รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคไข้เลือดออก - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 593 ครั้ง)

Tawatchai1212

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 92
    • ดูรายละเอียด


โรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)

  • โรคไข้เลือดออกคืออะไร โรคไข้เลือดออกหมายถึงโรคติดเชื้อซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจาก ไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) โดยมียุงลายเป็นยานพาหนะนำโรคอาการของโรคนี้มีความคล้ายกับโรคไข้หวัดในตอนแรก (แต่จะไม่มีอาการน้ำมูลไหล คัดจมูก หรือไอ) ก็เลยทำให้คนไข้รู้เรื่องคลาดเคลื่อนได้ว่าตนเป็นเพียงโรคไข้หวัด รวมทั้งทำให้มิได้รับการดูแลรักษาที่ถูกในทันทีทันใด โรคไข้เลือดออกมีอาการแล้วก็ความรุนแรงของโรคหลายระดับตั้งแต่ไม่มีอาการหรือมีอาการบางส่วนไปจนกระทั่งเกิดภาวะช็อกซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้เจ็บป่วยเสียชีวิต สถิติในปี พ.ศ. 2554 รายงานโดย กรุ๊ปโรคไข้เลือดออก สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีอัตราเจ็บป่วย 107.02 แล้วก็อัตราป่วยไข้ตาย 0.10 ซึ่งมีความหมายว่า ในประชากรทุก 100,000 คน จะมีบุคคลที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกได้ถึง 107.02 คน และก็มีผู้ตายจากโรคนี้ 0.1 คน อย่างยิ่งจริงๆ ดังนี้โรคไข้เลือดออกยังเป็นโรคระบาดที่มักพบแถบบ้านพวกเรารวมทั้งประเทศใกล้เคียง มีการระบาดเป็นระยะๆทั่วในจังหวัดกรุงเทพมหานคร และก็ชนบท พบมากการระบาดในฤดูฝนซึ่งเป็นช่วงๆที่มียุงลายชุม จากสถิติในปี พุทธศักราช 2556 ของสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีคนไข้จำนวน 154,444 ราย (คิดเป็นอัตราป่วยไข้ 241.03 ต่อประชาชน 100,000 ราย) และมีปริมาณคนป่วยเสียชีวิตจำนวน 136 ราย (คิดเป็นอัตราเสียชีวิต 0.21 ต่อพลเมือง 100,000 ราย)
  • ต้นเหตุของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่าเชื้อไวรัสเดงกี Dengue 4 ประเภทคือ Dengue 1, 2, 3 และ 4 โดยปกติไข้เลือดออกที่เจอกันทั่วๆไปทุกปีมักจะมีต้นเหตุมาจากเชื้อไวรัสDengue ชนิดที่ 3 หรือ 4 แต่ที่มีข่าวสารมาในเวลานี้จะเป็นการติดเชื้อโรคในสายพันธ์2เป็นสายพันธ์ที่เจอได้เรี่ยรายแต่อาการชอบรุนแรงกว่าสายพันธ์ที่ 3, 4 และก็ควรเป็นการติดเชื้อซ้ำครั้งที่ 2 (Secondaryinfection) เชื้อไวรัสเดงกี่ เป็น single strandcd RNA เชื้อไวรัส อยู่ใน familyflavivirida มี4 serotypes (DEN1, DEN2, DEN3, DEN4) ซึ่งมีantigen ของกลุ่มบางชนิดร่วมกัน จึงทำให้มีcross reaction พูดอีกนัยหนึ่ง เมื่อมีการติดโรคชนิดใดแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสชนิดนั้นอย่างถาวรชั่วชีวิต รวมทั้งจะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสเดงกี่อีก 3 ชนิด ในตอนระยะสั้นๆโดยประมาณ 6 - 12 เดือน (หรืออาจสั้นกว่านี้) เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ภายในเขตพื้นที่ที่มีเชื้อไวรัสเดงกี่ชุมอาจมีการต่อว่าดเชื้อ 3หรือ 4 ครั้งได้  การตำหนิดเชื้อไวรัสเดงกีมีลักษณะแสดงได้ 3 แบบหมายถึงไข้เดงกี (Denque Fever – DF),ชอบเกิดกับเด็กโตหรือคนแก่อาจจะมีอาการไม่ร้ายแรงและไม่สามารถจะวินัจฉัยได้การอาการทางสถานพยาบาลได้แน่นอนจะต้องอาศัยการตรวจทางทะเลเหลืองแล้วก็แยกเชื้อไวรัส ไข้เลือดออก หรือ ไข้เลือดออกเดงกี (Dengue hemorrhagic fever – DHF) รวมทั้งไข้เลือดออกเดงกีที่ช็อก (Denque Shock Syndrome – DSS) เป็นกรุ๊ปอาการที่เกิดขึ้นต่อจากระยะ DHF เป็นมีการรั่วของพลาสมาออกไปๆมาๆกทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะช็อก แล้วก็สามารถตรวจเจอรระดับอีมาโตคริต    (Hct)  สูงมากขึ้นรวมทั้งมีน้ำในเยื่อหุ้มช่วงปอดและท้องอีกด้วย
  • ลักษณะของโรคไข้เลือดออก ระยะที่ 1 (ระยะไข้สูง) ผู้เจ็บป่วยจะจับไข้สูงลอย (กินยาลดไข้ไข้ก็จะไม่ลด) ไข้39 - 41 องศาเซลเซียส ประมาณ 2 - 7 วัน ทุกรายจะมีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ส่วนมากไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส ไข้บางทีอาจสูงถึง 40 - 41 องศาเซลเซียสได้ซึ่งบางรายอาจมี อาการชักเกิดขึ้น คนเจ็บชอบมีหน้าแดง (Flushed face) อาจตรวจ เจอคอแดง (Injected pharynx) ได้แต่ว่าส่วนใหญ่คนเจ็บจะไม่มีอาการ น้ำมูกไหล หรืออาการไอ ซึ่งช่วยสำหรับการวิเคราะห์แยกโรคจากหัดใน ช่วงแรก และก็โรคระบบทางเดินหายใจได้ เด็กโตบางทีอาจบ่นปวดหัว ปวดรอบกระบอกตา ในระยะไข้นี้อาการทางระบบทางเดินอาหารที่พบได้มากเป็นไม่อยากอาหาร อ้วก บางรายอาจมีลักษณะของการปวดท้องร่วมด้วย ซึ่งใน ระยะเริ่มต้นจะปวดโดยธรรมดา และบางทีอาจปวดที่ชายโครงขวาในระยะ ที่มีตับโต ปวดศีรษะ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเรียกตัว อยากดื่มน้ำ ซึม ในบางรายอาจมีอาการปวดท้องในบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงทางด้านขวา หรืออาจมีอาการท้องผูกหรือถ่ายเหลว ส่วนในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี อาจเจออาการไข้สูงร่วมกับอาการชักได้ ระยะที่ 2 (ระยะช็อกรวมทั้งมีเลือดออก หรือ ระยะวิกฤติ) มักจะเจอในไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อเดงกีที่มีความร้ายแรงขั้นที่ 3 และ 4 อาการจะเกิดขึ้นในตอนระหว่างวันที่ 3-7 ของโรค ซึ่งนับได้ว่าเป็นช่วงที่วิกฤติของโรค โดยลักษณะของการมีไข้จะเริ่มต่ำลง แม้กระนั้นคนป่วยกลับมีลักษณะอาการทรุดหนัก มีลักษณะเลือดออก : อาการเลือดออกที่พบได้มากที่สุดที่ผิวหนัง โดยจะตรวจเจอว่าเส้นโลหิตเปราะ แตกง่าย กระบวนการทำ torniquet test ได้ผลบวกได้ตั้งแต่ 2 - 3 วันแรกของโรค ร่วมกับมีจุดเลือดออกเล็กๆกระจัดกระจายอยู่ตามแขน ขาลำตัว จั๊กกะแร้อาจมีเลือดกำเดา หรือเลือดออก ตามไรฟัน ในรายที่ร้ายแรงอาจมีอ้วก เจ็บท้อง และขี้เป็นเลือด ซึ่งชอบเป็นสีดำ (Malena) อาการเลือดออกในทางเดินของกิน มีความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด หรือช็อก:ชอบกำเนิด ตอนไข้จะลดเป็นระยะที่มีการรั่วของพลาสมาซึ่งจะพบทุกรายในคนไข้ ไข้เลือดออกเดงกี่ โดยระยะรั่วจะมีโดยประมาณ 24 - 28 ชั่วโมง ราวๆ 1 ใน 3 ของคนป่วยจะมีอาการร้ายแรงมีสภาวะการไหล เวียนล้มเหลวเกิดขึ้น เนื่องด้วยมีการรั่วของพลาสมาออกไปยังช่องปอด/ ท้องมาก กำเนิด hypovolemic shock ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการ เร่าร้อนใจ มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นค่อยเร็ว(อาจมากกว่า 120 ครั้ง/นาที) ปัสสาวะน้อย ความดันเลือดเปลี่ยน ตรวจเจอ pulse pressure แคบ พอๆกับหรือน้อยกว่า 20 มม.ปรอท (ค่าปกติ30-40มม.ปรอท) ภาวการณ์ช็อกที่เกิดขึ้นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลง อย่างเร็วหากไม่ได้รับการดูแลและรักษาคนไข้จะมีลักษณะชั่วลงรอบปากเขียว ผิวสีม่วงๆตัวเย็นชืด เช็คชีพจรแล้วก็/หรือวัดความดันมิได้ (Profound shock) สภาวะทราบสติแปรไป และจะเสียชีวิตข้างใน 12-24ชั่วโมงข้างหลังเริ่มมีสภาวะช็อกแม้ว่าคนเจ็บได้รับการดูแลและรักษาอาการช็อก อย่างทันเวลาและก็ถูกก่อนที่จะเข้าสู่ระยะ profound shock โดยมากก็จะฟื้นได้อย่างเร็ว ระยะที่ 3 (ระยะฟื้นตัว) ในรายที่มีภาวการณ์ช็อกไม่รุนแรง เมื่อผ่านวิกฤติตอนระยะที่ 2 ไปแล้ว อาการก็จะดีขึ้นอย่างเร็ว หรือแม้กระทั้งคนไข้ที่มีสภาวะช็อกรุนแรง เมื่อได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องแล้วก็ทันทีทันควันก็จะฟื้นไปสู่สภาพปกติ โดยอาการที่หมายความว่าดียิ่งขึ้นนั้นหมายถึงผู้เจ็บป่วยจะเริ่มต้องการทานอาหาร แล้วอาการต่างๆก็จะกลับคืนสู่สภาพธรรมดา ชีพจรเต้นช้าลง ความดันเลือดกลับมาสู่ปกติ ฉี่ออกมากขึ้น
  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคไข้เลือดออก เนื่องแต่โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่มียุงลายเป็นยานพาหนะนำโรคโดยเหตุนั้น สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้มีการเกิดโรคไข้เลือดออกนั้น บางครั้งก็อาจจะแบ่งได้เป็น 2 กรณี 1.การเช็ดกยุงลายกัด ด้วยความที่พวกเราไม่สามารถที่จะทราบได้เลยว่ายุงตัวไหนมีเชื้อไหมมีเชื้อด้วยเหตุผลดังกล่าว เมื่อถูกยุงลายกัด จึงมีความเป็นไปได้เสมอว่าพวกเราบางครั้งก็อาจจะได้รับเชื้อไวรัสเดงกีที่ส่งผลให้เกิดโรคไข้เลือดออก โดยเฉพาะเมื่อเราถูกยุงลายกัดในพื้นที่ที่การระบายของโรคไข้เลือดออก หรือ อยู่ภายในเขตพื้นที่ที่มีความมากมายของยุงลายสูง 2.แหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย ในเมื่อยุงลายเป็นยานพาหนะนำโรคไข้เลือดออกแล้วนั้น จึงพอๆกับว่าถ้าเกิดยุงลายมีเยอะแยะก็จะก่อให้กำเนิดการเสี่ยงสำหรับการกำเนิดโรคไข้เลือดออกมากมายตามมา รวมทั้งถ้าหากยุงลายมีจำนวนน้องลง การเสี่ยงที่จะกำเนิดโรคไข้เลือดออกก็น่าจะน้อยลงตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้การควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ก็เลยน่าจะเป็นการลดการเสี่ยงสำหรับในการกำเนิดโรคไข้เลือดออกได้ และก็หากชุมชนสามารถช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้ก็จะมีผลให้ชุมดูนั้น ปราศจากจากโรคไข้เลือดออกได้
  • แนวทางการรักษาโรคไข้เลือดออก การวิเคราะห์โรคไข้เลือดออก แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกได้จากอาการทางคลินิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการไข้สูง 39-41 องศาเซลเซียส หน้าแดง เปลือกตาแดง อาจคลำได้ตับโต กดเจ็บ มีผื่นแดง หรือจุดแดงจ้ำเขียว โดยไม่มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ หรือเจ็บคอ ร่วมกับการมีประวัติโรคไข้เลือดออกของผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณเดียวกัน หรือมีการระบาดของโรคในตอนนั้นๆแล้วก็การทดลองทูร์นิเคต์ได้ผลบวก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์โรคนี้ได้ นอกจากนั้น การส่งไปตรวจเลือด ซีบีซี (CBC) จะตรวจเจอเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวค่อนข้างต่ำรวมทั้งความเข้มข้นของเลือดสูง เพียงเท่านี้ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้เป็นส่วนมากแล้ว แม้กระนั้นในบางราย แม้อาการ ผลของการตรวจร่างกาย แล้วก็ผลเลือดในเบื้องต้นยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ ในตอนนี้ก็มีวิธีการส่งเลือดไปตรวจหาภูมิต้านทานขัดขวางต่อเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งจะช่วยทำให้การวิเคราะห์โรคนี้ได้อย่างแม่นยำเยอะขึ้น

เนื่องจากว่ายังไม่มีการพัฒนายาฆ่าเชื้อเชื้อไวรัสเดงกี่การดูแลและรักษาโรคนี้ ก็เลยเป็นการรักษาตามอาการเป็นหลัก กล่าวคือ มีการใช้ยาลดไข้ เช็ดตัว แล้วก็การปกป้องคุ้มครองสภาวะช็อก ยาลดไข้ที่ใช้มีเพียงแค่ประเภทเดียว คือ ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ขนาดยาที่ใช้ในคนแก่คือ พาราเซตามอลแบบเป็นเม็ดละ500มิลลิกรัมรับประทานครั้งละ1-2เม็ด ทุก 4 - 6 ชั่วโมง โดยไม่ควรกินเกินวันละ 8 เม็ด (4 กรัม) ส่วนปริมาณยาที่ใช้ในเด็กคือ พาราเซตามอลแบบเป็นน้ำ 10-15มิลลิกรัมต่อ น้ำหนักตัว 1 โลต่อครั้ง ทุก 4 - 6 ชั่วโมง โดยไม่สมควรรับประทาน เกินวันละ5ครั้ง หรือ2.6กรัม สินค้าพาราเซตามอลชนิดน้ำสำหรับเด็กมีจำหน่ายในหลายความแรงเช่น 120 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา (1 ช้อนชา พอๆกับ 5 มล.), 250 มก.ต่อ 1 ช้อนชา, และ 60 มิลลิกรัมต่อ 0.6 มิลลิลิตร ส่วนใหญ่เป็นยาน้ำเชื่อมที่จำต้องรินใส่ช้อนเพื่อป้อนเด็ก ในกรณีเด็กทารก การป้อนยาทำเป็นค่อนข้างยากก็เลยมีผลิตภัณฑ์ยาที่ทำขายโดยบรรจุในขวดพร้อมหลอดหยด เวลาใช้ก็เพียงใช้หลอดหยดดูดยาออกจากขวดแล้วก็นำไปป้อนเด็กได้เลย ด้วยสาเหตุอันเกิดจากที่สินค้าพาราเซตามอลรูปแบบน้ำสำหรับเด็กมีหลายความแรง จำเป็นจะต้องอ่านฉลากแล้วก็การใช้ให้ดีก่อนนำไปป้อนเด็ก กล่าวคือ ถ้าเด็กหนัก 10 โล รวมทั้งมียาน้ำความแรง 120 มก.ต่อ 1 ช้อนชา ก็ควรจะป้อนยาเด็กครั้งละ 1 ช้อนชาหรือ 5 มิลลิลิตร และป้อนซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมงแม้กระนั้นไม่สมควรป้อนยาเกินวันละ 5 ครั้ง ถ้าหากว่าไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ทันที ยาพาราเซตามอลนี้เป็นยารับประทาน ตามอาการ ด้วยเหตุนี้ถ้าเกิดว่าไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ในทันทีส่วนยา แอสไพรินแล้วก็ไอบูโปรเฟนเป็นยาลดไข้ด้วยเหมือนกัน แต่ยาทั้งสองแบบนี้ ห้ามนำมาใช้ในโรคไข้เลือดออก เนื่องจากว่าจะยิ่งผลักดันการเกิดภาวะ เลือดออกเปลี่ยนไปจากปกติกระทั่งอาจเกิดอันตรายต่อคนป่วยได้ ในส่วนการปกป้องภาวะช็อกนั้น กระทำได้โดยการทดแทนน้ำ ให้ร่างกายเพื่อไม่ให้ปริมาตรเลือดลดลดลงกระทั่งทำให้ความดันโลหิตตก แพทย์จะใคร่ครวญให้สารน้ำตามความร้ายแรงของอาการ โดยอาจให้ คนเจ็บดื่มเพียงแค่สารละลายเกลือแร่ โออาร์เอส หรือคนไข้บางราย บางทีอาจได้รับน้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดดำ  ในกรณีที่คนเจ็บเกิดภาวะเลือด ออกผิดปกติกระทั่งเกิดภาวะเสียเลือดอาจจำต้องได้รับเลือดเพิ่มเติมอีก แม้กระนั้น จะต้องเฝ้าระวังสภาวะช็อกตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น เนื่องจากว่าภาวการณ์นี้มีความอันตรายต่อชีวิตของคนไข้อย่างยิ่ง

  • การติดต่อของโรคไข้เลือดออก การติดต่อของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออก มักติดต่อจากคนไปสู่คน ซึ่งมียุงลายตัวเมีย (Aedes aegypt)  เป็นตัวพาหะที่สำคัญ โดยยุงตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกี แล้วต่อจากนั้นเชื้อจะเข้าไปฟักตัวและก็เพิ่มในตัวยุงลาย ทำให้มีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวของยุงตลอดระยะเวลาอายุขัยของมันโดยประมาณ 1 - 2 เดือน แล้วถ่ายทอดเชื้อไปสู่คนที่ถูกกัดได้ในรัศมี 100 เมตร ยุงลายเป็นยุงที่อาศัยอยู่ในรอบๆบ้าน มักออกกัดกลางวัน มีแหล่งเพาะพันธุ์เป็นน้ำนิ่งที่ขังอยู่ในภาชนะเก็บน้ำต่างๆอาทิเช่น ตุ่ม แจกันดอกไม้ ถ้วยรองขาตู้ จาน จานชาม กระป๋อง หม้อ ยางรถยนต์ หรือกระถาง เป็นต้น  โรคไข้เลือดออก พบส่วนมากในช่วงฤดูฝน เนื่องจากว่าในฤดูนี้เด็กๆชอบอยู่กับบ้านมากยิ่งกว่าฤดูอื่นๆทั้งยุงลายยังมีการขยายพันธุ์มากมายในช่วงฤดูฝน ซึ่งในเมืองใหญ่ๆที่มีประชากรหนาแน่น รวมทั้งมีปัญหาทางด้านกายภาพเกี่ยวกับขยะ อย่าง กรุงเทพฯ อาจเจอโรคไข้เลือดออกนี้ได้ตลอดทั้งปี


ทราบได้เช่นไรว่าพวกเราจับไข้เลือดออก ข้อคิดเห็นบางประการที่บางครั้งอาจจะช่วยให้สงสัยว่าอาจจะจับไข้เลือดออก เป็นต้นว่า  เป็นไข้สูง เหน็ดเหนื่อยเป็นเกิน 2 วัน  ถ้ามีปวดหัวมากมายหรือคลื่นไส้มากร่วมด้วย  หลังเป็นไข้ 2 ถึง 7 วัน แล้วไข้ต่ำลงเอง เมื่อไข้ลดแล้วมีลักษณะอาการเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งบางครั้งก็อาจจะเจ็บป่วยเลือดออกได้ ปวดศีรษะมากมาย อ่อนล้ามาก คลื่นไส้มากมาย รับประทานอาหารไม่ได้ ปวดท้อง มีจ้ำเลือดเล็กๆบริเวณแขน ขา หรือลำตัว มีเลือดออกตามอวัยวะได้แก่ เลือดกำเดา ถ่ายเป็นเลือด เมนส์มาก่อนกำทีด ฯลฯ

  • การกระทำตนเมื่อเป็นไข้เลือดออก ในระยะ 2 - 3 วันแรกของการจับไข้หากยังทานอาหารแล้วก็ดื่มน้ำได้ ไม่คลื่นไส้ ไม่เจ็บท้อง ไม่มีจ้ำเลือดขึ้นและก็ยังไม่มีอาการเลือดออกหรือสภาวะช็อกเกิดขึ้น ควรปฏิบัติดังนี้ ให้คนไข้พักมากๆหากเป็นไข้สูงให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเป็นประจำและก็ให้ยาลดไข้พาราเซตามอล ผู้ใหญ่รับประทาน 1-2 เม็ด เด็กโต ½ - 1 เม็ด เด็กตัวเล็กๆใช้รูปแบบน้ำเชื่อม 1- 2 ช้อนชา ถ้าหากยังมีไข้รับประทานซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง ห้ามให้ยาแอสไพริน โดยเด็ดขาด เพราะเหตุว่าอาจจะเป็นผลให้มีเลือดออกได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น ถ้าหากเป็นผู้เจ็บป่วยเด็กรวมทั้งเคยชัก ควรให้รับประทานยากันชักไว้ก่อน รับประทานอาหารอ่อนๆเช่น ข้าวต้ม โจ๊ก และดื่มน้ำมากๆเฝ้าดูอาการคนเจ็บอย่างใกล้ชิด หมั่นกินน้ำ หรือเกลือแร โออาร์เอส ให้มากมายๆเพื่อคุ้มครองการช็อกจากการขาดน้ำ และถ้าหากมีลักษณะดังนี้ควรจะไปพบแพทย์โดยด่วน  ซึมลงอย่างเร็ว เมื่อยล้าอย่างมาก มีจ้ำเลือดตามร่างกายมากมาย อาเจียนมากมาย รับประทานอาหารและก็กินน้ำมิได้ มีเลือดออกตามร่างกายตัวอย่างเช่น เลือดกำเดา อาเจียนเป็นเลือดถ่ายอุจจาระเป็นเลือด หรือเลือดออก ช่องคลอด เจ็บท้องมาก
  • การปกป้องตัวเองจากโรคไข้เลือดออก แม้ว่าในขณะนี้เริ่มจะมีการพัฒนาวัคซีนคุ้มครองการต่อว่าดเชื้อไวรัสเดงกี่ แต่ก็ยังไม่มียาซึ่งสามารถฆ่าเชื้อเชื้อไวรัสเดงกี่ได้ โดยเหตุนี้คำตอบที่ดีเยี่ยมที่สุดของโรคไข้เลือดออกในขณะนี้ คือ การปกป้องคุ้มครองไม่ให้เป็นโรคโดยการควบคุมยุงลายให้มีจำนวนน้อยลงซึ่งทำเป็นโดยการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายและการกำจัดยุงลายลูกน้ำรวมทั้งตัวสมบูรณ์เต็มวัย และก็คุ้มครองไม่ให้ยุงลายกัด ทั้งนี้การปกป้องทำเป็น 3 ลักษณะ คือ


การคุ้มครองป้องกันทางกายภาพ อย่างเช่น ปิดภาชนะเก็บน้ำด้วยฝาปิด อาทิเช่น มีผาปิดปากตุ่ม ตุ่มน้ำ ถังเก็บน้ำ หรือถ้าเกิดไม่มีฝาปิด ก็วางคว่ำลงแม้ยังไม่ต้องการที่จะอยากใช้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กลายเป็นที่ออกไข่ของยุงลาย เปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้สดเป็นประจำอย่างน้อยทุกๆ7 วัน ปล่อยปลารับประทานลูกน้ำลงในภาชนะเก็บน้ำ ยกตัวอย่างเช่น โอ่ง ตุ่ม ภาชนะละ 2-4 ตัว รวมทั้งอ่างบัวแล้วก็ตู้สำหรับเลี้ยงปลาก็ควรมีปลารับประทานลูกน้ำเพื่อรอควบคุมปริมาณลูกน้ำยุงลายเช่นกัน ใส่เกลือลงน้ำในจานสำหรับเพื่อรองขาตู้อาหาร เพื่อควบคุมรวมทั้งกำจัดลูกน้ำยุงลาย โดยใส่เกลือ 2 ช้อนชา ต่อความจุ 250 มิลลิลิตร พบว่าสามารถควบคุมลูกน้ำได้นานกว่า 7 วัน
การปกป้องทางเคมี เป็นต้นว่า เพิ่มเติมทรายทีมีฟอส ซึ่งเป็นสารเคมีที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใช้และรับรองความปลอดภัย เหมาะสมกับภาชนะที่ไม่สามารถที่จะใส่ปลารับประทานลูกน้ำได้  การพ่นสารเคมีหรือยากันยุงเพื่อกำจัดยุงตัวเต็มวัย มีจุดแข็งก็คือ ประสิทธิภาพสูง แต่ว่าจุดอ่อนคือ ราคาแพงแพง และเป็นพิษต่อคนและก็สัตว์เลี้ยง จึงจะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญสำหรับการฉีดพ่นและก็ฉีดเฉพาะเมื่อจำเป็นจะต้องเท่านั้น เพื่อคุ้มครองปกป้องความเป็นพิษต่อคนและก็สัตว์เลี้ยง ควรจะเลือกฉีดในตอนที่มีคนอยู่น้อยที่สุดและฉีดพ่นลงในแหล่งที่คาดว่าเป็นแหล่งเกาะพักของ อย่างเช่น ท่อสำหรับเพื่อระบายน้ำ ฯลฯ การใช้สารเคมีเพื่อกำจัดยุงในบ้านเรือน ที่ใช้กันมี 2 จำพวก คือ ยาจุดกันยุง แล้วก็สเปรย์ฉีดไล่ยุง ขึ้นรถออกฤทธิ์อาจเป็นยาในกรุ๊ปไพรีทรอยด์ (Pyrethroids), ดีท (DEET, diethyltoluamide) เป็นต้น ครั้งก่อนมียาฆ่ายุงด้วย มีชื่อว่า สารฆ่าแมลงดีดีที แต่สารนี้ถูกยกเลิกการใช้ไปแล้วด้วยเหตุว่าเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตและหลงเหลือในสภาพแวดล้อมเป็นเวลานานมากมาย แต่ สารเคมีไม่ว่าจากยาจุดกันยุงหรือสเปรย์ฉีดไล่ยุง ก็มีความเป็นพิษต่อคนแล้วก็สัตว์ ด้วยเหตุนั้นเพื่อลดความเป็นพิษดังที่กล่าวมาข้างต้นควรจุดยากันยุงในรอบๆที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ล้างมือทุกครั้งภายหลังสัมผัส ส่วนยาฉีดไล่ยุงจะมีความเป็นพิษมากกว่า โดยเหตุนี้ห้ามฉีดลงบนผิวหนัง แล้วก็ควรปฏิบัติตามวิธีการใช้ที่กำหนดข้างกระป๋องอย่างเคร่งครัด
การกระทำตัว เช่น นอนในมุ้ง หรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด โดยต้องปฏิบัติแบบเดียวกันตอนกลางวันแล้วก็ตอนกลางคืน ถ้าเกิดไม่อาจจะนอนในมุ้งหรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดได้ ควรที่จะใช้ยากันยุงจำพวกทาผิวซึ่งมีสารสำคัญที่สกัดจากธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น น้ำมันตะไคร้หอม (oil of citronella), น้ำมันยูคาลิปตัส (oil of eucalyptus) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงขึ้นยิ่งกว่ามาทาหรือหยดใส่ผิวหนังใช้เป็นยากันยุง แต่ว่าคุณภาพจะต่ำลงยิ่งกว่า DEET

  • สมุนไพรชนิดไหนที่ช่วยรักษาป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ โดยจากการศึกษาเล่าเรียนข้อมูล พบว่า สามารำใช้ใบมะละกอสดมาคันน้ำกินควบคู่กับการดูแลและรักษาแผนปัจจุบัน จะทำให้เกล็ดเลือดของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมากขึ้นได้ภายใน 24 – 48 ชม. ช่วยลดอัตราการตายลงได้ มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยรอบรับในหลายประเทศ มีการทดลองในคนใช้แล้วเห็นผล ตัวอย่างเช่น อินเดีย ประเทศปากีสถาน มาเลเซีย นอกนั้นยังมีการจดสิทธิบัตรน้ำใบมะละกอในต่างแดนด้วย ไม่ได้ใช้เฉพาะผู้เจ็บป่วยเกล็ดเลือดต่ำจากไข้เลือดออกเพียงอย่างเดียว แต่ว่าใช้ในกรณีอื่นด้วย กรรมวิธีการรักษาโรคไข้เลือดออกด้วยใบมะละกอสด คือ ใช้ใบมะละกอสดจำพวกใดก็ได้ราว 50 กรัม จากต้นมะละกอ แล้วล้างให้สะอาด รวมทั้งทำบทให้ละเอียด ไม่ต้องเพิ่มน้ำ กรองเอากากออก กินน้ำใบมะละกอสดแยกกาก วันละ ครั้งแก้ว หรือ 30 ซีซี ต่อเนื่องกัน 3 วัน โดยวิธีนี้มีการวิจัยมาแล้วว่าปลอดภัย


สมุนไพรซึ่งสามารถไล่ยุงได้ ตะไคร้หอม ช่วยสำหรับในการไล่ยุงเพราะเหตุว่ากลิ่นฉุนๆของมันไม่เป็นมิตรกับยุงร้าย ในตอนนี้มีการทำออกมาในรูปของสารสกัดชนิดต่างๆไว้สำหรับคุ้มครองป้องกันยุงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แต่ถ้าอยากให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีสุดๆควรใช้ตะไคร้หอมไล่ยุงชนิดที่สกัดน้ำมันเพียวๆจากต้นตะไคร้หอมจะเยี่ยมที่สุด เว้นเสียแต่กลิ่นจะช่วยขับไสยุงแล้ว ยังช่วยไล่แมลงอื่นๆได้อีกด้วยล่ะ เปลือกส้ม ยังมีคุณประโยชน์เป็นสมุนไพรไล่ยุงได้อีกด้วย กรรมวิธีการไล่ยุงด้วยเปลือกส้มนั้น เพียงแต่ใช้เปลือกส้มที่แกะออกจากผลส้มแล้วมาผึ่งจนแห้ง ต่อจากนั้นนำมาเผาไฟ ควันที่เกิดขึ้นและน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในเปลือกส้มมีสรรพคุณเป็นอย่างดีสำหรับเพื่อการไล่ยุง  มะกรูด นับได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มากมายไปด้วยผลดี และก็ยังสามารถเอามาเป็นสมุนไพรไล่ยุงได้อย่างดีเยี่ยม แนวทางการคือ นำผิวมะกรูดสดมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆมาตำกับน้ำเท่าตัวจนแหลกละเอียด หลังจากนั้นให้กรองเอาเฉพาะน้ำ สามารถเอามาทาผิวหรือใส่กระบอกสำหรับฉีดเพื่อฉีดตามจุดต่างๆของบ้านได้ โหระพา กลิ่นหอมแรงของโหระพายังเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวที่ช่วยสำหรับในการไล่ยุงและแมลง ทำให้มันไม่สามารถที่จะคงทนกับกลิ่นแรงของโหระพาได้ สะระแหน่ นับว่าเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่ให้กลิ่นหอมหวน แต่กลิ่นหอมสดชื่นๆของมันไม่ค่อยถูกกันกับยุงนัก กรรมวิธีไล่ยุงแค่เพียงนำใบสะระแหน่มาบดขยี้ให้กลิ่นออกมา ต่อจากนั้นนำไปวางตามจุดต่างๆที่มียุงจำนวนมากหรือสามารถนำใบสะระแหน่มาบดแล้วทาลงบนผิวหนังจะก่อให้ผิวหนังกระชุ่มกระชวยและยังช่วยกันยุงได้อีกด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • กลุ่มโรคไข้เลือดออก สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการประเมินผลตามตัวชิ้วัดงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกระดับจังหวัด ปี 2553. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: 2543.1-12.
  • (ภกญ.วิภารักษ์ บุญมาก).”โรคไข้เลือดออก”ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • สิวิกา แสงธาราทิพย์ ศิริชัย พรรณธนะ(2543).โรคไข้เลือดออก.(พิมพ์ครั้งที่2).พิมพ์ที่บริษัท เรดิเอชั่น จำกัด สำนักงานควบคุมโรคไข้เลือดออก กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข http://www.disthai.com/
  • สำนักพัฒนาวิชาการแพทย์ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการวินิจฉัยและรักษาไข้เลือดออกในระดับโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด; 2548.8-33.
  • แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคไข้เลือดออกเดงกี กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวจสาธารณสุข.(2544).กระทรวจสาธารณสุข
  • Sunthornsaj N, Fun LW, Evangelista LF, et al. MIMS Thailand. 105th ed. Bangkok: TIMS Thailand Ltd; 2006.118-33.
  • นพ.สมชาญ เจียรนัยศิลป์.ไข้เลือดออก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่267.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2544
  • คู่มือวิชาการโรคติดเชื้อเดงกีและโรคไข้เลือดออกเดงกีด้านการแพทย์และสาธารณสุข.สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลงกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข.2558
  • กันยา ห่านณรงค์.โรคไข้เลือดออก.จดหมายข่าว R&D NEWSLETTER.ปีที่23.ฉบับที่1 ประจำเดือนมกราคม-มีนาคม2559.หน้า 14-16
  • รักษา”ไข้เลือดออก”แนวใหม่ใช้ใบมะละกอคั้นน้ำกินเพิ่มเกล็ดเลือด.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.dailinews.co.th*politics/232509
  • World Health Organization Regional Office for South-East Asia. Guidelines for treatment of Dengue Fever/Dengue Hemorrhagic Fever in Small Hospitals,1999:28. Available from: http://www.searo.who.int/linkfiles/dengue_guideline-dengue.pdf Accessed May 10, 2012.
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.”ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever/DHF)” หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.
  • สถานการณ์โรคไข้เลือดออก พ.ศ.2554.กลุ่มโรคไข้เลือดออก สำนักงานโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทร
บันทึกการเข้า