รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคกล้ามเนื้ออ่อนเเรง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 522 ครั้ง)

Tawatchai1212

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 92
    • ดูรายละเอียด


โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG (Myasthenia gravis)

  • โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นอย่างไร โรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง (Myasthenia gravis) โรคกล้ามอ่อนแรง (myasthenia gravis) หรือ โรคเอ็มจี เป็นชื่อภาษากรีกรวมทั้งภาษาละติน มีความหมายว่า "grave muscular weakness" เป็นโรคกล้ามอ่อนแรง ชนิดหนึ่งที่เป็นโรค ออโตอิมมูน (Autoimmune) จำพวกเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่นำมาซึ่งการทำให้กล้ามเนื้อลาย (กล้ามเนื้อที่อยู่ในการควบคุมของสมอง ซึ่งเป็น กล้ามด้านนอกร่างกาย ที่ร่างกายใช้เพื่อการเคลื่อนไหวต่างๆเป็นต้นว่า กล้ามเนื้อ แขน ขา ดวงตา บริเวณใบหน้า โพรงปาก กล่องเสียง และกล้ามกระดูกซี่โครงที่ใช้สำหรับการหายใจ มีการเหน็ดเหนื่อยกระทั่งไม่อาจจะปฏิบัติงานหดตัวได้ตามเดิม หรืออีกนัยหนึ่งเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้า (Myasthenia Gravis; MG) เป็นโรคภูมิต้านทานของร่างกายดำเนินงานไม่ปกติ ซึ่งไปทำลายตัวรับสัญญาณประสาท (receptor) ที่อยู่บนกล้ามเนื้อของตัวเองก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย เพราะว่าไม่อาจจะรับสัญญาณประสาทที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัวได้ โดยคนไข้จะมีอาการหนังตาตก ยิ้มได้ลดน้อยลง หายใจลำบาก มีปัญหาการพูด การบด การกลืน รวมถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย โรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยทุกเพศทุกวัย ตอนนี้ ทั้งยังการรักษาทำเป็นเพียงแต่เพื่อทุเลาอาการแค่นั้น

    ดังนี้ โรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง MG  ไม่ใช่โรคใหม่ แม้กระนั้นเป็นโรคที่มีการบันทึกว่าพบคนเจ็บ มาตั้งแต่ 300 ปีกลาย  รวมทั้งโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG เป็นโรคพบได้ไม่บ่อยนัก ประมาณ 10 ราย ต่อประชากร 100,000 คน เจอได้ในทุกอายุ ตั้งแต่ทารกจนถึงคนวัยแก่ โดยเจอในผู้หญิงมากกว่าในเพศชายราว 3:2 เท่า ทั้งนี้พบโรคนี้ในเด็กได้โดยประมาณ 10%ของผู้ที่เจ็บป่วยจากโรคชนิดนี้ทั้งหมด ในคนแก่ผู้หญิง พบได้มากโรคได้สูงในช่วงอายุ 30-40 ปี แต่ในผู้ใหญ่ผู้ชาย พบได้บ่อยโรคได้สูงในช่วงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป

  • ที่มาของโรคกล้ามเนื้อเมื่อยล้า (MG) สำหรับในการเคลื่อนกล้ามแต่ละผูก สมองจะต้องส่งสัญญาณประสาทไปตามเส้นประสาท และจะเกิดการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทที่บริเวณรอยต่อระหว่างเส้นประสาทแล้วก็กล้ามเนื้อสารสื่อประสาทนี้จะไปส่งสัญญาณที่ตัวรับสัญญาณรอบๆกล้ามเนื้อแต่ละผูกเพื่อกล้ามมีการหดตัว คนป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG) เมื่อปลายประสาทเกิดการหลั่งสารสื่อประสาทออกมาจะไม่สามารถส่งสัญญาณสู่ตัวรับบนกล้ามเนื้อได้ เหตุเพราะร่างกายได้สร้างแอนติบอดีมาขวางและก็ทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามไป ซึ่งเมื่อการเช็ดกทำลายขึ้นแล้วนั้น ถึงแม้เซลล์ประสาทจะหลั่งสารเคมีให้กำเนิดกระแสไฟฟ้าส่งมายังเซลล์กล้ามอย่างไรก็ตาม เซลล์กล้ามก็ไม่ทำงานเพราะถูกทำลายไปแล้วโดยสิ้นเชิง


ส่วนสาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้านั้น มักมีต้นเหตุมาจากปัญหาการแพ้ภูเขาไม่ตนเอง (Autoimmune Disorder) โดยมีเนื้อหาสิ่งที่ทำให้เกิดอาการกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ดังต่อไปนี้  สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ (Antibodies) และก็การส่งสัญญาณประสาท ปกติระบบภูมิต้านทานของร่างกายจะผลิตแอนติบอดี้ออกมาเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งปลอมปนที่เข้ามาภายในร่างกาย แต่ว่าในผู้เจ็บป่วยกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง แอนติบอดี้จะไปทำลายหรือกีดกั้นการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิตำหนิลโคลีน (Acetylcholine) โดยถูกส่งไปที่ตัวรับ (Receptor) ซึ่งอยู่ที่ปลายระบบประสาทบนกล้ามแต่ละมัด ทำให้กล้ามเนื้อไม่อาจจะหดตัวได้  ทั้งนี้ อวัยวะที่หมอมั่นใจว่าเป็นตัวทำให้เกิดการผลิตสารภูมิคุ้มกันแตกต่างจากปกติตัวนี้หมายถึงต่อมไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส คือต่อมที่มีหน้าที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตภูมิคุ้มกันต้นทานโรคของร่างกาย (Immune system) คือต่อมที่อยู่ในช่องอกตอนบน ต่อมอยู่ใต้กระดูกอก (Sternum) โดยวางอยู่บนด้านหน้าของหัวใจโดยต่อมไทมัสจะผลิตสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ไปกีดกันแนวทางการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิตำหนิลโคลีน (Acetylcholine) จึงกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว ซึ่งธรรมดาแล้วเด็กจะมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่รวมทั้งจะค่อยๆเล็กลงเรื่อยเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ว่าคนเจ็บกล้ามอ่อนกำลังจะมีขนาดของต่อมไทมัสที่ใหญ่ไม่ดีเหมือนปกติ หรือผู้เจ็บป่วยบางรายมีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงที่เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเนื้องอกของต่อมไทมัส ซึ่งพบประมาณปริมาณร้อยละ 10 ในผู้เจ็บป่วยสูงอายุ

  • ลักษณะของโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) อาการสำคัญของโรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง (MG) คือจะมีลักษณะอาการเหน็ดเหนื่อย เหนื่อยล้า กล้ามอ่อนแรง แล้วก็จะอ่อนแรงมากเพิ่มขึ้นเมื่อออกแรงมากยิ่งขึ้น แต่ว่าอาการจะดีขึ้นเมื่อกล้ามหยุดพักการออกแรง


ยิ่งไปกว่านั้น อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยจะขึ้นอยู่กับว่า โรคกำเนิดกับกล้ามส่วนไหนของร่างกาย ทั้งนี้ ประมาณ 85% ของคนเจ็บจะมีลักษณะกล้ามเนื้อเมื่อยล้าในทุกผูกของกล้ามเนื้อลายส่วนอาการที่พบได้ทั่วไปที่สุดของโรคกล้ามอ่อนแรง (MG) คือ อาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อที่ช่วยยกเปลือกตารวมทั้งกล้ามเนื้อตา กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดหนังตาตกและก็เห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจจะมีการเกิดขึ้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือ 2 ข้างก็ได้ และก็มักพบอาการแตกต่างจากปกติอื่นๆของกล้ามส่วนอื่นๆได้อีกตัวอย่างเช่น
บริเวณใบหน้า หากกล้ามเนื้อที่เกี่ยวเนื่องกับการแสดงออกบนใบหน้าได้รับผลพวง จะมีผลให้การแสดงออกทางสีหน้าถูกจำกัด ดังเช่นว่า ยิ้มได้ลดน้อยลง หรือกลายเป็นยิ้มแยกเขี้ยวด้วยเหตุว่าไม่อาจจะควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้
การหายใจ คนไข้กล้ามอ่อนเพลียจำนวนหนึ่งมีอาการหายใจลำบาก โดยเฉพาะเมื่อนอนราบอยู่บนเตียงหรือภายหลังการออกกำลังกาย
การพูด การเคี้ยวและการกลืน มีสาเหตุจากกล้ามรอบปาก เพดานอ่อน หรือลิ้นอ่อนล้า นำไปสู่อาการไม่ดีเหมือนปกติ เช่น พูดเสียงค่อยแหบ พูดเสียงขึ้นจมูก บดไม่ได้ กลืนตรากตรำ ไอ สำลักอาหาร บางกรณีบางทีอาจเป็นสาเหตุไปสู่การต่อว่าดเชื้อที่ปอด
คอ แขนรวมทั้งขา บางทีอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอ่อนแรงของกล้ามส่วนอื่นๆมักเกิดขึ้นที่แขนมากยิ่งกว่าที่ขา ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ดังเช่น เดินกระเตาะกระแตะ เดินตัวตรงได้ยาก กล้ามเนื้อรอบๆคออ่อนล้า ทำให้ตั้งศีรษะหรือชันหัวทุกข์ยากลำบาก นำไปสู่ปัญหาในการทำกิจกรรมต่างๆ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคกล้ามอ่อนล้า (MG) ในปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายสาเหตุของความผิดปกติของระบบภูมิต้านทานที่ไปทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามได้อย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม พบว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) มักมีความเกี่ยวข้องกับโรคของต่อมไทมัส โดย ราวๆ 85%พบกำเนิดร่วมกับมีโรคเซลล์ต่อมไทมัสก้าวหน้าเกินธรรมดา (Thymus hyperplasia) และก็โดยประมาณ 10-15% เกิดร่วมกับโรคเนื้องอกต่อมไทมัส (Thymoma)


นอกจากนั้น มีกล่าวว่า พบโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เกิดร่วมกับโรคมะเร็งปอดชนิดเซลล์ตัวเล็ก แล้วก็โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์รับประทาน ทั้งผู้ป่วยบางทีอาจพบความเปลี่ยนไปจากปกติแล้วก็โรคที่มีต้นเหตุมากจากภูมิคุ้มกันตัวเองจำพวกอื่นๆร่วมด้วยได้ ดังเช่นว่า โรคตาจากต่อมไทรอยด์ (Thyroidorbitopathy) โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)จะสามารถดีขึ้นได้เองแล้วอาจกลับกลายซ้ำได้อีกคล้ายกับโรคภูมิต้านทานตนเองชนิดอื่นๆ

  • กรรมวิธีการรักษาโรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG)

การวิเคราะห์ MG เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญคือ fatigue รวมทั้งfluctuation ของกล้ามเนื้อรอบๆตาแขนขาแล้วก็การพูดและกลืนของกิน ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้ใช้งานหน้าที่นั้นๆไประยะหนึ่ง แล้วก็อาการรุนแรงในเวลาที่แตกต่างกันโดยมีลักษณะมากมายตอนเวลาบ่ายๆบางทีคนป่วยมาพบแพทย์ช่วงที่ไม่มีอาการ หมอก็ตรวจไม่พบความไม่ดีเหมือนปกติ ก็เลยไม่สามารถที่จะให้การวินิจฉัยโรคได้ และก็อาจวินิจฉัยบกพร่องว่าเป็น anxiety แต่การให้การวินิจฉัยโรคMG ทำ ได้อย่างง่ายๆในคนเจ็บส่วนใหญ่เพราะว่ามีลักษณะจำ เพาะทางคลินิกที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น การตรวจเสริมเติมเพื่อให้ได้เรื่องวิเคราะห์ที่แน่นอนและก็ในรายที่อาการไม่กระจ่างเช่น

  • การตรวจ ระบบประสาท ดังเช่นว่าการให้คนป่วยได้ทำกิจกรรมสม่ำเสมอที่ทำ     ให้ผู้ป่วยมีลักษณะอาการ


อ่อนกำลังได้เป็นต้นว่าการมองขึ้นนาน1นาทีแล้วตรวจว่าผู้ป่วยมีภาวะหนังตาตก เพิ่มขึ้นหรือไม่ โดยวัดความกว้างของ palpablefissure ที่ตาอีกทั้ง 2 ข้างการให้ผู้เจ็บป่วยเดินขึ้นบันไดหรือลุก-นั่ง สลับกันเป็นระยะเวลาหนึ่งคนเจ็บจะมีลักษณะอ่อนกำลังขึ้นอย่างชัดเจนและอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงดีขึ้นเมื่อพักสักครู่การให้คนเจ็บพูดหรืออ่านออกเสียงดังๆผู้ป่วยจะมีลักษณะเสียงแหบหรือหายไปเมื่อพักแล้วดียิ่งขึ้น

  • Ice test โดยการนำนํ้าแข็งห่อใส่สิ่งของดังเช่นว่า นิ้วของถุงมือยาง แล้วนำ ไปวางที่กลีบตาของผู้ป่วยนาน2นาทีประเมินอาการptosisว่าดียิ่งขึ้นไหมคนเจ็บ MG จะให้ผลบวก
  • Prostigmintest โดยการฉีด prostigmin ขนาด 1-1.5 มก. ฉีดเข้าทางกล้าม แล้วประเมินที่ 15, 20, 25 รวมทั้ง 30 นาทีโดยประเมินอาการสภาวะหนังตาตกอาการอ่อนแรงหรือเสียงแหบได้ผลบวกประมาณปริมาณร้อยละ90 เป็นผู้เจ็บป่วยจะมีอาการดียิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผู้ป่วยอาจเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง หรือหัวใจเต้นช้าลงจากฤทธิ์ของยาวิธีแก้ไขเป็นฉีดยา atropine 0.6 มก.ทางหลอดเลือดดำ ซึ่งแพทย์บางท่านชี้แนะ ให้ฉีดยาatropineก่อนจะกระทำการทดลอง
  • การตรวจเลือด แพทย์จะตรวจนับปริมาณของแอนติบอดี้ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงนั้นจะมีปริมาณของแอนติบอดี้ที่ไปยับยั้งแนวทางการทำงานของกล้ามเนื้อมากมายแตกต่างจากปกติ โดยมากจะตรวจพบแอนติบอดี้จำพวก Anti-MuSK
  • การตรวจการโน้มน้าวประสาท (Nerve Conduction Test) ทำได้ 2 วิธีเป็นRepetitive Nerve Stimulation Test เป็นการทดสอบด้วยการกระตุ้นเส้นประสาทซ้ำๆเพื่อมองแนวทางการทำงานของมัดกล้ามเนื้อ โดยการต่อว่าดขั้วกระแสไฟฟ้าที่ผิวหนังรอบๆที่พบอาการเหน็ดเหนื่อย รวมทั้งส่งกระแสไฟจำนวนนิดหน่อยเข้าไปเพื่อตรวจตราความรู้ความเข้าใจของเส้นประสาทสำหรับการส่งสัญญาณไปที่มัดกล้ามเนื้อ แล้วก็การตรวจด้วยกระแสไฟฟ้า (Electromyography) เป็นการวัดกระแสไฟจากสมองที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อเพื่อดูลักษณะการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อเพียงเส้นเดียว (Single-fiber Electromyography หรือ EMG)


การดูแลและรักษา จุดหมายสำหรับเพื่อการรักษาผู้เจ็บป่วย MG ของหมอคือการที่คนไข้หายจากอาการโดยไม่ต้องกินยาซึ่งมีกลไกสำหรับเพื่อการรักษา 2 ประการเป็น เพิ่มวิธีการทำ งานของ neuromusculartransmissionลดผลของ autoimmunity ต่อโรค
การดูแลรักษาจะแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่มซึ่งมีแนวทางการรักษาต่างกัน

  • คนป่วยที่มีสภาวะกล้ามเมื่อยล้าที่บริเวณกล้ามเนื้อตา ( Ocula MG ) ควรจะเริ่มด้วยยา ace-tylcholinesteraseinhibitors ดังเช่นว่า pyridostigmine (mestinon) ขนาดเม็ดละ 60 มิลลิกรัม ครึ่งถึง 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร แล้วมองการตอบสนองว่าอาการหนังตาตกลืมตาลำบากมากมายน้อยเพียงใด มีผลเข้าแทรกจากยาไหม ถ้าหากอาการยังไม่ดีขึ้นควรจะเพิ่มยา prednisoloneขนาดประมาณ 15-30มิลลิกรัมต่อวันและก็ร่วมกับการปรับปริมาณยา mestinon ตามอาการ ซึ่งโดยมากผู้เจ็บป่วยจะใช้ยาขนาดไม่สูงราวๆ 180-240มก.ต่อวัน(3-4 เม็ดต่อวัน) ส่วนมากจะสนองตอบดีต่อยา mestinonรวมทั้ง prednisoloneเมื่ออาการดียิ่งขึ้นจนกระทั่งเป็นปกติระยะเวลาหนึ่งโดยประมาณ 3-6 เดือนค่อยๆลดยา prednisoloneลงอย่างช้าๆราว 5มิลลิกรัมทุกๆเดือนจนกระทั่งหยุดยาพร้อมๆกับ mestinon การลดผลเข้าแทรกของยา prednisolone โดยการให้ยาวันเว้นวันในคนไข้ MG ได้ผลดีสิ่งเดียวกันแต่ในวันที่คนป่วยมิได้ยาprednisolone อาจมีลักษณะของโรคMG ได้ถ้าหากเกิดกรณีดังที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะต้องให้ยาprednisolone5มก. 1 เม็ดในวันดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นผู้ป่วยบางรายอาจมีการดำเนินโรคเป็นgeneralized MG โดยมักเกิดขึ้นในปีแรกก็จะต้องให้การรักษาแบบ generalizedMG ถัดไป
  • คนไข้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อยบริเวณอื่นๆ(Generalized MG) การดูแลและรักษามียาmestinon,ยากดภูมิต้านทานและการผ่าตัดthymectomyมีแนวทางการกระทำดังต่อไปนี้


o  ผู้ป่วยทุกคนจำเป็นต้องได้รับยา mestinon ขนาดเริ่ม 1 เม็ด 3 เวลาหลังรับประทานอาหารแล้ววัดผลการโต้ตอบว่าดีหรือไม่ โดยการวัดตอนยาออกฤทธิ์สูงสุดชั่วโมงที่ 1 รวมทั้ง 2 หลังรับประทานยาแล้วก็ประเมินตอนก่อนกินยาเม็ดถัดไปเพื่อจะได้รับรู้ว่าขนาดของยารวมทั้งความถี่ของการกินยาเหมาะสมไหมเป็นลำดับสิ่งที่ประเมินคืออาการของคนป่วย ตัวอย่างเช่น อาการลืมตาทุกข์ยากลำบาก อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง กล่าวแล้วเสียงแหบควรจะปรับปริมาณยาแล้วก็ความถี่ทุก2-4สัปดาห์  ปริมาณยาโดยมากโดยประมาณ 6-8 เม็ดต่อวัน ขนาดยาสูงสุดไม่ควรเกิน16 เม็ดต่อวัน
o  การผ่าตัด thymectomy ผู้ป่วยgeneralized MG ที่แก่น้อยกว่า 45ปีทุกรายควรชี้แนะ ให้ผ่าตัด thymectomy จำนวนร้อยละ 90 ของผู้ป่วยได้ประสิทธิภาพที่ดีราวๆร้อยละ 40 สามารถหยุดยา mestinon ข้างหลังผ่าตัดได้จำนวนร้อยละ 50 ลดยา mestinon ลงได้เพียงแค่จำนวนร้อยละ 10 แค่นั้นที่ไม่เป็นผล ช่วงเวลาที่ผ่าตัดควรทำ ในทีแรกๆของการดูแลรักษา
o    การให้ยากดภูมิต้านทาน ที่ใช้บ่อยครั้ง อย่างเช่น prednisolone รวมทั้ง azathioprine (immuran)การให้ยาดังที่กล่าวมาข้างต้นมีข้อบ่งชี้ในกรณี
   การผ่าตัด thymectomyแล้วไม่ได้เรื่อง ระยะเวลาที่ประเมินว่าการผ่าตัดไม่ได้ผลคือประมาณ 1 ปี
  ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการผ่าตัดโดยใช้ร่วมกับยา mestinon
   คนไข้ทีมีสภาวะการหายใจล้มเหลวจากการดำเนินโรคที่รุนแรง

  • การติดต่อของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติจึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)


  • กินยาตามแพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา
  • ใช้ชีวิตประจำวันในการออกแรงให้สม่ำเสมอ เหมือนๆกันในทุกๆวันเพื่อแพทย์จะได้จัดปริมาณยา (Dose) ที่กินได้อย่างถูกต้อง
  • กินอาหารคำละน้อยๆ เป็นอาหารอ่อน เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อช่องปาก และจะได้ไม่สำลัก ระหว่างกิน
  • มีที่ยึดจับในบ้าน เพื่อช่วยในการลุก นั่ง ยืน เดิน ร่วมกับจัดบ้านให้ปลอดภัย ง่ายแก่การใช้ชีวิตที่ไม่ต้องออกแรงมาก รวมทั้งเพื่อการใช้ชีวิตประจำวัน
  • เมื่อออกนอกบ้านต้องวางแผนล่วงหน้า ไม่รีบร้อน ไม่ออกแรงมากเกินปกติ
  • เมื่อเห็นภาพซ้อน ควรปิดตาข้างที่เกิดอาการ จะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
  • มีป้ายติดตัวเสมอว่าเป็นโรคอะไร กินยาอะไร รักษาโรงพยาบาลไหน เพื่อมีอาการฉุกเฉิน คนจะได้ช่วยได้ถูกต้องรวดเร็ว
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
  • กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ในปริมาณที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน เพื่อลดการแบกน้ำหนักของกล้ามเนื้อและเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
  • รีบไปโรงพยาบาลฉุกเฉินเมื่อมีอาการทางการหายใจ เช่น หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก
  • การป้องกันตนเองจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงยังเป็นโรคที่ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด และโรคที่มีความสัมพันธ์กันก็ยังเป็นโรคที่ส่วนใหญ่ไม่รู้สาเหตุเช่นกันอาทิ เช่น โรคของต่อมไทมัส และโรคของต่อมไทรอยด์ ดังนั้น ปัจจุบัน จึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    ดังนั้นเมื่อมีอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีหนังตาตกหรือแขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน จึงควรรีบพบแพทย์เสมอ เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้การรักษาโรคได้ผลดีจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    พืชสมุนไพรที่จะช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) ได้นั้นควรที่จะต้องมี “สารปรับสมดุล” (adaptogens) เพราะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) นั้นเกิดขึ้นจากภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติดังนั้น สารปรับสมดุลจึงจำเป็นสำหรับใช้ป้องกันโรคนี้ มีผู้ให้คำจำกัดความของสารปรับสมดุลไว้หลายประการเช่น หมายถึงสารที่เพิ่มความสามารถของร่างกายในการปรับตัวให้เข้ากับความเครียด โดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาทสารสื่อประสาท และการทำงานของต่อมต่างๆภายในร่างกาย เพิ่มความทนทานของอวัยวะต่างๆต่อความเครียด พยาธิสภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงรักษาการทำงานของระบบเมตาบอไลท์ของร่างกายให้ปกติและมีประสิทธิภาพ มีฤทธิ์ในการนำสมดุลกลับคืนสู่ร่างกาย (balancing) และบำรุงร่างกาย (tonic) นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของคนเราโดยลดผลที่เกิดจากการถูกกระตุ้นโดยปัจจัยต่างๆโดยเฉพาะความเครียด การอักเสบ และการเกิดออกซิเดชั่น (oxidation)
    พืชสมุนไพรที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในการปรับสมดุลมีหลายชนิดโดยเฉพาะรากของพืชในวงศ์โสม (Araliaceae) ได้แก่ โสมเกาหลี (Panax ginseng) โสมอเมริกัน (Panax quinquefolius) รวมทั้งพืชสมุนไพรอื่นๆ เช่น ผลมะขามป้อม (Emblica officinalis) ต้นปัญจขันธ์ (Gynostemma pentaphyllum) เห็ดหลินจือ (Ganoderma lucidum) รากชะเอมเทศ (Glycyrrhiza glabra) ผลเก๋ากี้ (Lycium chinensis) และถั่งเช่า (Cordyceps sinensis) เป็นต้น สารสำคัญต่างๆในพืชเหล่านี้ที่แสดงฤทธิ์ปรับสมดุลที่มีรายงานนั้นมีหลายกลุ่ม ได้แก่ สารกลุ่มฟีโนลิก (phenolics) เช่น eleutheroside B ในรากของโสม และ ellagic acid ในผลมะขามป้อม สารกลุ่มเทอร์พีนอยด์ (terpenoids) เช่น zeaxanthin ในผลเก๋ากี้ และไตรเทอร์พีนอยด์ซาโปนิน (triterpenoid saponin) เช่น ginsenosides ในรากโสมเกาหลีและโสมอเมริกัน และ glycyrrhizin ในรากชะเอมเทศเป็นต้น
    เอกสารอ้างอิง

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์
  • รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า.Common Pittalls in Myasthenia Gravis.วารสารสมาคมประสาทวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.ปีที่6.ฉบับที่3(กรกฎาคม-กันยายน2554).159-168
  • นพ.เกษมสิน ภาวะกุล (2552). Generalized myasthenia gravis. วารสารอายุรศาสตร์อีสาน.ปีที่ 8. 84-91.
  • สมศักดิ์เทียมเก่า, ศิริพร เทียมเก่า, วีรจิตต์โชติมงคล, สุทธิพันธ์จิตพิมลมาศ.ความชุกและลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยmyasthenia gravis อย่างเดียว และ myasthenia gravisที่มี Srinagarind MedJ 1994;9:8-13. http://www.disthai.com/
  • Anesthesia issues in the perioperative management of myasthenia gravis.Semin Neurol 2004;24:83-94.
  • Drachman, D. (1994). Myasthenia gravis. N Engl J Med. 330,1797-1810.
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอมจี (Myasthenia gravis หรือ MG).หาหมอ.
  • Hughes BW, Moro De Casillas ML,KaminskiHJ.Pathophysiology of myasthenia gravis. Semin Neurol2004;24:21-30
  • Meriggioli MN,Sanders DB. Myasthenia gravis: diagnosis. Semin Neurol 2004;24:31-9.
  • ดร.ปองทิพย์ สิทธิสาร.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ผักแปม สมุนไพรปรับสมดุล.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาบัยมหิดล
  • Juel VC. Myasthenia gravis: management of myasthenic crisis and perioperativeSemin Neurol 2004;24:75- 81.
  • Alsheklee, A. et al.(2009) Incidence and mortality rates of myasthenia gravis and myasthenic crisis in US hospitals.Neurology.72, 1548-1554.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Saguil, A. (2005). Evaluation of the patient with muscle weakness. Am Fam Physician. 71, 1327-1336.

บันทึกการเข้า