รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - Ona1wotos0000

หน้า: [1]
1

สมุนไพรพญายอ
ชื่อสมุนไพร พญายอ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau
ชื่อวงศ์ ACANTHACEAE
ชื่อพ้อง Clinacanthus burmanni  Nees
ชื่ออังกฤษ ไม่มี
ชื่อเขตแดนผักมันไก่  ผักลิ้นเขียด  พญาบ้องคำ  พญาข้อดำ พญายอ  โพะโซ่จาง  เสลดพังพอนตัวเมีย


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์


          ไม้พุ่มรอเลื้อย ลำต้นรวมทั้งกิ่งก้านสะอาดเป็นเงา สูงได้ถึง 3 เมตร ใบเดี่ยวออกเรียงตรงกันข้าม รูปขอบขนานหรือขอบขนานแกมใบหอก กว้าง 2-3 ซม. ยาว 7-9 เซ็นต์ โคนใบมน ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 0.5 เซ็นต์ ดอกเป็นช่อ ออกเป็นกลุ่มที่ปลายยอด กลีบดอกไม้สีส้มแดงเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น 2 ปาก ยาว 3-4 เซนติเมตร ไม่ติดฝัก


ส่วนที่ใช้เป็นยาแล้วก็คุณประโยชน์


-ส่วนใบ รักษาอาการเนื่องด้วยแมลงกัดต่อยแล้วก็โรคเริม


สารสำคัญที่ออกฤทธิ์


สารฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกลุ่ม monoglycosyl diglycerides เป็นต้นว่า 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol และสารกลุ่ม glycoglycerolipids จากใบ  มีฤทธิ์ยั้งไวรัสเริม


ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา


ฤทธิ์ลดการอักเสบ
       เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยเอ็นบิวทานอลให้หนูแรท  หรือฉีดสารสกัดด้วยน้ำจากใบเข้าช่องท้องของหนูแรท  จะลดการอักเสบของข้อเท้าหนูแรทที่ทำให้บวมด้วยสารคาราจีแนน (carrageenan) ได้   ตำรับยาที่มีพญายอปริมาณร้อยละ 5  ใน cold cream แล้วก็สารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ เมื่อเอามาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะสามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้  แต่เมื่อใช้สารสกัดด้วยนเอ็นบิวทานอลทาที่ผิวหนังจะไม่เป็นผล
ฤทธิ์ลดลักษณะของการปวด
                 เมื่อให้หนูเม้าส์รับประทานสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบ จะลดความเจ็บของหนูที่ถูกรั้งนำให้ปวดด้วยกรดอะซีติเตียนค  ขึ้นรถสกัดความแรง 90 มก./กิโล จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มิลลิกรัม/กก. (5)  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม (2)  สารสกัดด้วยน้ำ และก็สารสกัดด้วยเอทานอล 50% จากใบ (3) ไม่มีผลลดความเจ็บปวด

ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส
ไวรัสเริม
       พญายอสารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล และก็เอทิลอะสิเตทจากใบ มีฤทธิ์ต้านทานไวรัสเชื้อเริม HSV-1  และเมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 4 รวมทั้งใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล  พบว่า มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสก้าวหน้าและไม่เป็นพิษต่อเซลล์  ในระหว่างที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะเป็นพิษต่อเซลล์
                 จากรายงานการดูแลรักษาคนป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์จำพวกเป็นซ้ำด้วยยาจากสารสกัดพญายอ เปรียบเทียบกับยา acyclovir  และยาหลอก  โดยให้คนเจ็บป้ายยาวันละ 4 ครั้ง ตรงเวลา 6 วัน พบว่าไม่ต่างอะไรในช่วงเวลาการตกสะเก็ดของแผลคนเจ็บที่ใช้ยาจากสารสกัดใบพญายอและก็ยา acyclovir   โดยแผลจะตกสะเก็ดด้านใน 3 วัน และก็หายสนิทข้างใน 7 วัน ซึ่งแตกต่างกับยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ ยาที่สกัดจากใบพญายอไม่ทำให้มีการเกิดการอักเสบ เคือง ในขณะ acyclovir ทำให้แสบ   ยิ่งไปกว่านี้มีการใช้ยาที่ทำมาจากพญายอ ในคนเจ็บโรคเริม งูสวัด แล้วก็แผลอักเสบในปาก พบว่าสามารถรักษาแผลแล้วก็ลดการอักเสบได้ดี   
เชื้อไวรัส Varicella zoster
                 สารสกัดจากใบพญายอออกฤทธิ์ทำลายไวรัส Varicella zoster ที่เป็นต้นเหตุโรคงูสวัดและก็อีสุกอีใสได้โดยตรงก่อนที่จะไวรัสจะเข้าสู่เซลล์
จากรายงานการดูแลรักษาคนป่วยโรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอเปรียบเทียบกับยาหลอก  โดยให้ป้ายยาวันละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 7-14 วัน กระทั่งแผลจะหาย  พบว่าคนป่วยสุดที่รักษาด้วยสารสกัดจากใบพญายอ แล้วมีแผลเป็นสะเก็ดด้านใน 3 วัน แล้วก็หายด้านใน 7-10 วัน จะมีจำนวนไม่ใช่น้อยกว่ากรุ๊ปที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ ระดับความเจ็บปวดน้อยลงเร็วกว่ากรุ๊ปยาหลอก และไม่เจอผลข้างเคียงใดๆก็ตาม


อาการใกล้กัน


ความเป็นพิษทั่วไปรวมทั้งต่อระบบสืบพันธุ์


การทดลองความเป็นพิษ
เมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบให้หนูเม้าส์ พบว่ามีพิษน้อย แต่มีพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าท้อง  ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัม/กิโลกรัม (หรือเสมอกันใบแห้ง 5.44 กรัม/กก.) เมื่อป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าท้องหนูเม้าส์ ไม่ทำให้มีการเกิดอาการพิษอะไรก็ตาม
การเรียนพิษ
พญายอครึ่งหนึ่งเรื้อรัง พบว่าเมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบขนาด 270 มก./โล แล้วก็ 540 มก./กก. แต่ละวัน นาน 6 อาทิตย์ พบว่าไม่มีผลต่อการเจริญเติบโต แม้กระนั้นน้ำหนักต่อมธัยมัเศร้าใจลง เวลาที่น้ำหนักตับเพิ่มขึ้น ไม่พบความเปลี่ยนไปจากปกติต่ออวัยวะอื่น และไม่พบอาการไม่ปรารถนาใดๆก็ตาม หนูแรทที่กินสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1 กรัม/โล ทุกวี่ทุกวันนาน 90 วัน พบว่าการกินของกินของกรุ๊ปที่ได้รับสารสกัดรวมทั้งกรุ๊ปควบคุมไม่มีความแตกต่างกัน แต่น้ำหนักของหนูเพศผู้ที่ได้สารสกัดขนาด 1.0 กรัม/กิโลกรัม ต่ำลงยิ่งกว่าพญายอกลุ่มควบคุม  เกร็ดเลือดของหนูแรททั้งสองเพศสูงขึ้นมากยิ่งกว่า แล้วก็ครีอาตินินต่ำยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม  แต่ว่าไม่เจอความแตกต่างจากปกติด้านจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน แล้วก็พยาธิภาวะภายนอกhttp://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพร เสลดพังพอน (พญายอ)

2

บัวบก
ใบบัวบก เป็นพืชสมุนไพรที่เราต่างรู้จักกันดีในฐานะของผักประจำถิ่น นิยมเอามากินกับน้ำพริกหรือเมนูอาหารต่างๆแบบใหม่ๆและยังนิยมเอามาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำใบบัวบกเพื่อดับกระหาย แก้บอบช้ำใน และเพื่อช่วยบำรุงร่างกาย ซึ่งจัดว่าเป็นพืชสมุนไพรที่อยู่ในแถบทวีปเอเชียเรานี้เอง ด้วยคุณประโยชน์ที่นานาประการ ก็เลยทำให้มันเป็นยารักษาโรครวมทั้งตัวช่วยเลี้ยงดูสุขภาพ ในตอนนี้เริ่มมีการทำศึกษาค้นคว้า สกัดสารสำคัญในใบบัวบกประยุกต์ใช้สำหรับเพื่อการรักษาในรูปของยาแคปซูล และก็บัวบกผงสำหรับชงดื่มอีกด้วย
รูปแบบของใบบัวบก
บัวบก มีชื่อเรียกด้านวิทยาศาสตร์ว่า Centella asiatica อยู่ในตระกูล Umbelliferae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกันกับผักชี ส่วนชื่อแคว้นถูกเรียกในชื่อที่นานัปการ เป็นต้นว่า ผักแว่น ผักหนอก และกะโต่ เป็นต้น  ลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ล้มลุก มีกอติดอยู่ที่พื้นดิน ลำต้นจะเลื้อยแพร่กิ่งก้านไปตามพื้นดินในแนวยาว แก่ยืนยาวได้นานยาวนานหลายปี การแตกรากและก็ใบจะเกิดขึ้นตามข้อ ลักษณะเป็นใบเดี่ยว มีรูปร่างเหมือนไต จะออกเป็นกลุ่มตามข้อ ขอบของใบหยัก มีก้านใบยื่นยาวออกมา ดอกเป็นสีม่วงผสมแดง ผลแบน ออกเป็นดอกผู้เดียวหรือช่อขนาดเล็กประมาณ 3-4 ดอก มีเอกลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ในเรื่องของกลิ่น รวมทั้งรสที่ขมคละเคล้าหวาน
คุณประโยช์จากใบบัวบักที่นิยมเอามากิน
เราอาจเคยชินว่าบัวบกเป็นพืชสมุนไพรแก้บอบช้ำในเป็นหลัก แต่ว่าอันที่จริงแล้วสมุนไพรประเภทนี้มีคุณประโยชน์สำหรับในการรักษาอีกนานาประการ ไม่ว่าจะเป็น การรักษาโรคลมชัก โรคผิวหนัง ท้องเดิน รักษาโรคในกระเพาะ ช่วยบำรุงสมอง และช่วยเพิ่มความจำ เป็นต้น การรับประทานใบบัวบกแบบสดๆจะทำให้ร่างกายได้สารสำคัญหลายชนิด ที่พบได้ทั่วไปเป็น "สารไกลโคไซด์" (Glycosides) ซึ่งจัดว่าเป็นสารที่ผลเข้าไปกีดขวางการเกิดสารอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสื่อมสภาพของเซลล์แล้วก็เยื่อต่างๆในร่างกาย มีส่วนช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจนที่ผิว กระดูก และเส้นเอ็น ทำให้แผลสมานตัวเข้าพบกันได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
สรรพคุณของใบบัวบก ไม่ว่าจะเป็นการทานเป็นต้นดิบๆหรือเอามาคั้นเป็นน้ำดื่ม ล้วนมีสรรพคุณทางยาที่ไม่แตกต่างกัน
เพราะเหตุว่ามีฤทธิ์เป็นยาเย็น จะช่วยลดการเกิดอาการร้อนใน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม ในกรุ๊ปสตรีที่อยู่ในวัยใกล้หมดรอบเดือน คนที่จำเป็นต้องใช้สมองสำหรับเพื่อการทำงานมากๆใบบัวบกจะเป็นตัวช่วยเพิ่มความจำได้ดิบได้ดี ช่วยลดความตึงเครียด ลดการอักเสบที่ผิวหนัง อาการบวมช้ำและก็ร่องรอยผิดปกติที่เกิดบนผิวหนัง นอกจากนี้คนที่บริโภคใบบัวบกข้างหลังการผ่าตัด จะช่วยทำให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้น รวมทั้งลดการตำหนิดเชื้อได้
คุณประโยชน์ของบัวบกกับผลงานวิจัย
การค้นคว้าได้พูดถึงบัวบกเอาไว้ว่า เป็นพืชที่มีคุณประโยชน์สะดุดตาในด้านการบำรุงสมองเช่นเดียวกันกับแปะก๊วย ช่วยกระตุ้นสมองในการจดจำสิ่งต่างๆได้ดิบได้ดีขึ้น และช่วยพัฒนาการศึกษาทางสมอง และก็ด้วยลักษณะพิเศษเหล่านี้ทำให้มันกลายเป็นพืชที่ถูกจดสิทธิบัตรสารสกัดจากบัวบกที่มีหน้าที่่ช่วยเพิ่มความจำ
จากการทดลองในลูกหนู พบว่ามีความจำรวมทั้งการศึกษาที่ดีขึ้น ส่วนในคน มีการทดสอบในเด็กพิเศษ ด้วยการกินบัวบกวันละ 500 มิลลิกรัม ติดต่อกัน 3 เดือน เปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุม พบว่ามีความรู้ความเข้าใจสำหรับในการเรียนรู้ที่ดีกว่า ส่วนในคนชราให้ทดลองกินสารสกัดบัวบก 750 มิลลิกรัม ติดต่อกัน 2 เดือน พบว่า ทั้งยังความจำรวมทั้งการเล่าเรียน อีกทั้งยังช่วยลดอารมณ์แปรปรวน ทำให้คนสูงอายุมีอารมณ์เบิกบานมากยิ่งขึ้นด้วย ในรายที่เป็นวัยทำงาน ได้ทำการทดสอบกับหญิงอายุราว 33 ปี กินสารสกัดบัวบก 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง พบว่าช่วยลดความเครียด ความรู้สึกไม่สบายใจ รวมทั้งสภาวะซึมเซาลงได้
เมื่อเจาะลึกลงไปถึงระดับเซลล์ พบการทำงานของสารสกัดบัวบกที่ตรงเข้าออกฤทธิ์กับสมอง ช่วยทำให้การหายใจระดับเซลล์ข้างในสมองดำเนินงานได้ดิบได้ดีขึ้น มีสารต่อต้านอนุมลอิสระ ช่วยสร้างสมดุลสารสื่อประสาท และต้านการย่อยสลายของเซลล์สมองได้
การนำใบบัวบกมาใช้บริโภคเพื่อเป็นยา
บัวบกสามารถนำมาใช้เป็นยาได้นานัปการ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของต้นสด เม็ด หรือใบ ซึ่งเป็นที่นิยมประยุกต์ใช้มากที่สุด การเลือกใบบัวบกที่ดี ควรที่จะทำการเลือกใบที่โตสุดกำลังและบริบูรณ์ ประยุกต์ใช้ตากแห้งป่นเป็นผุยผงบรรจุลงในแคปซูลประมาณ 500 มก. กินเป็นยาบำรุงร่างกาย
นำเอาใบบัวบกสด 1 กำมือ มาคั้นให้ได้น้ำ หรือตำอย่างรอบคอบแล้วผสมกับน้ำ 1 แก้ว คนจนเข้ากันต่อจากนั้นกรองให้เหลือแต่น้ำ ผสมน้ำตาลหรือเกลือก็ได้ตามชอบ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหารทั้ง 3 มื้อ โดยประมาณ 5-7 วัน จะช่วยลดอาการร้อนในและก็แก้บอบช้ำในได้
กรณีที่เป็นคนไข้โรคความดันเลือดสูง ให้สามารถดื่มน้ำใบบัวบกทุกวัน ต่อเนื่องกันราวๆ 7 วัน จะช่วยลดระดับความดันให้อยู่ในระดับธรรมดา
เม็ดของบัวบกที่มีรสขมและก็เย็น นิยมนำมาใช้แก้ไข้ ลดลักษณะของการปวดศีรษะ รวมทั้งแก้บิด

สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวังสำหรับในการใช้ใบบัวบก
ก่อนรับประทานใบบัวบกเพื่อเป็นยา ต้องวิเคราะห์สุขภาพด้านร่างกายของตนเองก่อนว่าฐานรากแล้วมีโรคประจำตัวอะไรที่มีการเสี่ยงหรือเปล่า ด้วยเหตุว่าสารบางประเภทในใบบัวบก จะเข้าไปทำให้ลักษณะของโรคกำเริบเสิบสานเยอะขึ้นได้
เนื่องด้วยบัวบกเป็นยาที่มีฤทธิ์เย็น การกินมากเกินไปจะทำให้สะสมในร่างกายจนกระทั่งรู้สึกหนาวมากขึ้นได้
หลบหลีกการกินใบบัวบกติดต่อกันวันแล้ววันเล่า หรือรับประทานครั้งละมากมายๆเมื่อรับประทานต่อเนื่องกันราวๆ 1 อาทิตย์แล้ว ก็ควรจะหยุดพัก 1 อาทิตย์ และหลังจากนั้นก็ค่อยกลับมากินใหม่
สำหรับผู้ที่รับประทานใบบัวบกสดๆต่อเนื่องกันทุกวี่ทุกวัน ควรกินในสัดส่วนประมาณวันละ 3-6 ใบ ไม่ควรเกินไปกว่านี้
หากร่างกายมีลักษณะอ่อนเพลีย เวียนหัว ใจสั่น หรือหัวใจเต้นผิดปกติ รู้สึกคันตามผิวหนัง ท้องเสีย ภายหลังจากการกิน ควรหยุดรับประทานโดยทันทีและรีบเข้าหาหมออย่างเร่งด่วน
ในกลุ่มชนที่จำเป็นต้องรับประทานยาแก้แพ้ ยานอนหลับ หรือยากันชัก ไม่สมควรรับประทานใบบัวบก เพราะว่าจะยิ่งไปเพิ่มฤทธิ์ให้รู้สึกง่วงซึมเยอะขึ้น
ใบบัวบกคือพืชสมุนไพรไทยที่หาได้ง่ายทั่วๆไปตามตลาด แพงถูก แต่มากมายก่ายกองด้วยสรรพคุณทางยา ที่จะเป็นหนทางสำหรับการรักษาโรคต่างๆและก็ใช้สำหรับบำรุงร่างกายได้อย่างมีคุณภาพ http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรบัวบก

3

ทับทิม
มารู้จะ “ทับทิม” ผลไม้เพื่อสุขภาพ
นักกำหนดอาหารจดทะเบียนวิชาชีพประเทศอเมริกา
ในยุคที่คนใดกันแน่ก็ห่วงสุขภาพ รักการออกกำลังกาย หมั่นกินผัก ผลไม้ต่างๆเมื่อเอ่ยถึง “ทับทิม” หลายท่านอาจเคยชินกันดีกับผลไม้ที่มีกลิ่นหอมสดชื่น รสอร่อยชักชวนชอบใจ ทับทิมนั้นมีต้นกำเนิดมาจากอินเดียรวมทั้งเปอร์เซีย โดยในบันทึกโบราณทางการแพทย์กล่าวว่า ทับทิมถูกใช้เป็นยารักษาโรคแล้วก็ใช้สำหรับการดูแลสุขภาพมานานนับพันๆปี
ปัจจุบันทับทิมจัดคือผลไม้ในกลุ่ม ซุปเปอร์ฟรุ๊ต ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุสารพฤกษเคมีแล้วก็สารแอนติออกซิแดนท์ซึ่งมีจำนวนสูงเยี่ยมในทับทิมโดยสูงเป็น 3 เท่าของของกินอื่นที่มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง ทั้งยังมีใยอาหารสูงมาก นอกเหนือจากนั้นยังมีวิตามินซีสูง มีวิตามินบี 5 (กรดแพนโทธีนิค) วิตามินเอ วิตามินอี ส่วนแร่ธาตุที่มีมากเป็น แคลเซียม โพแตสเซียม และธาตุเหล็ก
จากการเล่าเรียนพบว่าทับทิมมีสารที่มีฤทธิ์สำหรับในการต่อต้านขบวนการออกซิเดชันที่เกี่ยวกับการอักเสบ ซึ่งบางทีอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็ง แล้วก็โรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระในทับทิมสูงยิ่งกว่า ไวน์แดงแล้วก็ใบชาเขียวถึง 3 เท่า และก็ยังมีจำนวนสารโพลีฟีนอลในทับทิมสูงขึ้นยิ่งกว่าน้ำผลไม้อื่นๆอย่างเช่น ส้ม องุ่น แคนเบอร์ปรี่ ลูกแพร แอปเปิ้ล อีกด้วย
ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกรุ๊ปสารโพลีฟีนอล ที่สำคัญเป็น สารพูนิค้างลาจิน พูนิค้างลิน รวมทั้งกรดกัลลาจิก ทั้งปวงนี้อาจมีผลต่อการคุ้มครองอันตรายต่อเนื้อเยื่อภายในร่างกายที่จะส่งผลต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังรังต่างๆการวิจัยพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระในทับทิมอาจช่วยยับยั้งการก้าวหน้าของเซลล์ของมะเร็ง ทับทิมยังมีสารอโรมาเทสอินฮิบิเตอร์ธรรมชาติ ซึ่งช่วยยั้งการผลิตฮอร์โมนเอสโทรเจนที่อาจช่วยลดการเสี่ยงมะเร็งเต้านม ยิ่งกว่านั้นสารอาหารแล้วก็สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำทับทิมสกัดยังมีคุณประโยชน์ต่อผิวพรรณ บางทีอาจต่อต้านการเกิดริ้วรอย ช่วยทำให้มีผิวพรรณอ่อนกว่าวัยและก็มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง นอกจากนั้นทับทิมยังจัดคือผลไม้ที่มีพลังงานต่ำ จึงอาจให้ผลดีต่อการลดพลังงานสำหรับการควบคุมน้ำหนัก โดยการกินทับทิมแทนขนมหวาน
ด้วยสารสำคัญต่างๆในทับทิม นักวิจัยก็เลยสนใจศึกษาค้นคว้าถึงประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยมีรายงานการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า สารสกัดจากทับทิมช่วยชะลอการก้าวหน้าของเซลล์มะเร็ง และสามารถฆ่าเซลล์ของโรคมะเร็งในห้องแลปได้ นอกเหนือจากนั้นยังมีการศึกษาค้นคว้าชี้ว่า น้ำทับทิมสกัดยังสามารถช่วยลดแอลดีแอลคอเลสเทอรอล ซึ่งเป็นคอเลสเทอรอคอยลไม่ดี ทำให้เส้นเลือดแดงแข็งตัน และก็ยังช่วยลดความดันโลหิต ส่งผลสำหรับเพื่อการช่วยคุ้มครองป้องกันโรคหัวใจ โรคเส้นเลือดสมองตีบรวมทั้งหัวใจวาย
ด้วยคุณประโยชน์ซึ่งมาจากทับทิมที่มีต่อสุขภาพรวมทั้งมาจากธรรมชาติ ทำให้ทับทิมเป็นที่นิยมอย่างมากมายทั้งโลก เดี๋ยวนี้มีการนำทับทิมมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์น้ำทับทิมสกัดแบบพร้อมดื่ม เพื่อความสบายสำหรับผู้ใช้สุดที่รักแล้วก็ปรารถนาดีสำหรับเพื่อการดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย
งานศึกษาเรียนรู้วิจัยของ Sharma, Mc Clees and Afaq ล่าสุดในปี 2017 บอกว่า สารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ยับยั้งการเกิดเซลล์กลายพันธุ์ที่ก่อเกิดเซลล์ของมะเร็ง
ด้วยสรรพคุณเยอะแยะดังกล่าว ทำให้ทับทิมได้รับการตั้งชื่อว่าเป็น “ซุปเปอร์ฟรุต” (Super fruit) ที่ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก เนื่องจากมีวิตามินแล้วก็แร่ธาตุ
ความเชื่อแล้วก็ตำนาน
ชาวกรีกโบราณเชื่อว่า ต้นทับทิมมีต้นเหตุมาจากเลือดของไดโอนีซุส (Di-onysus) ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งเทพเจ้าทั้งมวลและก็เทวีนาน่า(Nana) ซึ่งเป็นพรหมจารีย์ มีครรภ์ขึ้นโดยการสอดใส่ผลทับทิม และให้กำเนิดทวยเทพแอตว่ากล่าวส (Attis) ขึ้น ด้วยเหตุนั้น ผู้ที่เคารพยกย่องเทวดาแอตว่ากล่าวสก็เลยไม่กินผลทับทิม ชาวยิวในยุคพระเจ้าโซโลมอนก็ถือว่า ทับทิมคือผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ ดังปรากฏอยู่บนยอดเสาของวิหารกษัตริย์โซโลมอน แขกฮินดู ในอินเดียมั่นใจว่า พระวิฆเนศวรทรงโปรดทับทิม ผู้ที่ยกย่องพระวิฆเนศวรจึงนิยมนำผลทับทิมไปมอบให้ นอกจากนี้ ยังใช้ดอกทับทิมเส้นไหว้บูชาดวงตะวัน พระนารายณ์ รวมทั้งเทวีพระลักษมี อีกด้วย
คนจีนจัดว่า ต้นทับทิมเป็นพืชที่มีความมงคล (โดยยิ่งไปกว่านั้นทับทิมจำพวกดอกสีขาว) แล้วก็จัดว่าทับทิมเป็นเครื่องหมายที่ความอุดมสมบูรณ์ ความมีลูกหลานมากมาย (เนื่องมาจากผลทับทิมมีเมล็ดมากมาย) ก็เลยนิยมได้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่คู่สมรสในพิธีสมรส (เพื่อให้มีลูกหลานมากๆ) ในพิธีแต่งงานนิยมปักยอดทับทิมไว้ที่ผมเจ้าสาว รวมทั้งปักยอดทับทิมไว้ที่ข้าวของเซ่นสังเวยเจ้า ชาวจีนยังมั่นใจว่า ใบหรือกิ่งทับทิมมีอำนาจไล่ภูตผีปีศาจได้ ก็เลยนิยมปลูกทับทิมเอาไว้ในบริเวณบ้าน รวมทั้งใช้ใบทับทิมแช่น้ำล้างหน้าล้างตา ล้างมือ หลังกลับจากงานศพ (เพื่อไม่ให้ซาตานติดตามมา)
ในประเทศญี่ปุ่นคงจะรับความศรัทธาเกี่ยวกับทับทิมไปจากจีน กลายเป็นเครื่องหมายของเจ้าแม่ที่คอยคุ้มครองรักษาเด็กๆให้ไม่เป็นอันตราย และเชื่อว่าเมื่อเด็กๆได้รับประทานผลทับทิมแล้วจะปลอดภัยจากภูตผีปีศาจทั้งหมด ชาวไทยก็คงจะได้รับถ่ายทอดความเลื่อมใสเกี่ยวกับทับทิมมาจากชาวจีนบ้าง ดังปรากฏว่า มีศาลเจ้าหลายที่ในประเทศไทย ชื่อเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าแม่ที่มีเกิดจากจีนแล้วกลายเป็นชื่อไทยคราวหลัง

4

ทับทิม
ทับทิม ชื่อสามัญ Pomegranate
ทับทิม ชื่อวิทยาศาสตร์ Punica granatum L. จัดอยู่ในวงศ์ตะแบก (LYTHRACEAE)
ทับทิม เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิหร่านทางตอนใต้ของอัฟกานิสถาน ผลไม้ชนิดนี้จะชอบอากาศหนาวเป็นพิเศษ ยิ่งหนาวมากเท่าไหร่ เนื้อทับทิมนั้นจะมีสีแดงเข้มมากขึ้นเท่านั้น และยังเป็นผลไม้มงคลของคนจีนอีกด้วย ด้วยความที่ทับทิมมีเมล็ดมากจึงสื่อความหมายถึงการมีลูกชายมาก ๆ ด้วยนั่นเอง โดยกิ่งใบของทับทิมก็นำมาใช้ในพิธีการต่าง ๆ ที่มีน้ำมนต์ในการประกอบพิธีหรือนำมาใช้พรมน้ำมนต์เพราะเชื่อว่ามีไว้ติดตัวจะช่วยในเรื่องการคุ้มครองจากภัยอันตรายต่าง ๆ ได้ด้วย
ทับทิมยังถือว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ โดยประโยชน์ของทับทิมและสรรพคุณของทับทิมนั้นมีมากมาย ด้วยทับทิมนั้นเป็นผลไม้ที่มีรสหวานออกเปรี้ยว น้ำทับทิมจึงมีวิตามินซีสูงและยังประกอบด้วยเกลือแร่ต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และนอกจากนี้ยังมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย อย่างเช่น บรรเทาอาการของโรคหัวใจ รักษาความดันโลหิตสูง ช่วยลดสภาวะการแข็งตัวขอเลือด รักษาโรคท้องเดิน โรคบิด เป็นต้น
ประโยชน์ของทับทิม
ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายและช่วยในการชะลอวัย
น้ำทับทิมมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวหน้าเต่งตึง ด้วยการนำน้ำทับทิมประมาณ 1 ช้อนชามาทาทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก
น้ำทับทิมช่วยเพิ่มความสดชื่น แก้กระหาย คลายร้อนได้เป็นอย่างดี
ช่วยระงับกลิ่นปากได้อีกด้วย
ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง บรรเทาอาการหวัด
ช่วยปกป้องผิวของคุณจากแสงแดด
ทับทับมีวิตามินซีสูงมาก และยังมีวิตามินเอ วิตามินอี และกรดโฟลิกอีกด้วย
ใบทับทิมใช้ในการประกอบพิธีต่าง ๆ ที่ใช้น้ำมนต์ในการประกอบพิธี
ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องในหญิงตั้งครรภ์
ช่วยในการปรับฮอร์โมนวัยหมดประจำเดือน
ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ
ช่วยในการบำบัดอาการของโรคเบาหวาน
ช่วยบำรุงสายตา แก้อาการตาอักเสบ
น้ำต้มเปลือกทับทิมช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้
ช่วยบรรเทาอาการของโรคหัวใจ ด้วยการช่วยเสริมสุขภาพหัวใจให้ดียิ่งขึ้น
ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยบำรุงสุขภาพฟันให้แข็งแรง
ช่วยส่งเสริมสุขภาพกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน
ช่วยลดความดันโลหิตสูง
ช่วยส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือด
ช่วยในการฟอกไตและท่อปัสสาวะ
ช่วยลดสภาวะการแข็งตัวของเลือดจากไขมันในเลือดสูง
มีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
ช่วยแก้อาการระดูขาว ตกเลือด
ช่วยบำรุงสุขภาพตับให้แข็งแรง
มีส่วนช่วยบำรุงและต่อต้านอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย
เปลือกทับทิมสามารถรักษาโรคท้องเดินและโรคบิดได้ เพราะมีสารในกลุ่มแทนนินอยู่ในปริมาณมาก
เปลือกทับทิมมีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ
เปลือกผลช่วยรักษาแผลหิด กลากเกลื้อน
เปลือกของทับทิมช่วยต้านการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
ยาต้มจากเปลือกผลช่วยรักษาอาการอุจจาระร่วงได้ โดยช่วยลดจำนวนครั้งในการขับถ่ายและทำให้ระยะเวลาเริ่มถ่ายครั้งแรกนานขึ้น

เปลือกต้นและเปลือกรากของทับทิมสามารถใช้เป็นยาขับพยาธิตัวตืดและพยาธิตัวกลมได้เป็นอย่างดี ด้วยการนำเปลือกของรากและต้นที่ยังสด ๆ ประมาณครึ่งกำมือ เติมกานพลูลงไปเล็กน้อยเพื่อแต่งรส นำมาต้มกับน้ำ 3 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือถ้วยครึ่ง แล้วนำมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ หลังจากนั้น 2 ชั่วโมงจึงรับประทานยาถ่าย เช่น ดีเกลืออีก 2 ช้อนโต๊ะตามไปอีกครั้งหนึ่ง
ดอกทับทิมใช้ห้ามเลือดได้ ด้วยการนำดอกแห้งมาบดให้ละเอียดแล้วนำมาทาหรือโรยใส่บริเวณบาดแผล
ดอกทับทิมช่วยแก้อาการหูชั้นในอักเสบ
ใบของทับทิมสามารถนำมาอมกลั้วคอหรือทำเป็นยาล้างตาก็ได้
ทับทิมช่วยลดปัญหาผมร่วง ด้วยการนำยาพอกที่ได้จากใบ แล้วนำมาพอกหนังศีรษะ
ชาวอินเดียนำน้ำคั้นจากผลทับทิมและดอกของทับทิมมาปรุงเป็นยาธาตุ สมานลำไส้ บำรุงหัวใจ
ทับทิมช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งได้มากกว่า 13 ชนิด โดยช่วยให้เซลล์มะเร็งไม่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ เป็นต้น
ช่วยในการทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่
คุณค่าทางโภชนาการของเนื้อ [url=http://www.disthai.com/16488281/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1]ทับทิม[/url] ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 18.7 กรัม
ประโยชน์ของทับทิมน้ำตาล 13.67 กรัม
เส้นใย 4 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
โปรตีน 1.67 กรัม
วิตามินบี 1 0.067 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 2 0.053 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 5 0.377 มิลลิกรัม 8%
วิตามินบี 6 0.075 มิลลิกรัม 6%
วิตามินบี 9 38 ไมโครกรัม 10%
โคลีน 7.6 มิลลิกรัม 2%
วิตามินซี 10.2 มิลลิกรัม 12%
วิตามินอี 0.6 มิลลิกรัม 4%
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม 4%
ธาตุแคลเซียม 10 มิลลิกรัม 1%
ธาตุเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.119 มิลลิกรัม 6%
ธาตุฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโซเดียม 3 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 0.35 มิลลิกรัม 4%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ http://www.disthai.com/

หน้า: [1]