รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - nainai1199o

หน้า: [1]
1

พญายอ
พญายอเป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถาแล้วก็ใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกไม้เป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้สวยในดินที่บริบูรณ์ แสงอาทิตย์ปานกลาง มักพบตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ ฯลฯไม้ที่ปลูกง่าย ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาก็ดีแล้วก็ย้ายไปปลูกไว้ในแปลง ดูแลรักษาราวกับ พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกึ่งกลางที่บริบูรณ์ ไม่แก่หรือเปล่าอ่อนจนถึงเกินไป ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” ตระกูลสถิต ฉั่วกุล รวมทั้งคณะได้เรียนพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านพิษงูยังไม่แน่ชัด แต่ปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ว่าไม่มีไข้) จากแมลงที่เป็นพิษกัดต่อย ยกตัวอย่างเช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำอย่างละเอียด เติมแอลกอฮอล์พอชุ่มยา ตั้งทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกวี่ทุกวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ รวมทั้งกากทาบรอบๆที่ปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
พญายอ หรือ เสมหะพังพอน เนื่องจากเสมหะพังพอนมีตลอดตัวผู้ละตัวเมีย แต่ตัวผู้ไม่นิยมประยุกต์ใช้เนื่องมาจากมีฤทธิ์อ่อน และก็เพื่อไม่ให้งงก็เลยเรียกเสลดพังพอนตัวเมียว่า "พญายอ" ส่วนมากนำมาทำเป็นยาสมุนไพรไทยจัดอยู่ในกลุ่มพืชถอนพิษ  “พญายอ” เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาทารักษาด้านนอก มีสรรพคุณบรรเทาการอักเสบของผิวหนังก้าวหน้า  มีฤทธิ์ลดการอักเสบ มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส
คุณสมบัติของผงพญายอสำหรับในการบำรุงผิวพรรณ
- ใช้แก้สิวเม็ดผื่นผื่นคัน ด้วยการนำมาดองกับเหล้า แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวรวมทั้งเม็ดผื่นผื่นคัน
- ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ผสมกับสุราใช้เป็นยาแก้ผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ลมพิษ แผลไฟลุกน้ำร้อนลวก
- ใช้รักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวก พญายอมีคุณประโยชน์ช่วยดับพิษร้อนได้ดิบได้ดี
- อีกตำรากล่าวว่านอกเหนือจากการที่จะใช้รักษาแผลไฟลุกน้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลยุ่ยเนื่องจากถูกแมงกะพรุนไฟ แผลหมากัด และแผลที่เกิดขึ้นมาจากการถูกกรดได้อีกด้วย
- ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย นำมาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองเจริญ ทำให้แผลแห้งไว
- ใช้แก้ฝี ด้วยการผสมกับเกลือและก็เหล้า ใช้พอกรอบๆที่เป็น เปลี่ยนแปลงยาทุกเช้าตรู่และเย็น
- ใช้เป็นยาขับพิษ ทำลายพิษ โดยยิ่งไปกว่านั้นพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย อย่างเช่น งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง ฯลฯ
- พญายอ ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังประเภทเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ไฟลามทุ่ง รวมทั้งใช้เป็นยาถอนพิษต่างๆเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลและเอากากพอกบริเวณแผล
- มีฤทธิ์แก้อาการแพ้ ลดการอักเสบ สามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้
- มีฤทธิ์ลดความเจ็บปวด ช่วยลดอาการปวด
- มีฤทธิ์ต้านไวรัสก้าวหน้าและไม่เป็นพิษต่อเซลล์

ขั้นตอนการพอกขัดผิวด้วยผงพญายอ

  • ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าล้างตารวมทั้งถูเครื่องแต่งหน้าให้สะอาดก่อนกรรมวิธีการขัดพอกผิว
  • ใช้ผสมกับน้ำที่สะอาด (หรือ ผงสมุนไพรอื่นๆน้ำผึ้ง น้ำนม หรือโยเกิร์ต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ)
  • สามารถใช้พอกหรือขัดได้ทั้งยังผิวหน้าและก็ผิวกาย เป็นประจำ อาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง


     - สำหรับผิวหน้า พญายอถ้าหากเป็นสิวอักเสบ ห้าม ขัดโดยเด็ดขาด ให้ใช้เป็นการพอกผิวแทน เพื่อไม่ให้เชื้อสิวลามไปทั่วบริเวณใบหน้า รวมทั้งเพื่อไม่ให้เป็นการก่อกวนผิวหน้ามากเกินความจำเป็น พอกทิ้งเอาไว้ราว 15 นาที
     - ถ้าหากใช้ขัด (สำหรับคนที่ไม่เป็นสิว และก็ผิวกาย) ให้ขัดให้เบาไม้เบามือที่สุด ราวเพียงแค่ลูบพยายามจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย ห้ามกดแรงลงบนนิ้วขณะขัด และก็ให้ขัดเพียงแค่ 5 นาทีก็พอเพียงที่สารสำคัญจะออกฤทธิ์แล้ว เมื่อครบ 5 นาทีให้พอกทิ้งไว้จนกระทั่งแห้ง (อาจใช้ช่วงเวลาพอกทิ้งไว้ราวๆ 15 นาที)

  • พญายอ ภายหลังแห้งแล้ว ให้ทำความสะอาดโดยการล้างด้วยน้ำปกติ (ไม่สมควรใช้น้ำอุ่น) ล้างแบบเบาที่สุดหรือให้เปิดฝักบัวเบาๆและก็ปลดปล่อยให้น้ำรดผ่านผิวไปสัก 2-3 นาที แล้วก็ใช้ฝ่ามือลูบให้ค่อยที่สุด โดยใช้หลักการล้างเดียวกับการขัดหน้าหมายถึงเพียรพยายามจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย
  • ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว ซับหน้าให้แห้ง


Tip  เพื่อการบำรุงที่เพิ่มขึ้น เมื่อพอกหรือขัดผิวด้วยผงสมุนไพรแล้ว ให้เอาน้ำผึ้งผสมน้ำกินธรรมดาในอัตราส่วน 1 ช้อนชาเสมอกัน ทาให้ทั่วผิวหน้า แล้วนวดวนเบาๆทั่วบริเวณใบหน้าสักเล็กน้อย ทิ้งน้ำผึ้งไว้ 10 นาที ก็ล้างออก เพื่อเป็นการคืนความสดชื่นให้แก่ผิว อีกทั้งช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มรวมทั้งกระจ่างขาวใส มองอ่อนกว่าวัยเพิ่มขึ้น http://www.disthai.com/

2

สมุนไพรพญายอ
ชื่อสมุนไพร พญายอ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau
ชื่อวงศ์ ACANTHACEAE
ชื่อพ้อง Clinacanthus burmanni  Nees
ชื่ออังกฤษ ไม่มี
ชื่อเขตแดนผักมันไก่  ผักลิ้นเขียด  พญาบ้องคำ  พญาบ้องดำ พญายอ  โพะโซ่จาง  เสลดพังพอนตัวเมีย


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์


          ไม้พุ่มคอยเลื้อย ลำต้นและแขนงหมดจดเป็นเงา สูงได้ถึง 3 เมตร ใบเดี่ยวออกเรียงตรงกันข้าม รูปขอบขนานหรือขอบขนานแกมใบหอก กว้าง 2-3 ซม. ยาว 7-9 เซ็นต์ โคนใบมน ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 0.5 เซนติเมตร ดอกเป็นช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายยอด กลีบสีส้มแดงเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น 2 ปาก ยาว 3-4 ซม. ไม่ติดฝัก


ส่วนที่ใช้เป็นยาแล้วก็สรรพคุณ


-ส่วนใบ รักษาอาการเนื่องจากว่าแมลงกัดต่อยและก็โรคเริม


สารสำคัญที่ออกฤทธิ์


สารฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกลุ่ม monoglycosyl diglycerides อย่างเช่น 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol และสารกรุ๊ป glycoglycerolipids จากใบ  มีฤทธิ์ยั้งเชื้อไวรัสเริม


ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา


ฤทธิ์ลดการอักเสบ
       เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยเอ็นบิวทานอลให้หนูแรท  หรือฉีดสารสกัดด้วยน้ำจากใบเข้าท้องของหนูแรท  จะลดการอักเสบของข้อเท้าหนูแรทที่ทำให้บวมด้วยสารคาราจีแนน (carrageenan) ได้   ตำรับยาที่มีพญายอร้อยละ 5  ใน cold cream แล้วก็สารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ เมื่อนำมาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะสามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้  แม้กระนั้นเมื่อใช้สารสกัดด้วยนเอ็นบิวทานอลทาที่ผิวหนังจะไม่ได้ผล
ฤทธิ์ลดอาการปวด
                 เมื่อให้หนูเม้าส์กินสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบ จะลดความเจ็บของหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้ปวดด้วยกรดอะซีตำหนิค  โดยสารสกัดความแรง 90 มก./โล จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มิลลิกรัม/โล (5)  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม (2)  สารสกัดด้วยน้ำ และก็สารสกัดด้วยเอทานอล 50% จากใบ (3) ไม่เป็นผลลดความเจ็บปวด

ฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส
ไวรัสเริม
       พญายอสารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล และก็เอทิลอะซิเตทจากใบ มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัสเชื้อเริม HSV-1  รวมทั้งเมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 4 แล้วก็ใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล  พบว่า มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสก้าวหน้าและไม่เป็นพิษต่อเซลล์  ในเวลาที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะเป็นพิษต่อเซลล์
                 จากรายงานการรักษาผู้เจ็บป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ชนิดเป็นซ้ำด้วยยาจากสารสกัดพญายอ เปรียบเทียบกับยา acyclovir  และยาหลอก  โดยให้ผู้ป่วยป้ายยาวันละ 4 ครั้ง ตรงเวลา 6 วัน พบว่าไม่ได้มีความแตกต่างในระยะเวลาการตกสะเก็ดของแผลผู้เจ็บป่วยที่ใช้ยาจากสารสกัดใบพญายอรวมทั้งยา acyclovir   โดยแผลจะเป็นสะเก็ดภายใน 3 วัน รวมทั้งหายสนิทด้านใน 7 วัน ซึ่งแตกต่างกันกับยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ ยาที่สกัดจากใบพญายอไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอักเสบ ระคาย ตอนที่ acyclovir ทำให้แสบ   นอกนั้นมีการใช้ยาที่ทำจากพญายอ ในคนป่วยโรคเริม งูสวัด และก็แผลอักเสบในปาก พบว่าสามารถรักษาแผลรวมทั้งลดการอักเสบเจริญ   
ไวรัส Varicella zoster
                 สารสกัดจากใบพญายอออกฤทธิ์ทำลายไวรัส Varicella zoster ที่เป็นต้นเหตุโรคงูสวัดแล้วก็อีสุกอีใสได้โดยตรงก่อนที่ไวรัสจะเข้าสู่เซลล์
จากรายงานการดูแลและรักษาคนเจ็บโรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอเปรียบเทียบกับยาหลอก  โดยให้ทายาวันละ 5 ครั้ง ตรงเวลา 7-14 วัน จวบจนกระทั่งแผลจะหาย  พบว่าคนเจ็บที่รักษาด้วยสารสกัดจากใบพญายอ แล้วมีแผลเป็นสะเก็ดข้างใน 3 วัน และหายข้างใน 7-10 วัน จะมีไม่น้อยเลยทีเดียวกว่ากลุ่มที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ ระดับความเจ็บต่ำลงเร็วกว่ากลุ่มยาหลอก และไม่เจอผลข้างเคียงใดๆก็ตาม


อาการข้างๆ


ความเป็นพิษทั่วไปและต่อระบบสืบพันธุ์


การทดสอบความเป็นพิษ
เมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบให้หนูเม้าส์ พบว่าเป็นพิษน้อย แต่มีพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าช่องท้อง  ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัม/โล (หรือเสมอกันใบแห้ง 5.44 กรัม/โล) เมื่อป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าท้องหนูเม้าส์ ไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการพิษใดๆ
การเรียนพิษ
พญายอครึ่งเรื้อรัง พบว่าเมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบขนาด 270 มก./กก. และก็ 540 มก./กก. วันแล้ววันเล่า นาน 6 อาทิตย์ พบว่าไม่มีผลต่อการเจริญเติบโต แต่น้ำหนักต่อมธัยมัเศร้าใจลง ขณะที่น้ำหนักตับมากขึ้น ไม่เจอความผิดปกติต่ออวัยวะอื่น และไม่พบอาการไม่ปรารถนาใดๆ หนูแรทที่รับประทานสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1 กรัม/โล ทุกวี่วันนาน 90 วัน พบว่าการกินของกินของกลุ่มที่ได้รับสารสกัดรวมทั้งกลุ่มควบคุมไม่ต่างอะไรกัน แต่ว่าน้ำหนักของหนูเพศผู้ที่ได้สารสกัดขนาด 1.0 กรัม/กก. ต่ำยิ่งกว่าพญายอกรุ๊ปควบคุม  เกร็ดเลือดของหนูแรททั้งคู่เพศสูงยิ่งกว่า และครีอาติเตียนนินต่ำยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม  แต่ไม่เจอความไม่ดีเหมือนปกติด้านจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน และพยาธิภาวะด้านนอกhttp://www.disthai.com/

3
อื่น ๆ / ความเป็นมาของต้นราชพฤกษ์
« เมื่อ: สิงหาคม 16, 2018, 12:00:59 PM »

ราชพฤกษ์
ที่มาที่ไปของต้นราชพฤกษ์
   จากสมัยก่อนก่อนหน้านี้กว่า 50 ปี ทางด้านราชการมีความพากเพียรหลายคราสำหรับเพื่อการกำหนดให้มีสัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยยิ่งไปกว่านั้นการกำหนด ต้นไม้ และก็ ดอกไม้ ประจำชาติ เริ่มต้นที่กรมป่าไม้ได้เชิญให้ประชาชนพอใจต้นราชพฤกษ์หรือคูณมาตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2494 โดยรัฐบาลมีมติให้ถือวันที่ 24 เดือนมิถุนายน เป็นวันต้นไม้รายปีของชาติ (arbour day) มีการเชิญให้ปลูกต้นไม้ที่มีสาระชนิดต่างๆจำนวนมาก ในเวลาเดียวกันก็ได้มีการเสนอว่า ต้นราชพฤกษ์ คงจะถือเป็นต้นไม้ประจำชาติ
ราชพฤกษ์
   กระทั่งในปี พ.ศ.2506 มีการสัมมนาเพื่อระบุเครื่องหมายต้นไม้และก็สัตว์ประจำชาติเป็นครั้งแรก โดยกรมป่าไม้ได้เสนอให้ ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูณ พืชที่มีความมงคลที่มีสาระแล้วก็รู้จักกันอย่างแพร่หลายเป็นต้นไม้ประจำชาติ สำหรับสัตว์ประจำชาติก็คือ ช้างเผือก สัตว์ที่มีคุณค่าเกี่ยวโยงกับจารีตประเพณีไทยรวมทั้งประวัติศาสตร์ไทยมายาวนาน การเสนอตอนนั้นไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุนี้ตลอดเวลาก่อนหน้านี้เครื่องหมายที่บอกถึงความเป็นเอกราชยก็เลยมีนานาประการ ตั้งแต่สถานที่สำคัญๆ สัตว์ ดอกไม้ ที่ชาวไทยคุ้นเคยรวมทั้งประสบพบเห็นบ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น พระปรางค์วัดใกล้รุ่งฯ เรือสุพรรณหงส์ ดอกบัว ดอกมะลิ ดอกพุทธรักษา แมวไทย เหมือนกับ ต้นราชพฤกษ์ และก็ ช้างเผือก ยังคงถูกยกย่องให้เป็นเครื่องหมายประจำชาติตลอดมา
            ปี พุทธศักราช2530 มีการเกื้อหนุนให้ปลูกต้นราชพฤกษ์อีกที เพื่อเป็นการสรรเสริญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยมีการส่งเสริมให้ปลูกต้นราชพฤกษ์ทั่วราชอาณาจักรปริมาณ 99,999 ต้น เดี๋ยวนี้จึงมีต้นราชพฤกษ์อยู่จำนวนมากทั่วราชอาณาจักรไทย
            ผลสรุปเรื่องเครื่องหมายประจำชาติดูเหมือนจะยังคลุมเครือ จนถึงตอนปี พุทธศักราช2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้นำเรื่องดังกล่าวข้างต้นกลับมาเสนออีกครั้ง และก็มีบทสรุปเสนอให้มีการระบุเครื่องหมายประจำชาติ 3 สิ่งเป็น ดอกไม้ สัตว์แล้วก็สถาปัตยกรรม รวมทั้งการพินิจพิเคราะห์ก่อนหน้านี้เสนอให้ระบุดอกไม้ประจำชาติเป็น ดอกราชพฤกษ์ สัตว์ประจำชาติหมายถึงช้างไทย และสถาปัตยกรรมประจำชาติคือ ศาลาไทย
            เหตุที่เลือก ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติด้วยเหตุว่ามีความเหมาะสมในหลายๆด้านหมายถึงเป็นดอกไม้จากต้นไม้ที่ถูกเสนอให้ฯลฯไม้ประจำชาติเมื่อครั้งที่กรมป่าไม้เสนอไว้ เป็นต้นไม้ที่มีอายุยืน แข็งแรง ปลูกขึ้นก้าวหน้าทั่วทุกภาคของประเทศ ฯลฯไม้พื้นบ้านที่รู้จักแพร่หลาย มีชื่อเรียกหลายชื่อไม่เหมือนกันในแต่ละภาค ดังเช่น ราชพฤกษ์ คูน อ้อดิบ ราชพฤกษ์เป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลใช้ประโยชน์ในพิธีการหลักๆดังเช่น ลงหลักเมือง ลงเสาเอก ทำคฑาจอมพลรวมทั้งยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร ในฤดูร้อนราชพฤกษ์จะออกดอกสะพรั่งอีกทั้งต้น ช่อดอกมีรูปทรงสวยสดงดงาม สีเหลืองอร่ามเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธอันเป็นศาสนาประจำชาติ รวมถึงเป็นสีเดียวกับวันพระราชการบังเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นอกเหนือจากนั้นความสวยงามของช่อดอก และความหมายที่ดียังถูกจำทดลองแบบแต่งแต้มไว้บนอินทรธนูของข้าราชการพลเรือนอีกด้วย
ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติไทย
ส่งดอกไม้ประจำชาติไทย คือ ดอกราชพฤกษ์ (Golden shower) หรือ ชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ของ ดอกราชพฤกษ์หมายถึงCassia fistula
           ดอกไม้สีเหลืองอร่ามที่พบได้บ่อยมองเห็นได้ทั่วๆไปตามริมถนนสายต่างๆคือสีสันของ ดอกราชพฤกษ์ หรือ ดอกคูน ต้นไม้มงคลที่ได้รับการเชิดชูให้เป็น ดอกไม้ประจำชาติไทย ทั้งมั่นใจว่าเป็นต้นไม้ที่ปลูกไว้แล้วจะเสริมให้คนในบ้านมีเกียรติยศชื่อ เสียงมากขึ้นด้วย ยิ่งใกล้ไปสู่เวลาแห่งการเปิดประตูต้อนรับเพื่อนบ้านอาเซียนกันแล้ว ในวันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอนำเนื้อหาเกี่ยวกับดอกไม้ประจำชาติไทยอย่าง ดอกราชพฤกษ์ มาให้ทำความรู้จักกันแรง
ความเป็นมาดอกราชพฤกษ์
           ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน ฯลฯไม้ประจำถิ่นของเอเชียใต้ ตั้งแต่ประเทศปากีสถาน อินเดีย ประเทศพม่า รวมทั้งศรีลังกา โดยนิยมปลูกกันมากมายในเขตร้อน สามารถเจริญเติบโตได้ดีในที่โล่งแจ้ง และก็มีชื่อเสียงในประเทศไทยมาหลายสิบปี โดยมีการเสนอให้ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทยตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2506 แต่ว่าก็ยังมิได้บทสรุปชัดเจน ตราบจนกระทั่งมีการเซ็นชื่อให้เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย เมื่อวันที่ 26 ต.ค. พุทธศักราช 2544

ดอกไม้ประจำชาติไทย
           เนื่องจากว่า ต้นราชพฤกษ์ ออกดอกสีเหลืองชูช่อ มองสง่างาม อีกทั้งยังมีสีตรงกับ สีทุกวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นไม้ของพระเจ้าแผ่นดิน" แล้วก็มีการเซ็นชื่อให้ต้นราชพฤกษ์ เป็นหนึ่งใน 3 สัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยมี 1. ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทย 2. ศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติไทย แล้วก็ 3. ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย
เหตุผลเลือกเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

  • เนื่องจากว่าเป็นต้นไม้ประจำถิ่นที่รู้จักกันอย่างล้นหลาม แล้วก็มีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย
  • มีประวัติเกี่ยวข้องกับจารีตประเพณีหลักๆในไทยและเป็นต้นพืชที่มีความมงคลที่นิยมปลูก
  • ใช้ประโยชน์ได้มากมาย ดังเช่น ใช้เป็นยารักษาโรค อีกทั้งยังคงใช้ลำต้นเป็นเสาเรือนได้ ฯลฯ
  • มีสีเหลืองแพรวพราว พุ่มงามเต็มต้น เทียบเป็นสัญลักษณ์แห่งศาสนาพุทธ
  • แก่ยืนนาน และทน
ลักษณะทั่วไป
           ฯลฯไม้ขนาดกลาง สูงราว 10-20 เมตร ออกดอกเป็นช่อสีเหลืองอร่าม แต่ละช่อยาวราวๆ 20-40 ซม. โดยกลีบจะเป็นสีเหลือง 5 กลีบ มีผลยาวราว 30-60 เซนติเมตร มีกลิ่นแรง และมีเม็ดที่เป็นพิษ
การปลูกดอกราชพฤกษ์
           นิยมปลูกด้วยเม็ด โดยจะมีการเจริญเติบโตช้าในตอน 1-3 ปีแรก แต่จากนั้นจะมีการเติบโตเร็วขึ้น และออกดอกตอนอายุโดยประมาณ 4-5 ปี
การดูแลและรักษา
           แสง : อยากแสงอาทิตย์จัด หรือที่โล่งแจ้ง และก็เจริญเติบโตเจริญในที่โล่งแจ้งเป็นพิเศษ
           น้ำ : ถูกใจน้ำน้อย ควรรดน้ำ 7-10 วันต่อครั้ง สามารถทนกับลักษณะอากาศร้อนเจริญ
           ดิน : สามารถเจริญเติบโตเจริญในดินที่ร่วนซุย ดินร่วนซุยคละเคล้าทราย หรือดินเหนียว
           ปุ๋ย : นิยมให้ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยหมัก ในอัตรา 2-3 กิโลต่อต้น รวมทั้งควรให้ปุ๋ยปีละ 3-4 ครั้ง
การขยายพันธุ์
           วิธีขยายพันธุ์ต้นราชพฤกษ์ที่นิยมหมายถึงการเพาะเม็ด โดยใช้เมล็ดสดๆมาขลิบด้วยกรรไกรตัดเล็บ แม้กระนั้นจำเป็นต้องเลือกขลิบบริเวณด้านป้าน เพราะว่าด้านแหลมจะมีต้นอ่อนอยู่ หลังจากนั้นนำไปแช่น้ำสะอาดทิ้งเอาไว้ผ่านวัน จึงค่อยเทน้ำออกให้เหลือปริมาณพอเพียงหล่อเลี้ยงเมล็ดได้ หลังจากนั้นทิ้งไว้อีกคืนก็จะเจอรากแตกออก แล้วก็สามารถนำลงปลูกได้เลย
ความศรัทธาเกี่ยวกับต้นราชพฤกษ์
           เชื่อว่าฯลฯไม้มงคล ที่ควรจะปลูกเอาไว้ภายในทิศตะวันตกเฉียงใต้ และถ้าหากปลูกเอาไว้ภายในบ้านจะช่วยทำให้ทรงเกียรติยศ เกียรติ และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางไสยเวท โดยใช้ใบทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ เพราะเหตุว่าเป็นไม้มงคลนาม http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรราชพฤษ์

4

ชื่อวงศ์ : LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassia fistula L.
ชื่อสามัญ : Golden shower, Indian laburnum, Pudding-pine tree
ชื่อท้องถิ่นอื่น : ลมแล้ง (ภาคเหนือ) ; ปูโย, เปอโซ, ปือยู, แมะหล่าหยู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ; คูณ (ภาคกลาง, ภาคเหนือ) ; ชัยพฤกษ์, [url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์[/url][/url][/color] (ภาคกึ่งกลาง) ; กุเพยะ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี)
ประเภทนี้ตำราเรียนหลังเล่มเสนอ ชื่อใหม่เป็นเพียงแต่ระดับประเภทย่อย คือ Cassia javanica L.subsp javanica K.& S.S .Larsen พืชประเภทนี้เป็นต้นไม้ขนาดเล็ก ถึงกับขนาดกลาง สูงได้ถึง ๑๕ เมตร เมื่อลำต้นอย่างอ่อนอยู่มีน้ำแข็งที่เกิดขึ้นจากกิ่งแก่ที่ร่วงหล่นไป แม้กระนั้นเมื่อต้นแก่ขึ้นจะหายไป ลำต้นไม่เป็นปุ่มปม ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับกัน มีใบย่อย ๕-๑๕ คู่ ก้านใบยาว ๑.๕-๔ เซนติเมตร ศูนย์กลางใบยาว ๒๐-๓๐ เซนติเมตร ใบย่อยรูปไข่แกมรูปมูลหรือรูปขอบขนาน กว้าง ๑.๕-๓ เซนติเมตร ยาว ๒-๕ เซนติเมตร ปลายใบกลมหรือมน โคนใบกลม ใต้ใบมีขนละเอียดอยู่เอนราบกับผิวใบ ก้านใบย่อยสั้นมากมาย ดอกออกเป็นช่อตามกิ่ง ก้านช่อดอกใหญ่แล้วก็แข็ง ไม่แตกกิ่งก้านสาขา ยาว ๕-๑๖ เซนติเมตร เมื่อเริ่มบานมีสีชมพูแล้ว เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม เมื่อใกล้โรยกลายเป็นสีออกขาว ดอกย่อยมีก้านเรียวยาว ๓-๕ เซนติเมตรราชพฤกษ์ มีกลีบเลี้ยงมี สีแดงเข้มถึงสีแดงอมน้ำตาล รูปไข่ ปลายแหลม ยาว ๗-๑๐ มม.กลีบดอกไม้รูปไข่กลับ กว้าง ๗-๘ มิลลิเมตร ยาว ๒๕-๓๕มิลลิเมตร โคนกลีบเป็นก้านยาวราว ๓ มิลลิเมตร  เกสรเพศผู้มี ๑๐ อัน ขนาดยาวแตกต่างกัน รังไข่เรียว ขนหุ้มบางๆผลเป็นฝักรูปกระบอกขนาดวัดผ่าศูนย์กลางราม ๑-๑.๕ ซม. ยาว ๒๐-๖๐ ซม. ห้อยลงมาจากกิ่ง ฝักแก่สีดำ หมดจด ไม่มีขน ไม่แตก มีเมล็ดเยอะมาก และรูปแบนแทบกลม สีน้ำตาลเป็นเงา
ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์
ต้นไม้ (T) สูงประมาณ 5-15 เมตร เปลือกต้นเรียบ เกลี้ยง สีเทาอ่อนหรือสีเทาอมน้ำตาล สีเทาอมขาว หรือสีนวล
ใบ เป็นใบประกอบแบบขน ใบเรียงสลับ ลักษณะใบย่อยรูปไข่ ปลายใบแหลม ขอบของใบเรียบ โคนใบมน แผ่นใบสีเขียว มีใบย่อยราวๆ 4-12 คู่
ดอก มีดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะ เป็นช่อห้อยระย้าออกตามกิ่งหรือออกตามง่ามใบ มีดอกแบบสมมาตรด้านข้าง มีกลีบ 5 กลีบ สีเหลืองสด โดยกลีบดอกบนสุดจะเรียงอยู่รอบในสุด ดอกมีกลิ่นหอมสดชื่นอ่อนๆ
ผล เป็นฝักกลม ทรงกระบอกยาว ผิวเรียบ และมีเปลือกแข็ง ภายในมีฝาผนังแบนสีน้ำตาล กั้นเป็นห้องและมีเมล็ดห้องละ 1 เม็ด ผลอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือดำ
เม็ด มีเนื้อหุ้มห่อนิ่มๆสีน้ำตาลไหม้ หรือสีดำ ลักษณะกลมมนรวมทั้งแบน มีรสหวาน
นิเวศวิทยา
ขึ้นตามป่าเบญจพรรณแล้งทั่วไป มีมากมายทางภาคเหนือ นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับและปลูกข้างถนนเพื่อความสวย
การปลูกและขยายพันธุ์
ปลูกง่ายและเจริญเติบโตได้ในดินดูเหมือนจะทุกชนิด แม้กระนั้นจะถูกใจดินร่วนซุยผสมทราย เพาะพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและก็ตอนกิ่ง

คุณประโยชน์ทางยา
รสและก็คุณประโยชน์ในหนังสือเรียนยา
ราก รสเมา เป็นยาบำรุง รักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจ โรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี เป็นยาถ่ายอย่างแรง รักษาอาการไข้ ระบายพิษไข้ ถ่ายสิ่งโสโครกออกจากร่างกาย ทำลายเชื้อคุดทะราด แก้ขี้กลากโรคเกลื้อน แก้อาการเซื่องซึม หนักศีรษะ
เปลือกราก รสฝาด ต้มดื่มแก้ไข้ไข้มาลาเรียรวมทั้งระบายพิษไข้ ใช้ร่วมกับเนื้อในฝักเป็นยาแก้ไข้ไข้มาลาเรียแล้วก็เป็นยาระบาย
แก่น รสเมา ใช้เป็นยาขับพยาธิไส้เดือน รักษาอาการท้องเสีย แล้วก็ช่วยรีบคลอด
ราชพฤกษ์เปลือกต้น รสฝาดเมา ใช้เป็นยาช่วยรีบคลอด รักษาอาการท้องร่วง
กระพี้ รสเมา ใช้แก้โรครำมะนาด
ฝัก เนื้อในฝักรสหวานเอียน ใช้กินเป็นยาระบาย ช่วยทุเลาอาการแน่นหน้าอก ขัดหรือชำระน้ำดี แก้ลมเข้าข้อรวมทั้งขัดข้อ
เปลือกฝัก รสฝาดเมา ทำให้แท้งลูก ขับเกลื่อนกลาดที่ค้าง รวมทั้งทำให้อาเจียน
ใบแก่ รสเมา ใบสดหรือตากแห้ง ใช้เป็นยาถ่าย รักษาอัมพาต ฆ่าเชื้อโรคทั้งปวง ฆ่าพยาธิผิวหนัง รักษาอัมพาตของกล้ามเนื้อบนบริเวณใบหน้า พอกแก้ปวดข้อ หรือต้มน้ำกินแก้โรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับสมอง แก้เส้นเอ็นพิการ
ใบอ่อน รสเมา ตำพอกหรือคั้นเอาน้ำทารักษาโรคขี้กลากเกลื้อน แก้ไข้รูมาติก
ดอก รสเปรี้ยวขม ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร เป็นยาถ่ายพยาธิ ต้มดื่มแก้ไข้ แก้แผลเรื้อรัง ช่วยหล่อลื่นในลำไส้ ระบายท้อง
เมล็ด ช่วยกระตุ้นให้อาเจียน เป็นยาถ่าย
ราชพฤกษ์ วิธีรวมทั้งปริมาณที่ใช้
แก้ท้องผูก โดยเอาเนื้อในฝักแก่หนักราว 5-10 กรัม ต้มกับน้ำ 500 ซีซี ใส่เกลือน้อย ดื่มก่อนนอนหรือตอนเช้าก่อนอาหาร เป็นยาระบายที่เหมาะสำหรับผู้ที่ท้องผูกเป็นประจำ แล้วก็สตรีมีท้องก็ใช้ฝักคูณเป็นยาระบายได้
รักษาโรคกระเพาะอาหาร โดยใช้ฝักประมาณ 30 กรัม ผสมน้ำ 100 ซีซี ต้มให้เดือดแล้วก็เหลือน้ำ 50 ซีซี ดื่มให้หมดครั้งเดียว วันละ 3 ครั้ง http://www.disthai.com/

5
อื่น ๆ / ความเป็นมาของต้นราชพฤกษ์
« เมื่อ: สิงหาคม 15, 2018, 06:01:27 AM »

ราชพฤกษ์
ราชพฤกษ์ ชื่อสามัญ Golden shower, Indian laburnum, Pudding-pine tree, Purging Cassia
ราชพฤกษ์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cassia fistula L. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในสกุลย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)
สมุนไพรราชพฤกษ์ มีชื่อเขตแดนอื่นๆว่า กุเพยะ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), ปูโย ปีอยู เปอโซ แมะหล่าอยู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ลักเกลือ ลักเคย (กะเหรี่ยง), ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ (ภาคกึ่งกลาง), ต้นลมแล้ง (ภาคเหนือ), ราชพฤกษ์ (ภาคใต้), คูน (ทั่วๆไปเรียกและก็ชอบเขียนผิดหรือสะกดผิดเป็น “ต้นคูณ” หรือ “คูณ“) เป็นต้น
คำว่า “ราชพฤกษ์” หมายความว่า “ต้นไม้ของพระมหากษัตริย์” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของงานแสดงนิทรรศการพืชสวนโลกซึ่งจัดขึ้นเพื่อสังสรรค์ในวโรกาสอันเป็นมหามงคลที่พระเจ้าอยู่หัวของเราทรงครอบครองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปี
ต้นราชพฤกษ์ ต้นไม้ประจำชาติไทย
เมื่อปี พุทธศักราช2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติได้มีข้อแนะนำรวมทั้งสรุปให้มีการกำหนดเครื่องหมายประจำชาติ 3 สิ่ง ซึ่งประกอบไปด้วย ดอกไม้ สัตว์ และสถาปัตยกรรม ซึ่งจากการใคร่ครวญได้ข้อสรุปว่า ให้สัตว์ประจำชาติคือ “ช้างไทย” ส่วนในด้านสถาปัตยกรรมประจำชาติเป็น “ศาลาไทย” แล้วก็ในส่วนของดอกไม้ประจำชาติก็คือ “ดอกราชพฤกษ์” โดยมีเหตุผลสำหรับเพื่อการคัดเลือกดังนี้
ต้นคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์ จัดเป็นต้นไม้ประจำชาติไทย (ตามประกาศของกรมป่าไม้)ต้นไม้ราชพฤกษ์ เป็นต้นไม้ที่ชาวไทยทั่วๆไปรู้จักกันอย่างแพร่หลาย ในนามของ “ต้นคูน” สามารถพบเห็นได้ทั่วไปของทุกภาคในประเทศ
ต้นราชพฤกษ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับจารีตชาวไทยมาอย่างนาน เนื่องจากว่าเป็นพืชที่มีความมงคลนามรวมทั้งใช้สำหรับในการประกอบพิธีสำคัญๆต่างๆหลายพิธีการ เป็นต้นว่า พิธีการลงเสาหลักเมือง ทำคทาจอมพล ใช้ทำยอดธงชัยเฉลิมพล เป็นต้น
ต้นราชพฤกษ์นั้นสามารถประยุกต์ใช้ผลดีได้อย่างนานัปการ ดังเช่นว่า การใช้เป็นยาสมุนไพรหรือนำมาใช้ทำเป็นเสาบ้านเสาเรือนได้ ฯลฯ
ต้นราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่แก่ยืนนานรวมทั้งแข็งแรงทนทาน
ต้นราชพฤกษ์มีทรงแล้วก็พุ่มไม้ที่งดงาม มีดอกเหลืองสวยงามเต็มต้น ดูสวยสดงดงามยิ่งนัก
ดอกราชพฤกษ์มีสีเหลือง ซึ่งเป็นเครื่องหมายของชาติไทย เป็นเครื่องหมายที่พระพุทธศาสนา รวมทั้งยังเป็นเครื่องหมายของวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ยิ่งไปกว่านี้ตามตำราไม้มงคล 9 ชนิดยังกำหนดไว้ว่า ต้นราชพฤกษ์เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ ความมีอิทธิพลบุญบารมี มีโชคมีชัย
สมุนไพรราชพฤกษ์ กับการนำมาใช้รักษาโรคและก็อาการต่างๆโดยส่วนที่นำมาใช้เป็นคุณประโยชน์ทางยานั้น อาทิเช่น ส่วนของใบ ดอก เปลือก ฝัก แก่น กระพี้ ราก และก็เมล็ด ซึ่งสมุนไพรราชพฤกษ์ เป็นสมุนไพรที่สามารถใช้ได้ทั้งยังกับเด็ก สตรี รวมถึงคนสูงอายุ โดยไม่มีอันตรายใดๆ
รูปแบบของต้นราชพฤกษ์
ต้นราชพฤกษ์ (ต้นคูน) เป็นพืชพื้นเมืองในแถบเอเชียใต้ ไล่ตั้งแต่ทางตอนใต้ของประเทศปากีสถานไปจนกระทั่งประเทศอินเดีย ประเทศพม่า และประเทศศรีลังกา โดยจัดเป็นพรรณไม้ขนาดกลาง มีลำต้นสีน้ำตาลปนเทาสะอาด มักขึ้นทั่วๆไปตามป่าผลัดใบหรือในดินที่มีการถ่ายเทน้ำดี แพร่พันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดแล้วย้ายกล้ามาปลูกไว้ในถุงเพาะชำ เมื่อโตพอแล้วก็ย้ายมาปลูกในพื้นที่ แต่ในปัจจุบันบางครั้งอาจจะใช้กรรมวิธีทาบกิ่งรวมทั้งทิ่มยอดก็ได้ แม้กระนั้นโอกาสสำเร็จจะน้อยกว่ากรรมวิธีเพาะเมล็ด
ใบราชพฤกษ์ (ใบคูน) รูปแบบของใบออกเป็นช่อ ใบสีเขียวเป็นเงา ช่อหนึ่งยาวราว 2.5 เซนติเมตร และก็มีใบย่อยเป็นไข่หรือรูปป้อมๆราวๆ 3-6 คู่ ใบย่อยมีความกว้างราว 5-7 ซม. และก็ยาวประมาณ 9-15 เซนติเมตร โคนใบมนรวมทั้งสอบไปทางปลายใบ เนื้อใบบางสะอาด มีเส้นกิ้งก้านใบถี่รวมทั้งโค้งไปตามรูปใบ
ใบราชพฤกษ์
ดอกราชพฤกษ์ (ดอกคูน) มีดอกเป็นช่อ ยาวราวๆ 20-45 ซม. มีกลีบรองดอกรูปขอบขนาน มีความยาวราวๆ 1 เซนติเมตร กลีบมี 5 กลีบ หลุดหล่นได้ง่าย และกลีบดอกยาวกว่ากลีบรองดอกราว 2-3 เท่า รวมทั้งมีกลีบรูปไข่จำนวน 5 กลีบ บริเวณพื้นกลีบจะมองเห็นเส้นกลีบเด่นชัด ที่ดอกมีเกสรตัวผู้ขนาดต่างกันจำนวน 10 ก้าน มีก้านอับเรณูโค้งงอขึ้น ดอกชอบบานในตอนมีนาคมถึงพฤษภาคม แม้กระนั้นก็มีบางครั้งที่มีดอกนอกฤดูแบบเดียวกัน เป็นต้นว่า ในช่วงธันวาคมถึงม.ค.
ดอกราชพฤกษ์ดอกคูน
ผลราชพฤกษ์ หรือ ฝักราชพฤกษ์ (ฝักคูณ) ผลมีลักษณะเป็นฝักทรงกระบอกสะอาดๆฝักยาวราวๆ 20-60 ซม. แล้วก็วัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ราว 2-2.5 ซม. ฝักอ่อนจะมีสีเขียว ส่วนฝักแก่จัดจะมีสีดำ ในฝักจะมีฝาผนังเยื่อบางๆติดกันอยู่เป็นช่องๆตามขวางของฝัก แล้วก็ในช่องจะมีเม็ดสีน้ำตาลแบนๆอยู่ มีขนาดโดยประมาณ 0.8-0.9 เซนติเมตร
ฝักคูนฝักราชพฤกษ์
คุณประโยชน์ของราชพฤกษ์
ช่วยทำนุบำรุงโลหิตภายในร่างกาย (เปลือก)
สารสกัดจากลำต้นแล้วก็ใบของราชพฤกษ์มีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระ (ลำต้น, ใบ)
สารสกัดจากเม็ดมีฤทธิ์ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล (เมล็ด)
ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจหรือถุงน้ำดี (ราก)
ราชพฤกษ์มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้ (ราก)
ฝักราชพฤกษ์มีคุณประโยชน์ทางยาช่วยแก้ไข้ไข้มาลาเรีย (ฝัก)
ช่วยแก้ไข้รูมาติกด้วยการกางใบอ่อนเอามาต้มกับน้ำ (ใบ)
ฝักอ่อนมีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย มีกลิ่นเหม็นเบื่อ เย็นจัด สรรพคุณสามารถใช้ขับเสมหะได้ (ฝักอ่อน)
ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ (ฝัก)
เปลือกเม็ดและก็เปลือกฝักมีคุณประโยชน์ช่วยถอนพิษ ทำให้อาเจียน หรือจะใช้เม็ดโดยประมาณ 5-6 เม็ด เอามาบดเป็นผุยผงแล้วกินก็ได้ (เมล็ด, ฝัก)
ต้นราชพฤกษ์ สรรพคุณของกระพี้ใช้แก้ลักษณะของการปวดฟัน (กระพี้)
ในอินเดียมีการใช้ฝัก เปลือก ราก ดอก และก็ใบมาทำเป็นยา ใช้เป็นยาแก้ไข้และก็หัวใจ แก้อาการหายใจขัด ช่วยถ่ายของเสียออกจากร่างกาย แก้อาการเศร้าหมอง หนักศีรษะ หนักตัว ทำให้ชุ่มชื่นหน้าอก (เปลือก, ราก, ดอก, ใบ, ฝัก)
สรรพคุณราชพฤกษ์ช่วยแก้โรครำมะนาด (กระพี้, แก่น)
ช่วยรักษาเด็กเป็นตานขโมยด้วยการใช้ฝักแห้งราวๆ 30 กรัมนำมาต้มกับน้ำ (ฝัก)
ช่วยบรรเทาอาการแน่นหน้าอก (เนื้อในฝัก)
ฝักแก่ใช้เป็นยาระบาย ช่วยสำหรับในการขับถ่าย ทำให้ถ่ายได้สบาย ไม่มวนท้อง แก้ท้องผูก เหมาะสำหรับคนที่มีลักษณะท้องผูกเป็นประจำและสตรีมีท้อง เนื่องจากว่ามีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone glycoside) เป็นตัวช่วยระบาย สำหรับวิธีการใช้ ให้ใช้ฝักแก่ขนาดก้อนเท่าหัวแม่มือ (หนักราวๆ 4 กรัม) แล้วก็น้ำอีก 1 ถ้วยแก้วใส่หม้อต้ม แล้วผสมเกลือนิดหน่อย ใช้ดื่มก่อนที่จะกินอาหารยามเช้าหรือช่วงก่อนนอนเพียงแต่ครั้งเดียว (ฝักแก่, ดอก, เนื้อในฝัก, ราก, เม็ด)
เม็ดมีรสฝาดเมา สรรพคุณช่วยแก้ท้องเดิน (เม็ด)
ช่วยหล่อลื่นลำไส้ รักษาโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและก็แผลเรื้อรัง (ดอก)
ช่วยรักษาโรคบิด (เมล็ด)
สรรพคุณของราชพฤกษ์ ฝักช่วยแก้อาการจุกเสียด (ฝัก)
ช่วยให้กำเนิดลมเบ่ง ด้วยการใช้เมล็ดฝนกับหญ้าฝรั่น น้ำดอกไม้เทศ แล้วก็น้ำตาล แล้วนำมารับประทาน (เม็ด)
ฝักและใบมีคุณประโยชน์ช่วยขับพยาธิ ด้วยการใช้ฝักแห้งโดยประมาณ 30 กรัมเอามาต้มกับน้ำ (ใบ, ฝัก, เนื้อในฝัก)
ต้นคูณมีสรรพคุณช่วยขับพยาธิไส้เดือนในท้อง (แก่น)
เปลือกฝักมีรสขื่นเมา ช่วยขับรกที่ค้าง ทำให้แท้งลูก (เปลือกฝัก)
สารสกัดจากใบคูนมีฤทธิ์ช่วยต้านการเกิดพิษที่ตับ (ใบ)
สรรพคุณของคูน รากใช้แก้โรคโรคกุฏฐัง (ราก)
ใบสามารถนำมาใช้สำหรับการฆ่าเชื้อโรค เชื้อโรคบนผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราได้ (ใบ)
ช่วยฆ่าพยาธิผิวหนัง (ใบ)
รากนำมาฝนใช้ทารักษากลากโรคเกลื้อน และก็ใบอ่อนก็ใช้แก้กลากได้เช่นเดียวกัน (ราก, ใบ)
เปลือกแล้วก็ใบเอามาบดผสมกันใช้ทาแก้เม็ดผดผื่นตามร่างกายได้ (เปลือก, ใบ)
เปลือกมีคุณประโยชน์ช่วยแก้ฝี แก้บวม หรือจะใช้เปลือกแล้วก็ใบนำมาบดผสมกันใช้ทารักษาฝี (เปลือก, ใบ)
คูน คุณประโยชน์ของดอกช่วยแก้บาดแผลเรื้อรัง รักษาแผลเรื้อรัง (ดอก)
เปลือกราชพฤกษ์ สรรพคุณช่วยสมานรอยแผล (เปลือก)
ฝักคูณมีสรรพคุณช่วยแก้ลักษณะของการปวดข้อ (เนื้อในฝัก)
คนแขกใช้ใบนำมาตำ นำมาพอกแล้วนวด ช่วยแก้โรคปวดข้อและอัมพาต (ใบ)
ช่วยกำจัดหนอนแล้วก็แมลง โดยฝักแก่มีสารออกฤทธิ์ที่ส่งผลต่อระบบประสาทของแมลง เมื่อนำฝักมาบดผสมกับน้ำทิ้งไว้ราวๆ 2-3 วัน แล้วก็ใช้สารละลายที่กรองได้มาฉีดพ่นจะสามารถที่จะช่วยในการขจัดรอยคราบแมลงและหนอนในแปลงผักได้ (ฝักแก่)
สารสกัดจากรากราชพฤกษ์มีฤทธิ์ยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี Acetylcholinesterase
นอกจากนั้นยังมีการนำสมุนไพรราชพฤกษ์มาแปรรูปทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆมากมาย เป็นต้นว่า
น้ำมันนวดราชพฤกษ์ ที่ต้มมาจากน้ำมันจากใบคูน เป็นน้ำมันนวดสูตรร้อนหรือสูตรเย็น ที่ใช้นวดแก้อัมพฤกษ์อัมพาต แล้วก็จัดการกับปัญหาเรื่องเส้น
ลูกประคบราชตารู เป็นลูกประคบสูตรโบราณ ที่ใช้ใบคูนเป็นตัวยาตั้งต้น ประกอบไปด้วย ขมิ้นอ้อย เทียนดำ กระวาน รวมทั้งอบเชยเทศ โดยลูกประคบสูตรนี้จะใช้ปรุงตามอาการ โดยจะมองตามโรครวมทั้งความอยากเป็นหลัก ซึ่งแต่ละคนจะได้แตกต่างกัน
ผงพอกคูนคาดข้อ ทำมาจากใบคูนที่นำมาบดเป็นผง ช่วยแก้ลักษณะของการปวดเส้น อัมพฤกษ์อัมพาต โดยเอามาพอกบริเวณที่เป็นจะช่วยทำให้มีการเกิดการไหลเวียนของโลหิต ทุเลาลักษณะของการปวดข้อ รักษาโรคเกาต์ และยังช่วยลดอาการอักเสบได้อีกด้วย ซึ่งสูตรนี้สามารถใช้กับผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตบริเวณใบหน้าครึ่งด้าน ตาไม่หลับ มุมปากตกได้ด้วย
ชาสุวรรณาคา ทำมาจากใบคูน คุณประโยชน์ช่วยในด้านสมอง แก้ปัญหาเส้นเลือดตีบในสมอง ช่วยให้ระบบไหลเวียนภายในร่างกาย ช่วยแก้อัมพฤกษ์อัมพาต โดยเป็นตัวยาที่มีไว้ชงดื่มพร้อมกันไปกับการดูแลและรักษาแบบอื่นๆ

สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง !
:แนวทางการทำเป็นยาต้ม ควรต้มให้พอควรก็เลยจะได้ผลดี ถ้าต้มนานเหลือเกินหรือเกินกว่า 8 ชั่วโมง ยาจะไม่มีฤทธิ์ระบาย แต่ว่าจะทำให้ท้องผูกแทน และก็ควรเลือกใช้ฝักที่ไม่มากจนเกินความจำเป็น และยาต้มที่ได้ถ้าเกิดกินมากเกินความจำเป็นอาจจะก่อให้อาเจียนได้
คุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากราชพฤกษ์
นิยมปลูกไว้ฯลฯไม้ประดับตามสถานที่ต่างๆดังเช่นว่า สถานที่ราชการ รอบๆริมถนนข้างทาง และสถานที่อื่นๆ
ต้นราชพฤกษ์กับความเลื่อมใส ต้นราชพฤกษ์เป็นพืชที่มีความมงคลนามที่คนประเทศไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดที่ปลูกต้นราชพฤกษ์ไว้เป็นไม้ประจำบ้านจะช่วยทำให้มีเกียรติและเกียรติยศ สาเหตุเพราะว่าคนให้การเห็นด้วยว่าต้นราชพฤกษ์เป็นไม้ที่มีคุณค่าสูงรวมทั้งยังเป็นเครื่องหมายของเมืองไทยอีกด้วย และยังมั่นใจว่าจะมีผลให้ผู้อาศัยนั้นรุ่งเรือง โดยจะนิยมนำมาปลูกต้นราชพฤกษ์ในวันเสาร์รวมทั้งปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉใต้ของบ้าน (อาจเกิดจากด้านดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วได้รับแสงแดดจัดในตอนตอนบ่าย เลยปลูกไว้เพื่อช่วยลดความร้อนภายในบ้านและก็ช่วยลดการใช้พลังงาน)
ต้นราชพฤกษ์เป็นไม้มงคลแล้วก็ศักดิ์สิทธิ์ ใช้ทำเป็นน้ำพุทธมนต์ในพิธีกรรมต่างๆทางศาสนา เป็นต้นว่า พิธีวางศิลาฤกษ์ ใช้ทำเสาหลักเมือง เสาฤกษ์สำหรับการก่อสร้างพระตำหนัก ยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร คทาจอมพล ส่วนใบของต้นราชพฤกษ์จะใช้ทำเป็นน้ำพุทธมนต์ไว้สะเดาะเคราะห์ได้ผลลัพธ์ที่ดีนัก ฯลฯ
แก่นไม้ใช้ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ ด้ามเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆหรือทำเป็นไม้ไว้ใช้สอยอื่นๆดังเช่น ใช้ทำเสา เสาสะพาน ทำสากตำข้าว ล้อเกวียน คันไถ ฯลฯ
เนื้อของฝักแก่สามารถนำมาใช้แทนกากน้ำตาลสำหรับการทำเป็นหัวเชื้อจุลอินทรีย์และก็จุลชีพขยายได้
ฝักแก่สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเพื่อการหุงด้วยเตาเศรษฐกิจที่มีขนาดพอเหมาะ โดยไม่ต้องผ่า ตัด หรือเลื่อย
แหล่งอ้างอิง :
เว็บไซต์สำนักงานโครงการสงวนกรรมพันธุ์พืชสาเหตุจากความคิด สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, เว็บกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพืชพันธุ์, เว็บไทยโพส, ที่ทำการปรับปรุงเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (หน่วยงานมหาชน), งานมหกรรมแสดงนิทรรศการพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554, ที่ทำการกองทุนช่วยเหลือการผลิตเสริมสุขภาพ (สสส.) http://www.disthai.com/

6

กระเทียม
กระเทียม ชื่อสามัญ Garlic
กระเทียม ชื่อวิทยาศาสตร์ คือคำว่า Allium sativum L. จัดอยู่ในวงศ์พลับพลึง (AMARYLLIDACEAE) แล้วก็อยู่ในตระกูลย่อย ALLIOIDEAE (ALLIACEAE)
สำหรับในประเทศไทยนิยมปลูกมากในทางภาคเหนือรวมทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ว่าสำหรับกระเทียมที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพดี กลิ่นแรงอาจหนีไม่พ้นจังหวัดศรีสะผม
สรรพคุณของกระเทียม
ช่วยทำนุบำรุงผิวหนังให้มีร่างกายแข็งแรงและก็แข็งแรง
ช่วยสร้างเสริมการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในร่างกาย
ช่วยคุ้มครองป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลแล้วก็น้ำตาลในเลือด
ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
ช่วยแก้อาการเวียนหัวศีรษะ อาการงุนงง ปวดศีรษะ หูอื้อ
ช่วยในเรื่องระบบแพร่พันธุ์รวมทั้งระบบฟุตบาทปัสสาวะ ด้วยเหตุว่ามีสารที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนทั้งหญิงและชาย ช่วยให้มดลูกบีบตัว เพิ่มกำลังวังชาให้มีเรี่ยวแรง
ช่วยรักษาโรคความดันเลือด
ช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงของหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
ช่วยต้านทานเนื้องอก
ช่วยแก้ปัญหาศีรษะบาง ยาวช้า มีสีเทา
ช่วยคุ้มครองการเกิดรวมทั้งรักษาโรคโลหิตจาง
ช่วยสำหรับการขับพิษแล้วก็พิษอันตรายที่แปดเปื้อนในเม็ดเลือด
ช่วยปกป้องฝาผนังเส้นโลหิตหนาแล้วก็แข็ง
สารสกัดน้ำมันกระเทียมมีสารที่มีส่วนช่วยในการละลายลิ่มเลือด
ช่วยป้องกันการเกิดเส้นเลือดตัน
มีสารต่อต้านไม่ให้เม็ดเลือดแดงแตก
ช่วยบรรเทาอาการไอ น้ำมูกไหล คุ้มครองป้องกันหวัด
ช่วยรักษาโรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
ช่วยรักษาอาการเยื่อบุจมูกอักเสบและก็ไซนัส
ช่วยรักษาโรคไอกรน
ช่วยแก้อาการหอบ หืด
ช่วยรักษาโรคหลอดลม
ช่วยระงับกลิ่นปากกระเทียม
ช่วยสำหรับเพื่อการขับเหงื่อ
ช่วยในการขับเสลด
ช่วยควบคุมโรคกระเพาะ ด้วยสารที่ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยของกินมาย่อยแผลในกระเพาะ
ช่วยสำหรับเพื่อการขับลม
ช่วยรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง อาการท้องอืด ท้องอืดท้องเฟ้อ
ช่วยปกป้องโรคท้องผูก
ช่วยรักษาโรคบิด
ช่วยในการขับเยี่ยว
ช่วยในการขับพยาธิได้หลายชนิด อย่างเช่น พยาธิแส้ม้า พยาธิด้าย พยาธิหมุด พยาธิไส้เดือน เป็นต้น
ช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบประเภทร้ายแรงได้
ช่วยคุ้มครองการเกิดโรคไต
ช่วยฆ่าเชื้อโรครา เชื้อแบคทีเรียต่างๆรวมถึงเชื้อราตามหนังศีรษะรวมทั้งรอบๆเล็บ
ช่วยยับยั้งเชื้อต่างๆได้แก่ เชื้อที่กระตุ้นให้เกิดฝีหนอง คออักเสบ เชื้อปอดอักเสบ เชื้อวัณโรค ฯลฯ
ช่วยกำจัดพิษจากสารตะกั่วกระเทียมคุณประโยชน์
ช่วยรักษากลาก เกลื้อน
ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ บำรุงข้อต่อรวมทั้งกระดูกภายในร่างกาย
บรรเทาลักษณะของการปวดข้อและก็เมื่อยตามร่างกาย
ช่วยแก้อาการเคล็ดขัดยอกและเท้าพลิก เนื่องจากว่ามีสารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตมายังบประมาณริเวณที่นวดยาได้ดิบได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆนั่นเอง
มีสารต้านทานอาการไขข้ออักเสบ โรคข้อรูมาว่ากล่าวสซั่ม
กระเทียมมีกลิ่นแรงจึงสามารถช่วยไล่ยุงได้อย่างดีเยี่ยม
ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย เพิ่มความยากอาหาร
คุณประโยช์จากกระเทียม
คุณประโยชน์หลักๆของกระเทียมอาจหนีไม่พ้นการนำมาใช้เพื่อช่วยแต่งรสชาติของของกิน ไม่ว่าจะใช้ผัด แกง ทอด ยำ ต้มยำ หรือน้ำพริกต่างๆอีกสารพัน
กระเทียมเป็นเครื่องสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามินและก็แร่ธาตุหลายอย่าง แล้วก็ยังเป็นพืชที่ธาตุซีลีเนียมสูงขึ้นมากยิ่งกว่าพืชจำพวกอื่นๆทั้งยังยังมีสารอะดีโนซีน (Adenosine) ซึ่งเป็นกรดนิวคลีอิกที่เป็นตัวสร้าง DNA รวมทั้ง RNA ของเซลล์ในร่างกาย
นอกเหนือจากนี้ยังมีการนำกระเทียมไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆอย่างมากมาย ดังเช่นว่า กระเทียมเสริมอาหาร กระเทียมสกัดผง สารสกัดน้ำมันกระเทียม กระเทียมดอง ฯลฯ

คุณประโยชน์ทางโภชนาการของกระเทียมดิบ ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 149 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 33.06 กรัม
น้ำตาล 1 กรัม
เส้นใยอาหาร 2.1 กรัม
ไขมัน 0.5 กรัม
โปรตีน 6.36 กรัม
วิตามินบี 1 0.2 มิลลิกรัม 17%
วิตามินบี 2 0.11 มก. 9%
วิตามินบี 3 0.7 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 5 0.596 มก. 12%
วิตามินบี 6 1.235 มก. 95%
วิตามินบี 9 3 ไมโครกรัม 1%
วิตามินซี 31.2 มิลลิกรัม 38%
ธาตุแคลเซียม 181 มิลลิกรัม 18%
ธาตุเหล็ก 1.7 มก. 13%
ธาตุแมกนีเซียม 25 มิลลิกรัม 7%
ธาตุแมงกานีส 1.672 มก. 80%
ธาตุฟอสฟอรัส 153 มิลลิกรัม 22%
ธาตุโพแทสเซียม 401 มก. 9%
ธาตุสังกะสี 1.16 มก. 12%
ธาตุซีลีเนียม 14.2 ไมโครกรัม
% ร้อยละของจำนวนชี้แนะที่ร่างกายอยากได้ในทุกๆวันสำหรับคนแก่ (แหล่งที่มา : USDA Nutrient database)
คำเสนอแนะและข้อควรคำนึงในการใช้กระเทียม
กระเทียมยิ่งสดเท่าใดก็ยิ่งมีสรรพคุณที่ดีมากขึ้นเพียงแค่นั้น แม้กระนั้นสำหรับกระเทียมที่ผ่านความร้อนด้วยแนวทางต่างๆหรือผ่านการหมักดอง จะทำให้วิตามินรวมทั้งสารอัลลิซินที่มีอยู่ในกระเทียมนั้นสลายตัวไป
วิตามินและธาตุที่อยู่ในกระเทียมนั้น จะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นกับดินและสภาพภูมิอากาศที่ใช้เพื่อการเพาะปลูกอีกด้วย
สำหรับหญิงที่กำลังมีครรภ์หรือให้นมลูก ผู้ที่หรูหราน้ำตาลในเลือดปกติ หรูหราความดันเลือดปกติ ผู้ที่มีลักษณะอาการของเลือดหยุดไหลช้า รวมถึงคนที่ใช้ยาอื่นๆบ่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแอสไพริน ยาแก้อักเสบ ยาต่อต้านเชื้อไวรัส คุณไม่สมควรกินกระเทียมหรือสินค้ากระเทียมเสริมในปริมาณที่มากจนเหลือเกิน เนื่องจากว่าอาจก่อให้เป็นอันตรายต่อสภาพทางด้านร่างกายได้
สำหรับคนที่ได้รับกลิ่นของกระเทียมเสมอๆ อาจจะเป็นผลให้เกิดอาการแพ้กระเทียมเมื่อกินได้ โดยอาจจะมีอาการคลื่นไส้ รวมทั้งมีอาหารหัวใจที่เต้นแรงผิดปกติ แต่อาการดังที่กล่าวผ่านมาแล้วจะค่อยๆหายไปเองภายในช่วงเวลา 3-4 ชั่วโมง ซึ่งกระเทียมที่นำมาใช้ในการทำครัวมักจะนำมาซึ่งอาการแพ้ได้น้อยกว่ากระเทียมแบบสดๆ
สำหรับผู้ที่อยู่ในห้องครัวหรือผู้จะต้องใช้มือสัมผัสกับกระเทียมเป็นประจำรวมทั้งเป็นระยะเวลานาน อาจจะก่อให้ผิวหนังมีการอักเสบ มีตุ่มน้ำได้ ด้วยเหตุนี้คุณควรหลบหลีกการสัมผัสกระเทียมโดยตรงเสมอๆด้วยการสวมถึงมือทุกคราวในเวลาที่จะใช้กระเทียม
หากว่ากระเทียมจะเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์อยู่ล้นหลาม แต่ว่าคุณก็ไม่สมควรที่จะเลือกใช้กระเทียมเพื่อหวังผลในการรักษาอาการหรือโรคใดโรคหนึ่ง ทั้งผลสรุปที่ได้ในแต่ละบุคคลก็บางทีก็อาจจะต่างกันออกไป ด้วยเหตุนั้นคุณควรที่จะเลือกกินให้นานัปการรวมทั้งครบ 5 หมู่ จะเป็นช่องทางที่เหมาะสมที่สุด ด้วยเหตุว่าผักสมุนไพรธรรมดา ถ้าหากเรียนกันอันที่จริงแล้ว มันก็มีสาระมากพอๆกับกันเลย
ปัจจุบันในบ้านพวกเรายังไม่มีการรับรองว่ากระเทียมนั้นจะสามารถรักษาโรคได้จริง คงจะเป็นไปได้เพียงสมุนไพรหนทางสำหรับการรักษาและก็สมุนไพรเสริมสุขภาพเพียงแค่นั้นhttp://www.disthai.com/

7
อื่น ๆ / ตะไคร้มีประโยชน์มากกว่าที่คิด
« เมื่อ: สิงหาคม 10, 2018, 07:24:47 AM »

ตะไคร้
ตะไคร้ เป็นพืชสมุนไพรเขตแดนในประเทศแถบทวีปเอเชียเขตร้อน มีลักษณะคล้ายต้นหญ้าแล้วก็มีใบสูงยาวส่งกลิ่นเฉพาะตัว นอกจากประยุกต์ใช้ประกอบอาหาร ปรุงแต่งกลิ่นในของกิน รวมทั้งทำเครื่องดื่มแล้ว ตะไคร้ยังถูกนำไปใช้ในหลากสาขา อย่างเช่น อุตสาหกรรมสบู่ เครื่องแต่งหน้า การบำบัดด้วยกลิ่น หรือการสกัดเป็นยารักษา โดยมีความคิดว่าสารเคมีในตะไคร้ที่มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ อาจสามารถช่วยคุ้มครองปกป้องการเจริญเติบโตของแบคทีเรียกับยีสต์ได้ ช่วยลดอาการปวดเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ ทุเลาอาการปวดรวมทั้งลดไข้ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในระหว่างมีเมนส์ แล้วก็เป็นส่วนผสมในสารที่ช่วยไล่ยุงได้ เป็นต้น
ตะไคร้ ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cymbopogon citratus จัดเป็นพืชล้มลุกประเภทหนึ่ง มีลักษณะเป็นกอ มักนิยมนำมาปลูกไว้ตามบ้านแล้วก็เอามาทำกับข้าว เป็นสมุนไพรที่เป็นประโยชน์รวมทั้งช่วยทุเลาลักษณะของโรคบางจำพวกได้ แต่ว่าหารู้หรือไม่ว่าจริงๆแล้ว ภายใต้ต้นแข็งๆรวมทั้งใบที่คมของตะไคร้ยังแอบซ่อนคุณค่าเอาไว้มากจนคาดไม่ถึง วันนี้เราไปดูคุณประโยชน์ของตะไคร้ที่เข้าใจดีแล้วจำต้องตลึงที่เอามาจากเว็บไซต์ allwomenstalk กันดีกว่าจ้ะ คนใดกันแน่ที่ชอบกลิ่นหอมๆของมัน จะต้องยิ่งรักเจ้าสมุนไพรชนิดนี้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน
สรรพคุณของตะไคร้ ผลดีดีๆของสมุนไพรใกล้ตัว
อุดมไปด้วยวิตามิน
          อย่ารู้สึกว่าตะไคร้เป็นประโยชน์แค่ใช้ทำอาหารเพียงแค่นั้น เนื่องจากว่าอันที่จริงแล้วตะไคร้นั้นอุดมไปด้วยวิตามินและก็แร่ธาตุเยอะมาก ทั้งวิตามินเอ วิตามินซี รวมทั้งวิตามินบี ยิ่งกว่านั้นยังมีโฟเลต แมกนีเซียม สังกะสี ทองแดง ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมงกานีส โอ้โห้... วิตามินมากขนาดนี้คราวหน้าเจอตะไคร้ในของกินก็อย่าเขี่ยทิ้งนะ
ช่วยไล่แมลง
          นอกเหนือจากที่จะเอามาปรุงอาหารแล้ว ตะไคร้ยังมีสาระสำหรับในการไล่แมลงอีกด้วย เพราะว่าในตะไคร้มีน้ำมันหอมระเหยอยู่ทั้งยังในใบและก็ในลำต้น ซึ่งน้ำมันหอมระเหยเหล่านี้มีคุณสมบัติในการไล่แมลงได้อย่างดี จึงไม่น่าประหลาดใจที่พวกเราจะได้เห็นผลิตภัณฑ์สบู่ สินค้าไล่แมลงที่มีส่วนผสมของตะไคร้ขายอยู่ในท้องตลาดจำนวนมาก ผู้ใดกันแน่ที่ชอบกลิ่นตะไคร้ละก็ทดลองหามาใช้ได้นะคะ

ล้างสารพิษ
          สำหรับรักสุขภาพรวมทั้งชอบล้างพิษในร่างกายบ่อยๆไม่สมควรพลาดเจ้าตะไคร้เลยค่ะ เพราะเหตุว่ามันมีคุณสมบัติสำหรับเพื่อการล้างพิษภายในร่างกายด้วยกระบวนการทำให้คุณปัสสาวะหลายครั้งขึ้น เนื่องจากว่าสารเคมีที่อยู่ในตะไคร้จะช่วยชำระล้างระบบที่ทำหน้าที่ย่อยอาหาร เป็นต้นว่า ตับ ตับอ่อน ไต แล้วก็กระเพาะปัสสาวะ ขับพิษและกรดยูริกออกมาจากร่างกาย ทำให้ระบบที่ทำหน้าที่ย่อยอาหารของคุณสะอาดขึ้น รวมทั้งทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นจ้ะ
ตะไคร้ กับ 7 คุณประโยชน์
ช่วยสำหรับการย่อยอาหาร
          ตะไคร้ ช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารดำเนินการเจริญขึ้นจ้ะ เพราะว่ามีการเล่าเรียนหนึ่งพบว่าการดื่มเกิดไคร้จะช่วยสำหรับการย่อย ลดอาการปวดท้อง แก้หวัด ลดอาการตะคริวในไส้ และท้องเสียได้ นอกเหนือจากนี้ยังช่วยป้องกันรวมทั้งลดก๊าซในลำไส้ได้อีกด้วย
ช่วยซ่อมแซมแล้วก็บำรุงระบบประสาท
          มีการศึกษาจำนวนหลายชิ้นพบว่าตะไคร้สามารถช่วยปรับปรุงแก้ไขซ่อนแซมแล้วก็เสริมความแข็งแรงให้กับระบบประสาทได้ พิสูจน์ได้อย่างง่ายๆด้วยการนำน้ำมันหอมระเหยตะไคร้มาหยดลงบนผิว คุณจะรู้สึกได้ว่ามันอุ่นๆซึ่งมันจะทำให้กล้ามของคุณบรรเทามากมายรวมทั้งลดอาการตะคริวได้ แต่ก็อย่าลืมว่าเมื่อใดก็ตามจะใช้น้ำมันหอมระเหยตะไคร้คุณควรจะที่จะผสมมันกับน้ำมันตัวพา (Carrier oil) รวมทั้งห้ามใช้น้ำมันหอมระเหยโดยตรงกับผิวเด็ดขาดค่ะ
ตะไคร้
ช่วยรักษาอาการอักเสบ
          ตะไคร้สามารถช่วยทำให้คุณรู้สึกบรรเทาและก็ทุเลาอาการปวดต่างๆได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการอักเสบซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการปวดต่างๆได้แก่ ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ หรือการปวดตามข้อได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ถ้าเกิดคุณรู้สึกปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย ลองหาน้ำมันที่ผสมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้มานวดมองนะคะรับรองว่าหายแน่นอน
ช่วยทำนุบำรุงผิว
          ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเหตุนี้มันจึงสามารถช่วยทำนุบำรุงผิวของคุณได้ ทำให้ผิวของคุณส่งประกายความมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงออกมา แถมยังช่วยทำให้ผิวของคุณดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ และช่วยลดสิวต่างๆได้อีกด้วย
โทษของตะไคร้
พิษของน้ำมันตะไคร้ จำนวนน้ำมันตะไคร้ ที่ทำให้หนูขาวตายที่ครึ่งหนึ่งของจำนวนหนูขาวทั้งสิ้น ด้วยการให้ทางปาก  ที่ความเข้มข้น 5,000 มก./กิโลกรัม และก็การให้น้ำมันหอมระเหยทางกระเพาอาหารแก่กระต่ายที่ทำให้กระต่ายตายที่ครึ่งหนึ่ง พบว่า มีจำนวนความเข้มข้นเดียวกันกับการให้แก่หนูขาว พิษรุนแรงของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้น 1,500 ppm ในระยะเวลา 60 วัน กลับพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีการเติบโตเร็วกว่ากลุ่มที่ไคุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้
การศึกษาเล่าเรียนของตะไคร้ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่ มีสารอาหารสำคัญมี โปรตีน 1.2 กรัม ไขมัน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม เส้นใย 4.2 กรัม แคลเซียม 35 มก. ธาตุฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม เหล็ก 2.6 มิลลิกรัม วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม ไทอามีน 0.05 มก. ไรโบฟลาวิน 0.02 มก. ไนอาสิน 2.2 มก. วิตามินซี 1 มก. รวมทั้ง ขี้เถ้า 1.4 กรัมม้ได้รับ และค่าทางเคมีของเลือดไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร http://www.disthai.com/

8

ทับทิม
ทับทิม คือผลไม้ที่นิยมรับประทานอย่างแพร่หลาย โดยใช้ประโยชน์จากส่วนที่สำเร็จสดมากที่สุดและก็ยังนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆเป็นต้นว่า น้ำทับทิม สารสกัดจากทับทิม สินค้าด้านความสวยสดงดงาม ทั้งยังยังคงใช้ทำเป็นยารักษาโรคตามสูตรยาโบราณในหลายประเทศ
ทัมทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและก็สารพฤกษเคมีหลากหลายประเภทที่มีคุณประโยชน์ต่อสภาพร่างกาย ก็เลยมั่นใจว่าอาจมีคุณประโยชน์ในการคุ้มครองป้องกันโรคหรือทุเลาอาการ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังหรือทุเลาอาการหายใจติดขัดจากโรคนี้ โรคหัวใจและก็หลอดเลือด คอเลสเตอรอลสูง โรคในระบบทางเดินอาหาร โรคความดันโลหิตสูง โรคในโพรงปากแล้วก็โรคเหงือก โรคริดสีดวงทวาร โรคผิวหนัง และก็อื่นๆ
ในปัจจุบันยังมีงานศึกษาเรียนรู้วิจัยที่ศึกษาการใช้ทับทิมในแบบไม่เหมือนกันกับการดูแลรักษาโรคที่ค่อนข้างจะจำกัด ทำให้ยังไม่สามารถที่จะเจาะจงคุณภาพของทับทิมต่อการดูแลรักษาโรคได้ชัดแจ้ง ซึ่งตัวอย่างการเล่าเรียนเรื่องทับทิมกับโรคต่างๆมีดังนี้
โรคเส้นโลหิตแดงแข็ง ทับทิมคือผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว อย่างเช่น สารเอลลาจิแทนนิน (Ellagitannin) สารแทนนิน (Tannin) สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารโพลิฟีนอล (Polyphenol) ที่มั่นใจว่าช่วยยั้งปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระของไขมันไม่ดี ลดการผลิตโฟมเซลล์ แล้วก็ลดการแข็งตัวของหลอดเลือด ก็เลยบางทีอาจช่วยลดการเสี่ยงสำหรับในการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
จากการเรียนรู้ฤทธิ์การต้านสารอนุมูลอิสระของทับทิมในคนที่มีน้ำหนักเกินปริมาณ 22 คน จากการกินอาหารเสริมที่มีสารสกัดทับทิม วันละ 1,000 มก. (ประกอบด้วยกรดเอ็งลลิค 610 มิลลิกรัม) รวมทั้งวัดผลจากค่า TBARS ในเลือด (Thiobarbituric Acid Reactive Substances: TBARS) ซึ่งเป็นค่าการตรวจวัดฤทธิ์สำหรับการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ เพื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนจะมีการทดลอง พบว่าค่าดังกล่าวน้อยลง ก็เลยคาดว่าการรับประทานทับทิมอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจรวมทั้งเส้นเลือด
นอกเหนือจากนั้น ยังมีงานศึกษาเรียนรู้อีกชิ้นให้ผู้เจ็บป่วยโรคเส้นโลหิตแดงแข็งจำนวน 15 คน กินอาหารเสริมจากทับทิมเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไปรวมทั้ง 3 ปีขึ้นไป เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานอาหารเสริม ผลปรากฏว่า กรุ๊ปที่ทานอาหาร 3 ปีขึ้นไป มีระดับไขมันที่ลดน้อยลงราว 16% เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปอื่น ก็เลยทำให้เห็นว่าการรับประทานสารสกัดจากทัมทิมมากกว่า 3 ปี อาจมีส่วนช่วยสำหรับการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดแดงแข็ง ดังนี้ ยังคงต้องมีการเล่าเรียนเพิ่มในระยะยาวกับกรุ๊ปการทดลองขนาดใหญ่มากเพิ่มขึ้น ทำให้ยังไม่อาจจะสรุปผลของทับทิมและก็การดูแลรักษาโรคหลอดเลือดแดงแข็งได้อย่างชัดเจน
โรคเหงือกอักเสบ ทับทิมคือผลไม้อีกประเภทที่มีคุณลักษณะช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย ก็เลยถูกนำมาใช้เป็นตัวเลือกในการรักษาโรคเหงือก เนื่องจากว่าการดูแลและรักษาหลักบางแนวทางที่ยังไม่มีความสามารถพอเพียงสำหรับเพื่อการทุเลาอาการจากโรคมากซักเท่าไหร่และก็ลดการเสี่ยงด้านของสุขภาพจากการดูแลและรักษาโรคนี้โดยใช้สารเคมี
จากการทดลองทางคลินิกกับคนป่วยโรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง ปริมาณ 40 คน เพื่อดูคุณภาพของเจลสารสกัดจากทับทิมเป็นระยะเวลา 21 วัน โดยในแต่ละกรุ๊ปจะใช้แนวทางรักษาที่ต่างกัน ผลพบว่า กรุ๊ปที่ใช้เจลสารสกัดจากทับทิมพร้อมกันกับการดูแลรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยกรรมวิธีการขูดหินน้ำลาย เกลารากฟัน (Mechanical Debridement) มีลักษณะอาการดียิ่งขึ้นภายใน 7 วันแรก เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่เหลือสำหรับเพื่อการทดลอง ซึ่งเจลสารสกัดจากทับทิมจึงอาจนำไปปรับใช้เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากสำหรับผู้เจ็บป่วยโรคเหงือกอักเสบพร้อมกันกับการรักษาด้วยแนวทางรักษาที่เป็นมาตรฐานในอนาคต
สอดคล้องกับการทดสอบอีกชิ้นที่ศึกษาความสามารถของน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่ใช้ยาหลอกแบบเจลสำหรับเพื่อการรักษาคนที่เป็นโรคเหงือกอักเสบปริมาณ 32 คน พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ มีสุขภาพช่องปากและปัญหาโรคเหงือกอักเสบลดลงมากกว่ากรุ๊ปที่ใช้ยาหลอก การศึกษาค้นคว้าวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าสารสกัดจากทับทิมอาจนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์สำหรับการดูแลช่องปาก ดังเช่น ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยคุ้มครองปกป้องรวมทั้งทุเลาลักษณะของโรคเหงือกอักเสบ
คุ้มครองปกป้องการเกิดรอยเปื้อนจุลอินทรีย์ สารสกัดจากทับทิมมีประสิทธิภาพสำหรับในการลดคราบจุลชีพตามผิวฟัน รวมทั้งอาจทำให้เกิดโรคทางโพรงปากอีกหลายชนิด ซึ่งจากการทดลองให้อาสาสมัครที่มีสุขอนามัยในโพรงปากดี ปริมาณ 30 คน หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้ธรรมดา แต่สลับมาใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน (Chlorhexidine) และยาหลอกในแต่ละกลุ่ม โดยใช้บ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน ผลพบว่าอาสาสมัครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมมีอัตราการเกิดคราบเปื้อนจุลชีพน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญมากกว่ายาหลอก แต่ว่ามีคุณภาพไม่แตกต่างจากน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน จึงพอเพียงจะพูดได้ว่าสารสกัดจากทับทิมอาจลดช่องทางสำหรับในการกำเนิดคราบจุลชีพด้านในโพรงปาก
ขณะเดียวกัน การเล่าเรียนอีกชิ้นก็ชี้ว่าสารสกัดทับทิมคงจะมีส่วนช่วยสำหรับการลดการเกิดคราบจุลชีพ ซึ่งสำหรับการทดลองได้เก็บคราบจุลอินทรีย์จากโพรงปากของอาสาสมัครที่มีร่างกายแข็งแรงและกำลังจัดฟัน อายุ 9-25 ปี ปริมาณ 60 คน หลังงดเว้นแปรงฟันเป็นระยะเวลา 1 วัน เพื่อเทียบผลก่อนแล้วก็หลังการใช้น้ำยาบ้วนปากจำพวกแตกต่างกันในแต่ละกรุ๊ป เช่น น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน แล้วก็ยาหลอก ปรากฏพบว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิมมีประสิทธิภาพสำหรับในการลดคราบเปื้อนจุลินทรีย์ลงมากที่สุดราวๆ 84% รองลงมาเป็นน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน 79% และก็ยาหลอกที่น้อยลงเพียง 11% ก็เลยอาจกล่าวได้ว่าสารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและเป็นตัวเลือกในการใช้ขจัดคราบจุลอินทรีย์บนผิวฟัน ทั้งนี้ จากข้อมูลข้างต้นยังคงควรจะมีการติดตามผลในระยะยาวจากการใช้สารสกัดทับทิมอย่างสม่ำเสมอ เพราะช่วงเวลาในการทดสอบค่อนข้างสั้น
สภาวะคอเลสเตอรอลสูง ทับทิมมีคุณประโยชน์ที่กล่าวกันว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดี จากการศึกษาเล่าเรียนผลของการดื่มน้ำทับทิมเข้มข้น 40 กรัม ในคนไข้โรคเบาหวานชนิดที่ 2 รวมทั้งมีภาวการณ์ไขมันในเลือดสูงปริมาณ 22 คน เป็นระยะเวลา 8 อาทิตย์โดยระหว่างการทดสอบจะมีการเก็บข้อมูลอาหารที่รับประทานอาหารด้านใน 24 ชั่วโมง ทุกๆ10 วัน (รวมถึงอาหารที่มีสารฟลาโวนอยด์) ข้างหลังจบอาทิตย์ที่ 8 พบว่าผู้ป่วยหรูหราไขมันรวม ไขมันจำพวกไม่ดี อัตราส่วนของไขมันไม่ดีกับไขมันดี รวมทั้งอัตราส่วนของไขมันรวมกับไขมันดีที่มีสะสมอยู่ในเลือดน้อยลง แม้กระนั้นไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของระดับไตรกลีเซอไรด์รวมทั้งระดับความเข้มข้นของไขมันดี ซึ่งทำให้เห็นว่าน้ำทับทิมอาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจโดยลดระดับไขมันในผู้เจ็บป่วยเบาหวานลง แต่ว่ายังบอกไม่ได้ชัดแจ้ง เนื่องมาจากอาหารประเภทอื่นที่รับประทานอาจมีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการลดไขมันในเลือดได้เช่นกัน แล้วก็กรุ๊ปการทดสอบมีขนาดเล็ก จึงควรขยายผลการศึกษาในกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นเพิ่มเติมอีก นอกเหนือจากนี้ การดูแลและรักษาสภาวะคอเลสเตอรอลสูงจะต้องมีการควบคุมของกินและการบริหารร่างกายไปพร้อม ซึ่งบางทีอาจเป็นประโยชน์ต่อการลดระดับไขมันในเลือดมากยิ่งขึ้น
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายประเภท โดยเฉพาะสารโพลีฟีนอลที่มักพบในทับทิม จากรายงานผลที่พบในห้องแลปบอกว่าสารกลุ่มนี้มีส่วนสำคัญสำหรับในการทุเลาอาการของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและก็อาจชะลอไม่ให้โรคพัฒนาอย่างเร็ว ก็เลยมีการศึกษาประสิทธิภาพของสารโพลีฟีนอลในคนเพิ่มเติม โดยให้คนไข้โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จำนวน 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่ดื่มน้ำทับทิม 400 มิลลิลิตร (มีสารโพลิฟีนอล 2.66 กรัม) เปรียบเทียบกับอีกกรุ๊ปที่รับประทานยาหลอกติดต่อกันทุกวี่ทุกวันเป็นระยะ 5 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า ไม่เจอสารโพลิฟีนอลอีกทั้งในเลือดแล้วก็ฉี่ของคนป่วย ทั้งยังยังไม่พบความต่างอย่างเป็นจริงเป็นจังระหว่าง 2 กรุ๊ป จึงคาดว่าทับทิมไม่น่ามีส่วนช่วยสำหรับการรักษาหรือบรรเทาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
โดยทั่วไปสารอาหารที่ไปสู่ร่างกายจะถูกเผาผลาญผ่านกระบวนเมตาบอลิซึมและก็ตรวจเจอได้ในเลือดหรือเยี่ยว แม้กระนั้นผลการศึกษากลับไม่พบสารโพลีฟีนอลจากการกิน ซึ่งบางทีอาจมีเหตุมาจากการย่อยสลายสารเหล่านี้โดยจุลชีวันในระบบที่ทำการย่อยอาหาร จำเป็นต้องทำความเข้าใจแนวทางการซับสารอาหารที่ต่างกันก่อนจะอ้างถึงถึงผลดีด้านของสุขภาพจากการรับประทาน เนื่องจากว่าสารอาหารที่พบในอาหารที่กินอาจไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์คุณประโยชน์ภายในร่างกายคนเราทั้งหมดทั้งปวง
โรครวมทั้งอาการอื่นๆยกตัวอย่างเช่น โรคเส้นเลือดหัวใจ การหย่อนความสามารถทางเพศ เจ็บกล้ามข้างหลังการบริหารร่างกาย กรุ๊ปอาการอ้วนอ้วน โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแดด การตำหนิดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) ท้องร่วง โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง แล้วก็อื่นๆยังจำเป็นต้องทำการศึกษาเรียนรู้วิจัยเพิ่มเติมอีกเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับความสามารถแล้วก็ความปลอดภัยของทับทิมสำหรับเพื่อการรักษาโรค

ข้อมูลทางโภชนศาสตร์ของผลทับทิม 100 กรัม (คร่าวๆ)
น้ำ 77.93 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 1.67 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.70 กรัม
เส้นใย 4.0 กรัม
น้ำตาล 13.67 กรัม
แคลเซียม 10 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.30 มก.
แมงกานีส 12 มก.
ธาตุฟอสฟอรัส 36 มก.
โพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม
โซเดียม 3 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.35 มก.
วิตามินซี 10.2 มก.
วิตามินบี 1 0.067 มก.
วิตามินบี 2 0.053 มก.
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.075 มก.
โฟเลต 38 ไมโครกรัม
วิตามินอี 0.60 มก.
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม
ความปลอดภัยสำหรับการกินทับทิมหรือสินค้าจากทับทิม
โดยธรรมดาการกินน้ำทับทิมค่อนข้างมีความปลอดภัย แต่ในบางรายที่มีอาการแพ้ผลสดของทับทิมบางทีอาจเกิดผลใกล้กันจากการกินน้ำทับทิมได้
รากทับทิมประกอบด้วยสารที่เป็นพิษต่อสุขภาพ การรับประทานรากและลำต้นของทับทิมในจำนวนมากบางทีอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมออกจะไม่เป็นอันตรายสำหรับเพื่อการรับประทานหรือนำมาใช้กับผิวหนัง แต่ว่าอาจจะเป็นผลให้กำเนิดอาการแพ้เล็กน้อยในบางราย ได้แก่ อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจไม่สะดวก
การกินน้ำทับทิมค่อนข้างมีความปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร แม้กระนั้นยังไม่มีรายงานรับรองความปลอดภัยสำหรับเพื่อการรับประทานหรือใช้ทับทิมในรูปแบบอื่น เช่น สารสกัดจากทับทิม จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะมีการกินทุกหน
น้ำทับทิมอาจส่งผลให้ความดันเลือดลดลดน้อยลงนิดหน่อย ซึ่งอาจจะส่งผลให้คนป่วยที่มีสภาวะความดันต่ำอาการไม่ดีขึ้น
ผู้ที่มีอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีการเสี่ยงที่จะกำเนิดอาการแพ้จากการรับประทานทับทิม
ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานทับทิมอย่างต่ำ 2 อาทิตย์ เพราะว่าทับทิมทำให้ความดันเลือดต่ำลง ก็เลยบางทีอาจกระทบต่อความดันเลือดในขณะผ่าตัดหรือมีผลต่อเนื่องไปยังหลังการผ่าตัด
การรับประทานทับทิมพร้อมกันกับยาบางชนิดอาจส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ดังเช่น ยาที่เกี่ยวเนื่องกับลักษณะการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome จำพวก P450 2D6 หรือจำพวก P450 3A4 ยาลดความดันโลหิตหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาโรสุวาสแตตำหนิน ผู้ที่กินยาเป็นประจำหรือมีโรคประจำตัวควรจะขอความเห็นแพทย์ก่อนที่จะมีการกินเพื่อให้มีความปลอดภัย

9

เห็ดหลินจือ
เรื่องเล่าประสบการณ์ตรงจากที่ลงภาคสนาม
คุณยายคนหนึ่ง อายุราว 67 ปี ทำอาชีพขายเห็ดในตลาด ลักษณะการป่วยเป็นโรค ดังนี้
1.เห็ดหลินจือ สามารถรักษาโรคเบาหวาน เป็นทุนเดิม เป็นโรคนี้มาราว 1x ปี
2.โรคความดันเลือด เป็นมาพร้อมๆกับโรคเบาหวาน จำต้องกินยาแผนปัจจุบันตลอด มีลักษณะงุนงง
3.โรคไขมัน มาพร้อมๆกับเบาหวาน จำต้องกินยาแผนปัจจุบันตลอด
4.โรคไตเสื่อม หลังจากเป็นโรคโรคเบาหวานมาราวๆ 10 ปี แพทย์ตรวจพบว่า ไตเสื่อม ระยะ 2 มีลักษณะอาการขาบวม ไม่มีแรงเดิน
5.โรคกระเพาะปัสสาวะ อักเสบ มาตอนเป็น ไตเสื่อม กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการปัสสาวะขับ ฉี่ไม่สุด เจ็บแปล็บๆ
6.โรคเก๊า มาตรวจเจอคราวหน้า ว่าค่ายูริก เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
======================
ความประพฤติปฏิบัติของผู้ป่วยรวมทั้งเรื่องราวก่อนรับประทานเห็ดหลินจือสกัดเข้มข้น
1.ช่วงเจ็บไข้ตอนเริ่ม จะมีลักษณะน้ำตาลในเลือดสูง แทบ 200 มิลลิกรัม แต่ว่าพอเพียงผ่านมาเกือบจะ 10 ปี รู้สึกว่าดูแลตนเองได้ดิบได้ดี ผลที่ได้กลับเป็นแบบนี้ ประเดี๋ยวน้ำตาลสูง เดี๋ยวน้ำตาลต่ำ ทำให้มีการเกิดอาการมึนงงได้ตลอดวัน หน้าที่ไม่ต้องทำแล้ว นอนดีกว่า
2.พอมีน้ำตาลในเลือดสูง ความดันจะตามมาเลย ส่งผลให้เกิดอาการโลกหมุน ตาลาย จำเป็นต้องนอนอีกตามเคย
3.เพียงพอตอนหลังเริ่มรับประทานของมันลดน้อยลง สามารถที่จะคุมไขมันได้ แม้กระนั้นพอนานวันเข้า ไขมันคุมได้ แต่ว่าพบสามกีซาลายสูงซะงั้น
4.ภายหลังจากเจ็บมา 1x ปี ร่างกายก็ไม่ค่อยได้พัก นำไปสู่ตอนอาการน็อคน้ำตาล ไป 2 ครั้ง ในรอบ 1 ปีให้หลัง จำเป็นต้องเข้า โรงพยาบาล เพื่อเดกซ์โทรส ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้น
5.พอเพียงผ่านมาอีก 6 เดือน แพทย์ตรวจพบเป็นไตเสื่อมขั้นที่ 2 แถมมีโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เนื่องจากว่ามีไข่ขาวรั่วมาทางเยี่ยวมาก ทำให้เรี่ยวแรงสำหรับเพื่อการเดินไม่มี (เกือบจะเดินไม่ไหว ก้าวขาไม่ออก) แถมเจอโรคเก๊าต์ สอบถามหาอีก
6.ระยะหลังจากที่รู้ดีว่าเป็นหลายโรค ชีวิต มันช่างมืดมนอย่างยิ่ง ทำให้เบื่อข้าว รับประทานไม่ได้ นอนไม่หลับ ถึงหลับก็ไม่สนิท ขาบวม ใจสั่น เจ้าอารมณ์
7.พอถึงเวลานี้ คุณยายคนนี้ พฤติกรรมแปรไป จากที่เคยต้องออกไปเปิดร้านขายเห็ดในตลาดทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่เคยหยุด กลับทำให้เขาไม่อยากขายสินค้า ขอหยุดนอนอยู่ในบ้าน กระทำตนราวกับไร้ค่า จำเป็นต้องให้ลูกๆมาคอยดู ทำให้เป็นภาระของลูก
======================
โจทย์ สำหรับลูกที่ดูแล และก็จุดเปลี่ยนแนวความคิด
1.ลูกคนนั้น มีความคิด ทำอย่างยังไงก้อได้ ให้แม่หายจากโรคทั้งสิ้นนี้
2.ทำอย่างไงก็ได้ให้ท่านแม่กลับมาดำเนินงานได้อย่างเดิม
3.ทำอย่างยังไงก็ได้ให้คุณแม่ทานข้าวได้ราวกับยุคเก่าเป็นโรคเบาหวาน
4.ทำอย่างยังไงก็ได้ให้คุณแม่นอนหลับก้าวหน้า
=======================
สุดท้ายลูกคนนั้นได้มาคุยกับผม ผมเลยแนะนำเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้ม แล้วก็ลูกคนนั้นได้เอาไปให้คุณแม่ทาน
เริ่มที่แม่ไม่เชื่อว่าเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้มข้น จะช่วยทำให้ชีวิตเขาได้ เนื่องจากคุณแม่ทานสมุนไพร อาหารเสริมมาเยอะแล้ว
=======================

เริ่มกับการทานเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้มข้น (คำตอบอาจนาๆประการในแต่ละบุคคล)
1.ผมชี้แนะให้ทาน 1 วัน 2 เวลาเป็นรุ่งเช้า-เย็น ในกรณีของม่าม้าคนนี้ มีโรคประจำตัวมาก จะให้ทานอย่างนี้ หลังจากกินอาหารแล้ว ให้ทานยาแผนปัจจุบัน รวมทั้งคอย 30 นาที ค่อยทานเห็ดหลินจือสกัดเข้มข้น
2.พอเพียงภายหลังทานได้ทีแรกๆ อาการมึนๆงงมากๆเริ่มดีขึ้น นอนได้ดิบได้ดีขึ้นมาก ปกติจะดูจนกระทั่งเที่ยงคืนและหลังจากนั้นก็ค่อยหลับ แล้วตื่น 6-7 โมงเช้า มาจัดร้านขายของ เปลี่ยนเป็น นอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม ตื่น 6 โมงตอนเช้า
3.หลังจากนอนก้าวหน้า  ทำให้อาการขาบวมดีขึ้น เยี่ยวดียิ่งขึ้นมากมาย ไม่ขัดและก็ปัสสาวะได้สุด ค่าน้ำตาล ไม่สวิงต่ำ-สูง แล้วก็ผลไตดีขึ้นด้วย
4.คนไข้เริ่มกินข้าวได้ปกติ (คุณแม่ไม่เชื่อว่าเห็ดหลินจือช่วยได้จริงไหม เลยทดสอบด้วย กินทุเรียน2เม็ด แล้ววันพรุ่งไปตรวจเลือด ผลเลือดที่ออกมาคุณแม่ตกอกตกใจ ว่าเพราะเหตุไรน้ำตาลปกติ ^_^)
5.เพียงพอร่างกายได้ นอนหลับได้เต็มอิ่ม หน้าใส(มีคนทักว่าไปทำอะไรมา) แข็งแรงสามารถชูของหนักๆได้ ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อน แค่เดินยังต้องหาที่นั่งพักเลย
สรรพคุณ[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ[/url][/url][/color]ที่มีการค้นคว้าวิจัยรับรอง....มีอะไรบ้าง
มีความเชื่อมานานแล้วว่าเห็ดหลินจือแดงสามารถทำให้หัวใจแข็งแรง เลือดลมดี ผิวพรรณผ่องใส ช่วยทำให้แก่ช้าลง ความจำดียิ่งขึ้น และก็ช่วยอายุยืนนาน
ส่วนสรรพคุณในทางการรักษาโรคถูกกล่าวไว้อย่างล้นหลามเช่นเดียวกัน อย่างเช่น แก้ตับแข็ง รักษาโรคมะเร็ง รักษาโรคความดัน และภูมิแพ้เป็นต้น
แต่ว่าทีเด็ดคือ......
มีงานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเห็ดหลินจือรักษาโรคจากคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งสำหรับในการทดลองศึกษาเล่าเรียนทางคลีนิคและก็รับรองว่าเห็ดหลินจือมีคุณประโยชน์ดังต่อไปนี้จริง ไม่ใช่แค่ความเชื่ออีกต่อไป อันดังเช่น
-กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
-ต่อต้านเนื้องอกแล้วก็โรคมะเร็ง
-รักษาโรคทางเท้าเยี่ยว
-รักษาโรคหัวใจ
-ช่วยให้การนอน
-ลดไขมันในเลือด
-ต่อต้านอนุมูลอิสระ
-ต้านการอักเสบ

10

น้ำมันเหลือง
น้ำมันเหลือง ไพล หรือปูลอย ปูเลย มิ้นสะข้างล่าง ว่านไฟ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zingiber montanum (Koenig) Link ex Dietr. หรือ Zingiber cassumunar Roxb. วงศ์ Zingiberaceae เป็นสมุนไพรตัวหนึ่งในบัญชียาจากสมุนไพร ใน บัญชียาหลักแห่งชาติ ปี 2554 กลุ่มที่ 2 บัญชียาพัฒนาจากสมุนไพร กลุ่มยารักษาอาการทางกล้ามเนื้อและกระดูก ยาสำหรับใช้ข้างนอก ดังเช่น ตำรับยาครีมไพล ประกอบด้วยน้ำมันไพลที่จากการกลั่น ร้อยละ 14 โดยปริมาตรต่อน้ำหนัก (v/w) และ ยาน้ำมันไพล สารสกัดน้ำมันไพลที่ได้จากการทอด (hot oil extract) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ในตำรับ ซึ่งเป็นสูตรเภสัชตำรับของโรงพยาบาล ข้อบ่งใช้ของทั้งสองตำรับเป็น ทุเลาอาการบวม ฟกช้ำ เคล็ดลับยอก
[url=https://www.charmingfresh.com/product/49/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3http://www.chiangdaoherb.com/product/19/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3]น้ำมันเหลือง[/u][/b][/url] ไพลที่ได้จากการทอดและก็ผู้กระทำลั่นแตกต่างอย่างไร? น้ำมันไพลที่ได้จากการกลั่นเป็น น้ำมันหอมระเหย ซึ่งเป็นของเหลวที่เป็น hydrophobic ระเหยได้ บางครั้งก็อาจจะได้จากผู้กระทำลั่นโดยการต้มด้วยน้ำ (water distillation) ไอน้ำจะพาเอาน้ำมันหอมระเหย ไปควบแน่นเมื่อสัมผัสกับความเย็นของเครื่องควบแน่น (condenser) แนวทางการกลั่นแบบงี้เป็นวิธีที่ชาวยุโรปเริ่มแรกนิยมใช้กัน แต่ว่ามีข้อเสียตรงที่ไพลที่เอามากลั่นจะถูกความร้อนนาน อาจจะทำให้น้ำมันไพลที่ได้มีกลิ่นไม่ถูกไปได้ หรือจะได้จากผู้กระทำลั่นโดยใช้การผ่านของละอองน้ำเข้าสู่ภาชนะที่มีไพลใส่อยู่ (steam distillation) ไอน้ำจะพาเอาน้ำมันเหลือง หอมระเหยไปควบแน่นที่เครื่องควบแน่น วิธีแบบนี้มีจุดเด่นกว่าเป็น ไพลจะถูกความร้อนไม่มากมาย น้ำมันหอมระเหยที่ได้จะไม่มีกลิ่นผิดเพี้ยนไป โน่นคือน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากทั้งยัง 2 วิธี จะมีสารประกอบทางเคมีที่แตกต่างกันบ้าง โดยธรรมดาน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากการกลั่นจะประกอบด้วยสารประกอบทางเคมีที่มีโมเลกุลเล็ก ได้แก่ สารกลุ่ม monoterpenes (สารที่มีคาร์บอนจำนวน 10 ตัว) รวมทั้งสารกรุ๊ป sesquiterpenes (สารที่ประกอบด้วยคาร์บอนจำนวน 15 ตัว) น้ำมันหอมระเหยไพลที่ได้จากการกลั่นมี สารกลุ่ม monoterpenes ดังเช่น sabinene, terpinen-4-ol, alpha-pinene, alpha-terpinene, gamma-terpinene, limonene, myrcene, p-cymene, terpinolene2, (E)-1-(3,4-dimethoxyphenyl)butadiene (DMPBD), (E)-4-(3’,4’-dimethoxyphenyl)but-3-en-1-ol (Compound D)3,4
ส่วนน้ำมันเหลือง ไพลที่ได้จากการทอดด้วยน้ำมันพืช เป็นวิธีของคนไทยโบราณที่ใช้จัดแจงน้ำมันไพลเพื่อใช้ในครัวเรือน เป็นน้ำมันเช็ดนวด แก้ปวดกล้าม เดี๋ยวนี้หลายโรงพยาบาลของเมืองได้มีการจัดแจงเป็นเภสัชตำรับของโรงพยาบาล และก็เป็นเยี่ยมตำรับในบัญชียาจากสมุนไพร ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ปี 2554 น้ำมันไพลสูตรนี้เตรียมได้จากการนำไพลสดมาทอดกับน้ำมันพืชจำพวกอิ่มตัว (ประกอบด้วยกรดไขมันจำพวกอิ่มตัว) ดังเช่นว่า น้ำมันที่ผลิตขึ้นมาจากมะพร้าว น้ำมันเหลือง หรือน้ำมันปาล์ม ไม่สมควรใช้น้ำมันพืชชนิดไม่อิ่มตัว (ประกอบด้วยกรดไขมันจำพวกไม่อิ่มตัว) ตัวอย่างเช่น น้ำมันงา น้ำมันมะกอก น้ำมันคำฝอย น้ำมันทานตะวัน หรือน้ำมันที่ผลิตขึ้นมาจากรำข้าวน้ำมันเหลือง เนื่องจากว่าน้ำมันประเภทไม่อิ่มตัวจะไม่ทนต่อความร้อน ทำให้ภาระคู่ในโมเลกุลมีการแตก และรวมกลุ่มเป็นสาร “โพลีเมอร์” เกิดขึ้น นำไปสู่ความหนืด นอกนั้นจะก่อให้กำเนิดควันได้ง่าย และน้ำมันกลิ่นหืน น้ำมันพืชที่ใช้ในการทอดเป็นน้ำมันที่มีกรดไขมัน (fatty acids) ซึ่งนับว่าเป็นสารประกอบทางเคมีที่มีขั้วน้อย เป็นตัวทำละลายที่ดีสำหรับในการสกัดสารที่มีขั้วน้อยด้วย โดยเหตุนี้น้ำมันพืชก็สามารถจะสกัดน้ำมันหอมระเหยซึ่งมีสารประกอบที่มีขั้วน้อยแล้วก็โมเลกุลเล็กได้ พร้อมด้วยสกัดสารประกอบที่มีขั้วน้อยแต่มีโมเลกุลใหญ่ได้ด้วย ซึ่งในไพลนอกจากประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยแล้ว ยังประกอบสารกรุ๊ป arylbutanoids, curcuminoids, รวมทั้ง cyclohexene derivatives เป็นสารที่มีโมเลกุลใหญ่กว่าสารในน้ำมันหอมเหลือง แล้วก็เป็นสารที่ไม่ระเหย สรุปง่ายๆคือ น้ำมันไพลที่ได้จากผู้กระทำลั่นจะเป็นน้ำมันหอมระเหยที่ประกอบด้วยสารโมเลกุลเล็กรวมทั้งระเหยได้ ส่วนน้ำมันที่ได้จากการทอดจะมีน้ำมันหอมระเหยและสารที่มีโมเลกุลใหญ่และไม่ระเหย
น้ำมันเหลือง หอมระเหยและสารที่มีโมเลกุลใหญ่ (สารกรุ๊ป arylbutanoids, curcuminoids, รวมทั้ง cyclohexene derivatives) เป็นกรุ๊ปสารที่มีผลการค้นคว้าพบว่า มีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบและก็แก้ปวดในสัตว์ทดสอบ โดยมีกลไกการออกฤทธิ์เหมือนกันกับยากลุ่ม NSAIDs3,4-12 นอกจากนั้นยังมีรายงานการเรียนน้ำมันเหลือง ทางสถานพยาบาลพบว่า ครีมไพลหรือไพลจีซาล (14% ของน้ำมันหอมระเหย) มีฤทธิ์ลดการอักเสบรวมทั้งการปวดของข้อเท้าพลิกในผู้เจ็บป่วยนักกีฬาที่บาดเจ็บข้อเท้าพลิกมากยิ่งกว่ากลุ่มควบคุมที่ได้รับยา หลอก13 แล้วก็พบว่าครีมไพจีซาลได้ประสิทธิภาพที่ดีสำหรับการรักษาอาการปวดเมื่อยหลัง ไหล่ ต้นคอ เอว หัวเข่า14 แต่ว่าตำรับยาน้ำมันเหลืองที่ได้จากการทอดด้วยน้ำมันพืช หรือการสกัดด้วยตัวทำละลายที่ไม่มีขั้ว ยังไม่เคยมีการเล่าเรียนทางสถานพยาบาลมาก่อน ซึ่งปัจจุบันนี้คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ปรึกษาโครงการ “การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยาสมุนไพรไทยเพื่อลดผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า AFTA ด้วยสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ 2554” เป็นโครงการที่ได้รับทุนเกื้อหนุนจากกองทุน FTA กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กำลังเรียนรู้ทางสถานพยาบาลในคนป่วยข้อหัวเข่าเสื่อมของตำรับยาครีมไพลสกัด ซึ่งเป็นการเลียนแบบกรรมวิธีสกัดแบบความคิด ซึ่งเป็นการสกัดสารหลายๆประเภท ไม่เพียงแค่น้ำมันเหลือง หอมระเหยเท่านั้น และคือการใช้วัตถุดิบอย่างคุ้ม

หน้า: [1]