รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคกล้ามเนื้ออ่อนเเรง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 581 ครั้ง)

กาลครั้งหนึ่ง2560

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 120
    • ดูรายละเอียด


โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG (Myasthenia gravis)

  • โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นยังไง โรคกล้ามอ่อนแรง (Myasthenia gravis) โรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (myasthenia gravis) หรือ โรคเอ็มจี เป็นชื่อภาษากรีกและก็ละติน แปลว่า "grave muscular weakness" เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง ชนิดหนึ่งที่เป็นโรค ออโตอิมมูน (Autoimmune) ประเภทเรื้อรัง ที่ส่งผลให้กล้ามลาย (กล้ามเนื้อที่อยู่สำหรับการควบคุมของสมอง ซึ่งคือ กล้ามภายนอกร่างกาย ที่ร่างกายใช้สำหรับการเคลื่อนต่างๆยกตัวอย่างเช่น กล้ามเนื้อ แขน ขา ดวงตา ใบหน้า โพรงปาก กล่องเสียง และก็กล้ามเนื้อกระดูกซี่โครงที่ใช้เพื่อการหายใจ มีการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจนกระทั่งไม่สามารถทำงานหดตัวได้ตามธรรมดา หรืออีกความหมายหนึ่งคือโรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย (Myasthenia Gravis; MG) เป็นโรคภูมิต้านทานของร่างกายดำเนินงานผิดปกติ ซึ่งไปทำลายตัวรับสัญญาณประสาท (receptor) ที่อยู่บนกล้ามเนื้อของตัวเองส่งผลให้เกิดอาการกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ด้วยเหตุว่าไม่สามารถรับสัญญาณประสาทที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัวได้ โดยคนป่วยจะมีลักษณะหนังตาตก ยิ้มได้น้อยลง หายใจติดขัด มีปัญหาการพูด การเคี้ยว การกลืน รวมถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย โรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเกิดขึ้นได้ในคนป่วยทุกเพศทุกวัย ตอนนี้ ทั้งการดูแลและรักษาทำเป็นเพียงแต่เพื่อบรรเทาอาการเพียงแค่นั้น

    ดังนี้ โรคกล้ามอ่อนล้า MG  ไม่ใช่โรคใหม่ แม้กระนั้นเป็นโรคที่มีการบันทึกว่าพบผู้เจ็บป่วย มาตั้งแต่ 300 ปีกลาย  รวมทั้งโรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย MG เป็นโรคเจอได้ไม่บ่อยนัก ราว 10 ราย ต่อประชากร 100,000 คน เจอได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กอ่อนจนถึงคนวัยแก่ โดยพบในหญิงมากกว่าในผู้ชายราว 3:2 เท่า ทั้งนี้พบโรคนี้ในเด็กได้ราวๆ 10%ของผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยซึ่งเกิดจากการเป็นโรคประเภทนี้ทั้งหมด ในคนแก่เพศหญิง พบได้มากโรคได้สูงในช่วงอายุ 30-40 ปี แม้กระนั้นในคนแก่เพศชาย มักพบโรคได้สูงในช่วงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป

  • สาเหตุของโรคกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย (MG) ในการเคลื่อนกล้ามแต่ละผูก สมองจำเป็นต้องส่งสัญญาณประสาทไปตามเส้นประสาท แล้วก็จะเกิดการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทที่บริเวณรอยต่อระหว่างเส้นประสาทและกล้ามเนื้อสารสื่อประสาทนี้จะไปส่งสัญญาณที่ตัวรับสัญญาณบริเวณกล้ามแต่ละมัดเพื่อกล้ามเนื้อมีการหดตัว ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง (MG) เมื่อปลายประสาทมีการหลั่งสารสื่อประสาทออกมาจะไม่อาจจะส่งสัญญาณสู่ตัวรับบนกล้ามได้ เพราะร่างกายได้สร้างแอนติบอดีมากีดขวางรวมทั้งทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามไป ซึ่งเมื่อการถูกทำลายขึ้นแล้วนั้น ถึงแม้เซลล์ประสาทจะหลั่งสารเคมีให้เกิดกระแสไฟฟ้าส่งมายังเซลล์กล้ามเนื้ออย่างไรก็ตาม เซลล์กล้ามเนื้อก็ไม่ทำงานเนื่องจากถูกทำลายไปแล้วโดยสิ้นเชิง


ส่วนสาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้น มักเกิดจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการแพ้ภูเขามิตัวเอง (Autoimmune Disorder) โดยมีเนื้อหาที่มาของอาการกล้ามอ่อนเพลีย ดังนี้  สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ (Antibodies) รวมทั้งการส่งสัญญาณประสาท ธรรมดาระบบภูมิต้านทานของร่างกายจะผลิตแอนติบอดี้ออกมาเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งปลอมปนที่เข้ามาในร่างกาย แต่ว่าในคนเจ็บกล้ามอ่อนเพลีย แอนติบอดี้จะไปทำลายหรือกีดกันรูปแบบการทำงานของสารสื่อประสาทแอสิตำหนิลโคลีน (Acetylcholine) โดยถูกส่งไปที่ตัวรับ (Receptor) ซึ่งอยู่ที่ปลายระบบประสาทบนกล้ามแต่ละมัด ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้  ทั้งนี้ อวัยวะที่แพทย์มั่นใจว่าเป็นตัวส่งผลให้เกิดการผลิตสารภูมิต้านทานเปลี่ยนไปจากปกติตัวนี้หมายถึงต่อมไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส เป็นต่อมที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการผลิตภูมิต้านทานต้นทานโรคของร่างกาย (Immune system) คือต่อมที่อยู่ในช่องอกตอนบน ต่อมอยู่ใต้กระดูกอก (Sternum) โดยวางอยู่บนข้างหน้าของหัวใจโดยต่อมไทมัสจะผลิตสารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี้ไปกีดกันรูปแบบการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิว่ากล่าวลโคลีน (Acetylcholine) ก็เลยนำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการกล้ามอ่อนกำลังดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว ซึ่งปกติแล้วเด็กจะมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่และจะเบาๆเล็กลงเรื่อยๆเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ว่าคนเจ็บกล้ามเนื้ออ่อนล้าจะมีขนาดของต่อมไทมัสที่ใหญ่เปลี่ยนไปจากปกติ หรือคนป่วยบางรายมีสภาวะกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อยที่เป็นผลมาจากเนื้องอกของต่อมไทมัส ซึ่งพบราวร้อยละ 10 ในคนไข้แก่

  • อาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) อาการสำคัญของโรคกล้ามอ่อนเพลีย (MG) เป็นจะมีอาการอ่อนแรง อ่อนเพลีย กล้ามเมื่อยล้า และจะอ่อนแรงเพิ่มมากขึ้นเมื่อออกแรงมากเพิ่มขึ้น แต่ว่าอาการจะดีขึ้นเมื่อกล้ามพักการออกแรง


นอกเหนือจากนั้น อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยจะขึ้นกับว่า โรคเกิดกับกล้ามเนื้อส่วนไหนของร่างกาย ดังนี้ ประมาณ 85% ของผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะอาการกล้ามเนื้ออ่อนกำลังในทุกผูกของกล้ามลายส่วนอาการที่มักพบที่สุดของโรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง (MG)เป็นอาการอ่อนเพลียของกล้ามเนื้อที่ช่วยยกกลีบตารวมทั้งกล้ามเนื้อตา ทำให้เกิดหนังตาตกรวมทั้งเห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจจะมีการเกิดขึ้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งยัง 2 ข้างก็ได้ แล้วก็มักพบอาการไม่ดีเหมือนปกติอื่นๆของกล้ามส่วนอื่นๆได้อีกดังเช่นว่า
ใบหน้า แม้กล้ามที่เกี่ยวโยงกับการแสดงออกบนใบหน้าได้รับผลพวง จะทำให้การแสดงออกทางสีหน้าท่าทางถูกจำกัด ดังเช่น ยิ้มได้น้อยลง หรือเปลี่ยนเป็นยิ้มแยกเขี้ยวเนื่องจากว่าไม่อาจจะควบคุมกล้ามเนื้อบนบริเวณใบหน้าได้
การหายใจ คนไข้กล้ามอ่อนแรงจำนวนหนึ่งมีอาการหายใจลำบาก โดยเฉพาะเมื่อนอนราบอยู่บนเตียงหรือภายหลังการออกกำลังกาย
การพูด การบดและการกลืน เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากกล้ามรอบปาก เพดานอ่อน หรือลิ้นอ่อนล้า นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการเปลี่ยนไปจากปกติ ได้แก่ พูดเบาแหบ พูดเสียงขึ้นจมูก เคี้ยวมิได้ กลืนตรากตรำ ไอ สำลักอาหาร บางกรณีอาจเป็นต้นเหตุไปสู่การติดเชื้อที่ปอด
คอ แขนรวมทั้งขา บางทีอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆมักเกิดขึ้นที่แขนมากกว่าที่ขา มีผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น เดินกระเตาะกระแตะ เดินตัวตรงได้ยาก กล้ามเนื้อบริเวณคออ่อนแรง ทำให้ตั้งศีรษะหรือยกคอทุกข์ยากลำบาก ส่งผลให้เกิดอุปสรรคต่อการทำกิจกรรมต่างๆ

  • ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้า (MG) ในตอนนี้ยังไม่อาจจะอธิบายสาเหตุของความไม่ดีเหมือนปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ไปทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามได้อย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ดี พบว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้า (MG) มักมีความเกี่ยวพันกับโรคของต่อมไทมัส โดย ราวๆ 85%พบเกิดร่วมกับมีโรคเซลล์ต่อมไทมัสเจริญก้าวหน้าเกินปกติ (Thymus hyperplasia) แล้วก็ราวๆ 10-15% กำเนิดร่วมกับโรคเนื้องอกต่อมไทมัส (Thymoma)


ยิ่งไปกว่านี้ มีรายงานว่า เจอโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG) กำเนิดร่วมกับโรคมะเร็งปอดจำพวกเซลล์ตัวเล็ก และก็โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน ทั้งยังคนป่วยอาจพบความไม่ดีเหมือนปกติและโรคที่มีต้นเหตุมากจากภูมิคุ้มกันตนเองประเภทอื่นๆร่วมด้วยได้ เช่น โรคตาจากต่อมไทรอยด์ (Thyroidorbitopathy) โรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย (MG)จะสามารถดีขึ้นได้เองแล้วบางทีอาจกลับเป็นซ้ำได้อีกคล้ายกับโรคภูมิต้านทานตัวเองประเภทอื่นๆ

  • กระบวนการรักษาโรคกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย (MG)

การวิเคราะห์ MG เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญเป็น fatigue และก็fluctuation ของกล้ามเนื้อรอบๆตาแขนขารวมทั้งการพูดและกลืนอาหาร ผู้ป่วยจะมีลักษณะเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้ใช้งานหน้าที่นั้นๆไประยะหนึ่ง แล้วก็อาการรุนแรงในช่วงเวลาที่แตกต่างกันโดยมีอาการมากช่วงบ่ายๆบางเวลาผู้เจ็บป่วยมาพบหมอตอนที่ไม่มีอาการ หมอก็ตรวจไม่พบความไม่ปกติ ก็เลยไม่สามารถให้การวินิจฉัยโรคได้ แล้วก็บางทีอาจวินิจฉัยผิดพลาดว่าเป็น anxiety แต่การให้การวินิจฉัยโรคMG ทำ ได้ง่ายๆในคนเจ็บโดยมากเพราะเหตุว่ามีลักษณะจำ เพาะทางสถานพยาบาลที่ได้กล่าวมาแล้ว การตรวจเพิ่มเติมเพื่อได้เรื่องวิเคราะห์ที่แน่นอนแล้วก็ในรายที่อาการไม่ชัดเจนอย่างเช่น

  • การตรวจ ระบบประสาท ดังเช่นว่าการให้คนเจ็บได้ทำกิจกรรมต่อเนื่องที่ทำ     ให้ผู้ป่วยมีอาการ


อ่อนเพลียได้ดังเช่นการมองขึ้นนาน1นาทีแล้วตรวจว่าคนป่วยมีสภาวะหนังตาตก มากขึ้นไหม โดยวัดความกว้างของ palpablefissure ที่ตา 2 ข้างการให้คนเจ็บเดินขึ้นบันไดหรือลุก-นั่ง สลับกันเป็นระยะเวลาหนึ่งคนเจ็บจะมีลักษณะอาการอ่อนกำลังขึ้นอย่างชัดเจนและอาการอ่อนเพลียดีขึ้นเมื่อพักสักประเดี๋ยวการให้คนเจ็บกล่าวหรืออ่านออกเสียงดังๆคนเจ็บจะมีลักษณะอาการเสียงแหบหรือหายไปเมื่อพักแล้วดียิ่งขึ้น

  • Ice test โดยการนำนํ้าแข็งห่อใส่วัสดุได้แก่ นิ้วของถุงมือยาง แล้วนำ ไปวางที่เปลือกตาของคนไข้นาน2นาทีประเมินอาการptosisว่าหรือเปล่าคนเจ็บ MG จะให้ผลบวก
  • Prostigmintest โดยการฉีด prostigmin ขนาด 1-1.5 มก. ฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อ แล้วประเมินที่ 15, 20, 25 รวมทั้ง 30 นาทีโดยประเมินอาการสภาวะหนังตาตกอาการอ่อนแรงหรือเสียงแหบให้ผลบวกราวปริมาณร้อยละ90 คือคนเจ็บจะมีลักษณะดียิ่งขึ้นอย่างแจ่มแจ้ง คนเจ็บบางทีอาจเกิดลักษณะของการปวดท้องอย่างหนัก หรือหัวใจเต้นช้าลงจากฤทธิ์ของยาวิธีปรับแต่งเป็นฉีดยา atropine 0.6 มิลลิกรัมทางเส้นเลือดดำ ซึ่งแพทย์บางคนชี้แนะ ให้ฉีดยาatropineก่อนที่จะทำทดสอบ
  • การวิเคราะห์เลือด หมอจะตรวจนับปริมาณของแอนติบอดี้ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามอ่อนล้านั้นจะมีจำนวนของแอนติบอดี้ที่ไปยั้งหลักการทำงานของกล้ามมากมายผิดปกติ โดยมากจะตรวจพบแอนติบอดี้ชนิด Anti-MuSK
  • การตรวจการโน้มน้าวประสาท (Nerve Conduction Test) ทำได้ 2 แนวทาง คือ Repetitive Nerve Stimulation Test เป็นการทดลองด้วยการกระตุ้นเส้นประสาทบ่อยๆเพื่อมองรูปแบบการทำงานของผูกกล้าม โดยการตำหนิดขั้วไฟฟ้าที่ผิวหนังบริเวณที่เจออาการอ่อนเพลีย และส่งกระแสไฟฟ้าปริมาณน้อยเข้าไปเพื่อสำรวจความสามารถของเส้นประสาทในการส่งสัญญาณไปที่ผูกกล้าม และก็การตรวจด้วยกระแสไฟฟ้า (Electromyography) เป็นการวัดไฟฟ้าจากสมองที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อเพื่อดูแนวทางการทำงานของเส้นใยกล้ามเพียงแต่เส้นเดียว (Single-fiber Electromyography หรือ EMG)


การดูแลรักษา เป้าหมายในการรักษาคนเจ็บ MG ของหมอคือการที่ผู้ป่วยหายจากอาการโดยไม่ต้องกินยาซึ่งมีกลไกสำหรับเพื่อการรักษา 2 ประการคือ เพิ่มวิธีการทำ งานของ neuromusculartransmissionลดผลของ autoimmunity ต่อโรค
การรักษาจะแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่มซึ่งมีแนวทางการดูแลและรักษาแตกต่าง

  • คนป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงที่บริเวณกล้ามเนื้อตา ( Ocula MG ) ควรจะเริ่มด้วยยา ace-tylcholinesteraseinhibitors ยกตัวอย่างเช่น pyridostigmine (mestinon) ขนาดเม็ดละ 60 มิลลิกรัม ครึ่งถึง 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร แล้วมองการตอบสนองว่าอาการหนังตาตกลืมตาตรากตรำมากน้อยแค่ไหน มีผลสอดแทรกจากยาไหม ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นควรเพิ่มยา prednisoloneขนาดราว 15-30มิลลิกรัมต่อวันและก็ร่วมกับการปรับขนาดยา mestinon ตามอาการ ซึ่งจำนวนมากคนป่วยจะใช้ยาขนาดไม่สูงประมาณ 180-240มิลลิกรัมต่อวัน(3-4 เม็ดต่อวัน) ส่วนมากจะสนองตอบดีต่อยา mestinonและก็ prednisoloneเมื่ออาการดีขึ้นจนปกติช่วงเวลาหนึ่งราว 3-6 เดือนเบาๆลดยา prednisoloneลงอย่างช้าๆราว 5มิลลิกรัมทุกๆเดือนจนถึงหยุดยาพร้อมๆกับ mestinon การลดผลเข้าแทรกของยา prednisolone โดยการให้ยาวันเว้นวันในผู้ป่วย MG ได้ผลดีด้วยเหมือนกันแม้กระนั้นในวันที่คนไข้มิได้ยาprednisolone อาจมีอาการของโรคMG ได้ถ้ากำเนิดกรณีดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วอาจจำเป็นต้องให้ยาprednisolone5มก. 1 เม็ดในวันดังที่กล่าวมาข้างต้นคนเจ็บบางรายอาจมีการดำเนินโรคเป็นgeneralized MG โดยมักเกิดขึ้นในปีแรกก็จะต้องให้การรักษาแบบ generalizedMG ถัดไป
  • คนไข้ที่มีภาวการณ์กล้ามเมื่อยล้าบริเวณอื่นๆ(Generalized MG) การดูแลและรักษาประกอบด้วยยาmestinon,ยากดภูมิต้านทานแล้วก็การผ่าตัดthymectomyมีแนวทางการปฏิบัติดังต่อไปนี้


o  คนไข้ทุกคนจำต้องได้รับยา mestinon ขนาดเริ่ม 1 เม็ด 3 เวลาหลังรับประทานอาหารแล้วประมวลผลการโต้ตอบว่าดีหรือเปล่า โดยการประมาณช่วงยาออกฤทธิ์สูงสุดชั่วโมงที่ 1 และ 2 หลังกินยาและก็ประเมินตอนก่อนรับประทานยาเม็ดถัดไปเพื่อจะได้ทราบว่าขนาดของยาและก็ความถี่ของการรับประทานยาเหมาะสมไหมเป็นลำดับสิ่งที่ประเมินคือลักษณะของคนป่วย อย่างเช่น อาการลืมตาตรากตรำ อาการอ่อนแรง บอกแล้วเสียงแหบควรปรับปริมาณยาและก็ความถี่ทุก2-4สัปดาห์  ปริมาณยาโดยมากโดยประมาณ 6-8 เม็ดต่อวัน ขนาดยาสูงสุดไม่ควรเกิน16 เม็ดต่อวัน
o  การผ่าตัด thymectomy คนเจ็บgeneralized MG ที่แก่น้อยกว่า 45ปีทุกรายควรจะแนะนำ ให้ผ่าตัด thymectomy ร้อยละ 90 ของคนเจ็บได้ประสิทธิภาพที่ดีประมาณจำนวนร้อยละ 40 สามารถหยุดยา mestinon ข้างหลังผ่าตัดได้ปริมาณร้อยละ 50 ลดยา mestinon ลงได้เพียงแค่ร้อยละ 10 เพียงแค่นั้นที่ไม่ได้ผล ช่วงเวลาที่ผ่าตัดควรทำ ในตอนแรกของการรักษา
o    การให้ยากดภูมิคุ้มกัน ที่ใช้บ่อยครั้ง ดังเช่นว่า prednisolone และ azathioprine (immuran)การให้ยาดังกล่าวมีข้อบ่งชี้ในกรณี
   การผ่าตัด thymectomyแล้วไม่เป็นผล ระยะเวลาที่ประเมินว่าการผ่าตัดไม่ได้เรื่องเป็นโดยประมาณ 1 ปี
  คนป่วยที่มิได้รับการผ่าตัดโดยใช้ร่วมกับยา mestinon
   ผู้ป่วยทีมีสภาวะการหายใจล้มเหลวจากการดำเนินโรคที่รุนแรง

  • การติดต่อของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติจึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)


  • กินยาตามแพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา
  • ใช้ชีวิตประจำวันในการออกแรงให้สม่ำเสมอ เหมือนๆกันในทุกๆวันเพื่อแพทย์จะได้จัดปริมาณยา (Dose) ที่กินได้อย่างถูกต้อง
  • กินอาหารคำละน้อยๆ เป็นอาหารอ่อน เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อช่องปาก และจะได้ไม่สำลัก ระหว่างกิน
  • มีที่ยึดจับในบ้าน เพื่อช่วยในการลุก นั่ง ยืน เดิน ร่วมกับจัดบ้านให้ปลอดภัย ง่ายแก่การใช้ชีวิตที่ไม่ต้องออกแรงมาก รวมทั้งเพื่อการใช้ชีวิตประจำวัน
  • เมื่อออกนอกบ้านต้องวางแผนล่วงหน้า ไม่รีบร้อน ไม่ออกแรงมากเกินปกติ
  • เมื่อเห็นภาพซ้อน ควรปิดตาข้างที่เกิดอาการ จะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
  • มีป้ายติดตัวเสมอว่าเป็นโรคอะไร กินยาอะไร รักษาโรงพยาบาลไหน เพื่อมีอาการฉุกเฉิน คนจะได้ช่วยได้ถูกต้องรวดเร็ว
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
  • กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ในปริมาณที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน เพื่อลดการแบกน้ำหนักของกล้ามเนื้อและเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
  • รีบไปโรงพยาบาลฉุกเฉินเมื่อมีอาการทางการหายใจ เช่น หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก
  • การป้องกันตนเองจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงยังเป็นโรคที่ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด และโรคที่มีความสัมพันธ์กันก็ยังเป็นโรคที่ส่วนใหญ่ไม่รู้สาเหตุเช่นกันอาทิ เช่น โรคของต่อมไทมัส และโรคของต่อมไทรอยด์ ดังนั้น ปัจจุบัน จึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    ดังนั้นเมื่อมีอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีหนังตาตกหรือแขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน จึงควรรีบพบแพทย์เสมอ เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้การรักษาโรคได้ผลดีจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    พืชสมุนไพรที่จะช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) ได้นั้นควรที่จะต้องมี “สารปรับสมดุล” (adaptogens) เพราะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) นั้นเกิดขึ้นจากภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติดังนั้น สารปรับสมดุลจึงจำเป็นสำหรับใช้ป้องกันโรคนี้ มีผู้ให้คำจำกัดความของสารปรับสมดุลไว้หลายประการเช่น หมายถึงสารที่เพิ่มความสามารถของร่างกายในการปรับตัวให้เข้ากับความเครียด โดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาทสารสื่อประสาท และการทำงานของต่อมต่างๆภายในร่างกาย เพิ่มความทนทานของอวัยวะต่างๆต่อความเครียด พยาธิสภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงรักษาการทำงานของระบบเมตาบอไลท์ของร่างกายให้ปกติและมีประสิทธิภาพ มีฤทธิ์ในการนำสมดุลกลับคืนสู่ร่างกาย (balancing) และบำรุงร่างกาย (tonic) นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของคนเราโดยลดผลที่เกิดจากการถูกกระตุ้นโดยปัจจัยต่างๆโดยเฉพาะความเครียด การอักเสบ และการเกิดออกซิเดชั่น (oxidation)
    พืชสมุนไพรที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในการปรับสมดุลมีหลายชนิดโดยเฉพาะรากของพืชในวงศ์โสม (Araliaceae) ได้แก่ โสมเกาหลี (Panax ginseng) โสมอเมริกัน (Panax quinquefolius) รวมทั้งพืชสมุนไพรอื่นๆ เช่น ผลมะขามป้อม (Emblica officinalis) ต้นปัญจขันธ์ (Gynostemma pentaphyllum) เห็ดหลินจือ (Ganoderma lucidum) รากชะเอมเทศ (Glycyrrhiza glabra) ผลเก๋ากี้ (Lycium chinensis) และถั่งเช่า (Cordyceps sinensis) เป็นต้น สารสำคัญต่างๆในพืชเหล่านี้ที่แสดงฤทธิ์ปรับสมดุลที่มีรายงานนั้นมีหลายกลุ่ม ได้แก่ สารกลุ่มฟีโนลิก (phenolics) เช่น eleutheroside B ในรากของโสม และ ellagic acid ในผลมะขามป้อม สารกลุ่มเทอร์พีนอยด์ (terpenoids) เช่น zeaxanthin ในผลเก๋ากี้ และไตรเทอร์พีนอยด์ซาโปนิน (triterpenoid saponin) เช่น ginsenosides ในรากโสมเกาหลีและโสมอเมริกัน และ glycyrrhizin ในรากชะเอมเทศเป็นต้น
    เอกสารอ้างอิง

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์
  • รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า.Common Pittalls in Myasthenia Gravis.วารสารสมาคมประสาทวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.ปีที่6.ฉบับที่3(กรกฎาคม-กันยายน2554).159-168
  • นพ.เกษมสิน ภาวะกุล (2552). Generalized myasthenia gravis. วารสารอายุรศาสตร์อีสาน.ปีที่ 8. 84-91.
  • สมศักดิ์เทียมเก่า, ศิริพร เทียมเก่า, วีรจิตต์โชติมงคล, สุทธิพันธ์จิตพิมลมาศ.ความชุกและลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยmyasthenia gravis อย่างเดียว และ myasthenia gravisที่มี Srinagarind MedJ 1994;9:8-13. http://www.disthai.com/
  • Anesthesia issues in the perioperative management of myasthenia gravis.Semin Neurol 2004;24:83-94.
  • Drachman, D. (1994). Myasthenia gravis. N Engl J Med. 330,1797-1810.
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอมจี (Myasthenia gravis หรือ MG).หาหมอ.
  • Hughes BW, Moro De Casillas ML,KaminskiHJ.Pathophysiology of myasthenia gravis. Semin Neurol2004;24:21-30
  • Meriggioli MN,Sanders DB. Myasthenia gravis: diagnosis. Semin Neurol 2004;24:31-9.
  • ดร.ปองทิพย์ สิทธิสาร.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ผักแปม สมุนไพรปรับสมดุล.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาบัยมหิดล
  • Juel VC. Myasthenia gravis: management of myasthenic crisis and perioperativeSemin Neurol 2004;24:75- 81.
  • Alsheklee, A. et al.(2009) Incidence and mortality rates of myasthenia gravis and myasthenic crisis in US hospitals.Neurology.72, 1548-1554.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Saguil, A. (2005). Evaluation of the patient with muscle weakness. Am Fam Physician. 71, 1327-1336.

บันทึกการเข้า