มดแดงมดแดงเป็นมด มีสีแดงมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oecophyllasmaragdina(Fabricius)จัดอยู่ในตระกูล Formicidaeชีววิทยาของมดมดเป็นแมลงพวกหนึ่ง มีลักษณะที่สำคัญคือ บริเวณส่วนท้องคอดกิ่วในระหว่างที่ตืดกับอกทางข้างหลังของส่วนท้องปล้องที่ ๑ หรือในมดบางชนิดที่รวมไปถึงปล้องที่ มดมีลักษณะเป็นโหนกสูงขึ้น โหนกนี้บางทีอาจโค้งมนหรือมีลักษณะเป็นแผนแบนก็ได้ ลักษณะโหนกนี้เป็นลักษณะเฉพาะที่ทำให้มดไม่เหมือนกันกับกรุ๊ปแมลงที่มองดูคล้ายกัน ดังเช่น พวกต่อแล้วก็แตน หรือแตกต่างไปจากปลวกที่คนทั่วไปมักสับสนกัน โดยเห็นมดกับปลวกเช่นเดียวกันไปหมด นอกเหนือจากไม่เสมือนมดตรงที่ไม่มีโหนกแล้วปลวกยังมีส่วนท้องไม่คอดกิ่วอีกดัวย ทั้งนี้เพราะปล้องแรกๆของส่วนท้องของปลวกนั้น มีขนาดโตเท่าๆกับส่วนนอก หรือโตกว่าส่วนนอก
มดอยู่รวมกันเป็นกรุ๊ปเดียวกับปลวก มีชีวิตแบบสังคม โดยทำรังอยู่ดัวยกันรังหนึ่งๆเป็นร้อย เป็นพัน หรือ หลายหมื่น หลายแสนตัว ไม่มีจำพวกใดอยู่โดดเดี่ยว ประกอบดัวยวรรณะ แต่ละวรรณะมีขนาด รูปร่าง ลักษณะ และก็เพศไม่เหมือนกัน พูดอีกนัยหนึ่ง มดตัวเมียเป็นแม่รัง ตัวผู้เป็นพ่อรัง แล้วก็มดงานอันเป็นมดตัวเมียที่เป็นหมันปฏิบัติภารกิจสร้างรัง เลี้ยงรัง และก็เฝ้ารัง แต่ละวรรณะอาจมีรูปร่างลักษณะไม่เหมือนกันออกไปอีก
เป็นต้นว่า มดงานซึ่งเป็นพวกที่ไม่มีปีกก็อาจปฏิบัติหน้าที่ทำรังรวมทั้งเลี้ยงรัง เหล่านี้มีร่างกายขนาดธรรมดา หัวกระทรวงอุตสาหกรรมและท้องได้สัดส่วนกัน แต่ในเวลาเดียวกันบางทีอาจเจอมดงานซึ่งปฏิบัติภารกิจเฝ้ารัง มดพวกนี้นอกเหนือจากตัวใหญ่กว่ามดงานธรรมดาอย่างยิ่งแล้ว ยังมีหัวโต ฟันกรามใหญ่ มิได้สัดส่วนกับลำตัวดัวย
ในกลุ่มมดเพศผู้แล้วก็มดตังเมียซึ่งเป็นบิดารังและก็แม่รังนั้น บางทีอาจพบได้ทั้งพวกที่มีปีกและไม่มีปีก หรือมีลำตัวโตหรือเล็กขนาดพอๆกับมดงานก็มี อย่างไรก็แล้วแต่มดตัวเมียที่เป็นแม่รังนั้นมักมีขนาดโตกว่าตัวผู้รวมทั้งมดงาน อาจดูมดเพศผู้ได้จากดางตาที่โตกว่ามดแม่รังแล้วก็มดงานลูกรัง ซึ่งพวกหลังนี้มักมีตาเล็ก จนถึงบางครั้งแทบจะไม่เห็นว่าเป็นตา ส่วนมดพ่อรังหรือมดแม่รังที่มีปีกนั้น ลักษณะของปีกไม่เหมือนกับพวกปลวกหรือแมลงเม่าอย่างชัดเจน พูดอีกนัยหนึ่ง ปีกคู่หน้าของมดโตกว่าปีกคู่หลังมากมาย รูปร่างของปีกคู่หน้ารวมทั้งปีกคู่ข้างหลังก็แตกต่างกัน และที่สำคัญเป็นมีเส้นปีกน้อย ส่วนปลวกนั้น ปีกคู่หน้ากับปีกคู่ข้างหลังมีขนาดไล่เลี่ยกัน และก็รูปร่างของปีกก็คล้ายกัน เส้นปีกมีมากยิ่งกว่าเส้นปีกของมดมาก เห็นเป็นลวดลายเต็มไปตลอดปี
สมุนไพร ในปัจจุบันมีการโดยประมาณกันว่า มดที่มีการแยกชื่อวิทยาศาสตร์ไว้แล้ว มีอยู่ไม่น้อยกว่า ๖,๐๐๐ชนิด คนประเทศไทยต่างคุ้นเคยกับมดเป็นอย่างดี เนื่องจากว่ามีมดหลายอย่างอาศัยตามบ้านเมือง หรือในรอบๆใกล้เคียงกัยบ้านที่พัก การเรียกชื่อมดของคนประเทศไทยอาจเรียกชื่อตามสีสันของมด โดยการเรียก “มด” นำหน้า อาทิเช่น มดแดง(OecophyllasmaragdinaFabrius) เนื่องจากมีตัวสีแดง มดดำ (CataulacusgranulatusLatreillr, Hypocli-neathoracicus Smith) ซึ่งเพี้ยนไปเป็นมด ฯลฯ มดบางประเภทพวกเราเรียกชื่อตามอาการอันมีเหตุที่เกิดจากถูกมดนั้นกัด ดังเช่น มดคัน (CamponotusmaculatusFabricius) ซึ่งเมื่อถูกกัดแล้วจะทำให้รู้สึกคันในบริเวณแผลที่กัด หรือผูกคันไฟ (Solenopsis geminate Fabricius, SolenopsisgeminataFabricius var. rufaJerdon) ซึ่งเมื่อถูกกัด นอกเหนือจากมีลักษณะคันแล้ว ยังมีอาการแสบร้อนเสมือนถูกไฟลวก
บางประเภทก็เรียกตามกิริยาท่าทางที่มดแสดงออก ตัวอย่างเช่น มดตะลีตะลาน (AnoploessislongipesJerdon) ซึ่งเป็นมดที่ถูกใจวิ่งเร็วและก็วิ่งพล่านไป เปรียบได้ดั่งวิ่งดัวยความตระหนกตกใจ มดจำพวกนี้บางที่เรียกสั้นๆว่า มดตะลาน ที่เพี้ยนเป็นมดตาลานก็มี หรือมดก้นงอล (CrematogasterdoheniiMaye) อันเป็นมดที่เวลาเดินหรือวิ่งมักยกท้องอืดท้องเฟ้อสูงตั้งฉากกับพื้น ทำให้ดูเสมือนก้นงอล เป็นต้น
มดบางชนิดเป็นมดที่พสกนิกรตามแคว้นใช้บริโภค ก็เลยเรียกไปตามรสยกตัวอย่างเช่น ทางภาคเหนือ อันดังเช่น ชาวจังหวัดแพร่ น่าน จังหวัดลำพูน จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น นิยมใช้มดแดงซึ่งมีรสเปรี้ยวแทนน้ำส้ม ก็เรียกว่า มดส้มหรือมดมัน ซึ่งชาวบ้านบางถิ่นนิยมกินกันเหตุเพราะมีรสชาติมันและก็อร่อย จึงเรียกชื่อตามรสชาตินั้น อย่างไรก็ตาม มีมดบางชนิดที่ราษฎรไม่ได้รัยกชื่อโดยใข้คำ “มด” นำหน้าได้แก่ เสี้ยนดิน (Doeylusorientalis Westwood) ซึ่งเป็นมดประเภทหนึ่งที่ทำลายกัดรับประทานฝักถั่งลิสงที่ยังมิได้เก็บเกี่ยวอยู่ในดิน
มดก็เหมือนกันกับแมลงจำพวกอื่นที่อาจมีการรัยกชื่อสติไม่ดีไปตามท้องภิ่นเช่น แม่รังที่มีปีกของมดแดง (OecophyllasmsrhdineFabrius) คนชนบทในแคว้นภาคอีสาน อันเป็นต้นว่า ชาวจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดนครพนม ร้อยเอ็ด จังหวัดอุบลราชธานีเรียกแม่เป้งในตอนที่คนภาคกบางมัดเรียกมดโม่ง ส่วนชาวจังหวัดภาคใต้ อาทิเช่น จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขา นครศรีธรรมราช ภูเก็ต เรียกว่าแม่เย้าหรือแม่เหยา
มดมีวงจรชีวิตในลักษณะที่บิดารังและก็แม่รังที่มีปีกจะบินอกกจากรังและก็ผสมพันธุ์กันเมื่อถึงเวลาแล้ว มดเพศผู้มักตาย มดตัวเมียซึ่งจัดแจงทำรังใหม่ก็จะหาที่พักพิงอันมิดชิด แล้วสลัดปีกทิ้ง รอคอยจวบจนกระทั่งไข่แก่ก็จะว่างไข่ เมื่อไข่ฟักเป็นตัวอ่อนแม่รังก็จะให้อาหารเลี้ยงลูกอ่อนจนกระทั่งเข้าดักแด้ รวมทั้งอกกมาเป็นตัวโตเต็มที่กลายเป็นมดงานที่อุปถัมภ์ค้ำชูแม่ต่อไป เมื่อมดงานทำหน้าที่เลี้ยงรังได้แล้ว แม่รังก็ทำ
หน้าที่ออกไข่เพียงอย่างเดียว การควบคุมวรรณะของรังบางทีอาจปฏิบัติโดยการวางไข่ที่ต่างกัน เช่น ขนาดแตกต่าง ไข่ขนาดเล็ฟกออกมาเป็นมดตัวเมียที่เป็นแม่รังแล้วก็มดงาน ส่วนไข่ขนาดใหญ่เป็นมดตัวผู้หรือมดพ่อรัง ลักษณะของวงจรชีวิตแบบนี้ต่างจากปลวก เนื่องจากปลวกนั้นเป็ฯแมลงเม่า ซึ่งประกอบดัสยพ่อแล้วก็แม่ปลวกที่มีปีกบินขึ้นผสมกันแล้ บิดารังมักมีชืวิตอยู่แล้วก็ร่วมทำรักับแม่ปลวกซึ่งจัดเตรียมตกไข่ เมื่อไข่ฟักเป็นตัว ก็จะเป็นปลวกงานที่สามารถดำเนินงานเลี้ยงดูบิดามารดาได้โดยไม่ต้องรอให้โตเต็มกำลังซะก่อน
นิสัยคาวมเป็นอยู่ของมดก็มีลักษณะต่างๆกัน บางพวกทำรังอยู่บนต้อนไม้โยใช่ใบไม้ที่อาศัยมาห่อทำเป็นรวงรัง เช่นมดแดง หรือขนเศษพืชดินผสมน้ำลายสร้างรังติดกับไม้ที่อาศัย เป็นต้นว่ามดลี่หรือมดตูดงอล บางพวกทำรังในดินมีลักษณะเป็นช่องซับซ้อนคล้ายรังปวก เป็นต้นว่ามดมันหรือแมลงมัน รังของมดก็เลยมัลักษณะของสิ่งของที่สร้าง องค์ประกอบ และรูปร่างแตกต่างกันไปมากมายให้มองเห็นได้เสมอ
ชีวิวิทยาของมดแดงเมื่อมดแม่รังได้รับการผสมพันธุ์แล้ว พอไข่แก่ก็จะตกไข่ ไข่มดแดงมีขนาดเล็กสีขาวขุ่น จะถูกวางเป็นกระจุกชิดกับใบไม้ข้างในรัง ไข่ที่ได้รับการผสมจะก้าวหน้าไปเป็นมดงานและมดแม่รังส่วนไข่ที่มิได้รับผสมจะเจริญไปเป็นมดเพศผู้ เมื่อไข่เจริญขึ้นก็จะเข้าสู้ระยะตัวอ่อนในเดี๋ยวนี้อาจรับประทานอาหารรวมทั้งขยับเขยื้อนตัวได้นิดหน่อย แล้วต่อจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นดักแด้ซึ่งมีลักษณะคล้ายตัวเต็มวัยทั้งหมดทุกอย่าง ขาและก็ปีกเป็นอิสระจากลำตัว รวมทั้งหยุดกินอาหาร และจะลอกตราบออกมาเป็นตัวเต็มวัย และก็ที่ขาวขุ่นก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีอื่นตามวรรณะมดตัวโตเต็มวัยทั้ง๓ วรรณะดังเช่น
๑. มดแม่รัง มีความยาว ๑๕-๑๘ มิลลิเมตร สีเขียวใสจนถึงสีน้ำตาลปนแดงหัวและก็อกสีน้ำตาลคล้ายมดงาน แม้กระนั้นหัวกว้างว่า ส่วนนอกสั้น อกปล้องแรกตรงอกปล้องที่ ๓ ทื่อ ขาสั้นกว่ามดงาน ปีกกว้าง ข้อต่อหนวดสั้นกว่ากว่ามดงาน ส่วนท้องเป็นรูปไข่ เมื่อได้รับการผสมพันธุ์แล้ว จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าตัว ปฏิบัติภารกิจเพาะพันธุ์ รังหนึ่งบางทีอาจเจอมดแม่รังหลายตัว แต่ว่าจะมีเพียงแต่ตัวเดียวเพียงแค่นั้นที่จะผสมพันธุ์ได้
๒. มดตัวผู้ มีความยาว ๖-๗ มิลลิเมตร ลำตัวสีดำ หัวเล็ก ฟันกรามแคบตาโต หนวดเป็นแบบเส้นด้าย มี ๑๓ ข้อ ฐานหนวดยาว ปลายเส้นหนวดเบาๆใหญ่ขึ้นเป็นรูปกระบอก อกปล้องที่ ๓ ใหญ่ ข้อต่อหนวดยาว ท้องรูปไข่ ปีกสีนวลใสมีหน้าที่ผสมพันธุ์พียงอปิ้งเดียว อายุสั้นมาก เมื่อสืบพันธุ์แล้วจะตาย
๓. มดงาน มีความยาว ๗-๑๑ มม. กว้าง ๑.๕– ๒ มิลลิเมตร สีแดงหัวและอกมีขนสั้นๆ หัวกลม ด้านล่างแคบ กรามไขว้กัน ปลายแหลมโค้งตอนหน้าแคบ อกปล้องที่ ๒ กลม โค้งขึ้น อกปล้องที่ ๓ คอด คล้ายอาน ขายาวเรียว ข้อต่อหนวดรูปไข่ ส่วนท้องสั้น เป็นมดตัวเมียที่เป็นหมันไม่มีปีก มีบทบาทหาร สร้างรัง และก็คุ้มครองศัตรู
ผลดีทางยาหนังสือเรียนคุณประโยชน์ยาบาราที่ว่า น้ำเยี่ยวมดแดงสีรสเปรี้ยว ฉุน ดมกลิ่นแก้ลมแก้พิษเสมหะเลือด ประชาชนบางถิ่นใช้มดแดงทำลายพิษ โดยการเอารังมดแดงมาเคาะใส่รอบๆปากแผลที่ถูกงูพิษกัด ให้มดต่อยที่รอบๆนั้น ไม่นานมดแดงก็จะตาย ใช้มือเฉือนเอามดแดงเอาไป แล้วเคาะมดแดงลงไปใหม่ ทำซ้ำๆไปเรื่อยจชูว่าใกล้จะถึงมือแพทพ์ บางทีอาจต้องใช้มดแดงถึงกว่า ๑๐ รัง นอกเหนือจากนี้ ประชาชนบางถิ่นยังอาจใช้เยี่ยวมดแดงทำความสอาดรอยแผลได้โดยเฉพาะเมื่อกำเนิดรอยแผลขึ้น และไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จะชำระล้างบาดแผลหรือหายาใส่แผลได้ อาทิเช่น เมือ่อยู่ในป่าหรือในทุ่งข้าว ก็บางทีอาจเอามดแดง ๕-๑๐ ตัว (ตามขนาดของบาดแผล) วางไว้บริเวณปากแผล ให้ปวดแสบปวดร้อนมาก
พระคู่มือธาตุวิภังค์ให้ยาแก้ “ฝีในท้อง ๗ ประการ” อันกำเนิดอาจ “หนองพิการหรือแตก” ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการไอ ผอมบาง ไม่อยากอาหารยาขนานนี้เข้า “รังมดแดง” เป็นเครื่องยาด้วย ดังต่อไปนี้ ปุพ์โพ เป็นหนองพิการหรือแตก ให้ไอเป็นกำลัง ให้กายซูบซีดหนัก ให้ทานอาหารไม่จักรส มักเป็นฝีในท้อง ๗ ประการ ถ้าหากจะแก้ท่านให้เอารังมดแดง ๑ ตำลึง หัวหอม ๑
ตำลึง ๑ บาท
ขมิ้นอ้อยยาว ๑ องคุลี ยาทั้ง ๗ สิ่งนี้ ต้ม ๓ เอา ๑ แทรก ดีเกลือตามธาตุหนักและธาตุเบาชำระบุมีดพร้ายเสียก่อน แล้วจึงประกอบยาประจำธาตุในเสลดก็ได้