองพบว่าสารสกัด hexane และ EtOAc ขนาด 100 μg/ml ของการบูร สามารถยั้งการผลิตสารที่เกี่ยวกับการอักเสบอาทิเช่น interleukin (IL)-1b, IL-6 แล้วก็ tumor necrosis factor (TNF-α) จากเซลล์แมคโครฟาจ RAW 264.7 cells ของหนู ซึ่งถูกกระตุ้นโดย lipopolysaccharide (LPS) ได้อย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติได้ในตอน 20-70% และสามารถยั้งการสร้าง nitric oxide (NO) ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ได้ 65% สารสกัดหยาบด้วย 80% methanol และก็ส่วนสกัดย่อย hexane และ ethyl acetate สามารถยับยั้งการผลิต prostaglandin E2 (PGE2) ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นในกรรมวิธีอักเสบ ในเซลล์ macrophages ของหนูที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS หรือ IFN-gamma ได้ 70% รวมทั้งสารสกัด hexane รวมทั้ง ethyl acetate ในขนาด 100 μg/ml สามารถยั้งการกระตุ้น β1-integrins (CD29) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการหยุดยั้งไม่ให้เกิดการจับกลุ่มของโมเลกุล และเซลล์ในระบบภูมิต้านทานที่จะมารวมตัวกันรอบๆที่เกิดการอักเสบ โดยสามารถยับยั้งได้ 70-80% ฉะนั้นก็เลยสรุปได้ว่าสารสกัดจากใบการบูรมีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยเกี่ยวพันกับการขัดขวาง cytokine, NO รวมทั้ง PGE2
- ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย การเล่าเรียนฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรีย Escherichia coli, Staphylococcus aureus (เป็นเชื้อที่ก่อโรคระบบทางเดินอาหาร แผล ฝีหนอง และอีกหลายระบบภายในร่างกาย) ของสาร camphor ที่สกัดได้จากต้นการบูร รวมทั้งเป็นองค์ประกอบหลักของ essential oil จากต้นการบูร ทดสอบด้วยวิธี agar disk diffusion วัดผลด้วยการวัดค่า inhibition zone พบว่า camphor ในขนาดความเข้มข้น 2% สามารถยับยั้งการก้าวหน้าของเชื้อ S. aureus ได้ แต่ว่าไม่มีผลยั้งเชื้อ E.coli
การศึกษาทางพิษวิทยา การทดสอบความเป็นพิษ เมื่อฉีดสารสกัดส่วนที่อยู่เหนือดินของต้นการบูรด้วยเอธานอล-น้ำ เข้าท้องหนูถีบจักรพบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายครึ่งเดียวมากยิ่งกว่า 1 ก./กก. เมื่อป้นส่วนที่เป็นไขมันให้สุนัขในขนาด 5 ซีซี/กิโลกรัม ไม่พบพิษ
มีกล่าวว่าการกินการบูร ขนาด 3.5 กรัม ทำให้เสียชีวิตได้ รวมทั้งถ้ารับประทานเกินทีละ 2 กรัม จะทำให้หมดสติ รวมทั้งเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร ไต และก็สมอง อาการแสดงเมื่อได้รับพิษ คือ อาเจียน คลื่นไส้ ปวดศีรษะ หน้ามืดศีรษะ กล้ามเนื้อสั่น กระตุก เกิดการชัก สมองทำงานผิดพลาด เกิดภาวะงงเต็ก ดังนี้
สังกัดขนาดที่ได้รับ ธรรมดาแล้วร่างกายมีการกำจัดการบูรเมื่อกินเข้าไป ผ่านการเมทาบอลิซึมที่ตับ โดยการบูรจะถูกเปลี่ยนเป็นสารกรุ๊ปแอลกอฮอล์ โดยการเติมออกสิเจนในโมเลกุล กำเนิดเป็นสาร campherolแล้วจะจับตัวกับ glucuronic acid ในตับ กำเนิดเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำได้ แล้วก็ถูกขับออกทางเยี่ยว แต่ถ้าหากได้รับในปริมาณสูงเหลือเกิน ก็จะเกิดการตกค้างจนกระทั่งเป็นอันตรายต่อตับ และก็ไตได้
การสูดดมการบูร ที่มีความเข้มข้นในอากาศมากกว่า 2 ppm (2 ส่วนในล้านส่วน หรือ 2 mg/m3) จะก่อให้เกิดอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง ยกตัวอย่างเช่น การระคายเคืองต่อจมูก ตา และลำคอ ขนาดที่กระตุ้นให้เกิดพิษรุนแรงต่อชีวิต รวมทั้งสุขภาพเป็น 200 mg/m3ความเป็นพิษของการบูรที่เกิดขึ้นจากการกิน เช่น อ้วก คลื่นไส้ ปวดท้อง ปวดหัว ชัก หมดสติ หรือบางทีอาจทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตจากภาวการณ์ระบบการหายใจล้มเหลว โดยขนาดของการบูรที่ส่งผลให้เกิดอาการพิษที่รุนแรง (ชัก หมดสติ) ในผู้ใหญ่หมายถึง34 mg/kg
นอกนั้นยังมีรายงานว่า การกินน้ำมันการบูรในขนาด 3-5 mL ที่มีความเข้มข้น 20% หรือมากกว่า 30 mg/Kg จะทำให้เสียชีวิตได้ มีรายงาน case report กำหนดไว้ว่า มีเด็กสาวอายุ 3 ปีครึ่ง ทาน
การบูรเข้าไป โดยไม่รู้ขนาดที่รับประทาน ปรากฏว่ามีอาการชักแบบกล้ามเนื้อเกร็งตลอดตัวโดยไม่มีการกระตุก (generalised tonic seizures) นาน 20-30 นาที ก่อนจะมาถึงโรงพยาบาล ผลการตรวจทางห้องทดลองพบว่า ระดับน้ำตาล ระดับ electrolytes และก็ระดับแคลเซียม มีค่าธรรมดา การตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography (EEG) พบว่ามีค่าธรรมดา แล้วก็มีลักษณะอาการอาเจียน 1 ครั้ง เมื่อมาถึงโรงหมอ เจอสารสีขาว และก็มีกลิ่นการบูรร้ายแรงจากการอ้วก
ขนาด/ปริมาณที่ควรจะใช้ สำหรับเพื่อการรักประทานยังไม่มีข้อมูลที่รับรองแน่ชัดว่าควรบริโภคการบูรเยอะแค่ไหน ที่จะไม่เกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายแต่ว่าในด้านการสูดดมมีการคำนวณว่าในสารที่ผสมการบูรเสร็จแล้ว ไม่สมควรเกินกว่า 2 ppm ซึ่งแสดงว่า มีจำนวนของการบูร 2 มิลลิกรัมในสารละลาย 1 ลิตร โดยเหตุนั้นสำหรับในการใช้การบูรทั้งยัง การกินรวมทั้งการสูดดมความต้องระมัดระวังแล้วก็ใช้ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
คำแนะนำ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง- สตรีตั้งครรภ์ ไม่สมควรกินการบูร
- ผู้ที่เป็นโรคท้องผูกริดสีดวงทวารปัสสาวะแสบขัดเป็นเลือดไม่ควรกิน
- น้ำมันการบูรที่มีสีเหลืองหรือน้ำตาลห้ามใช้ เนื่องด้วยมีความเป็นพิษสูง
- ความเข้มข้นของกลิ่นการบูรที่มีมากอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย โดยเฉพาะปอดแล้วก็ตับได้
เอกสารอ้างอิง- (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “การะบูน , การบูร”. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 60-62.
- Chen W, Vermaak I, Viljoen A. Camphor-A Fumigant during the Black Death and a Coveted Fragrant Wood in Ancient Egypt and Babylon-A Review. Molecules. 2013:18;5434-5454.
- “การบูร Camphor Tree”. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. หน้า 82.
- รศ.ยุวดี วงษ์กระจ่าง.ยาดมมีอันตรายหรือไม่.จุลสารคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.คอลัมน์Drug Tips.ฉบับที่5 กรกฎาคม-กันยายน 2555.หน้า 6-7
- Narayan LtCS, Singh CN. Camphor poisoning—An unusual cause of seizure. Medical Journal, Armed Forces India. 2012;68:252-253.
- การบูร.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://www.disthai.com/.
- (วิทยา บุญวรพัฒน์). “การบูรต้น”. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. หน้า 72.
- Gupta N, Saxena G.antimicrobial activity of constituents identified in essential oils from mentha and cinnamomum through gc-ms. International Journal of Pharma and Bio Sciences. 2010;1(4):715-720.
- การบูร.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.Manoguerra AS, Erdman AR, Wax PM, Nelson LS, Caravati EM, Cobaugh DJ, et al. Camphor poisoning: an evidence-based practice guideline for out-of-hospital management. Clinical Toxicology. 2006;44:357-370.
- (วิทยา บุญวรพัฒน์). “เกล็ดการบูร (Camphor)”. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. หน้า 74.
- การบูร.วิกิพีเดียสารานุกรม
- Lee HJ, Hyun E-A, Yoon WJ, Kim BH, Rhee M, Kang HK, et al. In vitro anti-inflammatory and anti-oxidative effects of Cinnamomum camphora extracts. J Ethnopharmacology. 2006;103: 208–216.
- การผลิตการบูรแบบง่าย.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- นันทวัน บุณยะประภัศร,อรนุช โชคชัยเจริญพร.การบูร.สมุนไพรไม้พื้นบ้าน.เล่ม1.พิมพ์ครั้งที่1.กรุงเทพฯ.2539.
Tags : การบูร