รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - xcooiuty015s44

หน้า: [1]
1

รากสามสิบ
รากสามสิบ คุณประโยชน์ ว่านสามสิบ หนังสือเรียนยาพื้นบ้าน ใช้ ต้นหรือราก ต้มน้ำดื่ม แก้ตกเลือด และโรคคอพอก ราก มีรสฝาดเย็น กินเป็นยาแก้พิษร้อนในหิวน้ำ แก้เมื่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว ฝนทาแก้พิษแมลงป่องกัดต่อย แก้ปวดฝี ทำให้เย็น ทำลายพิษฝี พิษปวดแสบปวดร้อน ช่วยบำรุงรักษาเด็กในท้อง บำรุงตับ ปอด บำรุงกำลัง ผสมกับเหง้าขิงป่า แล้วก็ต้นจันทน์แดงผสมสุราโรงใช้เป็นยาแก้วิงเวียน ต้นหรือราก ต้มน้ำกิน แก้ตกเลือด แล้วก็โรคคอพอก ผล มีรสเย็น ปรุงเป็นยาแก้พิษไข้เซื่องซึม แก้พิษไข้กลับ ไข้ซ้ำ มักใช้ร่วมกับผลราชดัด เพื่อดับพิษไข้จากบิดเรื้อรัง
รากสามสิบ ส่งเสริมความรัก และ กระชับความข้องเกี่ยวให้ชีวิตครอบครัว คลายกล้ามเนื้อของมดลูก บำรุงหัวใจ ,แก้การอักเสบ ,บำรุงเลือด แก้ปวดรอบเดือน เมนส์มาไม่ปกติ ลดภาวะมีลูกยาก เสริมฮอร์โมนเพศหญิง กระชับช่องคลอด ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว บำรุงผิวพรรณ ลดสิวฝ้า ชลอความแก่ แก้อาการวัยทอง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Asparagus racemosus Willd.
ตระกูล : Asparagaceae
ชื่ออื่น : สาวร้อยผัว รากศตวารี จ๋วงเครือ (เหนือ) ผักชีช้าง (หนองคาย) ผักหนาม (จังหวัดโคราช) สามร้อยราก (กาญจนบุรี) สามสิบ ชีช้าง จั่นดิน ม้าสามต๋อน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้เลื้อย เนื้อแข็ง ลำต้นสีเขียว มีหนามแหลม มักเลื้อยพันตันไม้อื่น เลื้อยยาว 1.5-4 เมตร เถากลมเรียบ เถาอ่อนเป็นเหลี่ยม ตามข้อเถามีหนามแหลม มีเหง้าและรากใต้ดินออกเป็นกระจุกคล้ายกระสวยออกเป็นพวงคล้ายรากกระชาย อวบน้ำ เป็นเส้นกลมยาว โตกว่าเถามาก ลำต้นมีหนาม เถาเล็กเรียว กลม สีเขียว ใบคนเดียว แข็ง ออกรอบข้อ เป็นฝอยเล็กๆเหมือนหางกระรอก สีเขียวดก หรือเป็นกระจุก 3-4 ใบ เรียงแบบสลับ ใบรูปเข็ม กว้าง 0.5-1 มม. ยาว 3-6 ซม. แผ่นใบมักโค้ง สันเป็นสามเหลี่ยม มี 3 สัน ปลายใบแหลม เป็นรูปเคียว โคนใบแหลม มีหนามที่ซอกกลุ่มใบ ก้านใบยาว 13-20 เซนติเมตร ช่อดอก ออกที่ปลายกิ่งหรือซอกใบ แบบช่อกระจะ ยาว 2-4 เซนติเมตร ดอกย่อย สีขาว ขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมหวน มี 12-17 ดอก ก้านดอกย่อย ยาวราว 2 มม. กลีบรวม มี 6 กลีบ เชื่อมกันเป็นหลอดรูปดอกเข็ม ปลายแยกเป็นแฉก ส่วนหลอดยาว 2-3 มม. ส่วนแฉกรูปช้อน ยาว 3-4 มม. กลีบดอกบางและก็ร่น เกสรเพศผู้ เชื่อมและก็อยู่ตรงข้ามกลีบรวม ขนาดเล็กมี 6 อัน ก้านยกอับเรณูสีขาว อับเรณูสีน้ำตาลเข้ม รังไข่รูปไข่กลับ ยาวโดยประมาณ 1 มิลลิเมตร อยู่เหนือวงกลีบ มี 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวุล 2 เมล็ด หรือมากกว่า ก้านเกสรเพศเมียสั้น ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็นสามแฉกขนาดเล็ก ผลสด ออกจะกลม หรือเป็น 3 พู ผิวเรียบวาว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-6 มม. ผลอ่อนสีเขียวเมื่อสุกสีแดงหรือม่วงแดง เม็ดสีดำ มี 2-6 เม็ด ออกดอกตอนเดือนเมษายนถึงมิถุนายน เจอตามป่าโปร่ง หรือเขาหินปูน
สาวร้อยสามีหรือรากสามสิบ เป็นสมุนไพรไทยมีรสขนมหวานเย็น ที่ซ่อนเร้นไปด้วยสรรพคุณขนานเอก บำรุงเครื่องเพศในสตรี และยังเสริมสมรรถภาพทางเพศให้แก่ชาย
นิยมนำส่วนของใบอ่อน ยอดอ่อน ผลอ่อน ซึ่งมีกลิ่นหอมสดชื่นคล้ายผักชีลาว มารับประทานเป็นผัก และนำส่วนของรากที่มีลักษณะคล้ายกระชาย แต่มีขนาดใหญ่และยาวกว่าอีกทั้งมีกลิ่นหอม มาใช้ดองยาสมุนไพร ชูกำลังในสตรีด้วยคุณประโยชน์ที่สอดคล้องกับชื่อที่เรียกชื่อกันว่า สาวร้อยสามี ที่สื่อความหมายได้ว่า ไม่ว่าสาวใด อายุเท่าไร อยู่ในวัยมีระดูหรือหมดเมนส์ก็ตาม แม้ได้ทานหัวพืชประเภทนี้เสมอๆ จะช่วยทำให้มองเป็นสาวกว่าวัย มีพลังทางเพศ รวมทั้งยังช่วยเพิ่มขนาดของอก ด้วยวิธีการนำรากสดมาต้มรับประทานหรือไม่ก็อาจจะนำรากไปตากแห้ง แล้วนำมาบดเป็นผงปั้นเป็นลูกกลอนผสมกับน้ำผึ้งกินก็ได้เหมือนกันตามตำราอายุรเวท มีการใช้รากสามสิบเป็นสมุนไพรหลักสำหรับบำรุงในเพศหญิง ช่วยทำให้สตรีกลับมาเป็นสาวได้อีกครั้ง
ในอินเดียก็เรียกสมุนไพรจำพวกนี้คล้ายกับประเทศไทย โดยในภาษาสันสกฤต เรียกว่า ศตาวรี (Shtavari) หมายความว่า ต้นไม้ที่มีรากหนึ่งร้อยราก หรือบางตำราพูดว่าคือ สตรีที่มีร้อยผัว “Satavari” (this is an India word meaning’a woman who has a hundred husbands) รากสามสิบเป็นสมุนไพรที่ถูกกล่าวถึงในตำรา พระเวท ซึ่งเป็นคำภีร์ที่มีมาก่อนอายุรเวทด้วยซ้ำ จึงน่าจะนับว่าเป็นสมุนไพรที่มีการใช้มานานหลายพันปีแล้ว และก็ในอินเดียใช้ รากสามสิบ ทำเป็นอาหารหวานเช่นเดียวกับประเทศไทย
ในตำราเรียนอายุรเวทใช้รากสามสิบเป็นสมุนไพรหลักสำหรับบำรุงในผู้หญิง ในการทำให้สตรีกลับมาเป็นสาว (Female rejuvention) ยิ่งกว่านั้นยังช่วยไขปัญหาอื่นๆของสตรีเป็นต้นว่า ภาวการณ์ระดูไม่ปกติ ปวดประจำเดือน ภาวการณ์มีลูกยาก ตกขาว ภาวะอารมณ์ทางเพศเสื่อมโทรม สภาวะหมดปะจำเดือน(menopause) และใช้บำรุงนมบำรุงท้อง คุ้มครองปกป้องการแท้ง (habitual abortion) และอาการที่ไม่พึงปรารถนาอื่นๆของหญิง
แม้สมุนไพรจำพวกนี้จะเด่นต่อเพศหญิงแล้ว ในอินเดียยังคงใช้ในการเพิ่มพลังทางเพศให้กับผู้ชายอีกด้วย ซึ่งก็อาจจะคล้ายกับทางภาคเหนือของไทยที่ใช้สาวร้อยผัว หรือที่เรียกในภาคเหนือว่า “ม้าสามต๋อน” เป็นยาดองเพื่อเพิ่มพลังทางเพศชาย แล้วก็ยังคงใช้เพื่อสรรพคุณทางยาอื่นๆอีกมากมาย ตัวอย่างเช่น ยาแก้ไอ ยารักษาโรคกระเพาะ ยาแก้บิด แก้ไข้ แก้อักเสบ ซึ่งจัดได้ว่าสมุนไพรจำพวกนี้เป็นสมุนไพร ที่ใช้มากที่สุดในอินเดียประเภทหนึ่ง ปัจจุบันนี้มีสารสกัดด้วยน้ำ ของรากสามสิบ จากอินเดียไปที่อเมริกา ในลักษณะเป็น dietary supplement หรือพวกอาหารเสริมซึ่งสามารถขายได้ ทั่วๆไปไม่ต้องมีใบสั่งหมอ

คุณประโยชน์สมุนไพรรากสามสิบ (รากศตวารี)
ช่วยสร้างสมดุล แก่ระบบฮอร์โมนผู้หญิง
แก้ปวดประจำเดือน
แก้ระดูมาแตกต่างจากปกติ
แก้อาการตกขาว
ไขปัญหาช่องคลอดอักเสบ ช่วยดับกลิ่นในช่องคลอด
ช่วยให้ช่องคลอดกระชับ
ขจัดปัญหาการมีลูกยาก คุ้มครองปกป้องการแท้งลูก
บำรุงน้ำนม
ช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว
ช่วยระบาย ขับปัสสาวะ
ลดกลิ่นเต่า กลิ่นปาก
ช่วยเพิ่มขนาดทรวงอก และสะโพก
กระชับรูปทรง
ช่วยลดไขมันส่วนเกิน
ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
บำรุงเลือด และก็บำรุงหัวใจ
บำรุงฮอร์โมนเพศ
บำรุงผิวพรรณ
ลดสิว ลดฝ้า ช่วยผิวขาวใส
แก้อาการวัยทอง ชะลอความแก่
ใช้รักษาโรคตับ ปอดพิการ
บำรุงกำลัง แก้กระษัย
ข้อควรปฏิบัติตามสำหรับการใช้รากสามสิบ
รายงานการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์พบว่ารากสามสิบมีฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจน โดยเหตุนี้จึงห้ามประยุกต์ใช้ในสตรีที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ตัวอย่างเช่น คนไข้โรค uterine fribrosis หรือ fibrocystic breast
ผลที่เกิดขึ้นจากการวิจัยสมุนไพรรากสามสิบ
การเรียนรู้ในหนูแรทของสารสกัดรากด้วยเอทานอลต้นรากสามสิบ แบ่งเป็น 2 ตอนเป็นช่วงเฉียบพลัน และก็ตอนยาวสม่ำเสมอ
โดยการศึกษาในระยะเฉียบพลันป้อนสารสกัดเอทานอลต้นรากสามสิบขนาด 1.25 กรัม/กก. ให้กับหนูแรทที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน รวมทั้งหนูแรทที่เป็นโรคเบาหวานจำพวกที่ 1 แล้วก็ ชนิดที่ 2 พบว่าไม่เป็นผลลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่ช่วยทำให้ทนต่อการเพิ่มขึ้นของกลูโคส (glucose tolerance) ในนาทีที่ 30 ดียิ่งขึ้น แล้วก็การศึกษาเล่าเรียนช่วงยาวต่อเนื่องโดยป้อนสารสกัดเอทานอลรากสามสิบขนาด 1.25 กรัม/กิโลกรัมวันละ 2 ครั้ง นาน 28 วัน ให้กับหนูที่เป็นเบาหวานจำพวกที่ 2 ตอนที่หนูโรคเบาหวานกลุ่มควบคุมได้รับน้ำในขนาดที่เสมอกัน พบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และเพิ่มระดับของอินซูลิน 30% เมื่อเทียบกับกลุ่มโรคเบาหวานควบคุม นอกเหนือจากนี้ยังเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มระดับอินซูลินในตับอ่อน รวมทั้งเพิ่มกลัยโคเจนที่ตับเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มเบาหวานควบคุม จากการศึกษาเล่าเรียนในคราวนี้สรุปได้ว่าฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของสารสกัดรากสามสิบน่าจะเป็นผลมาจากการหยุดยั้งการย่อยแล้วก็การดูดซึมสารคาร์โบไฮเดรต และก็การเพิ่มการหลั่งอินซูลิน ซึ่งต้นรากสามสิบน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการเอามารักษาคนป่วยโรคเบาหวานได้
ที่มา : หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล http://www.disthai.com/

2

เห็ดหลินจือ
สปอร์เห็ดหลินจือแดง-ส่วนที่ทรงคุณค่าที่สุดของเห็ดหลินจือ
เมื่อ ค.ศ 2005 บริษัทของพวกเรามีจุดเริ่มขึ้นจากความต้องการหาสมุนไพรประสิทธิภาพสูงจากในหลายประเทศ ตราบจนกระทั่งพวกเราพบรวมทั้งมีส่วนร่วมกับบริษัทยยาของรัฐบาลจีน รวมทั้งได้ นำเข้าสปอร์เห็ดหลินจือประสิทธิภาพสูงจากนั้นมา
นับ 10 กว่าปี ที่เราเป็นผู้ก่อกำเนิด แล้วก็เป็นหัวหน้าในด้านสปอร์เห็ดหลินจือแดงประสิทธิภาพสูง คุณภาพเป็นหัวใจสำคุณของเรา สปอร์เห็ดหลินจือของพวกเรา จะถูกคัดสรรอย่างดีก่อนถึงมือบริโภค เห็ดหลินจือแดงที่เรานำเข้ามา ถูกเพาะด้วยวิธีละเอียดลออ ทำให้จับตัวได้ดอกเห็ดที่มีขนาดใหญ่มากยิ่งกว่า
พวกเราใส่ใจและก็วิเคราะห์คุณภาพในทุกขั้นตอนการผลิตอย่างใกล้ชิด รวมทั้งด้วยแนวทางการผลิตที่ดูแลอย่างยอดเยี่ยม ทำให้พวกเราได้รับการยืนยันมาตฐาน GMP (GOOD Manufacturing Practice) ทุกล็อตที่พวกเราผลิตออกมา จะได้รับการตรวจคุณภาพจากห้องแล็ปในโรงหมอ
เพื่อคุณประโยชน์สูงสุดของท่านผู้ที่กำลังหาผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือมารับประทาน
งานศึกษาวิจัยรับรองว่าการกินสปอร์เห็ดหลินจือจะได้ประสิทธิภาพที่ดีมากยิ่งกว่าการทานดอก เนื่องจากสปอร์มีสารออกฤทธิ์สำคัญมากกว่ารวมทั้งสปอร์ที่ถูกกระเทาะนั้น เปลือกจะต้านมะเร็ง และเสริมภูมิต้านทานได้ดียิ่งไปกว่า เทียบกับแบบไม่ได้กระเทาะเปลือก
ที่พลาดมิได้ที่สุดคือ.....
ท่านๆสามารถบริโภคเห็ดหลินจือได้ติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่เป็นอันตรายใด อีกกด้วย เห็ดหลินจือมีมากว่า 100 สายพันธุ์แต่สายพันธุ์ที่มีสรรพคุณทางยาดีเยี่ยมที่สุดคือเห็ดหลินจือแดง ด้วยเหตุว่าสายพันธุ์นี้จะมีสารออกฤทธิ์กรุ๊ป Polysaccharide อยู่เป็นอย่างมากที่สุด
ส่วนท่านที่กำลังเลือกซื้อเห็ดหลินจือออกมาขายในท้องตลาดต้นแบบต่างๆมากไม่น้อยเลยทีเดียว ในแบบดอกอบแห้ง แคปซูล น้ำเห็ดหลินจือ กาแฟเห็ดหลินจืออื่นๆอีกเยอะมาก
ด้วยเหตุนั้นการจะเลือกซื้อเห็ดหลินจือให้ได้แบบที่มีคุณภาพดี จะต้อง......
มองตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต ว่าตัวเห็ดหลินจือนั้นได้รับการเลี้ยงที่สมควรหรือปล่าว เนื่องจากการควบคุมอณหภูไม่ ความชุ่มชื้น สารอาหาร และวิธีการแปลรูปล้วนส่งผลต่อจำนวนสาระสำคัญในตัวเห็ดหลินจือ บรรจุภัณฑ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากว่าเห็ดหลินจือจะขึ้นราได้ง่ายเมื่อโดนความชื้อ ด้วยเหตุดังกล่าวตัวบรรจุภัณฑ์จึงควรเลือกเป็นขวดที่กันความชื้อเจริญอีกด้วย
เห็ดหลินจือกับประโยชน์ต่อสุขภาพ
เห็ดหลินจือ (Lingzihi หรือ  REISHI)มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า กาโนเดอร์ มา ลูสิดัม (Ganoderma Lucidum) เป็นเห็ดที่มีขนาดใหญ่ มีสีแก่มีผิวแวววาว มีลักษณะเหมือนไม้ และก็มีรสขม มีประวัตศาสตร์นานในการใช้เห็ดหลินจือ เพื่อรักษาหรือบำรุงสุขภาพในประเทศแถบเอเซีย โดย เฉพาะประเทศจีนและญี่ปุ่น เนื่องมาจากเชื่อว่าสารประกอบภายในเหลืดหลินจือมีคุณประโยชน์ต่อสภาพทางด้านร่างกาย
ในเห็ดหลินจือมีสารอาหารที่อาจเป็นผลดีต่อร่างกายจำนวนมาก จำพวกเส้นใยต่างๆโปรตีนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินแล้วก็ธาตุบางจำพวก เชเนแคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัสแมกนีเซียม เซเลเนียม ธาตุเหล็ก สังกะสี มองแดง สารโมเลกุลชีวภาพที่สำคัญ เย่างสเตียรอยด์(Steroids) เทอร์ปีนป่ายอยด์ (Terpenoide) นิวคลีโอไทด์ (Nucleotides) ไกลโคโปรตีน (Glycoproteins)พอลิแซ็กคาไรค์ (Polrsacchayides) และก็สารอนุพันธ์อื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดอะมิโนไลซีน (Lysine) รวมทั้งลิวซีน (Leucine)โดยเหตุนี้ มีบางคนหรือในบางวัฒนธรรมนำเห็ดหลินจือมาทำอาหารรวมทั้งแปรรูปเพื่อการบริโภคอย่างหลากหลาย นักวิทยาศาสตร์ก็เลยให้ความสนใจและก็นำเห็ดหลินจือมาทดลองหาประสิทธิผลทางการรักษารวมทั้งการบำรุงสุขภาพ เพื่อพิสูจน์ว่าเห็ดชนิดนี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของคนเราจริงหรือไม่

เห็ดหลินมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพที่อาจเป็นได้จริงหรือ?
หากแม้มีการค้นคว้าทดลองมากเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณประโยชน์ที่บางทีอาจเป็นได้ของเห็ดหลินจือ
แต่ในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และก็การแพทย์ที่แจ่มแจ้งถึงคุณสมบัติและก็คุณประโยชน์ที่อาจเป็นได้ของเห็ดหลินจือแต่ว่า ในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือเครื่องพิสูจน์ด้านวิทยาศาสตร์แล้วก็การแพทย์ที่ชัดแจ้งถึงคุณสมบัติและก็ประสิทธิผลด้านใดๆโดยเหตุนี้ ผู้ซื้อควรทำการศึกษาเรียนรู้และทำการค้นคว้าข้อมูลของเห็ดหลินจือ จำนวนแล้วก็กระบวนการบริโภคที่สมควร และข้อกำหนดต่างๆและปัจจัยทางสุขภาพของตนให้ดีก่อนจะมีการบริโภค
แบบอย่างงานค้นคว้าที่เรียนรู้เกี่ยวกับเห็ดหลินจือที่อาจมีผลต่อร่างกาย
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
งานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยหนึ่งได้ทดลองหาประสิทธิผลและความปลอดภัยของการบริโภคอาหารเสริมเห็ดหลืนจือในผู้เจ็บป่วย โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ปริมาณ 32 ราย  ผลสรุปคือ เห็ดหลินจืออาจมีคุณประโยชน์ในด้านการหยุดอาการปวด ไม่มีอันตรายต่อการกินเข้าสู่ร่างกายและไม่ส่งผลข้างเคียง อย่างไรก็ดี กลับไม่ปรากฏผลที่มีนัยสำคัญในการต่อต้านปฎิกิริยาขบวนการออกซิเดชัน การต้านการอักเสบ หรือผลของการปรับระบบภูมิต้านทานแต่อย่างใด
เพิ่มความสามารถร่างกาย
มีการทดสอบที่ทดลองคุณภาพของเห็ดหลินจือในด้านการเพิ่มสรรถยนต์ภาพของร่างกาย โดยได้ ทดสอบในคนไข้โรคปวดกล้ามไฟโปรไมอัลเจีย (Fibromyalgia)เพศหญิงปริมาณ 64 ราย ตลอดเวลาการทดลอง 6 อาทิตย์ คนป่วยบริโภคเห็ดหลินจือจำนวน 6 กรัม/วัน จากนั้นจึงทดลองสมรรถภาพร่างกายของคนไข้ ผลการทดลองแล้วก็วางแผนการรักษาคนไข้โรคนี้ต่อไป แม้กระนั้นยังคงขาดหลักฐานเกื้อหนุนที่แจ่มแจ้ง จำเป็นจะต้องมีการทำการวิจัยในด้าน เพื่อหาหลักฐานและข้อยืนยันที่แนชัดถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือถัดไป
ต้านการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดชัน และปกป้องการทำลายเซลล์ตับ
จากการทดสอบหาคุณภาพของสารสามเทอร์พีนอยด์ (Trirpenoids)รวมทั้งโพลีแซ็กคาไรด์(Polysaccharide)ในเห็ดหลินจือในด้านการต้านการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดชัน และการป้องกันการทำลายเซลล์ตับในกลุ่มผู้ทดลองที่มีร่างกายแข็งแรง 42 คน คำตอบทีแสดงถึงประสิทธิภาพของเห็ดหลินจือในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ และยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบของตับ
แต่ หากแม้เห็ดหลินจืออาจช่วยต้านปริกิรริยาออกซิเดชันได้ แม้กระนั้นการทดลองดังที่กล่าวถึงมาแล้วเป็นเพียงแค่การศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยขนาดเล็ก ควรศึกษาเรียนรู้ต่อไปเพื่อหาหลักฐานและก็ข้อพสจน์ที่แน่ชัดที่กระจ่างแจ้งถึงประสิทธิผลของเห็ดหลินจือ http://www.disthai.com/

3

บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)12 ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่พวกเราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชวงศ์เดียวกันกับบุกจำพวกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แม้กระนั้นต่างพันธุ์กัน ซึ่งมีคุณลักษณะรวมทั้งคุณประโยชน์ทางยาที่ใกล้เคียงกัน และก็สามารถนำมาใช้แทนกันได้
บุก
บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum
บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในสกุลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า หมอ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), หมอยื่อ (ภาษาจีนกลาง) ฯลฯ
ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่แก่หลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นราวๆ 50-150 ซม. หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ รูปแบบของหัวเป็นรูปค่อนข้างจะกลมแบนเล็กน้อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราวๆ 25 เซนติเมตร ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นรวมทั้งกิ่งไม้มีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายทาสีขาวปะปนอยู่
หัวบุก
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขน มีใบย่อยเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดยาวราวๆ 15-20 เซนติเมตร
ใบบุก
ดอกบุก ออกดอกเป็นดอกโดดเดี่ยว รูปแบบของดอกเป็นทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวราว 30 เซนติเมตร สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
ดอกรวมทั้งผลบุก
บุกคางคก
บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam
บุกคางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในสกุลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อแคว้นอื่นๆว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (จังหวัดสกลนคร), กระบุก (บุรีรัมย์), บุกคางคก บุกระอุงคก (จังหวัดชลบุรี), หัวบุก (ปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกึ่งกลาง), บุก (ทั่วไป), กระแท่ง บุกรอคอย หัววุ้น (ไทย), บุกอีรอคอยกเขา ฯลฯ
ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกชนิดกะแท่งหรือเท้าคุณยายม่อมหัว มีอายุได้นานยาวนานหลายปี มีความสูงของต้นราว 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอ้วนแล้วก็อวบน้ำไม่มีแก่น ผิวขรุขระ ลำต้นกลมรวมทั้งมีลายเขียวๆแดงๆลักษณะที่คล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นเพาะพันธุ์ด้วยแนวทางแยกหน่อ พรรณไม้ชนิดนี้จะเจริญเติบโตในช่วงฤดูฝน และก็จะร่วงโรยไปในช่วงต้นหน้าหนาว ในประเทศไทยพบได้บ่อยขึ้นเองตามป่าราบริมหาดและที่อำเภอศรีราชา ส่วนในต่างชาติบุกคางคกนั้นเป็นพืชประจำถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจอได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนกระทั่งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
ต้นบุกคางคก
หัวบุกคางคก เป็นส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะค่อนข้างกลมรวมทั้งมีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวตะปุ่มตะป่ำ เส้นผ่านศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 ซม.ขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดและเป็นเมือกลื่น มียาง โดยเฉพาะหัวสด ถ้าหากสัมผัสเข้าจะทำให้เกิดอาการคันได้ ก่อนนำมาปรุงเป็นของกินนั้นก็เลยจำเป็นต้องทำให้เป็นมูกโดยการต้มในน้ำเดือดเสียก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแต่ 1 กรัม ไปจนถึง 35 โล
บุกคางคก
ใบบุกคางคก ใบเป็นใบลำพัง ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแผ่ออกคล้ายกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าหาเส้นกลางใบ ส่วนขอบของใบจะเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำและยาวได้ประมาณ 150-180 ซม.
ใบบุกคางคก
ดอกบุกคางคก มีดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงปนสีน้ำตาล (ขึ้นกับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบตกแต่งเป็นรูปหุ้มห่อช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นและบานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศภรรยาอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นเหมือนซากสัตว์เน่า
ดอกบุกคางคุก
ผลบุกคางคก ผลได้ผลสด เนื้อนุ่ม ลักษณะของผลเป็นทรงรียาว ปริมาณยาวราวๆ 1.2 ซม. ผลมีมากไม่น้อยเลยทีเดียวติดกันเป็นช่อๆ(สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนกระทั่งสีแดง ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 1-3 เมล็ด โดยมีสันขั้วเมล็ดของแต่เม็ดแยกออกจากกัน เมล็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่
สรรพคุณของบุก
หัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ และระบบทางเดินอาหาร มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต (หัว)
ใช้เป็นอาหารสำหรับผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานและผู้เจ็บป่วยโรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำกิน โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว เอามาชงกับน้ำดื่มก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ
หัวใช้เป็นยารักษาโรคโรคมะเร็ง (หัว)
ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว)
ช่วยแก้อาการไอ (หัว)
หัวใช้เป็นยากัดเสลด ละลายเสลด ช่วยกระจัดกระจายเสมหะที่อุดตันบริเวณหลอดลม (หัว)
หัวบุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสมหะเถาดาน และเลือดจับกันเป็นก้อน (หัว)
หัวนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว)
ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
ช่วยแก้ระดูไม่มาของสตรี (หัว)6 ช่วยขับระดูของสตรี (ราก)
หัวนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคตับ (หัว)
ใช้แก้พิษงู (หัว)
ใช้เป็นยาแก้แผลไฟเผาน้ำร้อนลวก (หัว)
หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่รอยแผล กัดฝ้ารวมทั้งกัดหนองได้ดิบได้ดี (หัว)1,2,3,4 บางข้อมูลระบุว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก)
ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)6
หัวใช้เป็นยาพาราบวม แก้ฟกช้ำดำเขียว (หัว)
บุก เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณยิ่งกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มสมรรถนะทางเพศ โดยคุณนิล สกุณา (บ้านหนองพลวง ตำบลโคกกึ่งกลาง อำเภอลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์) ชี้แนะให้ทดลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พิงปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเม็ดเอามาย่างไฟให้หอมก่อน แล้วใช้ผูกกับไม้ห้อยจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำเพียงพอท่วมเม็ดบุก ต้มจนเมล็ดบุกตกลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดรวมทั้งให้เพิ่มน้ำตาลพอสมควรลงไปต้มให้พอเพียงหวาน หลังจากนั้นทดลองลองมอง ถ้าเกิดยังมีอาการคันคออยู่ก็ให้เติมน้ำตาลเพิ่มแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยลองใหม่ ถ้าไม่มีอาการคันคอก็แสลงว่าใช้ได้ แล้วก็ให้นำสมุนไพรโด่ไม่รู้เรื่องล้มใส่เข้าไปด้วยประมาณ 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปลดปล่อยให้เย็นแล้วก็เก็บเอาไว้ในตู้แช่เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก ประมาณ 30 นาที จะปวดท้องเยี่ยวโดยธรรมชาติ ภายหลังจากอาวุธนั้นจะพร้อมสู้ในทันที (ผล)
หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วเอามาชงกับน้ำดื่ม ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำดื่มก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ2 ส่วนการใช้ตาม 6 ให้ใช้ทีละ 10-15 กรัม (เข้าใจว่าเป็นส่วนของหัว) เอามาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง จึงสามารถเอามากินได้ ถ้าเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือเอามาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ชะล้างบริเวณที่เป็นแผล
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) จำนวนไม่ใช่น้อย ที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้าและก็ก้านใบถ้าหากปรุงไม่ดีแล้วกินเข้าไปจะทำให้ลิ้นพองและก็คันปากได้8ก่อนนำมารับประทานจะต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่กินกากยาหรือยาสด6
กระบวนการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำพอเพียงแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นทีแรก แล้วค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อพิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกุมกันเป็นก้อน จึงสามารถใช้ก้อนดังที่กล่าวผ่านมาแล้วสำหรับในการทำอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้6หากอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้รับประทานน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบแพทย์
เนื่องมาจากวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่ต่ำกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) จึงไม่สมควรบริโภควุ้นบกภายหลังการกิน แต่ให้รับประทานก่อนกินอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคอาหารที่สร้างขึ้นมาจากวุ้น ได้แก่ วุ้นก้อนรวมทั้งเส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมของกินหรือหลังรับประทานอาหารได้ เพราะเหตุว่าวุ้นดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นได้ผ่านแนวทางการแล้วก็ได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว รวมทั้งการการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นก็เลยเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของคุณประโยชน์ทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เพราะไม่มีการย่อยสลายเป็นน้ำตาลในร่างกาย และไม่มีวิตามินและก็ธาตุ หรือสารอาหารใดๆก็ตามที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพเลยกลูวัวแมนแนนมีผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันน้อยลง (ดังเช่น วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค) ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดผลเสียและไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่ว่าจะไม่เป็นผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (ได้แก่ วิตามินบีรวม วิตามินซี)
การกินผงวุ้นบุกในปริมาณมาก อาจจะส่งผลให้มีอาการท้องเสียหรือท้องขึ้น มีอาการกระหายน้ำมากกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการเมื่อยล้าด้วยเหตุว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุก
สารที่เจอ ตัวอย่างเช่น สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีนบุก, วิตามินบี, วิตามินซี รวมทั้งยังเจอสารที่เป็นพิษหมายถึงConiine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกเจอสาร Uniine และวิตามินบีที่ก้านช่อดอก6 และหัวบุกยังมีโปรตีนอยู่จำนวนร้อยละ 5-6 รวมทั้งมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงร้อยละ 672หัวบุกมีสารสำคัญเป็นกลูโคแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ซึ่งประกอบด้วยกลูโคส แมนโนส แล้วก็ฟรุคโตส สารกลูวัวแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องจากมีความเหนียว ช่วยยับยั้งการดูดซึมของกลูโคสจากทางเดินอาหาร ยิ่งหนืดมากก็ยิ่งส่งผลการดูดซึมกลูโคส โดยเหตุนั้น กลูโคแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum จึงสามารถลดน้ำตาลได้ดีมากยิ่งกว่า จึงใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นของกินสำหรับคนเจ็บโรคเบาหวานและก็สำหรับผู้ที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงสารกลูวัวแมนแนน (Glucomannan) จะมีปริมาณต่างกันออกไปตามประเภทของบุก5
แป้งจากหัวบุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนราว 90% แล้วก็สิ่งปลอมปนอื่นๆเป็นต้นว่า alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่างๆsulfates, chloride, และก็พิษอื่น โมเลกุลของกลูวัวแมนแนนนั้นหลักๆแล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองประเภทเป็นเดกซ์โทรส 2 ส่วน รวมทั้งแมนโนส 3 ส่วน โดยประมาณ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลจำพวกที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลจำพวกแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งต่างจากแป้งที่พบในพืชทั่วๆไป ก็เลยไม่ถูกย่อยโดยกรดแล้วก็น้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เพื่อให้น้ำตาลที่ให้พลังงานได้8 นอกเหนือจากกลูวัวแมนแนนจะเจอได้ในบุกแล้ว ยังพบได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย9
กลูโคแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำรวมทั้งพองตัวได้มากถึง 200 เท่า ของจำนวนเดิม เมื่อเรากินกลูวัวแมนแนนก่อนรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงทีละ 1 กรัม กลูโคแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากมายในกระเพาะอาหารของพวกเรา แล้วมีการขยายตัวจนถึงทำให้พวกเรารู้สึกอิ่มอาหารได้เร็วและก็อิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เรารับประทานได้ลดลงกว่าธรรมดาด้วย ทั้งยังกลูโคแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมาก กลูวัวแมนแนนจึงช่วยในการควบคุมน้ำหนักรวมทั้งเป็นอาหารของคนที่อยากได้ลดหุ่นได้อย่างดีเยี่ยม8
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่รับประทานทีละ 15 กรัม ต่อ 1 กิโลกรัม ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูต่ำลงคิดเป็น 44% แล้วก็ Triglyceride ต่ำลงคิดเป็น 9.5%6
สาร Glucomannan มีฤทธิ์ดูดซับน้ำในกระเพาะรวมทั้งไส้ก้าวหน้ามากมาย และยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในไส้ให้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีการขับของที่ค้างในลำไส้ได้เร็วขึ้น6สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้5
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีลักษณะอาการบวมที่ขากินทีละ 15 กรัม ต่อ 1 กก. พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูลดน้อยลง6
คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากบุกคนไทยเรานิ http://www.disthai.com/

หน้า: [1]