โรคหวัด (Common cold)โรคหวัด เป็นยังไง โรคหวัด หรือหวัด ในที่นี้ หมายถึง โรคไข้หวัดธรรมดา (Common cold) ไม่ใช่
โรคไข้หวัดใหญ่ หรือ ฟลู (Influenza หรือ Flu) โรคหวัด เป็น โรคที่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการติดเชื้อไวรัสรอบๆทางเดินหายใจส่วนต้น ได้แก่ จมูก คอ ไซนัส รวมทั้งกล่องเสียง โดยเชื้อที่นำมาซึ่งหวัดมักเป็นเชื้อไวรัสจำพวกไม่ร้ายแรง รวมทั้งสามารถหายได้ด้านใน 1-2 อาทิตย์ หวัดเป็นโรคติดเชื้อโรคยอดฮิตมักพบมากมาย อีกทั้งในคนแก่รวมทั้งเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กในวัยเยาว์ ซึ่งพบมากเป็นหวัดได้หลายครั้งถึงปีละ 6-8 ครั้ง เพราะเด็กมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคน้อยกว่าคนแก่ ก็เลยได้โอกาสเป็นหวัดได้บ่อยกว่าคนแก่มาก และก็โรคหวัดยังเป็นโรคกำเนิดได้ทั้งปี แต่พบได้ทั่วไปในฤดูฝนรวมทั้งฤดูหนาว โรคไข้หวัดนับว่าเป็นโรคที่เป็นแล้วสามารถหายเองได้ โดยไม่จำเป็นจำเป็นต้องใช้ยาอะไรพิเศษ ซึ่งยาที่จำเป็นต้องมีเพียงพาราเซตามอล ที่ใช้สำหรับลดไข้ แก้ปวด เฉพาะเมื่อเป็นไข้สูงหรือปวดศีรษะ
ข้อบกพร่องในตอนนี้เป็น มีการใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็นอย่างบ่อยเกิน ซึ่งมิได้ประโยชน์ เพราะว่าไม่ได้มีส่วนฆ่าเชื้อโรคไวรัสหวัดที่เป็นสาเหตุยังอาจก่อให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยาง่าย แพ้ยาง่าย และทำให้ร่างกายอ่อนแอตามมาได้ ด้วยเหตุนั้น ควรต้องเรียนรู้วิธีสำหรับดูแลหวัดด้วยตัวเองรวมทั้งไม่เป็นอันตราย
สาเหตุของหวัด ปัจจัยโดยมากของการเป็นโรคหวัดมีต้นเหตุที่เกิดจากร่างกายได้รับเชื้อไวรัสก่อโรค ร่วมกับสถานการณ์ที่ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง ดังเช่น เครียด พักไม่พอ ส่วนเชื้อที่เป็นต้นเหตุ : เกิดขึ้นได้เนื่องมาจาก “เชื้อโรคหวัด” ที่มีอยู่มากยิ่งกว่า 200 ประเภทจากกลุ่มไวรัสจำนวน 8 กรุ๊ปด้วยกัน โดยกลุ่มไวรัสที่สำคัญ เป็นต้นว่า กรุ๊ปไวรัสไรโน (Rhinovirus) ซึ่งมีมากกว่า 100 ประเภท พบได้บ่อยที่สุดราวๆ 30-50% ยิ่งกว่านั้นก็มีกรุ๊ปไวรัสวัวโรท้องนา (Coronavirus) ที่เจอได้ราว 10-15%,และก็กรุ๊ปเชื้อไวรัสอะดีโน (Adenovirus) ฯลฯ
ซึ่งการเกิดโรคขึ้นแต่ละครั้งจะเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากเชื้อไวรัสหวัดเพียงชนิดเดียว เมื่อเป็นแล้วร่างกายก็จะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสหวัดประเภทนั้น สำหรับในการเป็นไข้หวัดครั้งใหม่ก็จะมีต้นเหตุมาจากเชื้อไวรัสหวัดประเภทใหม่ที่ร่างกายยังไม่เคยติดเข้ามา เวียนแบบนี้ไปเรื่อยๆฉะนั้น คนเราจึงเป็นไข้หวัดได้บ่อยครั้ง เด็กเล็กที่ยังไม่ค่อยได้ติดเชื้อหวัดมาก่อน ก็อาจเจ็บป่วยหวัดจำเจได้ แล้วก็อาจเจ็บป่วยหวัดได้บ่อยถึงเดือนละ 1-2 ครั้ง หรือทุกสัปดาห์
อาการของโรคหวัด โดยทั่วไปมักมีลักษณะไม่ร้ายแรง มีไข้ไม่สูง ปวดเหมื่อยตามตัวเป็นพักๆปวดหนักหัวเล็กน้อย เมื่อยล้าน้อย อาจมีอาการคอแห้งผาก แสบคอหรือเจ็บคอนิดหน่อยเอามาก่อน ถัดมาจะมีน้ำมูกไหลใสๆคัดจมูก ไอแห้งๆหรือไอมีเสลดบางส่วน ลักษณะใสหรือขาวๆคนป่วยส่วนมาก เดินเหิน ดำเนินงานได้ รวมทั้งจะทานอาหารได้ ในเด็กตัวเล็กๆ อาจมีไข้สูงกระทันหัน ตัวร้อนเป็นช่วงเวลาไข้ขึ้นบางทีอาจซึมบางส่วน เวลาไข้ลง (ตัวเย็น) ก็จะวิ่งเล่นหรือหน้าตาแจ่มใสเหมือนเคย ถัดมาจะมีน้ำมูกใส ไอบางส่วน ในคนแก่ อาจไม่มีไข้ มีเพียงแค่ลักษณะของการเจ็บคอน้อย น้ำมูกใส ไอเล็กน้อย ในทารกอาจมีอาการคลื่นไส้ หรือท้องเดิน ร่วมด้วย อาการไข้มักเป็นอยู่นาน 48-96 ชั่วโมง (2-4 วันเต็มๆ) แล้วหลังจากนั้นก็ดีขึ้นได้เอง
อาการน้ำมูกไหลจะเป็นมากอยู่ 2-3 วัน ส่วนอาการไอ อาจไอนานเป็นสัปดาห์ หรือบางรายบางทีอาจไอนานเป็นนานนับเดือน ภายหลังอาการอื่นๆหายก็ดีแล้ว
ในรายที่การต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียสอดแทรก คนป่วยจะจับไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 24 ชั่วโมง หรือไอมีเสลดสีเหลืองหรือเขียวทุกครั้ง
ทั้งนี้ลักษณะของการมีไข้หวัดรวมทั้งไข้หวัดใหญ่ จะออกจะคล้ายคลึงกัน อาจงงงันได้ แต่ผู้เจ็บป่วยและผู้ดูแลสามารถพิจารณาความแตกต่างได้ตามตารางนี้
อาการ
ไข้หวัดธรรมดา
ไข้หวัดใหญ่
โรคภูมแพ้
ไข้
ไข้ต่ำๆหรือไม่มี
มักมีไข้สูง อาจสูงถึง 40
องศาเซลเซียส
ไม่มีไข้
ปวดหัว
ไม่ค่อยพบ
พบได้ปกติ
ไม่พบ
ปวดเมื่อย
กล้ามเนื้อ
อ่อนเพลีย
อาจมีอาการเล็กน้อย
พบได้บ่อยและอาการรุนแรง
ไม่พบ (อาจอ่อนเพลียหากพักผ่อนน้อย)
น้ำมูกไหล คัดจมูก
พบได้บ่อย
ไม่ค่อยพบ
พบได้บ่อย
จาม
พบได้บ่อย
ไม่ค่อยพบ
พบได้บ่อย
เจ็บคอ
พบได้บ่อย
อาจพบได้บางครั้ง
อาจพบได้บางครั้ง
ไอ
พบได้บ่อย
พบได้บ่อย และมีความรุนแรงมากกว่า
อาจพบได้บางครั้ง
เจ็บหน้าอก
อาบพบได้แต่อาการไม่รุนแรง
พบได้บ่อย
ไม่ค่อยพบ(ยกเว้นเป็นโรคหอบหืด)
อาการ
ไข้หวัดธรรมดา
ไข้หวัดใหญ่
โรคภูมิแพ้
สาเหตุการเกิด
เกิดจากไวรัส
(Rhinoviruses เป็นสาเหตุหลักประมาณ 30-50%)
เกิดจากไวรัส (influenza virus type A and B)
เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น อากาศเย็น/ร้อน ละอองเกสร
การดูและการรักษา
-พักผ่อน และดื่มน้ำมากๆ
-ใช้ยาบรรเทาอากาต่างๆ เช่น ยาแก้คัดจมูก หรือยาลดไข้
-มักดีขึ้นและหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
-พักผ่อน และดื่มน้ำมากๆ
-ใช้ยาบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ยาลดไข้พาราเซตามอบ (แต่ไม่ควรใช้ยากลุ่ม NSAIDs กรณีสงสัยไข้เลือดออกด้วย)
-หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม และอาจต้องได้รับยาต้านไวรัสตลอดจนการรักษาให้ถูกต้อง
-หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ เช่นหลีกเลี่ยงฝุ่นอากาศเย็น
-ใช้ยาบรรเทาอาการเช่นยาแก้แพ้ ยาแก้คัดจมูก
-หากรุนแรงควรพบแพทยืเพื่อพิจารณาใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก
การป้องกัน
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
-ใส่หน้ากากอนามัย
-ไม่มีวัคซีนป้องกัน
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
-ใส่หน้ากากอนามัย
-ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้
และในขณะที่ป่วยเป็นหวัด คนไข้หรือผู้ดูแล (ในเด็กตัวเล็กๆ) ควรติดตามอาการอย่างใกล้ชิด รวมทั้งควรรีบไปพบแพทย์ในทันทีถ้ามีลักษณะอาการดังต่อไปนี้
คนแก่
ไข้สูงไปกว่า 38.5 องศาเซลเซียส ต่อเนื่องกันเกิน 5 วันขึ้นไป
กลับมามีไข้ซ้ำภายหลังลักษณะของการมีไข้หายแล้ว
หายใจหอบอ่อนล้า รวมทั้งหายใจมีเสียงหวีดร้อง
เจ็บคออย่างรุนแรง ปวดศีรษะ หรือมีลักษณะอาการปวดบริเวณไซนัส
เด็ก
มีไข้สูงขึ้นยิ่งกว่า 38 องศาเซลเซียส ในเด็กทารก-12 อาทิตย์
มีลักษณะอาการไข้สูงต่อเนื่องกันมากกว่า 2 วัน
อาการต่างๆของไข้หวัดร้ายแรงมากยิ่งขึ้น หรือรักษาแล้วอาการกำเริบ
มีอาการปวดศีรษะ หรือไออย่างหนัก
หายใจมีเสียงหวีด
เด็กมีลักษณะงอแงอย่างรุนแรง
ง่วงหงาวหาวนอนมากมายเปลี่ยนไปจากปกติ
ความต้องการของกินน้อยลง ไม่รับประทานอาหาร
ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อเกิดโรคหวัด คนที่มีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงดังต่อไปนี้ มักจับไข้หวัดได้ง่ายกว่าคนปกติ ตัวอย่างเช่น
- อายุ เด็กที่อายุน้อยกว่า 6 ปี มีการเสี่ยงป่วยด้วยไข้หวัดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่จะต้องอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือเนอสเซอรี่
- ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ คนเจ็บที่มีลักษณะเจ็บป่วยเรื้อรัง หรือมีภาวะสุขภาพที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอมีลักษณะท่าทางที่จะมีอาการป่วยเป็นหวัดได้ง่ายดายเสียยิ่งกว่าธรรมดา
- ช่วง โดยส่วนใหญ่แล้วไม่ว่าจะเด็ก หรือคนแก่มักจะไม่สบายหวัดได้ง่ายในฤดูฝน แล้วก็หรือหน้าหนาว
- ดูดบุหรี่ คนที่สูบบุหรี่มีทิศทางจะป่วยด้วยหวัดได้ง่าย รวมทั้งแม้เป็นก็จะอาการร้ายแรงกว่าธรรมดาอีกด้วย
- อยู่ในที่ที่ผู้คนคึกคกคับแคบ สถานที่ที่มีคนคนเยอะ ทำให้เสี่ยงต่อการตำหนิดเชื้อไวรัสโรคไข้หวัดได้ง่าย
- ผู้ที่จำเป็นต้องดูแลผู้เจ็บป่วยโรคไข้หวัด ซึ่งกรุ๊ปบุคคลกลุ่มนี้จะต้องสัมผัสกับสารคัดหลั่งของคนเจ็บอีกทั้งน้ำลาย น้ำมูก หรือละอองน้ำมูก น้ำลาย จากลมหายใจของคนป่วย
แนวทางการรักษาโรคหวัด โดยปกติผู้เจ็บป่วย (ผู้ใหญ่) สามารถวินิจฉัยโรคหวัดเองได้ จากอาการที่แสดง แต่ถ้าผู้ป่วยไปพบหมอ แพทย์จะวินิจฉัยโรคหวัดได้จากอาการที่แสดง ประวัติการระบาดของโรค ฤดูกาล แล้วก็จากการตรวจร่างกาย ดังเช่น ลักษณะของการมีไข้ มีน้ำมูก เยื่อจมูกบวมและก็แดง คอแดงน้อย ส่วนในเด็กบางทีอาจพบทอนซิลโต แต่ไม่แดงมากมาย และไม่มีหนอง แม้กระนั้นในคนไข้ที่มีลักษณะรุนแรง เช่น ไข้สูง หมออาจมีการพิสูจน์เลือดซีบีซี (CBC) เพื่อแยกว่าเป็นการติดเชื้อไวรัสหรือติดเชื้อแบคทีเรีย และก็อาจมีการตรวจสืบค้นอื่นๆเพิ่มเติมตามดุลยพินิจของแพทย์ ดังเช่นว่า การวิเคราะห์เลือดดูค่าเกล็ดเลือดเพื่อแยกจากโรคไข้เลือดออก เป็นต้น
เหตุเพราะหวัดเป็นผลมาจากเชื้อไวรัส ก็เลยไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพียงให้การรักษาไปตามอาการเพียงแค่นั้น ซึ่งการปรับแก้อาการที่เกิดขึ้นในเบื้องต้นแพทย์จะจ่ายยาที่เป็น ยาสามัญประจำบ้านเพื่อทุเลาอาการก่อน ได้แก่พาราเซตามอล (paracetamol) สำหรับลดไข้ คลอเฟนนิรามีน (chlorpheniramine) สำหรับลดน้ำมูก และก็จะเสนอแนะให้พักผ่อนให้พอเพียง กินน้ำอุ่นเพื่อละลายเสลด การดื่มน้ำมากมายๆรวมทั้งการเช็ดตัวจะช่วยลดอุณหภูมิร่างกายได้
โดยปกติยาที่ใช้เมื่อเป็นหวัดจะเป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาตามอาการ เหตุเพราะไม่มีการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัสก่อโรคโดยตรง และก็เมื่ออาการดียิ่งขึ้นและจากนั้นก็สามารถหยุดใช้ยาได้ ยาที่นิยมใช้ทั่วไปเมื่อเป็นหวัดมีดังนี้
- ยาลดไข้ โดยธรรมดายาที่นิยมสำหรับลดไข้หมายถึงparacetamol สำหรับคนแก่ รับประทานยาขนาด 500 mg ต่อเม็ด จำนวน 1-2 เม็ด สามารถรับประทานซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง ใช้ไม่เกิน 8 เม็ดต่อวัน และไม่ควรจะใช้ต่อเนื่องกันตรงเวลา 5 วัน เหตุเพราะมีโอกาสกำเนิดพิษต่อตับ สำหรับเด็กควรจะมีการปรับขนาดยาตามน้ำหนักตัว โดยเหตุนี้ควรซักถามข้อมูลเพิ่มเติมจากแพทย์หรือเภสัชกร ยาอีกกรุ๊ปยอดนิยมสำหรับเพื่อการใช้ลดไข้เป็นยากลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti Inflammatory Drugs:-NSAIDs) อย่างเช่นแอสไพริน (aspirin), ibuprofen ซึ่งการใช้ยาในกรุ๊ปหลังนี้ให้ผลสำหรับการลดไข้ได้อย่างรวดเร็ว แม้กระนั้นมีข้อควรตรึกตรองสำหรับการใช้สำหรับลดไข้ในกรณีของโรคไข้เลือดออก แม้กระนั้นในเด็กที่มีอายุต่ำยิ่งกว่า 18 ปี องค์กรอนามัยโลก (WHO) ชี้แนะว่าไม่ให้ใช้ยาแอสไพริน
- ยาลดน้ำมูกแก้คัดจมูก
ในกลุ่มของยาลดน้ำมูกนั้น สามารถแบ่ง ได้เป็น 2 กลุ่ม เป็นยาแก้คัดจมูก ออกฤทธิ์โดยการยุบหลอดเลือด ทำให้อาการคัดจมูกน้อยลง แบ่งเป็น
- สำหรับรับประทาน ได้แก่ phenylephrine, pseudoephedrine (pseudoephedrine รับได้จากสถานพยาบาลเพียงแค่นั้น ไม่มีขายตามร้านยา)
- สำหรับหยดหรือพ่นรูจมูก ดังเช่น oxymetazoline ซึ่งก่อนใช้ต้องสั่งขี้มูกออกก่อน
ยาลดน้ำมูก ออกฤทธิ์โดยการหยุดยั้งผลของฮีสตามีน (histamine) ซึ่งส่งผลทำให้การหลั่งน้ำมูกน้อยลง แต่ว่าจะได้ผลน้อยกับอาการคัดจมูก สามารถแบ่งย่อย เป็น 2 กลุ่มเป็น
- ยาลดน้ำมูกกรุ๊ปที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการง่วงซึม ได้แก่ chlorpheniramine, brompheniramine, hydroxyzine, cyproheptadine เป็นต้น ยากลุ่มนี้จะลดจำนวนสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจ เป็นต้นว่า น้ำมูก เสลด แม้กระนั้นจะมีผลให้กำเนิดอาการง่วงซึมได้ เนื่องจากมีฤทธิ์กดระบบประสาท อย่างไรก็แล้วแต่ ยาในกลุ่มนี้สามารถคุมอาการได้ดียิ่งไปกว่าเมื่อเทียบกับยาในกลุ่มที่ไม่ทำให้ง่วงซึม ถ้าเกิดคนเจ็บใช้ยาในกลุ่มนี้ควรหลบหลีกการขับรถและก็การทำงานที่เกี่ยวกับเครื่องจักร และอาจถือเป็นช่องทางที่ดีสำหรับในการพักผ่อน
- ยาลดน้ำมูกกลุ่มที่ไม่นำมาซึ่งอาการง่วงซึม ยกตัวอย่างเช่น cetirizine, loratadine, desloratadine, fexofenadine ฯลฯ ซึ่งข้อดีของยาในกลุ่มนี้ก็คือ ไม่นำไปสู่อาการง่วงซึม หรืออาจมีอาการง่วงซึมได้บ้างน้อย โดยเหตุนี้ก็เลยนิยมใช้ยาในกลุ่มนี้ในคนไข้โรคภูมิแพ้ด้วย
- ยาบรรเทาอาการไอ ในกลุ่มของยาที่ช่วยบรรเทาอาการไอ ก็สามารถแบ่ง ได้เป็น 2 กลุ่มเช่นเดียวกัน คือ
- ยาสำหรับอาการไอมีเสลด โดยที่มาของอาการไอชนิดนี้ เพราะมีเสลดเป็นตัวกระตุ้นนำไปสู่การไอ โดยเหตุนั้นจำต้องใช้ยารักษาที่ต้นสายปลายเหตุซึ่งหมายถึง แนวทางการทำให้เสลดเหลวหรือขับออกได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น ยาละลายเสลด ตัวอย่างเช่น acetylcysteine, carbocysteine, bromhexine, ambroxol เป็นต้น ยาขับเสลด เช่น glyceryl guaiacolate (guaifenesin) เป็นต้น ซึ่งการใช้ยาพวกนี้อาจจะก่อให้คนป่วยมีอาการไอเยอะขึ้นในระยะแรก เพื่อนำเสลดออกมาจากทางเท้าหายใจ แต่ว่าหลังจากนั้นอาการไอจะลดน้อยลงตามลำดับ
- ยาสำหรับอาการไอที่ไม่มีเสลด หรือ ไอแห้ง ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการไอ ซึ่งผู้กระทำดระบบประสาทนั้นอาจส่งผลให้เพศผู้เจ็บป่วยง่วงซึมได้ ถ้าหากคนป่วยใช้ยาในกลุ่มนี้จำเป็นที่จะต้องหลบหลีกการขับรถยนต์รวมทั้งการทำงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักร ยาที่ออกฤทธิ์กดการไอดังเช่นว่า dextromethorphan, codeine, brown mixture เป็นต้น
ดังนั้นจึงต้องหาต้นเหตุของการไอ แล้วก็ปรับแต่งให้ถูกจุด ถ้าเกิดผู้ป่วยใช้ยาแก้ไอผิดกับสาเหตุของอาการไอที่เป็นอยู่ ตัวอย่างเช่น ใช้ยากดการไอในเรื่องที่การไอเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเสมหะ เว้นแต่เสมหะจะกีดกั้นทางเท้าหายใจแล้ว ร่างกายก็ยังไม่สามารถที่จะขับเสลดออกโดยการไอได้อีกด้วย
- ยาปฏิชีวนะที่นิยมใช้พื้นฐาน (ในกรณีที่พบว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียเข้าแทรก ดังเช่นว่า จับไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 4 ชั่วโมง
- ยากลุ่มแพนิซิลิน (penicillins) อย่างเช่น amoxicillin ซึ่งโครงสร้างของยาตัวนี้ทนต่อกรดในทางเดินของกิน สามารถกินหลังรับประทานอาหารได้
- ยากลุ่มแมคโครไลด์ (macrolides) เป็นต้นว่า erythromycin, roxithromycin เนื่องจากว่าองค์ประกอบของยาในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ไม่ทนประมือดในทางเดินอาหาร จำเป็นที่จะต้องรับประทานก่อนรับประทานอาหาร เว้นเสียแต่ erythromycin estolate และ erythromycin ethylsuccinate ที่มีการดัดแปลงปรับปรุงแก้ไของค์ประกอบของยาแล้ว ทำให้สามารถกินหลังอาหารได้
แต่การใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่บ่อยนัก และไม่ครบตามปริมาณที่กำหนด เว้นแต่ผู้เจ็บป่วยจะไม่หายจากอาการที่เป็นอยู่ ยังเป็นการเกื้อหนุนให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา และก็อาจไม่มียาปฏิชีวนะสำหรับรักษาอาการของผู้ป่วยในอนาคต
การติดต่อของ
โรคไข้หวัด โรคไข้หวัดเป็นโรคติดต่อในระบบทางเท้าหายใจ โดยเชื้อหวัดมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย แล้วก็เสลดของคนไข้ ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสลดที่คนเจ็บไอหรือจามรด ด้านในระยะไม่เกิน 1 เมตร
นอกจากนี้ เชื้อหวัดยังบางทีอาจติดต่อโดยการสัมผัส พูดอีกนัยหนึ่ง เชื้อหวัดอาจติดที่มือของคนเจ็บ สิ่งของ ของใช้ ตัวอย่างเช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน ชาม ของเล่น หนังสือ โทรศัพท์ หรือสภาพแวดล้อม ดังเช่นว่า ลูกบิดประตู โต๊ะ เก้าอี้ เมื่อคนธรรมดาสัมผัสถูกมือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้หรือสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนเชื้อหวัด เชื้อหวัดก็จะติดมือของคนคนนั้น แล้วก็เมื่อเผลอใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายของคนคนนั้น กระทั่งกลายเป็นไข้หวัดได้ ส่วนระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่คนป่วยรับเชื้อเข้าไปกระทั่งแสดงอาการ) : ราว 1-3 วัน โดยเฉลี่ย และมักมีอาการรุนแรงที่สุดในตอน 2-3 วันหน้าเริ่มมีลักษณะอาการ
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นหวัด ข้อแนะนำการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยมีดังนี้- พักมากมายๆห้ามบากบั่นงานหนักหรือบริหารร่างกายมากจนเกินไป
- สวมใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น อย่าถูกฝนหรือถูกอากาศเย็นจัด แล้วก็อย่าอาบน้ำเย็น
- ดื่มน้ำมากๆเพื่อช่วยลดไข้ แล้วก็ตอบแทนน้ำที่เสียไปเนื่องด้วยไข้สูง
- ควรจะรับประทานอาหารอ่อน น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อนๆ
- ใช้ผ้าชุบน้ำ (ควรที่จะใช้น้ำอุ่น หรือน้ำก๊อกธรรมดา อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลาจับไข้สูง
- ถ้ามีไข้สูง ให้พาราเซตามอล (ผู้ที่แก่ต่ำยิ่งกว่า 18 ปี ควรจะหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เนื่องจากว่าอาจเพิ่มการเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงได้) ควรจะให้ยาลดไข้เป็นครั้งคราวเฉพาะเวลาเป็นไข้สูง หากเป็นไข้ต่ำๆ หรือไข้พอทนได้ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับประทาน
- ถ้ามีอาการน้ำมูกไหลมากกระทั่งสร้างความอารมณ์เสีย ให้ยาแก้แพ้ เป็นต้นว่า คลอร์เฟนิรามีน ใน 2-3 วันแรก เมื่อดีขึ้นกว่าเดิมแล้วควรหยุดยา หรือในกรณีที่มีลักษณะอาการไม่มากมาย ก็ไม่มีความจำเป็นต้องให้ยานี้
- ถ้ามีลักษณะอาการไอ จิบน้ำอุ่นมากๆหรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว (น้ำผึ้ง 4 ส่วน น้ำมะนาว 1 ส่วน) ถ้าไอมากลักษณะไอแห้งๆไม่มีเสลดควร ให้ยาแก้ไอ
- ถ้าหากมีลักษณะหอบ หรือนับการหายใจได้เร็วกว่าปกติ (เด็กอายุ 0-2 เดือนหายใจมากยิ่งกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ขวบหายใจมากยิ่งกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ขวบหายใจมากยิ่งกว่า 40 ครั้ง/นาที) หรือจับไข้นานเกิน 7 วัน ควรจะส่งโรงหมออย่างรวดเร็ว อาจเป็นปอดอักเสบหรือสภาวะร้ายแรงอื่นๆได้ บางทีอาจจำเป็นต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ เป็นต้น
- ถ้ามีอาการเจ็บคอมาก ไข้สูงตลอดระยะเวลา ซึม เบื่อข้าวมาก ปวดเมื่อยมากมาย ปวดหู หูอื้อ หรือสงสัยไข้หวัดใหญ่ หรือหวัดนก (มีประวัติสัมผัสสัตว์ปีกที่ป่วยไข้หรือตายภายใน 7 วัน หรืออยู่ภายในเขตพื้นที่ที่มีการระบาดของหวัดนกข้างใน 14 วัน) หรือเป็นไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 1 วัน ควรจะไปพบหมออย่างเร็ว
การป้องกันตนเองจากโรคไข้หวัด รักษาสุขอนามัยรากฐาน เพื่อมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง กินอาหารเป็นประโยชน์ห้ากลุ่มวันแล้ววันเล่า เพื่อมีสุขภาพที่เกิดขึ้นกับร่างกายแข็งแรง ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละอย่างต่ำ 6-8 แก้วเมื่อไม่มีโรคจะต้องจำกัดน้ำกิน พักผ่อนให้พอเพียงบ่อยๆ ไม่ไปในที่คับแคบ เป็นต้นว่า ห้างสรรพสินค้า ในตอนที่มีการระบาดของหวัดรู้จักใช้หน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็นต้องไปในย่านที่มีคนดอกไม้ไฟลนลานหรือไปโรงหมอ รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยยิ่งไปกว่านั้นตอนที่มีอากาศเปลี่ยนไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเกินไป โดยเฉพาะในตอนที่มีอากาศเย็น อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับคนเจ็บ ถ้าเกิดต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรจะใส่หน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ อย่าใช้สิ่งของเครื่องใช้ (ดังเช่นว่า ผ้าที่เอาไว้สำหรับเช็ดหน้า ผ้าที่มีไว้เพื่อเช็ดตัว ถ้วยน้ำ โทรศัพท์ ของเล่น ฯลฯ) ร่วมกับผู้ป่วย รวมทั้งควรหลบหลีกการสัมผัสมือคนป่วย
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคหวัด- ฟ้าทะลายโจร สารสำคัญสำหรับในการออกฤทธิ์เป็นAndrographolide มีฤทธิ์รักษาอาการไอ เจ็บคอ คุ้มครองและทุเลาหวัด จากการเล่าเรียนการใช้ฟ้าทะลายขโมยเพื่อรักษาลักษณะของการมีไข้รวมทั้งเจ็บคอเปรียบเทียบกับยาลดไข้พาราเซตามอล พบว่ากรุ๊ปที่ได้รับฟ้าทะลายขโมยขนาด 6 กรัมต่อวัน จะมีลักษณะไข้แล้วก็การเจ็บคอน้อยลงในวันที่ 3 ซึ่งดีกว่ากลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายขโมย 3 กรัม/วัน หรือได้รับพาราเซตามอล ในการศึกษาเรียนรู้เปรียบการใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อปกป้องหวัด ซึ่งทำในช่วงฤดูหนาว โดยให้นักเรียนรับประทานยาเม็ดฟ้าทะลายขโมยแห้ง ขนาด 200 มก./วัน หลังจาก 3 เดือนของการทดลองพบว่าอุบัติการณ์การเป็นหวัดในกลุ่มที่ได้ฟ้าทะลายขโมยต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุม โดยอัตราการเป็นหวัดในกรุ๊ปที่ได้รับฟ้าทะลายขโมยเท่ากับร้อยละ 20 ตอนที่กรุ๊ปควบคุมมีอัตราการเป็นหวัดเท่ากับจำนวนร้อยละ 62 บางทีอาจสรุปได้ว่าฟ้าทะลายขโมยให้ผลคุ้มครองปกป้องของยา เท่ากับปริมาณร้อยละ 33
ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ยาแคปซูล ยาเม็ด ที่มีผงฟ้าทะลายโจรแห้ง 250 มก. และก็ 500 มก.
o ทุเลาอาการเจ็บคอ รับประทานวันละ 3 – 6 กรัม แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารรวมทั้งก่อนนอน
o ทุเลาอาการหวัด รับประทานวันละ 1.5 – 3 กรัม แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หลังรับประทานอาหารและก็ก่อนนอน
- กระเทียม มีฤทธิ์สำหรับในการฆ่าเชื้อโรคเชื้อไวรัส เชื้อรา ลดอาการภูมิแพ้ มีฤทธิ์เหมือนแอสไพริน จึงทำให้ไข้ลด และก็ยังคุ้มครองการไม่สบายหวัดได้
- ใบกระเพรา ใบกระเพราช่วยขับเสมหะ ทำให้จมูกโล่งเตียน ฆ่าเชื้อในทางเดินหายใจ
- ชา ใบชามีสารโพลีฟีนนอล เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการตำหนิดเชื้อ ทำใหเยื้อบุโพรงจมูกชุ่มชื้น หายใจสบาย
- ขิง เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน มีกลิ่นส่วนตัว สามารถช่วยลดอาการหวัด แก้ไอ ทำให้หายใจเตียนโล่งขึ้น ขับเหงื่อ
- กระเจี๊ยบ อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง พบสารแอนโธไซยานินในกระเจี๊ยบมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส ลดการตำหนิเชื้อ
เอกสารอ้างอิง- รับมือโรคหวัดอย่างไรให้เหมาะสม.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาสรีรวิทยา.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยมหิดล.
- หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “ไข้หวัด (Common cold/Upper respiratory tract infection/URI)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 389-392.
- ฟ้าทะลายโจร.(ฉบับประชาชน).หน่วยปริการฐานข้อมูลสมุนไพร.สำนักงานสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
- Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D., and Jamesson, J.(2001). Harrrison’s:Principles of internal medicine. New York. McGraw-Hill.
- ผศ.ภก.ธีรวิชญ์ อัชฌาศัย.ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ หรือแพ้อากาศ เป็นอะไรกันแน่? .บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/
- ไข้หวัด-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์
- นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ไข้หวัด.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่389.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กันยายน.2554
- Lacy CF, Armstrong LL, Goldman MP, Lance LL. Drug Information Handbook, 20th ed. Hudson, Ohio, Lexi-Comp, Inc.;