สมุนไพรพิกัดเกสรคำว่า เกสร หรือที่โบราณใช้เป็น เกษร นั้น สื่อความหมายที่เกี่ยวกับดอกไม้ อาจหมายถึงส่วนประกอบที่ใช้สืบพันธุ์ของพืช ๒ ส่วน ซึ่งจัดโชว์อยู่ในวงของดอก คือเกสรผู้รวมทั้งเกสรเพศเมีย ตามลำดับจากนอกถึงในสุดทาง แล้วออกมาจะเป็นกลีบดอกและกลีบเลี้ยงตามลำดับ แต่ในความหมายที่เกี่ยวกับพิกัดยานั้นอาจถึงเกสรเพศผู้ (ยกตัวอย่างเช่น เกสรบัวหลวง) หรือดอกไม้ทั้งดอก (รวม กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย) (ดังเช่นว่า ดอกกระดังงา ดอกมะลิ ฯลฯ) หรือบางทีอาจหมายถึงช่อดอกทั้งช่อ (ดังเช่น ดอกลำเจียก )พิกัดเกสรที่ใช้ในยาไทยมี ๓ พิกัด คือ พิกัดเกสร ๕ พิกัดเกสรอีกทั้ง ๗ แล้วก็พิกัดเกสรทั้งยัง ๙ พิกัดเกสรทั้งยัง ๕ ได้แก่ เกสรบัวหลวง
เกสรบุนนาค ดอกพิกุล ดอกมะลิ แล้วก็ดอกสารภี มีสรรพคุณบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสมหะรวมทั้งเลือด แก้ไข้เพ้อกังวล แก้ลมตาลาย แก้น้ำดี แก้ธาตุ ทำให้เจริญอาหาร บํารุงท้อง เครื่องยาพิกัดนี้ ใช้มากในยาแก้ลมหน้ามืด ยาหอมบำรุงหัวใจ พิกัดเกสรอีกทั้ง ๗ ตัวประกอบด้วยตัวยา ๕ อย่าง ในพิกัดเกสรทั้งยัง ๕ โดยมีดอกจำปา และก็
ดอกกระดังงา เพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีคุณประโยชน์โดยรวมบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้เพื่อเสมหะและโลหิต แก้ไข้เพพ้อกังวล แก้ลมเวียนหัว แก้น้ำดี แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้ร้อนในหิวน้ำ แก้โรคตาพิกัดเกสรทั้ง ๙ ประกอบด้วยตัวยา ๗ อย่างในพิกัดเกสรทั้งยัง ๗ โดยมีดอกลำเจียก รวมทั้งดอกลำดวนเพิ่มเข้ามา พิกัดยานี้มีสรรพคุณ โดยรวมแก้ร้อนในอยากกินน้ำ แก้ไข้จับ แก้ไข้เพื่อลม แก้ไข้เพื่อปถวีธาตุ ให้เจริญอาหาร แก้โรคตา
ตารางที่ ๑ เครื่องยาในพิกัดเกสรเครื่องยา ชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ของที่มาที่ไป สกุล ส่วนของพืช
เกสรบัวหลวง Nelumbo nucifera Gaertn. Nelumbonaceae เกสรเพศผู้
ดอกบุนนาค Mesua ferrea L. Guttiferae ทั้งยังดอก
ดอกพิกุล Mimusops elengi L. Sapotaceae ทั้งยังดอก
ดอกมะลิ Jasminum sambac Ait. Oleaceae ทั้งยังดอก
ดอกสารภี Mamea siamensis (T.and) Kosterm. Guttiferae ทั้งยังดอก
ดอกจำปา Macnolia Champaca (L.) Baill. Ex Pierre var. champaca (ชื่อพ้อง Michelia champaca L.) Magnoliaceae ทั้งดอก
ดอกกระดังงา Cananga odorata Hook.f. & Th. Annonaceae ดอก
ดอกลำเจียก Pandanus odoratissimus L.f Pandanaceae ช่อดอกทั้งช่อ
ดอกลำดวน Melodorum fruiticosum Lour. Annonaceae ทั้งยังดอก
เกสรบัวหลวงเกสรบัวหลวงเป็นเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวงจำพวกดอกตูมทรงฉลวย กลีบไม่ซ้อน สีขาว (เรียกบุณฑริก) หรือสีชมพูเรียก (ปัทม์ โกกนุท บัวก้าน ฯลฯ) บัวหลวงเป็นบัวน้ำชนิดก้านแข็ง (ปทุมชาติ) มีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Nelumbo nucifera Gaertn.ในตระกูล Nelumbonaceae ใต้มีชื่อสามัญว่า sacred lotus เครื่องยาที่เรียก เกสรบัวหลวง ได้จากเกสรเพศผู้ของดอกบัวหลวง แบบเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า มีกลิ่นหอม รสฝาด ใช้แก้ไข้ แก้ธาตุทุพพลภาพ บำรุงหัวใจ เกสรบัวหลวงเข้าเครื่องยาไทยในพิกัดเกสรทั้ง ๕ เกสรเจ็ดและเกสรทั้งยัง ๙
ดอกบุนนาคดอกบุนนาค ได้จากต้นบุนนาคอายมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Mesua ferrea L.ในวงศ์ Guttiferae พืชประเภทนี้มีชื่อสามัญว่า indian rose chestnut tree ต้นบุนนาคเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕ – ๒๕ เมตร ทรงพุ่มเป็นรูปเจดีย์ต่ำๆโคนต้นมีพูพอนน้อย ลำต้นเปลา เปลือกเรียบ สีน้ำตาลปนเทารวมทั้งผสมแดง มีรอยแตกตื้นๆด้านในเปลือกมียางขาว ใบเป็นใบลำพัง เรียงตรงกันข้าม รูปใบหอกหรือรูปขอบขนานแกมใบหอก กว้าง ๑.๕-๓.๕ เซนติเมตร ยาว ๔-๑๕ ซม. โคนใบสอบ ปลายใบเรียวแหลม ขอบของใบเรียบ ด้านบนสีเขียวเข้ม ข้างล่างมีคราบเปื้อนสีขาวนวล เส้นใบถี่ เนื้อใบดก ก้านใบสั้นยาว ๔-๗ มม. ใบอ่อนสีชมพูอมเหลืองห้อยเป็นพู่ ดอกออกคนเดียวๆหรือออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ ๒-๓ ดอก ตามง่ามใบ ดอกสีขาวหรือสีนวล มีกลิ่นหอมยวนใจ เมื่อบานเต็มกำลังมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๕-๑๐ ซม. กลีบเลี้ยงมี ๔ กลีบ รูปช้อน งอเป็นกระพุ้ง มี ๒ ชั้น ชั้นละ ๒ กลีบ กลีบดอกมี ๔ กลีบ รูปไข่กลับ ปลายบานแล้วก็เว้า โคนสอบ เกสรเพศผู้มีหลายชิ้น ผลรูปไข่ แข็ง สีน้ำตาลเข้ม กว้าง ๒ ซม. ยาว ๔๐ ซม. ปลายโค้งแหลม กลีบเลี้ยงขยายโตเป็นกาบหุ้มห่อผล ๔ กาบ มีเม็ด ๑-๒ เม็ด พืชนี้มีเนื้อไม้สีแดงคล้ำ วาวเลื่อม เศษไม้ค่อนข้างจะตรง เนื้อออกจะหยาบแข็ง แล้วก็ทนทานดีเลิศ เลื่อยผ่าตกแต่งยาก ขัดชักเงาก้าวหน้า ฝรั่งเรียกไม้นี้ว่า ironwood หรือ Ceylon ironwood ใช้ทำหมอนรองรางรถไฟ ใช้ก่อสร้างบ้านเรือน ทำเสา สะพาน ด้ามวัสดุ ใช้ต่อเรือ ทำกระดูกงูเรือ กงเสากระโดงเรือ ใช้ทำทุกส่วนของเกวียน ทำด้ามหอก ด้ามร่ม ทำพานด้านหลังหรือและก็รางปืน น้ำมันที่บีบจากเม็ดทำเครื่องสำอาง
สมุนไพร หนังสือเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ดอกบุนนาคมีกลิ่นหอม เย็น รสขมน้อย ช่วยบำรุงใจให้ช่ำชื่น ใช้แก้ไข้รอยดำ แก้ร้อนในดับกระหาย บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ แก้ลมกองละเอียด หน้ามืด หน้ามืด ลายตา และก็ว่าแก้กลิ่นสาบสางในกายได้ ดอกบุนนาคเข้าเครื่องยาไทยพิกัดเกสรทั้งยัง ๕ รวมทั้งเกสรทั้งยัง ๗ และเกสรทั้ง ๙ นอกจากนี้ส่วนอื่นของต้นบุนนาคยังคงใช้คุณประโยชน์ทางยาได้ ยกตัวอย่างเช่น รากใช้แก้ลมในไส้ เปลือกต้นมีสรรพคุณกระจายหนอง รวมทั้งกระพี้แก้เสลดในคอ เนื้อไม้ใช้แก้ลักปิดลักเปิด
ดอกพิกุลดอกพิกุล เป็นดอกของต้นพิกุลอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Mimusops elengi L.ในสกุล Sapotaceae พืชชนิดนี้ ลางถิ่นเรียก กุน (ภาคใต้) แก้ว (ภาคเหนือ) ซางดง (จังหวัดลำพูน) ก็มีต้นพิกุลเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๐-๒๕ เมตร เรือนยอดรูปเจดีย์หรือกลมทึบ ใบเป็นใบผู้เดียว เรียงสลับกันห่างๆรูปไข่ รูปรี หรือรูปขอบขนาน กว้าง ๒-๖.๕ เซนติเมตร ยาว ๕-๑๕ เซนติเมตร วัวนมน ปลายแหลม เป็นติ่งสั้นๆขอบของใบเป็นคลื่น ดอกเป็นดอกผู้เดียว หรือออกเป็นกระจุก ๒-๖ ดอก ตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงมี ๘ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นละ ๔ กลีบ กลีบมี ๒๔ กลีบ เรียง ๒ ชั้น ชั้นนอกมี ๘ กลีบ ชั้นในมี ๑๖ กลีบ โคนเชื่อมกันบางส่วน หล่นง่าย มีสีนวล กลิ่นหอมสดชื่นเย็น กลิ่นยังคงอยู่ตากแห้งแล้ว เกสรเพศผู้สมบูรณ์มี ๘ อัน แล้วก็เกสรเพศผู้เป็นหมัน คล้ายกลีบมี ๘ อัน ผลเป็นแบบมีเนื้อ รูปไข่ กว้างราว ๑.๕ ซม. เมื่ออ่อนสีเขียว และสุกมีสีแดงแสด มีรสหวานบางส่วน เมื่อต้นพิกุลแก่มากมายๆแก่นไม้จะผุหรือรากจะผุ ทำให้ข้นหรือลงได้ง่าย จึงไม่นิยมปลูกไว้ภายในรอบๆบ้าน ต้นแก่ๆมักมีเชื้อราจะเดินเข้าไปในแก่นไม้ ทำให้เนื้อไม้มีกลิ่นหอม โบราณเรียก “ขอนดอก” ซึ่งมีขายทำร้านค้ายาสมุนไพรเป็นเนื้อไม้ที่มีสีน้ำตาลเข้มประขาว มีกลิ่นหอมฝรั่งเรียก “bullet wood” เนื่องด้วยเนื้อไม้มีประด่างเป็นจุดขาวๆเหมือนรอยลูกปืน
ขอนดอกเป็นเครื่องยาไทย บางทีอาจได้จากต้นพิกุล หรือต้นตะแบก(Lagerstroemia calyculata Kurz. สกุล Lythraceae) แก่ๆมีเชื้อราเจริญก้าวหน้าเข้าไปในแก่นไม้ แต่โบราณว่าขอนดอกที่ได้จากต้นตะหามจะมีคุณภาพด้อยกว่า หนังสือเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า ขอนดอกมีกลิ่นหอมยวนใจ รสจืด มีคุณประโยชน์บำรุงตับ ปอด รวมทั้งหัวใจ บำรุงทารกในท้อง (ครรภรักษา) ทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวย ดอกพิกุลมีกลิ่นหอมหวนเย็น เข้ายาหอม ยานัตถุ์ ยาแก้ไข้ แก้ปวดศีรษะ แก้เจ็บคอและก็แก้ร้อนใน ตำราเรียนสรรพคุณยาโบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสรทั้งยัง ๕ เกสรอีกทั้ง ๗ แล้วก็เกสร ๙ หรือใช้ผสมกับดอกไม้อื่นๆที่มีกลิ่นหอมหวนเพื่อทำบุหงา เว้นเสียแต่น้ำส่วนอื่นๆของต้นพิกุลยังคงใช้คุณประโยชน์ทางยาได้ตำราเรียนว่ารากพิกุลมีรส ขมเฝื่อนฝาด เข้ายาบำรุงโลหิต แก้เสมหะ แก้ลม แก่นพิกุลมีรสขมขื่น เข้ายาบำรุงเลือด ยาแก้ไข้ เปลือกต้นที่คุณมีรสฝาด ใช้ปรุงเป็นยาแก้เหงือกอักเสบ ใบพิกุลรสเบื่อฝาด เข้ายาแก้หืด แก้กามโรค
ดอกมะลิดอกมะลิ เป็นดอกของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Jasminum sambac Ait.ในวงศ์ Oleaceae ถ้าหากมีกลีบดอกชั้นเดียวเรียก มะลิลา หากมีกลีบดอกไม้ซ้อนกันหลายชั้นเรียก มะลิซ้อน แม้กระนั้นดอกมะลิที่เจาะจงในตำรายามักนิยมใช้ดอกมะลิลา ฝรั่งเรียกดอกมะลิ jasmine หรือArabain jasmine ต้นมะลิเป็นไม้พุ่มรอคอยเลื้อยสูง ๑-๒ เมตร ใบเรียงตรงกันข้าม รูปไข่ ขนาดกว้าง ๓.๕-๔.๕ เซนติเมตรยาว ๕-๗ ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมน ก้านใบสั้น ถ้าเป็นชนิดดอกซ้อนมักออก ๓ ใบใน ๑ ข้อ แล้วก็สีใบจะเข้มกว่า ดอกมีสีขาว กลิ่นหอมยวนใจแรง ดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงเป็นเส้น ๘-๑๐ เส้น กลีบดอกไม้เป็นหลอดยาว ๑-๒ เซนติเมตร ปลายแยกเป็น ๕-๘ กลีบ เมื่อบานเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒-๓ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มี ๒ อัน ดอกออกตลอดทั้งปี แม้กระนั้นจะ ดกในฤดูร้อนและหน้าฝน หนังสือเรียนสรรพคุณยาโบราณว่า ดอกมะลิมีกลิ่นหอมหวนเย็น รสขม ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ดับพิษร้อน ทำให้จิตใจชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย บำรุงท้อง แก้ร้อนในอยากดื่มน้ำ โบราณจัดเข้าเครื่องยาพิกัดเกสรทั้งยัง ๕ เกสรอีกทั้ง ๗ และเกสร ๙ หรือใช้อบในน้ำหอม ทำน้ำดอกไม้ไทย หรือใช้ผสมกับดอกไม้ชนิดอื่นๆที่มีกลิ่นหอมหวน สำหรับทำบุหงา นอกนั้นแบบเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า ใบมะลิสดมีรสฝาด แพทย์ตามต่างจังหวัดใช้ใบสดตำกับกากมะพร้าวก้นกะลาพอกหรือทาแก้แผลพุพอง แก้แผลเรื้อรัง แล้วก็ ยังว่าใช้ยอด ๓ ยอด ตำพอกหรือทาเพื่อลบรอยรอยแผล รากมะลิมีรสเย็นเมา ฝนหรือต้มน้ำ แก้ปวดปวดศรีษะ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้หลอดลมอักเสบ ใช้มากมาย (ราว ๑-๒ ข้อมือ) ทำให้สลบ ตำพอกหรือแก้เคล็ดขัดยอกจากการกระทบกระแทก
ดอกสารภีดอกสารภีได้จาก
ต้นสารภีอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Mammea siamensis (T. And) Kosterm. ในสกุล Guttiferae ลางถิ่นเรียก ไม่รู้บุญคุณ (จันทบุรี) สร้อยพี (ภาคใต้) ก็มี ต้นสารภีเป็นไม้ยืนต้นขนาดกึ่งกลางสูง ๑๐-๑๕ เมตร เรือนยอดเป็นไม้พุ่มทึบ เปลือกต้นสีเทาดำ แตกล่อนเป็นสะเก็ด มียางขาวรวมทั้งจะกลายเป็นสีเหลืองอ่อน กิ่งอ่อนเป็นสารสี่เหลี่ยม ใบเป็นใบผู้เดียว เรียงตรงกันข้ามเป็นคู่ๆแต่ละคู่สลับแนวทางกัน รูปไข่แกมรูปขอบขนาน กว้าง ๔-๖.๕ ซม.ยาว ๑๕-๒๐ เซนติเมตร โคนใบสอบแคบ ปลายใบมนหรือสอบทื่อๆอาจมีติ่งสั้นๆหรือหยักเว้าตื้นๆเนื้อใบดก ดอกออกเป็นช่อ ช่อเดียวหรือหลายช่อตามกิ่ง ดอกสีขาวกลายเป็นสีเหลืองเมื่อจะโรย มีกลิ่นหอมสดชื่นมากมาย กลีบเลี้ยงมี ๒ กลีบ โคนเชื่อมติดกัน ติดทนและก็ขยายโตตามผล กลีบมี ๔ กลีบ โค้งเป็นกระพุ้ง เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว ๑.๕ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มีมากมาย ผลรูปกระสวย ยาวราว ๒.๕ ซม. เมื่อสุกสีเหลือง เนื้อสีเหลืองหรือสีแสดหุ้มห่อเมล็ด
สารภีแนนสารภีแนน เป็นชื่อถิ่นทางพายัพของพืชที่มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Calophyllum inophyllum L. ในตระกูล Guttiferae รู้จักกันในชื่ออีกหลายชื่อ เป็นต้นว่า สารภีสมุทร (ประจวบคีรีขันธ์) กระทิง (ภาคกลาง) ทิง (กระบี่) เนาวกาน (น่าน) เป็นพืชที่ขึ้นริมหาด หรือปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป พืชประเภทนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๘-๑๐ เมตร เรือนยอดที่กว้างเป็นพุ่มกลม ทึบ เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลปนเทา ด้านในมีน้ำยางสีเหลืองใส ใบเป็นใบโดดเดี่ยว เรียงตรงกันข้าม รูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง ๔.๕-๘ เซนติเมตร ยาว ๘-๑๕ ซม. โคนใบสอบ ปลายใบมน กว้างหรือเว้าตรงกลางเล็กน้อย ขอบของใบเรียบ เนื้อใบหนา เส้นใบถี่รวมทั้งขนานกัน ดอกสีขาว มีกลิ่นหอม ดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบที่ปลายกิ่ง กลีบมี ๕-๖ กลีบ เมื่อบานมีสัตว์เส้นผ่านศูนย์กลาง ๒-๒.๕ เซนติเมตร เกสรเพศผู้มีสีเหลือง มีมากมาย ผลรูปกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒.๕-๓ เซนติเมตร ปลายกิ่งเป็นติ่งแหลม สีเขียว เมื่อแก่สีน้ำตาล แห้งผิวย่น เปลือกค่อนข้างจะดก หมอแผนไทยลางถิ่นใช้ดอกสารภีแนนแทนดอกสารภี ปรุงเป็นยาหอม บำรุงหัวใจ น้ำมันระเหยยากที่หนีบได้จากเม็ดใช้ทาแก้ปวดข้อ แล้วก็ใช้เป็นยาพื้นสำหรับทำเครื่องแต่งตัวหนังสือเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่าดอกสารภีมีกลิ่นหอมหวน รสขมเย็น แก้เลือดพิการ แก้ไข้ที่มีพิษร้อน เป็นยาเจริญอาหาร ยาบำรุงหัวใจ รวมทั้งยาชูกำลัง โบราณจัดดอกสารภีเอาไว้ภายในพิกัดเกสรทั้ง ๕ เกสรทั้งยัง ๗ และเกสรอีกทั้ง ๙
ดอกจำปาดอกจำปา ได้จากดอกของต้นจำปาอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่าmagnolia champaca (L.) Bail.ex Pierre var. Champaca ในสกุล Magnoliaceae พืชชนิดนี้เป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๓๐ เมตร ยอดอ่อนและก็ใบอ่อนมีขน ใบแก่หมดจด ใบเป็นใบผู้เดียว เรียงพยายามสลับกัน รูปรี รูปไข่ หรือรูปไข่แคบ กว้าง ๔-๑๐ ซม. ยาว ๑๐-๒๕ เซนติเมตร ปลายแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนกลมมนหรือแหลม ดอกเป็นดอกคนเดียว ออกตามซอกใบ สีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอมสดชื่นแรง กลีบ
จำปาดอกขาวเนื่องจากต้นจำปามีเขตการกระจายพันธุ์กว้าง คือตั้งแต่อินเดีย พม่า ไทย ไปถึงจนถึงเวียดนาม จึงอาจมีการคลายภายในโดยธรรมชาติกลายพันธุ์โดยธรรมชาติจนขนาดและสีของดอกแตกต่างกันออกไปบ้าง ที่วัดกลาง ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก มีต้นจำปาอายุมากต้นหนึ่ง ดอกเมื่อแรกแย้มมีสีนวล (ไม่ขาวเหมือนดอกจำปีทั่วไป) แต่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้มเมื่อใกล้โรย (เหมือนดอกจำปาทั่วไป) ชาวบ้านเรียกต้นจำปานี้ว่า ต้นจำปาขาว เมื่อผ่านไปทางอำเภอนครชัยจะเห็นป้าย ต้นจำปาขาว ๗๐๐ ปี ต้นจำปาขาวที่ว่านี้ก็คือต้นจำปาอายุมากต้นนี้เอง ส่วนวลี ประวัติศาสตร์ ๗๐๐ปี ต้องการจะสื่อว่าบริเวณตำบลนครไทยนั้นเดิมเป็นเมืองโบราณชื่อเมืองบางยาง เป็นเมืองที่พ่อขุนบางกลางหาว ผู้เสพผู้สืบเชื้อสายจากพระชัยศิริ ราชวงศ์เชียงราย อพยพมาตั้งถิ่นฐานต้องสูงพระไพร่พลอยู่ในราว พ. ศ. ๑๗๗๘ ก่อนร่วมกับพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด ยกพลตีสุโขทัยอันเป็นเมืองหน้าด่านของขอมและรับชัยชนะในราวพ. ศ. ๑๘๐๐ สถาปนาพระองค์เป็นปฐมกษัตริย์ทรงพระนามว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งกรุงสุโขทัย
จำปาของลาวจำปา เป็นชื่อที่ชาวไทยอีสานและชาวลาวเรียกพืชอีกชนิดหนึ่งอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Plumeria obtusa L.ในวงศ์ Apocynaceae คนไทยภาคกลางเรียก ลั่นทม ลางถิ่นอาจเรียก จำปาขาว จำปาขอม จำปาลาว หรือลั่นทมดอกขาว มีชื่อสามัญว่า pagoda tree หรือ temple tree หรือ graveyard flower (เรียกดอก) พืชชนิดนี้เป็นไม้พุ่มสูง ๓-๖ เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มกว้าง ทุกส่วนมียางสีขาว ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับที่บริเวณปลายกิ่ง รูปใบพายแกมรูปขอบขนาน กว้าง ๕-๘ เซนติเมตร ยาว ๒๐-๓๒ เซนติเมตร ปลายและโคนมน ด้านบนสีเขียวเข้ม เป็นมัน ด้านล่างมีขนนุ่ม ดอกสีขาว กลางดอกสีเหลือง มีกลิ่นหอมโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น ๕ กลีบ ซ้อนเหลื่อมกัน กลีบรูปไข่กลับปลายมน งอลงเล็กน้อย เมื่อบานมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๘-๑๐ เซนติเมตรเกสรเพศผู้มี ๕ อัน ก้านเกสรสั้นมาก ผลเป็นฝักคู่ รูปยาวรี เมื่อแก่แตกเป็น ๒ ซีก เมล็ดมีจำนวนมาก แบน มีปีก ดวงจําปานี้เป็นดอกไม้ประจำชาติของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นิยมปลูกตามวัดเพื่อเป็นพุทธบูชา จัดเป็นไม้มงคลผู้ไม่รู้ลางท่านเห็นว่าชื่อ ลั่นทม ออกเสียงคล้ายกับ ระทม อันหมายความว่าไม่เป็นมงคลจึงเปลี่ยนชื่อให้พืชชนิดนี้ใหม่ว่า “ลีลาวดี” ซึ่งเป็นการไม่สมควรต้นจำปาชนิดนี้เป็นพืช
สมุนไพรที่เกิดทุกส่วนของต้นใช้เป็นยาได้ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า กลีบดอกจำปามีกลิ่นหอม มีรสขม ช่วยทำให้เลือดเย็น กระจายโลหิต อันร้อน ขับปัสสาวะ ขับลม แก้อ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย บำรุงหัวใจ แก้เส้นกระตุก บำรุงน้ำดี บำรุงโลหิต ดอกจำปาเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสร ทั้ง ๗ และเกสรทั้ง ๙ ลางตำราว่าดอกใช้ผสมกับใบพลูกินแก้หอบหืด และเมล็ดรสขมเป็นยาขับน้ำเหลือง นอกจากนั้นเปลือกต้นจำปามีรสเฝื่อนขม แก้คอแห้ง แก้ไข้ บำรุงหัวใจ ขับเสมหะ ใช้เป็นยาถ่ายอย่างแรง ต้มน้ำดื่มแก้โรคหนองใน ขับระดู ใบมีรสเฝื่อนขม แก้ไข้อภิญญาณ แก้โรคประสาท แก้เส้นประสาทพิการ แก้ป่วง ใช้ลนไฟพอกแก้ปวดบวม ชงน้ำร้อนดื่มแก้หืด กระพี้มีรสเฝื่อนขม ใช้ถอนพิษผิดสำแดง แก่นมีรสเฝื่อนขม เมา แก้กุฏฐัง รากมีรสเฝื่อนขม ใช้ขับเลือดเน่า เป็นยาถ่าย
ต้นจำปา ที่ซับจำปาบริเวณที่ปัจจุบันเป็นบ้านซับจำปาตำบลซับจำปาอำเภอท่าหลวงจังหวัดลพบุรีนั้นเดิมเป็นป่าพรุน้ำจืดที่กว้างใหญ่ไพศาลอุดมด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิดซึ่งยังมีผู้เฒ่าผู้แก่เล่าขานถึงแต่ในปัจจุบันถูกชาวบ้านแผ้วถางเป็นพื้นที่ทำกินโดยเฉพาะเป็นไร่มันสำปะหลังสุดลูกหูลูกตา คงเหลือแต่ป่าต้นน้ำราว ๙๖ ไร่ ที่ชาวบ้านเรียกกันสืบมาว่าประจําปลาในป่านี้มีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งขึ้นอยู่มากชาวบ้านเรียกพืชนั้นว่าต้องจับปลาและเรียกพื้นที่ป่าซับน้ำบริเวณนั้นว่าซับจําปาอันเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านชื่อวัดและชื่อตำบลตามลำดับเมื่อเร็วๆนี้นักศึกษาที่จะศึกษาจำปาต้นนี้ ในเชิงอนุกรมวิธานพบว่าเป็นพืชในวงศ์ Magnoliaceae ชนิดใหม่ของโลกซึ่งไม่เคยมีรายงานว่าพบที่ใดมาก่อน จึงได้กำหนดชื่อพฤกษศาสตร์โดยได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธย สิรินธร ตั้งเป็นชื่อบกชนิดว่า Magnolia sirindhorniar Noot.& Chalermgrin เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และเพื่ออนุรักษ์พืชชนิดนี้ไว้ให้แหล่งพันธุกรรมและระบบนิเวศของพืชชนิดนี้ถูกทำลายไป โดย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานชื่อไทยให้พืชชนิดนี้ให้พืชนี้ใหม่ว่า จำปีสิรินธร
ดอกกระดังดอกกระดังงา เป็นดอกของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Cananga odorata Hook.f. &Th.ในวงศ์ Annonaceae ลางถิ่นเรียกกระดังงาไทย (ภาคกลาง) กระดังงาใหญ่ กระดังงาใบใหญ่ สบันงาต้น สบันงา (ภาคเหนือ) มีชื่อสามัญว่า ylang-ylang (เป็นภาษาตากาล็อก อ่านว่า อิลาง – อิลาง) ต้นกระดังงาเป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๕-๒๐ เมตร ลำต้นตั้งตรง เปลือกสีเทาเกลี้ยงหรือสีเงิน กิ่งก้านแผ่ออกจากต้น มักลู่ลง ส่วนที่ยังอ่อนอยู่มีขนปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกัน ห้อยลง รูปขอบขนาน กว้าง ๔ – ๙ เซนติเมตร ยาว ๗-๑๒ เซนติเมตร ปลายใบแหลม หรือเป็นติ่งแหลม โคนใบค่อนข้างกลมมน หรือเบี้ยว ขอบใบเป็นคลื่น ใบบาง ค่อนข้างนิ่ม สีเขียวอ่อน ดอกสีเหลืองอมเขียว มีกลิ่นหอม ออกรวมกันเป็นกลุ่ม ๔-๖ ดอก ก้านดอกยาว ๒-๔ เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี ๓ กลีบ รูปสามเหลี่ยม ยาวราว ๐.๕ เซนติเมตร มีขนปกคลุม กลีบดอกห้อยลง มี ๖ กลีบ แบ่งเป็น ๒ ชั้น ชั้นละ ๓ กลีบ ชั้นนอกรูปแคบยาว ปลายเรียวแหลม ขอบกลีบมักจะม้วนหรืออยากเป็นคลื่น ยาว ๕-๘.๕ เซนติเมตร กลีบชั้นในสั้นกว่าเล็กน้อย เกสรเพศผู้และรังไข่มีจำนวนมาก ผลเป็นผลกลุ่มมี ๔-๑๒ ผลย่อย ผลย่อยรูปยาวรี กว้างราว ๑ เซนติเมตร ยาว ๒.๕ เซนติเมตร มีก้านยาว ๑.๓-๒ เซนติเมตร มีสีเขียวเข้มเมื่อแก่เป็นสีดำ เมื่อกลั่นกลีบดอกแรกแย้มด้วยไอน้ำจะได้น้ำมันระเหยระเหยง่าย เรียก น้ำมันดอกกระดังงา (ylang-ylang oil) กลีบดอกลนไฟใช้อบน้ำให้หอม (น้ำดอกไม้) สำหรับใช้เป็นน้ำกระสายยา ดอกแห้งผสมกับดอกไม้หอมอื่นๆสำหรับทำบุหงา ดอกกระดังงามีกลิ่นหอมเย็น ใช้ปรุงยาแก้ลมวิงเวียน ชูกำลัง ทำให้หัวใจชุ่มชื่น แก้อ่อนเพลีย กระหายน้ำ แพทย์แผนไทยจัดเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดเกสรทั้ง๗ และเกสรทั้ง ๙ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า เปลือกต้นมีรสฝาด เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้ท้องเสีย นอกจากนั้นเนื้อไม้มีรสขมฝาด ใช้เป็นยาขับปัสสาวะและแก้ปัสสาวะพิการเช่นกัน
กระดังงาสงขลากระดังงาสงขลา หรือ กระดังงาเบา มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Canaaga odorata Hook.f.&Th var. fruticosa (Craib) J.Sincl. ในวงศ์ Annonaceae
เป็นไม้พุ่มสูง ๑-๓ เมตร แตกกิ่งเป็นพุ่มกลม ใบและดอกคล้ายต้นกระดังงามาก ต่างกันที่กระดังงาสงขลาเป็นไม้พุ่ม ใบสั้นกว่า ดอกออกเดี่ยวๆ บนกิ่งด้านตรงข้ามกับใบ กลีบเลี้ยงรูปไข่ ปลายแหลม กลีบดอกมี ๑๕-๒๔ กลีบ ยาว เรียว บิด และเป็นคลื่นมากกว่าดอกกระดังงา กลีบชั้นนอกยาวและใหญ่กว่ากลีบชั้นใน พืชชนิดนี้เป็นพืชถิ่นเดียวและพืชหายาก (ในธรรมชาติ) ของประเทศไทย พบครั้งแรกที่บ้านจะโหนง อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เป็นพืชที่ขยายพันธุ์ง่ายออกดอกได้เกือบตลอดปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ดอกลำเจียกดอกลำเจียกเป็นช่อของดอกลำเจียก (Screw pine) อันมีชื่อพฤษศาสตร์ว่า Pandanus odoratissimus L.f. ในวงศ์ Pandanaceae พืชชนิดพืชนี้ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ต้นที่มีดอกเพศผู้เรียก ลำเจียก ส่วนต้นที่มีดอกเพศเมีย เรียก เตย หรือเตยทะเล มีผู้ตั้งชื่อต้นที่มีดอกตัวเมียเป็นพืชชนิดหนึ่งโดยให้ชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Pandanus tectorius Sol. ex Parkinson พืชชนิดนี้เป็นไม้พุ่ม สูง ๕-๖ เมตร ลำต้นสีนวลหรือสีน้ำตาลอ่อน มีหนามแหลมสั้นๆ กระจายอยู่ทั่วไป โคนต้นมีรากค้ำจำนวนมาก ใบเป