รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคต่อมลูกหมากโต - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 413 ครั้ง)

ณเดช2499

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 82
    • ดูรายละเอียด


โรคต่อมลูกหมากโต (Benign prostatic hypertrophy-BPH)
โรคต่อมลูกหมากโตเป็นอย่างไร ต่อมลูกหมาก (prostate gland) คือต่อมของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ในเพศชาย อยู่ตรงด้านหลังของคอกระเพาะเยี่ยวในอุ้งเชิงกรานข้างหลังกระดูกหัวหน่าว มีรูปร่างคล้ายลูกเกาลัด ต่อมมี 5 กลีบ หนักโดยประมาณ 20 กรัม (ขนาดเท่าผลลิ้นจี่) มีหน้าที่สร้างน้ำมูก (ซึ่งเป็นส่วนใดส่วนหนึ่ง ของน้ำอสุจิ) เพื่อให้ตัวน้ำอสุจิแหวกว่ายรวมทั้งรับประทานเป็นของกิน  โดยปกติต่อมลูกหมากจะหยุดเจริญวัยหลังจากอายุ 20 ปี  จนกว่าอายุประมาณ 45 ปี จะมีการเพิ่มขนาดขึ้นอีกครั้ง และเป็นจุดเริ่มแรกของโรคต่อมลูกหมากโต โรคต่อมลูกหมากโตถือว่าเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่น่าไม่ค่อยสบายใจของคุณผู้ชายทั้งหลายแหล่ โดยทั่วไปผู้เจ็บป่วยโรคต่อมลูกหมากโตจะอยู่ในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป เมื่อแก่ขึ้นต่อมลูกหมากจะค่อยๆโตขึ้น ว่ากันว่าชายสูงอายุ 2 ใน 5 คนจะมีลักษณะอาการฉี่เปลี่ยนไปจากปกติ อาการดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นมีสาเหตุจากการที่ต่อมลูกหมากซึ่งอยู่ล้อมรอบท่อเยี่ยวมีขนาดโตขึ้นรวมทั้งไปบีบท่อฉี่ให้แคบลง
รวมทั้งยังมีรายงานการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยหลายๆชิ้นสรุปว่า ในเพศชายที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป มักตรวจพบโรคต่อมลูกหมากโต เนื่องจากความแปลกทางด้านขนาดรวมทั้งจำนวนเซลล์ต่อมลูกหมาก เมื่อขนาดของต่อมลูกหมากโตขึ้น จะส่งผลทำให้มีการเกิดการอุดกั้นของระบบทางเดินเยี่ยว เยี่ยวบ่อย ตรากตรำ จำต้องเบ่งเป็นเวลานาน กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ท้ายที่สุดอาจเยี่ยวไม่ออก และมีปัญหาเกี่ยวกับของลับไม่แข็ง ลักษณะการทำงานของต่อมลูกหมากอาศัยการกระตุ้นจากฮอร์โมนเพศชายซึ่งส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากอัณฑะ ซึ่งฮอร์โมนเพศชายนี้ยังเกี่ยวเนื่องกับการกระตุ้นการโตของเซลล์ของมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย โดยความไม่ดีเหมือนปกติของต่อมลูกหมากที่มักพบในชายไทย คือ โรคต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia; BPH) โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate cancer) รวมทั้งต่อมลูกหมากอักเสบ (prostatis) ร้อยละ 80 18 และ 2 ตามลําดับ  โดยโรคต่อมลูกหมากโตนี้ เป็นโรคพบได้มากมากมายของเพศชายวัยตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป โดยพบได้ราว 30-40% ของเพศชายวัย 50-60 ปี แล้วก็เมื่ออายุ 85 ปีจะเจอโรคนี้ได้สูงถึง 90% โรคนี้พบได้ในเพศชายทั่วโลก ทุกเชื้อชาติ
สาเหตุของโรคต่อมลูกหมากโต ในปัจจุบัน ยังไม่เคยทราบสาเหตุที่กระจ่างของการเกิดโรคต่อมลูกหมากโต แต่หมอมั่นใจว่า เมื่อชายแก่ขึ้นจะมีผลต่อการผลิตกรุ๊ปฮอร์โมนเพศชายจากอัณฑะที่ชื่อ แอนโดรเจน (Androgen) ก็เลยทำให้ร่างกายขาดสมดุลของฮอร์โมนเพศชายประเภทต่างๆโดยเฉพาะระหว่างฮอร์โมน เทสโทสสเตอโรน  (Testosterone) กับฮอร์โมน ไดไฮโดรเทสโทสสเตอโรน () (DHT) ซึ่งภาวะนี้ทำให้เซลล์ของต่อมลูกหมากมีการเติบโตผิดปกติได้ ที่เรียกว่า โรคต่อมลูกหมากโต
ฮอร์โมนที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุของโรคต่อมลูกหมากโต
ที่มา :  Wikipedia
นอกจากนั้นยังคาดคะเนว่าอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ โดยยิ่งไปกว่านั้นคนที่มีลักษณะออกจะรุนแรงในฝูงคนที่แก่น้อยกว่า 60 ปี ซึ่งจะต้องรับการรักษาโดยผ่าตัดชอบมีประวัติว่าคนภายในครอบครัวมักมีปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก
นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่าอาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากกรรมพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีลักษณะออกจะรุนแรงในกลุ่มคนที่แก่น้อยกว่า 60 ปี ซึ่งจำต้องรับการดูแลรักษาโดยผ่าตัดมักจะมีประวัติว่าคนภายในครอบครัวมักมีปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก
อาการโรคต่อมลูกหมากโต อาการของโรคต่อมลูกหมากโตนั้น เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเมื่อต่อมลูกหมากโตขึ้น จะไปนำไปสู่การระคายเคืองต่อท่อเยี่ยว รวมทั้งเมื่อต่อมฯยิ่งโตขึ้น ก็จะกดแทรกทับ หรือเบียดรัดรอบๆท่อปัสสาวะ จึงนำมาซึ่งการทำให้ท่อฉี่ตีบแคบลง จนกระทั่งบางทีอาจอุดตัน ดังนั้นลักษณะโรคต่อมลูกหมากโต ก็คือ

  • ยืนขึ้นชิ้งฉ่องกลางดึกมากกว่า 1 - 2 ครั้ง
  • สายฉี่ไม่พุ่ง ไหลช้า หรือไหลๆหยุดๆ
  • เกิดความรู้สึกว่าการถ่ายฉี่เกิดเรื่องวุ่นวายในชีวิตประจำวัน
  • ไม่อาจจะกลั้นฉี่ได้ ต้องรีบเข้าห้องน้ำทันทีที่ปวดฉี่
  • ต้องเบ่งหรือรอนานกว่าจะสามารถเยี่ยวออกมาได้
  • รู้สึกปัสสาวะไม่สุด ทำให้อยากปัสสาวะอยู่เรื่อย
  • เยี่ยวบ่อย ห่างกันไม่เกิน 2 ชั่วโมง


รวมทั้งในคนป่วยบางรายอาจมีอาการชิ้งฉ่องเป็นเลือด เนื่องจากเบ่งถ่ายนานๆอาจจะก่อให้เส้นเลือดดำที่ท่อปัสสาวะคั่ง แล้วแตกจนกระทั่งมีเลือดออกมาได้  ดังนี้โรคต่อมลูกหมากโตอาจมีภาวะแทรกซ้อนได้แก่  ฉี่ไม่ออกเลย ทางเดินฉี่อักเสบ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ไตเสื่อมหรือกระเพาะปัสสาวะเสื่อม เยี่ยวเป็นเลือด  ฯลฯ ซึ่งบางทีอาจพบได้ไม่เกินปริมาณร้อยละ 20 ของคนไข้ต่อมลูกหมากทั้งสิ้น
แนวทางการรักษาโรคต่อมลูกหมากโต การตรวจวินิจฉัยคนป่วยโรคต่อมลูกหมากโต

  • แนวทางในการซักความเป็นมา บ่อยหมอให้คนป่วยทำแบบสำรวจ (IPSS) เพื่อประเมินความร้ายแรงของความผิดปรกติของการเยี่ยว
  • การตรวจทวารหนักเพื่อคลำต่อมลูกหมาก เนื่องจากว่าต่อมลูกหมากอยู่ภายในร่างกาย เพราะฉะนั้น การใช้นิ้วทาสารหล่อลื่นลูบคลำต่อมลูกหมากผ่านทางทวารหนักจะเป็นกรรมวิธีการตรวจร่างกายที่ง่ายที่สุดสำหรับในการประเมินถึงลักษณะทางภายกายภาพของต่อมลูกหมาก และที่สำคัญยังสามารถบอกได้ถึงความแตกต่างจากปรกติที่สงสัยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยโดยแม้พบว่ามีลักษณะโต ผิวเรียบหมายความว่าคือต่อมลูกหมากโตปกติ แต่ถ้าหากมีลักษณะโตผิวไม่เรียบหรือออกจะแข็ง น่าสงสัยว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
  • การตรวจฉี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญ แล้วก็ต้องทำในผู้เจ็บป่วยทุกราย เพื่อดูว่ามีการอักเสบติดเชื้อ มีเม็ดเลือดไม่ปรกติหรือเปล่า แล้วก็ยังเป็นการบอกถึงความแตกต่างจากปรกติของร่างกายในระบบอื่นได้
  • การพิสูจน์เลือดเพื่อหาค่า PSA (prostatic specific antigen) ซึ่งจะตรวจต่อเมื่อคนไข้มีสุขภาพโดยรวมแข็งแรง และน่าจะมีชีวิตยืนยาวมากกว่า 10 ปีขึ้นไป เนื่องจากว่าโรคมะเร็งต่อมลูกหมากระยะเริ่มต้น มีลักษณะท่าทางจะโตและก็ลุกลามช้าโดยหมอจะตรวจค้นเอนไซม์ในเลือด ชื่อ พี.เอส.เอ (PSA : Prostate Specific Antigen) ซึ่งมีค่าธรรมดาราวๆ 0 - 4 ng/ml (ท้องนาโนกรัมต่อมิลลิลิตร) และก็ถ้าเกิดพบว่าผลเลือดสูงขึ้นยิ่งกว่าปกติ แพทย์จะเสนอแนะให้ตัดชิ้นเนื้อของต่อมลูกหมาก โดยใช้เข็มเล็กๆผ่านทางทวารหนัก และนำไปตรวจโดยกล้องจุลทรรศน์ว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่
  • การตรวจอัลตราซาวน์ ส่วนมากมักใช้เมื่อมีความผิดธรรมดาในการตรวจเยี่ยว แต่ปัจจุบันนี้เป็นที่ชื่นชอบส่งไปตรวจกันเพิ่มมากขึ้นเพราะไม่มีอันตรายและให้ผลดีสูง
  • การตรวจความแรงในการไหลของฉี่ (Uroflowmetry) มักจะร่วมกับการตรวจปัสสาวะที่เหลือค้างภายหลังปัสสาวะหมดแล้ว มีประโยชน์ในการประเมินความรุนแรงรวมทั้งติดตามการรักษา
  • การตรวจอื่นๆได้แก่ การส่องกล้อง การตรวจยูโรวิชาพลศาสตร์จะทำเมื่อมีข้อบ่งชี้ที่แจ้งชัด


การดูแลรักษาโรคต่อมลูกหมากโตบางทีอาจจะต้องใช้หลายๆวิธีด้วยกัน แม้กระนั้นโดยหลักๆแล้วสามารถแบ่งออกเป็น 3 วิธีดังนี้การเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต การใช้ยารักษา การผ่าตัด ซึ่งมีรายละเอียดเป็น

  • การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน: โดยแพทย์จะเลือกใช้ขั้นตอนการนี้ในกรณีผู้ป่วยมีลักษณะอาการจากโรคต่อมลูกหมากโตค่อนข้างน้อย แล้วก็อาการของคนไข้ยังไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้เจ็บป่วย โดยการปรับพฤติกรรมฯ เป็นการลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้อาการคนไข้ห่วยลง ตัวอย่างเช่น
  • เลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงก่อนไปนอน วิธีนี้จะช่วยลดการปวดปัสสาวะในกลางคืนได้ แต่ก็ไม่สมควรอดหรือลดปริมาณการกินน้ำในวันแล้ววันเล่า
  • งดเว้นดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน หรือลดปริมาณลงเพื่อไม่ให้มีการระคายเคืองที่กระเพาะปัสสาวะแล้วก็ทำให้อาการเกิดขึ้นอีก
  • บริหารร่างกาย มีการศึกษาค้นคว้าพบว่าการออกกำลังกายด้วยการเดินอย่างน้อยวันละ 30-60 นาทีต่อวันจะช่วยทำให้อาการ
  • จำกัดการกินยาลดน้ำมูก หรือยาแก้แพ้ การใช้ยาทั้ง 2 ชนิดจะก่อให้ปัสสาวะได้ทุกข์ยากลำบาก เนื่องจากยาจะเข้าไปทำให้กล้ามบริเวณท่อปัสสาวะที่ควบคุมการไหลของเยี่ยวหดตัว
  • กินอาหารที่มีประโยชน์ การทานอาหารที่ดีเป็นประโยชน์จะช่วยในเรื่องของการควบคุมน้ำหนัก ทำให้ความเสี่ยงโรคอ้วนลดน้อยลงซึ่งเกี่ยวของกับโรคต่อมลูกหมากโต
  • ฝึกฝนการเข้าห้องอาบน้ำ การเข้าห้องน้ำทุกๆ4-6 ชั่วโมงเป็นกรรมวิธีอย่างหนึ่ง ซึ่งจะช่วยได้มากในกรุ๊ปคนเจ็บที่ฉี่บ่อยครั้งและไม่สามารถกลั้นได้
  • เยี่ยวทีละ 2 คราว เพื่อไม่ให้เยี่ยวเหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะที่จะส่งผลให้เกิดลักษณะของการปวดเยี่ยวและปัสสาวะบ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น เมื่อปัสสาวะไปแล้ว ให้คอยอีกประมาณ 5 นาที แล้วฉี่ซ้ำอีกที ระหว่างรอ บางทีอาจแปลงท่า เป็นต้นว่า ลุกขึ้นยืน เป็นต้น
  • ทำฝึกความแข็งแรงของกล้ามอุ้งเชิงกราน(ฝึกขมิบตูดเพื่อกลั้นปัสสาวะ วิธีฝึกเหมือนกันกับที่เพศหญิงฝึกหัดขมิบช่องคลอด) ตามหมอ/พยาบาลแนะนำอย่างเคร่งครัด
  • เมื่อต้องออกจากบ้าน ควรคิดแผนหัวข้อการเยี่ยว(การใช้ห้องน้ำ)ไว้ล่วงหน้าเสมอเพื่อเกิดความสะดวกสำหรับในการปัสสาวะ
  • การใช้ยาต่างๆ: ซึ่งหมอจะเลือกใช้ในคนไข้ที่ใช้กระบวนการปรับพฤติกรรมฯไม่เป็นผล หรือในคนไข้ที่ตั้งแต่ก่อนมีลักษณะอาการรุนแรงระดับปานกลาง หรือมีอาการที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิติทุกวัน ซึ่งยารักษาโรคต่อมลูกหมากโต ในตอนนี้มีอยู่ประมาณ 2-3 ประเภท บางชนิดเป็นยาลดอาการหดเกร็งกล้ามเนื้อที่บีบท่อเยี่ยว บางชนิดมีสรรพคุณลดขนาดต่อมลูกหมาก และก็บางชนิดเป็นสมุนไพรที่สกัดขึ้นเพื่อลดอาการบวม หมอจะเป็นผู้พิจารณาการให้ยาตามสมควรซึ่งยาที่ใช้รักษาอาการโรคต่อมลูกหมากโต สามารถแบ่งออกได้ 3 กรุ๊ปดังต่อไปนี้ ยาในกรุ๊ปอัลฟา-บล็อกเกอร์ (Alpha adrenergic blockers)   ซึ่งสมัยเก่าจะใช้เป็นยาลดความดัน แต่ว่าตอนนี้ได้ปรับปรุงต่อกระทั่งส่งผลต่อความดันเลือดน้อยมาก ยาในกลุ่มนี้ออกฤทธิ์เร็ว ผู้ป่วยจะรู้สึกเยี่ยวสบายขึ้นภายใน 3 วัน แต่หากหยุดยารวมทั้งอาการก็จะกลับมาอย่างเร็ว ยาในกลุ่มนี้จะใช้กันแพร่หลายที่สุด พราโซซิน (prazosin) เทราโซสิน (tera-zosin) ดอกซาโซซิน (doxazosin) ยาที่ยับยั้งการผลิตฮอร์โมน (DHT) (Dihydrotestosterone)  ยาในกลุ่มนี้จะลดการผลิตฮอร์โมน DHT ซึ่งจำเป็นต้องต่อการเติบโตของต่อมลูกหมาก แม้ว่าจะออกฤทธิ์ช้า แต่ว่าสามารถลดขนาดของต่อมลูกหมากได้ในระดับหนึ่ง จะมีสาระเฉพาะคนป่วยที่มีต่อมลูกหมากออกจะโต ไฟท้องนาสเตอไรด์ (fina-steride) ยาสมุนไพร มีอยู่หลายแบบ สำหรับชนิดที่แพร่หลายที่สุดเป็นจากสมุนไพรชื่อ Saw palmetto แต่ประสิทธิภาพยังกำกวมนัก
  • การผ่าตัด: หมอจะเลือกใช้กระบวนการนี้เมื่อคนป่วยใช้ยาแล้วไม่ได้ผล โดยการผ่าตัดมีหลายวิธี สังกัด อาการ สุขภาพคนเจ็บ ความต้องการของผู้ป่วยแล้วก็ครอบครัว แล้วก็ดุลพินิจของแพทย์ ใน ตอนนี้นิยมผ่าตัดโดยการใช้กล้องถ่ายภาพส่องผ่านท่อฉี่ (transurethral resection of the prostatic หรือ TURP) เป็นการผ่าตัดเป็นแนวทางรักษาโดยขูดต่อมลูกหมากด้วยกล้องถ่ายรูปผ่านทางท่อปัสสาวะ หรือที่เพื่อตัดต่อมลูกหมากออกเป็นชิ้นเล็กๆที่สามารถทำได้โดยแพทย์ทางเท้าเยี่ยว หรือศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแค่นั้น ในระหว่างผ่าตัดคนป่วยจะได้รับการวางยาเฉพาะส่วนล่าง ทำให้ไม่รู้จักสึกเจ็บ ในระยะ 3 - 4 วันแรกหมอจะใส่สายสวนปัสสาวะเพื่อให้กระเพาะปัสสาวะได้พัก รวมทั้งรอให้ปัสสาวะใสเสียก่อนจึงจะเอาสายสวนปัสสาวะออก ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะด้านใน 2 - 4 สัปดาห์ วิธีแบบนี้แพทย์จะใช้กับผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการหนัก หรือมีภาวะแทรกซ้อน นอกเหนือจากนี้ยังมีวิธีอื่นๆอีกเป็นต้นว่า  การใช้คลื่นความร้อน เช่น ไมโครเวฟ คลื่นวิทยุ หรือเลเซอร์ ผ่านเข้าไปที่ต่อมลูกหมาก เพื่อทำให้ต่อมลูกหมากฝ่อและเล็กลง ซึ่งเป็นแนวทางที่หมอเลือกใช้ในรายผู้เจ็บป่วยที่ไม่เหมาะสมกับการผ่าตัดรวมถึงวิธี การขยายท่อฉี่โดยการใส่ท่อคาไว้ (prostatic urethral stent) ซึ่งเหมาะสำหรับคนไข้ที่ผ่าตัดมิได้  หรือปฏิเสธการผ่าตัด
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคต่อมลูกหมากโต

  • ผู้ชายที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่มีประวัติว่าคนในครอบครัวมีปัญหาหรือเคยป่วยด้วยโรคต่อมลูกหมากโต
  • ผู้ที่มีความผิดธรรมดาของอัณฑะ
  • ผู้มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
  • คนที่ขาดการออกกำลังกาย
  • คนที่ป่วยเป็นโรคหัวใจแล้วก็โรคเบาหวาน


การติดต่อของโรคต่อมลูกหมากโต โรคต่อมลูกหมากโตเป็นโรคที่เกิดจากการขาดสมดุลของฮอร์โมนเพศชายหลายๆประเภท ซึ่งจะมีผลให้เซลล์ของต่อมลูกหมากเจริญวัยแตกต่างจากปกติ มักเกิดในเพศชายที่แก่ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป แล้วก็โรคต่อมลูกหมากโตนี้ มิได้เป็นโรคติดต่อและไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน แล้วก็จากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด

การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรคต่อมลูกหมากโต

  • ฝึกหัดเยี่ยวให้เป็นเวลา ตัวอย่างเช่น ทุก 3 ชั่วโมง และหลังจากนั้นก็ค่อยๆปรับระยะเวลาตามอาการเพื่อคุ้มครองปกป้องการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
  • เยี่ยวครั้งละ 2 ครั้ง เพื่อไม่ให้ฉี่เหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะที่จะนำไปสู่อาการปวดฉี่แล้วก็ปัสสาวะหลายครั้ง ดังเช่น เมื่อฉี่ไปแล้ว ให้คอยอีกราวๆ 5 นาที แล้วปัสสาวะซ้ำอีกที ระหว่างรอคอย อาจเปลี่ยนท่า ดังเช่น ลุกขึ้นยืน เป็นต้น
  • กระทำการฝึกความแข็งแรงของกล้ามอุ้งเชิงกราน โดยการฝึกหัดขมิบก้น/ขมิบเพื่อกลั้นปัสสาวะ
  • ดื่มน้ำในทุกๆวันให้พอเหมาะ อย่าให้มากจนเกินความจำเป็น
  • ลด หรือเลิกดื่มเครื่องดื่มมีคาเฟอีน
  • ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์ทุกชนิด
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางจำพวกที่จะทำให้อาการคนไข้ห่วยแตกลง ยกตัวอย่างเช่น ยาขับเยี่ยว ยาแก้แพ้ ยาลดน้ำมูก ยาโรคกลัดกลุ้ม
  • การกินของกินมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ทุกวี่วันในจำนวนที่เหมาะสม ร่วมกับการออกกำลังกายตามความเหมาะสมกับสุขภาพทุกวัน เพื่อการควบคุมน้ำหนัก และไม่ให้เกิดโรคอ้วน
  • เมื่อจะต้องออกมาจากบ้าน ควรคิดแผนประเด็นการใช้ห้องสุขาไว้ล่วงหน้าเสมอเพื่อกำเนิดความสะดวกสำหรับการฉี่
  • รักษาร่างกายให้อบอุ่น อากาศที่หนาว จะมีผลให้อาการไม่ดีขึ้น
  • ระวังอย่าให้ท้องผูก


การปกป้องตัวเองจากโรคต่อมลูกหมากโต ในขณะนี้ยังไม่มีแนวทางใดที่ช่วยคุ้มครองป้องกันปัญหาต่อมลูกหมากโตได้อย่างแท้จริงด้วยเหตุว่ายังไม่รู้ปัจจัยที่แจ้งชัดของโรคนี้ และความเสี่ยงต่อโรคที่สำคัญที่ไม่อาจจะปรับแต่งได้ซึ่งก็คืออายุที่มากขึ้น โดยเหตุนั้นวิธีที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือผู้ชายที่แก่ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปควรจะได้รับการตรวจต่อมลูกหมากเสมอๆทุกปี และควรหมั่นพิจารณาความไม่ปกติของระบบทางเท้าปัสสาวะ เป็นต้นว่า ถ้ามีอาการชิ้งฉ่องตรากตรำ ต้องใช้แรงเบ่งนานๆฉี่ไม่พุ่ง ช่วงเวลากลางคืนจำต้องลุกขึ้นมาชิ้งฉ่อง บ่อยครั้ง หรือเยี่ยวเป็นเลือด ก็ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยมูลเหตุให้แจ่มชัด  เมื่อพบว่าคือต่อมลูกหมากโตก็ควรรับประทานยารักษา หรือทำการผ่าตัดปรับแต่งตามคำแนะนำของแพทย์ 
สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/รักษาโรคต่อมลูกหมากโต พืชสมุนไพรที่มีรายงานการวิจัยทางคลินิกว่ามีฤทธิ์รักษาโรคต่อมลูกหมากโตยกตัวอย่างเช่น มะเขือเทศ และฟักทอง โดยให้ผู้ป่วยที่ได้รับการวิเคราะห์ว่าอยู่เป็นโรคต่อมลูกหมากโตระยะเริ่มต้นรับประทานซอสมะเขือเทศเข้มข้น (Tomato paste) วันละ 50 กรัม (มี lycopene อยู่ 13 มก.) ต่อเนื่องกัน 10 อาทิตย์พบว่า มีผลทำให้ค่า prostate-specific antigen (PSA) ในเลือดซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงสภาวะต่อมลูกหมากโตลดลง รวมทั้งการเรียนทางคลินิกโดยให้คนไข้รับประทานแคปซูลสารสกัดเม็ดฟักทองขนาด 1000 มก.ต่อวัน ส่งผลทำให้คนเจ็บโรคต่อมลูกหมากโตมีอาการดียิ่งขึ้น เมื่อกินติดต่อกันนาน 12 สัปดาห์
มะเขือเทศ  ชื่อวิทยาศาสตร์ Solanum lycopersicum สกุล Solanaceae มีหลายการเล่าเรียนพบว่าไลวัวพีนในมะเขือ เทศสามารถลดระดับ PSA รวมทั้งคุ้มครองการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ โดยผ่านกลไกการทำงานต่างๆอย่างเช่น การลดการ เกิด lipid oxidation ต้านอนุมูลอิสระ และ ลดการสังเคราะห์ 5- alpha dihydrotestosterone ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการโตของต่อมลูกหมาก และยังพบว่าการบริโภคไลโคพีนจากผลิตภัณฑ์ มะเขือเทศซึ่งทำให้ผู้ใช้มีระดับไลวัวพีนในเลือดสูงมากขึ้นจะสามารถลดระดับ PSA ในผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้  Schwarz รวมทั้งแผนก (2008) ศึกษาในคนป่วยโรคต่อมลูกหมากโต (PSA > 4 mg/L) บริโภคไลวัวพีนวันละ 15 mg นาน 6 เดือน พบว่าสามารถปกป้องต่อมลูกหมากโตได้เมื่อตรวจทางทาวรหนักแล้วก็การตรวจอัลตราซาวด์และระดับ PSA ต่ำลงร้อยละ 11 เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุมที่ได้รับยาหลอก (placebo) อย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ (P < 0.05) รวมทั้งการทำแบบสำรวจอาการของต่อมลูกหมากฉบับนานาชาติ (International Prostate Symptom Score; IPSS) พบว่ากรุ๊ปที่ได้รับไลวัวพีนมีลักษณะของต่อมลูกหมากเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนจะมีการเล่าเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ มีการศึกษาในคนไข้โรคต่อมลูกหมากโตที่มีการเสี่ยงมากถึงจำนวนร้อยละ 80 ที่จะเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในอนาคต (High Grade Prostatic Intraepithelial Neoplasia; HGPIN) โดยกลุ่มทดลองที่ได้รับไลโคพีนวันละ 8 mg สม่ำเสมอทุกๆวันนาน 1 ปี (20 คน) เปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุม (20 คน) พบว่ากลุ่มที่ได้รับไลวัวพีนมีระดับ PSA ต่ำลง จาก 6.07 mg/L เป็น 3.5 mg/L คิดเป็นจำนวนร้อยละ 42 แล้วก็มีไลโคพีนในเลือดมากขึ้นจาก 360 เป็น 680 mg/L และก็เมื่อจบการเรียนพบว่ากลุ่มทดลองมีคนเจ็บจำนวน 2 ผู้ที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ในขณะคนเจ็บกลุ่มควบคุมจำนวน 6 คนที่มิได้กินอาการที่มีไลโคพีน (มะเขือเทศ แตงโม) ตลอดช่วงสำนักงานศึกษาเล่าเรียนมีระดับ PSA เพิ่มสูงมากขึ้น รวมทั้งคนที่มีระดับไลโคพีนในเลือดน้อยลงกลายเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงว่าการบริโภคไลโคพีนนาน 1 ปีสามารถปกป้องการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้เจ็บป่วยที่มีความเสี่ยงสูงได้
ฟักข้าว มีชื่อสามัญว่า Spring bitter cucumber ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Momordica Cochinchinensis Spreng.  ฟักข้าว คือผลไม้ที่อุดมด้วยไลวัวตะกาย รวมทั้งสารพฤษเคมีอื่นๆในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ได้แก่ เบต้า-แคโรทีน สูงขึ้นมากยิ่งกว่าแครอท 10 เท่า มีวิตามินซีมากกว่าส้ม 40 เท่า มีซีแซนทีนมากกว่า ข้าวโพด 40 เท่า อุดมด้วยวิตามินอี วิตามินเอ กรดไขมันโอเมก้า-3, โอเมก้า-6 แล้วก็โอเมก้า-9 ช่วยเสริมฤทธิ์สำหรับการต้านอนุมูลอิสระสูง รวมทั้งการไหลเวียนของเลือด  รวมทั้งในฟักข้าว มีไลโคปีน ชนิดพิเศษ เรียกว่า ไลโปแคโรทีน (Lipocarotene) เป็นกรดไขมันสายยาวที่ช่วยจับแคโรทีน จึงช่วยซึมซับแคโรทีน ฟักข้าว จึงเป็นแหล่งของไลโคตะกาย ที่ยอดเยี่ยม  ไลโคปีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งได้รับการยืนยันด้านการแพทย์แล้วว่า ช่วยชะลอความชรา ต้านความเสื่อมถอยของร่างกาย ช่วยลดโรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมากในผู้ชาย โดยต่อมลูกหมาก คือต่อมที่สร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ ต่อมลูกหมากตั้งอยู่ระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับท่อเยี่ยว เมื่อเพศชายอายุสูงมากขึ้นเป็น ตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเพศชาย(เทสโทสเตอโรน) ลดน้อยลง นำมาซึ่งการทำให้เซลล์ในต่อมลูกหมาก แบ่งตัวมากเพิ่มขึ้น ต่อมลูกหมากจึงโตขึ้น รวมทั้งถ้าเกิดมีการอักเสบร่วมด้วยก็จะมีโอกาสกำเนิดมะเร็ง ได้สูงมากขึ้น ไลโคไต่ จะควบคุมการโตของต่อมลูกหมาก ช่วยให้เซลล์มะเร็งฝ่อตาย และก็ลด การแบ่งเซลล์ของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้อีกด้วย
หญ้าหนวดแมว ชื่อวิทยาศาสตร์ : Orthosiphon stamineus Benth.   ตระกูล : Labiatae หรือ Lamiaceae   คุณประโยชน์หญ้าหนวดแมว ช่วยขับฉี่ ทำให้การหลั่งเยี่ยวเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านี้ ในตำรายาหลายฉบับเอ่ยถึงสรรพคุณต่างๆเป็นต้นว่า  ตำราเรียนยาใช้ใบ รวมทั้งลำต้นการดูแลรักษา แล้วก็ปกป้องโรคทางเท้าฉี่ ลำต้น ใช้ทั้งแบบสดหรือแบบแห้ง ด้วยการต้มดื่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายสูงอายุที่ช่วยแก้โรคต่อมลูกหมากโต รวมทั้งแก้ไขปัญหาเยี่ยวติดขัด รวมถึงมีฤทธิ์สำหรับในการขับกรดยูริก
เถาวัลย์เปรียง ชื่อวิทยาศาสตร์ Derris scandens (Roxb.) Benth  ชื่อวงศ์ Papilionaceae  สรรพคุณ:           แบบเรียนยาพื้นบ้าน: ใช้เถา ขับฉี่ แก้กษัยเหน็บชา ถ่ายกษัย แก้เส้นเอ็นขอด ถ่ายเสลด ไม่อึ ทำให้เอ็นอ่อนลง ขับเยี่ยว แก้เยี่ยวทุพพลภาพ
กระเจี๊ยบแดง ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus sabdariffa L. ชื่อวงศ์ Malvaceae  คุณประโยชน์:     แบบเรียนยาไทย: กลีบเลี้ยงมีรสเปรี้ยว แก้อาการขัดเบา  การเรียนรู้ทางสถานพยาบาล: ลดความดันโลหิต ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ทำให้ผู้เจ็บป่วยโรคนิ่วในท่อไต ปัสสาวะสะดวกขึ้น ผู้เจ็บป่วยกระเพาะปัสสาวะอักเสบมีลักษณะปวดแสบเวลาฉี่น้อยลง  รูปแบบและก็ขนาดวิธีใช้ยา:   ขับฉี่ ใช้สมุนไพรแห้ง บดเป็นผุยผง 3 กรัม (หรือ 1 ช้อนชา) ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วยแก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง นาน 7 วัน หรือจนกระทั่งอาการจะหาย
เอกสารอ้างอิง

  • โรคต่อมลูกหมายโต .สมาคมศัลยแพทย์ระบบปัสสาวะแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
  • Mohanty NK, Saxena S, Singh UP, Goyal NK, Arora RP. Lycopene as a chemopreventive agent in the treatment of high-grade prostate intraepithelial neoplasia. Urol Oncol Sem Orig Invest 2005;23:383-385
  • สมุนไพรตัวไหนบ้างที่ใช้รักษาต่อมลูกหมากโต.กระดานถาม-ตอบ.สำรักงานสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • รศ.นพ.สุรเกียรติอาชานานุภาพ.ต่อมลูกหมากโต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่345.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.มกราคม.2551
  • รศ.นพ.อนุพันธ์ ตันติวงศ์.ต่อมลูกหมากโต.ภาวิชาศัลย์ศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ต่อมลูกหมากโต-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/
  • Wei MY, Giovannucci EL. Lycopene, tomato products, and prostate cancer incidence: A review and reassessment in the PSA screening era. J Oncol 2012:2012:1-7. (doi: 10.1155/2012/271063)
  • เอมอร.ชัยประทีป.ผลของมะเขือเทศที่อุดมไปด้วยไลโคพีนในโรคต่อมลูกหมากโตและมะเร็งต่อมลูกหมาก.คอลัมน์นิพนธ์ปริทัศน์.นิตยสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ.ปีที่10.ฉบับที่3.กรกฎาคม-กันยายน.2558.หน้า117-121
  • เกรียงศักด์ เดชอนันต์, พยับเมฆหรือหญ้าหนวดแม
บันทึกการเข้า