รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: งาดำที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี มีสรรพคุณเเละประโยชน์อันน่าทึ่ง  (อ่าน 607 ครั้ง)

BeerCH0212

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 98
    • ดูรายละเอียด

งาดำ
ชื่อสมุนไพร งาดำ
ชื่อสามัญ  Black Sasame seeds Black
ชื่อวิทยาศาสตร์ Sesamum indicum Linn
สกุล Pedaliaceae
บ้านเกิดเมืองนอน  งามีบ้านเกิดเมืองนอนในทวีปแอฟริกา รอบๆประเทศเอธิโอเปีย แล้วแผ่กระจายไปยังอินเดีย จีน และประเทศต่างๆในแถบทวีปเอเชียรวมทั้งเมืองไทยด้วย ส่วนในประเทศอินเดียมีการบอกว่ามีการปลูกงามาแล้วหลายพันปี ก่อนที่จะพ่อค้าชาวอาหรับ แล้วก็เมดิเตอร์เรเนียลจะนำงาไปปลูกแถบอาหรับ และก็ ยุโรป
ยิ่งไปกว่านี้ยังมีผู้เจอหลักฐานว่า ชาวบาบิโลนในประเทศโซมาเลียมีการปลูกงามาเป็นเวลานานกว่า 2,500 ปี ก่อนคริสตกาล และก็ใช้นํ้ามันงาสำหรับทำยา แล้วก็อาหาร ซึ่งมีบันทึกใน Medical Papyrus of Thebes กล่าวว่า ทหารโรมันได้นำงาไปปลูกเอาไว้ในประเทศอิตาลีในคริสศตวรรษที่ 1 แต่ว่าปรากฏว่าสภาพภูมิอากาศไม่เหมาะสมกับการปลูก แล้วก็ในช่วงปลายศตวรรษที่17 แล้วก็18 มีการนำงามาปลูกภายในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยทาสชาวแอฟริกัน
ด้านการใช้คุณประโยชน์จากงาดำนั้นอินเดีย จีน และก็ประเทศอื่นๆในแถบเอเซียจะใช้งาทำเป็นนํ้ามันเพื่อประกอบอาหาร ส่วนชาวยุโรปจะนำงามาทำเค้ก ไวน์ และนํ้ามัน รวมถึงใช้ในการประกอบอาหาร แล้วก็เป็นเครื่องหอม ส่วนชาวแอฟริกันใช้ใบงาทำ ตะไล และก็พอกผิวหนัง และก็ใช้เป็นสารไล่แมลงให้สัตว์เลี้ยงฯลฯ
ลักษณะทั่วไป
งาดำ เป็นไม้ล้มลุกที่แก่ฤดูเดียว มีลำต้นตั้งตรง อาจแตกกิ่งไหมแตกกิ่งกิ่งก้านสาขา ลำต้นสูงประมาณ 50-150 ซม. ลำต้นมีลักษณะสีเหลี่ยม มีร่องตามแนวยาว ไม่มีแก่น มีลักษณะอวบน้ำ และมีขนสั้นปกคลุม เปลือกลำต้นบาง มีสีเขียว  ใบงาดำ ออกเป็นใบผู้เดียว เรียงตรงกันข้ามกันเป็นชั้นๆตามความสูง มีก้านใบสั้น ยาวโดยประมาณ แผ่นใบมีรูปหอก สีเขียวสด กว้างโดยประมาณ 3-6 เซนติเมตร ยาวโดยประมาณ 8-16 ซม. โคนใบมนกว้าง ปลายใบแหลม ขอบใบหยักน้อย มีเส้นกิ่งก้านสาขาใบตรงข้ามกันเป็นคู่ๆยาวถึงขอบของใบ ดอกงาดำเป็นดอกผู้เดียวหรือเป็นกรุ๊ปตรงซอกใบ จำนวน 1-3 ดอก ดอกย่อยมีก้านดอกสั้น มีกลีบรองดอก จำนวน 5 กลีบ ส่วนกลีบดอกมีลักษณะเป็นกรวย ห้วยลงดิน กลีบดอกอ่อนมีสีเขียวอมเหลือง กลีบเมื่อบานมีสีขาว ยาวราว 4-5 ซม. แบ่งเป็น 2 ส่วนหมายถึงกลีบข้างล่าง แล้วก็กลีบบน โดยกลีบล่างจะยาวกว่ากลีบบน ข้างในดอกมีเกสรตัวผู้ 2 คู่ มี 1 คู่ยาว ส่วนอีกคู่สั้นกว่า ส่วนเกสรตัวเมียมี 1 อัน มีก้านเกสรยาว 1.5-2 ซม. ปลายก้านเกสรเว้าแหว่งเป็น 2-4 แฉก  ผลงาดำเรียกว่า ฝัก มีลักษณะทรงกระบอกยาว ผิวฝักเรียบ ปลายฝักแหลมเป็นติ่ง รวมทั้งแบ่งออกเป็นร่องพู 2-4 ร่อง กว้างราวๆ 1 เซนติเมตร ยาวประมาณ 2-3 ซม. ฝักอ่อนมีสีเขียว และก็มีขนปกคลุม ฝักแก่กลายเป็นสีน้ำตาล แล้วก็เบาๆกลายเป็นสีดำอมเทา หลังจากนั้น ร่องพูจะปริแตก เพื่อให้เม็ดร่วงลงดิน  ด้านในฝักมีเมล็ดขนาดเล็ก สีดำมากมาย เมล็ดเรียงซ้อนในร่องพู เม็ดมีรูปรี รวมทั้งแบน ขนาดเมล็ดราวๆ 2-3 มม. เปลือกเมล็ดบางมีสีดำ มีกลิ่นหอมหวน แต่ละฝักมีเม็ดราวๆ 80-100 เม็ด
การขยายพันธุ์ งาดำเพาะพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด ซึ่งนิยมนำมาปลูกร่วมกัน 2 แบบเป็นการหว่านเมล็ด และโรยเม็ดเป็นแนว แบ่งตอนปลูกออกเป็น 3 ช่วง เป็น

  • ตอนต้นหน้าฝน ประมาณพฤษภาคม-มิถุนายน และเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนกรกฎาคม-เดือนสิงหาคม
  • ช่วงปลายหน้าฝน โดยประมาณเดือนกรกฎาคม-ส.ค. และก็เก็บเกี่ยวในช่วงเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม
  • ช่วงหลังการเก็บเกี่ยวข้าว ประมาณพ.ย.-ธันวาคม และเก็บเกี่ยวในช่วงมกราคม-ก.พ.


การเตรียมแปลงปลูก ในพื้นที่ที่มีระบบชลประทานเข้าถึง สามารถปลูกงาดำได้ทุกฤดู ส่วนพื้นที่ที่ไม่มีระบบชลประทานมักปลูกในพักหลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ
พื้นที่แปลงปลูกต้องไถกลบดิน 1 รอบก่อน แล้วก็ตากดินนาน 7-10 วัน แล้วต่อจากนั้น หว่านด้วยปุ๋ยมูลสัตว์ ราวๆ 1-2 ตัน/ไร่ ก่อนไถกระพรวนดินกลบอีกครั้ง หรือหว่านปุ๋ยธรรมชาติตั้งแต่ตอนไถรอบแรก (ใช้สำหรับพื้นที่ไม่รกมากมาย) เนื่องจากรอบถัดมาจะเป็นการหว่านเม็ดได้เลย ส่วนการปลูกแบบหยอดเมล็ด ให้ไถร่องตื้นหรือใช้คราดดึงทำแนวร่องก่อน
การปลูก

  • การปลูกแบบหว่านลงแปลง หลังไถกลบรอบแรกหรือไถพรวนดินในรอบ 2 แล้ว ให้หว่านเมล็ดงาดำ อัตรา 0.5-1 กิโล/ไร่ ควรจะหว่านเม็ดให้กระจัดกระจายให้เยอะที่สุด ก่อนไถกระพรวนหน้าดินตื้นๆกลบ
  • การปลูกแบบหยดเม็ดเป็นแนว หลังไถชูร่องหรือดึงคราดทำแนวร่องเสร็จ ให้โรยเมล็ดตามความยาวของร่อง ให้เม็ดห่างกันอย่างสม่ำเสมอ ใช้เมล็ดในอัตราเดียวกับการหว่านเม็ด ก่อนคราดหรือเกลี่ยหน้าดินกลบ


การรักษา ข้างหลังการหว่านเม็ด ถ้าหากปลูกเอาไว้ภายในช่วงแล้ง เกษตรมักติดตั้งระบบให้น้ำ ซึ่งควรจะให้เสมอๆ 2-3 ครั้ง/อาทิตย์ ส่วนการปลูกไว้ในหน้าฝน เกษตรมักปล่อยให้งาดำเติบโตโดยอาศัยน้ำฝนจากธรรมชาติ ทั้งนี้ หากเจอโรคหรือแมลงให้ฉีดพ่นด้วยสารเคมีกำจัด ส่วนการใส่ปุ๋ย ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ในระยะ 1-1.5 เดือน แรกข้างหลังปลูก รวมทั้งอาจใส่ร่วมกับปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 ตัน/ไร่ ส่วนการกำจัดวัชพืช ให้ลงแปลงถอนวัชพืชด้วยมือเสมอๆ ทุก 2 ครั้ง/ เดือน โดยยิ่งไปกว่านั้นใน 1-1.5 เดือนแรก
การเก็บเกี่ยวผลิตผล งาดำ สามารถเก็บเกี่ยวเม็ดได้หลังการปลูกราว 70-120 วัน ขึ้นกับสายพันธุ์ โดยสังเกตจากฝักที่เริ่มกลายเป็นสีเหลืองหรือน้ำตาลอมดำ ส่วนใบจะเริ่มสีเหลือง แล้วก็บางพันธุ์มีการร่วงแล้ว ดังนี้ จะต้องเก็บฝักก่อนที่เปลือกฝักจะปริแตก ส่วนชนิดงาดำที่นิยมปลูกในขณะนี้นั้นมีด้วยกัน 4 ชนิดเป็น

  • งาดำ จังหวัดบุรีรัมย์ จัดเป็นพันธุ์ประจำถิ่น มีลักษณะเด่นเป็นฝักแบ่งได้ 4 กลีบใหญ่ เม็ดมีขนาดใหญ่ สีเกือบดำสนิท มีอายุเก็บเกี่ยวปานกลาง ราว 90-100 วัน ให้ผลผลิต ราว 60-130 โล/ไร่
  • งาดำ นครสวรรค์ จัดเป็นประเภทพื้นบ้านที่นิยมมากมายในแทบทุกภาค โดยเฉพาะภาคกลาง เหนือ รวมทั้งอีสาน มีลักษณะเด่นหมายถึงลำต้นค่อนข้างจะสูง มีการเลื้อย รวมทั้งแตกกิ่งก้านมากมาย ใบมีขนาดใหญ่ มีลักษณะค่อนข้างจะกลม ส่วนเม็ดมีสีดำ อวบ รวมทั้งขนาดใหญ่ แก่เก็บเกี่ยวปานกลาง ประมาณ 95-100 วัน ได้ผลผลิต 60-130 กก./ไร่
  • งาดำ มก.18 เป็นจำพวกงาดำแท้ ที่พัฒนาขึ้นโดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในตอนปี 2528-2530 ที่ได้จากการผสมของงาพันธุ์ col.34 กับงาดำ จังหวัดนครสวรรค์ มีลักษณะเด่นหมายถึงลำต้นค่อนข้างสูง มีการเลื้อย แม้กระนั้นไม่แตกกิ่ง ลำต้นมีข้อสั้น ทำให้จำนวนของฝักต่อต้นสูง เม็ดมีสีดำสนิท 1,000 เม็ด มีน้ำหนักประมาณ 3 กรัม หากในฤดูฝนจะแก่การเก็บเกี่ยวประมาณ 85 วัน ถ้าปลูกฤดูหนาวหรือหน้าแล้ง แก่การเก็บเกี่ยว ราวๆ 90 วัน ได้ผลผลิต แต่ค่อนข้างสูง ในตอน 60-148 โล/ไร่
  • งาดำ มข.2 เป็นชนิดไม่ไวต่อตอนแสงสว่างที่ปรับปรุงขึ้นโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีชนิดดั้งเดิมเป็นงาดำ ชนิด ซีบี 80 ที่นำเข้ามาจากเมืองจีน มีลักษณะเด่นหมายถึงลำต้นสูงประมาณ 105-115 ซม. ลำต้นมีการแตกกิ่ง แต่แตกน้อย ราวๆ 3-4 กิ่ง/ต้น เมล็ดสีดำสนิท 1,000 เมล็ด หนักราวๆ 2.77 กรัม แก่เก็บเกี่ยวสั้นกว่าชนิดอื่นๆประมาณ 70-75 วัน ได้ผลผลิตปานกลางถึงสูง ราวๆ 80-150 กก./ไร่ เป็นพันธุ์ที่ทนแล้ง แล้วก็ต่อต้านต่อโรค เน่าดำได้ดี
ส่วนประกอบทางเคมี
ในเม็ดมีน้ำมันอยู่ราว 45-55% ประกอบด้วยกรดไขมันตัวอย่างเช่น oleic acid, linoleic acid, palmitic acid, stearic acid, นอกเหนือจากนั้นยังมี สารกลุ่ม lignan, ชื่อ Sesamin , sesamol, 
d-sesamin, sesamolin, สารอื่นๆอาทิเช่น sitosterol  (สารกันเหม็นหืนคือ sesamol ทำให้น้ำมันงาไม่กลิ่นหืน)
                ยิ่งไปกว่านี้งาดำยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้
ค่าทางโภชนาการของงาดำ (งาดำ 100 กรัม)
น้ำ                           4.2          กรัม
พลังงาน                 603         กิโลแคลอรี่
โปรตีน                    20.6        กรัม
ไขมัน                       48.2        กรัม
คาร์โบไฮเดรต                        21.8        กรัม
ใยอาหาร                                9.9          กรัม
ขี้เถ้า                           5.2          กรัม
แคลเซียม                               1228       มก.
เหล็ก                       8.8          มก.
ฟอสฟอรัส                              584         มก.
 
ไทอะมีน                 0.94        มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน                           0.27        มิลลิกรัม
ไนอะซีน                  3.5          มิลลิกรัม
กรดกลูดามิก                         3.955     กรัม
กรดแอสพาร์ว่ากล่าวก                     1.646     กรัม
เมไธโอนีน                              0.586     กรัม
ทรีโอนีน                  0.736     กรัม
ซีสคราวอีน                   0.358     กรัม
ซีรีน                         0.967     กรัม
ฟีนิลอะลานีน                        0.940     กรัม
อะลานีน                 0.927     กรัม
อาร์จินีน                 2.630     กรัม
โปรลีน                    0.810     กรัม
ไกลซีน                    1.215     กรัม
ฮิสทิดีน                   0.522     กรัม
ทริปโตเฟน                             0.388     กรัม
ไทโรซีน                   0.743     กรัม
วาลีน                      0.990     กรัม
ไอโซลิวซีน                              0.763     กรัม
ลิวซีน                      1.358     กรัม
ไลซีน                       0.569     กรัม
ธาตุแคลเซียม                        975         มก.
ธาตุเหล็ก                               14.55     มิลลิกรัม
ธาตุซีลีเนียม                          5.7          มก.
ธาตุโซเดียม                           11           มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส                      629         มก.
ธาตุสังกะสี                            7.75        มก.
ธาตุโพแทสเซียม                   468         มก.
ธาตุแมกนีเซียม                     351         มก.
ธาตุแมงกานีส                       2.460     มก.
ธาตุทองแดง                          4.082     มิลลิกรัม
 
คุณประโยชน์/สรรพคุณ งาดำนิยมนำมาใช้เป็นสัดส่วนผสมของขนมต่างๆตัวอย่างเช่น ไอศกรีมงาดำ , คุกกี้งาดำ , เค้กงาดำ , นมงาดำ , กระยาสารท ฯลฯ หรือใช้เป็นส่วนผสมภัณฑ์เสริมความสวยงามต่างๆดังเช่นว่า สบู่ ครีมที่เอาไว้สำหรับดูแลผิว อื่นๆอีกมากมาย ส่วนสรรพคุณทางยาของงาดำนั้นสามารถช่วยบำรุงร่างกายแทบทุกสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็น ผม ผิวพรรณ กระดูก เล็บ ระบบขับถ่าย การบำรุงหัวใจ จึงเหมาะกับทุกวัย แม้กระทั่งเด็กที่มีลักษณะป่วยไข้อยู่แล้ว หรือเพศหญิงที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทอง งาดำจะจำเป็นมากอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยคุ้มครองโรคภาวะกระดูกพรุนอย่างได้ผล โดยในหนังสือเรียนยาไทยบอกว่า ใช้น้ำมันระเหยยากที่บีบจากเมล็ด หุงเป็นน้ำมันใส่รอยแผล และก็ผสมเป็นน้ำมันทาถูนวดแก้เคล็ดลับปวดเมื่อย บวมช้ำ ปวดบวม ลดการอักเสบ ใส่แผลรักษาอาการผื่นคัน ทำน้ำมันใส่ผม เป็นยาระบายอ่อนๆทาผิวหนังให้นุ่มและเปียกชื้น หญิงไทยโบราณใช้ทาเพื่อประทินโฉมผิว สรรพคุณท้องถิ่นกล่าวว่า เมล็ด นำมาซึ่งกำลัง ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย แต่ว่าทำให้ดีกำเริบ น้ำมัน ทำน้ำมันใส่แผล ใส่แผลเน่า มักใช้ผสมยาทาสำหรับกระดูกหัก บำรุงเอ็น ไขข้อ ทานวดแก้เคล็ดลับยอก ปวดบวม หรือใช้ทาบำรุงรากผม
ตำรับยาสมุนไพรล้านนา: ใช้รักษาโรคผิวหนัง ขี้กลาก โรคเกลื้อน น้ำร้อนลวก ไฟไหม้
           ตำรับยาน้ำมันที่ระบุในหนังสือเรียนพระยารักษาโรคพระนารายณ์: มีรวม 3 ตำรับ ที่ใช้น้ำมันงาเป็นองค์ประกอบ ดังต่อไปนี้ “น้ำมันทรงแก้พระเส้นผมร่วง (ผมหล่น)ให้คันให้หงอก” ประกอบด้วยสมุนไพร 19 จำพวก เอามาต้มแล้วกรองกากออก เติมน้ำมันงา แล้วหุงให้เหลือแค่น้ำมันใช้แก้พระเกศาเธอ คัน ขาว “น้ำมันแก้เปื่อยพังทลาย” มีสรรพคุณ แก้ขัดค่อยหรือฉี่ไม่ออก แก้ปวดขบ แก้หนอง มีรวม 2 ตำรับ แต่ละตำรับ มีสมุนไพร 12 ชนิด แล้วก็น้ำมันงาพอสมควร หุงให้เหลือแค่น้ำมัน ยานี้ใช้ ยอนเป่าเข้าไปในลำกล้องถ่ายภาพ (ทางเดินปัสสาวะในองคชาติ)
ส่วนหนังสือเรียนหมอแผนปัจจุบันบอกว่าสารออกฤทธิ์ในงาดำมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ ต่อต้านการอักเสบ ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ต่อต้านเซลล์มะเร็ง  รักษาอาการไอ จากการกำหนดสมรรถนะการดูแลรักษาโรคของเม็ดงาโดยฐานข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ที่ว่าช่วยทุเลาอาการไอ นับเป็นประโยชน์ข้อเดียวของงาดำรวมทั้งงาขาวที่มีข้อมูลมากที่สุดในปัจจุบัน  ลดระดับคอเลสเตอรอล น้ำมันงายอดเยี่ยมในน้ำมันจากพืชที่กล่าวกันว่าดีต่อสุขภาพ โดยเชื่อว่าอุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นไขมันประเภทดีที่ช่วยลดจำนวนคอเลสเตอรอลและในน้ำมันงานี้ยังพบไขมันอิ่มตัวในปริมาณน้อย วัยทอง หญิงที่เข้าสู่วัยหมดระดูซึ่งเป็นภาวะของความเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายและจิตใจจากการที่ร่างกายไม่ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนอีกต่อไป บางทีอาจได้ใช้ประโยชน์จากสารเซซาไม่น (Sesamin) ในเมล็ดงาที่มั่นใจว่าเมื่อไปสู่ร่างกายจะถูกจุลชีพในลำไส้เปลี่ยนไปเป็นสารสำคัญอย่างเอนเทอโรแลกโตน (Enterolactone) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์เอสโตรเจนและก็มีองค์ประกอบทางเคมีเหมือนฮอร์โมนเอสโตเจนของผู้หญิงอย่างไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogens) งาเป็นอาหารที่มีแร่มากมายที่สำคัญหมายถึงธาตุเหล็ก ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส โดยปริมาณแคลเซียมที่เจอจะมีมากยิ่งกว่าผักทั่วไปกว่า 40 เท่า แล้วก็ธาตุฟอสฟอรัสมากกว่าผักทั่วไปกว่า 20 เท่า ซึ่งเป็นธาตุที่ปฏิบัติภารกิจสร้างเสริมกระดูก โดยเฉพาะเด็กเล็ก รวมทั้งสตรีวัยหมดประจำเดือน กรดไขมันไลโนเลอิค และกรดไขมันจำพวกโอเลอิค ช่วยในการลดระดับไขมันประเภทต่างๆในเส้นโลหิต รวมทั้งช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดเกล็ดเลือด และก็ลิ่มเลือด  งามีคาร์โบไฮเดรตในปริมาณตํ่า แต่ว่ามีวิตามินบีทุกชนิดสูงจึงนับได้ว่างามีวิตามินบีอยู่ดูเหมือนจะทุกชนิด ก็เลยมีสรรพคุณช่วยทำนุบำรุงระบบประสาท บำรุงสมอง ทุเลาอาการเหน็บชา แก้ร่างกายอ่อนแรง แก้ลักษณะของการปวดเมื่อย รวมทั้งแก้การเบื่ออาหาร  งามีปริมาณใยอาหารในปริมาณสูง ปฏิบัติหน้าที่เสริมสร้าง แล้วก็กระตุ้นรูปแบบการทำงานของลำไส้ การย่อย การดูดซึม แล้วก็การขับถ่าย ช่วยคุ้มครองปกป้องอาการท้องผูก ยับยั้ง และดูดซับสารพิษ พร้อมขับออกทางอุจจาระ ทำให้ป้องกันโรคมะเร็งในลำไส้ และควบคุมระดับไขมันในเลือด      กรดไลโนเลอิคเจอในเม็ดงาเยอะแยะ เป็นกรดที่มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโต และช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง เนื่องจากว่าทำให้ผนังเซลล์ด้านในข้างนอกทำงานอย่างธรรมดา
แบบ/ขนาดวิธีใช้ ในปัจจุบันงาดำนั้นโดยมากจะนิยมเอามาทำเป็นขนมหรือส่วนประกอบของของหวานแล้วก็สินค้าที่ใช้บริโภคมากยิ่งกว่าการใช้คุณประโยชน์ในด้านอื่นๆแต่ก็มีตำรายาไทยแผนโบราณที่ได้กำหนดจำนวนการใช้เพื่อบำบัดรักษาโรคต่างๆดังเช่นว่า

  • รักษาอาการปวดตามข้อ ใช้งาคั่วรับประทาน 2-3 ช้อนโต๊ะ 2-3 อาทิตย์
  • รักษาอาการอ่อนแรง เมื่อตามร่างกาย รับประทานงาคั่ว 2-3 ช้อนโต๊ะ 2-3 อาทิตย์
  • รักษาอาการเหน็บชา คั่วเม็ดงา 1 ลิตร ร่วมกับรำข้าว 1 ลิตร และกระเทียมหั่น 1 กำมือ แล้ว ตำบดผสมกัน แล้วก็ผสมน้ำผึ้งหรือน้ำตาลกิน 1 เดือน
  • รักษาอาการคัดจมูก ใช้งาคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับอาหารสุกหรือนมถั่วเหลืองกิน 2-3 วัน
  • รักษาอาการเป็นหวัด กินงาคั่ว วันละ 4 ช้อนโต๊ะ
  • รักษาอาการท้องผูก ใช้งาคั่วผสมกับเกลือรับประทานร่วมกับข้าว
  • รักษาลักษณะของการปวดรอบเดือน รับประทานงาผง ½ ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง
  • ใช้บำรุงสมอง และก็ระบบประสาท ใช้งาคั่วผสมกับมะขามป้อม และน้ำผึ้ง กินวันละ 1 ครั้ง
การเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ลดการอักเสบ      สาร sesamin จากน้ำมันเมล็ดงา เมื่อทำการทดสอบโดยผสมลงในของกินของหนูถีบจักร และป้อนให้หนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการติดโรค รวมทั้งการอักเสบที่ลำไส้ใหญ่ ซึ่งหนูที่มีการอักเสบจะมีการหลั่งสาร dienoic, eicosanoids, TNF-a (tumor necrosis factor-a) แล้วก็ cyclooxygenase เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากผลการทดลอง พบว่าสาร sesamin ในน้ำมันเม็ดงา มีฤทธิ์ลดการอักเสบที่ลำไส้ของหนูได้ โดยลดการผลิตสารจำพวก Prostaglandin E2 (PGE2), Thromboxane B2 (TXB2) และ TNF-a อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (1) เมื่อทำทดสอบในชายปกติ 11 คน โดยฉีดสารที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอักเสบ Auromyose ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ของ TNF-a, PGE2 แล้วก็ leukotriene B4 (LTB4) หลังจากนั้นให้ชายทั้งยัง 11 คน รับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา 18 กรัม/วัน นาน 12 อาทิตย์ และทำวัดระดับ TNF-a, PGE2  และ LTB4 ในกระแสโลหิตทั้งยังก่อนและข้างหลังให้อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา พบว่าระดับของสารที่ทำให้มีการเกิดการอักเสบดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง แปลว่าน้ำมันงาไม่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ (2) 0.5 ก. ของสารสกัดเมทานอล 100% จากเม็ดงา 100 ก. ไม่มีผลยั้ง cyclooxygenase 2 รวมทั้ง nitric oxide ในเซลล์ RAW 264.7 ที่ถูกรั้งนำโดย lipopolysaccharide (3)
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย        สารสกัดอัลกอฮอล์หรืออะซีโตนจากเมล็ดงา ความเข้มข้น 25 มคก./มิลลิลิตร (4) แล้วก็สารสกัดเอทานอล 80% จากใบ ลำต้น ราก และผล ความเข้มข้น 500 มิลลิกรัม/มล. (5) ไม่เป็นผลยับยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus (4, 5) และเชื้อ Pseudomonas aeruginosa (5)
การเรียนรู้เกี่ยวกับสรรพคุณของงาดำและก็งาขาวที่ช่วยรักษาอาการไอ เป็นการทดลองในเด็กอายุ 2-12 ปี จำนวน 107 คน ที่มีลักษณะอาการไอจากหวัด โดยให้รับประทานน้ำมันงา 5 มล.ก่อนนอนติดต่อกัน 3 วัน เพื่อลดความร้ายแรงรวมทั้งความถี่ของการไอ ผลสรุปพบว่าในวันแรกอาการไอของเด็กที่รับประทานน้ำมันงาดียิ่งขึ้นกว่ากลุ่มรับประทานยาหลอก แม้กระนั้นอยู่ในระดับไม่มากเท่าไรนัก แล้วก็เมื่อผ่านไป 3 วัน เด็กทั้ง 2 กลุ่มต่างมีลักษณะอาการ และไม่พบว่าการใช้น้ำมันงานำมาซึ่งผลข้างเคียงอะไรก็ตามทำการวิจัยคนเจ็บที่เจ็บในโรงหมอทั้งหมด 150 คน โดยกลุ่มหนึ่งให้การรักษาโดยใช้การทาน้ำมันงาควบคู่ไปกับการดูแลและรักษาธรรมดา ส่วนอีกกรุ๊ปให้การรักษาปกติเพียงอย่างเดียว ผลปรากฏว่าน้ำมันงาช่วยลดความรุนแรงของความเจ็บปวดรวมทั้งนำมาซึ่งการทำให้คนไข้กินยาแก้ปวดน้อยลง
แผนกแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ศึกษาและทำการค้นพบว่าในเมล็ดงาดำ มีสารเซซาไม่นอยู่ด้านในซึ่งสารตัวนี้สามารถที่จะช่วยสำหรับเพื่อการยั้งการพัฒนาเซลล์ต้นกำเนิดของเซลล์สลายกระดูก ที่ให้กำเนิดโรคข้อเสื่อม โรคกระดูกพรุน ได้โดยจะเข้าไปทำให้แคลเซียมประสานกับกระดูกมากขึ้นยิ่งไปกว่านี้ยังช่วยในเรื่องของโรคสมอง ไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดตันในสมองเส้นเลือดแตก ที่ทำให้เป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตโดยสารเซซามินจะเข้าไปช่วยปกป้องรักษาเซลล์ประสาทที่ยังดีอยู่ แล้วก็ช่วยฟื้นฟูเซลล์ประสาทที่ย่อยสลายสุดท้ายก็เป็นโรคโรคมะเร็ง ที่นับว่าเป็นโรคที่เกิดมากมายเป็นชั้น 1 เวลานี้ซึ่งเซลล์มะเร็งนั้นจะแพร่ไปไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากว่ามีเส้นโลหิตใหม่ที่เกิดขึ้นมาแล้วไปสร้างการหล่อเลี้ยงให้กับเซลล์ของโรคมะเร็งนั้นๆจากนั้นก็จะแพร่ไปเรื่อยซึ่งสารเซซาไม่น ก็จะเข้าไปปกป้องรักษาเซลล์กับตัดวงจรหรือลดเส้นเลือดใหม่ที่เป็นน้ำเลี้ยงให้กับเซลล์ของมะเร็งพร้อมทั้งค่อยๆฟื้นฟูสภาพเซลล์ให้คืนมา
โดยผลของการวิจัยในห้องแลปที่ได้ร่วมกับนักศึกษาปริญญาโท ได้ทดสอบกับไข่ไก่ที่ธรรมดาหลังจากนั้นได้ทำฉีดเซลล์หรือพิษเข้าไป ก็พบว่าไข่ไก่จะกำเนิดอาการเป็นพิษหรือคล้ายกับการเป็นโรคมะเร็ง จากนั้นก็ทำการฉีดสารเซซาไม่น เข้าไปก็พบว่าการฟื้นฟูของเซลล์เริ่มกลับคืนมาแล้วก็ได้ทดลองด้วยการฉีดสารเซซามินเข้าไปในไข่ไก่ธรรมดา แล้วเมื่อเวลาผ่านไป 6 ชั่วโมงถึงฉีดสารพิษ หรือเซลล์มะเร็งเข้าไป ก็พบว่ามีการปกป้องเซลล์ได้มากกว่าไข่ไก่ที่ไม่ถูกฉีดสารเซซาไม่นอย่างเห็นได้ชัด
การเรียนทางพิษวิทยา

  • การทดสอบความเป็นพิษ เมื่อฉีดสารสกัดเม็ดด้วยเอทานอลรวมทั้งน้ำ (1:1) เข้าทางช่องท้องของหนูถีบจักร พบว่าขนาดที่ทำให้หนูตายเป็นปริมาณครึ่งเดียว (LD50) มีค่าพอๆกับ 500 มิลลิกรัม/กก. น้ำมันจากเม็ดงาไม่เจาะจงความเข้มข้น พบว่ามีพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดแดง รวมทั้งเมื่อฉีดน้ำมันจากเมล็ดงาเข้าทางเส้นเลือดดำของกระต่าย พบว่า MIC มีค่าเท่ากับ 0.74 มล./กิโลกรัม เมื่อป้อนอาหารที่มีส่วนผสมของข้าวโพด เม็ดฝ้าย น้ำมันมะกอก และน้ำมันงาให้กับหนูเพศผู้-เมีย ในขนาด 0.1, 0.5% ของของกินเป็นเวลานาน 105 วัน พบว่าหนูทุกตัวมีการเปลี่ยนแปลงของระดับไขมันที่ตับ และในหนูเพศเมีย เนื้อเยื่อที่
ต่อม thyroid ชนิด microfollicular จะมีจำนวนเซลล์เพิ่มขึ้นมากผิดปกติ  และในหนูทุกตัวที่ป้อนอาหารที่มีส่วนผสมในขนาด 0.5% ของอาหาร พบว่าน้ำหนักของหัวใจเพิ่มมากขึ้น

  • ทำให้เกิดอาการแพ้ มีรายงานว่าคนรับประทานเมล็ดงา แล้วเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น ในคนเพศชายพบว่ามีอาการแพ้ด้วยการสูดดม และทำ skin prick tests ผล positive และเมื่อรับประทานเมล็ดงาขนาด 2 มก./วัน พบว่าเกิดอาการผื่นขึ้นคล้ายลมพิษ นอกจากนี้มีรายงานในคนเพศหญิง เมื่อรับประทานเมล็ดงาขนาด 10 ก./คน และสูดดม พบว่าเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง มีอาการหอบ จมูกอักเสบ และมีผื่นขึ้นคล้ายลมพิษ และมีรายงานว่าผู้ที่รับประทานเมล็ดงา  และเกิดอาการแพ้แบบ anaphylactic shock เนื่องจากสารในเมล็ดงาไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันชนิด non-IgE ผู้ป่วยอายุ 46 ปี เกิดอาการแพ้หลังจากการใช้น้ำมันงาในเยื่อหุ้มฟัน ทำให้เกิด anaphylactic shock ด้วยเช่นกัน มีรายงานในผู้ป่วยที่รับประทานอาหารที่มีงาเป็นส่วนผสม และเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง 10 ราย ผู้ป่วยทุกคนทำ skin prick test ต่องา และตรวจ IgE antibodies พบว่าได้ผล positive ทั้ง 2 ชนิด ทุกคน  และพบว่าสารที่ทำให้เกิดการแพ้อย่างรุนแรงในงาคือ 2S albumin
  • พิษต่อระบบสืบพันธุ์ สารสกัดเมล็ดด้วยบิวทานอล เอทานอล (95%) และน้ำ เมื่อป้อนให้กับหนูขาวเพศเมียขนาด 3.05 ก./กก. กรอกเข้าทางกระเพาะอาหาร พบว่าไม่มีผลต้านการฝังตัวของตัวอ่อน สารสกัดเมล็ดด้วยเอทานอล เมื่อป้อนให้กับหนูขาวที่ตั้งครรภ์ขนาด 200 มก./กก. กรอกเข้าทางกระเพาะอาหาร พบว่าไม่มีผลทำให้แท้ง และไม่มีผลต้านการฝังตัวของตัวอ่อน สารสกัดเมล็ดด้วยเอทานอล:น้ำ (1:1) เมื่อป้อนให้กับหนูขาวเพศเมียทางปากขนาด 200 มก./กก.  พบว่าไม่มีพิษต่อตัวอ่อน สารสกัดเมล็ดด้วยเบนซีนและปิโตรเลียมอีเทอร์  เมื่อป้อนให้กับหนูขาวที่ตั้งครรภ์ทางสายยางให้อาหารขนาด 150 มก./กก. พบว่าไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน น้ำมันจากเมล็ดงาเมื่อป้อนให้หนูที่ตั้งครรภ์ทางสายยางสู่กระเพาะอาหาร ในขนาด 4 มล./ตัว  โดยให้ในช่วงสัปดาห์ที่ 6-10 ของการตั้งครรภ์ พบว่าไม่มีผลทำให้เกิดความพิการของตัวอ่อน
  • พิษต่อเซลล์ สารสกัดทั้งต้นด้วยเอทานอล (90%) ขนาด 0.25 มก./มล. พบว่ามีพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวในคน (Lymphocytes Human) และสารสกัดเดิมเมื่อทำการทดสอบกับ Cells vero, Cell-CHO (Chinese Hamster Ovary) และเซลล์ Lymphoma Daltons
บันทึกการเข้า