โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease : GERD)โรคกรดไหลย้อนคืออะไร “
โรคกรดไหลย้อน” (Gastroesophageal reflux disease ,GERD) เป็นโรคที่เกิดจากการไหลย้อนของกรด (น้ำย่อย) ในกระเพาะกลับไปที่หลอดอาหาร ซึ่งโดยปกติร่างกายของเราจะมีการไหลย้อนของกรดในกระเพาะขึ้นไปในหลอดอาหารอยู่บ้าง โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารแม้กระนั้นคนที่เป็นโรคนี้จะมีจำนวนกรดที่ย้อนมากขึ้นหรือย้อนบ่อยมากกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรค หรือหลอดอาหารมีความไวประมือดมากขึ้นแม้ว่าจะมีจำนวนกรดที่ย้อนขึ้นไปไม่เกินกว่าปกติ ทำให้มีลักษณะระคายบริเวณคอ และก็แสบอกหรือจุกเสียดรอบๆใต้ลิ้นปี่ และก็มีลักษณะท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้ายๆกับลักษณะโรคกระเพาะ ทำให้คนส่วนใหญ่หลงผิดว่าเป็นโรคกระเพาะ แล้วก็ไปซื้อยาลดกรด (antacids) ที่มีขายตามท้องตลาดมารับประทานเพื่อทุเลาอาการ ซึ่งเป็นการรักษาที่ไม่ตรงจุด จึงพบว่าในขณะนี้มีคนไข้มาพบแพทย์ด้วยโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งถ้าหากปลดปล่อยให้เกิดอาการเรื้อรังและรักษาด้วยการใช้วิธีที่ผิดจะต้อง อาจส่งผลให้เกิดการเกิดหลอดของกินอักเสบ แผลที่หลอดอาหาร หรือหลอดของกินตีบ ซึ่งบางทีอาจเพิ่มการเสี่ยงสำหรับเพื่อการกำเนิดโรคมะเร็งหลอดของกินได้
นอกเหนือจากนี้ยังสามารถแบ่งประเภทและชนิดของโรคกรดไหลย้อนได้เป็น 2 ประเภท เป็น
- โรคกรดไหลย้อนปกติ หรือ CLASSIC GERD ซึ่งกรดที่ไหลย้อนขึ้นมาจะอยู่ด้านในหลอดของกิน ไม่ไหลย้อนเกินกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนบน ส่วนมากจะมีอาการของหลอดของกินเท่านั้น
- โรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอแล้วก็กล่องเสียง (Laryngopharyngeal Reflux : LPR) ซึ่งก็คือโรคที่มีอาการทางคอและกล่องเสียง ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการไหลย้อนกลับมาของกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารขึ้นมาเหนือกล้ามหูรูดของหลอดของกินส่วนบนอย่างเปลี่ยนไปจากปกติ กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดลักษณะของคอและกล่องเสียง จากการระคายเคืองของกรด
ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้ เป็นโรคที่เจอได้ราว 10-15% ของผู้ที่มีลักษณะอาการอาหารไม่ย่อย (Syspepsia) รวมทั้งพบได้มากในสตรีและก็ในเพศชาย โดยพบได้ใกล้เคียงกัน เป็นโรคที่พบได้ในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่ทารกไปจนถึงผู้สูงอายุ แต่พบอัตรากำเนิดสูงมากขึ้นในอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป รวมทั้งเจอได้สูงสุดในช่วงอายุ 60 - 70 ปีขึ้นไป มีกล่าวว่าประเทศแถมตะวันตกเจอโรคนี้ได้โดยประมาณ 10 - 20% ของประชาชนอย่างยิ่งจริงๆ
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนโรคกรดไหลย้อนมีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับความไม่ดีเหมือนปกติ ของแนวทางการทำหน้าที่ของกล้ามหูรูดที่อยู่ตรงด้านล่างของหลอดของกิน (lower esophageal sphincter, LES) ในคนธรรมดาขณะกลืนอาหารหูรูดนี้จะคลายตัวเพื่อเปิดช่องให้อาหารไหลผ่านเข้าสู่กระเพาะอาหาร เมื่ออาหารผ่านลงกระเพาะอาหารจนถึงหมดแล้วหูรูดนี้จะหดรัดเพื่อขัดขวางไม่ให้น้ำย่อย (ซึ่งเป็นกรดเกลือ) ที่อยู่ในกระเพาะไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหาร
แต่ว่าคนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน พบว่ากล้ามหูรูดตรงด้านล่างของหลอด อาหารนี้หย่อนสมรรถนะ ทำให้มีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดของกินมากยิ่งกว่าธรรมดา (คนทั่วๆไปหลังกินข้าวอาจมีน้ำย่อยไหลย้อนได้ 1-4 ครั้ง ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอาการ) ทำให้เกิดอาการแตกต่างจากปกติ รวมทั้งการอักเสบของเยื่อบุหลอด อาหารได้
ส่วนมูลเหตุที่ทำให้หูรูดดังที่กล่าวถึงมาแล้วดำเนินการไม่ปกติยังไม่เคยทราบกระจ่าง แต่ว่าเชื่อว่าอาจเกิดขึ้นจากความเสื่อมถอยตามอายุ (เจอในคนแก่กว่า 40 ปี) หรือหูรูดยังเจริญรุ่งเรืองไม่สุดกำลัง (พบในเด็กแบเบาะ) หรือมีความผิดธรรมดาที่เป็นมาโดยกำเนิด
นอกเหนือจากนี้พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน หรือโรคบางประเภทมีส่วนกระตุ้นลักษณะการทำงานของหลอดของกินให้กำเนิดความเปลี่ยนไปจากปกติได้ หรือทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดในจำนวนมากขึ้น ดังเช่นว่า เข้านอนหลังรับประทานอาหารโดยทันที ทานอาหารปริมาณมากภายในมื้อเดียว อยู่ในตอนท้อง พฤติกรรมต่างๆเหมือนอย่างที่ได้กล่าวมาเหล่านี้ล้วนนำมาซึ่งการก่อให้เกิดสภาวะกรดไหลย้อนได้ง่ายมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
ลักษณะของโรคกรดไหลย้อน ลักษณะของผู้ป่วยนั้นขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ถูกระคายเคืองโดยกรด ดังเช่น- อาการทางคอหอยและหลอดของกิน
- อาการปวดแสบร้อนบริเวณอก รวมทั้งลิ้นปี่ (Heartburn) ข้างหลังทานอาหาร 30-60 นาที หรือข้างหลังทานอาหารแล้วล้มตัวลงนอนราบ นั่งขดตัว โค้งตัวลงต่ำ รัดเข็มขัดแน่น หรือใส่กางเกงคับเอว มักมีอาการมากกว่า 2 ครั้งต่ออาทิตย์รวมทั้งอาการเป็นๆหายๆเรื้อรัง แต่ละครั้งมักปวดอยู่นาน 2 ชั่วโมงรวมทั้งบางทีอาจเจ็บปวดรวดร้าวไปที่รอบๆคอได้
- รู้สึกเหมือนมีก้อนอยู่ในคอ หรือแน่นคอ
- กลืนตรากตรำ กลืนเจ็บ หรือกลืนติดขัดเหมือนสะดุดสิ่งปลอมปนในคอ
- เจ็บคอ แสบคอหรือปาก หรือแสบลิ้นเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่งเช้า
- รู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดี หรือรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปาก (bile or acid regurgitation)
- มีเสมหะอยู่ในคอ หรือระคายคอตลอดเวลา
- เรอบ่อย อ้วก เหมือนมีอาหาร หรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาในอก หรือคอ
- รู้สึกจุกแน่นอยู่ในทรวงอก เหมือนของกินไม่ย่อย (dyspepsia)
- มีน้ำลายมากไม่ปกติ มีกลิ่นปาก เสียวฟัน หรือมีฟันผุได้
- อาการทางกล่องเสียง และก็หลอดลม
- เสียงแหบเรื้อรัง หรือ แหบเฉพาะตอนรุ่งเช้า หรือมีเสียงผิดปกติไปจากเดิม
- ไอเรื้อรัง โดยยิ่งไปกว่านั้นหลังรับประทานอาหารหรือขณะนอน
- ไอ หรือ รู้สึกสำลักน้ำลาย หรือหายใจไม่ออกในกลางคืน
- กระแอมไอบ่อย
- อาการหอบหืดที่เคยเป็นอยู่ (ถ้าหากมี) ห่วยลง ไหมดีขึ้นจากการใช้ยา
- เจ็บหน้าอก (non – cardiac chest pain)
- เป็นโรคปอดอักเสบ เป็นๆหายๆ
- อาการทางจมูก รวมทั้งหู
- คัน จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล หรือมีน้ำมูก หรือเสมหะไหลลงคอ
- หูอื้อเป็นๆหายๆหรือปวดหู
- บางรายอาจมาพบแพทย์ด้วยภาวะแทรกซ้อน เช่น มีลักษณะกลืนของกินแข็งทุกข์ยากลำบาก เนื่องมาจากปลดปล่อยให้เกิดภาวะหลอดของกินอักเสบเรื้อรังจนถึงตีบตัน
- ส่วนในเด็กแรกเกิดอาจเป็นโรคกรดไหลย้อนตั้งแต่แรกเกิดได้ ด้วยเหตุว่าหูรูดข้างล่างของหลอดของกินยังก้าวหน้าไม่สุดกำลัง เด็กแบเบาะก็เลยมักมีลักษณะอาการงอแง ร้องกวน อาเจียนบ่อย ไอหลายครั้งยามค่ำคืน เสียงแหบ หรือหายใจมีเสียงวี้ด เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวไม่ขึ้น เด็กอ่อนบางรายอาจสำลักน้ำย่อยเข้าปอดทำให้ปอดอักเสบ ซึ่งบางทีอาจกำเริบได้บ่อยมาก แม้กระนั้นอาการชอบหายไปเมื่ออายุได้ราว 6-12 เดือน แต่บางรายก็อาจคอยจนกระทั่งไปสู่วัยรุ่นอาการจึงจะดีขึ้น
วิธีการรักษาโรคกรดไหลย้อนแพทย์วินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนได้จาก ความเป็นมาอาการ การตรวจลำคอ การตรวจร่างกาย การตรวจภาพปอดด้วยเอกซเรย์แยกจากโรคปอดต่างๆการส่องกล้องตรวจกล่องเสียง หลอดของกิน กระเพาะ รวมทั้งลำไส้ รวมทั้งอาจตัดชิ้นเนื้อในรอบๆที่เปลี่ยนไปจากปกติเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อแยกจากโรคมะเร็งหลอดของกิน รวมทั้งอาจมีการตรวจแนวทางเฉพาะอื่นๆเพิ่ม ได้แก่ ตรวจวัดภาวการณ์ความเป็นกรดของหลอดอาหารในขณะส่องกล้อง ทั้งนี้สังกัดดุลยพินิจของแพทย์ ดังเช่น การเอกซเรย์กลืนสารทึบแสงสว่าง, การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์, การตรวจการบีบตัวของหลอดของกิน เป็นต้น
แม้กระนั้นโดยส่วนมากแล้ว หมอชอบวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนจากอาการแสดงก็เพียงพอต่อการตัดสินโรคแล้ว ซึ่งอาการแสดงที่พบได้มาก ยกตัวอย่างเช่น อาการแสบลิ้นปี่ จุกแน่นยอดอก รวมทั้งเรอเปรี้ยวข้างหลังกินอาหารที่เป็นตัวกระตุ้น หรือมีความประพฤติปฏิบัติที่เป็นเหตุกำเริบ แม้กระนั้นในรายที่ไม่ชัดแจ้งบางทีอาจต้องกระทำตรวจพิเศษ (ซึ่งเจอได้นานๆครั้ง)
กรรมวิธีการรักษาโรคกรดไหลย้อน- การปรับเปลี่ยนนิสัย แล้วก็การดำเนินชีวิตประจำวัน (lifestyle modification) การรักษาวิธีการแบบนี้มีความสำคัญที่สุดสำหรับการทำให้คนป่วยมีลักษณะอาการน้อยลง คุ้มครองป้องกันไม่ให้เกิดอาการ และลดการกลับเป็นซ้ำ โดยลดจำนวนกรดในกระเพาะ และป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนกลับขึ้นไปที่ หลอดอาหาร คอรวมทั้งกล่องเสียงเยอะขึ้นเรื่อยๆ เนื่องด้วยโรคนี้ไม่สามารถที่จะรักษาให้หายสนิท (เว้นเสียแต่จะผ่าตัดปรับปรุงแก้ไข) การดูแลรักษาแนวทางลักษณะนี้ควรปฏิบัติไปตลอดชีวิต เนื่องจากเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ หากว่าผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการดียิ่งขึ้น หรือหายก็ดีแล้วโดยไม่ต้องกินยาและก็ตาม ผู้ป่วยควรปฏิบัติตนดังนี้
ควรอุตสาหะลดน้ำหนัก
พยายามเลี่ยงความตึงเครียด
หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่คับหรือรัดแน่นเกินไป
ถ้าหากมีลักษณะอาการท้องผูก ควรจะรักษา รวมทั้งหลบหลีกการเบ่ง
ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ภายหลังรับประทานอาหารทันที พากเพียรหลบหลีกการนอนราบ
หลีกเลี่ยงการทานอาหารมื้อมืดค่ำ
รับประทานอาหารปริมาณพอดีในแต่ละมื้อ
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มบางจำพวก ตัวอย่างเช่น กาแฟ น้ำอัดลม
ถ้าหากจะนอนหลังรับประทานอาหาร ควรจะรอราว 3 ชั่วโมง
- การรักษาด้วยยา กรณีที่เปลี่ยนแปลงการกระทำแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น จำเป็นที่จะต้องใช้ยาร่วมด้วย ควรกินยาตามที่ได้กำหนดอย่างเคร่งครัด และก็ถ้ามีข้อสงสัยควรจะขอคำแนะนำแพทย์หรือเภสัชกร
ปัจจุบันยาที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หมายถึงยาลดกรดในกลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊ม (Proton pump inhibitors) อย่างเช่น โอเมพราโซล (omeprazole)ขนาด 20 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งมีคุณภาพสูงมากมายในการคุ้มครองลักษณะโรคกรดไหลย้อน โดยให้กินยาติดต่อกันตรงเวลา 6 - 8อาทิตย์ หรืออาจต้องใช้ยาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานหลายเดือนขึ้นอยู่กับผู้เจ็บป่วยแต่ละราย อย่างเช่นกรณีที่เป็นมากหรือมีอาการมานาน ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีการปรับการกินยาเป็นระยะๆตามอาการที่มี หรือกินอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
บางครั้งบางคราวอาจใช้ยาเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารร่วมด้วย เช่น เมโทโคลพราไมด์ (metoclo-pramide) ขนาด 10 มิลลิกรัม 1 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ซึ่งยานี้ควรกินก่อนที่จะรับประทานอาหารโดยประมาณ 30 นาที
- การผ่าตัด เพื่อเป็นการป้องกันและไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่ หลอดอาหาร คอรวมทั้งกล่องเสียง การรักษาแนวทางแบบนี้จะทำใน
คนไข้ที่มีลักษณะรุนแรง ซึ่งให้การรักษาโดยการใช้ยาอย่างมากแล้วไม่ดีขึ้น
ผู้เจ็บป่วยที่ไม่สามารถที่จะกินยาที่ใช้สำหรับการรักษาภาวการณ์นี้ได้
คนเจ็บที่ดียิ่งขึ้นภายหลังการใช้ยา แต่ไม่ต้องการที่จะรับประทานยาต่อ
คนเจ็บที่กลับกลายซ้ำบ่อยครั้งหลังหยุดยา
ทั้งนี้ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดมีเพียงแค่ปริมาณร้อยละ 10 เพียงแค่นั้น การดูแลรักษาโดยการผ่าตัดมีหลายวิธี อย่างเช่น endoscopic fundoplication, radiofrequency therapy, injection / implantation therapy ฯลฯ
ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคกรดไหลย้อน- อายุ ยิ่งสูงขึ้น จังหวะเกิดโรคนี้ยิ่งสูงมากขึ้น
- การกินอาหารแต่ละมื้อในปริมาณสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรับประทานมื้อเย็นก่อนนอน ด้วยเหตุว่าจำนวนอาหารยังค้างอยู่ในกระเพาะ และการนอนราบยังเพิ่มแรงกดดันในกระเพาะอาหาร อาหารและก็กรดจึงไหลถอยกลับเข้าหลอดของกินได้ง่าย
- การกินอิ่มมากไป (รับประทานอาหารมื้อใหญ่หรือจำนวนมาก)กระตุ้นให้มีน้ำย่อยหลั่งออกมามาก ประกอบกับการขยายตัวของกระเพาะอาหารทำให้หูรูดคลายตัวมากยิ่งขึ้น
- การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน (ได้แก่ กาแฟ ยาชูกำลัง) เว้นแต่กระตุ้นให้หลั่งกรดในกระเพาะมากเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเสริมให้หูรูดคลายตัวอีกด้วย
- การกินอาหารที่ไขมันสูง ข้าวผัด ของทอดแล้วก็อาหารผัดน้ำมัน ทำให้กระเพาะอาหารขยับเขยื้อนช้าลง ทำให้ได้โอกาสเกิดกรดไหลย้อนได้มากขึ้น
- โรคหืด เชื่อว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการไอและก็หอบ ทำให้เพิ่มแรงดันในท้อง ทำให้กรดไหลย้อน
- การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาร์บอเนต (น้ำอัดลม) การกินอาหารเผ็ดจัด หัวหอม กระเทียม ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ น้ำองุ่น น้ำผลไม้เปรี้ยว (ได้แก่ น้ำส้มคั้น) ผลไม้เปรี้ยว ช็อกโกแลต หรือสะระแหน่ การใช้ยาบางประเภท (เป็นต้นว่า ยาขยายหลอดลม ยาแอนติโคลิเนอร์จิก ยาลดระดับความดันกรุ๊ปกีดกันเบตารวมทั้งกรุ๊ปต่อต้านแคลเซียม ยาใช้ภายนอกงจิตประสาท ฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน เป็นต้น) จะเสริมให้หูรูดคลายตัว หรือมีกรดหลั่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ
- แผลเพ็ปติก รวมทั้งการใช้ยากลุ่มอนุพันธ์ฝิ่น ทำให้อาหารขับเคลื่อนลงสู่ไส้ช้าลง ทำให้มีกรดไหลย้อนได้
- โรคอ้วน เพราะจะมีผลให้มีความดันในช่องท้องสูงขึ้น ความดันในกระเพาะก็เลยสูงมากขึ้นตามไปด้วย
- การตั้งครรภ์ เพราะจะเป็นการเพิ่มระดับความดันในกระเพาะอาหารจากครรภ์ที่ใหญ่ขึ้น
- โรคเบาหวาน เมื่อเป็นโรคนี้นานๆจะมีการเสื่อมของประสาทกระเพาะ ทำให้กระเพาะเคลื่อนช้า ก็เลยส่งผลให้เกิดกรดไหลย้อนได้
- ความเครียด เพราะว่าความตึงเครียดมีส่วนทำให้หลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มมากขึ้น
- การมีโรคไส้เลื่อนกะบังลม (Hiatal hernia, Diaphragmatic hernia ซึ่งมีกระเพาะอาหารบางส่วนไหลเลื่อนลงไปที่กะบังลม) ขนาดใหญ่ ทำให้หูรูดอ่อนแอเยอะขึ้น
การติดต่อของโรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อนมีเหตุมาจากความผิดแปลกของกล้ามเนื้อหูรูดส่วนล่างของหลอดของกิน ทำให้มีกรด (น้ำย่อย) จากกระเพาะไหลถอยกลับขึ้นไปที่หลอดอาหารรวมทั้งมีการอักเสบและอาการต่างๆตามมา ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้มิได้เป็นโรคติดต่อ เพราะเหตุว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยด้วยโรคกรดไหลย้อน- กินยาให้ครบบริบรูณ์รวมทั้งต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์
- สังเกตว่าบริโภคสิ่งใดบ้างที่ทำให้อาการเกิดขึ้นอีก แล้วบากบั่นหลบหลีก ดังเช่นว่า ของกินมัน (รวมทั้งข้าวผัด ของทอด ของผัดที่อมน้ำมัน) ของกินเผ็ดจัด หัวหอม กระเทียม แอลกอฮอล์ บุหรี่ ชา กาแฟ เครื่องดื่มผสมกาเฟอีน น้ำอัดลม น้ำผลไม้เปรี้ยว ผลไม้เปรี้ยว ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ ช็อกโกแลต ยาบางประเภท
- หลบหลีกการกินอาหารจำนวนมาก (หรืออิ่มจัด) และก็หลบหลีกการดื่มน้ำมากมายๆระหว่างรับประทานอาหาร ควรทานอาหารมื้อเย็นในปริมาณ น้อย รวมทั้งขาดช่วงห่างจากเวลาเข้านอนอย่างต่ำ 3 ชั่วโมง
- หลังรับประทานอาหารควรปลดเข็มขัดและก็ตะขอกางเกงให้หลวม ไม่ควรนอนราบหรือนั่งขดตัว โค้งตัวลงต่ำ ควรนั่งหลังตรง ยืน หรือให้รู้สึกสบายท้อง หลบหลีกการชูของหนักรวมทั้งการออกกำลังกายหลังอาหารใหม่ๆ
- หมั่นบริหารร่างกายแล้วก็ความเครียดลดลง เนื่องเพราะความเคร่งเครียดมีส่วนทำให้หลั่งกรดเยอะขึ้น ทำให้อาการแย่ลงได้
- ถ้าน้ำหนักเกินหรืออ้วน ควรหาทางลดความอ้วน
- ถ้าเกิดมีอาการกำเริบเสิบสานตอนนอน หรือตื่นเช้าตรู่ มีอาการเจ็บคอ เจ็บลิ้น เสียงแหบ ไอ ควรหนุนศีรษะสูง 6-10 นิ้ว โดยการหนุนขาเตียงด้านหัวให้สูง หรือใช้วัสดุอุปกรณ์พิเศษ (bed wedge pillow) สอดใต้ที่นอนให้เอียงลาดจากหัวลงมาถึงระดับเอว หรือใช้เตียงที่มีกลไกปรับหัวเตียงให้สูงได้ ไม่ชี้แนะให้ใช้แนวทางหนุนหมอนหลายใบให้สูง เนื่องจากอาจจะเป็นผลให้ท้องโค้งงอ ทำให้ความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดันให้น้ำย่อยไหลย้อนได้
- งดเว้น/เลิก ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
- ควบคุมรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ/สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง
- เจอแพทย์ตามนัดหมายเสมอ แล้วก็รีบเจอหมอก่อนนัดเมื่ออาการต่างๆชั่วโคตรลงหรือไม่ถูกไปจากเดิม
การปกป้องตนเองจากโรคกรดไหลย้อน การคุ้มครองโรคกรดไหลย้อนนั้นตัวเราเองเป็นส่วนสำคัญที่จะสามารถคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคได้ โดยการปรับเปลี่ยนความประพฤติการดำเนินชีวิตของพวกเรา ดังเช่น
- เลือกทานอาหารรวมทั้งเสี่ยงทานอาหารโดยของกินที่พึงหลีกเลี่ยง ยกตัวอย่างเช่น
ชา กาแฟ และน้ำอัดลมทุกชนิด
อาหารทอด อาหารไขมันสูง
ของกินรสจัด รสเผ็ด
ผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม มะนาว มะเขือเทศ
หอมหัวใหญ่ สะระแหน่ เปปเปอร์มิ้นต์
ช็อกโกแลต
- กินอาหารมื้อเล็กๆพออิ่ม การกินอิ่มเกินความจำเป็นจะทำให้หูรูดหลอดอาหารเปิดง่ายดายมากยิ่งขึ้นและก็กระตุ้นให้เกิดการย้อนของกรดง่ายมากยิ่งขึ้น
- ไม่ควรเข้านอนหรือเอนกายหลังอาหารในทันที หลังรับประทานอาหารเสร็จควรจะรอคอยขั้นต่ำ 3 ชั่วโมงจึงเอนตัวนอน เพื่อของกินเคลื่อนตัวออกจากกระเพาะซะก่อน
- งดบุหรี่รวมทั้งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สารนิโคตินในบุหรี่เพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะรวมทั้งทำให้หูรูดอ่อนแด ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮล์ทำให้หูรูดเปิดออกได้เช่นกัน
- ลดแรงกดต่อกระเพาะอาหาร เสื้อผ้าและสายรัดเอวที่รัดแน่นบริเวณฝาผนังพุง การก้มตัวไปด้านหน้า น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน ล้วนเป็นสาเหตุที่เพิ่มแรงกดต่อกระเพาะอาหารรวมทั้งทำให้กรดไหลถอยกลับ
- ความเครียดลดลง ความตึงเครียดที่มากเกินไปจะทำให้อาการไม่ดีขึ้น จำเป็นจะต้องหาเวลาพักผ่อนและก็บริหารร่างกายให้สมดุลกับตารางชีวิต
- รักษาโรคประจำตัวที่เป็นเหตุที่จะนำไปสู่โรคกรดไหลย้อน เป็นต้นว่า โรคเบาหวาน โรคหืด โรคอ้วน แผลเท็ปติเตียนก ฯลฯ
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้อง / รักษาโรคกรดไหลย้อนยอ ชื่อวิทยาศาสตร์ Morinda citrifolia สกุล Rubiaceae มีรายงานการวิจัยในหนู พบว่า “ยอ” ซึ่งมีสารสำคัญเป็นสโคโปเลว่ากล่าวน (scopoletin) เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยนั้น สามารถลดการอักเสบของหลอดของกินจากการไหลย้อนของกรดได้ประสิทธิภาพที่ดี เท่ากับยามาตรฐานที่ใช้สำหรับในการรักษากรดไหลย้อน คือ รานิติดีน (ranitidine) รวมทั้งแลนโสพราโซล (lansoprazole) เพราะว่ามีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ต้านการหลั่งของกรด ต่อต้านการเกิดแผล และก็ทำให้การบีบตัวของระบบทางเดินอาหาร โดยมีผลต่อระบบประสาทที่เกี่ยวเนื่องโดยตรง รวมทั้งยังมีรายงานว่าสามารถเพิ่มการดูดซึมของรานิติดีน “ยอ” ก็เลยเหมาะสมสำหรับเพื่อการเป็นสมุนไพรสำหรับรักษาอาการกรดไหลย้อนเป็นอย่างยิ่ง จากการค้นคว้าข้างต้น และก็การที่ “ยอ” มีรสร้อน ช่วยย่อยอาหาร ทำให้อาหารไม่ตกค้าง ไม่เกิดลมในกระเพาะ ลดการเกิดแรงดันที่ทำให้กรดไหลย้อน “ยอ” ยังช่วยให้กระเพาะบีบเคลื่อนก้าวหน้าขึ้น ทำให้ของกินเขยื้อนจากกระเพาะไปสู่ลำไส้เล็กได้ดีขึ้น
ดังนี้สมุนไพรที่บางทีอาจใช้ด้วยกัน คือ ขมิ้นชัน เหตุเพราะขมิ้นชันมีคุณประโยชน์ในการรักษาอาการท้องอืด รวมทั้งช่วยขับน้ำดีเพื่อย่อยไขมัน ทำให้ของกินไม่หลงเหลือในกระเพาะ และลำไส้เล็กนานเหลือเกิน อีกทั้งช่วยรักษาแผลในกระเพาะได้อีกด้วย มีผู้แนะนำให้รับประทานขมิ้นชันก่อนกินอาหาร 1-2 ชั่วโมง ตอนเช้า ช่วงกลางวัน เย็น รวมทั้งก่อนนอน ขนาดกินเป็น ทีละ 1 ช้อนชาสำหรับแบบผง หรือ 3 เม็ดๆละ 500 มิลลิกรัม
ขมิ้น ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma longa L. วงศ์ Zingiberaceae ชื่อพ้อง C. domestica Valeton ชื่ออื่นๆ ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอกเย้า ขมิ้นหัว ขมิ้นชัน ขี้มิ้น หมิ้น ตายอ สะยอ Turmeric สารออกฤทธิ์ curcumin, ar-turmerone curcumin จากขมิ้นลดการอักเสบจากบาดแผลเจริญ การทดลองในหลอดทดสอบ โดยใช้สารสกัดขมิ้น 160 มิลลิกรัม/กก. กรอกเข้าทางกระเพาะอาหาร (intragastric) ของหนูขาว ยั้งการอักเสบคิดเป็น 29.5% curcumin มีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบที่เกิดขึ้นมาจากการเหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนน การทดลองเปรียบระหว่าง phenylbutazone กับ sodium curcuminate 30 มก./กก. พบว่าได้ผลดี แต่ถ้าเกิดสูงขึ้นเป็น 60 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบจะลดลง และก็ sodium curcuminate ยังสามารถยับยั้งการบีบตัวของไส้หนูในหลอดทดลองที่รั้งนำจากนิโคติน อะซีตำหนิลโคลีน 5-hydroxy-tryptamine ฮีสตามีนรวมทั้งแบเรียมคลอไรด์ นอกเหนือจากนี้ sodium curcuminate ยังลดจังหวะการบีบรัดตัวของลำไส้เล็กของกระต่าย โดยไปลดระยะห่างของจังหวะการบีบรัดตัวของไส้
ขมิ้นสามารถต้านทานการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร โดยกระตุ้นการหลั่งมิวซินมาเคลือบแล้วก็ยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยต่างๆสารสำคัญสำหรับการออกฤทธิ์คือ curcumin ในขนาด 50 มก./กิโลกรัม สามารถกระตุ้นการหลั่งมิวสินออกมาเคลือบกระเพาะ แต่ว่าถ้าหากใช้ในขนาดสูงอาจจะเป็นผลให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้
มีการทดลองในกระต่ายเปรียบเทียบกับกลุ่มที่มีการหลั่งกรดมากมาย พบว่าผงขมิ้นไม่เปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำย่อยรวมทั้งกรดในกระเพาะอาหาร แม้กระนั้นเพิ่มส่วนประกอบของไม่วซิน
ย่านาง หรือใบย่านาง มีชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Tiliacora triandra (Colebr.) Diels มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Bamboo grass อยู่ในวงศ์ Menispermaceae ใบของย่านาง คือเป็นส่วนที่มีสาระแล้วก็ถูกนำมาใช้สำหรับเพื่อการรักษาโรคมากที่สุด เพราะเหตุว่าเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น แล้วก็มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง นอกเหนือจากนี้ถูกจัดไว้ในตำราสมุนไพรว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากใบย่านางในการรักษาโรคมีดังนี้
ระบบทางเดินอาหาร -ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร ไส้อักเสบ -ช่วยลดอาการหดเกร็งตามลำไส้ -ช่วยรักษาอาการกรดไหลย้อน
รักษารวมทั้งป้องกันโรคภัยต่างๆ-ช่วยรักษาโรคความดันเลือดสูง -ช่วยคุ้มครองแล้วก็บำบัดการเกิดโรคหัวใจ -ช่วยคุ้มครองป้องกันรวมทั้งลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งได้ -ช่วยรักษาลักษณะของโรคโรคเบาหวาน โดยไปลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ต่ำลง
ระบบผิวหนัง -ช่วยสำหรับในการรักษาโรคเริม งูสวัด -ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
ระบบสืบพันธุ์และก็ฟุตบาทเยี่ยว -ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี -ช่วยรักษาอาการปัสสาวะแสบขัด ออกร้อนในทางเท้าปัสสาวะ
ขึ้นฉ่าย (Apium graveolens L.) ช่วยบำรุงระบบการทำงานด้านการย่อยอาหารภายในร่างกายและช่วยลดลักษณะของโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ซึ่งรวมทั้งโรคกรดไหลย้อน
เอกสารอ้างอิง- Rao TS, Basu N, Siddiqui HH. Anti-inflammatory activity of curcumin analogs. Indian J Med Res 1982;75:574-8.
- รศ.ดร.สุจิตรา ทองประดิษฐ์โชติ.เกิร์ด (GERD)-โรคกรดไหลย้อน.ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคกรดไหลย้อน/เกิร์ด (Gastroesophageal reflux disease/GERD)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 533-536.
- โรคกรดไหลย้อน.ความรู้สู่ประชาชน.สมาคมประสาททางเดินอาหารและการเคลื่อนไหว(ไทย)
- Nutakul W. NMR analysi