รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรควัณโรค - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 525 ครั้ง)

ณเดช2499

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 82
    • ดูรายละเอียด


กรุ๊ปบุคคลคนที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรค

  • คนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ที่พบมากเป็นผู้เจ็บป่วยโรคภูมิคุมกันบกพร่อง (ได้โอกาสเป็นวัณโรคในตลอดช่วงชีวิตถึงจำนวนร้อยละ 50 หรือมากยิ่งกว่าจำนวนร้อยละ 10 ต่อปี) เบาหวาน ไตวาย ผู้ที่รับประทานยาสตีรอยด์นานๆหรือใช้ยาเคมีบรรเทา คนป่วยติดเชื้อบางจำพวก (อาทิเช่น ฝึก โรคไอกรน ไข้หวัดใหญ่ ฯลฯ) คนที่ตรากตรำงานหนักหรือมีความเคร่งเครียดสูง
  • ผู้ติดสิ่งเสพติดหรือแอลกอฮอล์
  • ผู้ที่มีภาวการณ์ขาดอาหาร คนจรจัด
  • คนที่อยู่ในสถานที่ยัดเยียด การระบายอากาศไม่ดี อย่างเช่น คุก ศูนย์อพยพ เป็นต้น
  • คนที่สัมผัสสนิทสนมกับผู้เจ็บป่วยเป็นระยะนาน ดังเช่น สมาชิกในบ้านคนไข้ เพื่อนร่วมห้องพัก หรือห้องทำงาน
  • บุคลากรสาธารณสุขที่ให้การดูแลพยาบาลคนไข้
  • ผู้สูงวัย (เจออุบัติการณ์สูงในกลุ่มวัยมากยิ่งกว่า 65 ปี)
  • ทารกแรกเกิด


ขั้นตอนการรักษาวัณโรค ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่าวัณโรคโรคปอด ส่วนหนึ่งมักไม่มีอาการแสดงที่แน่ชัด การวินิจฉัยจึงควรต้องใช้หลักฐานหลายประเภทประกอบกันตั้งแต่เรื่องราวสัมผัสวัณโรค อาการแสดง เช่น ไข้ต่ำๆเบื่ออาหาร น้ำหนักลดซึ่งไม่มีลักษณะที่เจาะจง คนไข้มีอาการจับไข้และก็ไอนานเกิน 1-2 สัปดาห์ขึ้นไป ไอออกเป็นเลือด ฟังเสียงลักษณะการทำงานของปอดในขณะหายใจ
จากนั้นแพทย์อาจกระทำการตรวจพื้นฐานด้วยแนวทางตรวจคัดกรองวัณโรคที่เรียกว่า “การตรวจทูเบอร์คูลิน” (Tuberculin skin test : TST) ซึ่งเป็นการตรวจทางผิวหนังที่ใช้วิธีการของการตอบสนองโดยกลไกภูมิต้านทานของร่างกายที่จะสามารถได้ผลบวกได้ระหว่าง 2-8 สัปดาห์ หลังจากที่ได้รับเชื้อวัณโรคไปสู่ร่างกาย โดยหมอจะทำฉีดยาที่เป็นโปรตีนสารสกัดจากเชื้อวัณโรค เรียกว่า “พีพีดี” (Purified protein derivative : PPD) เข้าชั้นใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขน หลังจากนั้นราว 48-72 ชั่วโมง จำต้องกลับมาให้หมอหรือพยาบาลตรวจรอยฉีดยา ถ้าเกิดบริเวณที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมน้อยกว่า 10 มม. มีความหมายว่าบุคคลนั้นไม่น่าจะติดเชื้อโรค (ได้ผลลบ) แต่ถ้ารอบๆที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมตั้งแต่ 10 มม.ขึ้นไป แปลว่าบุคคลน่าจะติดโรควัณโรค (ให้ผลบวก) แล้วก็ต้องกระทำตรวจอื่นๆ
ทางห้องทดลองที่ช่วยวินิจฉัยวัณโรคดังเช่น เอ็กซเรย์ปอด ลักษณะผิดปกติที่เข้าได้กับวัณโรคปอดยกตัวอย่างเช่น พบการอักเสบของปอดที่ ปอดกลีบบน การย้อมเชื้อวัณโรคจากเสลด ควรจะทำในคนเจ็บทุกรายที่สงสัยว่าเป็นวัณโรคเพื่อช่วย ยืนยันการวิเคราะห์ โดยจะเก็บเสมหะรุ่งเช้าหลังตื่นนอน 3 วันติดต่อกัน จะรู้ผลด้านในโดยประมาณ 30 นาที แต่มีข้อเสียเป็น แนวทางนี้ได้โอกาสตรวจเจอเชื้อวัณโรคได้เพียงแค่ประมาณกึ่งหนึ่งของคนป่วย เท่านั้น ดังนั้นคนเจ็บที่ตรวจไม่เจอเชื้อวัณโรคในเสลดก็ยังอาจเป็นโรควัณโรคปอดได้ การเพาะเชื้อวัณโรคจากเสลด จุดเด่นคือ แนวทางลักษณะนี้สามารถตรวจพบเชื้อได้สูงถึง 80 - 90% ของคนป่วย แต่จำเป็นต้องใช้เวลาประมาณสองเดือนจึงทราบผล
เมื่อหมอวิเคราะห์ว่าเป็นวัณโรคปอด แพทย์จะให้ยารักษาวัณโรค โดยธรรมดาจะนิยมใช้สูตรยากิน 6 เดือน 2 เดือนแรกใช้ยา 4 จำพวก ยกตัวอย่างเช่น ไอเอ็นเอช (INH) หรือไอโซไนอะซิด (Isoniazid) ไรแฟมพิซิน (rifampicin) ,ไพราซิท้องนาไมด์ (pyrazinamide) แล้วก็อีแทมบูทอล (ethambutol) บางรายบางทีอาจใช้ สเตรปโตไมสินจำพวกฉีดแทนอีแทมบูทอล แล้วต่อด้วยยา 2 ประเภท เช่น ไอเอ็นเอช รวมทั้งไรแฟมพิซิน อีก 4 เดือน
    แพทย์จะย้ำเตือนให้คนไข้รับประทานยาให้ตามกำหนดทุกวัน ห้ามลืมหรือเว้นบางมื้อหรือบางวัน กำชับให้เครือญาติช่วยเลี้ยงดูให้คนเจ็บรับประทานยาได้สม่ำเสมอ ไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นผลให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา ทำให้รักษาไม่ได้เรื่อง หรือจำต้องเปลี่ยนไปใช้ยาสูตรที่แรงขึ้น    ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่องร่วมกับวัณโรคปอด เว้นเสียแต่ให้ยาต้านไวรัสโรคภูมิคุมกันบกพร่องแล้ว ยังจำเป็นต้องให้ยารักษาวัณโรค (ซึ่งเปลี่ยนแปลงสูตรยาที่แตกต่างกันออกไป) เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน 9 เดือน
    แพทย์จะนัดหมายผู้ป่วยมาติดตามผลของการรักษาอย่างใกล้ชิด โดยธรรมดาเมื่อใช้ยาได้ 2 สัปดาห์ อาการไข้และก็ไอจะเริ่มดีขึ้น รับประทานข้าวได้ และก็น้ำหนักขึ้น
    แพทย์จะกระทำการตรวจเสลด (ดูว่าเชื้อหายหมดหรือยัง) เป็นช่วงๆเป็นต้นว่า เมื่อรับประทานยาครบ 2 เดือน 5 เดือน และก็เมื่อสิ้นสุดการใช้ยารักษา นอกเหนือจากนั้นบางทีอาจทำการเอกซเรย์ปอดมองว่ารอยโรคหายดีหรือยัง
    ส่วนผู้ที่เป็นกรุ๊ปมีความเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบ ดังเช่นว่า คนป่วยดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์บ่อยๆ มีประวัติเป็นโรคตับอยู่ก่อน หรืออายุมากกว่า 35 ปี เมื่อรับประทานยารักษาวัณโรค ซึ่งอาจจะทำให้ตับอักเสบได้ แพทย์จะกระทำการตรวจเลือดมองระดับเอนไซม์ตับ (AST, ALT) เพื่อดูว่ามีการอักเสบของตับเกิดขึ้นหรือเปล่า
ทั้งนี้ปัญหาใหญ่เกี่ยวกับวัณโรคในประเทศไทยเป็นการเกิดวัณโรคดื้อยาหลายขนานซึ่งทำให้การดูแลและรักษาหายขาดเป็นได้ยากขึ้น แล้วก็อาจเกิดภาวะแทรกถึงชีวิตได้ทั้งในเด็กรวมทั้งผู้ใหญ่ ส่วนหนึ่งมาจากการกินยาที่ไม่บ่อยนักของผู้เจ็บป่วยสาเหตุจากปัญหาหลายประเภท ตัวอย่างเช่น การที่จะต้องรับประทานยาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน (อย่างน้อย 6 เดือน) ทำให้ผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการดีขึ้นนิดหน่อยหยุดยาหรือเปล่ามีตามนัด หรือในรายที่บางทีอาจทนผลกระทบของยาไม่ได้จึงหยุดยาเอง ฯลฯ
การติดต่อของวัณโรค เชื้อวัณโรคสามารถแพร่ขยายได้ทางอากาศ จากคนเจ็บที่เป็นวัณโรคปอดและกล่องเสียง การต่อว่าดเชื้อเกิดขึ้นจากการหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคของคนเจ็บ ซึ่งเกิดขึ้นจากการไอหรือจาม กล่าวหรือร้องเพลง เป็นต้น การไอหรือจามหนึ่งครั้งสามารถสร้างละอองฝอยได้ถึงล้านละอองฝอย อนุภาคของเชื้อมีขนาดเล็กมากประมาณ1-5 ไมครอน ละอองของเชื้อก็เลยสามารถลอยอยู่กลางอากาศได้นานแล้วก็ไปได้ระยะทางไกล เมื่อหายใจรับละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคเข้าไปในระบบทางเท้าหายใจที่ถุงลมของปอดและบางทีอาจมีการติดเชื้อที่ปอดรวมทั้งแพร่เชื้อสู่อวัยวะต่างๆในร่างกายทางต่อมน้ำเหลืองหรือกระแสโลหิตได้
                ปัจจัยเสี่ยงต่อการต่อว่าดเชื้อขึ้นกับปริมาณ หรือความเข้มข้นของเชื้อในอากาศและก็ช่วงเวลาสำหรับการสัมผัสเชื้อเป็นอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกันกับคนไข้เป็นวันหรือสัปดาห์ อาทิเช่นอยู่ห้องเดียวกัน ฯลฯ วัณโรคเป็นโรคติดโรคที่มีลักษณะพิเศษเป็น คนไข้ที่ติดเชื้อโรคหรือรับเชื้อเข้าไปภายในร่างกายทุกรายไม่มีความจำเป็นต้องเจ็บไข้คือ ไม่มีอาการและก็อาการแสดงของวัณโรค เรียกว่า การติดเชื้อระยะนี้ว่า วัณโรคอยู่ในระยะอำพราง/ระยะแฝง (latent Mycobacterium tuberculosis infection)  เมื่อบุคคลได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกายแล้ว ตลอดช่วงชีวิตต่อจากนั้นเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้โดยประมาณ ร้อยละ 10ซึ่งโดยประมาณปริมาณร้อยละ 5  (หรือราวๆ ปริมาณร้อยละ50) ได้โอกาสเป็นโรคในช่วง 1-2 ปีแรก (CDC, 2011) ส่วนอีกจำนวนร้อยละ 5   จะได้โอกาสเป็นโรคต่อจากนั้นถ้าหากร่างกายมีระบบระเบียบภูมิต้านทานธรรมดา ในกรุ๊ปที่มีภูมิต้านทานภายในร่างกายบกพร่องจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากกว่าปริมาณร้อยละ 10
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นวัณโรค[/url][/size]

  • กินยาให้สม่ำเสมอและต่อเนื่องตามคำสั่งแพทย์ หากระหว่างการรักษามีอาการผิดปกติให้กลับมาพบแพทย์ทันที ห้ามหยุดยาเอง หรือเปลี่ยนที่รักษาใหม่หลังกินยา 2-3 เดือน ผู้ป่วยจะรู้สึกว่ามีอาการดีขึ้นแต่อาการที่ดีขึ้นนั้นไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยหายจากโรคแล้ว ต้องกินยาจนแพทย์มีความเห็นว่าหายขาดและสั่งให้หยุดยา ถ้าด่วนหยุดยาเองโรคจะกำเริบและเชื้ออาจดื้อยาที่เคยรักษาอยู่ ทำให้รักษาหายยากขึ้น
  • ปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจาม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อสู่ผู้อื่น
  • บ้วนเสมหะลงในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด ทำลายเชื้อโรคในเสมหะด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
  • งดสิ่งเสพติดเช่น เหล้า บุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ (อาหารมีประ โยชน์ห้าหมู่) เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ธัญพืช ผัก และผลไม้
  • ให้บุคคลใกล้ชิดเช่น คนในบ้านพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและเอกซเรย์ปอด ซึ่งในผู้ใหญ่ ถ้าผลเอ็กซเรย์ไม่พบความผิดปกติจะถือว่าไม่เป็นวัณโรคไม่จำเป็นต้องมีการรักษา แต่ในเด็ก เล็ก ถึงแม้จะไม่มีอาการและเอ็กซเรย์ปอดปกติ จะต้องตรวจทูเบอร์คูลิน (tuberculin skin test หรือ TST) ซึ่งถ้าผลเป็นบวก แพทย์จึงจะให้การรักษาวัณโรค
  • ในช่วงแรกของการรักษา (โดยเฉพาะในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก) จะถือเป็นระยะแพร่เชื้อ ผู้ป่วยจึงควรแยกตัวออกให้ห่างจากผู้อื่น โดยการอยู่แต่ในบ้าน แยกห้องนอน ไม่อยู่ใกล้ชิดกับคนในบ้าน ภายในห้องควรเปิดหน้าต่างเพื่อให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกและให้แสงแดดส่องถึง (เนื่องจากแสงแดดและความร้อนจะทำลายเชื้อวัณโรคได้ดี) หมั่นนำเครื่องนอนออกไปตากแดด และไม่ออกไปที่ที่มีผู้คนแออัด นอกจากนี้ยังควรแยกถ้วย ชาม สำรับอาหารและเครื่องใช้ออกต่างหากด้วย (หากจำเป็นต้องเข้าใกล้ผู้อื่นหรือเข้าไปในที่ชุมชน ควรสวมหน้ากากอนามัยปิดปากและจมูกเสมอ)
  • ผู้ป่วยที่ต้องทำงานกลับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยเอดส์ เด็กเล็ก ควรแยกตัวออกห่างจากคนเหล่านี้จนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคแล้ว

การป้องกันตนเองจากวัณโรค

  • ถ้ามีอาการผิดปกติที่น่าสงสัยว่าเป็นวัณโรค เช่น ไอเรื้อรัง 2 สัปดาห์ขึ้นไป มีไข้ต่ำๆโดยเฉพาะตอนบ่ายๆหรือค่ำๆ เจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ควรรีบไปรับการตรวจรักษาโดยการเอกซเรย์ปอด ตรวจเสมหะ
  • รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่
  • ประชาชนทั่วไป ควรตรวจร่างกายโดยการเอกซ์เรย์ปอดหรือตรวจเสมหะ (AFB) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ถ้าพบว่าเป็นวัณโรคจะได้รีบรักษาก่อนที่จะลุกลามมากขึ้น
  • ถ้ามีผู้ป่วยวัณโรคอยู่ในบ้านเดียวกัน ควรกำชับให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยในช่วงที่ผู้ป่วยยังกินยารักษาวัณโรคได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ หรือยังไม่หายจากอาการไอ ควรหลีกเลี่ยงการนอนในห้องเดียวกับผู้ป่วย และถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดก็ควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อเสมอ รวมถึงต้องล้างมือทุกครั้งหลังการสัมผัสผู้ป่วยหรือสิ่งของๆผู้ป่วย
  • ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรค และผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือเป็นสมาชิกในบ้านเดียวกับผู้ป่วย แม้ว่าจะยังรู้สึกสบายดีก็ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจทูเบอร์คูลิน ถ้าพบว่าให้ผลเป็นบวกซึ่งแสดงว่าเป็นผู้ติดเชื้อวัณโรค
  • ฉีดวัคซีนบีซีจี (BCG) (Beeilus Calmette Guerin)ให้ทารกแรกเกิดทุกราย วัคซีนชนิดนี้มีผลในการป้องกันวัณโรค ชนิดรุนแรงในเด็กเล็ก แต่ไม่สามารถป้องกันวัณโรคปอดในผู้ใหญ่ ผู้ที่เคยฉีดบีซีจีมาแล้วก็ยังมี โอกาสเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรคปอดได้


ซึ่งวัคซีน BCG ถูกผลิตขึ้นเมื่อ  พ.ศ. 2461 A. Calmette และ A. Guerin สองนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันพลาสเตอร์ ก็ผลิตวัคซีนขึ้นมาเรียกว่า Bacille Calmette-Guerin (BCG) และเริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2464
สมุนไพรที่ใช้รักษา/บรรเทาอาการของวัณโรค วัณโรคเป็นโรคที่ติดต่อจากเชื้อไมโครแบคทีเรียที่เป็นอันตรายร้ายแรงและมีการติดต่อที่เร็วมาก เพราะสามารถแพร่เชื้อทางอากาศได้ แต่ในประเทศไทยของเราถือว่าได้รับข่าวดีเป็นอย่างมากเมื่อมีคณะนักวิจัยสามารถศึกษาวิจัยต้นพบว่ามีสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรคได้ถึง 14 ชนิด ดังที่มีการจัดการประชุมวิชาการกรมวิทศาสตร์การแพทย์ ณ.อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อปี 2551 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาวิจัย มหาวิทยาลัยโคโบราโดของอเมริกา ก็เพิ่งค้นพบว่า สารที่อยู่ในขมิ้นช่วยปราบวัณโรคชนิดที่ดื้อยาลงได้ โดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัยได้พบว่า ขมิ้นมีสารที่เรียกว่า แมคโครเฟลกซ์ ซึ่งมีสรรพคุณในการกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มโรคของมนุษย์สามารถขับไล่เชื้อวัณโรคได้ด้วย โดยจะไปกระตุ้นภูมิคุ้มโรคให้ต่อต้านเชื้อวัณโรคที่ดื้อยาให้อ่อนฤทธิ์กับการต่อสู้กับยาลง ซึ่งนักวิจัยได้ชี้แจงว่า การศึกษาทำให้เราได้พบหลักฐาน แสดงว่าสารในขมิ้นสามารถช่วยต่อต้านการอักเสบของวัณโรคชนิดที่ดื้อยาในเซลล์ของมนุษย์ได้  ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักวิจัยของไทย จะสามารถนำข้อมูลการวิจัยสมุนไพรเหล่านี้มาต่อยอด เพื่อผลิตเป็นยาเพื่อมารักษาวัณโรคได้ในภายหน้า
เอกสารอ้างอิง

  • แนวทางการดำเนินงานควบคุมวัณโรคแห่งชาติ พ.ศ.2556. สำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.ฉบับปรับปรุงเพิ่มเติม.2556.พิมพ์ที่สำนักกิจการโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมรารูปถัมภ์.186 หน้า
  • นพ.ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์.วัณโรค.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 323.คอลัมน์ เล่าสู่กันฟัง.มีนาคม 2549
  • วัณโรค-อาการ,สาเหตุ,การรักษา http://www.disthai.com/
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “วัณโรคปอด (Tuberculosis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 424-429.
  • วัณโรค.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • วัณโรคปอด.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 380.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.ธันวาคม 2553
  • รายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาสถานการณ์วัณโรคและโรคเอดส์ปี2550-2555สำ นักระบาดวิทยา.กรมควบคุมโรค.
  • กระทรวงสาธารณสุข.แนวทางระดับชาติ:ยุทธศาสตร์การผสมผสานการดำ เนินงานวัณโรคและโรคเอดส์เพื่อการควบคุมและป้องกันวัณโรคในผู้ติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่2กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา สำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, 2546
  • ศิริลักษณ์ อภิวาณิชย์,ถนอมวงศ์ มัณฑจิตร์ ,กำธร มาลาธรรม.การเฝ้าระวังการติดเชื้อวัณโรคของบุคลากรในทีมสุขภาพโรงพยาบาลรามาธิบดี.วารสารรามาธิบดีพยาบาลสาร.ปีที่18ฉบับที่2.กันยายน-ธันวาคม 2555.หน้า273-286
  • Jarvis, W.    (2007). Tuberculosis. In   W.    R.   Jarvis (Ed.), Bennett & Brachman's hospital infections (pp.539-560). Philadelphia: Lippincott Williams &Wilkins.
  • วัณโรค.แผ่นพับโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน.คณะกรรมการแผ่นพันเพื่อการประชาสัมพันธ์.คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล.2552.
  • เจริญ ชูโชติถาวร. (2548). โรคติดเชื้อ ใน พรรณทิพย์ ฉายากุล และคณะ (บก.), ตําาราโรคติดเชื้อ 1 (หน้า 683-719). กรุงเทพฯ: โฮลิสติก พับลิชชิ่ง
  • Centers for Disease Control and    (2005a). Guidelinesfor  preventing  the  transmission  of  Mycobacterium tuberculosis  in  health-care  settings,  2005. Retrieved March 16,    2011, from Morbidity and    Mortality Weekly Report Web site:
  • Kumar V, Abbas AK, Fausto N, Mitchell RN (2007). Robbins Basic Pathology (8th ed.). Saunders Elsevier. pp. 516– ISBN 978-1-4160-2973-1.

บันทึกการเข้า