รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคบาดทะยัก- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 500 ครั้ง)

หนุ่มน้อยคอยรัก007

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 98
    • ดูรายละเอียด


โรคบาดทะยัก (Tetanus)

  • โรคบาดทะยักเป็นอย่างไร โรคบาดทะยักเป็นโรคติดโรคที่จัดอยู่ในกลุ่มของโรคทางประสาทแล้วก็กล้าม เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เกิดอันตรายร้ายแรง สามารถเจอได้ในคนทุกวัย ส่วนใหญ่คนเจ็บจะมีประวัติมีรอยแผลตามร่างกาย ที่มีรอยแผลเลอะเทอะ หรือขาดการดูแลแผลอย่างแม่นยำ ซึ่งจุดสำคัญของโรคนี้คือ คนป่วยจะมีโอกาสเสียชีวิต ส่วนเคยเป็นโรคนี้ครั้งหนึ่งรวมทั้งยังสามารถเป็นซ้ำได้อีก แต่เดี๋ยวนี้โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน

    โรคบาดทะยัก (Tetanus) คำว่า Tetanus มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกเป็น Teinein ซึ่งแสดงว่า ‘ยืดออก’ ที่เรียกเช่นนี้ เนื่องจากคนป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีการหดตัวแล้วก็แข็งเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเกิดขึ้นทั่วตัว โดยที่ทำให้แผ่นข้างหลังมีการยืดตัวออก ซึ่งเป็นลีลาที่เป็นต้นแบบเฉพาะโรค   ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการเด่นเป็นอาการกล้ามเกร็ง ส่วนใหญ่การเกร็งจะเริ่มต้นที่กล้ามกราม รวมทั้งลุกลามไปยังกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆการเกร็งแต่ละครั้งมักเป็นอยู่ไม่กี่นาที และเกิดขึ้นซ้ำๆตรงเวลา 3-4 สัปดาห์ รวมทั้งอาจมีอาการอื่นที่อาจเจอร่วม ยกตัวอย่างเช่น ไข้ เหงื่อออก ปวดศีรษะ กลืนทุกข์ยากลำบาก ความดันโลหิตสูง และก็หัวใจเต้นเร็ว  โรคบาดทะยักเป็นโรคที่พบได้ทั่วทั้งโลก แต่พบได้มากบ่อยในพื้นที่ที่มีอากาศแบบร้อนเปียกชื้น ซึ่งมีดินรวมทั้งสารอินทรีย์อยู่มากมายในปี พ.ศ. 2558 มีแถลงการณ์ว่ามีคนป่วยบาดทะยักราว 209,000 คนและเสียชีวิตโดยประมาณ 59,000 คนทั่วโลก  การบรรยายถึงโรคนี้เอาไว้ดั้งเดิมตั้งแต่ยุคหมอภาษากรีกชื่อฮิปโปโปเตมัสกราเตสเมื่อ 500 ปีกลายคริสตกาล สิ่งที่ทำให้เกิดโรคถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2427 โดย Antonio Carle แล้วก็ Giorgio Rattone ที่มหาวิทยาลัยทูริน ส่วนวัคซีนถูกผลิตขึ้นคราวแรกเมื่อ พ.ศ. 2467

  • ต้นเหตุของโรคบาดทะยัก มีสาเหตุมาจากเชื้อ Clostridium tetani  ตัวเชื้อมีลักษณะเป็นรูปแท่งที่ปลายมีสปอร์ (Spore) ซึ่งเป็น anaerobic bacteria ย้อมติดสีมึงรมบวก มีคุณสมบัติที่จะอยู่ในลักษณะของสปอร์ (spore) ที่คงทนต่อความร้อนและยาฆ่าเชื้อหลายแบบสามารถสามารถสร้าง exotoxin ที่ไปจับและก็มีพิษต่อระบบประสาท  ที่ควบคุมหลักการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้มีการหดเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา เริ่มแรกกล้ามเนื้อขากรรไกรจะเกร็ง ทำให้อ้าปากมิได้โรคนี้จึงมีชื่อเรียกหนึ่งว่า โรคขากรรไกรแข็ง (lockjaw) คนป่วยจะมีคอแข็ง หลังแข็ง ถัดไปจะมีลักษณะเกร็งของกล้ามเนื้อทั่วตัว แล้วก็มีอาการชักได้  เชื้อนี้จะอยู่ตามดินทรายรวมทั้งมูลสัตว์ สามารถมีชีวิตอยู่แรมปีและก็เจริญเจริญในที่ที่ไม่มีออกซิเจน โดยจะสร้างสปอร์หุ้มตัวเอง มีความคงทนถาวรต่อน้ำเดือด 100 องศา ได้นานถึง 1 ชั่วโมง อยู่ในสภาพที่ไม่มีแสงได้นานถึง 10 ปี เมื่อคนเราเกิดบาดแผลที่มัวหมองถูกเชื้อโรคนี้ เช่น เลอะถูกดินทรายหรือมูลสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาดแผลที่ปากแผลแคบแม้กระนั้นลึก ดังเช่นว่า ตะปูตำ ลวดหรือหนามตำเกี่ยว ไม้เสียบแทง ฯลฯ (ซึ่งมีออกซิเจนน้อย เหมาะกับการเจริญก้าวหน้าของเชื้อบากทะยัก) เชื้อโรคก็จะกระจัดกระจายเข้าสู่ร่างกายแล้วปล่อยพิษที่มีชื่อว่า เตตาโนสปาสมิน (Tetanospasmin) ออกมาทำลายระบบประสาท ส่งผลให้เกิดลักษณะของโรคที่กล้ามเนื้อทั่วร่างกาย
  • ลักษณะของโรคบาดทะยัก หลังจากได้รับเชื้อ Clostridium tetani สปอร์ที่เข้าไปตามรอยแผลจะแตกตัวออกเป็น vegetative form ซึ่งจะแบ่งตัวเพิ่มแล้วก็ผลิต exotoxin ซึ่งจะกระจายจากแผลไปยังปลายประสาทที่แผ่กระจายอยู่ในกล้ามเนื้อ นำไปสู่ความเปลี่ยนไปจากปกติสำหรับการควบคุมการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ระยะจากที่เชื้อเข้าสู่ร่างกายกระทั่งเกิดอาการเริ่มต้นหมายถึงมีอาการขากรรไกรแข็ง ที่เรียกว่าระยะฟักตัวของโรคราว 3-28 วัน แม้กระนั้นโดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่โดยประมาณ 8 วัน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ
  • โรคบาดทะยักในทารกแรกเกิดอาการมักจะเริ่มเมื่อเด็กแรกเกิดอายุประมาณ 3-10 วัน อาการแรกที่จะสังเกตได้เป็น เด็กดูดนมทุกข์ยากลำบาก หรือเปล่าค่อยดูดนม แบบนี้เพราะมีขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ได้ ถัดมาเด็กจะดูดมิได้เลย หน้ายิ้มแสยะ (Risus sardonicus หรือ Sardonic grin) เด็กอาจร้องครวญคร่ำถัดมาจะมีมือ แขน แล้วก็ขาเกร็ง ข้างหลังแข็งรวมทั้งแอ่น หากเป็นมากจะมีลักษณะอาการชักกระดุกและหน้าเขียวอาการเกร็งหลังแข็งและหลังแอ่นนี้จะเป็นมากขึ้น ถ้าเกิดมีเสียงดังหรือเมื่อจับต้องตัวเด็ก อาการเกร็งชักกระดุกหากเป็นถี่ๆมากยิ่งขึ้น จะทำให้เด็กหน้าเขียวเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เป็นอันตรายจนตายได้น่าฟังขาดออกสิเจน
  • บาดทะยักในเด็กโตหรือคนแก่ เมื่อเชื้อเข้าทางรอยแผล ระยะฟักตัวของโรคก่อนจะมีลักษณะอาการโดยประมาณ 5-14 วัน บางรายบางทีอาจนานถึง 1 เดือน หรือยาวนานกว่านั้นได้ จนกระทั่งบางเวลารอยแผลที่เป็นทางเข้าของเชื้อบาดทะยักหายไปแล้ว อาการเริ่มแรกที่จะพินิจพบคือ ขากรรไกรแข็ง อ้าปากมิได้ มีคอแข็ง ต่อจากนี้ 1-2 วัน ก็จะเริ่มมีลักษณะอาการเกร็งแข็งในส่วนอื่นๆของร่างกายคือ ข้างหลัง แขน ขา เด็กจะยืนและก็เดินข้างหลังแข็ง แขนเหยียดเกร็งให้ก้มหลังจะทำไม่ได้ หน้าจะมีลักษณะเฉพาะเหมือนยิ้มแสยะและก็ระยะถัดไปก็อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอาการกระตุกเช่นเดียวกับในทารกแรกคลอด ถ้าหากมีเสียงดังหรือแตะต้องตัวจะเกร็ง และกระดุกมากยิ่งขึ้น มีข้างหลังแอ่น แล้วก็หน้าเขียว ครั้งคราวมีลักษณะอาการรุนแรงมากอาจจะก่อให้มีการหายใจลำบากถึงตายได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคบาดทะยัก  อาการชักของกล้ามอย่างหนักของโรคบาดทะยักที่เกิดขึ้นอาจส่งผลให้เกิดภาวะสอดแทรกรุนแรงต่อแต่นี้ไปตามมา

  • จังหวะการเต้นของหัวใจไม่ปกติ
  • สมองเสียหายจากการขาดออกซิเจน
  • กระดูกสันหลังและกระดูกส่วนอื่นๆหักจากกล้ามเนื้อที่เกร็งมากแตกต่างจากปกติ
  • เกิดการติดเชื้อโรคที่ปอดจนกระทั่งเกิดปอดบวม
  • ไม่สามารถที่จะหายใจได้ เพราะเหตุว่าการชักเกร็งของเส้นเสียงและกล้ามเนื้อที่ใช้หายใจ
  • การติดเชื้ออื่นๆแทรกที่บางทีอาจเกิดขึ้นระหว่างการพักฟื้นหรือรักษาตัวจากโรคบาดทะยักในโรงหมอตรงเวลานับเป็นเวลาหลายสัปดาห์ถึงนับเป็นเวลาหลายเดือน


การตำหนิดเชื้อโรคบาดทะยักอาจรุนแรงถึงกับตาย โดยสิ่งที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตจากโรคนี้โดยมากเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากภาวะหายใจล้มเหลว ส่วนต้นเหตุอื่นที่นำไปสู่การตายได้เหมือนกัน อย่างเช่น ภาวการณ์ปอดบวม การขาดออกสิเจน รวมทั้งสภาวะหัวใจหยุดเต้น

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ก่อเกิดโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักเป็นผลมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Clostridium tetani ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่เข้าไปสู่รอยแผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยแผลที่ไม่สะอาดหรือรอยแผลที่ขาดการดูแลที่ถูกต้อง ซึ่งรอยแผลที่เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อโรคบาดทะยักได้ ตัวอย่างเช่น แผลถลอกปอกเปิก รอยขูด หรือแผลจากการโดนบาด แผลจากการถูกสัตว์กัด ดังเช่น สุนัข เป็นต้น  แผลที่มีการฉีกจนขาดของผิวหนังเกิดขึ้น แผลไฟไหม้ แผลถูกทิ่มจากตะปูหรือสิ่งของอื่นๆแผลจากการเจาะร่างกาย การสัก หรือการใช้เข็มฉีดยาที่แปดเปื้อนสิ่งสกปรก แผลจากลูกกระสุน กระดูกหักที่ทิ่มแทงผิวหนังออกมาภายนอก  แผลติดเชื้อโรคที่เท้าในคนเจ็บโรคเบาหวาน  แผลเจ็บที่ดวงตา  แผลจากการผ่าตัดที่แปดเปื้อนเชื้อ  การต่อว่าดเชื้อที่ฟัน  การติดเชื้อทางสายสะดือในเด็กแบเบาะ เนื่องจากว่าแนวทางการทำคลอดที่ใช้ของมีคมที่ไม่สะอาดตัดสายสะดือ รวมทั้งยิ่งมีการเสี่ยงสูงเมื่อคุณแม่ไม่ได้ฉีดวัคซีนคุ้มครองโรคบาดทะยักอย่างครบถ้วน  แผลเรื้อรัง  ดังเช่นว่า  แผลเบาหวาน  และก็แผลเป็นฝี  แผลจาการเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบ
  • กรรมวิธีการรักษาโรคโรคบาดทะยัก หมอจะวินิจฉัยโรคโรคบาดทะยักได้จากอาการเป็นหลัก และเรื่องราวมีบาดแผลตามร่าง กาย การตรวจร่างกาย รวมทั้งเรื่องราวได้รับวัคซีนบาดทะยัก ซึ่งในบุคคลที่เคยได้รับวัคซีนครบแล้วก็ได้รับวัคซีนกระตุ้นตามที่ได้มีการกำหนด ก็จะไม่มีโอกาสเป็นโรคบาดทะยักในการตรวจทางห้อง ปฏิบัติการ ไม่มีการตรวจที่เฉพาะกับโรคนี้ การตรวจจะเป็นเพียงเพื่อแยกโรคอื่นๆที่อาจมีอา การคล้ายกัน แค่นั้น เช่น การตรวจค้นสารพิษสตริกนีน (Strychnine) คนไข้ที่ได้รับพิษ Strychnine ซึ่งอยู่ในยากำจัดแมลง จะมีลักษณะอาการหดตัวและแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อคล้ายกับคนป่วยที่เป็นบาดทะยัก หากเรื่องราวได้รับสารพิษของคนป่วยไม่กระจ่าง ก็จะต้องเจาะตรวจค้นสารพิษจำพวกนี้ด้วย การตรวจเม็ดเลือดขาวจากเลือด (การตรวจCBC) ส่วนมากจะพบว่าเข้าขั้นปกติ ไม่เหมือนโรคติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆที่มักมีจำนวนเม็ดเลือดขาวขึ้นสูง การตรวจน้ำไขสันหลังจะพบว่าธรรมดา ซึ่งแตกต่างจากโรคติดเชื้ออื่นๆที่ทำให้มีไขสันหลังและสมองอักเสบ ที่ทำให้มีลักษณะอาการชักเกร็งคล้ายคลึงกัน


ข้างหลังการตรวจวินิจฉัย ถ้าหากแพทย์พินิจว่ามีการเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดโรคบาดทะยักแต่ว่าผู้เจ็บป่วยยังไม่มีอาการใดๆก็ตามปรากฏให้เห็น กรณีนี้จะรักษาโดยทำความสะอาดแผลและฉีด Tetanus Immunoglobulin ซึ่งเป็นยาที่ประกอบด้วยแอนติบอดี้ ช่วยฆ่าแบคทีเรียจากโรคบาดทะยักแล้วก็สามารถปกป้องโรคบาดทะยักได้ในช่วงระยะสั้นๆถึงปานกลาง นอกจากนี้อาจฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักร่วมด้วยหากผู้ป่วยยังมิได้รับวัคซีนจำพวกนี้ถึงกำหนด สำหรับคนป่วยที่เริ่มออกอาการของโรคบาดทะยักแล้ว  แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงหมอโดยชอบรับเอาไว้ในห้องบำบัดพิเศษหรือห้องดูแลผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาล เพื่อแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด และคนไข้ชอบต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานเป็นสัปดาห์ๆหรือเป็นนานแรมเดือน   ซึ่งหลักของการดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยโรคบาดทะยักที่ปรากฏลักษณะโรคแล้วหมายถึงเพื่อกำจัดเชื้อโรคบาดทะยักที่ผลิตสารพิษ เพื่อทำลายพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว รวมทั้งการดูแลรักษาจุนเจือตามอาการ รวมทั้งการให้วัคซีนเพื่อคุ้มครองปกป้องการเกิดโรคอีกโดยมีรายละเอียดดังนี้

  • การกำจัดเชื้อโรคบาดทะยักที่ผลิตพิษ โดยการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อโรคและก็สปอร์ของเชื้อที่กำลังแตกหน่อ เป็นต้นว่า เพนิซิลิน ยาต้านพิษบาดทะยัก (human tetanus immune globulin ) ถ้าผู้ป่วยมีบาดแผลที่ยังไม่หายดี ก็จะพูดแผลให้กว้าง ล้างชำระล้างแผลให้สะอาด และตัดเยื่อที่ตายแล้วออก เพื่อเป็นการลดปริมาณเชื้อโรคที่อยู่ในบาดแผล
  • การทำลายพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว ซึ่งจะช่วยลดอัตราการตายได้มาก โดยการให้สารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี (Antibody) ไปทำลายสารพิษ ซึ่งสารภูมิต้านทาน อาจได้จากน้ำเหลืองของม้าหรือของคน (Equine tetanus antitoxin หรือ Human tetanus immunoglobulin) ซึ่งแอนติบอดีที่ไปทำลายสารพิษนี้จะทำลายเฉพาะสารพิษที่อยู่ในกระแสโลหิตเท่านั้น ไม่สามารถทำลายสารพิษที่ไปสู่เส้นประสาทไปแล้วได้
  • การรักษาประคับประคองตามอาการ ยกตัวอย่างเช่น การให้ยาเพื่อลดการหดตัวและแข็งเกร็งของกล้าม ซึ่งมียาอยู่หลายกรุ๊ป ในเรื่องที่ใช้ยาไม่เป็นผล คนเจ็บยังมีลักษณะหดเกร็งมาก เสี่ยงต่อสภาวะหายใจล้มเหลว บางครั้งอาจจะพิเคราะห์ให้ยาที่ทำให้เป็นอัมพาตตลอดตัว แล้วใส่เครื่องที่ใช้สำหรับในการช่วยหายใจไว้หายใจแทน
  • คนป่วยที่มีอาการแตกต่างจากปกติจากระบบประสาทอัตโนมัติ ได้แก่ ความดันโลหิตขึ้นสูงมากมายก็ให้ยาควบคุมความดันเลือด ถ้าเกิดมีลักษณะอาการหัวใจเต้นช้าหรือหยุดเต้นก็บางทีอาจต้องใส่ตัวกระตุ้นหัวใจ
  • การให้วัคซีน คนไข้ทุกรายที่หายจากโรคแล้ว ต้องให้วัคซีนตามกำหนดทุกราย เนื่องด้วยการตำหนิดเชื้อบาดทะยักไม่สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้
  • การติดต่อของโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่บริเวณรอยแผลต่างๆโดยเฉพาะรอยแผลที่แคบแล้วก็ลึกที่ไม่สามารถที่จะล้างชำระล้างรอยแผลได้หรือเป็นบาดแผลที่ไม่สะอาด ด้วยเหตุนี้โรคบาดทะยักนี้จึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
  • การกระทำตนเมื่อเป็นโรคบาดทะยัก ถ้าเกิดหมอวิเคราะห์แล้วว่ามีความเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดโรคโรคบาดทะยักแต่ยังไม่มีอาการปรากฏ หมอจะทำการรักษาและฉีดยาปกป้องโรคบาดทะยักให้ แล้วให้กลับบ้าน ด้วยเหตุดังกล่าวข้อควรระวังตนเมื่ออยู่ที่บ้านเป็น
  • รักษาความสะอาดของรอยแผล
  • รักษาสุขอนามัยของร่างกายตามสุขบัญญัติ
  • รับประทานอาหารที่มีสาระแล้วก็ครบทั้ง 5 หมู่
  • รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • มาตรวจจากที่แพทย์นัด

ส่วนในกรณีผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการของโรคปรากฏแล้วนั้น หมอก็จะรับเข้ารักษาในโรงหมอห้องไอซียู เพื่อดูแลเอาใจใส่ด้วยความใกล้ชิดต่อไป

  • การป้องกันตนเองจากโรคบาดทะยัก บาดทะยักเป็นโรคที่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง และก็อาจถึงแก่เสียชีวิตข้างในไม่กี่วันแต่สามารถป้องกันได้ โดยเหตุนั้นการปกป้องก็เลยเป็นหัวใจของการรักษาโรคบาดทะยัก ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้ โรคบาดทะยักมีวัคซีนคุ้มครอง วัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคบาดทะยักถูกสร้างแล้วก็ใช้สำเร็จสำเร็จในทหารตั้งแต่การศึกโรคครั้งที่ 2 ถัดมาวัคซีนชนิดนี้ได้ถูกปรับปรุงให้อยู่ในรูปของวัคซีนรวม คอตีบ โรคไอกรน บาดทะยัก (DTP) แล้วก็บางทีอาจเป็นแบบวัคซีนรวมอื่นๆการฉีดวัคซีน วัคซีนคุ้มครองป้องกันบาดทะยักมักนิยมให้ดังต่อไปนี้


เข็มแรก อายุ 2 เดือน  เข็มที่ 2 อายุ 4 เดือน  เข็มที่ 3 อายุ 6 เดือน  เข็มที่ 4 อายุ 1 ปี 6 เดือนเข็มที่ 5 อายุ 4-6 ปีอีกรอบหนึ่ง  ถัดไปควรจะมีการฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี  ในกรณีที่มีบาดแผลเกิดขึ้น ถ้าหากเคยฉีดวัคซีนครบ 3 ครั้ง มาภายใน 5 ปี ไม่ต้องฉีดกระตุ้น แต่ว่าถ้าเกิดเกินกว่า 5 ปี จำต้องฉีดกระตุ้น 1 ครั้ง หญิงท้องที่ไม่เคยได้รับวัคซีนคุ้มครองบาดทะยักมาก่อน ควรฉีดยาคุ้มครองป้องกันโรคนี้รวม 3 ครั้ง โดยเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่อฝากครรภ์คราวแรก เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรกขั้นต่ำ 1 เดือน และเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 อย่างต่ำ 6 เดือน (ถ้าฉีดไม่ทันขณะตั้งท้อง ก็ฉีดข้างหลังคลอด)  ถ้าเกิดหญิงท้องเคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคนี้มาแล้ว 1 ครั้ง ควรให้อีก 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน ในระหว่างมีครรภ์  หากหญิงมีท้องเคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคนี้ครบชุด (3 ครั้ง) มาแล้วเกิน 5 ปี ให้ฉีดกระตุ้นอีกเพียงแต่ 1 ครั้ง แต่ถ้าเกิดเคยฉีดครบชุดมาแล้วไม่เกิน 5 ปี ก็ไม่ต้องฉีดกระตุ้น  สำหรับในเด็กที่อายุมากกว่า 7 ปีขึ้นไปรวมทั้งในผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน หรือได้รับวัคซีนในวัยเด็กไม่ครบ หรือได้รับมาเกิน 10 ปีแล้ว ให้ฉีดวัคซีนบาดทะยัก - คอตีบ 3 เข็ม โดยฉีดเข็มที่ 2 ให้ห่างจากเข็มแรก 4 อาทิตย์ เข็มที่ 3 ให้ห่างจากเข็มที่ 2 ราว 6 -12 เดือน แล้วก็ฉีดกระตุ้นๆทุกๆ10 ปีตลอดกาล
เมื่อมีรอยแผลจำต้องทำแผลให้สะอาดทันที โดยการถูด้วยสบู่ล้างด้วยน้ำที่สะอาดเช็ดด้วยยาฆ่าเชื้อ ดังเช่นว่า แอลกอฮอล์ 70% หรือทิงเจอร์ใส่แผลสด พร้อมกับให้ยารักษาการติดโรคถ้าเกิดแผลลึกจำเป็นต้องใส่ drain ด้วย
ใช้ผ้าปิดรอยแผลเพื่อให้แผลสะอาดและคุ้มครองจากการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียของแผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผลพุพองที่กำลังแห้งจะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จะต้องปิดแผลไว้จวบจนกระทั่งแผลเริ่มก่อตัวเป็นสะเก็ด นอกเหนือจากนี้ควรจะเปลี่ยนผ้าทำแผลทุกเมื่อเชื่อวัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้งหรือเมื่อใดก็ตามที่ผ้าปิดแผลเปียกน้ำหรือเริ่มเลอะเทอะ เพื่อหลบหลีกจากการตำหนิดเชื้อ

  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้อง/รักษาโรคบาดทะยัก เพราะว่าโรคบาดทะยักเป็นโรคที่เป็นการติดเชื้อโรคแบคทีเรียที่รุนแรงแล้วก็มีระยะฟักตัวของโรคที่ออกจะสั้น แต่ว่ามีลักษณะอาการแสดงของโรคที่รุนแรงและก็มีความอันตรายถึงชีวิต ซึ่งหลักการใช้สมุนไพรนั้นได้กล่าวเอาไว้ดังต่อไปนี้
  • ถ้าหากเป็นโรคที่ยังพิสูจน์ไม่ได้เด่นชัดว่ารักษาด้วยสมุนไพรได้ผลดี ก็ไม่สมควรรักษาด้วยการใช้สมุนไพร อาทิเช่น งูที่มีพิษกัด สุนัขบ้ากัด โรคบาดทะยัก กระดูกหัก ฯลฯ
  • กลุ่มอาการบางอย่างที่บ่งชี้ว่า บางทีอาจจะเป็นโรครุนแรงที่จึงควรรักษาอย่างเร่งรีบได้แก่ ไข้สูง ซึม  ไม่รู้ตัว ปวดอย่างรุนแรง  อ้วกเป็นเลือด  ตกเลือดจากช่องคลอด  ท้องเสียอย่างรุนแรง  หรือผู้ป่วยเป็นเด็กรวมทั้งสตรีมีท้อง ควรรีบนำขอคำแนะนำแพทย์  แทนที่จะรักษาโดยใช้สมุนไพร
  • การใช้ยาสมุนไพรนั้น ควรค้นคว้าจากหนังสือเรียน หรือขอความเห็นท่านนักปราชญ์  โดยใช้ให้ถูกส่วน ใช้ให้ถูกวิธี  ใช้ให้ถูกโรค  ใช้ให้ถูกคน
  • ไม่สมควรใช้สมุนไพรติดต่อกันเป็นเวลานานๆเพราะเหตุว่าพิษบางทีอาจจะสะสมได้
เอกสารอ้างอิง

  • โรคบาดทะยัก (Tetanus). สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.บาดทะยัก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 294.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.ตุลาคม.2547
  • บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคณะ. (2527). โรคบาดทะยัก.ใน บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคนอื่นๆ (บรรณาธิการ), โรคติดต่อระหว่างคนและสัตว์ (หน้า 80-82). บัณฑิตการพิมพ์ : กรุงเทพมหานคร.
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.บาดทะยัก (Tetanus).หาหมอ.com.( ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.”บาดทะยัก (Tetanus).(นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).หน้า 590-593.
  • Elias Abrutyn, tetanus, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 15th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2001
  • "Tetanus Symptoms and Complications". cdc.gov. January 9, http://www.disthai.com/
  • สมจิต หนุเจริญกุล. (2535). การพยาบาลผู้ป่วยบาดทะยัก.ในการพยาบาลอายุรศาสตร์ เล่ม 1 (หน้า 57-59). วี.เจ.พริ้นติ้ง : กรุงเทพมหานคร.
  • Atkinson, William (May 2012). Tetanus Epidemiology and Prevention of Vaccine-Preventable Diseases (12 ). Public Health Foundation. pp. 291–300. ISBN 9780983263135. สืบค้นเมื่อ 12 February 2015.
  • สุรเกียรติ อาชานานุภาพ. บาดทะยัก หมอชาวบ้าน ปีที่ 17 ฉบับที่ 194 มิถุนายน 2538. หน้า 25-27
  • บาดทะยัก-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.com(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • สมุนไพร.ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี.คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี.มหาวิทยาลัยมหิดล.

บันทึกการเข้า