รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - asf24a8xcv4

หน้า: [1]
1

สมุนไพรพญายอ
เสลดพังพอนตัวเมีย
เสลดพังพอนตัวเมีย ชื่อสามัญ Snake Plant
เสมหะพังพอนตัวเมีย ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Clinacanthus burmanni Nees, Clinacanthus siamensis Bremek., Justicia nutans Burm. f.) จัดอยู่ในตระกูลเหงือกปลาหมอ (ACANTHACEAE)
สมุนไพรเสมหะพังพอนตัวเมีย พญายอ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า ลิ้นมังกร ผักมันไก่ ผักลิ้นเขียด (เชียงใหม่), พญาข้อคำ (ลำปาง), เสมหะพังพอนตัวเมีย (พิษณุโลก), พญาบ้องดำ พญาปล้องทอง (ภาคกึ่งกลาง), ลิ้นงูเห่า พญายอ (ทั่วๆไป), โพะโซ่จาง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ชิงเจี้ยน หนิ่วซิ้วฮวา (จีนกลาง) ฯลฯ
รูปแบบของเสมหะพังพอนตัวเมีย
ต้นเสมหะพังพอนตัวเมีย จัดเป็นพรรณไม้พุ่มแกมเถา มักเลื้อยพิงไปตามต้นไม้อื่นๆมีความสูงได้ราวๆ 1-3 เมตร ลำต้นมีลักษณะหมดจด ต้นอ่อนเป็นสีเขียว ลำต้นมีลักษณะกลม ผิวเรียบเป็นบ้องสีเขียว เพาะพันธุ์ด้วยแนวทางปักชำหรือแยกเหง้ากิ้งก้านไปปลูก เติบโตก้าวหน้าในดินทุกชนิด ชอบดินร่วนซุย ระบายน้ำดี มีแสงอาทิตย์จัด มีเขตการกระจายชนิดในจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และก็ไทย ในประเทศไทยมักพบขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วทุกภาคของประเทศ หรือเจอปลูกกันตามบ้านทั่วไป
ต้นเสลดพังพอนตัวเมีย
ต้นพญายอ
ใบเสลดพังพอนตัวเมีย ใบเป็นใบคนเดียว ออกเรียงตรงกันข้ามกันเป็นคู่ๆรูปแบบของใบเป็นรูปใบหอก รูปรีแคบขอบขนาน ปลายใบรวมทั้งโคนใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-3 ซม. แล้วก็ยาวโดยประมาณ 7-9 เซนติเมตร แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบ
ใบเสลดพังพอนตัวเมีย
ดอก[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ[/url]เสลดพังพอนตัวเมีย มีดอกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกประมาณ 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นสีแดงส้ม โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาวราวๆ 3-4 เซนติเมตร ปลายแยกออกเป็น 2 ปากเป็นปากข้างล่างและก็ปากบน ดอกหนึ่งมี 5 กลีบ กลีบดอกไม้เป็นรูปทรงกระบอก ส่วนกลีบรองกลีบดอกนั้นเป็นสีเขียว ยาวเท่าๆกัน มีขนเป็นต่อมเหนียวๆอยู่โดยรอบ ดอกมีเกสรเพศผู้ 2 อัน ส่วนเกสรเพศเมียหมดจดไม่มีขน ออกดอกในช่วงโดยประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม (แต่ว่าชอบไม่ค่อยออกดอก)
ดอกเสลดพังพอนตัวเมีย
พญาปล้องทองคำ
ลิ้นงูเห่า
ผลเสมหะพังพอนตัวเมีย ผลได้ผลสำเร็จแห้งและแตกได้ (แต่ว่าผลไม่เคยติดเป็นฝักในประเทศไทย) ลักษณะของผลเป็นรูปกลมยาวรี ยาวได้ราวๆ 0.5 ซม. ก้านสั้น ภายในผลมีเม็ดราวๆ 4 เมล็ด
หมายเหตุ : เสมหะพังพอน เป็นชื่อพ้องของพรรณไม้ 2 ชนิดหมายถึงเสมหะพังพอนตัวผู้ แล้วก็เสลดพังพอนตัวเมีย ซึ่งจะไม่เหมือนกันตรงที่เสมหะพังพอนเพศผู้ลำต้นจะมีหนามรวมทั้งมีดอกเป็นสีเหลือง ส่วนเสลดพังพอนตัวเมียลำต้นจะไม่มีหนามรวมทั้งมีดอกเป็นสีแดงส้ม เพื่อไม่ให้เป็นการงงหลายๆหนังสือเรียนก็เลยนิยมเรียกเสมหะพังพอนตัวเมียว่า “พญายอ” หรือ “พญาข้อทอง” โดยเสลดพังพอนตัวผู้นั้นจะมีคุณประโยชน์ทางยาอ่อนกว่าเสมหะพังพอนตัวเมีย แล้วก็ตำราเรียนยาไทยนิยมประยุกต์ใช้ทำยากันมาก
สรรพคุณของเสลดพังพอนตัวเมีย
รากและก็เปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาบำรุงกำลัง (รากแล้วก็เปลือกต้น)
อีกทั้งต้นและก็ใบใช้กินเป็นยาทำลายพิษไข้ ดับพิษร้อน (อีกทั้งต้นแล้วก็ใบ)1,3 ใช้เป็นยาลดไข้ ด้วยการกางใบสด 1 กำมือ ตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำแช่ข้าว ใช้พอกบนหัวคนป่วยโดยประมาณ 30 นาที อาการไข้และก็ลักษณะของการปวดหัวจะหายไป (ใบ)6
ช่วยแก้อาการผิดสำแดง (กินอาหารเป็นพิษไข้ แล้วทำให้โรคกำเริบเสิบสาน) ด้วยการใช้รากสดนำมาต้มกินครั้งละราวๆ 2 ช้อนแกง (ราก)
ใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ ด้วยการนำใบสดมาเคี้ยวราวๆ 10 ใบ กลืนเอาแต่น้ำยาพอให้ยาจืด แล้วจึงคายกากทิ้ง (ใบ)6
ช่วยแก้คางทูม ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 10-15 ใบ ตำอย่างละเอียดผสมกับสุราโรง คั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่บวม อาการบวมจะหายไป และก็ลักษณะของการเจ็บปวดจะหายไปข้างใน 30 นาที (ใบ)
ใช้เป็นยารักษาโรคบิด (ต้นและใบ)
รากใช้ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับรอบเดือน (ราก)
ใช้เป็นยาแก้เมนส์มาผิดปกติ (อีกทั้งต้น)
ช่วยแก้อักเสบแบบโรคตับเหลือง (ทั้งต้น)
ใช้เป็นยาแก้แผลอักเสบจับไข้ ไข่ดันบวม ด้วยการใช้ใบสดโดยประมาณ 3-4 ใบ เอามาตำอาหารสาร 3-4 เม็ด ผสมกับน้ำเพียงพอแฉะ ใช้พอกราวๆ 2-3 รอบ จะช่วยทำให้อาการดีขึ้น (ใบ)
ลำต้นนำมาฝนแล้วก็ใช้ทาแผลสดจะช่วยให้แผลหายเร็ว (ลำต้น)ใช้รักษาแผลจากสุนัขกัดมีเลือดไหล ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 5 ใบ นำมาตำพอกบริเวณแผลสัก 10 นาที (ใบ)
ใช้รักษาแผลไฟลุกน้ำร้อนลวก ด้วยการกางใบสดเอามาตำต้มกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผล แผลจะแห้ง หรือจะใช้ใบสดนำมาตำให้ละเอียดผสมกับเหล้า ใช้เป็นยาพอกรอบๆที่ถูกไฟเผาหรือน้ำร้อนลวก จะมีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อนได้ดิบได้ดี4 ส่วนอีกแบบเรียนบอกว่า นอกเหนือจากการที่จะใช้รักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลเปื่อยเนื่องด้วยถูกแมงกะพรุนไฟ แผลสุนัขกัด แล้วก็แผลที่เกิดขึ้นมาจากการถูกกรดได้อีกด้วย แค่เพียงนำใบไปหุงกับน้ำมันแล้วเอามาทาบริเวณที่เป็น (ใบ)
ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย ด้วยการกางใบโดยประมาณ 3-4 ใบ กับข้าวสาร 5-6 เม็ด เติมน้ำลงไปให้เพียงพอแฉะ แล้วเอามาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองเจริญ ทำให้แผลแห้งไว โดยให้เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง พอกไปครู่หนึ่งหนึ่งแล้วให้เอาน้ำมาหยอดกันยาแห้งด้วย (ใบ)
ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ด้วยการกางใบสดตำผสมกับเหล้าใช้ทา หรือใช้เหล้าสกัดใบเสมหะพังพอน จะได้น้ำยาสีเขียวเอามาทาแก้ผื่นคัน (ใบ)
ใช้แก้สิวเม็ดผดผื่นคัน ด้วยการนำใบมาดองกับสุรา แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวและเม็ดผื่นผื่นคัน (ใบ)
ใช้แก้ฝี ด้วยการกางใบนำมาตำผสมกับเกลือและสุรา ใช้พอกรอบๆที่เป็น แปลงยาทุกตอนเช้าและก็เย็น (ใบ)
ทั้งยังต้นแล้วก็ใบใช้เป็นยาขับพิษ ทำลายพิษ โดยเฉพาะพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ตัวอย่างเช่น งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง อื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ผื่นคัน แผลไฟลุกน้ำร้อนลวก ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 5-10 ใบ เอามาขยี้หรือตำใช้ทาบริเวณที่เป็น หรือใช้ใบสดเอามาตำให้พอเพียงแหลก แช่ในเหล้าขาวราวๆ 1 สัปดาห์ แล้วจึงนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นแผลส่วนอีกตำรับยาแก้ลมพิษ ตามข้อมูลกล่าวว่า ให้ใช้ใบตำผสมกับดินสอพอง ใส่น้ำบางส่วน ใช้ทาบริเวณที่เป็น (ใบ)

คนกรุงจะนำใบมาตากแห้งแล้วตำผสมกับแมงป่องปิ้ง ใช้เป็นยาแก้พิษงู (ใบ)
พญายอ ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังจำพวกเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ขยุ้มตีนหมา แล้วก็ใช้เป็นยาทำลายพิษต่างๆด้วยการใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมียสดโดยประมาณ 10-20 ใบ (เลือกเอาเฉพาะใบสดสีเขียวเข้มเป็นมัน ไม่อ่อนหรือแก่จนเหลือเกิน) แล้วนำมาตำผสมกับสุราหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลและก็เอากากพอกบริเวณแผล หรืออีกวิธีให้ตระเตรียมเป็นทิงเจอร์เพื่อใช้ทารักษาอาการอักเสบจากเริมในปาก โดยใช้ใบสด 1 กิโลกรัม นำมาปั่นให้ละเอียด เติมแอลกอฮอล์ 70% ลงไป 1 ลิตร แล้วหมักทิ้งเอาไว้ 7 วัน ระเหยบนเครื่องอังไอน้ำให้ปริมาตรน้อยลงครึ่งเดียว (ห้ามตั้งบนเตาไฟโดยเด็ดขาด) รวมทั้งเพิ่มเติมกลีเซอรีน (Glycerine pure) อีกเท่าตัว (ครึ่งลิตร) แล้วนำน้ำยาเสมหะพังพอนกลีเซอรีนที่ได้มาใช้ทาแผลเริม งูสวัด แผลร้อนในปาก รวมทั้งใช้ถอนพิษต่างๆสำหรับแบบเรียนยาแก้งูสวัดอีกตำรับจะใช้ใบสดผสมกับดอกลำโพง โกฐน้ำเต้า อย่างละเท่ากัน รวมกันตำให้พอเพียงแหลก แช่กับเหล้า แล้วประยุกต์ใช้ทาแก้แผลงูสวัด (ใบ)
พญายอ ใช้แก้ถูกหนามพุงดอตำหรือถูกใบตะลังตังช้าง ด้วยการนำขี้ผึ้งแท้มาลุกลนไฟให้ร้อน แล้วนำมากดเพื่อดูดเอาขนย้ายใบตะลังตังช้างออกซะก่อน แล้วจึงใช้ใบเสลดพังพอนผสมกับเหล้าทาบริเวณที่เป็น (ใบ)
ใช้เป็นยาแก้แพ้เกสรรักษาป่า ยางรักป่า รวมทั้งยางสาวน้อยประแป้ง ด้วยการกางใบผสมกับสุรา เอามาทาบริเวณที่คัน (ใบ
ใช้แก้หัด เหือด ด้วยการกางใบสดประมาณ 7 กำมือ เอามาต้มกับน้ำ 8 แก้ว ต้มให้เดือด 30 นาที เทยาออกและผึ่งให้เย็น แล้วนำใบสดมาอีก 7 กำมือ ตำผสมกับน้ำ 8 แก้ว แล้วเอาน้ำยาทั้งสองมาผสมกัน ใช้ทั้งยังรับประทานรวมทั้งชโลมทา (ยาทาให้ใส่พิมเสนลงไปบางส่วน) เด็กที่เป็นหัด เหือด ให้กินวันละ 3 ครั้ง ทีละครึ่งแก้ว (ใบ)
พญายอ อีกทั้งต้นใช้เป็นยาแก้ปวดบวม เคล็ดลับปวดเมื่อย ฟกช้ำ กระดูกร้าว ช่วยขับความชุ่มชื้นภายในร่างกาย แก้อาการปวดเมื่อยล้าเนื่องจากเย็นเปียกชื้น (อีกทั้งต้น)
รากใช้เป็นยาแก้ลักษณะของการปวดเมื่อยบั้นท้าย (ราก)
ขนาดและการใช้ : ยาแห้งให้ใช้ครั้งละ 5-10 กรัม เอามาต้มกับน้ำกิน ส่วนยาสดให้ใช้ครั้งละ 30 กรัม นำมาตำคั้นเอาน้ำรับประทาน หรือตำพอกแผลข้างนอก
ข้อควรคำนึงพญายอ
: หากแม้ในอดีตจะมีการใช้ใบสดนำมาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็นแผล แต่ในตอนนี้วิธีการแบบนี้ไม่เป็นที่ชื่นชอบแล้ว ด้วยเหตุว่าจะชำระล้างได้ยาก ทำให้กากติดแผล และอาจส่งผลให้ติดเชื้อเป็นหนองได้
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเสลดพังพอนตัวเมีย
พญายอ รากเจอสาร Betulin, Lupeol, β-sitosterol ส่วนใบพบสาร Flavonoids ซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกลุ่ม monoglycosyl diglycerides ยกตัวอย่างเช่น 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol และสารกลุ่ม glycoglycerolipids ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อไวรัสเริม
จากการทดลองในสัตว์ใช้สกัดจากใบสดของเสมหะพังพอนตัวเมียด้วย n-butanol พบว่า สามารถลดการอักเสบได้2 โดยพบว่าจะช่วยลดการอักเสบของข้อเท้าหนูที่ทำให้บวมด้วยสาร carrageenan ได้ เมื่อใช้ตำรับยาที่มีเสมหะพังพอนตัวเมียร้อยละ 5 ใน Cold cream และก็สารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ นำมาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะช่วยลดการอักเสบเรื้อรังได้ แต่ว่าเมื่อใช้สารสกัดด้วย n-butanol มาทาที่ผิวหนังจะไม่เป็นผล
สารสกัดจากใบความเข้ม 15 กรัม ต่อ 1 กิโลกรัม มีประสิทธิภาพต้านทานการอักเสบเจริญ
เมื่อให้หนูเม้าส์รับประทานสารสกัดด้วย n-butanol จากใบ พบว่า จะช่วยลดความเจ็บของหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้ปวดด้วยกรดอะซีติเตียนคได้ ขึ้นรถสกัดความแรง 90 มิลลิกรัมต่อโล จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มิลลิกรัมต่อกิโล ส่วนสารสกัดด้วยน้ำแล้วก็สารสกัดด้วยเอทานอล 60 จากใบ พบว่าไม่มีผลลดความเจ็บ
สารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล และเอทิลอะสิเตทจากใบเสลดพังพอนตัวเมียมีฤทธิ์ต้านทานไวรัสเชื้อเริม HSV-1 เมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 4 และก็ใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล พบว่าจะมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสก้าวหน้าและไม่เป็นพิษต่อเซลล์ ในขณะที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะมีพิษต่อเซลล์ และจากรายงานการรักษาผู้ป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ประเภทเป็นซ้ำด้วยการใช้ยาจากสารสกัดเสลดพังพอนตัวเมีย เปรียบเทียบกับยา acyclovir และยาหลอก โดยให้คนป่วยทายาวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 6 วัน พบว่าไม่แตกต่างในช่วงเวลาการตกสะเก็ดของแผลคนเจ็บที่ใช้ยาจากสารสกัดใบแล้วก็ยา acyclovir โดยแผลจะตกสะเก็ดด้านใน 3 วัน และหายสนิทด้านใน 7 วัน ซึ่งต่างกันกับยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ โดยยาที่สกัดจากใบเสมหะพังพอนตัวเมียจะไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอักเสบและก็ระคาย เวลาที่ acyclovir จะมีผลให้แสบ นอกจากนั้นยังมีการใช้ยาที่ทำมาจากเสมหะพังพอนตัวเมียในผู้ป่วยโรคเริม งูสวัด รวมทั้งแผลอักเสบในปาก แล้วพบว่าสามารถรักษาแผลและก็ลดการอักเสบได้ดี
พญายอ สารที่สกัดจากบิวทานอล (Butanol) ของใบเสลดพังพอนตัวเมีย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อเชื้อไวรัส Varicella zoster ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสประเภทที่ก่อให้เกิดเริมและก็อีสุกอีใส3 จากรายงานการดูแลและรักษาคนไข้โรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดจากใบเปรียบเทียบกับยาหลอก โดยให้ป้ายยาวันละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ กระทั่งแผลจะหาย พบว่าผู้ป่วยหวานใจษาด้วยสารสกัดจากใบเสมหะพังพอนตัวเมีย แล้วมีแผลเป็นสะเก็ดข้างใน 3 วัน รวมทั้งหายด้านใน 7-10 วัน จะมีเยอะมากกว่ากรุ๊ปที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ และระดับความเจ็บจะน้อยลงเร็วกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก โดยไม่เจอผลข้างเคียงใดๆก็ตาม9
จากการทดสอบความเป็นพิษ เมื่อป้อนสารสกัด n-butanol จากใบให้หนูเม้าส์ พบว่ามีพิษน้อย แม้กระนั้นจะเป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าท้อง ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัมต่อกิโลกรัม (เทียบเท่าใบแห้ง 5.44 กรัมต่อกก.) เมื่อเอามาป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าช่องท้องหนูเม้าส์ พบว่าไม่กระตุ้นให้เกิดอาการเป็นพิษอะไรก็ตาม
จากการศึกษาเล่าเรียนพิษครึ่งเรื้อรัง
ด้วยการป้อนสารสกัด n-butanol จากใบในขนาด 270 และก็ 540 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ให้หนูแรทแต่ละวัน นาน 6 อาทิตย์ พบว่าไม่เป็นผลต่อการเจริญเติบโต แต่พบว่ามีน้ำหนักต่อมธัยมัเศร้าใจลง ในระหว่างที่น้ำหนักของตับเพิ่มขึ้น และไม่พบว่ามีความผิดปกติต่ออวัยวะอื่นๆหรืออาการไม่ปรารถนาแม้กระนั้นอ http://www.disthai.com/

2

เหงือกปลาหมอ
บ้านเกิดเหงือกปลาหมอ
เหงือกปลาหมอนับว่าเป็นสมุนไพรพื้นถิ่นของไทยเราเพราะมีประวัติในการนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรมาตั้งแต่โบราณแล้ว ซึ่งเหงือกปลาหมอนี้เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นกลางแจ้งและชอบพบบ่อยในบริเวณป่าชายเลน หรือตามพื้นที่ชายน้ำริมฝั่งลำคลอง เจริญวัยก้าวหน้าในที่ร่มรวมทั้งมีความชุ่มชื้นสูง หรือในแถบที่ดินเค็มและไม่ชอบที่ดอน แถบภาคอีสารก็มีรายงายว่าปลูกได้เหมือนกัน เหงือกปลาแพทย์ พบอยู่ 2 ชนิดหมายถึงชนิดดอกสีขาว Acanthus ebracteatus Vahl พบได้มากในภาคกลางและก็ภาคทิศตะวันออก ชนิดดอกสีม่วง  Acanthus ilicifolius L. พบทางภาคใต้ ทั้งยังเหงือกปลาแพทย์ยังเป็นประเภทไม่ขึ้นชื่อของจังหวัดสมุทรปราการอีกด้วย
ลักษณะทั่วไป
ต้นเหงือกปลาหมอ เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง มีความสูงโดยประมาณ 1-2 เมตร ลำต้นแข็ง มีหนามอยู่ตามข้อของลำต้น ข้อละ 4 หนาม ลำต้นกลม กลวง ตั้งชัน มีสีขาวอมเขียว ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5 ซม.
ใบเหงือกปลาหมอ ใบเป็นใบผู้เดียว รูปแบบของใบมีหนามคมอยู่ริมขอบของใบและปลายใบ ขอบใบเว้าเป็นระยะๆผิวใบเรียบเป็นมันลื่น แผ่นใบสีเขียว เส้นใบสีขาว มีชำเลืองสีขาวเป็นแนวก้างปลา เนื้อใบแข็งและเหนียว ใบกว้างโดยประมาณ 4-7 ซม. รวมทั้งยาวราวๆ 10-20 เซนติเมตร ใบจะออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน ก้านใบสั้น
ดอกเหงือกปลาหมอ มีดอกเป็นช่อตั้งตามปลายยอด ยาวราวๆ 4-6 นิ้ว ดังนี้สีของดอกขึ้นกับจำพวกของต้นเหงือกปลาหมอคือ ดอกมีทั้งประเภทดอกสีม่วง หรือสีฟ้า และประเภทดอกสีขาว แต่ลักษณะอื่นๆเหมือกันคือ  ที่ดอกมีกลีบรองดอกมี 4 กลีบ กลีบแยกจากกัน ส่วนกลีบดอกเป็นท่อปลายบานโต ยาวประมาณ 2-4 ซม. รอบๆกึ่งกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้แล้วก็เกสรตัวเมียอยู่
ผลเหงือกปลาหมอ ลักษณะของผลเป็นฝักสีน้ำตาล ลักษณะของฝักเป็นทรงกระบอกกลมรี รูปไข่ ยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร เปลือกฝักมีสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน ภายในฝักมีเม็ด 4 เมล็ด
เหงือกปลาหมอ
รักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน ขี้กลากเกลื้อน
ชื่ออื่น : แก้มแพทย์ แก้มแพทย์เล จะเกร็ง นางเกร็ง อีเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน
ในหนังสือเรียนยาไทยพูดว่า เหงือกปลาหมอสามารถแก้โรคผิวหนังได้ทุกชนิด
ในเมื่อเหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์เด่นแก้น้ำเหลืองเสียได้ โรคผิวหนังต่างๆแม้แต่ โรคอีสุกอีใส ที่เกิดจากเชื้อไวรัสก็จะเบาลงลง
ในกรณีโรคผิวหนังพุพองจากเชื้อไวรัสเอดส์ แม้ว่าจะร้ายแรงกว่าโรคผิวหนังทั่วๆไป แต่ว่าเมื่อใช้เหงือกปลาหมอเป็นอีกทั้งยากินและก็ต้มน้ำอาบต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 3 ข้างขึ้นไป แผลพุพอง ก็จะบรรเทาเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด สำหรับผู้เจ็บป่วยโรคผิวหนังด้วย
แนวทางปรุงยาและก็วิธีการใช้ยาก็มีหลายแนวทาง คือ
วิธีต้มยารับประทานรวมทั้งอาบ
เอาเหงือกปลาหมอสดหรือแห้งสับเป็นท่อนเล็กๆใส่เต็มขันขนาด 1 ลิตร ใส่น้ำ 4 ขัน ต้มยาให้เดือดนาน 10 นาที ตักน้ำยาขึ้นมา 1 แก้ว แบ่งไว้สำหรับดื่มรับประทานขณะอุ่นๆทีละครึ่งแก้ว วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ก่อนที่จะรับประทานอาหาร
ส่วนน้ำยาที่แบ่งไว้อาบนั้น จำต้องใช้อาบขณะน้ำยายังอุ่นอยู่ ก่อนอาบน้ำต้องชำระล้างร่างกายด้วยสบู่ให้สะอาดซะก่อน เมื่ออาบน้ำยาแล้ว ไม่ต้องอาบน้ำธรรมดาตามอีก อาบน้ำยาวันละ 2 ครั้ง เช้าตรู่-เย็นครั้งละ 3-4 ขัน แม้กระนั้นถ้าหากมีเหงือกปลาหมอเยอะมากๆ บางครั้งอาจจะต้มยาเพื่อแช่หมดทั้งตัวในอ่างก็ยิ่งดี
ขั้นตอนการทำเป็นยาลูกกลอน
นำเหงือกปลาหมอทั้งยัง 5 ครั้งตากแห้งมาบดเป็นผุยผงละเอียด 2 ส่วน ผสมน้ำผึ้งแท้ 1 ส่วน ปั้นเป็นเม็ดลูกกลอนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร คนแก่กินครั้งละ 2 เม็ด เด็กอาจจะรับประทานทีละ 1 เม็ดหรือครึ่งเม็ดตามขนาดอายุและก็น้ำหนัก กินวันละ 2 ครั้ง ก่อนกินอาหาร เช้า-เย็น รับประทานไปเรื่อยตราบจนกระทั่งจะหาย แม้กระนั้นถ้าเป็นโรคผิวหนังจากภูมิต้านทานผิดพลาดก็จำต้องกินตลอดกาล

วิธีการทำเป็นแคปซูล
นำผงเหงือกปลาหมอที่ผ่านการร่อนเป็นผุยผงละเอียดราวกับแป้งบรรจุแคปซูลขนาด 250 มก. คนแก่กินครั้งละ 2 แคปซูลวันละ 2-3 เวลาก่อนที่จะกินอาหาร เด็กต่ำลงตามส่วน
 เหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์จำนวนมาก ดังเช่น
-ราก มีคุณประโยชน์สำหรับการแก้โรคหืด อัมพาต แก้ไอ และก็ใช้ขับเสลด
-ต้น มีคุณประโยชน์รักษาโรคหลายประเภท โดยใช้ต้นตำผสมน้ำกินรักษาวัณโรค อาการผอมโซ ถ้าใช้ทาก็ช่วยแก้โรคเหน็บชาได้
-ลำต้น ไปผสมกับสมุนไพรอื่นๆก็จะได้คุณประโยชน์ทางยาต่างกันออกไปอีก
-ต้นรวมรากต้มอาบแก้พิษไข้หัวลม แก้โรคผิวหนังทุกชนิด
-ทั้งต้นสดตำพอกปิดหัวฝีแผลเรื้อรังถอนพิษ ต้มกินแก้พิษไข้ทรพิษ ฝีทั้งสิ้น ผลรับประทานเป็นยาขับโลหิตประจำเดือน นอกเหนือจากนั้น ถ้าหากตาเจ็บ ตาแดง เอา
"เหงือกปลาหมอ" ต้นตำกับขิงคั้นเอาน้ำหยอดตาหาย เป็นเหน็บชา ชาทั้งตัว
- อีกทั้งต้นตำทาบริเวณที่เป็นจะดียิ่งขึ้น
- ตำเอาน้ำกินกากพอก งูกัด
- ต้นกับขมิ้นอ้อยตำทาป็นฝีฟกบวม เป็นริดสีดวงทวาร
- ต้นตำกับขิงกิน โรคเรื้อน คุดทะราด ไม่สบายจับสั่น
- อีกทั้งต้นตำใบส้มป่อยต้มดื่ม เจ็บข้างหลัง เจ็บเอว
- "เหงือกปลาหมอ" กับชะเอมเทศตำผงละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นก้อนรับประทาน ริดสีดวงแห้ง
ในท้อง ผอมแห้งเหลืองตลอดตัว กินทุกวี่วัน
- "เหงือกปลาหมอ" กับเปลือกมะรุมเสมอกันใส่หม้อ เกลือนิดเดียว หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ ใช้ฟืน 30 ท่อน ต้มกับน้ำกระทั่งเดือดให้งวดจึงชูลง อั้นลมหายใจกินขณะอุ่นจนถึงหมด เป็นริดสีดวง มือตายตีนตาย ร้อนทั้งตัว มึนหัว ตามัว เจ็บระบมตลอดตัว ตัวแห้ง จะหายได้
- "เหงือกปลาหมอ" ทั้ง 5 รวมราก กับ ข้าวเย็นเหนือ อาหารเย็นใต้ ปริมาณเท่ากัน กะตามอยาก ต้มกับน้ำจนเดือดดื่มขณะอุ่นทีละ 1 แก้ว 3 เวลา ตอนเช้า ตอนกลางวัน เย็น ต้มดื่มปอดเริ่มมีปัญหาเป็นฝ้าจะอาการดีขึ้น ไปให้แพทย์เอกซเรย์ปอดไม่เป็นฝ้าอีกหยุดต้มกินได้เลย และก็ต้องระมัดระวังอย่าให้เป็นอีก
ยาอายุวรรฒนะ
- "เหงือกปลาหมอ" 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้งปั้นกินทุกๆวัน
กินได้ 1 เดือน ไม่มีโรค สติปัญญาดี
กินได้ 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง
กินได้ 3 เดือน โรคริดสีดวงทุกประเภทหาย
กินได้ 4 เดือน แก้ลม 12 พวก หูดี
กินได้ 5 เดือน หมดโรค
กินได้ 6 เดือน เดินไม่รู้จักอ่อนเพลีย
กินได้ 7 เดือน ผิวงาม
กินได้ 8 เดือน เสียงไพเราะ
กินได้ 9 เดือน หนังเหนียว
-"เหงือกปลาหมอ" 1 ส่วน ดีปลี 1 ส่วน ทำผงชงกินกับน้ำร้อนถ้าผิวแตกทั้งตัวหายได้ ทั้งผองที่บอกเป็นหนังสือเรียนยาโบราณ ไม่เชื่อก็ไม่ควรดูหมิ่น ทราบไว้เป็นวิชา http://www.disthai.com/

3

เห็ดหลินจือ
สปอร์เห็ดหลินจือแดง-ส่วนที่มีคุณค่าที่สุดของเห็ดหลินจือ
เมื่อ ค.ศ 2005 บริษัทของเรามีจุดเริ่มแรกขึ้นจากสิ่งที่มีความต้องการหาสมุนไพรคุณภาพสูงจากในหลายประเทศ จนถึงพวกเราเจอรวมทั้งมีส่วนร่วมกับบริษัทยยาของรัฐบาลจีน แล้วก็ได้ นำเข้าสปอร์เห็ดหลินจือคุณภาพสูงจากนั้นเป็นต้นมา
นับ 10 กว่าปี ที่เราเป็นผู้บุกเบิก แล้วก็เป็นผู้นำในด้านสปอร์เห็ดหลินจือแดงประสิทธิภาพสูง คุณภาพเป็นหัวใจสำคุณของเรา สปอร์เห็ดหลินจือของเรา จะถูกคัดสรรอย่างดีก่อนถึงมือบริโภค เห็ดหลินจือแดงที่เรานำเข้ามา ถูกเพาะด้วยวิธีพิถีพิถัน ทำให้ได้ตัวดอกเห็ดที่มีขนาดใหญ่มากกว่า
เราตั้งใจและก็พิจารณาคุณภาพในทุกกระบวนการผลิตอย่างใกล้ชิด และด้วยกระบวนการผลิตที่ดูแลอย่างดี ทำให้เราได้รับการยืนยันมาตฐาน GMP (GOOD Manufacturing Practice) ทุกล็อตที่พวกเราผลิตออกมา จะได้รับการตรวจประสิทธิภาพจากห้องแล็ปในโรงหมอ
เพื่อผลดีสูงสุดของท่านผู้ที่กำลังหาผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือมารับประทาน
การวิจัยรับรองว่าการรับประทานสปอร์เห็ดหลินจือจะได้ผลลัพธ์ที่ดีมากกว่าการทานดอก เพราะสปอร์มีสารออกฤทธิ์สำคัญมากกว่าและก็สปอร์ที่ถูกกระเทาะนั้น เปลือกหุ้มจะต้านทานโรคมะเร็ง และเสริมภูมิต้านทานได้ดีมากว่า เทียบกับแบบไม่ได้กระเทาะเปลือก
ที่พลาดไม่ได้ที่สุดเป็น.....
ท่านๆสามารถบริโภคเห็ดหลินจือได้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆโดยปลอดภัยใด อีกกด้วย เห็ดหลินจือมีมากมายว่า 100 สายพันธุ์แม้กระนั้นสายพันธุ์ที่มีคุณประโยชน์ทางยาเยี่ยมที่สุดคือเห็ดหลินจือแดง เนื่องจากสายพันธุ์นี้จะมีสารออกฤทธิ์กรุ๊ป Polysaccharide อยู่อย่างยิ่งที่สุด
ส่วนท่านที่กำลังเลือกซื้อเห็ดหลินจือออกมาขายในตลาดแบบอย่างต่างๆเยอะแยะ ในรูปแบบดอกอบแห้ง แคปซูล น้ำเห็ดหลินจือ กาแฟเห็ดหลินจืออื่นๆอีกเพียบเลย
โดยเหตุนั้นการจะเลือกซื้อเห็ดหลินจือให้ได้แบบที่มีคุณภาพดี จะต้อง......
ดูตั้งแต่กระบวนการผลิต ว่าตัวเห็ดหลินจือนั้นได้รับการเลี้ยงที่สมควรหรือปล่าว เพราะการควบคุมอณหภูมิ ความชุ่มชื้น สารอาหาร รวมทั้งแนวทางการแปลรูปล้วนส่งผลต่อปริมาณสาระสำคัญในตัวเห็ดหลินจือ บรรจุภัณฑ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องมาจากเห็ดหลินจือจะขึ้นราได้ง่ายเมื่อโดนความชื้อ โดยเหตุนั้นตัวบรรจุภัณฑ์จึงควรเลือกเป็นขวดที่กันความชื้อก้าวหน้าอีกด้วย
เห็ดหลินจือกับผลดีต่อสุขภาพ
เห็ดหลินจือ (Lingzihi หรือ  REISHI)มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า กาโนเดอร์ มา ลูสิดัม (Ganoderma Lucidum) เป็นเห็ดที่มีขนาดใหญ่ มีสีเข้มมีพื้นผิวมันวาว มีลักษณะคล้ายไม้ และก็มีรสขม มีประวัตศาสตร์ช้านานสำหรับเพื่อการใช้เห็ดหลินจือ เพื่อรักษาหรือบำรุงสุขภาพในประเทศแถบเอเซีย โดย เฉพาะเมืองจีนและญี่ปุ่น เนื่องจากว่าเชื่อว่าสารประกอบด้านในเหลืดหลินจือมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย
ในเห็ดหลินจือมีสารอาหารที่บางทีอาจเกิดผลดีต่อสุขภาพเยอะมาก ประเภทเส้นใยต่างๆโปรตีนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินและแร่บางชนิด เชเนแคลเซียม โพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัสแมกนีเซียม เซเลเนียม ธาตุเหล็ก สังกะสี ดูแดง สารโมเลกุลชีวภาพที่สำคัญ เย่างสเตียรอยด์(Steroids) เทอร์ปีนป่ายอยด์ (Terpenoide) นิวคลีโอไทด์ (Nucleotides) ไกลวัวโปรตีน (Glycoproteins)พอลิแซ็กคาไรค์ (Polrsacchayides) แล้วก็สารอนุพันธ์อื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดอะมิโนไลซีน (Lysine) รวมทั้งลิวซีน (Leucine)ฉะนั้น มีบางคนหรือในบางวัฒนธรรมนำเห็ดหลินจือมาเตรียมอาหารและก็แปรรูปเพื่อการบริโภคอย่างนานาประการ นักวิทยาศาสตร์จึงสนใจและนำเห็ดหลินจือมาทดลองหาประสิทธิผลทางการรักษาและก็การบำรุงสุขภาพ เพื่อพิสูจน์ว่าเห็ดจำพวกนี้มีสาระต่อร่างกายของคนเราจริงหรือไม่

เห็ดหลินมีประโยชน์ต่อสุขภาพที่บางทีอาจเป็นได้ใช่หรือ?
แม้มีการค้นคว้าทดลองเยอะมากเกี่ยวกับคุณลักษณะและก็คุณประโยชน์ที่บางทีอาจเป็นไปได้ของเห็ดหลินจือ
แต่ในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อรับรองทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ที่แจ่มกระจ่างถึงคุณลักษณะรวมทั้งคุณค่าที่อาจเป็นไปได้ของเห็ดหลินจือแต่ว่า ในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อพิสูจน์ด้านวิทยาศาสตร์และก็การแพทย์ที่กระจ่างแจ้งถึงคุณลักษณะแล้วก็ประสิทธิผลด้านใดๆก็ตามด้วยเหตุนั้น คนซื้อควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าข้อมูลของเห็ดหลินจือ ปริมาณแล้วก็กรรมวิธีการบริโภคที่เหมาะสม และก็ข้อกำหนดต่างๆรวมทั้งปัจจัยทางสุขภาพของตนเองให้ดีก่อนการบริโภค
ตัวอย่างงานศึกษาเรียนรู้วิจัยที่เล่าเรียนเกี่ยวกับเห็ดหลินจือที่อาจมีผลต่อสุขภาพ
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
งานศึกษาเรียนรู้วิจัยหนึ่งได้ทดลองหาประสิทธิผลและความปลอดภัยของการบริโภคอาหารเสริมเห็ดหลืนจือในผู้ป่วย โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ จำนวน 32 ราย  ผลสรุปคือ เห็ดหลินจืออาจมีคุณประโยชน์ในด้านการยับยั้งลักษณะของการปวด ปลอดภัยต่อการรับประทานไปสู่ร่างกายและไม่มีผลข้างๆ อย่างไรก็ดี กลับไม่ปรากฏผลที่มีนัยสำคัญสำหรับในการต้านทานปฎิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน การต้านการอักเสบ หรือผลการปรับระบบภูมิต้านทานแต่อย่างใด
เพิ่มความสามารถร่างกาย
มีการทดลองที่ทดลองความสามารถของเห็ดหลินจือในด้านการเพิ่มสรรถภาพของร่างกาย โดยได้ ทดสอบในคนป่วยโรคปวดกล้ามเนื้อไฟโปรไมอัลเจีย (Fibromyalgia)เพศหญิงปริมาณ 64 ราย ตลอดเวลาการทดลอง 6 อาทิตย์ คนเจ็บบริโภคเห็ดหลินจือจำนวน 6 กรัม/วัน แล้วหลังจากนั้นก็เลยทดลองความสามารถร่างกายของผู้ป่วย ผลการทดลองรวมทั้งวางแผนการรักษาผู้เจ็บป่วยโรคนี้ถัดไป แม้กระนั้นยังคงขาดหลักฐานส่งเสริมที่กระจ่างแจ้ง จำเป็นต้องมีการทำการวิจัยในด้าน เพื่อหาหลักฐานแล้วก็ข้อรับรองที่แนชัดถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อไป
ต่อต้านการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดชัน แล้วก็คุ้มครองป้องกันการทำลายเซลล์ตับ
จากการทดลองหาสมรรถนะของสารไตรเทอร์พีนอยด์ (Trirpenoids)และโพลีแซ็กคาไรด์(Polysaccharide)ในเห็ดหลินจือในด้านการต้านการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดชัน และก็การปกป้องการทำลายเซลล์ตับในกรุ๊ปผู้ทดลองที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง 42 คน คำตอบทีแสดงถึงความสามารถของเห็ดหลินจือสำหรับในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบของตับ
อย่างไรก็แล้วแต่ ถึงแม้เห็ดหลินจืออาจช่วยต่อต้านปริกิรริยาขบวนการออกซิเดชันได้ แม้กระนั้นการทดลองดังที่กล่าวมาแล้วเป็นเพียงการค้นคว้าวิจัยขนาดเล็ก ควรศึกษาต่อไปเพื่อหาหลักฐานแล้วก็ข้อพสจน์ที่แจ่มกระจ่างที่แจ่มกระจ่างถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือ http://www.disthai.com/

4

ขิง
ขิง เป็นพืชที่มีเหง้าใต้ดิน ข้างนอกเหง้าเป็นน้ำตาลปนเหลือง เนื้อในสีขาวหรือเหลืองอ่อน มักนำมาประกอบอาหารด้วยเหตุว่าส่งกลิ่นหอม นอกจากนี้ ขิงยังใช้เป็นองค์ประกอบในเครื่องดื่ม สบู่ และก็เครื่องแต่งหน้าทั้งหลายเหมือนกัน ด้านประโยชน์ต่อสุขภาพ มีความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ขิงรักษาโรคหลากหลายชนิดมาอย่างช้านาน ดังเช่น โรคเกี่ยวกับระบบที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหารอย่างท้องเดิน มีแก๊สในกระเพาะ อาหารไม่ย่อย อาการเมารถเมาเรือ อาเจียน เบื่ออาหาร
คุณสมบัติของขิงมั่นใจว่ามีสารที่บางทีอาจช่วยลดอาการอาเจียนและก็ลดการอักเสบ โดยนักค้นคว้าโดยมากคาดว่าเป็นสารที่ออกฤทธิ์ในกระเพาะอาหารแล้วก็ลำไส้ แล้วก็สารนี้อาจมีผลต่อสมองหรือระบบประสาทส่วนที่ควบคุมอาการอาเจียนด้วย แต่การสันนิษฐานดังที่กล่าวถึงแล้วยังไม่กระจ่างนัก รวมทั้งคุณลักษณะด้านอื่นๆมีข้อมูลน้อยกว่า ซึ่งคุณประโยชน์ของขิงต่อร่างกายที่พวกเราเชื่อกันนั้น บัดนี้ด้านวิทยาศาสตร์มีข้อมูลแจกแจงไว้ดังนี้
การรักษาที่บางทีอาจสำเร็จ
อาการอ้วกคลื่นไส้ที่เกิดขึ้นจากการใช้ยาต้านทานไวรัสเอชไอวีหรือโรคภูมิคุมกันบกพร่อง คุณประโยชน์ทุเลาอาการอ้วกอาเจียนของขิงอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้เจ็บป่วยโรคนี้ที่เห็นแก่ได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยารักษาโรค โดยจากการเล่าเรียนผู้เจ็บป่วยจำนวน 102 คน แบ่งให้กลุ่มหนึ่งรับประทานขิง 500 กรัม อีกกรุ๊ปกินยาหลอกวันละ 2 ครั้ง ในช่วง 30 นาทีก่อนจะได้รับยารักษาโรคเอดส์อย่างยาต้านทานรีโทรไวรัส ตรงเวลาทั้งปวง 14 วัน พบว่าขิงช่วยลดอาการอาเจียนอ้วกที่เกิดจากการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องได้
อาการอาเจียนอ้วกภายหลังจากการผ่าตัด ขิงอาจช่วยบรรเทาอาการอาเจียนแล้วก็อ้วกจากการผ่าตัดได้อย่างเดียวกัน โดยการเล่าเรียนทางวิทยาศาสตร์ส่วนมากชี้ว่าการรับประทานขิง 1-1.5 กรัม ในช่วง 1 ชั่วโมงก่อนที่จะมีการผ่าตัดนั้นดูเหมือนจะช่วยลดอาการอ้วกอาเจียนที่บางทีอาจเกิดขึ้นในระหว่าง 1 วันหลังได้รับการผ่าตัด
งานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยหนึ่งทดลองแบ่งผู้เจ็บป่วยปริมาณ 122 คนที่รับการผ่าตัดต้อกระจกให้กินแคปซูลขิง 1 กรัม รวมทั้งอีกกลุ่มได้รับแคปซูลขิง 500 มิลลิกรัมแต่ว่าแบ่งให้ 2 คราวก่อนผ่าตัด ซึ่งผลสรุปพบว่าคนไข้ในกลุ่มหลังมีอาการคลื่นไส้คลื่นไส้น้อยครั้งและก็มีความร้ายแรงของอาการน้อยกว่า โดยงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยนี้พบว่าการใช้ขิงนั้นคงจะให้ประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกินเป็นประจำและบ่อยโดยแบ่งจำนวนการใช้
นอกเหนือจากนั้น การทดลองทาน้ำมันขิงรอบๆข้อมือของคนเจ็บก่อนเข้ารับการผ่าตัด พบว่าช่วยคุ้มครองอาการอาเจียนในคนป่วยโดยประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์จากผู้เข้ารับการผ่าตัดทั้งหมด แต่การใช้ขิงช่วยลดอาการอ้วกอาเจียนร่วมกับยาลดอ้วกอ้วกนั้นบางทีอาจให้ผลได้ไม่ดีนัก และการใช้ขิงกับคนเจ็บที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการอ้วกอ้วกน้อยอยู่และก็อาจไม่เป็นผลเหมือนกัน
อาการแพ้ท้อง การรับประทานขิงอาจมีส่วนช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง ยกตัวอย่างเช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือเวียนหัว ผลการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งที่ช่วยรับรองคุณสมบัตินี้เป็นการทดลองในหญิงที่มีอายุท้องต่ำยิ่งกว่า 20 อาทิตย์ ปริมาณ 120 คน ซึ่งเผชิญอาการแพ้ท้องวันแล้ววันเล่านานอย่างน้อย 1 อาทิตย์ และไม่รู้สึกดีขึ้นแม้ว่าจะเปลี่ยนการทานอาหารและตาม ภายหลังรับประทานสารสกัดจากขิง 125 มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากันกับขิงแห้ง 1.5 กรัม วันละ 4 ครั้ง 4 วัน ผลลัพธ์ได้ทำให้เห็นว่าขิงบางทีอาจสามารถประยุกต์ใช้ผลดีในฐานะการดูแลรักษาหนทางต่ออาการแพ้ท้องได้
ถือว่าสอดคล้องกับอีกงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยก่อนหน้าที่ชี้ว่าการรับประทานขิง 1 กรัมต่อวัน ติดต่อนาน 4 วัน สามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการคลื่นไส้อ้วกในหญิงมีครรภ์ที่มีลักษณะแพ้ท้องได้ แม้กระนั้นการใช้ขิงสำหรับคุณค่าด้านนี้อาจเห็นการรักษาได้ช้ากว่าหรือได้ผลดีไม่เทียบเท่าการใช้ยาแก้อาเจียนคลื่นไส้ ยิ่งกว่านั้น การเรียนเกี่ยวกับคุณลักษณะช่วยลดอาการแพ้ท้องของขิงยังมีความจำกัดและพบผลลัพธ์ที่ไม่บ่อยนัก โดยมีบางการทดสอบที่ชี้ว่าขิงบางทีอาจมิได้มีส่วนช่วยสำหรับในการลดอาการแพ้ท้องเหมือนกัน
อาการหน้ามืดศีรษะ อาการที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยการคลื่นไส้นี้บางทีอาจบรรเทาให้ดีขึ้นได้ด้วยการใช้คุณประโยชน์จากขิง จากการค้นคว้าที่ทดสอบด้วยการให้ผู้ที่มีลักษณะอาการบ้านหมุน และตากระเหม็นตุกจากการกระตุ้นโดยใช้อุณหภูมิรับประทานผงเหง้าขิง ปรากฏว่าเหง้าขิงช่วยลดอาการเวียนหัวหัวได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่กินยาหลอก แม้กระนั้นไม่ได้ช่วยลดช่วงเวลาหรือชะลอการกระตุกของตามากนัก
โรคข้อเสื่อม มีการเรียนรู้บางงานที่ชี้ว่าขิงอาจมีสรรพคุณลดลักษณะของการเจ็บที่เกิดจากโรคข้อเสื่อม จากการทดสอบหนึ่งที่ให้ผู้เจ็บป่วยรับประทานสารสกัดจากขิง (Zintona EC) ในปริมาณ 250 กรัม วันละ 4 ครั้ง พบว่าช่วยลดลักษณะของการปวดข้อเข่าภายหลังจากการดูแลและรักษาตรงเวลา 3 เดือน ส่วนอีกงานวิจัยที่ใช้สารสกัดจากขิงผสมกับข่า พบว่าให้ผลลัพธ์สำหรับเพื่อการช่วยลดลักษณะการเจ็บขณะยืน ลักษณะของการเจ็บข้างหลังเดิน และอาการข้อติด
นอกจากนั้น มีการเล่าเรียนเปรียบเทียบสมรรถนะระหว่างขิงรวมทั้งยาพารา โดยให้คนเจ็บโรคข้ออักเสบในกระดูกสะโพกแล้วก็ข้อเข่ากินสารสกัดขิง 500 มก.ทุกเมื่อเชื่อวัน วันละ 2 ครั้ง ขิงให้ผลบรรเทาลักษณะของการปวดได้เสมอกันกับการใช้ยาไอบูโพรเฟน 400 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง แล้วก็ยังมีงานศึกษาเรียนรู้วิจัยที่ชี้แนะว่าการนวดด้วยน้ำมันที่มีส่วนผสมของขิงและส้มบางทีอาจช่วยบรรเทาอาการปวดและก็เหน็ดเหนื่อยที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆของผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะอาการเจ็บหัวเข่าได้ด้วย
อาการปวดเมนส์ เว้นเสียแต่อาการปวดจากโรคข้อเสื่อม การเล่าเรียนบางงานยังชี้ว่าขิงอาจมีคุณลักษณะช่วยทุเลาอาการปวดประจำเดือน ดังเช่นว่า การทดลองในนักศึกษามหาวิทยาลัย 120 คน โดยให้รับประทานผงเหง้าขิงครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้งในช่วง 2 วันก่อนเริ่มมีระดูสม่ำเสมอไปจนกระทั่ง 3 วันแรกของการมีรอบเดือน รวมเบ็ดเสร็จเป็น 5 วัน พบว่าผงเหง้าขิงมีส่วนช่วยลดความร้ายแรงของลักษณะของการปวดเมนส์ได้อย่างมีนัยสำคัญด้านการศึกษาเปรียบเทียบสมรรถนะของขิงและยาลดลักษณะของการปวดประจำเดือนอย่างเมเฟนามิค (Mefenamic acid) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) 400 มก. ในอาสาสมัคร 150 คน โดยแบ่งกลุ่มกินแคปซูลขิงหรือยาแต่ละประเภทในปริมาณ 250 มก. วันละ 4 ครั้ง นาน 3 วัน โดยเริ่มตั้งแต่มีระดู ผลปรากฏไปในทิศทางเดียวกันกับงานศึกษาเรียนรู้วิจัยแรกเป็นขิงมีคุณภาพบรรเทาความรุนแรงของลักษณะของการปวดระดูไม่มีความแตกต่างกับการใช้ยาเมเฟนามิคหรือไอบูโพรเฟน
การดูแลและรักษาที่บางทีอาจไม่ได้ผล
อาการเมารถและก็เมาเรือ นับเป็นสรรพคุณของขิงที่มีการเอ๋ยถึงกันมากมาย แต่ว่าหากแม้ขิงบางทีก็อาจจะช่วยลดอาการวิงเวียนได้ แต่ว่าในการเวียนหัวคลื่นไส้ที่เกิดขึ้นมาจากการเดินทางนั้น งานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยโดยมากกล่าวว่าขิงอาจไม่มีส่วนช่วยได้จริง เช่น การแบ่งกรุ๊ปให้ผู้เรียนนายเรือ 80 คนที่ไม่คุ้นเคยกับการออกเรือท่ามกลางทะเลที่มีคลื่นแรง รับประทานเหง้าขิง 1 กรัม เทียบกับอีกกรุ๊ปที่กินยาหลอก ปรากฏว่ากรุ๊ปที่กินขิงนั้นมีอาการอาเจียนรวมทั้งตาลายลดลงจริงแต่อยู่ในระดับน้อยเท่านั้น หรือในอีกงานวิจัยที่ชี้ว่าการรับประทานผงขิงในปริมาณ 500 กรัม 1,000 กรัม หรือเหง้าขิงสด 1,000 มิลลิกรัม ต่างไม่มีส่วนช่วยในการคุ้มครองอาการเมารถหรือการทำงานของกระเพาะที่เกี่ยวข้องกับอาการเมารถที่เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด
การดูแลและรักษาที่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอต่อการระบุสมรรถนะ
อาการอ้วกอาเจียนจากการทำเคมีบำบัด อีกหนึ่งคุณประโยชน์คือลดอาการอ้วกและอ้วก ซึ่งมีการศึกษาเล่าเรียนทางวิทยาศาสตร์ แต่หลักฐานเกี่ยวกับการใช้ขิงในคนป่วยที่รับเคมีบำบัดนั้นยังเป็นที่คัดค้านกันอยู่ว่าจะมีส่วนช่วยได้จริงหรือไม่ การเล่าเรียนหนึ่งที่ชี้ถึงคุณประโยชน์ข้อนี้ของขิง โดยให้ผู้เจ็บป่วยรับประทานแคปซูลขิงที่มีขิง 0.5-1.5 กรัม เทียบกับยาหลอก ตั้งแต่ 3 วันก่อนวันทำเคมีบำบัดนานตลอดตรงเวลา 6 วัน พบว่า หรูหราความร้ายแรงของอาการคลื่นไส้ที่เกิดขึ้นภายหลังการดูแลและรักษาน้อยกว่ากรุ๊ปที่มิได้กินแคปซูลขิง แต่ได้ผลได้ชัดในกรุ๊ปที่ใช้แคปซูลขิง 0.5 กรัม กับ 1 กรัมแค่นั้น ส่วนกลุ่มที่รับประทานแคปซูลขิง 1.5 กรัมกลับได้ผลน้อยกว่า แปลว่าการกินขิงในจำนวนมากจึงบางทีอาจไม่ได้ทำให้อาการอ้วกดีขึ้นอย่างที่น่าจะเป็น
อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานที่โต้วาทีข้อสนับสนุนดังที่กล่าวผ่านมาแล้วซึ่งเป็นงานค้นคว้าวิจัยที่เปิดเผยว่าการกินขิงมิได้มีประสิทธิภาพดีไปกว่าการใช้ยาแก้อ้วก ทั้งนี้ ผลวิจัยที่ขัดแย้งกันนี้ คาดว่าอาจมีมูลเหตุมาจากจำนวนขิงที่ใช้ทดสอบนั้นแตกต่างกัน รวมถึงช่วงเวลาที่เริ่มรักษาด้วย ขิงจะนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านการแพทย์ในด้านนี้แล้วได้ผลหรือเปล่าอาจจะจะต้องมีการพิสูจน์เพิ่มเติมอีกถัดไป
โรคเบาหวาน คุณลักษณะของขิงต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของคนเจ็บโรคเบาหวานในขณะนี้ยังมีผลการศึกษาเรียนรู้ที่ไม่แน่นอน งานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยหนึ่งพบว่าการกินขิง 2 กรัม นาน 12 สัปดาห์ สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม ระดับไขมันในเลือด แล้วก็สารมาลอนไดอัลดีไฮด์ที่แสดงถึงระดับอนุมูลอิสระในคนเจ็บโรคเบาหวานจำพวกที่ 2 และก็บางทีอาจช่วยลดการเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังบางจำพวกจากโรคเบาหวานได้ ในเวลาเดียวกัน มีงานศึกษาเรียนรู้อื่นๆที่เสนอแนะว่าขิงนั้นส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดจริง แต่กลับไม่มีผลต่อระดับอินซูลิน หรือบางงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยบอกว่าขิงมีผลกับอินซูลิน แต่กลับไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดน้อยลง ซึ่งผลการค้นคว้าที่ต่างกันนั้นอาจมาจากปริมาณขิงหรือช่วงเวลาที่คนเจ็บได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นโรคโรคเบาหวานในแต่ละการทดลองนั้นไม่เท่ากันนั่นเอง
ของกินไม่ย่อย มีการวิจัยศึกษาคุณภาพของขิงในผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะอาการอาหารไม่ย่อยปริมาณ 11 คน โดยให้รับประทานแคปซูลที่ประกอบด้วยขิง 1.2 กรัมภายหลังจากการเลิกอาหาร 8 ชั่วโมง ผลปรากฏว่าขิงช่วยกระตุ้นให้กระเพาะมีการย่อยของกินแล้วก็มีการบีบตัวของกระเพาะส่วนปลาย แต่ทว่าการรับประทานขิงนั้นไม่เป็นผลต่ออาการที่เกี่ยวพันกับระบบทางเดินอาหารหรือสารเปปไทด์ในไส้ อย่างไรก็แล้วแต่ ผู้ร่วมการทดลองนี้มีจำนวนน้อย ทำให้ไม่บางทีอาจกำหนดได้อย่างแจ่มแจ้งว่าขิงช่วยลดอาการของกินไม่ย่อยได้แน่ๆแค่ไหน
อาการเมาค้าง เชื่อกันว่าการกินน้ำขิงจะสามารถช่วยบรรเทาอาการแฮงค์ซึ่งสำเร็จข้างเคียงจากการดื่มแอลกอฮอล์ได้ สำหรับประโยชน์ข้อนี้มีการค้นคว้าเมื่อนานมาแล้วที่แนะนำว่าการผสมขิงกับเปลือกด้านในของส้มเขียวหวาน รวมทั้งน้ำตาลก่อนดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยลดอาการแฮงค์ในตอนหลัง รวมถึงอาการอ้วก อ้วกและท้องเดิน แต่ การศึกษาดังที่กล่าวถึงมาแล้วยังถือว่าคลุมเครืออยู่มากและไม่บางทีอาจรับรองได้ว่าเกิดขึ้นจากขิงจริงๆหรือส่วนผสมอื่นๆที่ใช้ประกอบ
ลดคอเลสเตอรอล คุณลักษณะของขิงซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลนั้นได้มีการทดลองโดยให้ผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงกินแคปซูลขิงวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 กรัม ผลลัพธ์บอกว่าเมื่อเทียบกับผู้เจ็บป่วยกรุ๊ปที่กินยาหลอก ขิงมีประสิทธิภาพช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลลงได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งการใช้ขิงลดระดับคอเลสเตอรอลจะได้ผลดีจนกระทั่งสามารถประยุกต์ใช้รักษาคนเจ็บภาวการณ์นี้ได้ไหมอาจจะต้องรอการศึกษาเล่าเรียนในอนาคตที่ชัดแจ้งกันถัดไป
ลักษณะการเจ็บกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย คุณสมบัติด้านการบรรเทาปวดและก็ลดการอักเสบของขิงจะช่วยลดลักษณะของการเจ็บจากการบริหารร่างกายได้ด้วยหรือไม่นั้นยังคงไม่ชัดแจ้งและก็เป็นที่คัดค้านกันอยู่เช่นกัน จากการทดสอบหนึ่งที่ให้ผู้เข้าร่วมกินขิงสดหรือขิงที่ทำให้สุกด้วยความร้อนแล้ว 2 กรัมอย่างต่อเนื่องนาน 124 ชั่วโมง พบว่าขิงสดและขิงสุกต่างมีส่วนช่วยลดลักษณะของการเจ็บกล้ามเนื้อจากการบริหารร่างกายแบบหดยืดกล้ามได้ในระดับปานกลางไปจนถึงระดับมาก
แต่ว่าอีกการค้นคว้าวิจัยหนึ่งกลับพบผลในทางตรงกันข้าม จากการให้ผู้เข้าร่วมการทดลองที่ทำกิจกรรมออกกำลังกายยืดหดกล้ามแบบเดียวกัน รับประทานขิง 2 กรัมในตอน 24 ชั่วโมงและ 48 ชั่วโมงภายหลังจากการออกกำลังกาย พบว่าไม่ได้ส่งผลให้อาการเจ็บกล้าม การอักเสบ หรือเจ็บที่เกิดขึ้นจากการออกกำลังกายลดลง แต่นักวิจัยพบว่าการกินขิงอาจช่วยทำให้ลักษณะการเจ็บกล้ามเบาๆในแต่ละวัน ถึงแม้บางทีอาจไม่เห็นผลประโยชน์โดยทันที
อาการปวดศีรษะไมเกรน มีการเรียนกับผู้ป่วย 100 คน ที่เคยมีอาการปวดศีรษะไมเกรนฉับพลันโดยให้รับผงขิงหรือยารักษา http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรขิง

หน้า: [1]