รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคเอดส์ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 427 ครั้ง)

bilbill2255

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 112
    • ดูรายละเอียด


โรคภูมิคุมกันบกพร่อง (Acquired immunodeficiency syndrome. AIDS)

  • โรคเอดส์คืออะไร โรคภูมิคุ้มกันขาดตกบกพร่อง หรือโรคเอดส์ พึ่งจะมีการศึกษาและทำการค้นพบมา 30 กว่าปี และก็ทั้งโลกต่างหวาดกลัว เนื่องมาจากตอนนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้

    ประวัติของโรค ภูมิคุ้มกันบกพร่อง/AIDS อันดับแรกคงจะจะต้องเอ๋ยถึงปี พ.ศ. ๒๔๕๒ Carlos Ribeiro Justiniano Chagas แพทย์ชาวบราซิล ค้นพบเชื้อที่ตอนนั้นคิดว่าเป็นโปรโตซัวชื่อ Pneumocystis carinii ซึ่งก่อโรคปอดบวม(Pneumonia) ในหนูแล้วก็มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immunodeficiency) โรคปอดบวมนี้เรียกว่า Pneumocystis carinii Pneumonia (PCP) ถัดมา Otto Jirovec นักพยาธิวิทยาชาวเช็ก เสนอว่าเชื้อนี้ที่ก่อโรคในคนกับสัตว์เป็นคนละประเภทกัน แม้กระนั้นไม่มีสิ่งที่ใช้พิสูจน์ที่แน่นอน
    พุทธศักราช ๒๕๒๔ Michael Gottlieb แพทย์คนประเทศอเมริการายงานว่าเจอคนไข้ที่เป็นชายรักร่วมเพศ ๕ ผู้ป่วยเป็นโรค PCP และก็อีก ๕ เดือนถัดมาทั้งผองก็ติดเชื้อโรคเชื้อไวรัส CMV ซึ่งชอบเป็นในมีภูมิต้านทานขาดตกบกพร่อง แม้กระนั้นหามูลเหตุไม่พบว่าภูมิต้านทานของคนเหล่านี้ผิดพลาดจากอะไร จึงมั่นใจว่าเป็นโรคใหม่ เพราะว่า ๔ ใน ๕ คนนี้ตรวจเจอเชื้อไวรัสตับอักเสบบีร่วมด้วยซึ่งติดต่อทางเพศชมรม ก็เลยคาดว่าโรคที่พบใหม่นี้น่าจะติดโรคทางเพศสโมสรเช่นกัน
    พ.ศ. ๒๕๒๕ ศูนย์ควบคุมรวมทั้งคุ้มครองปกป้องโรคของอเมริกา (CDC) ตั้งชื่อโรคนี้ว่า Acquired Immunodeficiency Syndrome หรือโรคเอดส์ (AIDS) นั่นเอง
    พ.ศ. ๒๕๒๖ Luc Montagnier และทีมวิจัยจากสถาบัน Pasteur ใน Paris ค้นพบเชื้อไวรัสที่เป็นต้นเหตุของโรคนี้โดยใช้ชื่อว่า Lymphadenopathy Associated Virus (LAV)
    อีกหนึ่งปีต่อมา Robert Gallo แล้วก็ทีมวิจัยจากสถาบันเชื้อไวรัสวิทยาใน Baltimore ก็ค้นพบเชื้อไวรัสนี้เหมือนกันโดยเรียกว่า Human T-cell Lymphotrophic Virus-III (HTLV-III) แต่ Gallo กล่าวถึงว่าตนเป็นผู้ค้นพบเชื้อนี้เป็นคนแรกนำมาซึ่งการโต้เถียงกัน ในที่สุดพิสูจน์ได้ว่าทั้งคู่เป็นเชื้อเดียวกันก็เลยให้ใช้ชื่อเดียวกันว่า Human Immunodeficiency Virus (HIV) รวมทั้งถือว่าทั้งคู่เป็นผู้ค้นพบด้วยกัน     โรคเอดส์ หรือโรคภูมิต้านทานผิดพลาด (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) สื่อความหมายกว้างๆว่า โรคภูมิต้านทานผิดพลาดซึ่งไม่ได้เป็นมาตั้งแต่เกิดแม้กระนั้นโรคภูมิคุมกันบกพร่อง (AIDS) คือโรคจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งย่อมาจากคำว่า Human immunodeficiency virus จัดเป็นไวรัสในกรุ๊ปรีโทรเชื้อไวรัส (Retro virus)โดยเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีบทบาทสร้างภูมิต้านทานโรค ทำให้ผู้เจ็บป่วยที่ติดโรคมีภูมิต้านทานลดน้อยลง จนกระทั่งร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคได้อีก โรคต่างๆจึงกำเนิดลักษณะของการเจ็บเจ็บป่วยต่างๆซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตได้ เดี๋ยวนี้ยังไม่มีแนวทางการใดรักษาเอดส์ให้หายสนิท มีก็แค่ยาที่ช่วยชะลอการพัฒนาของโรคแล้วก็ลดอัตราการตายจากเอดส์ หากผู้ติดเชื้อโรครู้สึกตัวรวมทั้งได้รับการดูแลรักษาแต่แรกเริ่ม ก็อาจช่วยไม่ให้การติดเชื้อโรคเอชไอวีขยายไปสู่ระยะที่เป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่องเต็มตัวได้ โดยจะจัดว่าเมื่อโรคไปสู่ระยะลำดับที่สามของการตำหนิดเชื้อไวรัสไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะเรียกว่าเป็นโรคเอดส์โดยบริบูรณ์แล้ว

  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ เอดส์มีเหตุมาจากการตำหนิดเชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficieney Virus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายเม็ดเลือดขาว ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันที่อยู่ในเม็ดเลือดขาวดำเนินการบกพร่อง โดยเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องเป็นเชื้อไวรัสในกลุ่ม Lentivirus ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของกลุ่มไวรัส Retrovirus ไวรัสกลุ่มนี้ลือชื่อในด้านการมีระยะแอบแฝงนาน วิธีการทำให้มีเชื้อไวรัสในกระแสโลหิตนาน การต่อว่าดเชื้อในระบบประสาท และก็การทำให้ภูมิคุ้มกันของผู้ติดโรคอ่อนแอลง เชื้อเอชไอวีมีความจำเพาะต่อเม็ดเลือดขาวประเภท CD4 T lymphocyte แล้วก็ Monocyte สูงมากมาย โดยจะจับกับเซลล์ CD4 แล้วก็ฝังตัวเข้าไปภายใน  นอกนั้นเชื้อไวรัสตัวนี้ยังสามารถเข้าไปอยู่ในเซลล์ประเภทอื่นๆของร่างกายได้อีก ตัวอย่างเช่น เซลล์ มาโครฟาจ (Macro phage) เดนไดรติคเซลล์ (Dendritic cell) ไมโครเกลียของสมอง (Microglia)ฯลฯ    เชื้อเอชไอวีจะเพิ่มโดยสร้างสายดีเอ็นเอโดยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี reverse transcryptase ต่อไปสายดีเอ็นเอของเชื้อไวรัสจะแทรกเข้าไปในสายดีเอ็นเอของผู้ติดเชื้อโรคอย่างยั่งยืน รวมทั้งสามารถเพิ่มจำนวนต่อไปได้  นอกจากนี้เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง  สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆได้แก่ HIV-1 รวมทั้ง HIV-2 การระบาดทั้งโลกจำนวนมาก และก็ประเทศไทยมีสาเหตุมาจาก HIV-1 ซึ่งยังแบ่งเป็นจำพวกย่อยๆได้อีกหลายอย่าง ส่วน HIV-2 เจอระบาดในแอฟริกา) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดใหม่ ที่มีการเพาะเลี้ยงแยกเชื้อได้ในปี พุทธศักราช2526 เชื้อนี้มีมากในเลือด น้ำเชื้อ และก็น้ำเมือกในช่องคลอดของผู้ติดเชื้อโรค


ในตอนนี้ทั่วทั้งโลกพบสายพันธุ์เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง มากยิ่งกว่า 10 สายพันธุ์ ที่มีการกลายพันธุ์มาจากสายพันธุ์เดิม กระจายอยู่ตามประเทศต่างๆทั้งโลก โดยพบได้ทั่วไปที่สุดที่ทวีปแอฟริกามีมากกว่า 10 สายพันธุ์ สายพันธุ์ที่มักพบที่สุดในโลก คือสายพันธุ์ซี สูงถึง 40% พบในทวีปแอฟริกา ประเทศอินเดีย จีน รวมทั้งประเทศพม่า ส่วนในประเทศไทยพบเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง 2 สายพันธุ์เป็น สายพันธุ์เอ-อี (A/E) หรืออี (E) พบได้ทั่วไปกว่า 95% แพร่ระบาดระหว่างผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่แพร่ระบาดกันในกรุ๊ปรักร่วมเพศ และก็ผ่านการใช้ยาเสพติดฉีดเข้าเส้น
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) บอกว่า ตั้งแต่เจอการระบาดของโรคเอดส์หนแรกจนกระทั่งปี พ.ศ.2558 มีผู้ติดโรคไปแล้วกว่า 70 ล้านคนทั่วทั้งโลก แล้วก็เสียชีวิตไปแล้วกว่า 35 ล้านคน
ตอนที่รายงานของโครงการโรคภูมิคุมกันบกพร่องที่องค์การสหประชาชาติ (UNAIDS) พบว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของเอชไอวี/โรคภูมิคุมกันบกพร่อง ในปี 2559 มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั้งโลกสะสม 36.7 ล้านคน เป็นผู้ติดเชื้อโรครายใหม่ 1.8 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง 1 ล้านคน
ในส่วนของประเทศไทยนั้น โดยจากแถลงการณ์ในปีล่าสุดของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (ปี 2557) พบว่าตั้งแต่ปี 2527-2557 ตลอด 30 ปีที่ล่วงเลยไปมีคนเจ็บโรคภูมิคุมกันบกพร่องเข้ารับการดูแลและรักษาในสถานพยาบาลของอีกทั้งภาครัฐรวมทั้งเอกชนทั้งปวง 388,621 ราย และก็มีคนไข้เสียชีวิต 100,617 ราย โดยในปีถัดมา (ปี 2558) มีการคาดราวๆจำนวนผู้ป่วยเอดส์และติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องในประเทศไทยเป็นจำนวนทั้งมวลราว 1,500,000 คน

  • อาการโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่อง


เนื่องจากว่าผู้ติดโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายนานับประการ สุดแล้วแต่ปริมาณของเชื้อและระดับภูมิต้านทาน (ปริมาณ CD4) ของร่างกาย เพราะฉะนั้นโรคภูมิคุมกันบกพร่อง จึงสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะด้วยกันดังนี้

  • ระยะติดโรคโดยไม่มีอาการ ผู้ติดเชื้อโรคที่ไม่มีอาการหรือมีลักษณะน้อยอยู่ครู่เดียวดังที่กล่าวมาแล้วมักจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป แม้กระนั้นการวิเคราะห์เลือดจะเจอเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องและก็สารภูมิต้านทานต่อเชื้อจำพวกนี้และก็สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นๆได้ เรียกว่าเป็นพาหะ (carrier)


เวลานี้แม้ว่าจะไม่มีอาการ แม้กระนั้นเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะแบ่งตัวรุ่งโรจน์ขึ้นไปเรื่อยๆแล้วก็ทำลาย CD4 จนมีจำนวนลดน้อยลง โดยเฉลี่ยราวปีละ 50-75 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร จากระดับปกติ (คือ 600-1,000 เซลล์) เมื่อลดลดน้อยลงมากๆก็จะกำเนิดอาการเจ็บป่วย ทั้งนี้อัตราการลดลงของ CD4 จะเร็วช้าขึ้นกับความร้ายแรงของเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง และสภาพความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย
ตอนนี้มักเป็นอยู่นาน 5-10 ปี บางรายบางทีอาจสั้นเพียง 2-3 เดือน แม้กระนั้นบางรายอาจเป็นเวลายาวนานกว่า 10-15 ปีขึ้นไป

  • ระยะติดโรคที่มีอาการ เดิมเรียกว่า ระยะที่มีลักษณะชมรมกับเอดส์ (AIDS related complex/ARC) คนเจ็บจะมีอาการมากมายน้อยขึ้นกับปริมาณ CD4 ดังนี้


มีลักษณะอาการเล็กน้อย เวลานี้ถ้าหากตรวจ CD4 จะมีเยอะมากๆกว่า 500 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร ผู้ป่วยอาจมีอาการ ดังนี้
* ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตนิดหน่อย
* โรคเชื้อราที่เล็บ
* แผลแอฟทัส
* ผิวหนังอักเสบชนิดเกล็ดรังแคที่ไรผม ข้างจมูก ริมฝีปาก
* ฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia) ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสอีบีวี (Epstein-Barr virus/EBV) มีลักษณะเป็นฝ้าขาวที่ด้านข้างของลิ้น ซึ่งขูดไม่ออก
* โรคโซริอาสิส (สะเก็ดเงิน) ที่เคยเป็นอยู่เดิมกำเริบ
มีลักษณะอาการปานกลาง ช่วงนี้ถ้าหากตรวจ CD4 จะมีจำนวนระหว่าง 200-500 เซลล์/ลบ.มม. ผู้เจ็บป่วยอาจมีอาการทางผิวหนังรวมทั้งเยื่อบุช่องปากแบบข้อ กรัม หรือไม่ก็ได้ อาการที่อาจเจอได้มีดังนี้
* เริมที่ริมฝีปาก หรือของลับ ซึ่งกำเริบบ่อยมาก รวมทั้งเป็นแผลเรื้อรัง
* งูสวัด ที่มีลักษณะอาการกำเริบอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือขึ้นพร้อมกันมากกว่า 2 ที่
* โรคเชื้อราในโพรงปาก หรือช่องคลอด
* ท้องเดินหลายครั้ง หรือเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน
* ไข้เกิน 37.8 องศาเซลเซียส แบบเป็นๆหายๆหรือติดต่อกันแต่ละวันนานเกิน 1 เดือน
* ต่อมน้ำเหลืองโตมากยิ่งกว่า 1 ที่ในบริเวณไม่ต่อเนื่องกัน (ดังเช่น คอ รักแร้ ขาหนีบ) นานเกิน 3 เดือน
* น้ำหนักลดเกินจำนวนร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวโดยไม่เคยทราบสาเหตุ
* ปวดกล้ามเนื้อรวมทั้งข้อ
* ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
* ปอดอักเสบจากแบคทีเรีย ซึ่งเป็นซ้ำบ่อย

  • ระยะป่วยด้วยเอดส์ (เอดส์เต็มขั้น) เวลานี้ระบบภูมิต้านทานของผู้ป่วยเสื่อมสุดกำลัง ถ้าเกิดตรวจ CD4 จะพบมีจำนวนต่ำลงมากยิ่งกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. ได้ผลสำเร็จทำให้เชื้อโรคต่างๆอาทิเช่น เชื้อรา เชื้อไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว วัณโรค ฯลฯ ฉวยโอกาสเข้ารุมเร้า เรียกว่า โรคติดเชื้อฉวยโอกาส (opportunistic infections) ซึ่งส่วนมากเป็นการติดเชื้อสุดที่รักษาออกจะยาก แล้วก็บางทีอาจติดเชื้อโรคประเภทเดิมซ้ำอย่างเดียวหรือติดเชื้อชนิดใหม่ หรือติดเชื้อหลายชนิดด้วยกัน


ระยะนี้ผู้เจ็บป่วยอาจมีอาการดังต่อไปนี้
* เหงื่อออกมากกลางคืน
* ไข้ หนาวสั่น หรือไข้สูงเรื้อรังต่อเนื่องกันหลายสัปดาห์หรือเป็นนานนับเดือน
* ไอเรื้อรัง หรือหายใจหอบเมื่อยล้าจากวัณโรคปอด หรือปอดอักเสบ
* ท้องเสียเรื้อรัง จากเชื้อราหรือโปรตัวซัว
* น้ำหนักลด รูปร่างผอมแห้งแรงน้อย และก็เพลีย
* ปวดศีรษะร้ายแรง ชัก งงงัน ซึม หรือสลบจากการต่อว่าดเชื้อในสมอง
* เจ็บท้อง คลื่นไส้ อ้วก
* กลืนทุกข์ยากลำบาก หรือเจ็บเวลากลืน ด้วยเหตุว่าหลอดของกินอักเสบจากเชื้อรา
* สายตาพร่ามัวดูไม่ชัดเจน หรือเห็นเงาใยแมงมุมลอยไปมาจากจอตาอักเสบ
* ตกขาวบ่อยมาก
* มีผื่นคันตามผิวหนัง (papulopruritic eruption)
* ซีดเผือด
* มีจุดแดงจ้ำเขียวหรือเลือดออกมาจากภาวการณ์เกล็ดเลือดต่ำ
* งงมาก จำอะไรไม่ค่อยได้ หลงๆลืมๆง่าย ไม่มีสมาธิ พฤติกรรมผิดแปลกไปจากเดิม เพราะความไม่ปกติของสมอง
* ลักษณะโรคโรคมะเร็งที่เกิดแทรกซ้อน ดังเช่นว่า มะเร็งของผนังหลอดเลือดที่เรียกว่า Kaposi's sarcoma (KS) มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสมอง โรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก ฯลฯ
ในเด็ก ที่ติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง ระยะแรกอาจมีอาการน้ำหนักตัวไม่ขึ้นตามเกณฑ์ เมื่อโรคขยายมากขึ้นก็อาจมีอาการเดินลำบากหรือวิวัฒนาการทางสมองช้ากว่าปกติ และเมื่อเป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่องเต็มขั้น นอกจากมีโรคติดเชื้อชุบมือเปิบลักษณะเดียวกันกับผู้ใหญ่แล้ว ยังบางทีอาจพบว่าถ้าเกิดเป็นโรคที่พบทั่วไปในเด็ก (ดังเช่น หูชั้นกึ่งกลางอักเสบ ปอดอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ) ก็ชอบมีลักษณะร้ายแรงมากกว่าปกติ

  • ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคเอดส์
  • เพศสัมพันธ์ การติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องส่วนใหญ่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการร่วมเพศที่มิได้คุ้มครองปกป้องระหว่างคู่รักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเชื้อเอชไอวี
  • การสัมผัสกับสารคัดเลือกหลั่งที่มีเชื้อ พนักงานทางสาธารณสุขสัมผัสเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องได้โดยดำเนินงาน หรือสารคัดเลือกหลั่งของคนไข้ที่มีเชื้อ
  • การติดต่อจากแม่สู่ลูก คุณแม่ที่มีเชื้อเอชไอวีให้นมบุตรหรือการคลอดบุตรขณะติดเชื้อ
  • การใช้ของมีคมด้วยกัน ดังเช่นว่า เข็มฉีดยาในผู้ที่ติดยาเสพติด
  • ผู้ที่ได้รับการถ่ายเลือดจากการบริจาคแม้กระนั้นในกรณีนี้เจอได้น้อยมาก
  • ขั้นตอนการรักษาโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่อง

การวินิจฉัยโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่อง ลำดับแรกสุดเป็น วิธีซักความเป็นมาของคนเจ็บและการตรวจร่างกาย ซึ่งมัก จะมีประวัติการตำหนิดเชื้อไวรัสเอชไอวีมาก่อนแล้ว ซึ่งแพทย์สามารถทราบจากการพิสูจน์เลือดว่า ส่งผลบวกต่อเอชไอวีไหม นอกจากนี้การตรวจร่างกายชอบเจออาการแสดงที่ชี้ว่า คนป่วยอยู่ในระยะของการเป็นโรคเอดส์แล้ว
ตรวจค้นสารภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ต่อเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง โดยวิธีอีไลซ่า (ELISA) จะตรวจเจอสารภูมิคุ้มกันข้างหลังติดเชื้อ 3-12 สัปดาห์ (ส่วนมากราวๆ 8 สัปดาห์ บางรายอาจนานถึง 6 เดือน) วิธีนี้เป็นการตรวจยืนยันด้วยการตรวจกรองขั้นแรก หากพบเลือดบวก จะต้องกระทำตรวจยืนยันด้วยแนวทางอีไลซ่าที่ผลิตโดยอีกบริษัทหนึ่งที่ไม่ซ้ำกับวิธีตรวจทีแรก หรือทำตรวจด้วยวิธี particle agglutination test (PA) ถ้าเกิดให้ผลบวกก็สามารถวิเคราะห์ว่ามีการติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง แต่ถ้าให้ผลลบก็จำต้องตรวจยืนยันโดยแนวทางเวสเทิร์นบลอต (Western blot) อีกรอบ ซึ่งได้ผลบวก 100% ข้างหลังติดเชื้อโรค 2 อาทิตย์
การเจาะเลือดเพื่อนับจำนวนเม็ดเลือดขาวจำพวก คราวลิมโฟซัยท์ที่มีซีดี 4 เป็นบวก (CD 4-positive T cell) จะพบว่าปริมาณน้อยลงมากมาย เนื่องจากเชื้อไวรัสจะเข้าไปอยู่ในเซลล์จำพวกนี้ และก็จะทำลายเซลล์ประเภทนี้ไปเรื่อยส่วนใหญ่หากมีจำนวนของทีลิมโฟซัยท์ที่มีซีดี 4 เป็นบวกต่ำลงต่ำลงมากยิ่งกว่า 350 เซลล์ต่อลูกบาศก์มม.ในคนแก่ (ค่าธรรมดา 600 - 1,200 เซลล์ต่อลูกบาศก์ไม่ลลิ เมตร) ระดับของ CD4+ T cell ที่ใช้เพื่อการวิเคราะห์ หากเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 12 เดือนจะมี CD4+น้อยกว่า 30% ของเม็ดเลือดขาวทั้งผอง เด็กอายุ12 - 35 เดือนจะมี CD4+ น้อยกว่า 25% แล้วก็เด็กอายุ 36 - 59 เดือนจะมี CD4+ น้อยกว่า 20%
โรคที่เกิดขึ้นและมีสาเหตุมาจากติดโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องรวมทั้งโรคเอดส์ในขณะนี้ ยังไม่อาจจะรักษาให้หายได้ แต่สามารถควบคุมโรครวมทั้งทำให้มีชีวิตอยู่ได้นานอย่างคนธรรมดาได้ โดยขั้นตอนการรักษาผู้ติดเชื้อ เอชไอวีแล้วก็ผู้ป่วยเอดส์ ดังเช่นว่า
การใช้ยายับยั้งการเพิ่มปริมาณของเชื้อไวรัสหรือยาต่อต้านเชื้อไวรัส ซึ่งจำต้องกินไปตลอดชาติ เรียกว่า Antiretroviral therapy ซึ่งเราสามารถติดตามผลของการรักษาได้จากการเจาะเลือดดูจำนวนเม็ดเลือดขาว CD 4 positive T cell ว่า เข้าขั้นธรรมดาไหม รวมทั้งนับปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดได้โดยตรง (Viral load) ตอนนี้ยาต้านทานเชื้อไวรัสเอชไอวีมีหลายแบบอาทิเช่น
ยาที่มีฤทธิ์ยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีรีเวิสทรานสคริปเตส (Nucleoside analogues Reverse transcriptase inhibitors) ดังเช่นว่า ยาชื่อ Zidovudine (AZT), Didanosine (ddI), Zalcitabine (ddC), Stavudine (d4T), Lamivudine (3TC)
ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์รีเวิสทรานสคริปเตสที่ไม่ใช่นิวคลีโอไซด์ (Non-nucleoside reverse transcriptase inhibitors) ดังเช่น ยาชื่อ Delavirdine, Loviride, Nevirapine
ยาที่มีฤทธิ์ยั้งเอนไซม์โปรตีเอส (Protease inhibitors) ดังเช่น ยาชื่อ Nelfinavir, Indinavir, Ritonavir, Saquinavir
อนึ่ง วิธีการให้ยาต่อต้านไวรัสในปัจจุบันเป็น จำเป็นต้องให้ยาขั้นต่ำ 3 ชนิดโดยใช้ยาในกลุ่ม Nucleoside analogue 2 ตัว ร่วมกับยาในกลุ่ม Non-nucleoside หรือ Protease inhibitor อีก 1 ตัวรวมเป็น 3 ตัว โดยจำเป็นต้องใช้ยาทุกๆวันและก็ตรงตามเวลาที่กำหนดโดยเข้มงวด
โดยหมอจะใคร่ครวญให้ยาต้านทานไวรัสในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังนี้
เมื่อมีลักษณะอาการแสดงของโรคทั้งในระยะเริ่มต้นเริ่มและก็ช่วงหลัง การให้ยาต่อต้านไวรัสในคนไข้ที่เป็นระยะแรกเริ่ม (primary HIV infection) สามารถชะลอการดำเนินโรคเข้าสู่ระยะที่ร้ายแรงได้
เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่ว่าตรวจเลือดพบว่ามีค่า CD4 ต่ำลงมากยิ่งกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.
เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่มีค่า CD4 อยู่ที่ 200-350 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร บางทีอาจพิเคราะห์ให้ยาต้านทานเชื้อไวรัสเป็นรายๆไป ดังเช่นว่า ในรายที่ปริมาณเชื้อไวรัสสูง มีอัตราการลดลงของ CD4 อย่างรวดเร็ว ความพร้อมของคนเจ็บ ฯลฯ ในการให้ยาควรจะติดตามมองผลข้างเคียง ซึ่งอาจมีอันตรายต่อคนป่วย หรือทำให้คนป่วยไม่ยอมรับประทานยาโดยตลอด
การใช้ยารักษาโรคติดโรคที่เกิดขึ้นมาจากมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคผิดพลาดหรือเชื้อฉกโอ กาส ขึ้นกับว่าคนเจ็บติดโรคชนิดใด ได้แก่ ติดเชื้อโรควัณโรคก็ให้ยารักษาวัณโรค ติดโรคราก็ให้ยารักษาเชื้อรา หรือหากเป็นโรคมะเร็งก็รักษาโรคโรคมะเร็ง เป็นต้น

  • การติดต่อของโรคภูมิคุมกันบกพร่อง สามารถติดต่อได้โดยการได้รับเลือด แล้วก็/หรือสารคัดหลั่ง (Secretion) จากคนที่ติดเชื้อซึ่งมีหลายแนวทาง ดังต่อไปนี้
  • ทางการมีเซ็กส์ ทั้งสิ้นศสโมสรเพศเดียวกันระหว่างชายรักร่วมเพศ หญิงรักร่วมเพศ และก็การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง การติดต่อทางเพศชมรมนี้คิดเป็นอัตราประ มาณ 78% ของการติดเชื้อเอชไอวีทั้งสิ้น
  • การใช้สิ่งเสพติดจำพวกฉีดเข้าเส้น (หลอดเลือด) โดยใช้เข็มฉีดร่วมกับคนอื่นๆ ผู้ที่ติดเชื้อโดยแนวทางแบบนี้มีโดยประมาณ 20%
  • ทางการรับเลือดจากคนอื่นๆที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ผู้ที่มีการเสี่ยงในกลุ่มนี้ ตัวอย่างเช่น คนเจ็บโรคเลือดเรื้อรังที่ต้องรับเลือดเสมอๆ ดังเช่นว่า โรคฮีโมฟิเลีย (Hemophilia) หรือคนที่รับการปลูกถ่ายอวัยวะจากคนที่ติดเชื้อโรค การต่อว่าดเชื้อโดยวิธีนี้มีราวๆ 1.5%
  • ติดต่อจากแม่ที่ติดเชื้อสู่ลูก ซึ่งอาจติดต่อได้ทางเลือดจากแม่สู่ลูกโดยตรงผ่านทางเกลื่อนกลาด หรือจากการที่ทารกกลืนเลือดของแม่ระหว่างการคลอด หรือได้รับเชื้อที่อยู่ในนมแม่ก็ได้
  • การติดเชื้อของบุคลากรด้านการแพทย์จากอุบัติเหตุทางการแพทย์ เป็นต้นว่า ถูกเข็มฉีดยา หรือเข็มเจาะเลือดคนไข้ตำนิ้วโดยบังเอิญ ซึ่งเคยมีรายงานว่าทำให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ติดเชื้อได้ ถึงแม้จะมีโอกาสน้อยก็ตาม


จากการเรียนในประเทศต่างๆก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาไม่พบว่ามีการติดต่อโดยวิธีต่อแต่นี้ไป
* การหายใจ ไอ จามรดกัน
* การกินอาหาร แล้วก็กินน้ำร่วมกัน
* การว่ายน้ำในสระ หรือเล่นกีฬาร่วมกัน
* การใช้ห้องสุขาร่วมกัน
* การอยู่ด้านในห้องเรียน ห้องทำงาน ยานพาหนะ หรือการอยู่สนิทสนมกับผู้ติดเชื้อ
* การสัมผัส กอด
* การใช้ครัว ภาชนะเครื่องครัว จาน แก้ว หรือผ้าเช็ดตัวร่วมกัน
* การใช้โทรศัพท์ด้วยกัน
* การถูกยุงหรือแมลงกัด

  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่อง


                - ไปพบแพทย์และตรวจเลือดเป็นช่วงๆจากที่แพทย์เสนอแนะ และกินยาต้านเชื้อไวรัสเมื่อมีค่า CD4 ต่ำลงยิ่งกว่า 200 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร การกินยาต่อต้านเชื้อไวรัสโดยตลอดมักจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและนาน โดยมากมักจะนานกว่า 10 ปีขึ้นไป
- ทำงาน เรียนหนังสือ คบค้ากับคนอื่นและปฏิบัติงานประจำวันได้ตามเดิม ไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะแพร่เชื้อให้คนอื่นๆโดยการสัมผัสหรืออยู่สนิทสนมกันหรือหายใจรดคนอื่น
- แม้มีความรู้สึกไม่สบายใจมีความทุกข์จิตใจ ควรเล่าความในใจให้ญาติสนิทมิตรสหายฟัง หรือขอความเห็นชี้แนะจากแพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา หรืออาสาสมัครในองค์กรพัฒนาเอกชน
- ศึกษาธรรมชาติของโรค การดูแลและรักษา การดูแลตนเอง จนกระทั่งมีความเข้าใจโรคนี้เป็นอย่างดี ก็จะไม่มีความรู้สึกท้อใจท้อใจ และมีแรงใจแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นอาวุธอันทรงอำนาจสำหรับการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงต่อไป
- ส่งเสริมสุขภาพตัวเองด้วยการบริหารร่างกายบ่อยๆ ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ (ไม่จำเป็นที่ต้องทานอาหารเสริมราคาแพง) งดเว้นแอลกอฮอล์ บุหรี่ ยาเสพติด นอนพักผ่อนให้พอเพียง
- เสริมสร้างสุขภาพเกี่ยวกับจิตด้วยการฟังเพลง ร้อง เล่นกีฬา อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ฝึกฝนสมาธิ รุ่งโรจน์สติ สวดมนต์ไหว้พระหรือภาวนาตามลัทธิศาสนาที่นับถือ
- หลบหลีกความประพฤติที่บางทีก็อาจจะกระจายเชื้อให้คนอื่นโดย

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ แล้วก็งดการร่วมเพศทางปากหรือทวารหนัก
  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • งดเว้นการให้ทานเลือดหรืออวัยวะต่างๆดังเช่น ดวงตา ไต ฯลฯ
  • เมื่อร่างกายเปรอะเลือดหรือน้ำเหลือง ให้รีบชำระล้าง และก็เปลี่ยนเสื้อผ้าทันที แล้วนำไปแยกซักให้สะอาดและตากให้แห้ง ต้องระวังอย่าให้ผู้อื่นสัมผัสถูกเลือดหรือน้ำเหลืองของตัวเอง
  • ไม่ใช้ของมีคม (เช่น ใบมีดโกน) ร่วมกับคนอื่น


- หลบหลีกการตั้งครรภ์ โดยการคุมกำเนิด เนื่องจากเด็กอาจมีโอกาสรับเชื้อจากคุณแม่ได้
- คุณแม่ที่มีการติดเชื้อ ไม่ควรเลี้ยงลูกด้วยนมตนเอง
- เมื่อมีโรคติดเชื้อชุบมือเปิบแทรก ควรจะคุ้มครองมิให้เชื้อโรคต่างๆแพร่ให้ผู้อื่น ตัวอย่างเช่น

  • ใช้กระดาษหรือผ้าเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกเวลาไอ หรือจาม
  • ถ้วย ชาม จาน แก้วน้ำที่ใช้แล้ว ควรล้างให้สะอาด ด้วยน้ำยาที่เอาไว้ล้างจานหรือลวกด้วยน้ำร้อน แล้วทิ้งไว้ให้แห้งก่อนใช้ประโยชน์ใหม่
  • ควรระมัดระวังไม่ให้น้ำมูก น้ำลาย น้ำเหลืองจากแผล ปัสสาวะ แล้วก็สิ่งขับถ่ายต่างๆไปเลอะเทอะถูกคนอื่น
  • การบ้วนน้ำลายหรือเสมหะ รวมทั้งการทิ้งกระดาษทิชชูที่ใช้แล้ว ควรจะมีภาชนะใส่ให้เป็นที่เป็นทาง แล้วก็สามารถนำไปทิ้งหรือชำระล้างได้สะดวก
  • การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคภูมิคุมกันบกพร่อง
  • หลบหลีกการมีเซ็กส์กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่คู่รัก ควรถือมั่นต่อการมีเพศสัมพันธ์กับคู่แต่งงาน (รักเดียวใจเดียว)
  • หากยังนิยมร่วมเพศกับบุคคลอื่น โดยยิ่งไปกว่านั้นหญิงบริการ หรือบุคคลที่ร่วมเพศเสรีหรือมีความประพฤติเสี่ยงอื่นๆก็ควรจะใช้ถุงยางอนามัยคุ้มครองปกป้องทุกหน
  • หลบหลีกการสัมผัสถูกเลือดของคนอื่น ดังเช่น ขณะช่วยเหลือผู้ที่มีรอยแผลเลือดออก ควรใส่ถุงมือยางหรือถุงก๊อบแก๊บ 2-3 ชั้น คุ้มครองปกป้องอย่าสัมผัสถูกเลือดโดยตรง
  • หลบหลีกการใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับคนอื่นๆ
  • หลบหลีกการใช้ของมีคม (อย่างเช่น ใบมีดโกน) ร่วมกับผู้อื่น ถ้าหากหลบหลีกมิได้ ก่อนใช้ควรจะทำลายเชื้อด้วยการแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ดังเช่น แอลกอฮอล์ 70% โพวิโดนไอโอดีน 2.5% ทิงเจอร์ไอโอดีน, ไลซอล 0.5-3% โซเดียมไฮโพคลอไรด์ 0.1-0.5% (หรือน้ำยาคลอรอกซ์ 1ส่วนประกอบน้ำ 9 ส่วนก็ได้) เป็นต้น นาน 10-20 นาที
  • ก่อนแต่งงาน ควรจะขอคำแนะนำหมอในการตรวจเช็กโรคภูมิคุมกันบกพร่อง ถ้าพบว่าคนใดคนหนึ่งมีเลือดบวกควรพิจารณาหาทางคุ้มครองปกป้องมิให้ติดอีกคนหนึ่ง
  • คู่ครองที่มีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ติดโรค ควรคุมกำเนิด และปกป้องการกระจายเชื้อโดยกา
บันทึกการเข้า