รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - giw3a5c4h4h4a5

หน้า: [1]
1
อื่น ๆ / รู้จัก พญายอ สมุนไพรฆ่าเชื้อไวรัส
« เมื่อ: สิงหาคม 25, 2018, 07:43:04 AM »

พญายอ
พญายอเป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถาและใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้งามในดินที่สมบูรณ์ แสงแดดปานกลาง พบได้ทั่วไปตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาดีแล้วก็ย้ายไปปลูกในแปลง ดูแลรักษาเหมือน พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่หรือไม่อ่อนจนเกินไป ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูได้ดี โดยเฉพาะส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะได้ศึกษาพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านพิษงูยังไม่ชัดเจน แต่ปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ไม่มีไข้) จากแมลงที่มีพิษกัดต่อย เช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้ละเอียด เติมแอลกอฮอล์พอชุ่มยา ตั้งทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และกากทาบบริเวณที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า สารสกัดจากใบพญายอ สามารถฆ่าเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส งูสวัด (varicella zoster virus) ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ คือ ยับยั้งไวรัสโดยตรง และยับยั้งการเพิ่มจำนสวนของไวรัส
ผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยยะสืบพันธุ์ที่ติดเชื้อครั้งแรกและติดเชื้อซ้ำ เมื่อรักษาโดยทาแผลของผู้ป่วยด้วยครีมพญายอ (5%) เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน acyclovir พบว่า แผลของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบ[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ[/url]และ acyclovir จะตกสะเก็ดภายในวันที่ 3 และหายภายในวันที่ 7 แสดงว่าครีมพญายอและครีม acyclovir มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ให้หายได้เร็วพอกัน แต่ครีมพญายอ ไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง ในขณะที่ครีมทำให้แสบและราคาแพง
ผู้ป่วยโรคงูสวัด เมื่อรักษาโดยทาแผลด้วยครีมพญายอ (5%) วันละ 5 ครั้งทุกวัน ปรากฎว่าแผลจะตกสะเก็ดภายใน 1-3 วัน และหายภายใน 7-10 วัน พบว่าผู้ป่วยจะหายเร็วกว่าการใช้ยาชนิดอื่น และไม่พบอาการข้างเคียงใดๆ จากการใช้สารสกัดใบพญายอ
เห็นได้ชัดว่า สมุนไพรไทย พญายอ มีสรรพคุณมากมาย อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้สมุนไพร คุณผู้อื่นต้องศึกษาให้ละเอียด
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
รากของพญาปล้องทอง ประกอบด้วยสาร Lupeol, B-Sitosterol, Stigmasterol และมีการทดลองพบว่าสารสกัดด้วยสารละลายบิวทานอล (butanol) จากใบของพญาปล้องทอง มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) สามารถระงับอาการอักเสบได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้มีการผลิต ครีมพญายอ ขึ้นเพื่อนำมารักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดได้ ทำให้แผลตกสะเก็ดหายเร็ว ลดอาการปวดได้ดี และไม่พบผลข้างเคียงใดๆ จากการใช้ครีมพญายอ จึงไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง มีการนำมาออกจำหน่ายในระดับอุตสาหกรรม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 1-3 เมตร มีลำต้นและกิ่งก้านสีเขียวเข้ม ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน รูปรีแคบขอบขนานกว้าง 1-3 ซม. ยาว 4-12 ซม. ดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีแดงส้ม มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียยาวโผล่พ้นหลอดออกมา ปลายแยกเป็น 2 ปาก ผลเป็นผลแห้ง ไม่ค่อยออกดอก ส่วนมากขึ้นตามป่า หรือปลูกกันตามบ้าน ดังนั้นการขยายพันธุ์จึงทำได้โดยการปักชำหรือ การแยกเหง้าแขนงไปปลูก
วิธีการปลูก
การปลูกพญายอ ส่วนใหญ่ใช้กิ่งปักชำโดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ปราศจากโรค ไม่แก่ หรือไม่อ่อนเกินไป ตัดกิ่งพันธุ์ให้มีความยาว 6-8 นิ้ว และมีตาบนกิ่งประมาณ 1-3 ตา ให้มีใบเหลืออยู่ที่ปลายยอด ประมาณ 1/3 ของกิ่ง ทาปูนแดงบริเวณรอยตัดของต้นตอ และกิ่งพันธุ์เพื่อป้องกันเชื้อรา ปักชำลงในถุงที่มีวัสดุปักชำเป็นดินร่วนปนทราย จะช่วยให้อัตราการออกรากของกิ่งชำสูง คุณภาพของรากดี และสะดวกในการขุดย้ายต้นไปปลูก โดยปักชำกิ่งลงในวัสดุปลูกลึกประมาณ 3 นิ้ว เอียง 45 องศา รดน้ำให้ชุ่มและรักษาความชื้นให้เพียงพอ โดยกิ่งชำไม่ควรถูกแสงแดดโดยตรง และควรดูแลความชื้นในอากาศ กิ่งปักชำจะออกรากภายใน 3-4 สัปดาห์ เมื่อกิ่งชำที่มีอายุ 3-4 สัปดาห์ ที่ชำไว้ในแปลงชำหรือในถุงชำ โดยใช้ช้อนขุดหรือเสียมแซะกิ่งชำลงปลูกในหลุมปลูกที่เตรียมไว้ 1 ต้นต่อหลุม กลบดิน และกดดินที่โคนให้แน่น รดน้ำหลังจากปลูกทันที
การเก็บ เก็บใบขนาดกลาง ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป การเก็บเกี่ยวให้ใช้วิธีการตัดต้นเหนือระดับผิวดินประมาณ 10 ซม. หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ต้นตอเดิมยังงอกแตกแขนงเติบโตได้อีก และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อไปได้
การดูแลรักษา ควรให้น้ำในระยะ 1-2 เดือนแรก ควรรดน้ำทุกวัน ถ้าแดดจัดควรรดน้ำเช้า-เย็น เมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไปแล้วอาจให้น้ำวันเว้นวัน ในฤดูฝนถ้ามีฝนตกอาจจะไม่ต้องให้น้ำ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์ ชอบดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ไม่ชอบดินลูกรังหรือดินเหนียว ชอบอากาศร้อนชื้น ขึ้นได้ดีทั้งที่มีแดดและที่ร่ม
ลักษณะใบพญาปล้องทอง
ส่วนที่นำมาใช้ ใช้ได้ทั้งใบ และราก
ใบ

  • นำมารักษาอาการอักเสบ ถอนพิษ รักษาแผลร้อนในในปาก เริม งูสวัด ให้ใช้ใบสด 10-20 ใบ นำมาตำผสมกับเหล้าหรือ น้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาแผลและเอากากพอกแผล
  • นำมาทาบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นผื่นคัน ให้ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลดี
  • นำมาแก้แผลน้ำร้อนลวก ให้ใช้ใบตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้ แผลจะแห้ง หรือ นำใบมาตำให้ละเอียดผสมกับสุรา มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี


รากพญายอ
ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับระดู แก้ปวดเมื่อยบั้นเอว
http://www.disthai.com/

2
อื่น ๆ / ตะไคร้มีประโยชน์มากกว่าที่คิด
« เมื่อ: สิงหาคม 11, 2018, 01:24:24 PM »

ตะไคร้
ตะไคร้ เป็นพืชสมุนไพรเขตแดนในประเทศแถบเอเชียเขตร้อน มีลักษณะคล้ายต้นหญ้าและก็มีใบสูงยาวส่งกลิ่นส่วนตัว นอกเหนือจากประยุกต์ใช้เตรียมอาหาร แต่งกลิ่นในอาหาร แล้วก็ทำเครื่องดื่มแล้ว ตะไคร้ยังถูกเอาไปใช้ในหลากสาขา ดังเช่นว่า อุตสาหกรรมสบู่ เครื่องแต่งตัว การบำบัดด้วยกลิ่น หรือการสกัดเป็นยารักษา โดยมีความเชื่อว่าสารเคมีในตะไคร้ที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ บางทีอาจสามารถช่วยปกป้องการเจริญเติบโตของแบคทีเรียกับยีสต์ได้ ช่วยลดลักษณะของการปวดปวดเมื่อยกล้าม บรรเทาลักษณะของการปวดรวมทั้งลดไข้ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในระหว่างมีระดู แล้วก็เป็นส่วนประกอบในสารที่ช่วยไล่ยุงได้ เป็นต้น
ตะไคร้ ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cymbopogon citratus จัดเป็นพืชล้มลุกประเภทหนึ่ง มีลักษณะเป็นกอ มักนิยมนำมาปลูกไว้ตามบ้านและเอามาประกอบอาหาร เป็นสมุนไพรที่เป็นประโยชน์และช่วยทุเลาอาการโรคบางชนิดได้ แม้กระนั้นหารู้หรือเปล่าว่าอันที่จริงแล้ว ภายใต้ต้นแข็งและก็ใบที่คมของตะไคร้ยังหลบซ่อนคุณประโยชน์เอาไว้มากไม่น้อยเลยทีเดียวจนกระทั่งไม่คาดฝัน วันนี้เราไปดูคุณประโยชน์ซึ่งมาจากตะไคร้ที่ทราบดีแล้วต้องอัศจรรย์ใจที่เอามาจากเว็บไซต์ allwomenstalk กันเลยดีกว่าจ้ะ คนไหนที่ชอบกลิ่นหอมๆของมัน จะต้องยิ่งรักเจ้าสมุนไพรจำพวกนี้เยอะขึ้นเรื่อยๆกว่าเดิมแน่นอน
คุณประโยชน์ของตะไคร้ คุณประโยชน์ดีๆของสมุนไพรใกล้ตัว
อุดมไปด้วยวิตามิน
          อย่ามีความรู้สึกว่าตะไคร้มีคุณประโยชน์แค่ใช้ปรุงอาหารแค่นั้น เนื่องจากจริงๆแล้วตะไคร้นั้นอุดมไปด้วยวิตามินแล้วก็แร่มากไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งวิตามินเอ วิตามินซี รวมทั้งวิตามินบี นอกจากนี้ยังมีโฟเลต แมกนีเซียม สังกะสี ทองแดง ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แคลเซียม แมงกานีส โอ้โห้... วิตามินเยอะแยะขนาดนี้ทีหน้าเจอตะไคร้ในของกินก็อย่าเขี่ยทิ้งนะ
ช่วยไล่แมลง
          นอกเหนือจากการที่จะเอามาทำครัวแล้ว ตะไคร้ยังเป็นประโยชน์สำหรับการไล่แมลงอีกด้วย เพราะในตะไคร้มีน้ำมันหอมระเหยอยู่ในใบรวมทั้งในลำต้น ซึ่งน้ำมันหอมระเหยพวกนี้มีคุณสมบัติสำหรับการไล่แมลงได้อย่างดี ก็เลยไม่น่าประหลาดใจที่พวกเราจะได้เห็นผลิตภัณฑ์สบู่ ผลิตภัณฑ์ไล่แมลงที่มีส่วนผสมของตะไคร้วางขายอยู่ในท้องตลาดเยอะมาก ผู้ใดกันที่ชอบกลิ่นตะไคร้ละก็ทดลองหามาใช้ได้นะคะ

ล้างสารพิษ
          สำหรับผู้ที่รักสุขภาพและชอบล้างพิษในร่างกายบ่อยๆไม่ควรพลาดเจ้าตะไคร้เลยจ้ะ เพราะมันมีคุณสมบัติสำหรับเพื่อการล้างสารพิษภายในร่างกายด้วยกระบวนการทำให้ท่านฉี่หลายครั้งขึ้น ด้วยเหตุว่าสารเคมีที่อยู่ในตะไคร้จะช่วยทำความสะอาดระบบการทำงานด้านการย่อยอาหาร ยกตัวอย่างเช่น ตับ ตับอ่อน ไต แล้วก็กระเพาะปัสสาวะ ขับสารพิษรวมทั้งกรดยูริกออกมาจากร่างกาย ทำให้ระบบการทำงานเกี่ยวกับการย่อยอาหารของคุณสะอาดขึ้น และก็ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเยอะขึ้นค่ะ
ตะไคร้ กับ 7 คุณค่า
ช่วยสำหรับในการย่อยของกิน
          ตะไคร้ ช่วยทำให้ระบบที่ทำการย่อยอาหารทำงานเจริญขึ้นค่ะ เนื่องจากว่ามีการเรียนหนึ่งพบว่าการดื่มชาตะไคร้จะช่วยในการย่อย ลดลักษณะของการปวดท้อง แก้หวัด ลดอาการตะคริวในลำไส้ แล้วก็ท้องร่วงได้ ยิ่งไปกว่านี้ยังช่วยคุ้มครองป้องกันแล้วก็ลดแก๊สในไส้ได้อีกด้วย
ช่วยปรับปรุงแก้ไขซ่อนแซมและบำรุงระบบประสาท
          มีการเล่าเรียนหลายชิ้นพบว่าตะไคร้สามารถช่วยซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงให้กับระบบประสาทได้ พิสูจน์ได้อย่างง่ายดายด้วยการนำน้ำมันหอมระเหยตะไคร้มาหยดลงบนผิว คุณจะรู้สึกได้ว่ามันอุ่นๆซึ่งมันจะก่อให้กล้ามเนื้อของคุณบรรเทามากมายรวมทั้งลดอาการตะคริวได้ แม้กระนั้นก็อย่าลืมว่าเมื่อใดก็ตามจะใช้น้ำมันหอมระเหยตะไคร้คุณควรที่จะผสมมันกับน้ำมันตัวพา (Carrier oil) และก็ห้ามใช้น้ำมันหอมระเหยโดยตรงกับผิวเด็ดขาดจ้ะ
ตะไคร้
ช่วยรักษาอาการอักเสบ
          ตะไคร้สามารถช่วยทำให้คุณรู้สึกบรรเทาและก็บรรเทาลักษณะของการปวดต่างๆได้ นอกจากนั้นยังช่วยลดอาการอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดต่างๆดังเช่นว่า ปวดฟัน ปวดกล้าม หรือการปวดตามข้อได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ถ้าคุณรู้สึกเจ็บปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย ลองหาน้ำมันที่ผสมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้มานวดมองนะคะรับรองว่าหายแน่นอน
ช่วยบำรุงรักษาผิว
          ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เพราะฉะนั้นมันจึงสามารถช่วยบำรุงรักษาผิวของคุณได้ ทำให้ผิวของคุณเปล่งประกายความมีสุขภาพดีออกมา แถมยังช่วยทำให้ผิวของคุณมองอ่อนเยาว์อยู่เสมอ และก็ช่วยลดสิวต่างๆได้อีกด้วย
โทษของตะไคร้
พิษของน้ำมันตะไคร้ จำนวนน้ำมันตะไคร้ ที่ทำให้หนูขาวตายที่กึ่งหนึ่งของจำนวนหนูขาวทั้งผอง ด้วยการให้ทางปาก  ที่ความเข้มข้น 5,000 มิลลิกรัม/โล และก็การให้น้ำมันหอมระเหยทางกระเพาของกินแก่กระต่ายที่ทำให้กระต่ายตายที่กึ่งหนึ่ง พบว่า มีปริมาณความเข้มข้นเดียวกันกับการให้แก่หนูขาว พิษเฉียบพลันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้น 1,500 ppm ในระยะเวลา 60 วัน กลับพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีการเติบโตเร็วกว่ากลุ่มที่ไคุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้
การเรียนรู้ของตะไคร้ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่ มีสารอาหารสำคัญมี โปรตีน 1.2 กรัม ไขมัน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม เส้นใย 4.2 กรัม แคลเซียม 35 มก. ฟอสฟอรัส 30 มก. เหล็ก 2.6 มิลลิกรัม วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม ไทอามีน 0.05 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม ไนอาสิน 2.2 มก. วิตามินซี 1 มก. แล้วก็ ขี้เถ้า 1.4 กรัมม้ได้รับ และก็ค่าทางเคมีของเลือดไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด http://www.disthai.com/

3
อื่น ๆ / ตะไคร้มีสรรพคุณ-ประโยชน์อย่างไร
« เมื่อ: สิงหาคม 10, 2018, 02:16:04 AM »

ตะไคร้
ตะไคร้ ชื่อสามัญ Lemongrass
ตะไคร้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf จัดอยู่ในวงศ์ต้นหญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE)
ตะไคร้จัดเป็นไม้ล้มลุกเครือญาติหญ้า ใบมีลักษณะเรียวยาว ปลายใบมีขนหนาม เป็นสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาเตรียมอาหาร โดยตะไคร้แบ่งได้เป็น 6 จำพวก ดังเช่น ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และตะไคร้หางราชสีห์ ซึ่งเป็นสมุนไพรไทยที่นิยมนำมาปลูกทั่วไปในบ้านเรา โดยมีถื่นกำเนิดในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย ประเทศพม่า ศรีลังกา และก็ไทย
ตะไคร้ เป็นอีกทั้งยารักษาโรคและก็ยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อสภาพทางด้านร่างกายอีกด้วย เช่น วิตามินเอ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก อื่นๆอีกมากมาย
สรรพคุณของตะไคร้
มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการขับเหงื่อ
เป็นยาบำรุงธาตุไฟให้เจริญรุ่งเรือง (ต้นตะไคร้)
มีคุณประโยชน์เป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยสำหรับเพื่อการเจริญอาหาร
ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร (ต้น)
สารสกัดจากตะไคร้มีส่วนช่วยสำหรับการปกป้องโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
แก้รวมทั้งบรรเทาอาการหวัด อาการไอ
ช่วยรักษาอาการไข้ (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ (ราก)
น้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้สามารถทุเลาลักษณะของการปวดได้
ช่วยแก้อาการปวดหัว
ช่วยรักษาโรคความดันเลือดสูง (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้อาเจียนถ้าเกิดนำไปใช้ร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆ(หัวตะไคร้)
ช่่วยแก้อาการกษัยเส้นแล้วก็แก้ลมใบ (หัวตะไคร้)
รักษาโรคอาการหอบหืดด้วยการใช้ต้นตะไคร้
ช่วยแก้อาการเสียดแน่นแสบบริเวณทรวงอก (ราก)
ใช้เป็นยาแก้ลักษณะของการปวดท้องรวมทั้งอาการท้องร่วง (ราก)
ช่วยแก้แล้วก็ทุเลาลักษณะของการปวดท้อง
ช่วยรักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ (หัวตะไคร้)
ช่วยสำหรับในการขับน้ำดีมาช่วยสำหรับในการย่อยอาหาร
น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้มีส่วนช่วยลดการบีบตัวของไส้ได้
มีฤทธิ์ช่วยในการขับฉี่
ช่วยแก้อาการฉี่ทุพพลภาพรวมทั้งรักษาโรคนิ่ว (หัวตะไคร้)
ช่วยแก้อาการขัดเบา (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยาแก้ขับลม (ต้น)
ช่วยรักษาอหิวาต์
ช่วยแก้ลมอัมพาต (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยารักษาโรคเกลื้อน (หัวตะไคร้)
น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สามารถช่วยต่อต้านเชื้อราบนผิวหนังได้อย่างดีเยี่ยม
ช่วยแก้โรคหนองใน ถ้าหากนำไปผสมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆ

คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากตะไคร้
ประยุกต์ใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้หอม น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้หิวได้อย่างดีเยี่ยม
ช่วยในการบำรุงแล้วก็รักษาสายตา
มีส่วนช่วยสำหรับในการบำรุงกระดูกและก็ฟันให้แข็งแรง
มีส่วนช่วยในการบำรุงสมองแล้วก็เพิ่มสมาธิ
สามารถนำมาใช้ทำเป็นยานวดได้
ช่วยขจัดปัญหาผมแตกปลาย (ต้น)
มีฤทธิ์เป็นยาช่วยสำหรับในการนอน
การปลูกตะไคร้ร่วมกับผักชนิดอื่นๆจะช่วยคุ้มครองปกป้องแมลงได้เป็นอย่างดี
ประยุกต์ใช้เป็นส่วนประกอบของสารระงับกลิ่นต่างๆ
ต้นตะไคร้ช่วยดับกลิ่นคาวหรือเหม็นกลิ่นคาวของปลาได้เป็นอย่างดี
กลิ่นหอมของตะไคร้สามารถช่วยไล่ยุงและก็กำจัดยุงได้เป็นอย่างดี
เป็นส่วนประกอบของสินค้าชนิดยากันยุงชนิดต่างๆอาทิเช่น ยากันยุงตะไคร้หอม
สามารถนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง ดังเช่น เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม เอามาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เป็นต้น
มักนิยมนำมาใช้สำหรับในการเตรียมอาหารหลายชนิด ตัวอย่างเช่น ต้มยำ และก็อาหารไทยอื่นๆเพื่อเพิ่มรส
แนวทางทําน้ําตะไคร้หอม
สรรพคุณตะไคร้ตระเตรียมวัตถุดิบดังต่อไปนี้ ตะไคร้ 1 ต้น / น้ำเชื่อม 15 กรัม / น้ำเปล่า 240 กรัม
ล้างตะไคร้ให้สะอาด แล้วเอามาหั่นเป็นท่อน ทุบให้แตก
ใส่ลงหม้อต้มกับน้ำให้เดือด กระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำกระทั่งเป็นสีเขียว
รอคอยสักครู่แล้วชูลง จากนั้นกรองเอาตะไคร้ออกแล้วเติมน้ำเชื่อมให้ได้รสตามพอใจ
เสร็จแล้วแนวทางการทำน้ำตะไคร้
วิธีทําน้ําตะไคร้ใบเตย
น้ำตะไคร้ การทําน้ําตะไคร้ใบเตยนั้นสิ่งแรกให้ตระเตรียมวัตถุดิบดังต่อไปนี้ ตะไคร้ 2 ต้น / ใบเตย 3 ใบ / น้ำ 1-2 ลิตร / น้ำตาลแดง 2 ช้อนชา (จะใส่หรือไม่ก็ได้)
นำตะไคร้มาทุบให้แหลกพอควร แล้วใช้ใบเตยผูกตะไคร้ไว้ให้เป็นก้อน
ใส่ตะไคร้และใบเตยลงไปในหม้อแล้วเพิ่มเติมน้ำ 1 ถึง 2 ลิตร แล้วต้มให้เดือดสักโดยประมาณ 5 นาที เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อยสำหรับวิธีการทําน้ํา ตะไคร้
โดยตะไคร้รวมทั้งใบเตยชุดเดียวกัน สามารถเพิ่มเติมน้ำสุกใหม่ได้ 2-3 รอบ แต่รสบางทีอาจจืดชืดลงไปบ้าง เอามาดื่มแทนน้ำช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวา แถมช่วยบำรุงสุขภาพอีกด้วย
คุณประโยชน์ทางโภชนาการของตะไคร้
การเรียนของตะไคร้ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่ มีสารอาหารสำคัญประกอบด้วย โปรตีน 1.2 กรัม ไขมัน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม เส้นใย 4.2 กรัม แคลเซียม 35 มิลลิกรัม ธาตุฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม เหล็ก 2.6 มิลลิกรัม วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม ไทอามีน 0.05 มก. ไรโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม ไนอาสิน 2.2 มก. วิตามินซี 1 มิลลิกรัม รวมทั้ง ขี้เถ้า 1.4 กรัม
โทษของตะไคร้
พิษของน้ำมันตะไคร้ จำนวนน้ำมันตะไคร้ ที่ทำให้หนูขาวตายที่กึ่งหนึ่งของปริมาณหนูขาวทั้งปวง ด้วยการให้ทางปาก  ที่ความเข้มข้น 5,000 มก./กิโล รวมทั้งการให้น้ำมันหอมระเหยทางกระเพาของกินแก่กระต่ายที่ทำให้กระต่ายตายที่กึ่งหนึ่ง พบว่า มีจำนวนความเข้มข้นเดียวกันกับการให้แก่หนูขาว พิษเฉียบพลันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้น 1,500 ppm ในระยะเวลา 60 วัน กลับทำให้พบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีการเติบโตเร็วกว่ากลุ่มที่ไม้ได้รับ และก็ค่าทางเคมีของเลือดไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

Tags : ประโยชน์ตะไคร้

หน้า: [1]