รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: สัตววัตถุ ตะพาบน้ำ  (อ่าน 471 ครั้ง)

bilbill2255

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 112
    • ดูรายละเอียด
สัตววัตถุ ตะพาบน้ำ
« เมื่อ: ธันวาคม 19, 2017, 02:02:26 AM »


ตะพาบ
ตะพาบน้ำ (mud turtle หรือ soft-shelled turtle) เป็นสัตว์คลานจำพวกหนึ่งจัดอยู่ในตระกูล Trionychidae มีลักษณะเหมือนเหมือนเต่าน้ำจืด แตกต่างกันตรงที่กระดองบน (carapace) รวมทั้งกระดองล่าง (pastron) ไม่มีกระดูกเป็นแผ่นใหญ่ๆแต่ว่ามีหนังหุ้มแทน มีนิ้วยาว ตีนข้างหน้ามีแผ่นพังผืดกว้าง ใช้สำหรับพุ้ยน้ำ มีเล็บเพียง ๒-๓เล็บ คอหดในกระดองได้มิด แต่สามารถยืดคอออกได้ยาวมากมายเมื่อจะงับเหยื่อหรือกัดศัตรู ตะพาบทุกชนิดเป็นสัตว์น้ำจืด พบได้บ่อยอยู่ตามห้วย บึง หนอง และก็ตาม แม่น้ำลำคลอง ตะพาบสามารถขุดรูเป็นโพรงสำหรับอาศัย แล้วก็ยืดคอขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำ หรือยืดคอออกไปฮุบกุ้งปลาที่ว่ายน้ำผ่าน โดยที่ตัวไม่ต้องออกมาจากโพรงเมื่อน้ำในบึงหนองแห้งลงในฤดูแล้ง ตะพาบจะทำโพรงอยู่ใต้ดินได้นาน จวบจนกระทั่งฝนตกจึงออกมาจากโพรงและเริ่มหาสัตว์น้ำต่างๆกินเป็นของกิน ตะพาบน้ำรับประทานอีกทั้งกุ้งรวมทั้งปลาใหม่ๆและก็เนื้อสัตว์ที่เปื่อยยุ่ย สามารถว่ายไปหากินไกลๆสำหรับในการใช้มือจับตะพาบน้ำนั้นจับได้เฉพาะตรงที่ขอบกระดองตรงหน้าของต้นขาหลัง ถ้าเกิดจับไม่ถูกตำแหน่งตะพาบซึ่งมีคอยาวจะยืดคอออกมาเหลียวกัดมือได้
ตะพาบในประเทศไทย
ตะพาบน้ำที่พบในประเทศไทยมีอย่างน้อง ๖ ชนิด เป็น
๑.ตะพาบปกติ
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amyda cartilaginea (Boddart)
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/b][/url] จำพวกนี้กระดองบนค่อนข้างแบน ขอบกระดองอ่อนนิ่ม เมื่อโตสุดกำลังกระดองบนบางทีอาจยาวได้ถึง ๘๓ ซม. ขอบข้างหน้าของกระดองบนเป็นปุ่มตะปุ่มตะป่ำ ขอบกระดองข้างล่างไม่มีสีเด่น ปากออกจะแหลม ที่หนังบนหลังเป็นริ้วเล็กๆนูนขึ้นมาทั่วทั้งยังหลัง ตัวอ่อนมีสีเขียวขี้ม้าแกมเทา บางตัวมีจุดเหลืองๆหรือจุดดำๆขอบเหลือง หัวมีจุดเหลืองๆเป็นจุดใหญ่ทางข้างๆ พอตัวแก่ จุดเหลืองบนข้างหลังมักหายไป จุดที่ศีรษะก็เลือนไป ที่ใต้ท้องของเพศผู้มีสีขาว แม้กระนั้นที่ใต้ท้องของตัวเมียเป็นสีเทา ตะพาบน้ำประเภทนี้มีมากมาย เจอทั่วๆไปในแม่น้ำลำคลอง หนอง บ่อน้ำ ในภาคกึ่งกลางของเมืองไทย บางทีอาจพบตามลำธารรวมทั้งห้วยที่ตีนเขา นอกจากนี้ยังเจอในภาคใต้ของประเทศพม่า ลาว เวียดนาม เขมร มาเลเซีย รวมทั้งตามหมู่เกาะมลายู
๒.ตะพาบหัวทู่ หรือ ตะพาบน้ำหัวกบ
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pelochelys bibroni Owen
ประเภทนี้กระดองบนค่อนข้างแบน ขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบด้านหน้าของกระดองบนเรียบ เมื่อโตเต็มที่มีขนาดใหญ่ กระดองบนบางทีอาจยาวได้ถึง ๑๒๐ ซม. จมูกสั้น หัวออกจะแบนและเล็กเมื่อเทียบกับลำตัว ความยาวของกะโหลกหัวใกล้เคียงกับความกว้าง ปากไม่แหลม ขาหน้าสั้น ตีนกว้าง กระดองข้างหลังมีสีเขียวขี้ม้าอมเทามีรูบุ๋มเล็กๆทั่วไป มีจุดเหลืองๆกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป กระดองข้างล่างสีขาว ในประเทศไทยเจออยู่ตอนใต้ นอกจากนั้นยังพบที่ประเทศ ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และก็ภาคใต้ของจีน
๓.ตะพาบหลังลายกะรัง หรือ ตะพาบน้ำม่านลาย
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chitra chitra Gray
ประเภทนี้กระดองบนค่อนข้างแบน ขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบด้านหน้าของกระดองบนเรียบ เมื่อโตสุดกำลังมีขนาดใหญ่ กระดองบนอาจยาวได้ถึง ๑๒๒ เซนติเมตร เป็นจำพวกที่มีตัวโตที่สุดของประเทศไทยและก็ของโลก จมูกสั้น หัวค่อนข้างแบนและก็เล็ก ความยาวของกะโหลกหัวเป็น ๒ เท่าของความกว้าง มีลวดลายบนหนังด้านบน เมื่อยังอายุยงน้อย กระดองบนมีสีเขียวอมเทา มีจุดลายดำเลอะเทอะๆพอแก่มากขึ้น บริเวณคอรวมทั้งกระดองบนจะมีลวดลายสีเหลืองหรือสีน้ำตาลเหมือนหินกะรังแต่พอสมควรแก่มาก ลายสีนี้กลับจางลงไปอีก เจอบริเวณที่ลุ่มแม่น้ำแม่กลองในประเทศไทยที่ลุ่มอิระวดีในประเทศเมียนมาร์ ลุ่มแม่น้ำคงคาและก็แม่น้ำสินธุในประเทศประเทศอินเดีย
๔.ตะพาบน้ำขี้เกียจมาก หรือ ตะพาบน้ำแก้มแดง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dogania subplana Geoffrey
ชนิดนี้กระดองบนออกจะแบน ยาว ขอบสองข้างออกจะขนานกัน สีเขียวหม่นแกมน้ำตาล ไม่กลมอย่างตะพาบชนิดอื่นๆขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบด้านหน้าของกระดองบนเรียบเมื่อโตเต็มกำลังกระดองบนยาวได้ถึง ๒๖ ซม. หัวค่อนข้างจะใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว ปากแหลม กระดองด้านล่างไม่มีจุดสีดำแน่ชัด ที่ข้างคอแล้วก็แก้มมีสีแดงอ่อนๆเจอได้ตามแหล่งน้ำสายธารบนที่สูงทางภาคตะวันตกรวมทั้งภาคใต้ของประเทศไทยนอกจากนี้ยังบางทีอาจพบในประเทศประเทศพม่ามาเลเซีย และประเทศฟิลิปปินส์
๕.ตะพาบน้ำไต้หวัน
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pelodiscus sinensis sinensis Wiegmann
ชนิดนี้กระดองบนค่อนข้างจะแบนขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบด้านหน้าของกระดองบนเรียบ เมื่อโตเต็มกำลังกระดองบนยาวได้ถึง ๒๕ ซม. กระดองบนมีสีเขียวขี้ม้าหรือสีน้ำตาล กระดองด้านล่างมีจุดสีดำแจ่มแจ้ง แล้วก็มีสีส้มในระยะก่อนวัยเจริญพันธุ์ ที่รอบตามีเส้นเล็กๆเป็นรัศมีเป็นตะพาบน้ำจำพวกประจำถิ่นของจีน นำมาเลี้ยงเป็นสัตว์อาสิน นิดหน่อยหลุดมาขยายพันธุ์ในแหล่งน้ำธรรมชาติ
๖.ตะพาบน้ำหับ
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lissemys punctate scutata (Peters)
เป็นตะพาบที่เจอใหม่รวมทั้งมีขนาดเล็กที่สุดของประเทศไทย เมื่อโตเต็มที่กระดองหลังบางทีอาจยาวได้ถึง  ๑๖  ซม.  กระดองหลังโค้ง นูน สีเขียวหม่นหรือสีน้ำตาล  สามารถหับหรือปิดกระดองได้ทั้งสิ้น เจอหนแรกรอบๆชายแดนไทยเมียนมาร์ แถบจังหวัดตาก  เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง มีปริมาณน้อยและก็หายาก
ผลดีทางยา
ตะพาบที่พบในยาไทยมักหมายความว่าตะพาบปกติ แพทย์แผนไทยใช้ดีตะพาบน้ำ เป็นเครื่องยา แบบเรียนยาสรรพคุณโบราณว่า ดีตะพาบมีรสขม  คาวมีคุณประโยชน์แก้ไข้สันนิบาต แก้พิษกาฬ แก้โรคตา  รวมทั้งแก้ลมกองละเอียด  (ลมตาลาย   หน้ามืดตาลาย) ในตำราพระโอสถพระนารายณ์มียาขนานหนึ่งเข้า “ดีตะพาบ” เป็นเครื่องยาด้วยดังต่อไปนี้น้ำมันภาลาธิไตล ให้เอารากหญ้าขัดหมอน รากขี้เหล็ก รากปะคำไก่ รากปะคำกระบือ รากเลี่ยน รากรักขาว รากลำโพงทั้ง ๒ รากชุมเห็ด รากฝักส้มป่อย ขมิ้นอ้อย ขิง ข่า ยาทั้งนี้ควรต้มให้ต้ม ควรจะตำให้ตำ เอาน้ำสิ่งละทนาน   น้ำมันพรรณผักกาด  น้ำมันพิมเสน น้ำมันละหุ่ง น้ำมันงา สิ่งละทนาน หุงให้คงจะแต่น้ำมัน แล้วจึงเอา ดีตะพาบน้ำ  ดีงูงูเหลือม พริกหอม พริกหาง พริกล่อน  ฝิ่น  สิ่งละสลึง เทียนอีกทั้ง ๕  สิ่งละบาท ๑ บดปรุงลงในน้ำมันไว้ ๓ วัน จึงทาแลนวดแก้พระเส้นอันทพฤกให้หย่อนยาน  แลฟกบวม เป็นขั้วเป็นหน่วยแข็งอยู่นั้นให้ละลายออกเป็นประจำแลฯ
พระตำราปฐมจินดาร์ให้ยาแก้ซางเด็กขนานหนึ่งที่เขา  “ดีตะพาบน้ำ” เป็นเครื่องยาด้วยดังนี้
ขนานหนึ่ง ท่านให้เอาฟันกรามแรด ๑  กล้วยกรามช้าง ๑  งา  นอแรด ๑  เขี้ยวเสือ ๑  เขี้ยวไอ้เข้  ๑  เขี้ยวหมู  ๑  กระดูกงูทับทาง ๑ โกฏอีกทั้ง  ๕  ขมิ้นอ้อย  ๑ ไพลดีตะพาบ ๑  ดีงูงูเหลือม ๑ พิมเสน ๑  รวมยา  ๑๘  สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน ตำเป็นผุยผงบดปั้นแท่งไว้  ละลายน้ำเหล้า กินแก้ทรางทั้งสิ้น  หาย
บันทึกการเข้า