รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - xdc3oo7s5q

หน้า: [1]
1
อื่น ๆ / ความเป็นมาของต้นราชพฤกษ์
« เมื่อ: กันยายน 03, 2018, 03:26:48 AM »

ราชพฤกษ์
ราชพฤกษ์ ชื่อสามัญ Golden shower, Indian laburnum, Pudding-pine tree, Purging Cassia
ราชพฤกษ์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cassia fistula L. จัดอยู่ในตระกูลถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และก็อยู่ในตระกูลย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)
สมุนไพรราชพฤกษ์ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า กุเพยะ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), ปูโย ปีอยู เปอโซ แมะหล่าอยู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ลักเกลือ ลักเคย (กะเหรี่ยง), ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ (ภาคกึ่งกลาง), ลมแล้ง (ภาคเหนือ), ราชพฤกษ์ (ภาคใต้), คูน (ทั่วไปเรียกและก็มักจะเขียนไม่ถูกหรือสะกดไม่ถูกเป็น “ต้นคูณ” หรือ “คูณ“) เป็นต้น
คำว่า “ราชพฤกษ์” แปลว่า “ต้นไม้ของพระราชา” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของงานมหกรรมแสดงนิทรรศการพืชสวนโลกซึ่งจัดขึ้นเพื่อสังสรรค์ในวโรกาสอันเป็นมหามงคลที่พระราชาของเราทรงครองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปี
ต้นราชพฤกษ์ ต้นไม้ประจำชาติไทย
เมื่อปี พุทธศักราช2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติได้มีคำแนะนำและสรุปให้มีการระบุสัญลักษณ์ประจำชาติ 3 สิ่ง ซึ่งประกอบไปด้วย ดอกไม้ สัตว์ และสถาปัตยกรรม ซึ่งจากการพินิจพิเคราะห์ได้บทสรุปว่า ให้สัตว์ประจำชาติคือ “ช้างไทย” ส่วนในด้านสถาปัตยกรรมประจำชาติเป็น “ศาลาไทย” รวมทั้งในส่วนของดอกไม้ประจำชาติก็คือ “ดอกราชพฤกษ์” โดยมีเหตุมีผลในการคัดเลือกดังนี้
ต้นคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์ จัดเป็นต้นไม้ประจำชาติไทย (ตามประกาศของกรมป่าไม้)ต้นไม้ราชพฤกษ์ เป็นต้นไม้ที่ชาวไทยทั่วๆไปรู้จักกันอย่างแพร่หลาย ในนามของ “ต้นคูน” สามารถประสบพบเห็นได้ทั่วไปของทุกภาคในประเทศ
ต้นราชพฤกษ์มีความเกี่ยวข้องกับขนบธรรมเนียมคนประเทศไทยมาอย่างเป็นเวลายาวนาน ด้วยเหตุว่าเป็นไม้มงคลนามและก็ใช้ในการประกอบพิธีหลักๆต่างๆหลายพิธี ได้แก่ พิธีการลงเสาหลักเมือง ทำคทาจอมพล ใช้ทำยอดธงชัยเฉลิมพล ฯลฯ
ต้นราชพฤกษ์นั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างนานาประการ ตัวอย่างเช่น การใช้เป็นยาสมุนไพรหรือประยุกต์ใช้ทำเป็นเสาบ้านเสาเรือนได้ อื่นๆอีกมากมาย
ต้นราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่แก่ยืนนานและก็แข็งแรงทนทาน
ต้นราชพฤกษ์มีทรงและพุ่มไม้ที่สวยงาม มีดอกเหลืองงามเต็มต้น ดูงดงามยิ่งนัก
ดอกราชพฤกษ์มีสีเหลือง ซึ่งเป็นเครื่องหมายของชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ที่ศาสนาพุทธ รวมทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันพระราชการบังเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นอกจากนี้ตามตำราไม้มงคล 9 ชนิดยังกำหนดไว้ว่า ต้นราชพฤกษ์เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความเป็นใหญ่ ความมีอำนาจวาสนา มีโชคมีชัย
สมุนไพรราชพฤกษ์ กับการนำมาใช้รักษาโรครวมทั้งอาการต่างๆโดยส่วนที่ประยุกต์ใช้เป็นคุณประโยชน์ทางยานั้น เป็นต้นว่า ส่วนของใบ ดอก เปลือก ฝัก แก่น กระพี้ ราก รวมทั้งเม็ด ซึ่งสมุนไพรราชพฤกษ์ เป็นสมุนไพรซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งกับเด็ก สตรี รวมถึงคนสูงอายุ โดยปลอดภัยอะไรก็แล้วแต่
ลักษณะของต้นราชพฤกษ์
ต้นราชพฤกษ์ (ต้นคูน) เป็นพืชพื้นบ้านในแถบเอเชียใต้ ไล่ตั้งแต่ทางตอนใต้ของปากีสถานไปจนกระทั่งประเทศอินเดีย ประเทศพม่า รวมทั้งประเทศศรีลังกา โดยจัดเป็นพรรณไม้ขนาดกึ่งกลาง มีลำต้นสีน้ำตาลปนเทาสะอาด มักขึ้นทั่วไปตามป่าผลัดใบหรือในดินที่มีการถ่ายเทน้ำดี ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดแล้วย้ายกล้ามาปลูกในถุงเพาะชำ เมื่อโตพอแล้วก็ย้ายมาปลูกภายในพื้นที่ แม้กระนั้นในขณะนี้บางทีก็อาจจะใช้กระบวนการทาบกิ่งและทิ่มยอดก็ได้ แม้กระนั้นช่องทางสำเร็จจะน้อยกว่ากรรมวิธีการเพาะเมล็ด
ใบราชพฤกษ์ (ใบคูน) รูปแบบของใบออกเป็นช่อ ใบสีเขียวเป็นเงา ช่อหนึ่งยาวราว 2.5 เซนติเมตร และมีใบย่อยเป็นไข่หรือรูปป้อมๆราวๆ 3-6 คู่ ใบย่อยมีความกว้างโดยประมาณ 5-7 เซนติเมตร และก็ยาวโดยประมาณ 9-15 เซนติเมตร โคนใบมนและก็สอบไปทางปลายใบ เนื้อใบบางหมดจด มีเส้นแขนงใบถี่และก็โค้งไปตามรูปใบ
ใบราชพฤกษ์
ดอกราชพฤกษ์ (ดอกคูน) มีดอกเป็นช่อ ยาวราว 20-45 เซนติเมตร มีกลีบรองดอกรูปขอบขนาน มีความยาวโดยประมาณ 1 ซม. กลีบมี 5 กลีบ หลุดร่วงได้ง่าย และก็กลีบดอกยาวกว่ากลีบรองดอกโดยประมาณ 2-3 เท่า รวมทั้งมีกลีบรูปไข่จำนวน 5 กลีบ บริเวณพื้นกลีบจะเห็นเส้นกลีบแจ่มกระจ่าง ที่ดอกมีเกสรตัวผู้ขนาดแตกต่างกันปริมาณ 10 ก้าน มีก้านอับเรณูโค้งงอขึ้น ดอกชอบบานในตอนมีนาคมถึงพ.ค. แต่ว่าก็มีบางครั้งที่มีดอกนอกฤดูเหมือนกัน ดังเช่น ในตอนเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม
ดอกราชพฤกษ์ดอกคูน
ผลราชพฤกษ์ หรือ ฝักราชพฤกษ์ (ฝักคูณ) ผลมีลักษณะเป็นฝักทรงกระบอกเกลี้ยงๆฝักยาวประมาณ 20-60 ซม. และก็วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ราว 2-2.5 ซม. ฝักอ่อนจะมีสีเขียว ส่วนฝักแก่จัดจะมีสีดำ ในฝักจะมีฝาผนังเยื่อบางๆติดกันอยู่เป็นช่องๆตามแนวขวางของฝัก และก็ในช่องจะมีเม็ดสีน้ำตาลแบนๆอยู่ มีขนาดราว 0.8-0.9 ซม.
ฝักคูนฝักราชพฤกษ์
คุณประโยชน์ของราชพฤกษ์
ช่วยบำรุงรักษาเลือดภายในร่างกาย (เปลือก)
สารสกัดจากลำต้นและก็ใบของราชพฤกษ์มีฤทธิ์ช่วยต้านทานอนุมูลอิสระ (ลำต้น, ใบ)
สารสกัดจากเมล็ดมีฤทธิ์ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล (เมล็ด)
ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจหรือถุงน้ำดี (ราก)
ราชพฤกษ์มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้ (ราก)
ฝักราชพฤกษ์มีคุณประโยชน์ทางยาช่วยแก้ไข้มาลาเรีย (ฝัก)
ช่วยแก้ไข้รูมาติกด้วยการใช้ใบอ่อนนำมาต้มกับน้ำดื่ม (ใบ)
ฝักอ่อนมีรสหวานอมเปรี้ยวน้อย มีกลิ่นเหม็นเบื่อ เย็นจัด คุณประโยชน์สามารถใช้ขับเสลดได้ (ฝักอ่อน)
ช่วยแก้อาการอยากดื่มน้ำ (ฝัก)
เปลือกเมล็ดแล้วก็เปลือกฝักมีคุณประโยชน์ช่วยทำลายพิษ ทำให้อาเจียน หรือจะใช้เมล็ดราวๆ 5-6 เม็ด เอามาบดเป็นผุยผงแล้วรับประทานก็ได้ (เม็ด, ฝัก)
ต้นราชพฤกษ์ สรรพคุณของกระพี้ใช้แก้อาการปวดฟัน (กระพี้)
ในอินเดียมีการใช้ฝัก เปลือก ราก ดอก รวมทั้งใบมาทำเป็นยา ใช้เป็นยาแก้ไข้และหัวใจ แก้อาการหายใจขัด ช่วยถ่ายของเสียออกมาจากร่างกาย แก้อาการเหงาหงอย หนักหัว หนักตัว ทำให้กระชุ่มกระชวยอก (เปลือก, ราก, ดอก, ใบ, ฝัก)
คุณประโยชน์ราชพฤกษ์ช่วยแก้โรครำมะนาด (กระพี้, แก่น)
ช่วยรักษาเด็กเป็นต้นตานขโมยด้วยการใช้ฝักแห้งประมาณ 30 กรัมนำมาต้มกับน้ำกิน (ฝัก)
ช่วยบรรเทาอาการแน่นหน้าอก (เนื้อในฝัก)
ฝักแก่ใช้เป็นยาระบาย ช่วยในการขับถ่าย ทำให้ถ่ายได้สบาย ไม่มวนท้อง แก้อาการท้องผูก เหมาะกับผู้ที่มีลักษณะอาการท้องผูกบ่อยๆและก็สตรีมีครรภ์ เนื่องจากมีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone glycoside) เป็นตัวช่วยระบาย สำหรับวิธีการใช้ ให้ใช้ฝักแก่ขนาดก้อนเท่าหัวแม่มือ (หนักโดยประมาณ 4 กรัม) แล้วก็น้ำอีก 1 ถ้วยแก้วใส่หม้อต้ม แล้วผสมเกลือบางส่วน ใช้ดื่มก่อนที่จะรับประทานอาหารยามเช้าหรือช่วงก่อนนอนเพียงแค่ครั้งเดียว (ฝักแก่, ดอก, เนื้อในฝัก, ราก, เมล็ด)
เมล็ดมีรสฝาดเมา สรรพคุณช่วยแก้ท้องร่วง (เม็ด)
ช่วยหล่อลื่นลำไส้ รักษาโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและแผลเรื้อรัง (ดอก)
ช่วยรักษาโรคบิด (เมล็ด)
คุณประโยชน์ของราชพฤกษ์ ฝักช่วยแก้อาการจุกเสียด (ฝัก)
ช่วยให้เกิดลมเบ่ง ด้วยการใช้เม็ดฝนกับต้นหญ้าฝรั่น น้ำดอกไม้เทศ แล้วก็น้ำตาล แล้วนำมารับประทาน (เม็ด)
ฝักและใบมีสรรพคุณช่วยขับพยาธิ ด้วยการใช้ฝักแห้งราวๆ 30 กรัมนำมาต้มกับน้ำ (ใบ, ฝัก, เนื้อในฝัก)
ต้นคูณมีสรรพคุณช่วยขับพยาธิไส้เดือนในท้อง (แก่น)
เปลือกฝักมีรสเฝื่อนฝาดเมา ช่วยขับรกที่ค้าง ทำให้แท้งลูก (เปลือกฝัก)
สารสกัดจากใบคูนมีฤทธิ์ช่วยต่อต้านการเกิดพิษที่ตับ (ใบ)
สรรพคุณของคูน รากใช้แก้โรคคุดทะราด (ราก)
ใบสามารถนำมาใช้สำหรับในการฆ่าเชื้อโรค เชื้อโรคบนผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราได้ (ใบ)
ช่วยฆ่าพยาธิผิวหนัง (ใบ)
รากนำมาฝนใช้ทารักษาขี้กลากโรคเกลื้อน รวมทั้งใบอ่อนก็ใช้แก้กลากได้เหมือนกัน (ราก, ใบ)
เปลือกรวมทั้งใบนำมาบดผสมกันใช้ทาแก้เม็ดผื่นผื่นตามร่างกายได้ (เปลือก, ใบ)
เปลือกมีคุณประโยชน์ช่วยแก้ฝี แก้บวม หรือจะใช้เปลือกและก็ใบเอามาบดผสมกันใช้ทารักษาฝี (เปลือก, ใบ)
คูน สรรพคุณของดอกช่วยแก้รอยแผลเรื้อรัง รักษาแผลเรื้อรัง (ดอก)
เปลือกราชพฤกษ์ สรรพคุณช่วยสมานรอยแผล (เปลือก)
ฝักคูณมีคุณประโยชน์ช่วยแก้ลักษณะของการปวดข้อ (เนื้อในฝัก)
ชาวอินเดียใช้ใบนำมาตำ เอามาพอกแล้วนวด ช่วยแก้โรคปวดข้อรวมทั้งอัมพาต (ใบ)
ช่วยกำจัดหนอนแล้วก็แมลง โดยฝักแก่มีสารออกฤทธิ์ที่ส่งผลต่อระบบประสาทของแมลง เมื่อนำฝักมาบดผสมกับน้ำเสียไว้ประมาณ 2-3 วัน แล้วก็ใช้สารละลายที่กรองได้มาฉีดพ่นจะสามารถช่วยขจัดรอยคราบแมลงแล้วก็หนอนในแปลงผักได้ (ฝักแก่)
สารสกัดจากรากราชพฤกษ์มีฤทธิ์ยั้งเอนไซม์ Acetylcholinesterase
นอกเหนือจากนั้นยังมีการนำสมุนไพรราชพฤกษ์มาแปรรูปทำเป็นสินค้าต่างๆเยอะมาก ดังเช่น
น้ำมันนวดราชพฤกษ์ ที่ต้มมาจากน้ำมันจากใบคูน เป็นน้ำมันนวดสูตรร้อนหรือสูตรเย็น ที่ใช้นวดแก้อัมพฤกษ์อัมพาต รวมทั้งแก้ไขปัญหาเรื่องเส้น
ลูกประคบราชตารู เป็นลูกประคบสูตรโบราณ ที่ใช้ใบคูนเป็นตัวยาตั้งต้น ประกอบไปด้วย ขมิ้นอ้อย เทียนดำ กระวาน และอบเชยเทศ โดยลูกประคบสูตรนี้จะใช้ปรุงตามอาการ โดยจะดูตามโรครวมทั้งสิ่งที่มีความต้องการเป็นหลัก ซึ่งแต่ละคนจะได้แตกต่างกัน
ผงพอกคูนคาดข้อ ทำจากใบคูนที่นำมาบดเป็นผง ช่วยแก้อาการปวดเส้น อัมพฤกษ์อัมพาต โดยนำมาพอกรอบๆที่เป็นจะช่วยกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการไหลเวียนของเลือด ทุเลาอาการปวดข้อ รักษาโรคโรคเกาต์ รวมทั้งยังช่วยลดอาการอักเสบได้อีกด้วย ซึ่งสูตรนี้สามารถใช้กับผู้เจ็บป่วยที่เป็นอัมพาตใบหน้าครึ่งส่วน ตาไม่หลับ มุมปากตกได้ด้วย
ชาสุวรรณาค้าง ทำมาจากใบคูน คุณประโยชน์ช่วยในด้านสมอง จัดการกับปัญหาเส้นโลหิตตีบในสมอง ช่วยให้ระบบไหลเวียนในร่างกายดีขึ้น ช่วยแก้อัมพฤกษ์อัมพาต โดยเป็นตัวยาที่มีไว้ชงดื่มพร้อมกันไปกับการดูแลและรักษาแบบอื่นๆ

ข้อพึงระวัง !
:กระบวนการทำเป็นยาต้ม ควรจะต้มให้พอประมาณก็เลยจะได้ประสิทธิภาพที่ดี ถ้าหากต้มนานเกินไปหรือเกินกว่า 8 ชั่วโมง ยาจะไม่มีฤทธิ์ระบาย แต่จะมีผลให้ท้องผูกแทน รวมทั้งควรจะเลือกใช้ฝักที่ไม่มากเกินความจำเป็น แล้วก็ยาต้มที่ได้หากรับประทานมากเกินไปอาจก่อให้คลื่นไส้ได้
ประโยช์จากราชพฤกษ์
นิยมนำมาปลูกไว้เป็นต้นไม้ประดับตามสถานที่ต่างๆอย่างเช่น สถานที่ราชการ บริเวณริมถนนข้างทาง และก็สถานที่อื่นๆ
ต้นราชพฤกษ์กับความเลื่อมใส ต้นราชพฤกษ์เป็นพืชที่มีความมงคลนามที่ชาวไทยโบราณมั่นใจว่า บ้านใดที่ปลูกต้นราชพฤกษ์ไว้เป็นไม้ประจำบ้านจะช่วยให้ทรงเกียรติแล้วก็ศักดิ์ศรี ต้นสายปลายเหตุเพราะเหตุว่าคนให้การเห็นด้วยว่าต้นราชพฤกษ์เป็นไม้ที่มีคุณค่าสูงและยังเป็นเครื่องหมายของเมืองไทยอีกด้วย แล้วก็ยังเชื่อว่าจะก่อให้ผู้อยู่อาศัยนั้นเจริญ โดยจะนิยมนำมาปลูกต้นราชพฤกษ์ในวันเสาร์รวมทั้งปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉใต้ของบ้าน (อาจเป็นเพราะทิศดังที่กล่าวมาข้างต้นได้รับแสงแดดจัดในช่วงตอนเวลาบ่าย เลยปลูกไว้เพื่อช่วยลดความร้อนในบ้านแล้วก็ช่วยประหยัดพลังงาน)
ต้น[url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์[/url]เป็นพืชที่มีความมงคลแล้วก็ศักดิ์สิทธิ์ ใช้ทำเป็นน้ำพุทธมนต์ในพิธีกรรมต่างๆทางศาสนา อย่างเช่น พิธีการวางศิลาฤกษ์ ใช้ทำเสาหลักเมือง เสาเอกสำหรับเพื่อการก่อสร้างพระตำหนัก ยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร คทาจอมพล ส่วนใบของต้นราชพฤกษ์จะใช้ทำเป็นน้ำพุทธมนต์ไว้สะเดาะเคราะห์ได้ประสิทธิภาพที่ดีนัก ฯลฯ
เนื้อไม้ใช้ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ ด้ามอุปกรณ์ต่างๆหรือทำเป็นไม้ไว้ใช้สอยอื่นๆตัวอย่างเช่น ใช้ทำเสา เสาสะพาน ทำสากตำข้าว ล้อเกวียน คันไถ เป็นต้น
เนื้อของฝักแก่สามารถนำมาใช้แทนกากน้ำตาลในการทำเป็นหัวเชื้อจุลอินทรีย์และก็จุลินทรีย์ขยายได้
ฝักแก่สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับในการหุงหาอาหารด้วยเตาเศรษฐกิจที่มีขนาดพอดี โดยไม่ต้องผ่า ตัด หรือเลื่อย
แหล่งอ้างอิง :
เว็บไซต์สำนักงานแผนการสงวนกรรมพันธุ์พืชอันเนื่องมาจากความคิด สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, เว็บไซต์กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, เว็บไทยโพส, ที่ทำการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (หน่วยงานมหาชน), งานนิทรรศการพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554, ที่ทำการกองทุนเกื้อหนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) http://www.disthai.com/

2
อื่น ๆ / มารู้จะ “ทับทิม” ผลไม้เพื่อสุขภาพ
« เมื่อ: สิงหาคม 09, 2018, 03:23:39 AM »

ทับทิม
มารู้จะ “ทับทิม” ผลไม้เพื่อสุขภาพ
นักระบุอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพอเมริกา
ในสมัยที่ใครกันแน่ก็ห่วงสุขภาพ รักการบริหารร่างกาย หมั่นรับประทานผัก ผลไม้ต่างๆเมื่อเอ่ยถึง “ทับทิม” ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยคงเคยชินกันดีกับผลไม้ที่มีกลิ่นหอม รสชาติอร่อยชักชวนพึงใจ ทับทิมนั้นมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดียและก็อิหร่าน โดยในบันทึกโบราณด้านการแพทย์กล่าวว่า ทับทิมถูกใช้เป็นยารักษาโรครวมทั้งใช้ในการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายมานานนับพันๆปี
ปัจจุบันนี้ทับทิมจัดเป็นผลไม้ในกลุ่ม ซุปเปอร์ฟรุ๊ต ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุสารพฤกษเคมีแล้วก็สารแอนติออกซิแดนท์ซึ่งมีจำนวนสูงยอดเยี่ยมในทับทิมโดยสูงเป็น 3 เท่าของอาหารอื่นที่มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง อีกทั้งมีใยอาหารสูงมากมาย นอกนั้นยังมีวิตามินซีสูง มีวิตามินบี 5 (กรดแพนโทธีนิค) วิตามินเอ วิตามินอี ส่วนแร่ธาตุที่มีมากมายคือ แคลเซียม โพแตสเซียม และธาตุเหล็ก
จากการเรียนพบว่าทับทิมมีสารที่มีฤทธิ์สำหรับในการต่อต้านขบวนการออกซิเดชันที่เกี่ยวกับการอักเสบ ซึ่งบางทีอาจช่วยคุ้มครองโรคมะเร็ง และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระในทับทิมสูงขึ้นมากยิ่งกว่า ไวน์แดงและใบชาเขียวถึง 3 เท่า และยังมีปริมาณสารโพลีฟีนอลในทับทิมสูงขึ้นยิ่งกว่าน้ำผลไม้อื่นๆเป็นต้นว่า ส้ม องุ่น แคนเบอร์ปรี่ ลูกแพร แอปเปิ้ล อีกด้วย
ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกรุ๊ปสารโพลีฟีนอล ที่สำคัญเป็น สารพูนิติดอยู่ลาจิน พูนิค้างลิน และกรดกัลลาจิก ทั้งหมดนี้อาจมีผลต่อการป้องกันอันตรายต่อเนื้อเยื่อภายในร่างกายที่จะส่งผลต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังรังต่างๆการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระในทับทิมอาจช่วยยั้งการเจริญก้าวหน้าของเซลล์ของโรคมะเร็ง ทับทิมยังมีสารอโรมาเทสอินฮิบิเตอร์ธรรมชาติ ซึ่งช่วยยับยั้งการผลิตฮอร์โมนเอสโทรเจนที่บางทีอาจช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม นอกจากนี้สารอาหารและก็สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำทับทิมสกัดยังเป็นประโยชน์ต่อผิวพรรณ บางทีอาจต้านการเกิดริ้วรอย ช่วยให้มีผิวพรรณอ่อนกว่าวัยแล้วก็มีร่างกายแข็งแรง นอกจากนี้ทับทิมยังจัดคือผลไม้ที่มีพลังงานต่ำ จึงบางทีอาจให้คุณประโยชน์ต่อการลดพลังงานสำหรับการควบคุมน้ำหนัก โดยการกินทับทิมแทนอาหารหวาน
ด้วยสารสำคัญต่างๆในทับทิม นักค้นคว้าจึงพอใจทำการศึกษาเรียนรู้ถึงประโยชน์ต่อร่างกาย โดยมีรายงานการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า สารสกัดจากทับทิมช่วยชะลอการก้าวหน้าของเซลล์มะเร็ง รวมทั้งสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งในห้องแลปได้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาค้นคว้าชี้ว่า น้ำทับทิมสกัดยังสามารถช่วยลดแอลดีแอลคอเลสเทอคอยล ซึ่งเป็นคอเลสเทอรอคอยลไม่ดี ทำให้เส้นโลหิตแดงแข็งตัน รวมทั้งยังช่วยลดระดับความดันโลหิต ส่งผลสำหรับการช่วยคุ้มครองป้องกันโรคหัวใจ โรคเส้นโลหิตสมองตีบรวมทั้งหัวใจวาย
ด้วยประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากทับทิมที่มีต่อสุขภาพและก็มาจากธรรมชาติ ทำให้ทับทิมเป็นที่นิยมอย่างมากมายทั่วทั้งโลก เดี๋ยวนี้มีการนำทับทิมมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์น้ำทับทิมสกัดแบบพร้อมดื่ม เพื่อความสะดวกสำหรับผู้บริโภคที่รักและก็ปรารถนาดีสำหรับเพื่อการดูแลสุขภาพ
งานศึกษาวิจัยของ Sharma, Mc Clees and Afaq ล่าสุดในปี 2017 กล่าวว่า สารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ยั้งการเกิดเซลล์กลายพันธุ์ที่ก่อเกิดเซลล์ของมะเร็ง
ด้วยสรรพคุณเยอะมากดังกล่าว ทำให้ทับทิมได้รับการตั้งชื่อว่าเป็น “ซุปเปอร์ฟรุต” (Super fruit) ที่ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั้งโลก เนื่องด้วยมีวิตามินและแร่ธาตุ
ความเชื่อรวมทั้งตำนาน
ชาวภาษากรีกโบราณมั่นใจว่า ต้นทับทิมเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากโลหิตของไดโอนีซุส (Di-onysus) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่เทพเจ้าทั้งสิ้นรวมทั้งเทวีนาน่า(Nana) ซึ่งเป็นพรหมจารีย์ มีครรภ์ขึ้นโดยการใส่ผลทับทิม รวมทั้งให้กำเนิดเทวดาแอตตำหนิส (Attis) ขึ้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยกย่องเทวดาแอตว่ากล่าวสจึงไม่กินผลทับทิม ชาวยิวในยุคพระผู้เป็นเจ้าโซโลมอนก็ถือว่า ทับทิมคือผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ ดังปรากฏอยู่บนยอดเสาของวิหารกษัตริย์โซโลมอน แขกฮินดู ในอินเดียเชื่อว่า พระคเณศทรงโปรดทับทิม คนที่ยกย่องพระพิฆเนศวรก็เลยนิยมนำผลทับทิมไปมอบ นอกเหนือจากนี้ ยังใช้ดอกทับทิมบวงสรวงบูชาดวงอาทิตย์ พระนารายณ์ และเทวีลักษมี อีกด้วย
คนจีนนับว่า ต้นทับทิมเป็นไม้มงคล (โดยยิ่งไปกว่านั้นทับทิมชนิดดอกสีขาว) รวมทั้งจัดว่าทับทิมเป็นสัญลักษณ์ที่ความอุดมสมบูรณ์ ความมีลูกหลานมากไม่น้อยเลยทีเดียว (ด้วยเหตุว่าผลทับทิมมีเม็ดมาก) ก็เลยนิยมได้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่คู่สมรสในพิธีสมรส (เพื่อมีลูกหลานมากๆ) ในพิธีแต่งงานนิยมปักยอดทับทิมไว้ที่ผมเจ้าสาว แล้วก็ปักยอดทับทิมไว้ที่สิ่งของเซ่นไหว้เจ้า ชาวจีนยังเชื่อว่า ใบหรือกิ่งทับทิมมีอำนาจไล่ภูตผีปีศาจได้ ก็เลยนิยมนำมาปลูกทับทิมเอาไว้ในบริเวณบ้าน รวมทั้งใช้ใบทับทิมแช่น้ำล้างหน้า ล้างมือ หลังกลับจากงานฌาปนกิจศพ (เพื่อมิให้ปีศาจติดตามมา)
ในประเทศญี่ปุ่นอาจจะรับความเชื่อเกี่ยวกับทับทิมไปจากจีน แปลงเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าแม่ที่รอรักษาปกป้องคุ้มครองเด็กๆให้ไม่มีอันตราย และก็มั่นใจว่าเมื่อเด็กๆได้รับประทานผลทับทิมแล้วจะไม่มีอันตรายแล้วยังปลอดภัยจากภูตผีปีศาจทั้งผอง คนไทยก็คงจะได้รับถ่ายทอดความเชื่อเกี่ยวกับทับทิมมาจากชาวจีนบ้าง ดังปรากฏว่า มีศาลเจ้าหลายที่ในประเทศไทย ชื่อเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งคงเป็นเจ้าแม่ที่มีเกิดจากเมืองจีนแล้วกลายเป็นชื่อไทยทีหลัง

Tags : สมุนไพรทับทิม

3

ทับทิม
ทับทิม คือผลไม้ที่นิยมรับประทานอย่างแพร่หลาย โดยใช้ประโยชน์จากส่วนที่เป็นผลสดสูงที่สุดแล้วก็ยังนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆอย่างเช่น น้ำทับทิม สารสกัดจากทับทิม ผลิตภัณฑ์ด้านความสวยงาม ทั้งยังยังใช้ทำเป็นยารักษาโรคตามสูตรยาโบราณในหลายประเทศ
ทัมทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารพฤกษเคมีหลายแบบที่มีประโยชน์ต่อสภาพทางด้านร่างกาย ก็เลยมั่นใจว่าอาจเป็นประโยชน์ในการคุ้มครองป้องกันโรคหรือบรรเทาอาการ อาทิเช่น โรคปอดอุดกันเรื้อรังหรือบรรเทาอาการหายใจไม่สะดวกจากโรคนี้ โรคหัวใจและหลอดเลือด คอเลสเตอรอลสูง โรคในระบบทางเดินอาหาร โรคความดันโลหิตสูง โรคในโพรงปากรวมทั้งโรคเหงือก โรคริดสีดวงทวาร โรคผิวหนัง และอื่นๆ
ในตอนนี้ยังมีการค้นคว้าที่เรียนการใช้ทับทิมในต้นแบบต่างกันกับการดูแลและรักษาโรคที่ค่อนข้างจะจำกัด ทำให้ยังไม่อาจจะเจาะจงความสามารถของทับทิมต่อการดูแลรักษาโรคได้เด่นชัด ซึ่งแบบอย่างการเล่าเรียนเรื่องทับทิมกับโรคต่างๆมีดังนี้
โรคเส้นเลือดแดงแข็ง ทับทิมคือผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว ตัวอย่างเช่น สารเอลลาจิแทนนิน (Ellagitannin) สารแทนนิน (Tannin) สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารโพลิฟีนอล (Polyphenol) ที่เชื่อว่าช่วยยั้งปฏิกิริยาต้านทานอนุมูลอิสระของไขมันไม่ดี ลดการสร้างโฟมเซลล์ และลดการแข็งตัวของหลอดเลือด ก็เลยอาจช่วยลดการเสี่ยงสำหรับในการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
จากการเรียนรู้ฤทธิ์การต่อต้านสารอนุมูลอิสระของทับทิมในผู้ที่มีน้ำหนักเกินจำนวน 22 คน จากการกินอาหารเสริมที่มีสารสกัดทับทิม วันละ 1,000 มก. (ประกอบด้วยกรดเอ็งลลิค 610 มก.) รวมทั้งประเมินผลจากค่า TBARS ในเลือด (Thiobarbituric Acid Reactive Substances: TBARS) ซึ่งเป็นค่าการวัดฤทธิ์ในการต้านสารอนุมูลอิสระ เพื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนการทดสอบ พบว่าค่าดังที่กล่าวถึงมาแล้วลดลง จึงคาดว่าการรับประทานทับทิมบางทีอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจรวมทั้งหลอดเลือด
นอกเหนือจากนั้น ยังมีงานค้นคว้าอีกชิ้นให้คนไข้โรคเส้นโลหิตแดงแข็งปริมาณ 15 คน ทานอาหารเสริมจากทับทิมเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไปรวมทั้ง 3 ปีขึ้นไป เปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่มิได้รับประทานอาหารเสริม ผลปรากฏว่า กลุ่มที่กินอาหาร 3 ปีขึ้นไป มีระดับไขมันที่ลดลงราวๆ 16% เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น จึงแสดงให้เห็นว่าการกินสารสกัดจากทัมทิมมากยิ่งกว่า 3 ปี อาจมีส่วนช่วยสำหรับการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นโลหิตแดงแข็ง ทั้งนี้ ยังคงต้องมีการเรียนเพิ่มอีกในระยะยาวกับกรุ๊ปการทดสอบขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ยังไม่สามารถสรุปผลของทับทิมแล้วก็การรักษาโรคเส้นโลหิตแดงแข็งได้อย่างแจ่มแจ้ง
โรคเหงือกอักเสบ ทับทิมคือผลไม้อีกประเภทที่มีคุณลักษณะช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย ก็เลยถูกนำมาใช้เป็นตัวเลือกในการรักษาโรคเหงือก เนื่องด้วยการดูแลรักษาหลักบางแนวทางที่ยังไม่มีคุณภาพเพียงพอในการบรรเทาอาการจากโรคมากมายเท่าที่ควรและก็ลดการเสี่ยงด้านของสุขภาพจากการดูแลและรักษาโรคนี้โดยใช้สารเคมี
จากการทดสอบทางคลินิกกับผู้ป่วยโรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง จำนวน 40 คน เพื่อดูประสิทธิภาพของเจลสารสกัดจากทับทิมเป็นระยะเวลา 21 วัน โดยในแต่ละกรุ๊ปจะใช้วิธีรักษาที่แตกต่าง ผลพบว่า กรุ๊ปที่ใช้เจลสารสกัดจากทับทิมควบคู่กับการรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยกรรมวิธีการขูดหินน้ำลาย เกลารากฟัน (Mechanical Debridement) มีลักษณะอาการดีขึ้นด้านใน 7 วันแรก เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่เหลือสำหรับเพื่อการทดสอบ ซึ่งเจลสารสกัดจากทับทิมจึงบางทีอาจนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากสำหรับผู้เจ็บป่วยโรคเหงือกอักเสบควบคู่กับการดูแลและรักษาด้วยแนวทางรักษาที่เป็นมาตรฐานในอนาคต
สอดคล้องกับการทดลองอีกชิ้นที่เล่าเรียนความสามารถของน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่ใช้ยาหลอกแบบอย่างเจลสำหรับการรักษาผู้ที่เป็นโรคเหงือกอักเสบจำนวน 32 คน พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม วันละ 3 ครั้ง ตรงเวลา 4 สัปดาห์ มีสุขภาพโพรงปากแล้วก็ปัญหาโรคเหงือกอักเสบต่ำลงมากยิ่งกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก การวิจัยนี้ทำให้เห็นว่าสารสกัดจากทับทิมอาจนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เพื่อบำรุงรักษาช่องปาก เป็นต้นว่า ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยปกป้องและก็ทุเลาอาการโรคเหงือกอักเสบ
ปกป้องการเกิดคราบจุลชีพ สารสกัดจากทับทิมมีประสิทธิภาพสำหรับการลดคราบเปื้อนจุลชีวันตามผิวฟัน และบางทีอาจนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคทางช่องปากอีกหลายแบบ ซึ่งจากการทดลองให้อาสาสมัครที่มีสุขลักษณะในช่องปากดี จำนวน 30 คน หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้ธรรมดา แม้กระนั้นสลับมาใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน (Chlorhexidine) รวมทั้งยาหลอกในแต่ละกรุ๊ป โดยใช้บ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน ผลพบว่าอาสาสมัครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมมีอัตราการเกิดคราบจุลอินทรีย์ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญมากกว่ายาหลอก แต่มีประสิทธิภาพไม่ได้แตกต่างจากน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน ก็เลยเพียงพอจะพูดได้ว่าสารสกัดจากทับทิมอาจลดโอกาสในการเกิดรอยเปื้อนจุลอินทรีย์ข้างในโพรงปาก
ขณะเดียวกัน การเรียนรู้อีกชิ้นก็ชี้ว่าสารสกัดทับทิมคงจะมีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการลดการเกิดคราบเปื้อนจุลอินทรีย์ ซึ่งสำหรับในการทดลองได้เก็บคราบเปื้อนจุลชีวันจากช่องปากของอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีรวมทั้งกำลังจัดฟัน อายุ 9-25 ปี ปริมาณ 60 คน หลังงดเว้นแปรงฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อเทียบผลก่อนแล้วก็ข้างหลังการใช้น้ำยาบ้วนปากประเภทแตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม เป็นต้นว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน รวมทั้งยาหลอก ปรากฏพบว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิมมีคุณภาพสำหรับการลดคราบจุลอินทรีย์ลงมากที่สุดราว 84% รองลงมาเป็นน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน 79% แล้วก็ยาหลอกที่ลดลงเพียงแต่ 11% จึงอาจพูดได้ว่าสารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียแล้วก็เป็นตัวเลือกสำหรับในการใช้ขจัดคราบจุลอินทรีย์บนผิวฟัน ทั้งนี้ จากข้อมูลข้างต้นยังคงควรมีการต่อว่าดตามผลในระยะยาวจากการใช้สารสกัดทับทิมอย่างต่อเนื่อง เนื่องด้วยระยะเวลาสำหรับเพื่อการทดลองออกจะสั้น
ภาวการณ์คอเลสเตอรอลสูง ทับทิมมีสรรพคุณที่กล่าวกันว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้อย่างดีเยี่ยม จากการเรียนรู้ผลของการดื่มน้ำทับทิมเข้มข้น 40 กรัม ในผู้ป่วยโรคเบาหวานจำพวกที่ 2 แล้วก็มีภาวะไขมันในเลือดสูงจำนวน 22 คน เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์โดยระหว่างการทดสอบจะมีการเก็บข้อมูลของกินที่รับประทานอาหารด้านใน 1 วัน ทุกๆ10 วัน (รวมถึงของกินที่มีสารฟลาโวนอยด์) ข้างหลังจบสัปดาห์ที่ 8 พบว่าคนเจ็บมีระดับไขมันรวม ไขมันประเภทไม่ดี อัตราส่วนของไขมันไม่ดีกับไขมันดี และอัตราส่วนของไขมันรวมกับไขมันดีที่มีสะสมอยู่ในเลือดลดน้อยลง แม้กระนั้นไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของระดับไตรกลีเซอไรด์และก็ระดับความเข้มข้นของไขมันดี ซึ่งทำให้เห็นว่าน้ำทับทิมอาจมีส่วนช่วยลดการเสี่ยงของโรคหัวใจโดยลดระดับไขมันในคนป่วยเบาหวานลง แม้กระนั้นยังบอกมิได้แจ่มแจ้ง เนื่องจากว่าอาหารประเภทอื่นที่รับประทานอาจมีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการลดไขมันในเลือดได้เช่นเดียวกัน และกรุ๊ปการทดสอบมีขนาดเล็ก ควรต้องขยายผลการเรียนในกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นเพิ่มเติมอีก ยิ่งไปกว่านี้ การดูแลรักษาสภาวะคอเลสเตอรอลสูงควรมีการควบคุมอาหารรวมทั้งการบริหารร่างกายไปพร้อม ซึ่งบางทีอาจมีคุณประโยชน์ต่อการลดระดับไขมันในเลือดมากยิ่งขึ้น
โรคปอดอุดกันเรื้อรัง ทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายประเภท โดยยิ่งไปกว่านั้นสารโพลีฟีนอลที่พบมากในทับทิม จากรายงานผลที่พบในห้องทดลองบอกว่าสารเหล่านี้มีส่วนสำคัญสำหรับการทุเลาอาการของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังรวมทั้งอาจชะลอไม่ให้โรคปรับปรุงอย่างเร็ว จึงมีการศึกษาเล่าเรียนคุณภาพของสารโพลีฟีนอลในคนเพิ่มเติมอีก โดยให้คนป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จำนวน 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่ดื่มน้ำทับทิม 400 มล. (มีสารโพลิฟีนอล 2.66 กรัม) เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่กินยาหลอกติดต่อกันทุกวันเป็นระยะ 5 อาทิตย์ ผลปรากฏว่า ไม่พบสารโพลิฟีนอลอีกทั้งในเลือดและฉี่ของคนเจ็บ อีกทั้งยังไม่เจอไม่เหมือนกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่าง 2 กรุ๊ป จึงคาดว่าทับทิมไม่น่ามีส่วนช่วยสำหรับการรักษาหรือบรรเทาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
โดยธรรมดาสารอาหารที่เข้าสู่ร่างกายจะถูกเผาผลาญผ่านกระบวนเมตาบอลิซึมและตรวจพบได้ในเลือดหรือฉี่ แต่ผลการศึกษาวิจัยกลับไม่เจอสารโพลีฟีนอลจากการรับประทาน ซึ่งบางทีอาจเป็นผลมาจากการเสื่อมสลายสารเหล่านี้โดยจุลอินทรีย์ในระบบการทำงานเกี่ยวกับการย่อยอาหาร จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจแนวทางการซับสารอาหารที่ต่างกันก่อนจะกล่าวอ้างถึงผลดีด้านสุขภาพจากการกิน เนื่องจากว่าสารอาหารที่พบในอาหารที่รับประทานอาจมิได้ถูกใช้ประโยชน์ประโยชน์ภายในร่างกายมนุษย์เราทั้งสิ้น
โรคและก็อาการอื่นๆอาทิเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ การหย่อนยานสมรรถนะทางเพศ เจ็บกล้ามหลังการออกกำลังกาย กลุ่มอาการอ้วนลงพุง โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงแดด การตำหนิดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) ท้องร่วง โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง และก็อื่นๆยังจำต้องทำการศึกษาเรียนรู้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมอีกเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของทับทิมสำหรับการรักษาโรค

ข้อมูลทางโภชนศาสตร์ของผลทับทิม 100 กรัม (โดยประมาณ)
น้ำ 77.93 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 1.67 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.70 กรัม
เส้นใย 4.0 กรัม
น้ำตาล 13.67 กรัม
แคลเซียม 10 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.30 มก.
แมงกานีส 12 มก.
ธาตุฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม
โซเดียม 3 มก.
สังกะสี 0.35 มก.
วิตามินซี 10.2 มิลลิกรัม
วิตามินบี 1 0.067 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.053 มก.
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.075 มก.
โฟเลต 38 ไมโครกรัม
วิตามินอี 0.60 มก.
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม
ความปลอดภัยสำหรับในการกินทับทิมหรือผลิตภัณฑ์จากทับทิม
โดยทั่วไปการกินน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัย แต่ในบางรายที่มีอาการแพ้ผลสดของทับทิมบางทีอาจเป็นผลใกล้กันจากการกินน้ำทับทิมได้
รากทับทิมมีสารที่เป็นพิษต่อสภาพร่างกาย การรับประทานรากและลำต้นของทับทิมในปริมาณมากอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมค่อนข้างจะไม่มีอันตรายสำหรับเพื่อการรับประทานหรือนำมาใช้กับผิวหนัง แต่ว่าอาจจะส่งผลให้กำเนิดอาการแพ้เล็กน้อยในบางราย ยกตัวอย่างเช่น อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจลำบาก
การรับประทานน้ำทับทิมค่อนข้างมีความปลอดภัยสำหรับหญิงมีท้องหรืออยู่ในช่วงให้นมลูก แต่ยังไม่มีรายงานยืนยันความปลอดภัยในการกินหรือใช้ทับทิมในแบบอย่างอื่น ได้แก่ สารสกัดจากทับทิม จะต้องปรึกษาหมอก่อนที่จะมีการกินทุกครั้ง
น้ำทับทิมอาจส่งผลให้ความดันเลือดลดลดน้อยลงนิดหน่อย ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยที่มีภาวการณ์ความดันต่ำอาการกำเริบ
คนที่มีลักษณะแพ้จากพิษพืชอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้จากการรับประทานทับทิม
ผู้เจ็บป่วยที่จำต้องเข้ารับการผ่าตัดควรจะหยุดกินทับทิมอย่างต่ำ 2 สัปดาห์ เหตุเพราะทับทิมนำมาซึ่งการทำให้ความดันโลหิตต่ำลง ก็เลยบางทีอาจกระทบต่อความดันโลหิตในขณะผ่าตัดหรือมีผลต่อเนื่องไปยังหลังการผ่าตัด
การรับประทานทับทิมควบคู่กับยาบางจำพวกอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา อย่างเช่น ยาที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome ชนิด P450 2D6 หรือประเภท P450 3A4 ยาลดความดันเลือดหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันเลือดสูง ยาโรสุวาสแตติเตียนน ผู้ที่กินยาเสมอๆหรือมีโรคประจำตัวควรจะขอคำแนะนำหมอก่อนที่จะมีการกินเพื่อให้เกิดความปลอดภัย

4

บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ
บุก มาแล้ว ! บุกมาแล้ว !  รีบหนีเร็ว  เอ๊ะอย่างไรนี่ พวกเรากำลังดูหนังสงครามอยู่เหรอ เปล่าครับ บุกในที่นี้ไม่ได้ถึงศัตรูบุก แต่ว่าซึ่งก็คือหัวบุก สมุนไพรไทยบ้านเรา ต่างหาก รวมทั้งที่ต้องหนี ไม่ใช่ใครตรงไหน แม้กระนั้นเป็นโรคฮอตฮิตในขณะนี้อย่างโรคอ้วน โรคเบาหวาน ต่างหากที่จำต้องหนีไป
บุก ส่วนที่เห็นคือ หัวบุก ทีแรกเรื่องของบุกในประเทศไทย มันก็ไม่ได้แพร่หลายหรือเป็นที่ได้รับความนิยมเสมือนทุกวันนี้เนื่องจากจริงๆตอนแรกมันก็เป็นพืชพื้นบ้านอยู่ดี  คนภายในท้องถิ่นก็นำบุกมาเข้าครัว เหมือนเผือก เสมือนมันทั่วๆไปพอเพียงเริ่มมีคนมาวิจัย   สรรพคุณต่างๆของมัน เลยแปลงเป็นพืชสมุนไพรไทยยอดนิยม มีการดัดแปลงเป็นแบบต่างๆตั้งแต่สารสกัด บุกผง วุ้นบุก แล้วก็อื่นๆอีกมากมาย วันนี้เองก็คงจะไม่ช้าเกินไปที่จะนำทุกคนมารู้จัก พืชสมุนไพรไทย ที่เรียกว่าบุกกันแบบถึงกึ๋นมารู้จักบุกกัน
ชื่อไทย   บุก
ชื่อสามัญ  Konjac ,  devil’s tongue  (ลิ้นซาตาน  น่าสยดสยองครับชื่อนี้ คาดว่ามาจากรูปแบบของดอกบุก )   , shade palm, umbrella arum
ชื่อวิทยาศาสตร์      Amorphophallus rivieri Durieu cv. Konjac
ชื่อสกุล    ARACEAE
ชื่อตามเขตแดน  :  บุกระอุงคก (ชลบุรี) เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน) มันซูรัน (ภาคดลาง)  หัวบุก (ปัตตานี) บุกคางคก  (ภาคกึ่งกลาง, เหนือ) บุกหนาม บุกหลวง (แม่ฮ่องสอน)  กระบุก (อิสาน)
พวกเราเจอบุกได้ที่ไหน
บุกเป็นพืชป่าล้มลุกที่เจอทั่วๆไปทุกภาคของประเทศ โดยขึ้นกับตาม ชายเขา และบางคราวก็พบตามพื้นที่ ทำนา ดังเช่นว่าที่จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนนทบุรี ฯลฯ บุกขึ้นได้ในสภาพดินทุกประเภท แต่ว่าจะเจริญเติบโตได้ดิบได้ดีให้หัวขนาด ใหญ่ได้ในดินซึ่งร่วนซุย น้ำไม่ขังและดินที่มีฮิวมัส หรืออินทรียวัตถุสูง
รูปแบบของต้นบุก
ลักษณะของต้น บุก แสดงให้เห็นองค์ประกอบคือใบบุก และหัวบุกลำต้นใต้ดิน  บุกมีลำต้นใต้ดินหรือที่พวกเราเรียกแบบง่ายๆก็คือ หัวบุก  แบบเดียวกับเรียกหัวเผือก หัวมัน ขนาดอยู่ที่ราวๆ 25 ซม. (บางพันธ์อาจเล็กกว่านี้ )ทรงกลมแป้นลักษณะทรงเดียวกับลูกฟักทอง แต่ว่าบางสายพันธ์มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนกันออกไป  ซึ่งส่วนนี้เอง เป็นใช้ที่สะสมของกินของบุก
 ใบบุก  ลักษณะเหมือนใบมะละกอ มีสีเขียวเข้ม บางประเภทมีก้านใย เป็นลวดลายบางจำพวกมีหนามอ่อนๆ หรือบางทีบุกบางจำพวกก็มีใบมีจุดแบบไข่ปลาสีขาวข้างบน  จะเห็นว่าใบบุกมีใบลักษณะที่หลากหลายมากมาย  แต่ที่เด่นๆดูง่ายว่าเป็บุกเป็น จะมีก้านตรงจากกลางของหัว เมื่อโผล่จากดินแล้วแผ่กางออก 3 ทาง มีรูปทรงแผ่กว้างแบบร่ม แต่บาง ประเภทจะแปลกตรงที่กลับขึ้นด้านบนราวกับหงายร่ม โดยเหตุนั้นรูปแบบของใบบุก มีหลายแบบอย่างขึ้นอยู่กับจำพวกของบุก
ดอกของบุกลักษณะดอกดอกเหมือนต้นหน้าวัว แต่ละจำพวกมีขนาด สี แล้วก็รูป ทรงแตกต่างกัน บางประเภทมีดอกใหญ่มาก โดยยิ่งไปกว่านั้นบุกคางคก ดอกบุกมีกลิ่น เหม็นเหมือนเนื้อสัตว์เน่า บุกชนิดอื่นๆมีดอกเล็กก้านดอกจะโผล่ขึ้นตรง จากกลางหัวบุก เหมือนกันกับก้านใบ บุกมักจะมีดอกในช่วงปลายหน้าแล้ง แม้กระนั้นบุกสามารถมีดอกได้ในตอน เวลาต่างๆกัน ระยะเวลาสำหรับการแก่สุดกำลัง ของดอกที่จะติดผลก็แตกต่างกัน
 ผลบุก (อย่างงงวยกับหัวบุกนะ ) ภายหลังดอก สืบพันธุ์ก็จะเป็นผล ผลอ่อนของบุก มีสีขาวอมเหลือง พอเพียงอายุ ได้ 1-2 เดือน จะส่งผลสีเขียวเข้ม มีจุดดำที่ปลายคล้ายผลกล้วย ผล ของบุกจำนวนมากจะมีลักษณะคล้ายๆกัน แม้กระนั้นเมล็ดข้างในต่างกัน พบว่าส่วนมากมีเมล็ดเป็นรูปทรงอูมยาว  บุกบางจำพวกก็มีเม็ดในกลม   ผลแก่ของบุกจะมีสีแดงหรือแดงส้ม

บุกกับการนำมาเข้าครัว
เป็นพืชอาหารประจำถิ่นซึ่งคนไทยนำเอาก้านใบมาแกงส้ม ลวกจิ้มน้ำพริก     ท่อนหัวบุกมีการนำไปดัดแปลงแก้ไขตามแต่ละภูมิภาค เป็นต้นว่าทางภาคอีสาน มีการทำขนมที่เรียกว่าของหวานบุก แกงบรรพชามันบุก แกงอีสาน (แกงลาว)   ภาคตะวันออกจะมีการฝาน หัวบุกเป็นแผ่น บางบาง แล้วเอามานึ่งกินอาหาร ทางภาคเหนือโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวดอย มักเอามา ปิ้งรับประทาน ภาคกึ่งกลางมักนำหัวบุกที่ฝานเป็นชิ้นบางๆมาแช่น้ำปูน แช่น้ำก่อนล้างหลายๆครั้งและหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปทำเป็นของว่าง
*บุกมีหลายอย่างหลายพันธุ์ บางทีอาจขมแล้วก็เป็นพิษ ทุกประเภทมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ทั้งๆที่ก้านใบและก็หัว ซึ่งอาจก่อให้คัน ก่อนนำมาประกอบอาหารต้องต้มซะก่อน ไม่อย่างนั้นรับประทานเข้าไปทำให้คันปากรวมทั้งลิ้นพอง
ของกินที่ดัดแปลงมาจากบุก
เดี๋ยวนี้มีการนำบุกมาดัดแปลง ทั้งในรูปแบบของเส้นบุก ซึ่งคือสินค้าแปรรูปจากส่วนหัวบุก มีแบบเส้นใส สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารจานอร่อยได้ ผมว่าผู้ใดกันแน่เคยไปรับประทานเนื้อย่างอาจเคยเจอบ้าง เว้นเสียแต่เส้นบุกแล้วมีการเอามาผสมเครื่องดื่มต่างๆเอาแบบได้รับความนิยมๆสมัยก่อนเป็นเจเล่ ผสมผงบุก ถ้าจำไม่ผิดอันนี้เขามาทำเป็นรายแรก (เจ้าของบริษัทผ่านมาอ่านขอค่าโฆษณาด้วยครับผม)
คุณประโยชน์ของบุก
จากการเล่าเรียนพบว่า  แป้งบุกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พวกกลูวัวแมนแนน (glucomannan) เป็นสารโมเลกุลใหญ่ (polysaccharides)ที่ประกอบด้วยน้ำตาล 2 จำพวกหมายถึงดี-เดกซ์โทรส (D-glucose) แล้วก็ (D-mannose) เป็นสารที่มีสาระต่อสุขภาพในรูปของใยอาหาร (dietary fiber)  ซึ่งดูดน้ำได้มาก แต่ร่างกายสลายตัวได้ยาก ซึมซับได้ช้า ก็เลยให้พลังงานและสารอาหารน้อย เหลือกากมากมาย ทำให้ระบบขับถ่ายปฏิบัติงานดี ผู้ที่อยากลดความอ้วนนิยมรับประทานอาหารจากแป้งบุก ตัวอย่างเช่น วุ้นเส้นบุก เส้นหมี่แป้งหัวบุก เนื่องจากรับประทานอิ่มได้ ระบายท้อง แต่ว่าไม่ทำให้อ้วน
นอกนั้นเองเจ้า สารกลูโคแมนแนนนี้ สามารถลดจำนวนน้ำตาลในเลือดได้ ก็เพราะเหตุว่าความเหนี่ยว ซึ่งยับยั้งการดูดซึมของกลูวัวลสจากทางเดินอาหาร ยิ่งเหนียวหนืดมาก็ยิ่งส่งผลลดการดูดซึมกลูวัวลส ด้วยเหตุนี้ กลูโคแมนแนนช่วยลดน้ำตาลได้ดิบได้ดีมากมาย เดี๋ยวนี้จึงใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นของกินสำหรับผู้เจ็บป่วยเป็นโรคโรคเบาหวาน แล้วก็สำหรับผู้ป่วยเป็นโรคมีไขมันในเลือดสูง
นี่แหละครับคือคุณประโยชน์จากบุก ทดลองหามาทานกันครับผม เป็นประโยชน์ขนาดนี้ ยุคนี้ไม่หายากแล้วเดินไปห้าง ก็ได้บุกเส้นแล้ว เสนอแนะมามายำแบบยำวุ้นเส้นครับ ยืนยันอร่อยแท้ๆ http://www.disthai.com/

5

บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)12 ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่พวกเราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับบุกจำพวกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แต่ต่างประเภทกัน ซึ่งมีคุณลักษณะรวมทั้งคุณประโยชน์ทางยาที่ใกล้เคียงกัน แล้วก็สามารถประยุกต์ใช้แทนกันได้
บุก
บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum
บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในตระกูลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า แพทย์ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), หมอยื่อ (ภาษาจีนกลาง) เป็นต้น
ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีอายุหลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นโดยประมาณ 50-150 เซนติเมตร หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ รูปแบบของหัวเป็นรูปออกจะกลมแบนน้อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโดยประมาณ 25 ซม. ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นและกิ่งก้านมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายทาสีขาวปนเปอยู่
หัวบุก
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขน มีใบย่อยเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีขนาดยาวโดยประมาณ 15-20 เซนติเมตร
ใบบุก
ดอกบุก มีดอกเป็นดอกคนเดียว รูปแบบของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวราวๆ 30 เซนติเมตร สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
ดอกและก็ผลบุก
บุกคางคก
บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam
บุกคางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในสกุลบอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (จังหวัดสกลนคร), กระบุก (จังหวัดบุรีรัมย์), บุกคางคก บุกระอุงคก (ชลบุรี), หัวบุก (ปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกึ่งกลาง), บุก (ทั่วๆไป), กระแท่ง บุกรอ หัววุ้น (ไทย), บุกอีคอยกเขา เป็นต้น
ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกประเภทกะแท่งหรือเท้ายายม่อมหัว แก่ได้นานยาวนานหลายปี มีความสูงของต้นราว 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอวบอ้วนและอวบน้ำไม่มีแก่น ผิวตะปุ่มตะป่ำ ลำต้นกลมและก็มีลายเขียวๆแดงๆลักษณะคล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นขยายพันธุ์ด้วยแนวทางแยกหน่อ พรรณไม้จำพวกนี้จะเติบโตในฤดูฝน รวมทั้งจะร่วงโรยไปในตอนต้นหน้าหนาว ในประเทศไทยพบมากขึ้นเองตามป่าราบหาดทรายแล้วก็ที่อำเภอศรีราชา ส่วนในต่างประเทศบุกคางคกนั้นเป็นพืชพื้นบ้านในเอเซียอาคเนย์ พบได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนถึงอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
ต้นบุกคางคก
หัวบุกคางคก เป็นส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะค่อนข้างกลมและมีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวขรุขระ เส้นผ่าศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 ซม.ขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดรวมทั้งเป็นเมือกลื่น มียาง โดยยิ่งไปกว่านั้นหัวสด แม้สัมผัสเข้าจะทำให้กำเนิดอาการคันได้ ก่อนเอามาปรุงเป็นอาหารนั้นจึงจำเป็นต้องทำให้เป็นเมือกโดยการต้มในน้ำเดือดซะก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแต่ 1 กรัม ไปจนถึง 35 โล
บุกคางคก
ใบบุกคางคก ใบเป็นใบลำพัง ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแผ่ออกคล้ายกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าหาเส้นกึ่งกลางใบ ส่วนขอบของใบจักเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำและยาวได้โดยประมาณ 150-180 เซนติเมตร
ใบบุกคางคก
ดอกบุกคางคก ออกดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงแกมสีน้ำตาล (ขึ้นกับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบแต่งแต้มเป็นรูปห่อหุ้มช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นและก็บานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศภรรยาอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นคล้ายซากสัตว์เน่า
ดอกบุกคางคุก
ผลบุกคางคก ผลสำเร็จสด เนื้อนุ่ม ลักษณะของผลเป็นรูปทรงรียาว ขนาดยาวราว 1.2 ซม. ผลมีเยอะมากๆชิดกันเป็นช่อๆ(สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนถึงสีแดง ข้างในผลมีเมล็ดราวๆ 1-3 เมล็ด โดยมีสันขั้วเมล็ดของแต่ว่าเม็ดแยกออกมาจากกัน เม็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่
สรรพคุณของบุก
หัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน เป็นพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ แล้วก็ระบบทางเดินอาหาร มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด (หัว)
ใช้เป็นของกินสำหรับคนไข้เบาหวานรวมทั้งคนเจ็บโรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำกิน โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว นำมาชงกับน้ำก่อนรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ
หัวใช้เป็นยารักษาโรคโรคมะเร็ง (หัว)
ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว)
ช่วยแก้อาการไอ (หัว)
หัวใช้เป็นยากัดเสมหะ ละลายเสมหะ ช่วยกระจายเสมหะที่อุดตันบริเวณหลอดลม (หัว)
หัวบุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสมหะเถาดาน รวมทั้งเลือดจับกันเป็นก้อน (หัว)
หัวนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว)
ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
ช่วยแก้รอบเดือนไม่มาของสตรี (หัว)6 ช่วยขับประจำเดือนของสตรี (ราก)
หัวนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคตับ (หัว)
ใช้แก้พิษงู (หัว)
ใช้เป็นยาแก้แผลไฟลุกน้ำร้อนลวก (หัว)
หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่บาดแผล กัดฝ้าและก็กัดหนองได้ดี (หัว)1,2,3,4 บางข้อมูลกล่าวว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก)
ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)6
หัวใช้เป็นยาพาราบวม แก้บวมช้ำ (หัว)
บุก เป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ยิ่งกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ โดยคุณนิล สกุณา (บ้านหนองพลวง ต.โคกกลาง อำเภอลำปลายกาญจน์ จ.บุรีรัมย์) ชี้แนะให้ลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พิงปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเมล็ดเอามาปิ้งไฟให้หอมก่อน แล้วใช้ผูกกับไม้แขวนจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำพอเพียงท่วมเมล็ดบุก ต้มจนเม็ดบุกร่วงลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดและให้เติมน้ำตาลพอควรลงไปต้มให้พอเพียงหวาน จากนั้นลองชิมดู ถ้ายังมีอาการคันคออยู่ก็ให้เพิ่มเติมน้ำตาลเพิ่มแล้วค่อยลองใหม่ ถ้าหากไม่มีอาการคันคอก็เป็นพิษว่าใช้ได้ รวมทั้งให้นำสมุนไพรโด่ไม่เคยทราบล้มใส่เข้าไปด้วยราวๆ 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปลดปล่อยให้เย็นและเก็บไว้ในตู้เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก ราวๆ 30 นาที จะปวดท้องฉี่โดยธรรมชาติ ภายหลังอาวุธนั้นจะพร้อมสู้ทันที (ผล)
หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วนำมาชงกับน้ำดื่ม ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำกินก่อนที่จะรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ2 ส่วนการใช้ตาม 6 ให้ใช้ทีละ 10-15 กรัม (เข้าใจว่าเป็นส่วนของหัว) เอามาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง ก็เลยสามารถนำมากินได้ หากเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือนำมาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ล้างรอบๆที่เป็นแผล
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) ไม่น้อยเลยทีเดียว ที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้ารวมทั้งก้านใบหากปรุงไม่ดีแล้วกินเข้าไปจะทำให้ลิ้นพองแล้วก็คันปากได้8ก่อนเอามากินต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่รับประทานกากยาหรือยาสด6
ขั้นตอนการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำพอเพียงแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นครั้งแรก แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อให้พิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกุมตัวกันเป็นก้อน จึงสามารถใช้ก้อนดังที่กล่าวถึงมาแล้วสำหรับเพื่อการทำอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้6ถ้าเกิดอาการเป็นพิษจากการรับประทานบุก ให้รับประทานน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบหมอ
เพราะว่าวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่ต่ำลงมากยิ่งกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) ก็เลยไม่สมควรบริโภควุ้นบกตอนหลังการรับประทาน แต่ว่าให้กินก่อนที่จะกินอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคอาหารที่ผลิตจากวุ้น ตัวอย่างเช่น วุ้นก้อนและเส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมอาหารหรือหลังรับประทานอาหารได้ เนื่องจากว่าวุ้นดังกล่าวมาแล้วข้างต้นได้ผ่านขั้นตอนการรวมทั้งได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว และก็การการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นก็เลยเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เนื่องจากไม่มีการเสื่อมสภาพเป็นน้ำตาลในร่างกาย และไม่มีวิตามินและก็แร่ หรือสารอาหารอะไรก็ตามที่มีคุณประโยชน์ต่อสถาพทางร่างกายเลยกลูโคแมนแนนมีผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันน้อยลง (ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค) ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดผลเสียและไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่ว่าจะไม่เป็นผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (เป็นต้นว่า วิตามินบีรวม วิตามินซี)
การกินผงวุ้นบุกในปริมาณมาก อาจก่อให้มีลักษณะอาการท้องร่วงหรือท้องอืด มีลักษณะอาการอยากกินน้ำมากกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการเหน็ดเหนื่อยเพราะเหตุว่าระดับน้ำตาลในเลือดน้อยลงได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุก
สารที่พบ ดังเช่นว่า สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีนบุก, วิตามินบี, วิตามินซี รวมทั้งยังพบสารที่เป็นพิษเป็นConiine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกพบสาร Uniine รวมทั้งวิตามินบีที่ก้านช่อดอก6 รวมทั้งหัวบุกยังมีโปรตีนอยู่จำนวนร้อยละ 5-6 แล้วก็มีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงร้อยละ 672หัวบุกมีสารสำคัญเป็นกลูโคแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ซึ่งประกอบด้วยกลูโคส แมนโนส และก็ฟรุคโตส สารกลูวัวแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เพราะเหตุว่ามีความเหนียว ช่วยยับยั้งการดูดซึมของเดกซ์โทรสจากทางเดินอาหาร ยิ่งหนืดมากมายก็ยิ่งส่งผลการดูดซึมกลูโคส โดยเหตุนั้น กลูวัวแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum ก็เลยสามารถลดน้ำตาลได้ดีมากยิ่งกว่า จึงใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นอาหารสำหรับคนไข้โรคเบาหวานรวมทั้งสำหรับผู้ที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงสารกลูวัวแมนแนน (Glucomannan) จะมีปริมาณต่างกันออกไปตามชนิดของบุก5
แป้งจากหัวบุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนราวๆ 90% และก็สิ่งเจือปนอื่นๆตัวอย่างเช่น alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่างๆsulfates, chloride, และพิษอื่น โมเลกุลของกลูโคแมนแนนนั้นหลักๆแล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองประเภทหมายถึงกลูโคส 2 ส่วน รวมทั้งแมนโนส 3 ส่วน คร่าวๆ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลชนิดที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลจำพวกแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งไม่เหมือนกับแป้งที่พบในพืชทั่วๆไป จึงไม่ถูกย่อยโดยกรดรวมทั้งน้ำย่อยในกระเพาะ เพื่อน้ำตาลที่ให้พลังงานได้8 นอกเหนือจากกลูโคแมนแนนจะเจอได้ในบุกแล้ว ยังเจอได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย9
กลูวัวแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำและก็พองตัวได้มากถึง 200 เท่า ของจำนวนเดิม เมื่อพวกเรารับประทานกลูวัวแมนแนนก่อนรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงทีละ 1 กรัม กลูโคแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากมายในกระเพาะของพวกเรา แล้วเกิดการพองตัวกระทั่งทำให้เรารู้สึกอิ่มของกินได้เร็วรวมทั้งอิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้พวกเรากินได้ลดน้อยลงกว่าปกติด้วย ทั้งยังกลูวัวแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมาก กลูโคแมนแนนก็เลยช่วยสำหรับเพื่อการควบคุมน้ำหนักแล้วก็เป็นของกินของคนที่อยากลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม8
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่กินทีละ 15 กรัม ต่อ 1 กิโลกรัม ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูต่ำลงคิดเป็น 44% รวมทั้ง Triglyceride ลดน้อยลงคิดเป็น 9.5%6
สาร Glucomannan มีฤทธิ์ซับน้ำในกระเพาะรวมทั้งไส้เจริญมากมาย และยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในลำไส้ให้เยอะขึ้น ทำให้มีการขับของที่คั่งค้างในลำไส้ได้เร็วขึ้น6สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยั้งการเจริญก้าวหน้าของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้5
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีลักษณะอาการบวมที่ขากินทีละ 15 กรัม ต่อ 1 โล พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูน้อยลง6
ประโยชน์ที่ได้รับมาจากบุกชาวไทยเรานิ http://www.disthai.com/

หน้า: [1]