รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: ตะไค้ร้สามารถนำมาทำเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้เป็นอย่างดี  (อ่าน 531 ครั้ง)

กาลครั้งหนึ่ง2560

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 120
    • ดูรายละเอียด

ตะไคร้
ชื่อสมุนไพร ตะไคร้
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อแคว้น จักไคร (ภาคเหนือ) , คาหอม (ไทใหญ่แม่ฮ่องสอน) , ไคร (ภาคใต้) , สิงไคร , หัวสิงไคร (อีสาน) , ห่อวอตะโป่ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน) , เชิดเกรย , เหลอะเกรย (เขมร)
ชื่อสามัญ Lemon grass, West Indian lemongrass , Sweet rush
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf
วงศ์   GRAMINEAE
ถิ่นเกิด ตะไคร้เป็นพืชสมุนไพรที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยเรามาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะตะไคร้เป็นพืชที่มีบ้านเกิดในแถบเขตร้อนของทวีปเอเชีย เป็นต้นว่า ไทย , พม่า , ลาว , มาเลเซีย , อินโดนีเซีย , ประเทศอินเดียว , ศรีลังกา เป็นต้นแล้วก็ยังสามารถพบได้ในประเทศเขตร้อนบางประเทศในแถบอเมริกาใต้ เหมือนกัน โดยปกติ ตะไคร้จัดเป็นไม้ล้มลุกเครือญาติต้นหญ้าและสามารถแบ่งได้เป็น 6 ชนิด ดังเช่นว่า ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และก็ตะไคร้หางสิงห์
ลักษณะทั่วไป ตะไคร้ เป็นพืชล้มลุกสกุลเดียวกับหญ้า มักมีอายุมากกว่า 1 ปี (ขึ้นอยู่กับต้นเหตุทางสิ่งแวดล้อม)ลำต้นตะไคร้มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง ทรงกระบอก มีความสูงได้ถึง 1 เมตร (รวมถึงใบ) ส่วนของลำต้นที่พวกเรามองเห็นจะเป็นส่วนของกาบใบที่ออกเรียงช้อนกันแน่น โคนต้นมีลักษณะกาบใบห่อหุ้มดก ผิวเรียบ และก็มีขนอ่อนปกคลุม ส่วนโคนมีรูปร่างอ้วน มีสีม่วงอ่อนเล็กน้อย และเบาๆเรียวเล็กลงแปลงเป็นส่วนของใบ แกนกลางเป็นบ้องแข็ง ส่วนนี้สูงราวๆ 20-30 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน แล้วก็จำพวก รวมทั้งเป็นส่วนที่นำมาใช้สำหรับปรุงอาหาร ใบตะไคร้มี 3 ส่วน คือ ก้านใบ (ส่วนลำต้นที่กล่าวข้างต้น) หูใบ (ส่วนต่อระหว่างกาบใบ รวมทั้งใบ) และก็ใบ  ใบตะไคร้ เป็นใบผู้เดียว มีสีเขียว มีลักษณะเรียวยาว ปลายใบโค้งทางลงดิน โคนใบเชื่อมต่อกับหูใบ ใบมีรูปขอบขนาน ผิวใบสากมือ และมีขนปกคลุม ปลายใบแหลม ขอบของใบเรียบ แต่ว่าคม กึ่งกลางใบมีเส้นกึ่งกลางเรือใบแข็ง สีขาวอมเทา มองเห็นต่างกับแผ่นใบแน่ชัด ใบกว้างราว 2 เซนติเมตร ยาว 60-80 เซนติเมตร  ตะไคร้เป็นพืชที่มีดอกยาก จึงไม่ค่อยพบเห็น ดอกตะไคร้ดอกจะมีดอกเป็นช่อกระจัดกระจาย มีก้านช่อดอกยาว แล้วก็มีก้านช่อดอกย่อยเรียงเป็นคู่ๆในแต่ละคู่จะมีใบแต่งแต้มรองรับ มีกลิ่นหอมหวน ดอกมีขนาดใหญ่เหมือนดอกอ้อ
การขยายพันธุ์ ตะไคร้สามารถแพร่พันธุ์ได้ด้วย การปักชำต้นเหง้า โดยตัดใบออกให้เหลือตอนโคนประมาณหนึ่งคืบ นำมาปักชำไว้สักหนึ่งสัปดาห์ก็จะมีรากงอกออกมา แล้วก็ค่อยนำไปลงแปลงดินที่จัดแจงไว้  สำหรับวิธีการปลูกตะไคร้มีดังนี้

  • การเตรียมดิน ตะไคร้ชอบดินร่วนซุย ให้ไถพลิกดินและก็ไถลูกพรวนลึกประมาณ 0.5 เมตร แล้วทำหลุม แต่ละหลุมห่างกันราวๆ 0.5 เมตร
  • ลงต้นประเภทหลุมละ 3 ต้น กลบดินให้พอมิดรากตะไคร้ราวๆ 10 ซม.
  • ตอนแรกรดน้ำทุกวัน แม้กระนั้นระวังอย่าให้น้ำเข้าไส้ตะไคร้เวลารดน้ำให้รดคราวโคนต้นตะไคร้เพียงแค่นั้น มิฉะนั้นต้นตะไคร้จะเน่าห้ามใช้สปริงเกอร์เด็ดขาดต้องให้น้ำที่โคนเท่านั้น
  • ในช่วง 3 วันแรกที่ปลูกให้พรางแสงอาทิตย์ให้ตะไคร้ด้วย ภายหลังตะไคร้ปรับพฤติกรรมได้แล้วให้เอาวัสดุปิดบังแสงสว่างออกเนื่องจากว่าธรรมชาติของตะไคร้ถูกใจแดด และเจริญวัยก้าวหน้าในที่ที่มีแสงสว่างแรง
  • เมื่อผ่านไป 1 เดือนตะไคร้จะเริ่มตั้งกอ ให้สังเกตที่ต้น ถ้าเกิดต้นเจริญวัยดี ลำต้นจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5-2 เซนติเมตรก็สามารถตัดไปใช้หรือขายได้ การตัดตะไคร้ให้ตัดติดกก แม้กระนั้นอย่าให้สั่นสะเทือนรากที่อยู่ในดินเนื่องจากตะไคร้สามารถแตกขึ้นมาตั้งกอได้อีก ไม่ต้องไปหาต้นพันธุ์มาปลูกใหม่แทน
  • เมื่อตัดควรตัดให้หมดกอ เพื่อต้นตะไคร้ที่แตกใหม่จะได้เติบโตได้เต็มที่
  • หลัง จากตัดแล้วตะไคร้จะตั้งกอใหม่ภายในระยะเวลา 1-2 เดือนเมื่อตะไคร้โตเต็มที่รวมทั้งสามารถตัดได้อีกเรื่อยไปจนกว่าต้นจะโทรม หรือ ตะไคร้ไม่แตกขึ้นมาอีก


ตะไคร้ชอบดินร่วนซุย แต่ว่าก็สามารถก้าวหน้าได้ในดินเกือบทุกจำพวกเป็นพืชที่ดูแลไม่ยากถูกใจน้ำชอบแดดจ้า เป็นพืชทนแล้งเจริญ รวมทั้งเป็นพืชที่มีโรคน้อย ศัตรูพืชก็ไม่ค่อยมี (คงจะเกิดจากการที่ตะไคร้มีน้ำมันหอมระเหยในทุกๆส่วนจึงสามารถคุ้มครองปกป้องจากแมลงต่างๆได้)
ส่วนประกอบทางเคมี
เจอสาร  citral 80% ยิ่งกว่านั้นยังพบ trans – isocitral , geranial, nerol, geraniol, myrcene, limonene, eugenol, linalool, menthol, nerolidol, camphor, farnesol, citronellol,
ที่มา : wikipedia
citronellal, farnesol , caryophyllene oxide ส่วนในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ลดการบีบตัวของไส้ คือ menthol, cineole, camphor แล้วก็ linalool ก็เลยลดอาการแน่นจุกเสียด  และก็ช่วยขับลม  นอกจากนั้นมี citral, citronellol, geraneol และ cineole มีฤทธิ์ยั้งการเติบโตของแบคทีเรียอย่างเช่น E. coli   ส่วนค่าทางโภชนาการของตะไคร้มีดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้ ( 100 กรัม)

  • พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่
  • โปรตีน 1.2 กรัม
  • ไขมัน 2.1 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม
  • เส้นใย 4.2 กรัม
  • แคลเซียม 35 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 2.6 มิลลิกรัม
  • วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม
  • ไทอามีน 0.05 มิลลิกรัม
  • ไรโบฟลาวิน 0.02 มก.
  • ไนอาซิน 2.2 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 1 มก.
  • ขี้เถ้า 1.4 กรัม


ที่มา: กองโภชนาการ (2544)
คุณประโยชน์ / สรรพคุณ ใช้ส่วนของเหง้า ลำต้นและก็ใบของตะไคร้ เป็นส่วนประกอบของของกินที่สำคัญหลายประเภทอาทิเช่น ต้มยำ และก็ของกินไทยหลากหลายประเภท และใช้เป็นเครื่องเทศประกอบอาหารสำหรับขจัดกลิ่นคาว ช่วยให้อาหารมีกลิ่นหอม และก็ปรับปรุงรสให้น่าอร่อยมากยิ่งขึ้น สามารถนำมาใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้ น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้หิวได้เป็นอย่างดี  สามารถนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง อย่างเช่น เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม นำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เป็นต้น
น้ำมันตะไคร้ (น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากการสกัดตะไคร้)
– ใช้เป็นส่วนผสมของน้ำหอม
– ใช้เป็นส่วนผสมสำหรับทำสบู่ แชมพูสระผม
– ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องแต่งหน้า
– ใช้ทานวด แก้เมื่อย
– ใช้ทาลำตัว แขน ขา เพื่อคุ้มครอง ยุง และแมลง
– ใช้เป็นส่วนประกอบของสารป้องกัน และกำจัดแมลง
ส่วนสรรพคุณของทางยาของตะไคร้นั้นมีดังนี้
ตำรายาไทย: ต้น รสหอมปร่า ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด  แก้อาการเกร็ง ขับเหงื่อ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ แก้อาการขัดเบา แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ทำให้เจริญอาหาร ลดความดันเลือด เหง้า แก้ไม่อยากกินอาหาร บำรุงไฟธาตุ แก้กระษัย ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้เยี่ยวขัด แก้ปัสสาวะทุพพลภาพ แก้นิ่ว เป็นยารักษาโรคเกลื้อน แก้ไข้หวัด ขับรอบเดือน ขับระดูขาว ใช้ด้านนอกทาแก้อาการปวดบวมตามข้อ
           หนังสือเรียนยาประจำถิ่นอีสาน : ใช้ทั้งยังต้น ลดไข้ โดยนำมาต้มจนถึงเดือดประมาณ 10 นาที ชูลงดื่มทีละครึ่งแก้วสามเวลา ใช้ข้างนอกรักษาโรคผิวหนังโดยต้มกับน้ำรวมทั้งนำมาอาบ
           ตำรับยาสมุนไพรล้านนา: ใช้รักษาอาการบวมในเด็ก วัยกลางคน รวมทั้งคนสูงอายุ โดยในตำรับประกอบด้วยตะไคร้ และก็สมุนไพรอื่นอีก 13 ชนิด นำไปต้มอาบ
           ทางสุคนธบำบัดน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้บ้าน ช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัว เบิกบานใจ ทำให้กระปรี้กระเปร่า เครียดลดลง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยสำหรับในการย่อยของกิน ช่วยเจริญอาหาร บรรเทาอาการปวดโรคข้ออักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ
ส่วนสรรพคุณทางการแพทย์แผนปัจจุบันที่ได้มีการวิจัยทางคลินิกผลปรากฏว่า น้ำยาบ้วนปากจากตะไคร้สามารถช่วยลดกลิ่นปากที่เกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิดลงได้รวมทั้งพบว่ามีความปลอดภัยจากการใช้งานในกลุ่มผู้ถูกทดลอง ถึงแม้ยังคงจะต้องมีการปรับแก้กลิ่นแรงและรสชาติจากตะไคร้เพิ่มเติมอีกต่อไป และในน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากตะไคร้มีอัตราการดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยโรคเกลื้อนอยู่ที่ประมาณ 60% ขณะที่ตัวยาคีโตโคนาโซลมีประสิทธิผลทางการรักษาสูงขึ้นมากยิ่งกว่าเป็นอยู่ที่ 80%  แล้วก็มีการทดสอบสมรรถนะของตะไคร้ด้วยการทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันตะไคร้ลงบนแขนของผู้อาสาสมัครทดลอง แล้วให้ผู้ทดลองอยู่ในบริเวณที่มีตัวริ้นจำพวก Culicoides Pachymerus อยู่อย่างชุม โดยทดสอบบ่อยๆ10 ครั้ง เพื่อทดลองประสิทธิผลทางการคุ้มครองข้างใน 3-6 ชั่วโมง ผลของการทดลองพบว่า โลชั่นที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีประสิทธิผลทางการป้องกันภัยริ้นประเภทนี้ได้สูงสุดถึงราว 5 ชั่วโมง  ส่วนการทดลองถึงประสิทธิภาพของตะไคร้ในการปกป้องยุงก้นปล่องสายพันธุ์ Anopheles Arabiensis ในอาสาสมัครทดสอบเพศชาย 3 คน พบว่ายากันยุงที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีคุณภาพในการคุ้มครองปกป้องยุงได้ช้านานที่โดยประมาณ 3 ชั่วโมง  ส่วนในหัวข้อการกำจัดรังแคนั้น มีงานทดลองหนึ่งในไทยที่นำเอาน้ำมันสกัดจากตะไคร้มาเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์น้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่น 5, 10 และ 15% โดยมีอาสาสมัครทดสอบเป็นคนไทยในวัย 20-60 ปี จำนวน 30 คน ผลของการทดลองพบว่า สินค้าน้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่นตะไคร้มีประสิทธิผลต่อการลดจำนวนรังแคลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยยิ่งไปกว่านั้นในสินค้าที่มีส่วนผสมของตะไคร้ 10%
แบบ/ขนาดวิธีการใช้
ใช้รักษาอาการขัดเบา    เหง้าและก็ลำต้นสด   หรือแห้ง  1  กำมือ  หรือน้ำหนักสด  40-60  กรัม  แห้ง  20-30  กรัม  ตีต้มกับน้ำพอควร  แบ่งดื่ม  3  ครั้งๆละ  1  ถ้วยชา (75  ไม่ลิลิตร) ก่อนที่จะรับประทานอาหาร  หรือจะหั่นตะไคร้  คั่วด้วยไฟอ่อนๆพอเหลือง  ชงด้วยน้ำเดือด  ปิดฝาทิ้งเอาไว้  5-10  นาที  ดื่มแต่ว่าน้ำ 3 ครั้ง ครั้งละ  1  ถ้วยชา  ก่อนรับประทานอาหาร                     
ใช้รักษาท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด   ใช้เหง้ารวมทั้งลำต้นสด  1  กำมือ  น้ำหนัก  40-60  กรัม  ทุบเพียงพอแตก  ต้มกับน้ำ  2  ถ้วยแก้ว  เดือด  5-10  นาที  ดื่มแต่น้ำ  ครั้งละ  1/2  แก้ว  วันละ  3  คราวหลังอาหาร     
การใช้ตะไคร้รักษาอาการแน่นจุกเสียด ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขพื้นฐาน)

  • นำตะไคร้ทั้งต้นแล้วก็รากจำนวน 5 ต้น สับเป็นท่อน ต้มกับเกลือ เพิ่มน้ำสุก 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มครั้งละ 1 ถ้วยแก้ว ต่อเนื่องกัน 3 วัน จะหายปวดท้อง
  • นำลำต้นแก่สดๆตีพอแหลกราว 1 กำมือ (40-60 กรัม) ต้มเอาน้ำกิน


                ใช้รักษาอาการแฮงค์ ใช้ต้นสดตำคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมาในกรณีผู้ที่เมามากๆช่วยให้สร่างเร็ว
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา

  • ฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ สารเคมีในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ช่วยขับลม น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้จึงลดอาการแน่นจุกเสียดได้
  • ฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียสาเหตุอาการแน่นจุกเสียดแล้วก็ท้องเสีย เมื่อนำน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ (ความเข้มข้นร้อยละ 0.3) มาทดสอบ พบว่าสามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรียที่กระตุ้นให้เกิดอาการท้องเสียได้ปานกลาง   มีการปรับปรุงสูตรตำรับเจล ล้างมือจากน้ำมันตะไคร้สำหรับยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการท้องเดิน พบว่าตำรับที่มีประสิทธิภาพสำหรับการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเจริญที่สุด คือ ตำรับที่มีความเข้มข้นของน้ำมันตะไคร้ร้อยละ 5 โดยน้ำหนัก และมีการจดสิทธิบัตรสำหรับสารสกัดตะไคร้ที่เป็นส่วนประกอบในยา อาหาร หรือเครื่องสำอาง โดยระบุว่าสามารถยั้งเชื้อแบคทีเรีย E. coli ได้
  • ฤทธิ์ต้านเชื้อรา สารสกัดด้วยเอทานอล รวมทั้งน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สามารถต้านทานเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง ยกตัวอย่างเช่น กลาก เกลื้อน ได้  โดยน้ำมันตะไคร้ที่มีสาร citral และ myrcene เป็นส่วนประกอบหลักจะมีฤทธ์ยับยั้งเชื้อราดังที่กล่าวมาแล้ว และก็เมื่อนำน้ำมันตะไคร้ไปพัฒนาเป็นครีมต้านเชื้อราพบว่าที่ความเข้มข้นร้อยละ 2.5 และก็ 3.0 จะได้ผลต้านเชื้อราได้ดีที่สุดแล้วก็เหมาะสมที่จะปรับปรุงเป็นตำรับยาถัดไป


เมื่อนำน้ำมันหอมระเหย และก็สารสกัดด้วยเฮกเซน, คลอโรฟอร์ม, เอทานอล และก็น้ำ มาทดสอบฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา พบว่าน้ำมันหอมระเหยแล้วก็สารสกัดตะไคร้ด้วยเฮกเซนสามารถต่อต้านเชื้อราได้ทุกประเภท  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์มมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อราได้น้อย ในช่วงเวลาที่สารสกัดด้วยเอทานอลแล้วก็น้ำไม่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา และจากผลการทดลองยังพบว่าสารประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหย รวมทั้งในสารสกัดด้วยเฮกเซนที่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราได้ดิบได้ดี คือ สาร citral
                 มีการจดสิทธิบัตรสินค้าตะไคร้ในรูปของ emulsion และก็ nanocapsule ที่มีน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ ใช้สำหรับรักษาโรคผิวหนังที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อรา E.  floccosum, Microsporum canis และ  T.  rubrum โดยไปยับยั้งการเติบโตหรือฆ่าเซลล์ของเชื้อราดังกล่าวข้างต้น

  • ฤทธิ์ต่อต้านยีสต์ สารสกัดด้วยเอทานอล และน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้สามารถต้านยีสต์ Candida albicans ได้
  • ฤทธิ์แก้ปวด พบว่าน้ำมันหอมระเหยสามารถทุเลาอาการปวดได้เมื่อฉีดเข้าทางท้องหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้กำเนิดความเจ็บปวดด้วยความร้อน  หรือถ้าเกิดป้อนน้ำมันหอมระเหยในขนาดเหมือนเดิมทางปากจะสามารถบรรเทาอาการปวดได้เมื่อเทียบกับยา meperidine


ชาชงตะไคร้ เมื่อป้อนให้หนูเม้าส์รับประทานตรงเวลา 30 นาที ก่อนที่จะรั้งนำหนูให้ปวดอุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน 100 ไมโครกรัม/อุ้งเท้า  หรือด้วยสาร prostaglandin E2  และ dibutyryl cyclic AMP พบว่าสามารถยั้งลักษณะของการปวดจากการที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยสารคาราจีแนน แล้วก็ prostaglandin E2 ได้  แต่ไม่เป็นผลถ้ารั้งนำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP  ยิ่งกว่านั้นน้ำมันหอมระเหยตะไคร้  แล้วก็สาร myrcene เมื่อป้อนให้หนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดอาการปวดด้วย prostaglandin E2  พบว่าสามารถยับยั้งอาการปวดได้

  • ฤทธิ์ลดไข้ เมื่อให้สารสกัดน้ำร้อนจากใบของตะไคร้ ทางสายยางแก่หนูขาวในขนาด 20 มิลลิลิตร/กิโลกรัม ไม่มีฤทธิ์ลดอุณหภูมิของหนูขาว แม้กระนั้นเมื่อฉีดเข้าช่องท้องหนูขาวในขนาด 40.0 มล./กิโลกรัม พบว่าลดอุณหภูมิของหนูขาวได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง (p< 0.05) (2) เมื่อให้สารสกัดน้ำร้อนจากใบของตะไคร้ ทางสายยางแก่หนูขาวในขนาด 20-40 มล./กก. ทุกๆวันตรงเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าไม่มีฤทธิ์ลดอุณหภูมิกายของหนูขาว
  • ฤทธิ์ขับน้ำดี ตะไคร้มีสารช่วยสำหรับเพื่อการขับน้ำดีมาช่วยย่อยหมายถึงborneol, fenchone รวมทั้ง cineole
  • ฤทธิ์ขับลม ยาชงตะไคร้เมื่อให้รับประทานไม่เป็นผลขับลม แม้กระนั้นถ้าให้โดยฉีดทางท้องจะให้ผลดี


เมื่อกรอกน้ำมันหอมระเหยจากใบเข้ากระเพาะ หรือฉีดเข้าท้องหนูถีบจักรเพศผู้ ขนาด 10, 50, 100 มก./กก. พบว่าสามารถบรรเทาลักษณะของการปวดได้ แล้วก็เมื่อกรอก    น้ำมันหอมระเหยจากใบ เข้าข้างในกระเพาะอาหารหนูขาว ขนาด 20% พบว่ามีฤทธิ์ทุเลาลักษณะของการปวดที่รั้งนำด้วย carageenan หรือ PGE2 แม้กระนั้นไม่เป็นผลในหนูที่ทำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP ซึ่งสารออกฤทธิ์เป็นmyrcene (1) นอกเหนือจากนั้นเมื่อกรอกสารสกัดเอทานอล 95% จากใบสด เข้ากระเพาะหนูถีบจักร ขนาด 1 ก./กก. พบว่าไม่สามารถทุเลาอาการปวดได้
การเรียนรู้ทางพิษวิทยา หลักฐานความเป็นพิษและการทดลองความเป็นพิษ
เมื่อให้น้ำมันหอมระเหยเข้าทางกระเพาะอาหารกระต่าย พบว่ามีค่า LD50 มากยิ่งกว่า 5 ก./กก. ส่วนพิษในหนูขาวไม่กระจ่าง และเมื่อป้อนสารสกัดใบด้วยอัลกอฮอล์รวมทั้งน้ำ (1:1) ขนาด 460 มก./กก. เข้ากระเพาะหนูถีบจักร พบว่ามีพิษ แต่ว่าสารสกัดใบด้วยน้ำ ขนาด 20-40 ซีซี/กก. เมื่อให้ทางปากไม่เจอพิษ และไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน และไม่มีผลต่อน้ำหนักตัวของหนูขาว มีผู้ศึกษาพิษของน้ำมันหอมระเหย พบว่าอัตราส่วน LD50/TD พอๆกับ 6.9 การป้อนยาชงตะไคร้ให้หนูขาวในขนาด 20 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนเป็นเวลา 2 เดือน ไม่พบความเป็นพิษ
          การเรียนพิษกระทันหันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ขนาด 1,500 ppm ตรงเวลา 60 วัน พบว่าหนูขาวกรุ๊ปที่ได้ตะไคร้ โตเร็วกว่ากรุ๊ปควบคุม แต่ค่าเคมีเลือดไม่เปลี่ยนแปลง
สารสกัดตะไคร้ด้วยเอทานอล (80%) ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน Staphylococcus typhimurium TA98 และ TA100 มีผู้ทดลองฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน mammalian cells ของ b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญในตะไคร้ พบว่าไม่เจอฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ มีผู้ทดลองใช้ตะไคร้แห้ง ขนาด 400 มคกรัม/จานเพาะเชื้อ มาทดลองกับ S. typhimurium TA98 รวมทั้งเมื่อนำน้ำสุกใบตะไคร้กับเนื้อ (โค ไก่ หมู) ขนาด 4, 8 และก็ 16 มก./จานเพาะเชื้อ ทดสอบกับ S. typhimurium TA98 และ TA100 ไม่เจอฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และก็สารสกัดด้วยน้ำขนาด 0.5 ซีซี/จานเพาะเชื้อ ไม่เป็นผลก่อกลายพันธุ์ใน Bacillus subtilis H-17 (Rec+) รวมทั้ง M-45 (Rec-) ตะไคร้สดในขนาด 1.23 มก./ซีซี ไม่มีพิษต่อยีน (16) แล้วก็ b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญก็ไม่พบพิษด้วยเหมือนกัน
สาร citral ซึ่งเป็นสารที่ได้จากน้ำมันหอมระเหยจากใบ เป็นพิษต่อเซลล์ P388 mouse leukemia และน้ำมันหอมระเหย เป็นพิษต่อเซลล์ P388 leukemia โดยมีค่า IC50 5.7 มคก./มิลลิลิตร แต่ว่าเมื่อผสมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้กับโหระพาช้าง (1:1 vol./vol.) มีค่า IC50 10.2 มคก./มิลลิลิตร ส่วนสกัด (partial purified fraction) ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ PS (murine lymphocytic leukemia P388),FA   ( murine ascites mammary carcinoma FM3A ) แต่ว่าสารสกัดหยาบคายแสดงฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเซลล์ FA สารสกัดใบด้วยเมทานอล ในขนาด 50 มคกรัม/ มล. ออกฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเซลล์ของมะเร็ง CA-9KB แต่ว่าในขนาด 20 มคก./ มิลลิลิตร ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ RAJI
มีผู้ทดสอบพิษของชาที่จัดเตรียมจากตะไคร้พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครสุขภาพดีรับประทานเกิดไคร้ 1 ครั้ง หรือรับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ไม่เจอการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในเลือด เม็ดเลือดและก็ฉี่ มีบางรายแค่นั้นที่มีปริมาณใบเสร็จรับเงินลิรูบิน และ amylase สูงมากขึ้น ก็เลยถือว่าปลอดภัย ส่วนน้ำมันตะไคร้เมื่อผสมในน้ำหอม โดยผสมน้ำมันตะไคร้ร้อยละ 0.8 พบว่ามีลักษณะแพ้ อย่างไรก็ตามการแพ้นี้อาจเป็นเพราะสารอื่นได้ และมีรายงานความเป็นพิษต่อถุงลมปอดเมื่อสูดกลิ่นน้ำมันตะไคร้
คำแนะนำ / ข้อควรปฏิบัติตาม

  • การบริโภคตะไคร้หรือการใช้ตะไคร้ทาบนผิวหนังเพื่อจุดมุ่งหมายทางการรักษาโรค บางทีก็อาจจะปลอดภัยแม้ใช้ตะไคร้ในขณะสั้นๆภายใต้การดูแลและข้อแนะนำจากแพทย์
  • การสูดดมสารที่มีส่วนประกอบของตะไคร้ อาจส่งผลให้เป็นผลใกล้กันที่ทำให้เป็นอันตรายแล้วก็เป็นพิษต่อสุขภาพร่างกายได้ในคนเจ็บบางราย เช่น ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพปอด
  • ขอคำแนะนำหมอ เภสัชกร และเรียนข้อมูลบนฉลากให้ถี่ถ้วนก่อนใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามที่มีสารสกัดมาจากตะไคร้ก่อนเสมอ เพื่อหลบหลีกการเกิดผลกระทบที่อาจมีอันตรายต่อร่างกายหลังการบริโภค
  • ระวังการใช้ตะไคร้แล้วก็สินค้าจากตะไคร้ในผู้ที่เป็นต้อหิน (glaucoma) เนื่องด้วย citral จะก่อให้ความดันในดวงตามากขึ้น
เอกสารอ้างอิง

  • ตะไคร้.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ฉบับประชาชนทั่วไป.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ตะไคร้แกง.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • Puatanachokchai R, Vinitketkumnuen U, Picha P.  Antimutagenic and cytotoxic effects of lemon grass.  The 11th   Asia Pacific Cancer Conference, Bangkok Thailand, 16-19 1993.
  • คุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย.กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.2544.
  • Carlini EA, Contar JDDP, Silva-Filho AR, Solveira-Filho NG, Frochtengarten ML, Bueno,OFA. Pharmacology of  lemongrass (Cymbopogon citratus Stapf).    Effects of teas prepared from the leaves on laboratory animals.  J  Ethnopharmacol 1986;17(1):37-64.
  • ตะไคร้สรรพคุณประโยชน์กับบทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/
  • Lemongrass oil West Indian.  Food Cosmet Toxicol 1976;14:457.
  • กาญจนา ขยัน,การอบแห้งตะไคร้ด้วยเทคนิคการให้ความร้อนแบบไดอิเล็กตริกโดยใช้เครื่องอบไมโครเวฟที่ควบคุมอุณหภูมิได้.
  • Vinitketkumnuen U, Puatanachokchai R, Kongtawelert P, Lertprasertsuke N, Matsushima T.  Antimutagenicity of   lemon grass (Cymbopogon citratus Stapf) to various known mutagens in Salmonella mutation assay.  Mutat Res   1994;341(1):71-5.
  • ตะไคร้ใบตะไคร้ประโยชน์และสรรพคุณตะไคร้.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อเกษตรไทย.
  • Souza Formigoni MLO, Lodder HM, Filho OG, Ferreira TMS, Carlini EA. Pharmacology of lemongrass  (Cymbopogon citratus Stapf).    Effects of daily two month administration in male and female rats and in  offspring exposed "in utero". J Ethnopharmacol 1986;17(1):65-74.
  • Parra AL, Yhebra RS, Sardinas IG, Buela LI.  Comparative study of the assay of Artemia salina L. and the  estimate of the medium lethal dose (LD50 value) in mice, to determine oral acute toxicity of plant extracts.   Phytomedicine 2001;8(5):395-400.
  • ตะไคร้.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kauderer B, Zamith H, Paumgartten FJ, Speit G. Evaluation of the mutagenicity of b-myrcene in mammalian cells   in vitro.  Environ Mol Mutagen 1991;18(1):28-34.
  • Lorenzetti BB, Souza GEP, Sarti SJ, et al. Myrcene mimics the peripheral analgesic activity of lemongrass tea.  J  Ethnopharmacol 1991;34(1):43-8.   
  • Skramlik EV. Toxicity and toleration of volatile oils.  Pharmazie 1959;14:435-45.
  • Ostraff M, Anitoni K, Nicholson A, Booth GM. Traditional Tongan cures for morning sickness and their   mutagenic/toxicological evaluations.  J Ethnopharmacol 2000;71(1/2):201-19.
  • Wohrl S, Hemmer W, Focke W, Gotz M, Jarisch R. The significance of fragrance mix, balsam of Peru, colophony   and propolis as screening tools in the detection of fragrance allergy.  Br J Dermatol 2001;145(2):268-73.
  • Onbunma S, Kangsadalampai K, Butryee B, Linna T. Mutagenicity of different juices of meat boiled with herbs   treated with nitrite.  Ann Res Abst, Mahidol Univ (Jan 1 – Dec 31, 2001) 2002;29:350.
  • Costa M, Di Stasi LC, Kirizawa M, et al. Screening in mice of some medicinal plants used for analgesic purposes  in the state of Sao Paulo.  J Ethnopharmacol 1989;27(1/2):25-33.
  • Mishra AK, Kishore N, Dubey NK, Chansouria JPN. An evaluation of the toxicity of the oils of Cymbopogon   citratus and Citrus medica in rats.  Phytother Res 1992
บันทึกการเข้า