รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคหัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 525 ครั้ง)

Tawatchai1212

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 92
    • ดูรายละเอียด


โรคหัด (Measles)
โรคหัดคืออะไร|เป็นอย่างไร|เป็นยังไง} โรคหัด (Measles) จัดเป็นโรคไข้ออกผื่นประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากการตำหนิดเชื้อไวรัสที่พบมากในเด็กตัวเล็กๆ แม้กระนั้นก็สามารถพบได้ในทุกวัย ซึ่งโรคฝึกฝนนี้ยังนับเป็นโรคติดเชื้อโรคระบบทางเดินหายใจอีกด้วย สำหรับประวัติความเป็นมากของโรคฝึกนี้มีประวัติความเป็นมาดังนี้
         โรคหัด หรือชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า “measles” มีรากศัพท์จากคำว่า Masel ในภาษาเนเธอแลนด์ มีความหมายว่า จุด (spots) ที่อธิบายอาการนำของโรคนี้ที่ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการไข้แล้วก็ผื่น ยิ่งกว่านั้นอาการสำคัญอื่นๆที่เป็นคุณลักษณะเด่นของโรคฝึกฝน อย่างเช่น ไอ น้ำมูลไหล และตาแดง โรคหัดเป็นที่รู้จักมานานกว่า 2000 ปี พบหลักฐานการร่ายงานคราวแรกโดยหมอรวมทั้งนักปรัชญาชาวเปอร์เซียชื่อ Rhazed แล้วก็ใน คริสต์ศักราช1954 Panum แล้วก็ภาควิชา ได้รายงานการระบาดของโรคหัดที่หมู่เกาะฟาโรห์และให้บทสรุปของโรคนี้ว่าเป็นโรติดเชื้อโรคที่มีการติดต่อสู่บุคคลอื่นได้ง่าย มีระยะฟักตัวประมาณ 2 สัปดาห์ และก็ข้างหลังติดโรคผู้เจ็บป่วยจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีพ
โรคหัดถือว่าเป็นโรคที่มีความสำคัญมากมายโรคหนึ่ง เพราะว่าอาจจะเป็นผลให้กำเนิดโรคแทรกซ้อนส่งผลให้เสียชีวิตได้ แล้วก็แม้กระนั้นในตอนนี้โรคนี้มีวัคซีนป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงเกือบจะ 100% แล้ว(ในประเทศไทยเริ่มใช้วัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดตั้งแต่ ปี พุทธศักราช2527) โรคฝึกหัดเป็นโรคที่พบกำเนิดได้ตลอดทั้งปี แต่มีอุบัติการณ์สูงในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือน และก็โอกาสสำหรับเพื่อการกำเนิดโรคในหญิงรวมทั้งผู้ชายมีใกล้เคียงกัน
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีผู้ตายด้วยโรคฝึกจากทั้งโลก 134,200 ราย สำหรับเหตุการณ์โรคฝึกฝนในประเทศไทย ตามรายงานของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุขปี 2555,2556 พบว่ามีจำนวนคนป่วยโรคฝึกรวมทั้งสิ้น 5,207 คน แล้วก็ 2,646 คน ในแต่ละปีตามลำดับ โดยเด็กอายุ 9 เดือน-7 ปี จัดเป็นตอนๆอายุที่พบคนไข้โรคนี้มากที่สุด คิดเป็นจำนวนร้อยละ 37.03 และ 25.85 ของแต่ละปี
ที่มาของโรคฝึกหัด โรคหัดเกิดจากการติดเชื้อ Measles virus (หรือ Rubeola) อยู่ในGenus Morbillivirus และก็ Paramyxovirus เป็น single-stranded RNA รูปร่างกลม (spherical) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 100-250 นาโนเมตร หุ้มล้อมโดย envelope เป็น glycol-protien ที่มีโปรตีนสำคัญ 3 ประเภท ได้แก่ H protein ปฏิบัติภารกิจให้ฝาผนังไวรัสเกาะติดกับฝาผนังเซลล์ของผู้คน F protein มีความจำเป็นสำหรับการแพร่ไวรัสจากเซลล์หนึ่งสู่เซลล์อื่นๆM protein มีความจำเป็นเกี่ยวข้องกัน viral maturation เนื่องมาจากเป็นไวรัสที่มี envelope หุ้มห่อก็เลยถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน (>37◦ซ.) แสงสว่าง สภาพการณ์ที่เป็นกรดและสารที่ละลายไขมันดังเช่นว่าอีเทอร์ คลอโรฟอร์ม โดยเชื้อกลางอากาศแล้วก็บนผิววัตถุจะมีชีวิตเพียงแต่ช่วงเวลาสั้นๆ(ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) รวมทั้งเชื้อนี้สามารถก่อโรคได้เฉพาะในคนเท่านั้น
อาการโรคฝึกฝน  ผู้ป่วยจะเริ่มจับไข้สูง 39◦เซลเซียส-40.5◦เซลเซียส ร่วมกับมีไอ น้ำมูก รวมทั้งตาแดง เป็นอาการสำคัญบางรายบางทีอาจเจอตาไม่สู้แสงสว่าง (photophobia) เจ็บคอ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต เบื่ออาหารและท้องเสียร่วมด้วย อาการพวกนี้จะกำเนิด 2-4 วันก่อนจะมีผื่นขึ้นและพบ Koplik spots เป็นลักษณะเจาะจงที่สำคัญ เห็นเป็นจุดขาวผสมเทาเล็กๆบนพื้นแดงของกระพุ้งแก้ ส่วนมากพบบริเวณกระพุ้งแก้มตรงข้ามกับฟันกรามข้างล่างซี่แรก (first molar) พบมาก 1 วันก่อนมีผื่นขึ้นรวมทั้งปรากฏอยู่นาน 2-3 วัน การดำเนินโรคมีลักษณะดังนี้เป็นไข้จะค่อยๆสูงมากขึ้นจนกระทั่งสูงสุดในวันที่ 3-4 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มมีผื่นขึ้น ลักษณะผื่นเป็น maculopapular rash เริ่มที่ไรผม หน้าผาก ข้างหลังหู บริเวณใบหน้าแล้วก็ไล่ลงมาที่คอ หน้าอก แขน ท้อง จนกระทั่งมาถึงขาในเวลา 48-72 ชั่วโมง ผื่นที่ขึ้นก่อนในวันแรกๆมักกลุ่มรวมกันลักษณะเป็น confluent maculopapular rash ทำให้มองชัดกว่าผื่นบริเวณช่วงล่างของลำตัวซึ่งมีลักษณะเป็น discrete maculopapular rash มีรายงานการเจอผื่นที่ฝ่ามือหรือฝ่าตีนถึงปริมาณร้อยละ 25-50 และก็บางทีอาจสมาคมกับความรุนแรงของโรค เมื่อผื่นกำเนิดไล่มาถึงเท้าไข้จะต่ำลง อาการอื่นๆจะดียิ่งขึ้น ผื่นจะอยู่นาน 3-7 วันและหลังจากนั้นก็ค่อยๆจางลงจากหน้าลงมาเท้าและก็เปลี่ยนเป็นสีคล้ำ (hyperpigmentation) ซึ่งเป็นผลจากการมีเลือดออกในเส้นเลือดฝอยแล้วต่อจากนั้นจะหลุดลอกเป็นแผ่นบางๆจำนวนมากมักสังเกตไม่เจอเนื่องจากหลุดไปพร้อมการอาบน้ำ อาจพบการดำเนินโรคที่ป่วยแบบ biphasic คือ ไข้สูงใน 24-48 ชั่วโมงแรกต่อมาอุณหภูมิกลายเป็นปกติไม่มีไข้โดยประมาณ 24 ชั่วโมงแล้วจึงเริ่มมีไข้สูงอีกรอบแล้วก็มีผื่นเกิดขึ้นในวันที่ไข้สูงสุด ไข้จะคงอยู่อีกราวๆ 2-3 คราวหลังจากผื่นขึ้นแล้วจึงหายไป ในกรณีที่ไข้ไม่ลงหรือลงแล้วกลายเป็นซ้ำใหม่ควรตรวจหาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นเพราะเนื่องจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ส่วนอาการไออาจพบนานถึง 10 วัน ส่วนภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกหัดที่พบได้บ่อยมีดังนี้
                ภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกหัด เจอได้ร้อยละ 30 ของคนไข้โรคหัด พบมากในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีรวมทั้งคนแก่ที่อายุน้อยกว่า 5 ปีรวมทั้งคนแก่ที่แก่กว่า 20 ปี เกิดได้หลายระบบของร่างกาย ปัจจัยโดยมากมีสาเหตุจากเยื่อบุ (epithelial surface) ของอวัยวะต่างๆถูกทำลายและก็ผลการกดภูมิคุ้มกันจากการตำหนิดเชื้อไวรัสของร่างกาย แยกตามอวัยวะต่างๆของร่างกายได้ดังนี้

  • หูศูนย์กลางอักเสบ (otitis media) พบราวๆจำนวนร้อยละ 10
  • ปอดบวม (pneumonia) ซึ่งกำเนิดได้ 2 ระยะ ระยะแรกที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสเอง จะเป็น interstitial pneumonia ในพักหลัง ซึ่งมีสาเหตุจากการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียเข้าแทรก จะเป็น bronchopneumonia
  • อุจจาระร่วง (diarrhea) มักกำเนิดในช่วงแรกที่มีไข้ หรือเมื่อผื่นเริ่มขึ้น
  • สมองอักเสบ (encephalitis) เจอได้ 1:1000 ถึง 1:10000 ซึ่งกำเนิดในช่วง 2-5 วัน ภายหลังผื่นออก มีลักษณะอาการไข้ คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ซึม ซึ่งถ้ากรวดน้ำไขสันหลัง จะพบเซลล์เป็น lymphocyte โปรตีนสูง
  • Subacute sclerosing panencephalitis (SSPE) เจอได้ 1 ใน 100000 มักกำเนิดภายหลังจากเป็นหัดแล้ว 4-8 ปี อาการจะค่อยๆเป็นค่อยๆไป มีความประพฤติไม่ถูกไป เชาวน์เสื่อมลง มีอาการชัก อาการทางประสาทจะเหลวแหลกลงเรื่อยๆถึงโคมา แล้วก็เสียสุดท้าย ถ้าหากกรวดน้ำไขสันหลังพบว่ามี high titer of measles antibody ตรวจ EEG พบ burst suppression pattern with paroxysmal high-amplitude burst and background suppression
ขั้นตอนการรักษาโรคฝึก
การวินิจฉัย โรคฝึกใช้การวิเคราะห์จากการซักความเป็นมาและตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยผู้ป่วยจะมีไข้สูง น้ำมูก ไอ  ตาแดง และพบผื่นลักษณะ maculopapular rash ในช่วงวันที่ 3-4 ของไข้ การเจอ  Koplik spots (จุดภายในปากตอนกระพุ้งแก้ม) จะเป็นสาระสำคัญที่ช่วยสำหรับเพื่อการวินิจฉัย ในเรื่องที่อาการและก็อาการแสดงไม่ชัดเจนอาจไตร่ตรองส่งตรวจทางห้องทดลองดังต่อไปนี้เพิ่มอีกเพื่อช่วยรับรองการวินิจฉัย

  • การตรวจน้ำเหลืองเพื่อหาระดับของดินแดนตำหนิบอดีต่อไวรัสหัด แนวทางที่นิยมใช้ได้แก่ enzyme immunoassay (EIA) เหตุเพราะทำง่าย ราคาไม่แพง มีความไวรวมทั้งความจำเพาะสูง โดยตรวจหาแอนติบอดีจำพวก IgM ใน acute phase serum หรือตรวจหาดินแดนติบอดีจำพวก IgG 2 ครั้งใน acute และ convalescent phase serum ห่างกัน 2 อาทิตย์ เพื่อดูการเพิ่มขึ้นของระดับแดนติเตียนบอดี  (fourfold rising of  antibody)  เพื่อรับรองการวิเคราะห์ โดยวิธีแบบนี้จะสามารถตรวจพบภายหลังจากมีผื่นแล้ว 3 วัน โดยระดับแอนติบอดีจะขึ้นสูงสุดราวๆ 14 คราวหลังผื่นและจะหายไปใน 1 เดือน ช่วงเวลาที่แนะนำให้ตรวจเป็น 7 ครั้งหน้าผื่นขึ้น ซึ่งมีวิธีดังนี้


วิธี ELISA IgM ใช้ตัวอย่างนน้ำเหลือง (serum): เจาะเลือดเพียงครั้งเดียวตอน 4-30 วันหน้าพบผื่น โดยเจาะเลือด 3-5 มิลลิลิตรทิ้งไว้ที่อุณหภูมิปกติ รอจนเลือดแข็งตัว ดูดเฉพาะ Serum (หามีอุปกรณ์พร้อมให้ ปั่นแยก Serum) เก็บใส่หลอดไร้เชื้อ ปิดจุกให้สนิทแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปวิเคราะห์ต่อไป

  • การตรวจสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสฝึกหัด โดยแนวทาง polymerase chain reaction (PCR) ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้


ปิดฉลาก ชื่อ-สกุล และวัน-เดือน-ปี ที่เก็บ แนวทาง PDR ใช้throat/nasal swab : เก็บช่วง 1-5 วันแรกข้างหลังพบผื่น โดยใช้ SWAB ป้ายด้านในบริเวณ posterior pharynx จุ่มปลาย swab ใน viral transport media หักด้าม swab ทิ้งเพื่อปิดหลอดให้สนิทแล้วก็ค่อยนำไปวินิจฉัยต่อไป
                การดูแลรักษา เหตุเพราะการต่อว่าดเชื้อไวรัส หัดไม่มียาใช้รักษาเฉพาะ ควรต้องให้การรักษาตามอาการ ตัวอย่างเช่น เช็ดตัวลดไข้ ให้ยาลดไข้ สารน้ำในกรณีที่มีภาวะขาดน้ำหรือกินอาหารได้น้อย ให้ความชุ่มชื้นรวมทั้งออกสิเจนในกรณีที่หอบหายใจเร็ว   ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้นว่า ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบใคร่ครวญรักษาด้วยการใช้ยาต้านจุลชีวินที่สมควรเป็นต้น
                นอกนั้นพบว่าการให้วิตามินเอ ยังสามารถลดอัตราการตายและก็ความพิกลพิการจากภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกฝนได้และยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรคฝึกฝนได้อีกด้วย ด้วยเหตุผลดังกล่าวแพทย์ก็เลยมักพิเคราะห์จะให้วิตามินเอแก่ผู้เจ็บป่วยที่มีข้อบ่งชีดังนี้

  • ผู้เจ็บป่วยอาการร้ายแรงที่อาศัยอยู่ในประเทศไม่ค่อยมีการพัฒนา หรือในบริเวณที่ยากแค้นของประเทศที่กำลังปรับปรุง
  • คนไข้เด็กอายุ 6-24 เดือน รวมทั้งจะต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลด้วยโรคฝึกหัดที่มีภาวะแทรกซ้อน
  • คนเจ็บที่มีภาวะภูมิต้านทานขัดขวางโรคขาดตกบกพร่อง
  • คนป่วยขาดสารอาหาร
  • ผู้ป่วยที่เคยมีประวัติเป็นโรคตา จากการขาดวิตามิน เอ
  • คนเจ็บที่มีปัญหาเรื่องลำไส้ซับไม่ดี (ก็เลยมักขาดวิตามิน เอ)
  • ผู้ป่วยที่พึ่งพิงย้ายมาจากพื้นที่ที่มีอัตราการตายจากโรคฝึกสูง

สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดโรคหัด

  • เด็กหรือผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับการฉีดซีนป้องกันโรคฝึกฝนมีการเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคฝึกหัดได้
  • สถานที่ที่มีความชื้อที่แดดส่องไม่ถึง หรือมีผู้คนคับคั่งเยอะมากๆมักจะเป็นที่ที่มีการระบาดของโรคฝึกหัด ดังเช่นว่า สถานศึกษา สถานที่รับเลี้ยงเด็กฯลฯ
  • คนที่มีภาวะขาดวิตามินเอ ชอบมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัด มากกว่าคนปกติ
  • ผู้ที่มีภาวการณ์ความผิดแปลกของระบบภูมิต้านทาน
  • ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีระบบระเบียบสาธารณสุขที่ไม่มีคุณภาพ(ประเทศกำลังพัฒนา)


การติดต่อของโรคฝึกหัด โรคฝึกฝนเป็นโรคติดต่อที่แพร่สู่บุคคลอื่นได้ง่ายผ่านทางการหายใจ (airborne transmission) เชื้อไวรัสฝึกจะอยู่ในละอองน้ำมูก น้ำลายและก็เสมหะของผู้ป่วย ติดต่อไปยังผู้อื่นโดยการไอจามรดกัน เชื้อจะติดอยู่ในละอองฝอยๆเมื่อผู้เจ็บป่วยไอหรือจาม เชื้อจะกระจัดกระจายออกไปในระยะไกลและก็แขวนลอยอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อคนปกติมาสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไป หรือละอองสัมผัสกับเยื่อตาหรือเยื่อเมือกโพรงปาก (ไม่มีความจำเป็นที่ต้องไอหรือจามรดใส่กันตรงๆ) ก็สามารถทำให้ติดโรคฝึกหัดได้ หรือสัมผัสสารคัดเลือกหลังของคนเจ็บโดยตรง ซึ่งเชื้ออาจติดอยู่กับมือของคนป่วย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆตัวอย่างเช่น ถ้วยน้ำ จาน ชาม ผ้าที่เอาไว้สำหรับเช็ดหน้า ผ้าที่มีไว้เช็ดตัว หนังสือ ของเด็กเล่น เมื่อคนธรรมดามาสัมผัสถูกมือผู้ป่วย หรือสิ่งของเครื่องใช้ ที่ด่างพร้อยเชื้อ เชื้อก็จะติดมากับมือของคนๆนั้น เมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ ระยะการติดต่อเริ่มตั้งแต่ 4  วันโดยช่วงที่เริ่มมีลักษณะอาการไอและก็มีน้ำมูกก่อนเกิดผื่นเป็นระยะที่มีปริมาณไวรัสถูกขับออกมาสูงที่สุด ซึ่งภายในช่วงเวลา 7-14 คราวหน้าสัมผัสโรค เชื้อไวรัสฝึกหัดจะกระจัดกระจายไปทั่วร่างกายนำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการของระบบทางเท้าหายใจ ไข้และก็ผื่นในคนไข้รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาอื่นๆตามมาอีกด้วย โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ไม่ได้รับวัคซีนคุ้มครองโรคฝึกมีโอกาสมีอาการป่วยเป็นโรคฝึกหัดถ้าเกิดอยู่ใกล้คนที่เป็นโรค
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคฝึกหัด

  • กินน้ำสะอาดให้มากๆขั้นต่ำวันละ 6-8 แก้ว โดยบางทีอาจเป็นน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ก็ได้ เพื่อปกป้องการขาดน้ำ
  • พักผ่อนให้มากๆไม่ทำงานหนักหรือออกกำลังกายมากจนเกินไป
  • ของกินที่รับประทานควรเป็นอาหารอ่อนๆตัวอย่างเช่น ซุปไก่ร้อนๆโจ๊ก น้ำหวาน น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อนๆดังเช่น ชาร้อน น้ำขิง
  • พากเพียรกินอาหารให้ได้ตามธรรมดา โดยควรจะเป็นอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆรสไม่จัด ที่สำคัญเป็นคนเจ็บไม่จำเป็นที่จะต้องงดของแสลง เนื่องจากว่าโรคนี้ไม่มีของแสลง โดยควรเน้นย้ำการกินอาหารชนิดโปรตีนให้มากมายๆอย่างเช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่ว รวมทั้งของกินที่มีวิตามินเอ มากมายๆเช่น ผักบุ้ง แครอท ตำลึง ตับวัว ฟักทอง อื่นๆอีกมากมาย
  • อย่าถูกฝนหรือถูกอากาศเย็นจัด ห้ามอาบน้ำเย็น แล้วก็ควรจะใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น
  • ใช้ผ้าชุบน้ำชุบน้ำอุ่นหรือน้ำก๊อกอุณหภูมิปกติ (อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลามีไข้สูง
  • งดเว้นการสูบยาสูบ เลี่ยงควันของบุหรี่ รวมทั้งงดเว้นการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
  • เลี่ยงการไปในที่สาน้ำที่ที่มีคนคับคั่ง
  • รับประทานยารวมทั้งปฏิบัติตามคำเสนอแนะของแพทย์อย่างเคร่งครัว
  • ไปพบแพทย์ตามนัด
การคุ้มครองตัวเองจากโรคหัด

  • ในตอนที่มีการระบาดของโรคฝึกหัด ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด แม้กระนั้นถ้าเกิดหลบหลีกไม่ได้ ควรใส่หน้ากากอนามัย แล้วก็หมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาด หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสลดของผู้ป่วย รวมทั้งอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกถ้าหากยังไม่ได้ล้างมือให้สะอาด
  • ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ ร่วมกับคนไข้ และก็ควรจะเลี่ยงการสัมผัสมือกับผู้เจ็บป่วยโดยตรง หากไม่ได้สวมถุงมือคุ้มครองป้องกัน
  • อย่าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย แม้กระนั้นจำเป็นที่จะต้องดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด ควรจะใส่หน้ากากอนามัย แล้วก็หมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอภายหลังสัมผัสกับผู้เจ็บป่วยหรือสิ่งของของผู้ป่วย


แต่ดังนี้ วิธีที่ดีที่สุดที่จะคุ้มครองโรคฝึกหัดได้หมายถึงฉีดยาคุ้มครองป้องกัน ปัจจุบันนี้กระทรวงสาธารณสุขให้ฉีดวัคซีนป้อง กันโรคฝึก 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน รวมทั้งครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าห้องเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่ 1 โดยทั้งคู่ครั้งให้ในรูปของวัคซีนรวม คุ้มครองป้องกันได้สามโรคเป็นโรคหัด โรคคางทูม รวมทั้งโรคหัดเยอรมัน เรียกว่า วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR, M= mumps/มัมส์/โรคคางทูม M= measles/มีเซิลส์/ฝึกหัด แล้วก็ R=rubella/รูเบลลา/ โรคเหือด)
ประวัติความเป็นมาของการพัฒนะวัคซีน วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกหัดเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่ปี คริสต์ศักราช1960 จนตราบเท่ามีการจดทะเบียนการใช้วัคซีนเป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริการเมื่อปี ค.ศ.1963 อีกทั้งวัคซีนชนิดเชื้อตาย (killed vaccine) และวัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์ (live attenuated vaccine) ภายหลังจากเริ่มใช้วัคซีนทั้งยัง 2 ประเภทได้เพียงแค่ 4 ปี วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกหัดประเภทเชื้อตามก็ถูกถอนทะเบียนจากตลาดเนื่องจากพบว่ากระตุ้นให้เกิด  atypical measles ด้วยเหตุนั้นในตอนต้นวัคซีนที่ใช้ก็เลยเป็น  monovalent live attenuated measles vaccine ที่ผลิตขึ้นจากเชื้อสายประเภท Edmonston จำพวก B โดยนำเชื้อเพาะในไข่ไก่ฟักรวมทั้ง chick embryo cell แต่เจอปัญหาข้างเคียงที่ร้ายแรงเรื่องไข้ ผื่น ก็เลยมีการปรับปรุงวัคซีนจำพวกเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์จากสายพันธุ์  Edmonston จำพวกอื่นๆด้วยกระบวนการผลิตประเภทเดียวกันแต่ว่าทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลงอีก ผลข้างเคียงจึงน้อยลง ถัดมาในปี ค.ศ.1971 มีการขึ้นบัญชีวัคซีนรวมจำพวก trivalent live attenuated measles-mumps-rubella  vaccine (MMR) และก็ใช้อย่างแพร่หลายจนถึงตอนนี้สำหรับเมืองไทยเริ่มมีการบรรจุวัคซีนคุ้มครองโรคฝึกยามเช้าไปกลยุทธ์สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติครั้งแรกในปี พุทธศักราช2527 โดยเริ่มให้ 1 ครั้งในเด็กอายุ 9-12 เดือนรวมทั้งในปี พ.ศ. 2539 ก็เลยเพิ่มการให้เข็มที่ 2 แก่เด็กชั้นประถมศึกษาเล่าเรียนปีที่ 1 จนกว่าปี พ.ศ.2540 ได้กำหนดให้ใช้วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกหรือวัคซีนรวมคุ้มครองป้องกันโรคฝึกฝน-คางทูม-หัดเยอรมัน  (MMR) ในเด็กอายุ 9-12 เดือนรวมทั้งเปลี่ยนวัคซีนคุ้มครองโรคหัดสำหรับเด็กอายุ 4-6 ปีหรือชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นวัคซีนรวมปกป้องโรคหัด – คางทูม – โรคเหือด (MMR) ด้วยเหมือนกัน
สมุนไพรที่ใช้คุ้มครองป้องกัน/รักษา/บรรเทาลักษณะโรคฝึก ตามตำรายาไทยนั้นระบุว่าสมุนไพรที่ใช้รักษาลักษณะของโรคฝึกหัดมีดังนี้

  • สะเดา (Azadirachta indica A.Juss.) ใช้ก้านสะเดา 33 ก้าน ต้มกับน้ำ 10 ลิตร แล้วต้มจนกระทั่งเหลือน้ำ 5 ลิตร ชูลงทิ้งเอาไว้รอคอยให้เย็น ผสมกับน้ำเย็น 1 ขัน ใช้อาบให้ทั่วร่างกายวันละ 1-2 ครั้ง จวบจนกระทั่งจะหาย และก็ต้องระมัดระวังอย่าอาบช่วงที่เม็ดฝึกฝนผุดขึ้นมาใหม่ๆแม้กระนั้นให้อาบในช่วงที่เม็ดฝึกออกเต็มที่แล้ว
  • ขมิ้นอ้อย (urcuma zedoaria (Christm.) Roscoe) ใช้เป็นยาแก้ฝึกฝนหลบใน ด้วยการใช้เหง้า 5 แว่น รวมทั้งต้นต่อไส้ 1 กำมือ เอามาต้มรวมกับน้ำปูนใสพอเหมาะพอควร แล้วนำมาใช้ดื่มเป็นยาก่อนอาหารเช้าตรู่แล้วก็เย็น ครั้งละ 1 ถ้วยชา
  • ปลาไหลเผือก (Eurycoma longifolia Jack) เปลือกลำต้นเอามาต้มเอาน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้เหือดฝึก


 ยิ่งไปกว่านี้ในบัญชีสามัญประจำบ้านแผนโบราญ พุทธศักราช2556 ดังระบุไว้ว่ายาเขียวสามารถใช้รักษาแล้วก็บาเทาอาการของโรคฝึกได้ โดยในสมัยก่อน ที่แท้การใช้ยาเขียวในโรคไข้เป็นผื่นในแผนไทย ไม่ได้มีเป้าประสงค์ในการยั้งเชื้อไวรัส แม้กระนั้นอยากกระแทกพิษที่เกิดขึ้นให้ออกมาเยอะที่สุด คนเจ็บจะหายได้เร็วขึ้น ผื่นไม่หลบใน หมายถึงไม่เกิดผื่นด้านใน เพราะฉะนั้นก็เลยมีหลายท่านที่รับประทานยาเขียวแล้วจะมีความรู้สึกว่ามีผื่นมากยิ่งกว่าเดิมขึ้นจากเดิม แพทย์แผนไทยจึงแนะนำให้ใช้ทั้งยังวิธีกินแล้วก็ทา โดยการกินจะช่วยกระทุ้งพิษภายในให้ออกมาที่ผิวหนัง และก็การทาจะช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง ถ้าจะเปรียบเทียบกับวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน น่าจะเป็นไปพอดียาเขียวบางทีอาจออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบ หรือ เพิ่มภูมิต้านทาน หรือต้านออกซิเดชัน มักใช้รักษาในเด็กที่ป่วยเกิดผื่น ตัวอย่างเช่น หัด อีสุกอีใส เพื่อกระทุ้งให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น และก็หายได้เร็ว
ตำรับยาเขียว มีส่วนประกอบของพืชที่ใช้ส่วนของใบเป็นองค์ประกอบหลัก การที่ใช้ส่วนของใบทำให้ยามีสีค่อนข้างจะไปทางสีเขียว ก็เลยทำให้เรียกกันว่า ยาเขียว รวมทั้งใบไม้ที่ใช้นี้จำนวนมาก มีคุณประโยชน์ เป็นยาเย็น หอมเย็น หรือ บางจำพวกมีรสขม เมื่อประกอบเป็นตำรับแล้ว จัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวจำนวนมากมีสรรพคุณ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งตามความหมายของการแพทย์แผนไทยนั้น หมายถึงการที่เลือดเป็นพิษและความร้อนสูงมากจนถึงจำต้องระบายทางผิวหนัง สำเร็จให้ผิวหนังเป็นผื่น หรือ ตุ่ม อาทิเช่นที่เจอในไข้ออกผื่น ฝึกหัด อีสุกอีใส เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.พญ.ธันยวีร์ ภูธนกิจ.โรคหัด.(Measles).เอกสารประกอบการสอน ไข้ออกผื่น (Exanthematous Fever).ภาควิชากุมารเวชศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.พฤษภาคม.2547
  • ศศิธร ลิขิตนุกูล. โรคหัดและหัดเยอรมัน (Measlesand rubella). ใน: พรรณทิพย ฉายากุล, บรรณาธิการ.ตําราโรคติดเชื้อ เลม 1 กรุงเทพฯ: สมาคมโรคติดเชื้อแหงประเทศไทย; น.523-9.
  • รศ.รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล.ยาเขียว.ยาไทยใช้ได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “หัด (Measles/Rubeola)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 396-400.
  • ผศ.ดร. ดลฤดี สงวนเสริมศรี, ผศ.ดร. เดือนถนอม พรหมขัติแก้ว มหาวิทยาลัยมหาสารคาม . ฤทธิ์การต้านเชื้อไวรัส varicella zoster ของตำรับยาเขียว (Anti-varicella zoster virus of Ya-keaw remedies). โครงการวิจัยภายใต้ทุนสนับสนุนของ สกว.
  • Axton JHM. The natural history of measles. Zambezia. 1979:139-54.
  • Babbott FL, Gordon JE. Modern measles. Am J Med Sci. 1954;228:334.
  • Koplik HT. The diagnosis of the invasion of measles from study of the exanthema as it appears on the buccal mucosa. Arch pediatr. 1896;13:918-22.
  • Maldonado YA. Rubeolar virus (Measles and subacute sclerosing panencephalitis). In: Long SS, Pickering LK, Prober CG, editors. Principles and practical of pediatric infectious disease 3re ed. Churchill Livingston: Elsevier Inc; 2008. p.1120-6.
  • Suringa DW, Bank LJ, Ackerman AB. Role of measles virus in skin lesion and Koplik’s spots. N Engl J Med. 1970;283:1139-42.
  • แนวทางการเฝ้าระวังควบคุมโรคการตรวจรักษาและส่งตัวอย่างตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อกำจัดโรคหัดตามพันธะสัญญานานาชาติ (ฉบับปรับปรุงวันที่ 2 พฤษภาคม 2555) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • Gershon AA. Measles virus. In: Mendell GL, Bennett JE, Dolin R, eds. Mendell, Douglas and Bennett’s principle and practical of infectious disease 7th Churchill Livingston : Elsevier Inc; 2010. p.2229-36.
  • Miller C. Live measles vaccine: A21-year follow up. Br Meg J. 1987;295:22.
  • Robbins FC. Measles: Clinical Feature. Am J Dis Child. 1965; 266-73.
  • Nakai M, Imagawa DT. Electron microscopy of measles virus replication. J virol 1969;3:189-97.
  • American Academy of Pediatrics. Rubella. In: Pickering LK, Baker CJ, Kimberlin DW, Long SS, eds. Red Book 2009: Report of the Committee on Infectious Diseases. 28th ed. Elk Grove Village, IL: American Academy of Pediatrics; 2009. p.579-84.
  • Measles (rubeola). In: Krugman S, Katz SL, Gershon AA, Wilfert CM, editors. Infectious disease of children. 9th ed. St. Louis: Mosby Yearbook; 1992. p. 223-45.
  • Atabani SF, Byrnes AA, Jaye A, Kidd IM, Magnusen AF, Whittle H, Natural measles causes prolonged suppression of interleukin-12 production. J Infect Dis. 2001;184:1-9.
  • Krugman S. Further-attenuated me
บันทึกการเข้า