รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคไส้ติ่งอักเสบ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 490 ครั้ง)

หนุ่มน้อยคอยรัก007

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 98
    • ดูรายละเอียด


โรคไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)
โรคไส้ติ่งอักเสบเป็นอย่างไร  ไส้ติ่ง (Vermiform appendix) เป็นส่วนเพิ่มเติมของลำไส้ที่ยื่นออกมาจากกระพุ้งไส้ใหญ่ (Cecum) ไส้ติ่งมีรูปร่างเสมือนถุงยาวๆขนาดเท่านิ้วก้อย ยื่นออกมาจากลำไส้ใหญ่ อยู่ตรงบริเวณท้องน้อยข้างขวา โดยมีลักษณะเป็นถุงแคบรวมทั้งยาว มีขนาดกว้างเพียงแต่ 5-8 มิลลิเมตร แล้วก็มีความยาวหรือก้นถุงลึกโดยเฉลี่ย 8-10 เซนติเมตร (ในคนแก่) ข้างในมีรูติดต่อกับลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ผนังด้านในของไส้ติ่งมีเยื่อต่อมน้ำเหลืองกระจายอยู่ ซึ่งเป็นเยื่อมีการอักเสบได้ง่าย โดยเยื่อนี้จะมีการเพิ่มปริมาณมากตอนวัยรุ่น ก็เลยพบไส้ติ่งอักเสบเกิดได้หลายครั้งในวัย รุ่น ไส้ติ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ที่ฝ่อตัวลงและไม่ได้ปฏิบัติภารกิจสำหรับในการย่อยแล้วก็ซึมซับอาหาร เหตุเพราะเป็นท่อขนาดเล็กปลายตัน เมื่อมีการอักเสบก็เลยทำให้เนื้อฝาผนังไส้ติ่งเน่าตายรวมทั้งเป็นรูทะลุในเวลาอันรวดเร็วทันใจได้
ไส้ติ่งอักเสบคือ อาการบวมและก็ติดโรคของไส้ติ่งนับเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันรวมทั้งอันตราย ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่ง ด่วน เพราะเหตุว่าถ้าหากว่าทิ้งไว้นาน ไส้ติ่งที่อักเสบมักแตกกระจายเชื้อโรคสู่ช่องท้อง แล้วก็บางทีอาจเป็นสา เหตุรุนแรงจนถึงติดโรคในกระแสเลือดจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
โดยการตายโดยมากของโรคไส้ติ่งอักเสบมีเหตุมาจากภาวการณ์เยื่อบุช่องท้องอักเสบและก็สภาวะช็อค โรคไส้ติ่งอักเสบได้รับการอธิบายเป็นครั้งแรกโดย Reginald Fitz ในปี พุทธศักราช 2429 เดี๋ยวนี้ได้รับการยินยอมรับว่าเป็นเลิศในสิ่งที่ทำให้เกิดลักษณะของการปวดท้องร้ายแรงกระทันหันที่มักพบที่สุดทั่วทั้งโลกรวมทั้ง โรคไส้ติ่งอักเสบยังพบเป็นสาเหตุลำดับแรกๆของโรคเจ็บท้อง ที่จำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีผ่าตัดเร่งด่วน บ่อยที่ค้นพบว่าคนไข้ปลดปล่อยให้มีลักษณะอาการปวดท้องนานยาวนานหลายวันแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยมาโรงหมอ  ซึ่งชอบพบว่าเป็นถึงกับขนาดไส้ติ่งแตกแล้ว ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่พบได้มาก เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กอายุ 2 ขวบไปจนถึงคนแก่ หรือแม้กระทั่งหญิงมีท้อง แต่ว่าจะมักพบในช่วงอายุ 10-30 ปี (เจอได้น้อยในคนวัยชรา เนื่องจากว่าไส้ติ่งตีบยุบมีเนื้อเยื่อหลงเหลือน้อย รวมทั้งในเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี เนื่องจากว่าโคนไส้ติ่งยังออกจะกว้าง) ในเพศหญิงและก็เพศชายได้โอกาสเป็นโรคนี้ได้เท่าๆกัน และก็มีการคาดทำนองว่าในตลอดกาลของคนเราจะได้โอกาสเป็นโรคนี้ราว 7% ในปีๆหนึ่งจะมีคนป่วยเป็นโรคนี้ประมาณ 1 ใน 1,000 คน
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคไส้ติ่งอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ มีต้นเหตุจากมีสภาวะอุดกั้นของรูไส้ติ่ง ส่วนการอุดกันนั้นส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นการเกิดขึ้นเองโดยไม่เคยทราบสาเหตุแน่ชัด แม้กระนั้นส่วนหนึ่งมีเหตุที่เกิดจากมีเศษอุจจาระแข็งเรียกว่า "นิ่วอุจจาระ" (fecalith) ชิ้นเล็กๆตกลงไปอุดกั้นอยู่ข้างในรูของไส้ติ่ง แล้วทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในรูไส้ติ่งปริมาณน้อยมีการเจริญรุ่งเรืองขยายพันธุ์และรุกล้ำเข้าไปในฝาผนังไส้ติ่ง กระทั่งเกิดการอักเสบตามมา ถ้าหากปลดปล่อยไว้เพียงแต่ไม่กี่วัน ผนังไส้ติ่งก็เกิดการเน่าตายรวมทั้งแตกทะลุได้ รวมทั้งมูลเหตุที่เจอได้รองลงมาคือ มีเหตุมาจากเนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลือง (Lymphoid tissue) ที่ฝาผนังไส้ติ่งที่หนาตัวขึ้นตามการอักเสบต่างๆที่เกิดขึ้นในร่างกาย นอกเหนือจากนี้อาจเป็นเพราะเนื่องจากสิ่งปลอมปน (ได้แก่ เมล็ดผลไม้), หนอนพยาธิ (ที่สำคัญเป็น พยาธิไส้เดือน พยาธิด้าย พยาธิตืดหมู) หรือเนื้องอก หรือบางเวลาก็อาจเป็นเพราะเนื่องจากการตำหนิดเชื้อที่ระบบทางเท้าหายใจส่วนบน ที่ทำให้ต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย และก็ต่อมน้ำเหลืองในไส้ติ่งมีการปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการขยายตัวขึ้นจนไปห้ามไส้ติ่ง และทำให้ไส้ติ่งที่อาจมีเชื้อโรคอาศัยอยู่เกิดอาการอักเสบท้ายที่สุด ในคนไข้บางรายอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสไซโตเมกะโล (Cytomegalovirus)  ซึ่งชอบเจอได้ในคนไข้โรคภูมิคุมกันบกพร่อง และก็บางรายอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบโดยที่หมอไม่รู้จักสาเหตุเลยก็ได้
ลักษณะของโรคไส้ติ่งอักเสบ อาการสำคัญของโรคไส้ติ่งอักเสบนั้นเป็น คนป่วยจะมีลักษณะปวดท้องที่มีลักษณะต่อเนื่องรวมทั้งปวดแรงขึ้นนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป หากมิได้รับการดูแลรักษาก็ชอบปวดอยู่นานยาวนานหลายวัน กระทั่งคนเจ็บทนปวดไม่ไหวต้องพาส่งโรงพยาบาล ซึ่งลักษณะของไส้ติ่งอักเสบนั้นบางทีอาจแบ่งได้สองประเภท คือประเภทขวานผ่าซากและจำพวกไม่ตรงไปตรงมาดังนี้ ประเภทตรงไปตรงมาแต่เดิมบางทีอาจปวดแน่นตรงลิ้นปี่คล้ายโรคกระเพาะ บางบุคคลอาจปวดบิดเป็นช่วงๆรอบๆสะดือ คล้ายอาการปวดแบบท้องเสีย อาจเข้าส้วมหลายครั้ง แต่ถ่ายไม่ออก (แม้กระนั้นบางคนอาจมีอาการถ่ายเป็นน้ำหรือ ถ่ายเหลวร่วมด้วย)ต่อมาจะมีลักษณะอาการอ้วก คลื่นไส้ เบื่อข้าวร่วมด้วย ลักษณะของการปวดท้องมักจะไม่ดีขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าจะรับประทานยาพาราใดๆ ถัดมาอีก 3-4 ชั่วโมง อาการปวดจะย้ายมาที่ท้องน้อยข้างขวา มีลักษณะปวดเสียดตลอดระยะเวลา และก็จะเจ็บเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อมีการขยับเขยื้อนตัว หรือเวลาเดินหรือไอจาม คนเจ็บจะนอนนิ่งๆถ้าเป็นมากคนไข้จะนอนงอขา ตะแคงไปข้างหนึ่ง หรือเดินตัวงอ เพื่อรู้สึกสบายขึ้น  เมื่อถึงขั้นที่มีอาการอักเสบของไส้ติ่งแจ่มแจ้ง มีวิธีตรวจอย่างง่ายๆคือ ให้คนป่วยนอนหงายแล้วใช้มือกดลงลึกๆหรือใช้หมัดตีเบาๆตรงรอบๆไส้ติ่ง (ท้องน้อยข้างขวา)คนป่วยจะรู้สึกเจ็บมากมาย (เรียกว่า อาการกดเจ็บ) คนไข้อาจมีไข้ต่ำๆ(อุณหภูมิ 37.7-38.3 องศาเซลเซียส) ส่วนประเภทไม่ตรงไปตรงมานั้นอาจจะเริ่มจากมีลักษณะปวดเริ่มที่หน้าท้องข้างล่างขวาตั้งแต่ต้น ท้องร่วง และมีการดำเนินโรคที่นานค่อยๆเป็น ค่อยๆไปกว่าชนิดไม่อ้อมค้อม ถ้าไส้ติ่งที่อักเสบสัมผัสกับกระเพาะปัสสาวะอาจทำให้มีลักษณะฉี่บ่อย หากไส้ติ่งที่อักเสบอยู่ด้านหลังลำไส้เล็กช่วงปลายอาจมีอาการคลื่นไส้รุนแรงได้ บางรายอาจรู้สึกปวดเบ่ง

ส่วนผู้ป่วยในกลุ่มที่เป็นเด็ก หรือสตรีตั้งครรภ์ อาจมีอาการบางสิ่งที่แตกต่างจากคนปกติทั่วไป ดังต่อไปนี้

  • ในกลุ่มคนป่วยที่เป็นเด็ก เด็กที่มีอายุต่ำว่า 2 ปี ลงไป จะมีลักษณะอาการที่เห็นได้ชัดเป็น อาเจียนมาก ท้องเฟ้อ ถ้าใช้มือกดบริเวณท้องจะรู้สึกเจ็บ ส่วนเด็กที่แก่มากยิ่งกว่า 2 ปีขึ้นไปจะเริ่มแสดงอาการได้ ซึ่งอาการก็จะไม่มีความต่างจากคนทั่วๆไป
  • ในกรุ๊ปผู้เจ็บป่วยที่เป็นสตรีมีครรภ์ เนื่องด้วยอวัยวะต่างๆที่ถูกดันให้สูงมากขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของมดลูก ไส้ติ่งของสตรีท้องจะเขยื้อนไปอยู่ที่บริเวณท้องส่วนบน ซึ่งหากมีลักษณะไส้ติ่งอักเสบจะก่อให้ปวดบริเวณท้องส่วนบนด้านขวาแทน นอกนั้นอาจมีลักษณะของการปวดบีบที่ท้อง มีก๊าซในกระเพาะอาหาร หรืออาการแสบร้อนที่กลางอก บางรายอาจพบอาการท้องร่วง หรือท้องผูกควบคู่กัน


คนป่วยโรคไส้ติ่งอักเสบหากมิได้รับการดูแลและรักษาโดยการผ่าตัดภายใน 24-36 ชั่วโมงหลังมีการอักเสบ ไส้ติ่งจะขาดเลือดเปลี่ยนเป็นเนื้อเน่ารวมทั้งตาย ในที่สุดฝาผนังของไส้ติ่งที่เปื่อยยุ่ยจะแตกทะลุ หนองแล้วก็สิ่งสกปรกข้างในลำไส้จะไหลออกมาในท้อง ทำให้เปลี่ยนเป็นเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) รวมทั้งถ้าเชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายไปสู่กระแสโลหิตก็จะมีการติดเชื้อในกระแสเลือด ก่อให้เกิดอันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
กรรมวิธีรักษาโรคไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคที่มีปัญหาสำหรับการวิเคราะห์ให้ที่ถูกต้องค่อนข้างจะมากมาย คนป่วยบางรายได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นโรคนี้ แม้กระนั้นเมื่อผ่าตัดเข้าไปก็พบว่าไส้ติ่งไม่มีการอักเสบ ผู้เจ็บป่วยบางรายแม้จะไปพบหมอแต่ก็ได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นโรคอื่น จนถึงไส้ติ่งแตกแล้วจึงได้รับการดูแลและรักษาวิเคราะห์ที่ถูกต้อง เด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ขวบดูเหมือนจะทุกรายมักจะวินิจฉัยโรคนี้ได้ภายหลังจากการแตกของไส้ติ่งแล้ว ในเด็กตัวเล็กๆแล้วก็ผู้เจ็บป่วยเฒ่าพบว่าบางทีอาจเกิดปัญหาร้ายแรง ถ้าได้รับการวินิจฉัยและก็รักษาโรคล่าช้าเนื่องจากมีภูมิคุ้มกันต่ำ
                การวินิจฉัยโรคไส้ติ่งอักเสบ การวินิจฉัยโรคในคนไข้โดยมากอาศัยลักษณะทางสถานพยาบาล (clinical menifestation) เป็นอาการและก็การตรวจเจอเป็นหลัก ส่วนการตรวจทางห้องปฎิบัติการและก็การค้นทางรังสีวิทยา (radiologic investigation) หรือการตรวจเพิ่มเติมอื่นๆมีความสำคัญน้อย มีสาระเฉพาะในคนเจ็บบางรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลไม่กระจ่างเพียงแค่นั้นโดยมีวิธีการวิเคราะห์ดังต่อไปนี้

  • การวินิจฉัยอาการของไส้ติ่งอักเสบ คือ
  • ลักษณะของการปวดท้อง เป็นอาการที่สำคัญที่สุด ตอนแรกชอบปวดบริเวณสะดือ หรือบอก มิได้ชัดแจ้งว่าปวดที่รอบๆใดแต่ว่าระยะต่อมาอาการปวดจะเด่นชัดที่ท้องน้อยทางด้านขวา (right lower quadrant-RLQ)
  • อาการอื่นๆที่อาจเจอร่วมด้วยเป็น


                          - คลื่นไส้ อ้วก อาการนี้เจอได้ในคนเจ็บดูเหมือนจะทุกราย
                          - ไข้ ชอบเกิดหลังจากเริ่มอาการปวดท้องแล้วระยะหนึ่ง
                          - เบื่อข้าว
                          - ท้องเสีย เจออาการในคนเจ็บบางราย มักจะเกิดภายหลังจากไส้ติ่งแตกทะลุ หรือ ชี้แจง ได้จากไส้ติ่งอักเสบที่อยู่ตำแหน่งใกล้กับลำไส้ใหญ่ส่วน sigmoid หรือ rectum

  • ในเด็กที่มีไส้ติ่งแตกทะลุอาจมาด้วยลักษณะของไส้ตันได้
  • การตรวจร่างกาย เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับในการวินิจฉัยโรค
  • การกดเจ็บเฉพาะที่ (local tenderness) เกือบ 100%จะมี maximal tenderness ที่ RLQ แล้วก็อาจมี guarding แล้วก็ rebound tenderness ด้วย ในคนไข้ไส้ติ่งแตกทะลุ tenderness และก็ guarding มักตรวจเจอบริเวณกว้างขึ้นหรือเจอทั่วบริเวณท้องน้อยด้านล่าง 2 ข้าง จากการมี pelvic peritonitis ในรายที่เป็นก้อนไส้ติ่งอักเสบ (appendiceal mass) จาก phlegmon หรือ abscess มักลูบคลำได้ก้อนที่ RLQ
  • การตรวจทางทวารหนัก (rectal examination) นับว่าเป็นผลดีมากมาย จะพบว่ากดเจ็บที่ทางขวาของ cul-de-sac แต่ไม่นิยมทำในเด็กเล็กเพราะว่าแปลผลได้ตรากตรำ ในเด็กหญิงอาจมีคุณประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์แยกโรคที่มีสาเหตุมาจาก twisted ovarian cyst ด้วยเหตุว่าอาจลูบคลำได้ก่อน ส่วนในรายที่สงสัยว่าอาจเกิดขึ้นจาก pelvic inflammatory disease นอกเหนือจากที่จะได้ประวัติการร่วมเพศแล้วการตรวจด้านใน (per vagina examination - PV) จะให้ประโยชน์มากมาย
  • การตรวจอื่นๆอาจได้ผลบวกสำหรับเพื่อการตรวจ ตัวอย่างเช่น


                          - Rovsing sign
                          - Obturator sign
                          - Psoas sign

  • การตรวจทางห้องปฎิบัติการ ไม่ค่อยมีความสำคัญมากเท่าไรนักในคนป่วยจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการตรวจร่างกายสามารถให้การวินิจฉัยได้อยู่แล้ว แม้กระนั้นจะทำเป็นฐานรากเพื่อการดูแลระหว่างการดูแลรักษาต่อไป ดังเช่นว่า
  • complete blood count พบมากว่า เม็ดเลือดขาวสูงยิ่งกว่าธรรมดาแล้วก็มี shift to the left
  • การตรวจเยี่ยว ไม่ค่อยมีคุณประโยชน์มากเท่าไรนักสำหรับในการวิเคราะห์แยกโรค แต่ว่าช่วยแยกโรคอื่น ดังเช่น มีเม็ดเลือดแดงในเยี่ยวอาจจำต้องคิดถึงนิ่วในท่อไต
  • การตรวจพิเศษ ในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลระบุชัดเจนว่าเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน การตรวจพิเศษเพิ่มเติมก็ไม่มีความสำคัญ แต่ว่าในรายที่ลักษณะทางคลินิกไม่ชัดเจนนั้น การตรวจพิเศษอาจมีคุณประโยชน์สำหรับในการวิเคราะห์แยกโรค อย่างเช่น
  • การถ่ายภาพรังสีของท้อง บางทีอาจเจอเงาของ fecalith หรือ localized ileus ที่ RLQ
  • การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonography) ของช่องท้อง หรือ barium enema ไม่มีความสำคัญในผู้ป่วยโดยมาก แต่บางทีอาจช่วยสำหรับในการวินิจฉัยโรคในคนป่วยบางรายที่มีปัญหาสำหรับการวินิจฉัยโรค


ไส้ติ่งอักเสบสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเท่านั้น เพราะเหตุว่าจะช่วยรักษาอาการและก็ช่วยกำจัดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะไส้ติ่งแตก โดยการผ่าตัดที่นิยมใช้ในขณะนี้เป็นการผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) เพราะเหตุว่าเป็นการผ่าตัดเล็กสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้โดยทันที เหมาะสมกับกรณีไส้ติ่งที่อักเสบยังอยู่ในระยะไม่ร้ายแรงนัก ถ้าเกิดร้ายแรงถึงขนาดไส้ติ่งแตก ก็จะต้องใช้การผ่าตัดแบบเปิด (Open Surgery) ซึ่งเป็นผ่าตัดแบบมาตรฐาน เพราะว่านอกเหนือจากต้องนำไส้ติ่งที่แตกออกแล้ว ยังจะต้องชำระล้างด้านในท้อง แล้วก็ใส่ท่อเพื่อระบายหนองจากฝีที่เกิดขึ้นอีกด้วย โดยหมอจะพิจารณาผ่าตัดรักษาดังต่อไปนี้

  • ในรายที่ลักษณะทางคลินิกระบุว่าน่าจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ ชี้แนะให้การรักษาโดยใช้การ ผ่าตัดโดยด่วน ภายหลังจากการเตรียมคนไข้ให้พร้อมแล้วก็เหมาะสมต่อการให้ยาสลบรวมทั้งการผ่าตัด
  • ในรายที่ลักษณะทางคลินิกกำกวมว่าจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ แม้กระนั้นมีสิ่งที่ทำให้สงสัยว่าบางทีก็อาจจะเป็นโรคนี้ ควรรับตัวไว้สังเกตอาการในโรงพยาบาล เพื่อติดตามประเมินลักษณะทางสถานพยาบาลต่อเป็นระยะๆโดยงดเว้นน้ำแล้วก็อาหาร และไม่ให้ยาปฎิชีวนะ เมื่อลักษณะทางคลินิกระบุกระจ่างขึ้นว่าน่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบทันควัน จะได้นำผู้ป่วยไปทำการผ่าตัดรักษาอย่างทันเวลา
  • ในรายที่ลักษณะทางคลินิกชี้ชัดว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน ไม่แตกทะลุ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ยายาปฏิชีวนะอีกทั้งก่อนแล้วก็หลังผ่าตัด แต่ว่าแพทย์ผู้ดูแลอาจพิเคราะห์ให้ยาปฏิชีวนะก่อนผ่าตัดก็ได้ เมื่อผ่าตัดพบว่าไส้ติ่งอักเสบไม่แตกทะลุ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ยาต่อ
  • ในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลไม่สามารถที่จะแยกได้ว่าไส้ติ่งแตกทะลุแจ่มแจ้ง นิยมให้ยายาปฏิชีวนะ โดยเริ่มตั้งแต่ก่อนผ่าตัด ถ้าผ่าตัดแล้วพบว่าไส้ติ่งไม่แตกทะลุ ไม่จำเป็นที่ต้องให้ยายาปฏิชีวนะต่อหลังผ่าตัด แม้กระนั้นถ้าพบว่าไส้ติ่งแตกทะลุก็ให้ยายาปฏิชีวนะต่อ
  • ในรายที่การตรวจร่างกายชี้ว่ามี peritonitis ซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากการแตกของไส้ติ่งอักเสบ ในเด็กมักมีลักษณะ generalized peritonitis ส่วนผู้ใหญ่จะเป็น pelvic peritonitis ก่อนนำคนป่วยไปทำการผ่าตัดควรที่จะใช้แนวทางรักษาแบบทะนุถนอมให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมสำหรับเพื่อการให้ยาสลบและการผ่าตัด ได้แก่การให้ intravenous fluid ที่เหมาะสมให้เพียงพอซึ่งบางทีอาจใช้เวลาหลายชั่วโมง ดูว่าผู้ป่วยมีปัสสาวะออกก็ดี ให้ยาปฎิชีวนะที่เหมาะสม ให้ยาลดไข้หรือเช็ดตัวให้อุณหภูมิร่างกายลดลงถ้าหากเป็นไข้สูง ถ้าหากอาการท้องอืดมากมายควรจะใส่ nasogastric tube ต่อ suction อาจใช้เวลาในการเตรียมผู้ป่วย 3-4 ชั่วโมงก่อนนำผู้เจ็บป่วยไปผ่าตัด
  • กรณีที่ไส้ติ่งแตกทะลุระหว่างการผ่าตัด หรือไส้ติ่งไม่แตกทะลุ แม้กระนั้นรุนแรงถึงกับขนาด gangrenous appendicitis เสนอแนะให้ยาปฏิชีวนะระหว่างการผ่าตัด แล้วก็สม่ำเสมอ 1-3 วันสุดแต่พยาธิภาวะ
  • ในรายที่มีลักษณะมานับเป็นเวลาหลายวันและการตรวจร่างกายพบว่ามีก้อนที่ RLQ ที่ระบุว่าน่าจะเป็น appendiceal phlegmon หรือ abscess ควรจะรักษาโดยแนวทางประคับประคองโดยให้ยาปฎิชีวนะที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมกว้างขวาง ถ้าเกิดผู้ป่วยตอบสนองดีต่อการรักษา ได้แก่ อาการปวดท้อง ก้อนเล็กลง ให้รักษาต่อโดยแนวทางเกื้อหนุน รวมทั้งนำผู้ป่วยไปทำ elective appendectomy ต่อจากนั้น 6 สัปดาห์ - 3 เดือน แต่ว่าถ้าเกิดการดูแลรักษาด้วยยาปฎิชีวนะดังที่ได้กล่าวมาแล้วมิได้รับการโต้ตอบที่ดีบางทีอาจจึงควรผ่าตัดเลย หากพยาธิสภาพรุนแรงมาก บางทีอาจทำเพียงแค่ระบายหนอง แม้กระนั้นถ้าเกิดพยาธิสภาพไม่ร้ายแรง แล้วก็สามารถตัดไส้ติ่งออกได้เลย ก็แนะนำให้ทำ


กลุ่มอาการที่เสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ มีลักษณะปวดท้องที่มีลักษณะไม่เหมือนลักษณะของการปวดโรคกระเพาะ ท้องเดิน หรือปวดเมนส์ ก็ให้สงสัยว่าบางทีอาจเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบได้ ควรรีบไปพบหมอ หากมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้

  • ปวดรุนแรง หรือปวดติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป
  • กดหรือเคาะเจ็บตรงรอบๆที่ปวด
  • อาเจียนบ่อยมาก กินอะไรก็ออกหมด
  • มีลักษณะอาการหน้ามืด เป็นลมเป็นแล้ง ใจหวิว ใจสั่น
  • มีไข้สูง หรือหนาวสั่น
  • หน้าตาซีดเซียวเหลือง
  • กินยาบรรเทาปวดแล้วอาการไม่ทุเลาหรือกลับรุนแรงขึ้น
  • คนไข้ที่มีลักษณะอาการท้องผูกร่วมด้วย ถ้าพบว่ามีลักษณะอาการเจ็บท้องรุนแรงกว่าธรรมดา ก็ห้ามรับประทานยาถ่าย หรือทำสวนทวาร


การติดต่อของโรคไส้ติ่งอักเสบ โรคไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการอุดตันของรูไส้ติ่ง จากสิ่งแปลกปลอมต่างๆทำให้ไส้ติ่งมีการอักเสบติดโรคและแตกในที่สุด ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้เจ็บป่วยแต่ละคน และไม่ได้เป็นโรคติดต่อที่แพร่ให้คนใกล้กันอะไร
การกระทำตนเมื่อเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ  เหตุเพราะโรคไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคเร่งด่วน จะต้องไปพบแพทย์ในทันที ที่ห้องเร่งด่วนของโรงพยาบาลเพื่อกระทำการผ่าตัดและไม่ควรรับประทานยาระบายหรือสวนอุจจาระ เมื่อมีอาการท้องผูกร่วมด้วย เพราะอาจทำให้ไส้ติ่งอักเสบนั้นแตกเร็วขึ้น

  • การกระทำตัวก่อนที่จะมีการผ่าตัดไส้ติ่ง คนไข้ควรปฏิบัติดังนี้


o    เมื่อมีลักษณะอาการของไส้ติ่งอักเสบ ก่อนไปพบแพทย์คนเจ็บต้องงดอาหารและน้ำกินไว้ด้วยเพื่อจัดเตรียมสำหรับในการผ่าตัดรีบด่วน
o   ในกรณีที่มีลักษณะอาการปวดท้องแต่ผู้ป่วยยังไม่เคยทราบสาเหตุ ห้ามรับประทานยาพารา แต่ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวิเคราะห์ก่อน เนื่องจากว่ายาแก้ปวดจะไปบังลักษณะของการปวดทำให้หมอแยกโรคได้ลำบาก
o  งดเว้นการใช้ครีมและเครื่องแต่งหน้าทุกประเภท รวมทั้งทำร่างกายให้สะอาด อาบน้ำ สระผม ตัดเล็บ เพื่อหมอพิจารณาอาการไม่ดีเหมือนปกติจากการขาดออกสิเจนได้

  • การกระทำตัวข้างหลังการผ่าตัดไส้ติ่ง หลังการผ่าตัดไส้ติ่ง 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยจะต้องกระทำการลุกจากเตียง เพื่อลำไส้มีการเคลื่อนเร็วขึ้น งดอาหารแล้วก็น้ำหลังผ่าตัดวันแรก ส่วนการดูแลแผลผ่าตัด ห้ามให้ผ้าปิดแผลเปียกน้ำ ห้ามให้แผลโดนน้ำ ห้ามเกา และเวลาไอหรือจามให้ใช้มือพยุงแผลไว้ด้วยเพื่อป้องกันแผลที่เย็บแยกออก ถ้าหากหากแผลยังไม่แห้งดีอย่าเพิ่งอาบน้ำ แต่ให้ใช้กรรมวิธีเช็ดตัวแทน นอกเหนือจากนี้เป็นการกินยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ เน้นการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เนื่องจากว่าจะช่วยให้แผลติดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้คือ การขับถ่ายอย่างสม่ำเสมอ และก็พักผ่อนให้เพียงพอ


การคุ้มครองตนเองจากโรคไส้ติ่งอักเสบ ในตอนนี้ยังไม่ครั้งการศึกษาและทำการค้นพบวิธีคุ้มครองป้องกันอาการไส้ติ่งอักเสบ เนื่องจากไส้ติ่งอักเสบเป็นอาการกระทันหันที่ไม่สามารถที่จะหามูลเหตุที่แน่ชัดได้ แต่มีข้อสังเกตว่า สามัญชนที่นิยมทานอาหารพวกผักผลไม้มาก (เช่น ชาวแอฟริกา) จะมีอัตราการเป็นไส้ติ่งอักเสบน้อยกว่ากรุ๊ปที่ทานผักและทานผลไม้น้อย (ยกตัวอย่างเช่น ฝรั่ง) จึงมีการเสนอแนะให้พากเพียรกินผักและผลไม้ให้มากมายๆทุกๆวัน ซึ่งส่งผลดีต่อการปกป้องโรคท้องผูก ริดสีดวงทวาร โรคอ้วน รวมทั้งยังมั่นใจว่าบางทีอาจคุ้มครองป้องกันไส้ติ่งอักเสบ และก็โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
นอกจากนั้นมีการเรียนที่ค้นพบว่า ภาวะท้องผูกมีส่วนสัมพันธ์กับการเกิดไส้ติ่งอักเสบ โดยพบว่าคนเจ็บไส้ติ่งอักเสบจะมีปริมาณครั้งในการอึต่ออาทิตย์น้อยกว่ากรุ๊ปควบคุมอย่างเป็นจริงเป็นจัง และยังพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งไส้ตรงชอบเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบเอามาก่อน ทั้งยังส่งผลการเรียนรู้หลายงานที่ศึกษาค้นพบว่า การรับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำจะมีส่วนในการส่งผลให้เกิดโรคไส้ติ่งอักเสบอีกด้วย
สมุนไพรที่ช่วยป้องงกัน/ทุเลาโรคไส้ติ่งอักเสบ เนื่องจากการดูแลรักษาโรคไส้ติ่งอักเสบจำต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเพียงแค่นั้นและก็ในตอนนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าสมุนไพรจำพวกไหนที่จะช่วยคุ้มครองปกป้องหรือ ทุเลา/รักษา โรคไส้ติ่งอักเสบได้ รวมถึงยังไม่มีรายงานการวิจัยชิ้นไหนที่รายงานว่าสมุนไพรจำพวกไหนสามารถช่วยคุ้มครองหรือ / รักษาโรคไส้ติ่งอักเสบได้
เอกสารอ้างอิง

  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป     หน้า 525-527.
  • Fitz RH (1886). "Perforating inflammation of the vermiform appendix with special reference to its early diagnosis and treatment". Am J Med Sci(92): 321–46.(อังกฤษ)
  • ไส้ติ่งอักเสบ-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.
  • Adamis D, Roma-Giannikou E, Karamolegou K (2000). "Fiber intake and childhood appendicitis". Int J Food Sci Nutr51: 153–7. (อังกฤษ)
  • รศ.นพ.สุรเกียรติอาชานานุภาพ.ไส้ติ่งอักเสบ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่301.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.พฤษภาคม.2547
  • SCHWARTZ, Principle of Surgery , McGRAW HILL
  • Wangensteen OH, Bowers WF (1937). "Significance of the obstructive factor in the genesis of acute appendicitis". Arch Surg34: 496–526. (อังกฤษ)
  • โรคไส้ติ่งอักเสบ(APPENDICITIS).แนวทางการรักษาพยาบาลผู้ป่วยทางศัลยกรรม.ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย.

บันทึกการเข้า