รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - boo1000iyuism

หน้า: [1]
1
ไขมันส่วนเกิน สิ่งที่ทำให้เกิดพุงรวมทั้งความอ้วน
เดือนพฤษภาคม 19, 2018  kungtep
ไขมันส่วนเกิน เสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายหลายชนิด ต้องรีบเผาผลาญไขมัน ขจัดไขมันส่วนเกินออกไป มิฉะนั้นจะเจอกับความอ้วน น้ำหนักตัวสูง รูปร่างอ้วนกลมบ๊อก เซลลูไลน์(cellulite)หนักอึ๊ง
ไขมันส่วนเกิน สิ่งที่ทำให้เกิดความอ้วน จะต้องสลายไขมันออกไป
ท้องที่เด่นกว่าบริเวณใบหน้า ความอ้วนที่แบกรับมานานจากปัญหาของไขมันสะสม เรื่องสำคัญของลักษณะท่าทางภายนอก กำจัดให้ออกไปได้ เพียงใช้สมุนไพรส้มแขก เรียกหุ่นที่ดูดีน่าดูกลับมาอีกรอบ
ความอ้วน ทำให้ลักษณะท่าทางเสีย ขาดความมั่นใจและความเชื่อมั่น
ปัญหาสุขภาพนับสิบนับร้อย นับว่าเป็นความรู้สึกหนักใจอย่างหนึ่งในชีวิต ด้วยเหตุว่าเมื่อได้เกิดการเจ็บป่วยขึ้นมาแล้ว มันก็ย่อมส่งผลกระทบตามมาต่อการดำนงชีพหลายแบบ ไม่ว่าจะการทำงาน การพบปะผู้คน การประกอบงานกิจวัตรต่างๆซึ่งเรื่องของปัญหาด้านสุขภาพในตอนนี้นั้นมิได้มีเพียงแค่เรื่องโรคร้ายแรงหรือเรื้อรังอย่างเดียว แม้กระนั้นยังมีปัญหาสุขภาพในด้านของบุคลิกลักษณะลักษณ์ที่มีผลต่อความไม่มั่นใจในตัวเอง
 
ไขมันส่วนเกิน
ไขมันส่วนเกินสูง cr.adrianjamesnutrition.com
ทางแก้ไขมันส่วนเกินสูง ต้องการลดน้ำหนัก คุณทำเองได้
ปัญหาความอ้วน เซลลูไลท์มากมาย ไขมันภายในร่างกายสูง ซึ่งเกิดเรื่องที่พบบ่อยในสังคมไทยเราขณะนี้ รวมถึงในอีกหลายประเทศทั่วทั้งโลกเลยก็ว่าได้ และก็นับว่าเป็นปัญหาที่แก้ได้ยากในระดับหนึ่งเลย แต่ก็พอมีแนวทางที่จะช่วยจัดการปัญหานี้ได้ ได้แก่
ลดของกินประเภทแป้งแล้วก็น้ำตาล
ลดอาหารประเภททอด
ลดอาหารที่มีไขมันสูง เช่น หมู่ เนื้อ ไก่
บริหารร่างกาย เพื่อ{เผาผลาญไขมัน|สลายไขมันส่วนเกิน
รับประทานน้ำให้มาก อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
กินผัก ผลไม้ เป็นอาหารหลัก ได้แก่ สลัด
ลดข้าวเย็น กินให้ลดลง
อย่าให้ความอ้วน ไขมันส่วนเกิน เข้ามาเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
เพราะว่าเรื่องของความอ้วนไม่ใช่เรื่องที่จะจับมาล้อเลียนกันได้ง่ายๆราวกับอย่างที่หลายท่านเคยทำกันมา คนที่ล้ออาจรู้สึกสนุก และไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการหัวเราะชื่นชอบ คิดแค่ขำๆหน่า แม้กระนั้นถูกล้อนี่สิ คงจะไม่ขำด้วย ด้วยเหตุว่าสำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่เรื่องตลกเอาเสียเลย แถมยังเป็นเรื่องที่รู้สึกขายขี้หน้าในภาพลักษณ์ที่ดูแย่ แปลกกว่าปกติทั่วๆไปด้วยซ้ำ บางบุคคลที่ถูกล้อหนักๆเป็นประจำก็เก็บไปคิดมากกระทั่งเป็นความทุกข์ และก็สูญเสียความเชื่อมั่นและมั่นใจไปหมดทุกเรื่องในชีวิตเลยก็มี ไม่ใช่ว่าเขาเล่านั้นต้องการอ้วนจนถูกล้อเลียนแบบงี้หรอก แต่แบบอย่างการใช้ชีวิตแต่ละคนมันหลบหลีกความอ้วนได้ยาก แล้วก็หลายๆคนก็อ้วนง่ายแม้กระนั้นลดยากมากไม่น้อยเลยทีเดียวไป จริงไหม ?

ทางลัด ลดหุ่น ลดน้ำหนัก ลดไขมันส่วนเกิน
“ส้มแขก” สมุนไพรช่วยระบายไขมัน ขับความอ้วนออกไป บรรเทาท้องผูก สลายเซลลูไลน์(Cellulite) เมื่อมีปัญหาเรื่องความอ้วน ไขมันส่วนเกินสูง ทดลองใช้

2
ไขมันส่วนเกิน สาเหตุของพุงแล้วก็ความอ้วน
พฤษภาคม 19, 2018  kungtep
ไขมันส่วนเกิน เสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายหลายประเภท จะต้องรีบสลายไขมัน กำจัดไขมันส่วนเกินออกไป มิฉะนั้นจะเจอกับความอ้วน น้ำหนักตัวสูง รูปร่างอ้วนกลมบ๊อก เซลลูไลน์(cellulite)หนักอึ๊ง
ไขมันส่วนเกิน ที่มาของความอ้วน จำเป็นต้องสลายไขมันออกไป
ท้องที่เด่นกว่าบริเวณใบหน้า ความอ้วนที่แบกรับมานานจากปัญหาของไขมันสะสม เรื่องสำคัญของบุคลิกข้างนอก กำจัดให้ออกไปได้ เพียงใช้สมุนไพรส้มแขก เรียกหุ่นที่ดูดีน่าดูกลับมาอีกครั้ง
ความอ้วน ทำให้บุคลิกลักษณะเสีย ขาดความมั่นใจ
ปัญหาด้านสุขภาพนับสิบนับร้อย นับว่าเป็นความไม่สาบายใจอย่างหนึ่งในชีวิต เนื่องจากเมื่อได้มีการป่วยขึ้นมาแล้ว มันก็ย่อมมีผลเสียตามมาต่อการดำนงชีพหลายอย่าง ไม่ว่าจะการทำงาน การพบปะผู้คน การประกอบงานประจำวันต่างๆซึ่งเรื่องของปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพในปัจจุบันนั้นไม่ได้มีแค่เรื่องโรครุนแรงหรือเรื้อรังอย่างเดียว แต่ว่ายังมีปัญหาสุขภาพในด้านของบุคลิกลักษณะลักษณ์ที่มีผลต่อความไม่มั่นใจในตัวเอง
 
ไขมันส่วนเกิน
ไขมันส่วนเกินสูง cr.adrianjamesnutrition.com
ทางแก้ไขมันส่วนเกินสูง อยากลดหุ่น คุณทำเองได้
ปัญหาความอ้วน เซลลูไลท์มากมาย ไขมันในร่างกายสูง ซึ่งเกิดเรื่องที่พบได้มากในสังคมไทยพวกเราทุกวันนี้ รวมถึงในอีกหลายประเทศทั้งโลกเลยก็ว่าได้ รวมทั้งนับได้ว่าเป็นปัญหาที่แก้ได้ยากในระดับหนึ่งเลย แม้กระนั้นก็เพียงพอมีแนวทางที่จะช่วยจัดการปัญหานี้ได้ อาทิเช่น
ลดอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล
ลดอาหารจำพวกที่เป็นอาหารทอด
ลดของกินที่มีไขมันสูง ได้แก่ หมู่ เนื้อ ไก่
ออกกำลังกาย เพื่อ{เผาผลาญไขมัน|สลายไขมันส่วนเกิน
กินน้ำให้มากมาย อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
กินผัก ผลไม้ เป็นของกินหลัก ดังเช่นว่า สลัด
ลดอาหารมื้อเย็น กินให้ลดลง
อย่าให้ความอ้วน ไขมันส่วนเกิน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของชีวิตพวกเรา
เนื่องจากเรื่องของความอ้วนไม่ใช่เรื่องที่จะจับมาล้อเลียนกันได้กล้วยๆเสมือนอย่างที่หลายๆคนเคยทำกันมา ผู้ที่ล้อบางทีอาจรู้สึกสนุก และไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าการหัวเราะชอบใจ คิดเพียงแค่ขำๆหน่า แม้กระนั้นถูกล้อนี่สิ คงจะไม่ขำด้วย เพราะเหตุว่าสำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่เรื่องขบขันเอาเสียเลย แถมยังเป็นเรื่องที่รู้สึกขายหน้าในรูปภาพลักษณ์ที่ดูแย่ แปลกกว่าปกติทั่วๆไปด้วย บางคนที่ถูกล้อหนักๆบ่อยๆก็เก็บไปคิดมากจนกระทั่งเป็นความทุกข์ และสูญเสียความมั่นใจและความเชื่อมั่นไปหมดทุกเรื่องในชีวิตเลยก็มี ไม่ใช่ว่าเขาเล่านั้นต้องการอ้วนกระทั่งถูกล้อเลียนแบบงี้หรอก แต่แบบการใช้ชีวิตแต่ละคนมันหลีกเลี่ยงความอ้วนได้ยาก รวมทั้งหลายๆคนก็อ้วนง่ายแม้กระนั้นลดยากเยอะไป จริงไหม ?

เส้นทางลัด ลดความอ้วน ลดหุ่น ลดไขมันส่วนเกิน
“ส้มแขก” สมุนไพรช่วยระบายไขมัน ขับความอ้วนออกไป ทุเลาท้องผูก สลายเซลลูไลน์(Cellulite) เมื่อมีปัญหาเรื่องความอ้วน ไขมันส่วนเกินสูง ทดสอบการใช้

3

สมุนไพรพญายอ
ชื่อสมุนไพร พญายอ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau
ชื่อวงศ์ ACANTHACEAE
ชื่อพ้อง Clinacanthus burmanni  Nees
ชื่ออังกฤษ ไม่มี
ชื่อเขตแดนผักมันไก่  ผักลิ้นเขียด  พญาปล้องคำ  พญาปล้องดำ พญายอ  โพะโซ่จาง  เสลดพังพอนตัวเมีย


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์


          ไม้พุ่มรอเลื้อย ลำต้นรวมทั้งกิ่งเกลี้ยงเป็นเงา สูงได้ถึง 3 เมตร ใบโดดเดี่ยวออกเรียงตรงกันข้าม รูปขอบขนานหรือขอบขนานปนใบหอก กว้าง 2-3 ซม. ยาว 7-9 เซ็นต์ โคนใบมน ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 0.5 เซนติเมตร ดอกเป็นช่อ ออกเป็นกลุ่มที่ปลายยอด กลีบดอกไม้สีส้มแดงเชื่อมชิดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น 2 ปาก ยาว 3-4 เซนติเมตร ไม่ติดฝัก


ส่วนที่ใช้เป็นยาและคุณประโยชน์


-ส่วนใบ รักษาอาการเนื่องจากแมลงกัดต่อยและโรคเริม


สารสำคัญที่ออกฤทธิ์


สารฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ สารกรุ๊ป monoglycosyl diglycerides อาทิเช่น 1,2-O-dilinolenoyl-3-O-b-d-glucopyranosyl-sn-glycerol แล้วก็สารกลุ่ม glycoglycerolipids จากใบ  มีฤทธิ์ยั้งไวรัสเริม


ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา


ฤทธิ์ลดการอักเสบ
       เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยเอ็นบิวทานอลให้หนูแรท  หรือฉีดสารสกัดด้วยน้ำจากใบเข้าช่องท้องของหนูแรท  จะลดการอักเสบของข้อเท้าหนูแรทที่ทำให้บวมด้วยสารคาราจีแนน (carrageenan) ได้   ตำรับยาที่มีพญายอจำนวนร้อยละ 5  ใน cold cream และก็สารสกัดด้วยเอทานอลจากใบ เมื่อนำมาทาเฉพาะที่ให้หนูแรท จะสามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้  แม้กระนั้นเมื่อใช้สารสกัดด้วยนเอ็นบิวทานอลทาที่ผิวหนังจะไม่ได้เรื่อง
ฤทธิ์ลดลักษณะของการปวด
                 เมื่อให้หนูเม้าส์กินสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบ จะลดความเจ็บปวดของหนูที่ถูกรั้งนำให้ปวดด้วยกรดอะซีติเตียนค  โดยสารสกัดความแรง 90 มิลลิกรัม/กก. จะมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับเฟนนิวบิวทาโซนขนาด 100 มก./กก. (5)  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม (2)  สารสกัดด้วยน้ำ รวมทั้งสารสกัดด้วยเอทานอล 50% จากใบ (3) ไม่มีผลลดความเจ็บ

ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส
เชื้อไวรัสเริม
       พญายอสารสกัดด้วยเฮกเซน บิวทานอล และเอทิลอะซิเตทจากใบ มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสเชื้อเริม HSV-1  แล้วก็เมื่อนำไปทำเป็นตำรับเจลโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ที่ความเข้มข้นร้อยละ 4 รวมทั้งใช้ carbopol 940 เป็นสารก่อเจล  พบว่า มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัสได้ดีและไม่เป็นพิษต่อเซลล์  ขณะที่เมื่อใช้สารก่อเจล poloxamer 407 จะเป็นพิษต่อเซลล์
                 จากรายงานการรักษาคนป่วยโรคเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ชนิดเป็นซ้ำด้วยยาจากสารสกัดพญายอ เปรียบเทียบกับยา acyclovir  และก็ยาหลอก  โดยให้คนไข้ทายาวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 6 วัน พบว่าไม่ได้มีความแตกต่างในระยะเวลาการตกสะเก็ดของแผลคนไข้ที่ใช้ยาจากสารสกัดใบพญายอและยา acyclovir   โดยแผลจะเป็นสะเก็ดภายใน 3 วัน แล้วก็หายสนิทภายใน 7 วัน ซึ่งต่างกันกับยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญ ยาที่สกัดจากใบพญายอไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการอักเสบ เคือง ขณะที่ acyclovir ทำให้แสบ   นอกจากนี้มีการใช้ยาที่ทำมาจากพญายอ ในผู้ป่วยโรคเริม งูสวัด และแผลอักเสบในปาก พบว่าสามารถรักษาแผลแล้วก็ลดการอักเสบเจริญ   
ไวรัส Varicella zoster
                 สารสกัดจากใบพญายอออกฤทธิ์ทำลายไวรัส Varicella zoster ที่เป็นต้นเหตุโรคงูสวัดแล้วก็อีสุกอีใสได้โดยตรงก่อนที่ไวรัสจะเข้าสู่เซลล์
จากรายงานการรักษาคนป่วยโรคงูสวัดด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอเปรียบเทียบกับยาหลอก  โดยให้ทายาวันละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 7-14 วัน จนกระทั่งแผลจะหาย  พบว่าผู้ป่วยสุดที่รักษาด้วยสารสกัดจากใบพญายอ แล้วมีแผลเป็นสะเก็ดภายใน 3 วัน รวมทั้งหายด้านใน 7-10 วัน จะมีเยอะๆกว่ากรุ๊ปที่รักษาด้วยยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ระดับความเจ็บลดน้อยลงเร็วกว่ากลุ่มยาหลอก และไม่เจอผลข้างเคียงอะไรก็ตาม


อาการข้างเคียง


ความเป็นพิษทั่วๆไปรวมทั้งต่อระบบขยายพันธุ์


การทดสอบความเป็นพิษ
เมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอ็นบิวทานอลจากใบให้หนูเม้าส์ พบว่ามีพิษน้อย แต่ว่ามีพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าช่องท้อง  ส่วนสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1.3 กรัม/โล (หรือเทียบเท่าใบแห้ง 5.44 กรัม/กิโล) เมื่อป้อนเข้าทางปากหรือฉีดเข้าท้องหนูเม้าส์ ไม่นำไปสู่อาการพิษใดๆ
การศึกษาพิษ
พญายอกึ่งเรื้อรัง พบว่าเมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเอ็นบิวทานอลจากใบขนาด 270 มก./กก. รวมทั้ง 540 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทุกวี่ทุกวัน นาน 6 สัปดาห์ พบว่าไม่มีผลต่อการเจริญเติบโต แต่น้ำหนักต่อมธัยมัสลดลง ในช่วงเวลาที่น้ำหนักตับมากขึ้น ไม่พบความผิดแปลกต่ออวัยวะอื่น และไม่เจออาการไม่ประสงค์ใดๆก็ตาม หนูแรทที่กินสารสกัดด้วยเอทานอลขนาด 1 กรัม/กิโล ทุกวี่วันนาน 90 วัน พบว่าการกินอาหารของกลุ่มที่ได้รับสารสกัดและก็กรุ๊ปควบคุมไม่ได้มีความแตกต่างกัน แม้กระนั้นน้ำหนักของหนูเพศผู้ที่ได้สารสกัดขนาด 1.0 กรัม/กก. ต่ำกว่าพญายอกรุ๊ปควบคุม  เกร็ดเลือดของหนูแรททั้งสองเพศสูงยิ่งกว่า และก็ครีอาว่ากล่าวนินต่ำกว่ากลุ่มควบคุม  แต่ว่าไม่เจอความไม่ดีเหมือนปกติด้านจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน รวมทั้งพยาธิสภาพด้านนอกhttp://www.disthai.com/

4

บัวบก
ใบบัวบก เป็นพืชสมุนไพรที่เจริญเติบโตในแถบอินเดีย แอฟริกา แล้วก็เอเซียอาคเนย์ ใบแล้วก็ลำต้นประยุกต์ใช้เป็นยารักษาโรคตามหมอแผนโบราณของประเทศอินเดียรวมทั้งจีนมาอย่างยาวนาน ใช้รักษาหลายโรค ตัวอย่างเช่น โรคซิฟิลิส โรคหอบหืด หรือโรคสะเก็ดเงิน และก็ยังเอามาเตรียมอาหารได้อีกด้วย
ใบบัวบก
ใบบัวบกมีสารออกฤทธิ์หลักที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอยู่หลากหลายประเภท ดังเช่นว่า ซาโปนิน (Saponin) หรือสามเทอร์พีนอยด์ (Triterpenoids) เอเชียติโคไซด์ (Asiaticoside) กรดทวีปเอเชียว่ากล่าวก (Asiatic Acid) มาเดแคสโซไซด์ (Madecassoside) รวมทั้งกรดมาดีติดอยู่สสิค (Madecassic Acid) ก็เลยทำให้ประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์ โดยเชื่อว่ามีคุณประโยชน์หลายสิ่งหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น บรรเทาอาการอักเสบ หากใช้กินอาจมีคุณสมบัติช่วยลดระดับความดันโลหิตในหลอดโลหิตดำ และประยุกต์ใช้รักษาโรคหรืออาการที่เกิดขึ้นจากการตำหนิดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิตต่างๆดังเช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ การติดเชื้อที่ระบบทางเดินฉี่ โรคงูสวัด โรคเรื้อน อหิวาตกโรค โรคบิด โรคเท้าช้าง วัณโรค โรคพยาธิใบไม้ในเลือด ฯลฯ นอกเหนือจากนี้ ยังมีความคิดกันว่าถ้าเกิดใช้ใบบัวบกทาที่ผิวหนังอาจช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนซึ่งเป็นสาระสำคัญในการสมานบาดแผล ลดเลือนรอยแผลเป็น รวมถึงปัญหาท้องลายที่มีเหตุที่เกิดจากการมีครรภ์ แต่ว่าสิ่งที่ใช้ในการพิสูจน์หรือหลักฐานทางการแพทย์มีมากน้อยมีมากน้อยเพียงใดที่จะช่วยรับรองความเลื่อมใส คุณประโยชน์ และความปลอดภัยของใบบัวบกสำหรับในการรักษาโรคเหล่านี้
การดูแลและรักษาด้วยใบบัวบกที่บางทีอาจสำเร็จ
เส้นโลหิตขอด มีการเรียนชิ้นหนึ่งกล่าวว่าใบบัวบกอาจมีส่วนช่วยบำรุงรวมทั้งสร้างสมดุลสำหรับการเจริญวัยของเยื่อเกี่ยวเนื่อง (Connective Tissues) เพิ่มความแข็งแรงให้กับหลอดเลือด มีผลต่อความดันในเส้นเลือดฝอยรวมทั้งเส้นโลหิตขอด ลดอัตราการกรองของเส้นเลือดฝอยโดยปรับปรุงแก้ไขการไหลเวียนของเลือด ยิ่งกว่านั้น ยังมีการเรียนโดยการทบทวนงานศึกษาวิจัยที่เกี่ยวโยง 8 ชิ้นเกี่ยวกับการดูแลและรักษาโดยใช้สารสกัดจากใบบัวบกในคนป่วยที่มีปัญหาเส้นเลือดขอดเรื้อรัง พบว่าอาการปวดขา ขาหนัก แล้วก็อาการบวมน้ำทุเลาลงอย่างมีนัยสำคัญ ถึงสารสกัดจากใบบัวบกอาจช่วยบรรเทาอาการคนไข้เส้นเลือดขอดเรื้อรังลงได้ แต่จากงานศึกษาเรียนรู้วิจัยกล่าวว่าผลสรุปข้างต้นจำเป็นต้องแปลความหมายด้วยความระวังเนื่องจากความจำกัดต่างๆของการค้นคว้าวิจัย รวมทั้งยังจำต้องศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมอีกเพื่อหาหลักฐานที่มีความถูกต้องแน่ใจแล้วก็มีคุณภาพมากพอสำหรับเพื่อการประเมินคุณภาพการดูแลรักษาโดยใช้สารสกัดจากใบบัวบก
การดูแลและรักษาด้วยใบบัวบกที่เป็นไปได้ แต่ยังมีหลักฐานส่งเสริมน้อยเกินไป
โรคเส้นเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) ใบบัวบกอาจช่วยสำหรับเพื่อการลดปริมาณไขมันในเส้นโลหิตได้ จากการเล่าเรียนชิ้นหนึ่งโดยให้อาสาสมัครโรคเส้นโลหิตแดงแข็งที่ไม่แสดงอาการกลุ่มหนึ่งกินอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบกตรงเวลา 6 เดือน แล้วก็อีกกลุ่มไม่รับประทาน แล้วตรวจหาความหนาแน่นของไขมันหรือพลัค (Plagues) ที่เกาะอยู่ตามเยื่อบุของเส้นโลหิต พบว่า ระดับคอเลสเตอรอลของอาสาสมัครทั้ง 2 กรุ๊ปไม่ต่างอะไรกัน แต่ว่าในกรุ๊ปที่กินอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบกพบว่า อนุมูลอิสระในเลือดลดน้อยลง ปริมาณไขมันหรือพลัคที่เส้นโลหิตแดงใหญ่ที่คอรวมทั้งขาลดลง รวมทั้งรูปแบบของพลัคความครึ้มและความยาวก็ต่ำลงด้วยเหมือนกัน ทั้งยังไม่พบอาการที่ไม่พึงปรารถนา สามารถทนต่ออาการข้างเคียงได้ และมีการบันทึกผลของการตรวจเลือดเสมอๆ เพราะว่าหลักฐานส่งเสริมคุณสมบัติของใบบัวบกต่อโรคเส้นเลือดแดงแข็งยังไม่พอ ก็เลยจำเป็นที่จะต้องศึกษาต่อไป
คุ้มครองป้องกันลิ่มเลือด การกินใบบัวบกบางทีอาจช่วยคุ้มครองการเกิดลิ่มเลือดที่ขาซึ่งมีเหตุมาจากการโดยสารเครื่องบินเป็นเวลานาน จากหลักฐานที่ได้รับการพัฒนาชี้แนะว่าใบบัวบกอาจช่วยลดของเหลวแล้วก็เพิ่มการไหลเวียนเลือดในผู้ที่ขึ้นรถเครื่องบินติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมง แม้กระนั้น ยังไม่เป็นที่กระจ่างแจ้งว่าการเรียนชิ้นนี้จะหมายถึงการลดการสั่งสมของลิ่มเลือด เนื่องจากหลักฐานสนับสนุนคุณสมบัติของใบบัวบกต่อการป้องกันลิ่มเลือดยังไม่เพียงพอ ก็เลยจึงควรศึกษาต่อไป
กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ในคนเจ็บโรคเบาหวาน งานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยหนึ่งให้คนป่วยโรคเบาหวานที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดฝอยปริมาณ 50 คน กินสารสกัดจากใบบัวบกซึ่งมีสารตรีเทอร์พีนอยด์เป็นสาระสำคัญ ขนาด 60 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวันตรงเวลา 6 เดือน เปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่รับประทานยาหลอก พบว่าสารสามเทอร์พีนอยด์ของใบบัวบกเป็นประโยชน์ต่อการไหลเวียนของโลหิตในหลอดเลือดฝอยของคนป่วยเบาหวาน แม้กระนั้นหลักฐานเกื้อหนุนคุณสมบัติของใบบัวบกต่อการไหลเวียนของโลหิตยังน้อยเกินไป จึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาต่อไป
แผลเบาหวาน มีการทำการค้นคว้าเกี่ยวกับประสิทธิภาพรวมทั้งผลกระทบของการกินสารสกัดจากใบบัวบกต่อแผลเบาหวาน โดยแบ่งคนเจ็บเบาหวานจำนวน 200 คนออกเป็น 2 กรุ๊ป โดยกรุ๊ปหนึ่งรับประทานสารทวีปเอเชียติเตียนวัวไซด์ซึ่งเป็นสกัดจากใบบัวบกขนาด 50 มก. และก็อีกกรุ๊ปกินยาหลอกจำนวน 2 แคปซูลหลังมื้ออาหารวันละ 3 ครั้ง รวมทั้งมีการวัดผลทุก 7 วัน พบว่าแผลของคนเจ็บที่กินสารสกัดจากใบบัวบกมีการหดรั้ง (Wound Contraction) ที่ดียิ่งกว่าและไม่เจอผลข้างเคียง หรือพูดได้ว่าสารสกัดจากใบบัวบกอาจมีความสามารถในการรักษาแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้น รวมทั้งสามารถใช้ได้โดยสวัสดิภาพโดยไม่เกิดผลข้างๆ แม้กระนั้นเหตุเพราะหลักฐานเกื้อหนุนคุณสมบัติของใบบัวบกต่อการดูแลและรักษาแผลเบาหวานยังไม่เพียงพอ จึงจำต้องศึกษาต่อไป
รอยแผล สารออกฤทธิ์ของใบบัวบก อย่างเช่น ทวีปเอเชียติเตียนวัวไซด์ กรดทวีปเอเชียติก มาเดแคสโซไซด์ และกรดมาดีค้างสสิค เป็นสารช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในร่างกายและอาจมีความสามารถสำหรับในการรักษาแผลต่างๆทั้งยังแผลขนาดเล็ก แผลไฟลุก แผลจากโรคสะเก็ดเงินหรือโรคหนังแข็ง รวมทั้งแผลแบบนูน ซึ่งจากงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยชิ้นหนึ่งได้เสนอแนะว่าการทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบกรอบๆผิวหนังหลังจากเย็บแผลแล้ว 2 ครั้งต่อวัน สม่ำเสมอนาน 6-8 สัปดาห์ อาจช่วยลดการเกิดแผลเป็นได้ รวมถึงแผลเป็นแบบนูนหรือคีลอยด์ แต่ว่าเนื่องมาจากหลักฐานเกื้อหนุนคุณลักษณะของใบบัวบกต่อแผลยังน้อยเกินไป จึงจำเป็นต้องศึกษาต่อไป
ท้องลาย จากการตั้งครรภ์ ได้มีงานศึกษาค้นคว้าวิจัยชี้แนะให้ผู้ที่กำลังตั้งท้องทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบก วิตามินอี และคอลลาเจน เสมอๆทุกวันในช่วง 6 เดือนในที่สุดก่อนการคลอด ซึ่งอาจช่วยปัญหารอยแตกได้ นอกนั้น ยังมีการทดสอบโดยให้หญิงตั้งครรภ์จำนวน 100 คน ทาครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบบัวบก วิตามินอี รวมทั้งคอลลาเจน-อีลาสติน ไฮโดรไลเซท ทาบริเวณผิวหนังที่มีรอยแตกเปรียบเทียบกับการใช้ยาหลอก พบว่าการทาครีมที่มีส่วนผสมของใบบัวบกอาจจะส่งผลให้เกิดรอยแตกหรือท้องลายน้อยกว่าในกรุ๊ปที่ใช้ยาหลอก แต่เนื่องจากหลักฐานช่วยเหลือคุณสมบัติของใบบัวบกต่อรอยแตกหรือท้องลายยังไม่แน่นอน จึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาต่อไป
ลดความรู้สึกกังวล การดูแลและรักษาแบบแพทย์แผนจีนมีการนำใบบัวบกมาใช้เพื่อบรรเทาอาการซึมเศร้ารวมทั้งความวิตกกังวล ซึ่งสอดคล้องกับการเรียนทดลองชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับความสามารถของใบบัวบกในการลดความวิตก โดยสุ่มให้อาสาสมัครกินใบบัวบกในปริมาณ 12 กรัมหรือกินยาหลอก จากผลของการทดสอบทำให้เห็นว่าใบบัวบกมีฤทธิ์ต้านทานความรู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจ ช่วยลดความเครียด แต่ยังคงต้องเล่าเรียนเพิ่มเติมอีกถัดไปถึงสมรรถนะของใบบัวบกสำหรับการรักษาโรคไม่สบายใจ
โรคและก็อาการอื่นๆอาทิเช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นลมแดด การตำหนิดเชื้อทางเดินฉี่ โรคตับอักเสบ โรคดีซ่าน ท้องเดิน อาหารไม่ย่อย ซึ่งยังควรต้องศึกษาค้นคว้าหาความสามารถรวมทั้งความปลอดภัยสำหรับเพื่อการรักษาต่อไป

ความปลอดภัยในการรับประทานใบบัวบก
 การใช้สารสกัดจากใบบัวบกทาบริเวณผิวหนังอาจมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่การรับประทานใบบัวบกบางทีอาจไม่ปลอดภัยสำหรับเด็ก คนที่กำลังตั้งท้อง หรือคนที่อยู่ในตอนให้นมลูก เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์เพียงพอที่จะสนับสนุนถึงเรื่องความปลอดภัยอีกทั้งต่อเด็ก แม่ หรือทารกในครรภ์
การรับประทานใบบัวบกบางทีอาจเป็นต้นเหตุให้เกิดความย่ำแย่ต่อตับ เพราะฉะนั้นคนที่เป็นโรคตับหรือมีปัญหาเกี่ยวกับตับไม่สมควรรับประทานใบบัวบก เพราะว่าอาจจะทำให้อาการต่างๆห่วยแตกลงได้ รวมทั้งไม่สมควรกินใบบัวบกร่วมกับยาที่มีผลต่อตับในกลุ่มกลุ่มนี้ ดังเช่น พาราเซตามอล อะมิโอดาโรน คาร์บามาซีตะกาย ไอโซไนอะซิด ซิมวาสแตว่ากล่าวน ฯลฯ
การกินใบบัวบกในจำนวนมากอาจจะเป็นผลให้รู้สึกง่วงได้มากกว่าปกติ หรือถ้ารับประทานร่วมกับยานอนหลับหรือยากังวลลดลง ดังเช่น โคลนาซีแพม ลอราซีแพม ฟิโนบาร์บิทอล และโซลพิเดม
ควรจะหยุดรับประทานใบบัวบกขั้นต่ำ 2 สัปดาห์สำหรับผู้ที่วางแผนเข้ารับการผ่าตัด เนื่องจากว่าบางทีอาจเกิดปฏิกิริยากับยาที่ใช้สำหรับในการผ่าตัดแล้วก็อาจจะส่งผลให้รู้สึกอยากนอนได้มากขึ้น
ควรขอคำแนะนำหมอก่อนกินใบบัวบก หากอยู่ในช่วงการใช้ยาหรืออาหารเสริมจำพวกอื่นๆอยู่เป็นประจำ เพราะว่าอาจส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่ประสงค์ถ้าเกิดกินใบบัวบกในระหว่างการดูแลและรักษาของคนไข้โรคไม่สบายใจ ผู้เจ็บป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง คนไข้อัลไซเมอร์ รวมทั้งคนที่ใช้ยานอนหลับหรือยาความกังวลใจลดลง และก็ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเหตุว่าอาจจะทำให้กดประสาทมากยิ่งขึ้น http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรบัวบก

5
อื่น ๆ / ความเป็นมาของต้นราชพฤกษ์
« เมื่อ: สิงหาคม 16, 2018, 04:30:00 AM »

ราชพฤกษ์
ที่ไปที่มาของต้นราชพฤกษ์
   จากอดีตก่อนหน้านี้กว่า 50 ปี ทางด้านราชการมีความพยายามหลายคราวสำหรับในการกำหนดให้มีเครื่องหมายประจำชาติไทย โดยยิ่งไปกว่านั้นการกำหนด ต้นไม้ และ ดอกไม้ ประจำชาติ เริ่มที่กรมป่าไม้ได้ชักชวนให้สามัญชนสนใจต้นราชพฤกษ์หรือคูณมาตั้งแต่ช่วงปี พุทธศักราช2494 โดยรัฐบาลลงความเห็นให้ถือวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันต้นไม้รายปีของชาติ (arbour day) มีการชวนให้ปลูกต้นไม้ที่มีสาระชนิดต่างๆมากมายก่ายกอง ในเวลาเดียวกันก็ได้มีการเสนอว่า ต้นราชพฤกษ์ คงจะถือเป็นต้นไม้ประจำชาติ
ราชพฤกษ์
   จนถึงในปี พ.ศ.2506 มีการประชุมเพื่อกำหนดสัญลักษณ์ต้นไม้และสัตว์ประจำชาติเป็นครั้งแรก โดยกรมป่าไม้ได้เสนอให้ ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูณ ไม้มงคลที่มีสาระและก็รู้จักกันอย่างแพร่หลายเป็นต้นไม้ประจำชาติ สำหรับสัตว์ประจำชาติก็คือ ช้างเผือก สัตว์ที่มีคุณค่าเกี่ยวเนื่องกับจารีตประเพณีไทยแล้วก็ประวัติศาสตร์ไทยมายาวนาน การเสนอตอนนั้นมิได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุนี้ตลอดเวลาก่อนหน้าที่ผ่านมาเครื่องหมายที่บอกถึงความเป็นไทยก็เลยมีหลากหลาย ตั้งแต่สถานที่สำคัญๆ สัตว์ ดอกไม้ ที่คนไทยคุ้นเคยแล้วก็พบเห็นบ่อยมาก ได้แก่ พระปรางค์วัดใกล้รุ่งฯ เรือสุพรรณหงส์ ดอกบัว ดอกมะลิ ดอกพุทธรักษา แมวไทย เหมือนกับ ต้นราชพฤกษ์ แล้วก็ ช้างเผือก ยังคงถูกสรรเสริญให้เป็นเครื่องหมายประจำชาติตลอดมา
            ปี พ.ศ.2530 มีการส่งเสริมให้ปลูกต้นราชพฤกษ์อีกที เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยมีการสนับสนุนให้ปลูกต้นราชพฤกษ์ทั่วราชอาณาจักรจำนวน 99,999 ต้น ขณะนี้จึงมีต้นราชพฤกษ์อยู่ล้นหลามทั่วทั้งประเทศไทย
            ข้อสรุปเรื่องสัญลักษณ์ประจำชาติดูเหมือนจะยังไม่ชัดแจ้ง จนถึงตอนปี พ.ศ.2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้นำเรื่องดังที่กล่าวมาข้างต้นกลับมาเสนออีกครั้ง และมีข้อสรุปเสนอให้มีการกำหนดเครื่องหมายประจำชาติ 3 สิ่งคือ ดอกไม้ สัตว์และสถาปัตยกรรม รวมทั้งการพิจารณาก่อนหน้าที่ผ่านมาเสนอให้กำหนดดอกไม้ประจำชาติคือ ดอกราชพฤกษ์ สัตว์ประจำชาติหมายถึงช้างไทย และก็สถาปัตยกรรมประจำชาติคือ ศาลาไทย
            เหตุที่เลือก ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติด้วยเหตุว่ามีความเหมาะสมในหลายๆด้านเป็นเป็นดอกไม้จากต้นไม้ที่ถูกเสนอให้ฯลฯไม้ประจำชาติเมื่อครั้งที่กรมป่าไม้เสนอไว้ เป็นต้นไม้ที่แก่ยืน คงทน ปลูกขึ้นก้าวหน้าทั่วทุกภาคของประเทศ เป็นต้นไม้ท้องถิ่นที่รู้จักแพร่หลาย มีชื่อเรียกหลายชื่อแตกต่างในแต่ละภาค เช่น ลมแล้ง คูน อ้อดิบ ราชพฤกษ์เป็นไม้มงคลใช้ประโยชน์ในพิธีสำคัญๆเช่น ลงหลักเมือง ลงเสาฤกษ์ ทำคฑาจอมพลแล้วก็ยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร ในช่วงฤดูร้อนราชพฤกษ์จะมีดอกสะพรั่งทั้งต้น ช่อดอกมีทรงสวย สีเหลืองสวยงามเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำประเทศ รวมทั้งเป็นสีเดียวกับวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นอกเหนือจากนี้ความงดงามของช่อดอก แล้วก็ความหมายที่ดียังถูกจำทดลองแบบแต่งแต้มไว้บนอินทรธนูของข้าราชการอีกด้วย
ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติไทย
ส่งดอกไม้ประจำชาติไทยเป็นดอกราชพฤกษ์ (Golden shower) หรือ ชื่อด้านวิทยาศาสตร์ของ ดอกราชพฤกษ์หมายถึงCassia fistula
           ดอกไม้สีเหลืองอร่ามที่พบมากมองเห็นได้ทั่วๆไปตามริมถนนสายต่างๆคือสีสันของ ดอกราชพฤกษ์ หรือ ดอกคูน ต้นไม้มงคลที่ได้รับการเชิดชูให้เป็น ดอกไม้ประจำชาติไทย ทั้งมั่นใจว่าเป็นต้นไม้ที่ปลูกไว้แล้วจะเสริมให้คนในบ้านทรงเกียรติขั้นชื่อ เสียงมากยิ่งขึ้นด้วย ยิ่งใกล้ไปสู่เวลาที่การเปิดประตูต้อนรับเพื่อนบ้านอาเซียนกันแล้ว ในวันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอนำเนื้อหาเกี่ยวกับดอกไม้ประจำชาติไทยอย่าง ดอกราชพฤกษ์ มาให้ทำความรู้จักกันแรง
ความเป็นมาดอกราชพฤกษ์
           ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน ฯลฯไม้ท้องถิ่นของเอเชียใต้ ตั้งแต่ประเทศปากีสถาน ประเทศอินเดีย เมียนมาร์ และก็ศรีลังกา โดยนิยมนำมาปลูกกันมากมายในเขตร้อน สามารถเจริญวัยได้ดีในที่โล่ง และก็เป็นที่รู้จักในประเทศไทยมาหลายสิบปี โดยมีการเสนอให้ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 แต่ว่าก็ยังไม่ได้ข้อสรุปแน่ชัด จนถึงมีการเซ็นชื่อให้เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย ช่วงวันที่ 26 ต.ค. พ.ศ. 2544

ดอกไม้ประจำชาติไทย
           เนื่องด้วย ต้นราชพฤกษ์ มีดอกสีเหลืองยกช่อ มองสง่างาม ทั้งยังยังมีสีตรงกับ สีทุกวันพระราชการเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นไม้ของพระเจ้าแผ่นดิน" และมีการลงชื่อให้ต้นราชพฤกษ์ เป็นเลิศใน 3 เครื่องหมายประจำชาติไทย โดยมี 1. ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทย 2. ศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติไทย รวมทั้ง 3. ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย
เหตุผลเลือกเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

  • เนื่องจากเป็นต้นไม้พื้นบ้านที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย รวมทั้งมีอยู่ทุกภาคของเมืองไทย
  • มีประวัติเกี่ยวข้องกับประเพณีหลักๆในไทยแล้วก็ฯลฯไม้มงคลที่นิยมปลูก
  • ใช้ประโยชน์ได้นานาประการ ยกตัวอย่างเช่น ใช้เป็นยารักษาโรค ทั้งยังยังคงใช้ลำต้นเป็นเสาเรือนได้ เป็นต้น
  • มีสีเหลืองอร่าม พุ่มงามเต็มต้น เปรียบเทียบเป็นเครื่องหมายแห่งศาสนาพุทธ
  • แก่ยืนนาน รวมทั้งคงทน
ลักษณะทั่วไป
           เป็นต้นไม้ขนาดกลาง สูงราว 10-20 เมตร มีดอกเป็นช่อสีเหลืองสวยงาม แต่ละช่อยาวโดยประมาณ 20-40 ซม. โดยกลีบจะเป็นสีเหลือง 5 กลีบ ส่งผลยาวประมาณ 30-60 ซม. มีกลิ่นแรง รวมทั้งมีเมล็ดที่เป็นพิษ
การปลูกดอกราชพฤกษ์
           นิยมปลูกด้วยเมล็ด โดยจะมีการเติบโตช้าในช่วง 1-3 ปีแรก แต่ว่าหลังจากนั้นจะมีการเติบโตเร็วขึ้น รวมทั้งออกดอกตอนอายุประมาณ 4-5 ปี
การดูแลรักษา
           แสง : อยากแดดจัด หรือกลางแจ้ง แล้วก็เจริญวัยได้ดีในเป็นพิเศษ
           น้ำ : ชอบน้ำน้อย ควรจะรดน้ำ 7-10 วันต่อครั้ง สามารถทนกับสภาพภูมิอากาศร้อนได้ดิบได้ดี
           ดิน : สามารถเจริญวัยได้ดีในดินซึ่งร่วนซุย ดินร่วนซุยผสมทราย หรือดินเหนียว
           ปุ๋ย : นิยมให้ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยคอก ในอัตรา 2-3 กิโลต่อต้น และก็ควรจะให้ปุ๋ยปีละ 3-4 ครั้ง
การขยายพันธุ์
           แนวทางเพาะพันธุ์ต้นราชพฤกษ์ที่นิยมหมายถึงการเพาะเมล็ด โดยใช้เมล็ดใหม่ๆมาขลิบด้วยกรรไกรตัดเล็บ แต่ว่าจำต้องเลือกขลิบบริเวณด้านป้าน ด้วยเหตุว่าด้านแหลมจะมีต้นอ่อนอยู่ จากนั้นนำไปแช่น้ำสะอาดทิ้งเอาไว้ผ่านวัน แล้วก็ค่อยเทน้ำออกให้เหลือจำนวนพอเพียงหล่อเลี้ยงเม็ดได้ จากนั้นทิ้งไว้อีกคืนก็จะเจอรากงอก และสามารถนำลงปลูกได้เลย
ความศรัทธาเกี่ยวกับต้นราชพฤกษ์
           มั่นใจว่าฯลฯไม้มงคล ที่ควรปลูกเอาไว้ภายในทิศตะวันตกเฉียงใต้ แล้วก็แม้ปลูกไว้ในบ้านจะช่วยทำให้ทรงเกียรติยศ เกียรติยศ รวมทั้งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางไสยเวท โดยใช้ใบทำน้ำพระพุทธมนต์สะเดาะเคราะห์ เนื่องมาจากเป็นไม้มงคลนาม http://www.disthai.com/

6

ตะไคร้
ตะไคร้ (Lemon Grass) จัดเป็นผักสมุนไพรที่นิยมเอามาประกอบอาหารสำหรับดับกลิ่นคาว และช่วยเพิ่มรสชาตของอาหาร ในนานัปการเมนู โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวกที่เป็นอาหารต้มยำ รวมทั้งแกงต่างๆรวมถึงการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆอาทิเช่น น้ำตะไคร้ ผงตะไคร้ เป็นต้น
ตะไคร้ เป็นไม้ล้มลุกวงศ์เดียวกันกับหญ้า มีอายุมากยิ่งกว่า 1 ปี ขึ้นกับสิ่งแวดล้อม มีถิ่นเกิดในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตัวอย่างเช่น พม่า ไทย ลาว มาเลเชีย อินโดนีเชีย ฯลฯ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cymbopogon citratus (DC.)
วงศ์ : Graminae
ชื่อสามัญ : Lapine, Lemon grass, Sweet rush, Ginger grass
ชื่อแคว้น:
– ตะไคร้
– ตะไคร้แกง
– ตะไคร้มะขูด
– ติดอยู่หอม
– ไคร
– จะไคร
– เชิดเกรย
– หัวสิงไค
– เหลอะเกรย
– ห่อวอตะโป
– เฮียงเม้า
ตะไคร้1
ลักษณะทั่วไป
ลำต้น
ลำต้นตะไคร้มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง รูปทรงกระบอก มีความสูงได้ถึง 1 เมตร (แล้วก็ใบ)ส่วนของลำต้นที่เรามองเห็นจะเป็นส่วนของกาบใบที่ออกเรียงช้อนกันแน่น โคนต้นมีลักษณะกาบใบห่อหุ้มดก ผิวเรียบ และก็มีขนอ่อนปกคลุม ส่วนโคนมีรูปร่างอ้วน มีสีม่วงอ่อนเล็กน้อย และก็ค่อยๆเรียวเล็กลงกลายเป็นส่วนของใบ ศูนย์กลางเป็นปล้องแข็ง ส่วนนี้สูงราว 20-30 เซนติเมตร ขึ้นกับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และจำพวก แล้วก็เป็นส่วนที่ประยุกต์ใช้สำหรับทำครัว
ตะไคร้ ใบ
ใบตะไคร้ประกอบด้วย 3 ส่วนเป็นก้านใบ (ส่วนลำต้นที่กล่าวข้างต้น) หูใบ (ส่วนต่อ
ระหว่างกาบใบ แล้วก็ใบ) รวมทั้งใบ
ใบตะไคร้ เป็นใบคนเดียว มีสีเขียว มีลักษณะเรียวยาว ปลายใบโค้งทางลงดิน โคนใบเชื่อมต่อกับหูใบ ใบมีรูปขอบขนาน ผิวใบสากมือ และมีขนปกคลุม ปลายใบแหลม ขอบของใบเรียบ แต่คม กลางใบมีเส้นกลางเรือใบแข็ง สีขาวอมเทา แลเห็นต่างกับแผ่นใบกระจ่างแจ้ง ใบกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาว 60-80 ซม.
ดอก
ตะไคร้เป็นพืชที่มีดอกยาก จึงไม่ค่อยประสบพบเห็น ดอกตะไคร้ดอกจะออกดอกเป็นช่อกระจาย มีก้านช่อดอกยาว และมีก้านช่อดอกย่อยเรียงเป็นคู่ๆในแต่ละคู่จะมีใบประดับรองรับ มีกลิ่นหอม ดอกมีขนาดใหญ่คล้ายดอกอ๋อ
ดอกตะไคร้
ผลดีตะไคร้

  • ลำต้น รวมทั้งใบสด


– ใช้เป็นเครื่องเทศทำกับข้าวสำหรับดับกลิ่นคาว ช่วยทำให้ของกินมีกลิ่นหอม และก็ปรับแก้รสให้น่ารับประทานมากขึ้นเรื่อยๆ
– ใช้เป็นส่วนประกอบของยาใช้ภายนอกกันยุง สเปรย์กันยุง และก็ยาจุดกันยุง

  • น้ำมันตะไคร้

    – ใช้เป็นส่วนผสมของน้ำหอม
    – ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำสบู่ แชมพูสระผม
    – ใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องแต่งตัว
    – ใช้ทานวด แก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว
    – ใช้ทาลำตัว แขน ขา เพื่อคุ้มครองป้องกัน แล้วก็ไล่ยุง
    – ใช้เป็นส่วนประกอบของสารคุ้มครองป้องกัน แล้วก็กำจัดแมลง
    ค่าทางโภชนาการของตะไคร้ ( 100 กรัม)

  • พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่
  • โปรตีน 1.2 กรัม
  • ไขมัน 2.1 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม
  • เส้นใย 4.2 กรัม
  • แคลเซียม 35 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 30 มก.
  • เหล็ก 2.6 มก.
  • วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม
  • ไทอามีน 0.05 มก.
  • ไรโบฟลาวิน 0.02 มก.
  • ไนอาซิน 2.2 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 1 มก.
  • ขี้เถ้า 1.4 กรัม


ที่มา: กองโภชนาการ (2544)(1)
สารสำคัญที่พบ
ส่วนของลำต้น แล้วก็ใบมีน้ำมันหอมระเหย (Volatile oil) ที่มีสารหลายชนิด ดังเช่นว่า
– ซิทราล (Citral) พบได้ทั่วไปที่สุด 75-90%
– ทรานซ์ ไอโซซิทราล (Trans-isocitral)
– ไลโมเนน (Limonene)
– ยูจีนอล (Eugenol)
– ลิที่นาลูล (Linalool)
– เจอรานิออล (Geraniol)
– ติดอยู่ริโอฟิวลีน ออกไซด์ (Caryophyllene oxide)
– เจอรานิล อะซิเตท (Geranyl acetate)
– 6-เมทิล 5-เฮพเทน-2-วัน (6-Methyl 5-hepten-2-one)
– 4-โนนาโนน (4-Nonanone)
– เมทิลเฮพคราวโนน (Methyl heptennone)
– สิโทรเนลลอล (Citronellol)
– ไมร์ซีน (Myrcene)
– การบูร (Camphor)
เก็บจาก กาญจนา ขยัน (2552)(2), ใจชาติชั้นวรรณะ น่าอัศจรรย์ชัยตระกูล (2551) อ้างถึงในเอกสารหลายฉบับ(4)

คุณประโยชน์ตะไคร้

  • ลำต้น และก็ใบ


– ช่วยทุเลา และรักษาอาการไข้หวัด
– แ้ก้ไอ และก็ช่วยขับเสมหะ
– ทุเลาลักษณะของโรคโรคหืดหอบ
– รักษาลักษณะของการปวดท้อง
– ช่วยขับปัสสาวะ แก้ฉี่ยาก
– ช่วยขับเหงื่อ
– ช่วยสำหรับการขับลม
– แก้อหิวาตกโรค
– บำรุงธาตุ เจริญอาหาร
– ช่วยลดความดัน เลือดสูง
– ลดจำนวนคอเลสเตอรอลในเส้นโลหิต
– แก้เมนส์มาเปลี่ยนไปจากปกติ

  • ราก


– ใช้เป็นยาปรับปรุงแก้ไขเจ็บท้อง และก็ท้องเสีย
– ช่วยขับปัสสาวะ
– ทุเลาอาการไอ และก็ขับเสมหะ

  • น้ำมันหอมระเหย


– ออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา
– ช่วยกำจัดเซลลูไลท์
– ช่วยสำหรับในการขับถ่าย
– ทุเลาอาการท้องเสีย
– ลดอาการจุกเสียด แน่นท้อง จากฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้
– ช่วยขับน้ำดี
– ช่วยขับลม
– ระังับลักษณะของการปวด
– ต่อต้านอาการอักเสบ แล้วก็ลดการตำหนิดเชื้อ
– กระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด
– ลดอาการเศร้าใจ
– ต้านอนุมูลอิสระ
รวบรวมจาก ทอง ขยัน (2552)(2), กมลวรรณ ตระการชัยสกุล (2551)(4)
ฤทธิ์ทางยาของสารสกัดจากตะไคร้

  • ฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้


น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ออกฤทธิ์ลดอาการแน่นจุกเสียดด้วยการลดการบีบตัวของลำไส้ โดยมีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ ดังเช่นว่า Cineole และก็ Linalool

  • ฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียต้นเหตุอาการของอาการท้องร่วง


สารเคมีในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้สามารถออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียที่สำคัญของอาการท้องร่วงเป็นE. coli โดยมีสารออกฤทธิ์ ตัวอย่างเช่น Citral, Citronellol, Geraneol รวมทั้ง Cineole

  • ฤทธิ์ขับน้ำดี


น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้สามารถออกฤทธิ์กระตุ้นการขับน้ำดีของตับอ่อน โดยมีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ ยกตัวอย่างเช่น Borneol, Fenchone และ Cineole

  • ฤทธิ์ขับลม


สาร Menthol, Camphor แล้วก็ Linalool สามารถออกฤทธิ์กระตุ้นการขับลมภายในร่างกายได้
พิษของน้ำมันตะไคร้
จำนวนน้ำมันตะไคร้ที่ทำให้หนูขาวตายที่กึ่งหนึ่งของจำนวนหนูขาวทั้งสิ้น ด้วยการให้ทางปาก  ที่ความเข้มข้น 5,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม รวมทั้งการให้น้ำมันหอมระเหยทางกระเพาของกินแก่กระต่ายที่ทำให้กระต่ายตายที่ครึ่งหนึ่ง พบว่า มีปริมาณความเข้มข้นเดียวกันกับการให้แก่หนูขาว
พิษทันควันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้น 1,500 ppm ในช่วงเวลา 60 วัน กลับทำให้พบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีการเติบโตเร็วกว่ากรุ๊ปที่ไม้ได้รับ และค่าทางเคมีของเลือดไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร

7
อื่น ๆ / ตะไคร้มีสรรพคุณ-ประโยชน์อย่างไร
« เมื่อ: สิงหาคม 10, 2018, 09:21:38 AM »

ตะไคร้
ตะไคร้ ชื่อสามัญ Lemongrass
ตะไคร้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf จัดอยู่ในตระกูลหญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE)
ตะไคร้จัดเป็นไม้ล้มลุกเชื้อสายต้นหญ้า ใบมีลักษณะเรียวยาว ปลายใบมีขนหนาม เป็นสมุนไพรไทยประเภทหนึ่งที่นิยมเอามาทำครัว โดยตะไคร้แบ่งได้เป็น 6 จำพวก ตัวอย่างเช่น ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค รวมทั้งตะไคร้หางราชสีห์ ซึ่งเป็นสมุนไพรไทยที่นิยมปลูกทั่วไปในบ้านพวกเรา โดยมีถื่นกำเนิดในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย เมียนมาร์ ศรีลังกา รวมทั้งไทย
ตะไคร้ เป็นทั้งยารักษาโรคและยังมีวิตามินและแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย อาทิเช่น วิตามินเอ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก อื่นๆอีกมากมาย
สรรพคุณของตะไคร้
มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการขับเหงื่อ
เป็นยาบำรุงธาตุไฟให้รุ่งโรจน์ (ต้นตะไคร้)
มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยสำหรับการเจริญอาหาร
ช่วยแก้อาการเบื่อข้าว (ต้น)
สารสกัดจากตะไคร้มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการคุ้มครองปกป้องโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
แก้รวมทั้งบรรเทาอาการหวัด อาการไอ
ช่วยรักษาลักษณะของการมีไข้ (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ (ราก)
น้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้สามารถทุเลาลักษณะของการปวดได้
ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ
ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง (ใบสด)
ใช้เป็นยาแก้อ้วกแม้นำไปใช้ร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆ(หัวตะไคร้)
ช่่วยแก้อาการกษัยเส้นแล้วก็แก้ลมใบ (หัวตะไคร้)
รักษาโรคหอบหืดด้วยการใช้ต้นตะไคร้
ช่วยแก้อาการเสียดแน่นแสบบริเวณหน้าอก (ราก)
ใช้เป็นยาแก้อาการปวดท้องแล้วก็อาการท้องเดิน (ราก)
ช่วยแก้รวมทั้งทุเลาลักษณะของการปวดท้อง
ช่วยรักษาอาการท้องอืดท้องอืดท้องเฟ้อ (หัวตะไคร้)
ช่วยสำหรับการขับน้ำดีมาช่วยสำหรับการย่อยของกิน
น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้มีส่วนช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ได้
มีฤทธิ์ช่วยสำหรับในการขับเยี่ยว
ช่วยแก้อาการเยี่ยวพิการและก็รักษาโรคนิ่ว (หัวตะไคร้)
ช่วยแก้อาการขัดเบา (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยาแก้ขับลม (ต้น)
ช่วยรักษาอหิวาตกโรค
ช่วยแก้ลมอัมพาต (หัวตะไคร้)
ใช้เป็นยารักษาโรคเกลื้อน (หัวตะไคร้)
น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สามารถช่วยต้านเชื้อราบนผิวหนังได้เป็นอย่างดี
ช่วยแก้โรคหนองใน ถ้าเกิดนำไปผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ

ประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากตะไคร้
นำมาใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้หอม น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้กระหายได้เป็นอย่างดี
ช่วยสำหรับในการบำรุงรวมทั้งรักษาสายตา
มีส่วนช่วยสำหรับการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
มีส่วนช่วยสำหรับการบำรุงสมองแล้วก็เพิ่มสมาธิ
สามารถนำมาใช้ทำเป็นยานวดได้
ช่วยขจัดปัญหาผมแตกปลาย (ต้น)
มีฤทธิ์เป็นยาช่วยสำหรับการนอน
การปลูกตะไคร้ร่วมกับผักจำพวกอื่นๆจะช่วยคุ้มครองป้องกันแมลงได้เป็นอย่างดี
นำมาใช้เป็นองค์ประกอบของสารยับยั้งกลิ่นต่างๆ
ต้นตะไคร้ช่วยกำจัดกลิ่นคาวหรือเหม็นกลิ่นคาวของปลาได้อย่างดีเยี่ยม
กลิ่นหอมของตะไคร้สามารถช่วยไล่ยุงและกำจัดยุงได้อย่างดีเยี่ยม
เป็นองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ชนิดยากันยุงประเภทต่างๆได้แก่ ยากันยุงตะไคร้หอม
สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง เป็นต้นว่า เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม เอามาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เป็นต้น
มักนิยมประยุกต์ใช้สำหรับการเตรียมอาหารหลายชนิด ได้แก่ ต้มยำ แล้วก็ของกินไทยอื่นๆเพื่อเพิ่มรส
แนวทางทําน้ําตะไคร้หอม
คุณประโยชน์ตะไคร้จัดเตรียมวัตถุดิบดังนี้ ตะไคร้ 1 ต้น / น้ำเชื่อม 15 กรัม / น้ำดื่ม 240 กรัม
ล้างตะไคร้ให้สะอาด แล้วเอามาหั่นเป็นท่อน ตีให้แตก
ใส่ลงหม้อต้มกับน้ำให้เดือด ตราบจนกระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำจนเป็นสีเขียว
รอคอยสักครู่แล้วยกลง ต่อไปกรองเอาตะไคร้ออกแล้วเพิ่มเติมน้ำเชื่อมให้ได้รสตามพอใจ
เสร็จแล้วกระบวนการทำน้ำตะไคร้
แนวทางทําน้ําตะไคร้ใบเตย
น้ำตะไคร้ การทําน้ําตะไคร้ใบเตยนั้นสิ่งแรกให้จัดเตรียมวัตถุดิบดังนี้ ตะไคร้ 2 ต้น / ใบเตย 3 ใบ / น้ำ 1-2 ลิตร / น้ำตาลแดง 2 ช้อนชา (จะใส่หรือไม่ก็ได้)
นำตะไคร้มาตีให้แหลกพอควร แล้วใช้ใบเตยมัดตะไคร้ไว้ให้เป็นก้อน
ใส่ตะไคร้แล้วก็ใบเตยลงไปในหม้อแล้วเพิ่มน้ำ 1 ถึง 2 ลิตร แล้วต้มให้เดือดสักประมาณ 5 นาที เท่านี้ก็เรียบร้อยสำหรับวิธีการทําน้ํา ตะไคร้
โดยตะไคร้แล้วก็ใบเตยชุดเดียวกัน สามารถเติมน้ำสุกใหม่ได้ 2-3 รอบ แต่ว่ารสบางทีอาจจืดชืดลงไปบ้าง เอามาดื่มแทนน้ำช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวา แถมช่วยทำนุบำรุงสุขภาพอีกด้วย
คุณประโยชน์ทางโภชนาการของตะไคร้
การเรียนของตะไคร้ขนาด 100 กรัม พบว่าให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่ มีสารอาหารสำคัญประกอบด้วย โปรตีน 1.2 กรัม ไขมัน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม เส้นใย 4.2 กรัม แคลเซียม 35 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม เหล็ก 2.6 มิลลิกรัม วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม ไทอามีน 0.05 มก. ไรโบฟลาวิน 0.02 มก. ไนอาสิน 2.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 1 มิลลิกรัม และก็ ขี้เถ้า 1.4 กรัม
โทษของตะไคร้
พิษของน้ำมันตะไคร้ จำนวนน้ำมันตะไคร้ ที่ทำให้หนูขาวตายที่ครึ่งเดียวของจำนวนหนูขาวทั้งผอง ด้วยการให้ทางปาก  ที่ความเข้มข้น 5,000 มก./กิโล รวมทั้งการให้น้ำมันหอมระเหยทางกระเพาของกินแก่กระต่ายที่ทำให้กระต่ายตายที่กึ่งหนึ่ง พบว่า มีปริมาณความเข้มข้นเดียวกันกับการให้แก่หนูขาว พิษกระทันหันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้น 1,500 ppm ในช่วงเวลา 60 วัน กลับได้มาพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีการเติบโตเร็วกว่ากรุ๊ปที่ไม้ได้รับ และก็ค่าทางเคมีของเลือดไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร

8

ทับทิม
การกินเพื่อสุขภาพ
ทับทิม ยอดเยี่ยมราชินีที่ผลไม้ มีประโยชน์ทั้งต้น
การกินเพื่อสุขภาพ
ทับทิม ยอดเยี่ยมราชินีที่ผลไม้ มีคุณประโยชน์ทั้งต้น
อัปเดตล่าสุดช่วงวันที่ เดือนพฤษภาคม 3, 2018 โดยประมาณเวลาการอ่าน: 2 นาที
แชร์บทความนี้
ทับทิมได้ผลสำเร็จไม่ที่นิยมรับประทานกันมาก แล้วก็ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของคุณประโยชน์ที่มากมาย จนได้รับสมญาว่า ราชินีแห่งผลไม้ กล่าวกันว่าทับทิมนั้นเป็นผลไม้ที่ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์มาแล้วนับพันปี ในตอนนี้ทับทิมถือเป็นผลไม้ที่นิยมปลูก รวมทั้งรับประทานกันทั้งโลก สามารถหารับประทานได้ง่ายในประเทศไทย พิจารณาได้จากร้านค้าขายน้ำทับทิม หรือผลทับทิมสด ที่แทบจะมีอยู่ตามท้องถนนหรือทุกตลาดในประเทศไทย
ประโยชน์ที่ได้รับมาจากทับทิมมีมาก อีกทั้งในเรื่องของสารอาหาร และการปกป้องคุ้มครองโรค
วิตามินซีสูงมาก
ทับทิมถือเป็นผลไม่ที่มีวิตามินซีสูงมาก ในน้ำทับทิมเพียง 1 แก้ว มีวิตามินซีถึงจำนวนร้อยละ 40 ของจำนวนที่เราอยากในหนึ่งวัน (สำหรับผู้ใหญ่) ด้วยปริมาณวิตามินซีที่สูงในระดับนี้จึงมีสรรพคุณในการลดความเสี่ยงสำหรับการเป็นโรคหวัด หรือแพ้อากาศได้อย่างยอดเยี่ยม
ช่วยบำรุงผิวพรรณ
การกินทับทิมสด หรือน้ำทับทิมนั้น จะช่วยทำให้ผิวพรรณของเรามองแจ่มใส เนื่องด้วยทับทิมสำเร็จเหมาะมีคุณประโยชน์สำหรับการต้านทานอนุมูลอิสระ ช่วยสำหรับการชะลอวัย ลดการเกิดริ้วรอยในผิวของเรา รวมทั้งด้วยจำนวนวิตามินซีที่สูงก็เลยช่วยในเรื่องทำให้ผิวกระจ่างใส นอกเหนือจากนั้นพวกเรายังสามารถใช้น้ำทับทิมประมาณ 1 ช้อนชา ทาบริเวณใบหน้า ทิ้งเอาไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยสำหรับในการบำรุงผิวหน้าให้ดูเต่งตึงมากเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย ประโยชน์ในข้อนี้ของทับทิมสามารถรับรองได้จากการที่ในตอนนี้ มีเครื่องสำอางหรือครีมหลายประเภทได้นำทับทิมไปเป็นองค์ประกอบ
เส้นเลือดและก็หัวใจ
ในทางการแพทย์มีการศึกษาค้นคว้าแล้วพบว่าทับทิม มีคุณประโยชน์ช่วยสำหรับเพื่อการทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ลดภาวการณ์ขาดเลือดในคนเจ็บโรคหัวใจ นอกเหนือจากนี้ยังพบว่าคนที่มีความดันโลหิตสูง เมื่อกินน้ำทับทิมวันละ 50cc จะช่วยลดความดันโลหิตได้ร้อยละ 5 ช่วยลดสถานการณ์การแข็งตัวของไขมันในหลอดเลือดได้อีกด้วย
ลดการเสี่ยงสำหรับการกำเนิดโรคมะเร็ง
เนื่องจากว่าเป็นผลไม้ที่มีค่าการต้านทานอนุมูลอิสระที่สูง ก็เลยช่วยลดการเสี่ยงสำหรับการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างดีเยี่ยม มีงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่า การกินทับทิมช่วยลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งถึง 13ช นิด รวมทั้งยังสามารถช่วยทำลายเซลล์ของโรคมะเร็งในหลอดอาหาร และลำไส้ได้อีกด้วย
คุณประโยชน์อื่นๆของทับทิม
นอกจากคุณประโยชน์หลักที่กล่าวไปในข้างต้นแล้ว ทับทิมยังมีคุณประโยชน์อื่นอีกเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็น ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องในหญิงมีครรภ์ ช่วยปรับให้สมดุลในวัยหมดประจำเดือน ลดความเสี่ยงสำหรับการเป็นโรคสูญเสียความจำในผู้สูงวัย ปกป้องโรคเลือดออกตามไรฟัน เสริมสุขภาพกระดูกลดการเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุน ป้องกันการเสื่อมสรรถภาพทางเพศ ลดการตกขาว กล่าวได้ว่ามีคุณประโยชน์มากมายก่ายกองจริง
 เว้นแต่ส่วนที่เรานิยมกินกันอย่างเมล็ดแล้ว องค์ประกอบอื่นของทับทิมก็มีสาระไม่แพ้กัน ทั้งเป็นยาแล้วก็สมุนไพร
ใบ: สามารถทำน้ำยาบ้วนปากหรือล้างตาได้ ยาพอกที่ทำจากใบสามารถช่วยบรรเทาอาการผมหล่นได้อย่างดี
เปลือก: ลดการเกิดริ้วรอยในผิวของพวกเราใช้รักษา แผลหิด กากเกลื้อน มีสรรพคุณเกี่ยวกับการดูแลรักษาโรคในทางเดินของกิน ดังเช่นว่ารักษาอาการท้องเสียได้
เปลือกของลำต้น รวมทั้งราก: สามารถนำมาทำเป็นยาถ่ายพยาธิได้อีกด้วย โดยเอามาผสมกับกานพลู และอาจใส่ดีเกลือต้มกับน้ำราวสามถ้วย มีคุณประโยชน์สำหรับในการถ่ายพยาธิ
ดอก: มีคุณประโยชน์สำหรับการรักษาแผล รวมทั้งทุเลาอาการอักเสบของหูชั้นใน
ทับทิมนับว่าเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์ในทุกส่วนของต้น ไม่ใช่เพียงแค่เมล็ด หรือน้ำทับทิม ก็เลยไม่สนเท่ห์ใจเลยที่ทับทิมจะได้รับสมญานามว่า "ราชชินีแห่งผลไม้"
โรคและอาการอื่นๆตัวอย่างเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ การหย่อนยานสมรรถภาพทางเพศ เจ็บกล้ามข้างหลังการออกกำลังกาย กลุ่มอาการอ้วนอ้วน โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแดด การต่อว่าดเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis) ท้องเสีย โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง และอื่นๆยังควรต้องทำการวิจัยศึกษาค้นคว้าเพิ่มอีกเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิภาพและก็ความปลอดภัยของทับทิมสำหรับการรักษาโรค
ความปลอดภัยสำหรับในการกินทับทิมหรือผลิตภัณฑ์จากทับทิม
โดยทั่วไปการรับประทานน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัย แม้กระนั้นในบางรายที่มีลักษณะอาการแพ้ผลสดของทับทิมบางทีอาจเป็นผลข้างเคียงจากการดื่มน้ำทับทิมได้
รากทับทิมมีสารที่เป็นพิษต่อสุขภาพ การรับประทานรากและก็ลำต้นของทับทิมในจำนวนมากอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมออกจะไม่มีอันตรายสำหรับเพื่อการกินหรือนำมาใช้กับผิวหนัง แต่อาจส่งผลให้กำเนิดอาการแพ้บางส่วนในบางราย ตัวอย่างเช่น อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจไม่สะดวก
การกินน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมลูก แม้กระนั้นยังไม่มีรายงานยืนยันความปลอดภัยสำหรับในการกินหรือใช้ทับทิมในต้นแบบอื่น เป็นต้นว่า สารสกัดจากทับทิม จะต้องขอความเห็นหมอก่อนจะมีการกินทุกคราว
น้ำทับทิมอาจก่อให้ความดันเลือดลดต่ำลงเล็กน้อย ซึ่งอาจจะทำให้คนป่วยที่มีภาวการณ์ความดันต่ำอาการไม่ดีขึ้น

คนที่มีอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีความเสี่ยงที่จะกำเนิดอาการแพ้จากการกินทับทิม
คนเจ็บที่จำต้องเข้ารับการผ่าตัดควรจะหยุดรับประทานทับทิมอย่างต่ำ 2 สัปดาห์ เหตุเพราะทับทิมนำมาซึ่งการทำให้ความดันเลือดต่ำลง จึงอาจกระทบต่อความดันเลือดในขณะผ่าตัดหรือมีผลต่อเนื่องไปยังหลังการผ่าตัด
การรับประทานทับทิมพร้อมกันกับยาบางชนิดอาจจะเป็นผลให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา อาทิเช่น ยาที่เกี่ยวข้องกับลักษณะการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome ชนิด P450 2D6 หรือชนิด P450 3A4 ยาลดระดับความดันเลือดหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาโรสุวาสแตตำหนิน คนที่รับประทานยาเสมอๆหรือมีโรคประจำตัวควรขอความเห็นแพทย์ก่อนที่จะมีการรับประทานเพื่อให้เกิดความปลอดภัย http://www.disthai.com/

9

เห็ดหลินจือ
เรื่องเล่าประสบการณ์ตรงจากที่ลงภาคสนาม
คุณยายคนหนึ่ง อายุราวๆ 67 ปี ทำอาชีพขายเห็ดในตลาด ลักษณะการป่วยเป็นโรค ดังต่อไปนี้
1.เห็ดหลินจือ สามารถรักษาเบาหวาน เป็นทุนเดิม เป็นโรคนี้มาประมาณ 1x ปี
2.โรคความดันเลือด เป็นมาพร้อมๆกับโรคเบาหวาน จำต้องกินยาแผนปัจจุบันตลอด มีลักษณะมึน
3.โรคไขมัน มาพร้อมๆกับโรคเบาหวาน จะต้องกินยาแผนปัจจุบันตลอด
4.โรคไตเสื่อม ภายหลังจากเป็นโรคโรคเบาหวานมาราวๆ 10 ปี หมอตรวจเจอว่า ไตเสื่อม ระยะ 2 มีอาการขาบวม เหนื่อยเดิน
5.โรคกระเพาะเยี่ยว อักเสบ มาตอนเป็น ไตเสื่อม ก่อให้เกิดอาการเยี่ยวขับ ฉี่ไม่สุด เจ็บแปล็บๆ
6.โรคเก๊า มาตรวจเจอทีหลัง ว่าค่ายูริก เริ่มเยอะขึ้น
======================
การกระทำของคนไข้แล้วก็เรื่องราวก่อนรับประทานเห็ดหลินจือสกัดเข้มข้น
1.ตอนป่วยไข้ตอนเริ่ม จะมีอาการน้ำตาลในเลือดสูง เกือบจะ 200 มก. แม้กระนั้นเพียงพอผ่านมาเกือบ 10 ปี คิดว่าดูแลตัวเองได้ดิบได้ดี ผลที่ได้กลายเป็นแบบงี้ เดี๋ยวน้ำตาลสูง สักครู่น้ำตาลต่ำ กระตุ้นให้เกิดอาการมึนได้ตลอดทั้งวัน งานการไม่ต้องทำแล้ว นอนดียิ่งกว่า
2.พอเพียงมีน้ำตาลในเลือดสูง ความดันจะตามมาเลย นำมาซึ่งอาการโลกหมุน ลายตา จะต้องนอนอีกตามเคย
3.พอเพียงระยะหลังเริ่มรับประทานของมันน้อยลง สามารถที่จะคุมไขมันได้ แต่ว่าพอนานวันเข้า ไขมันคุมได้ แต่พบตรีกีซาลายสูงซะงั้น
4.ภายหลังจากเจ็บมา 1x ปี ร่างกายก็ไม่ค่อยได้พักผ่อน กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดตอนอาการน็อคน้ำตาล ไป 2 ครั้ง ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา จำต้องเข้า โรงพยาบาล เพื่อให้กลูโคส ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้น
5.พอเพียงผ่านมาอีก 6 เดือน แพทย์ตรวจพบเป็นไตเสื่อมขั้นที่ 2 แถมมีโรคกระเพาะเยี่ยวอักเสบ เพราะมีไข่ขาวรั่วมาทางปัสสาวะมาก ทำให้เรี่ยวแรงสำหรับเพื่อการเดินไม่มี (เกือบจะเดินไม่ไหว ก้าวขาไม่ออก) แถมพบโรคเก๊าต์ ถามหาอีก
6.ตอนหลังจากที่รู้ดีว่าเป็นหลายโรค ชีวิต มันช่างมืดมนเหลือเกิน ทำให้ไม่อยากกินอาหาร รับประทานมิได้ นอนไม่หลับ ถึงหลับก็ไม่สนิท ขาบวม ใจสั่น ขี้โมโห
7.พอเพียงถึงเวลานี้ คุณยายคนนี้ ความประพฤติปฏิบัติแปรไป จากที่เคยจะต้องออกไปเปิดร้านขายเห็ดในตลาดทุกๆวัน ไม่เคยหยุด กลับทำให้เขาไม่ได้อยากต้องการขายสินค้า ขอหยุดนอนอยู่ในบ้าน ประพฤติตัวเสมือนไม่มีค่า ต้องให้ลูกๆมารอดู ทำให้เป็นภาระหน้าที่ของลูก
======================
ปัญหา สำหรับลูกที่ดูแล รวมทั้งจุดแปลงแนวความคิด
1.ลูกคนนั้น มีความคิด ทำอย่างยังไงก้อได้ ให้แม่หายจากโรคทั้งปวงนี้
2.ทำอย่างยังไงก็ได้ให้คุณแม่กลับมาดำเนินงานได้อย่างเดิม
3.ทำอย่างไงก็ได้ให้คุณแม่กินข้าวได้เหมือนแต่ก่อนเป็นโรคเบาหวาน
4.ทำอย่างยังไงก็ได้ให้ท่านแม่นอนหลับเจริญ
=======================
สุดท้ายลูกคนนั้นได้มาคุยกับผม ผมเลยแนะนำ[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ[/url][/url][/color]แดงสกัดเข้ม และก็ลูกคนนั้นได้เอาไปให้ท่านแม่ทาน
เริ่มที่คุณแม่ไม่เชื่อว่าเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้มข้น จะช่วยทำให้ชีวิตเขาได้ เพราะเหตุว่าคุณแม่ทานสมุนไพร อาหารเสริมมามากมายแล้ว
=======================

เริ่มต้นกับการทานเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้มข้น (คำตอบอาจนาๆประการในแต่ละบุคคล)
1.ผมชี้แนะให้ทาน 24 ชั่วโมง 2 เวลาหมายถึงเช้า-เย็น ในกรณีของคุณแม่คนนี้ มีโรคประจำตัวมาก จะให้ทานอย่างนี้ หลังจากรับประทานอาหารแล้ว ให้ทานยาแผนปัจจุบัน และคอย 30 นาที ค่อยทานเห็ดหลินจือสกัดเข้มข้น
2.พอภายหลังทานได้ระยะแรก อาการมึนๆสับสนๆเริ่ม นอนได้ดิบได้ดีมากยิ่งขึ้น ปกติจะมองจนถึงเที่ยงคืนแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยหลับ แล้วตื่น 6-7 โมงตอนเช้า มาจัดร้านขายของ แปลงเป็น นอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม ตื่น 6 โมงเช้าตรู่
3.ภายหลังจากนอนหลับเจริญ  ทำให้อาการขาบวมดีขึ้น เยี่ยวมากมาย ไม่ขัดรวมทั้งเยี่ยวได้สุด ค่าน้ำตาล ไม่สวิงต่ำ-สูง รวมทั้งผลไตด้วย
4.ผู้ป่วยเริ่มกินข้าวได้ปกติ (แม่ไม่เชื่อว่าเห็ดหลินจือช่วยได้จริงไหม เลยทดลองด้วย รับประทานทุเรียน2เม็ด แล้วพรุ่งนี้ไปตรวจเลือด ผลเลือดที่ออกมาม่าม้าตระหนกตกใจ ว่าเพราะเหตุใดน้ำตาลธรรมดา ^_^)
5.พอร่างกายได้ นอนได้เต็มที่ หน้าใส(มีคนทักว่าไปทำอะไรมา) แข็งแรงสามารถยกของหนักๆได้ ซึ่งถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เพียงแค่เดินยังต้องหาที่นั่งพักเลย
คุณประโยชน์เห็ดหลินจือที่มีงานค้นคว้ายืนยัน....มีอะไรบ้าง
มีความเชื่อกันมานานแล้วว่าเห็ดหลินจือแดงสามารถทำให้หัวใจแข็งแรง เลือดลมดี ผิวพรรณสดใส ช่วยทำให้แก่ช้าลง ความจำดีขึ้น แล้วก็ช่วยอายุยืนนาน
ส่วนคุณประโยชน์ในทางการรักษาโรคถูกกล่าวไว้อย่างล้นหลามเช่นกัน อย่างเช่น แก้ตับแข็ง รักษาโรคมะเร็ง รักษาโรคความดัน แล้วก็ภูมิแพ้เป็นต้น
แต่ว่าทีเด็ดเป็น......
มีงานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเห็ดหลินจือรักษาโรคจากคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งสำหรับในการทดลองเรียนทางคลีนิคและรับรองว่าเห็ดหลินจือมีคุณประโยชน์ดังต่อไปนี้จริง ไม่ใช่แค่ความเชื่ออีกต่อไป อันเป็นต้นว่า
-กระตุ้นภูมิต้านทาน
-ต่อต้านเนื้องอกรวมทั้งโรคมะเร็ง
-รักษาโรคทางเดินฉี่
-รักษาโรคหัวใจ
-ช่วยทำให้การนอน
-ลดไขมันในเลือด
-ต้านทานอนุมูลอิสระ
-ต้านการอักเสบ

10

ขิง
ขิง เป็นพืชที่มีเหง้าใต้ดิน ภายนอกเหง้าเป็นน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อในสีขาวหรือเหลืองอ่อน มักเอามาประกอบอาหารเนื่องจากส่งกลิ่นหอม นอกนั้น ขิงยังใช้เป็นองค์ประกอบในเครื่องดื่ม สบู่ รวมทั้งเครื่องแต่งตัวทั้งหลายแหล่เช่นกัน ด้านประโยชน์ต่อสุขภาพ มีความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ขิงรักษาโรคหลากหลายชนิดมาอย่างช้านาน อย่างเช่น โรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับระบบที่ทำหน้าที่สำหรับการย่อยอาหารอย่างท้องร่วง มีแก๊สในกระเพาะ ของกินไม่ย่อย อาการเมารถเมาเรือ อาเจียน ไม่อยากกินอาหาร
คุณลักษณะของขิงมั่นใจว่าประกอบด้วยสารที่บางทีอาจช่วยลดอาการอาเจียนและก็ลดการอักเสบ โดยนักค้นคว้าส่วนมากคาดว่าเป็นสารที่ออกฤทธิ์ในกระเพาะอาหารรวมทั้งไส้ แล้วก็สารนี้อาจมีผลต่อสมองหรือระบบประสาทส่วนที่ควบคุมอาการคลื่นไส้ด้วย แม้กระนั้นการสันนิษฐานดังที่กล่าวถึงแล้วยังไม่แน่ชัดนัก แล้วก็คุณลักษณะด้านอื่นๆมีข้อมูลน้อยกว่า ซึ่งคุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิงต่อร่างกายที่เราเชื่อกันนั้น บัดนี้ทางวิทยาศาสตร์มีข้อมูลอธิบายไว้ดังต่อไปนี้
การดูแลรักษาที่อาจสำเร็จ
อาการอาเจียนอาเจียนที่เกิดจากการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีหรือโรคภูมิคุมกันบกพร่อง คุณประโยชน์ทุเลาอาการอ้วกอาเจียนของขิงอาจเป็นประโยชน์ต่อคนเจ็บโรคนี้ที่เอาแต่ได้รับผลกระทบจากการใช้ยารักษาโรค โดยจากการเรียนรู้คนเจ็บจำนวน 102 คน แบ่งให้กรุ๊ปหนึ่งกินขิง 500 กรัม อีกกรุ๊ปกินยาหลอกวันละ 2 ครั้ง ในช่วง 30 นาทีก่อนที่จะได้รับยารักษาโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่องอย่างยาต้านรีโทรไวรัส ตรงเวลาทั้งหมดทั้งปวง 14 วัน พบว่าขิงช่วยลดอาการอ้วกคลื่นไส้ที่เกิดจากการดูแลรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวีได้
อาการอาเจียนอาเจียนภายหลังการผ่าตัด ขิงบางทีอาจช่วยทุเลาอาการอ้วกรวมทั้งอ้วกจากการผ่าตัดได้เช่นกัน โดยการเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์โดยมากชี้ว่าการรับประทานขิง 1-1.5 กรัม ในตอน 1 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัดนั้นดูเหมือนจะช่วยลดอาการอาเจียนอ้วกที่บางทีอาจเกิดขึ้นในระหว่าง 1 วันหลังได้รับการผ่าตัด
งานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยหนึ่งทดลองแบ่งคนไข้ปริมาณ 122 รับการผ่าตัดต้อกระจกให้กินแคปซูลขิง 1 กรัม และอีกกลุ่มได้รับแคปซูลขิง 500 มก.แม้กระนั้นแบ่งให้ 2 ครั้งก่อนผ่าตัด ซึ่งคำตอบพบว่าคนไข้ในกรุ๊ปข้างหลังมีลักษณะอาการอาเจียนอาเจียนน้อยครั้งและก็มีความร้ายแรงของอาการน้อยกว่า โดยการวิจัยนี้พบว่าการใช้ขิงนั้นคงจะให้ประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อรับประทานเป็นประจำรวมทั้งบ่อยโดยแบ่งปริมาณการใช้
นอกจากนั้น การทดลองทาน้ำมันขิงบริเวณข้อมือของคนเจ็บก่อนเข้ารับการผ่าตัด พบว่าช่วยคุ้มครองอาการอ้วกในคนไข้ราวๆ 80 เปอร์เซ็นต์จากผู้เข้ารับการผ่าตัดทั้งหมดทั้งปวง ทว่าการใช้ขิงช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมกับยาลดอ้วกอ้วกนั้นบางทีอาจให้ผลได้ไม่ดีนัก และการใช้ขิงกับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการคลื่นไส้คลื่นไส้น้อยอยู่และจากนั้นก็อาจไม่ได้เรื่องเหมือนกัน
อาการแพ้ท้อง การกินขิงอาจมีส่วนช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง ดังเช่นว่า คลื่นไส้ อ้วก หรือเวียนศีรษะ ผลการค้นคว้าชิ้นหนึ่งที่ช่วยยืนยันคุณสมบัตินี้เป็นการทดสอบในหญิงที่มีอายุครรภ์ต่ำกว่า 20 อาทิตย์ จำนวน 120 คน ซึ่งพบเจออาการแพ้ท้องวันแล้ววันเล่านานอย่างน้อย 1 อาทิตย์ และไม่รู้สึกดีขึ้นแม้จะเปลี่ยนแปลงการรับประทานอาหารและก็ตาม ภายหลังรับประทานสารสกัดจากขิง 125 มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากันกับขิงแห้ง 1.5 กรัม วันละ 4 ครั้ง 4 วัน ผลได้ทำให้เห็นว่าขิงอาจสามารถประยุกต์ใช้ผลดีในฐานะการรักษาช่องทางต่ออาการแพ้ท้องได้
ถือว่าสอดคล้องกับอีกงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยก่อนหน้าที่ชี้ว่าการรับประทานขิง 1 กรัมต่อวัน ติดต่อนาน 4 วัน สามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการอาเจียนคลื่นไส้ในหญิงมีท้องที่มีอาการแพ้ท้องได้ แต่การใช้ขิงสำหรับคุณค่าด้านนี้อาจมองเห็นการดูแลรักษาได้ช้ากว่าหรือให้ผลดีไม่พอๆกับการใช้ยาแก้คลื่นไส้อ้วก ยิ่งกว่านั้น การศึกษาเกี่ยวกับคุณลักษณะช่วยลดอาการแพ้ท้องของขิงยังมีข้อกำหนดและพบผลสรุปที่ไม่บ่อยนัก โดยมีบางการทดลองที่ชี้ว่าขิงบางทีอาจไม่ได้มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการลดอาการแพ้ท้องเหมือนกัน
อาการหน้ามืดศีรษะ อาการที่เกิดขึ้นพร้อมกับการอ้วกนี้บางทีอาจทุเลาให้ได้ด้วยการใช้คุณค่าจากขิง จากงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยที่ทดลองด้วยการให้คนที่มีลักษณะอาการบ้านหมุน แล้วก็ตากระตุๆกจากการกระตุ้นโดยใช้อุณหภูมิรับประทานผงเหง้าขิง ปรากฏว่าเหง้าขิงช่วยลดอาการเวียนหัวศีรษะได้อย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อเทียบกับกลุ่มที่รับประทานยาหลอก แต่ไม่ได้ช่วยลดช่วงเวลาหรือชะลอการกระตุกของตามากนัก
โรคข้อเสื่อม มีการเล่าเรียนบางงานที่ชี้ว่าขิงอาจมีสรรพคุณลดลักษณะของการเจ็บที่เกิดขึ้นมาจากโรคข้อเสื่อม จากการทดสอบหนึ่งที่ให้ผู้ป่วยรับประทานสารสกัดจากขิงชนิดหนึ่ง (Zintona EC) ในปริมาณ 250 กรัม วันละ 4 ครั้ง พบว่าช่วยลดอาการปวดข้อเข่าหลังจากการดูแลรักษาเป็นเวลา 3 เดือน ส่วนอีกงานศึกษาวิจัยที่ใช้สารสกัดจากขิงผสมกับข่า พบว่าได้ผลลัพธ์สำหรับในการช่วยลดลักษณะการเจ็บขณะยืน อาการเจ็บหลังเดิน รวมทั้งอาการข้อติด
นอกจากนี้ มีการเล่าเรียนเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างขิงรวมทั้งยาพารา โดยให้คนไข้โรคข้ออักเสบในกระดูกสะโพกแล้วก็ข้อเข่ากินสารสกัดขิง 500 มก.ทุกวี่ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ขิงได้ผลทุเลาลักษณะของการปวดได้เสมอกันกับการใช้ยาไอบูโพรเฟน 400 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง รวมทั้งยังมีงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยที่ชี้แนะว่าการนวดด้วยน้ำมันที่มีส่วนผสมของขิงและส้มบางทีอาจช่วยทุเลาอาการปวดแล้วก็อ่อนล้าที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆของผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะเจ็บหัวเข่าได้ด้วย
อาการปวดรอบเดือน เว้นแต่อาการปวดจากโรคข้อเสื่อม การศึกษาบางงานยังชี้ว่าขิงอาจมีคุณลักษณะช่วยบรรเทาอาการปวดเมนส์ เป็นต้นว่า การทดสอบในนิสิตมหาวิทยาลัย 120 คน โดยให้รับประทานผงเหง้าขิงครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้งในตอน 2 วันก่อนเริ่มมีเมนส์สม่ำเสมอไปจนกระทั่ง 3 วันแรกของการมีระดู รวมเป็น 5 วัน พบว่าผงเหง้าขิงมีส่วนช่วยลดความรุนแรงของลักษณะของการปวดรอบเดือนได้อย่างเป็นจริงเป็นจังด้านการเรียนรู้เทียบคุณภาพของขิงและยาลดลักษณะของการปวดรอบเดือนอย่างเมเฟนามิค (Mefenamic acid) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) 400 มก. ในอาสาสมัคร 150 คน โดยแบ่งกลุ่มรับประทานแคปซูลขิงหรือยาแต่ละชนิดในปริมาณ 250 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง นาน 3 วัน โดยเริ่มตั้งแต่มีรอบเดือน ผลสรุปปรากฏไปในทำนองเดียวกันกับงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยแรก คือ ขิงมีคุณภาพบรรเทาความรุนแรงของอาการปวดรอบเดือนไม่ต่างกับการใช้ยาเมเฟนามิคหรือไอบูโพรเฟน
การรักษาที่บางทีอาจไม่ได้ผล
อาการเมารถรวมทั้งเมาเรือ นับเป็นคุณประโยชน์ของขิงที่มีการพูดถึงกันมาก ทว่าแม้ขิงบางทีอาจจะช่วยลดอาการวิงเวียนได้ แต่ว่าสำหรับในการเวียนหัวคลื่นไส้ที่เกิดจากการเดินทางนั้น งานศึกษาเรียนรู้วิจัยโดยมากบอกว่าขิงบางทีอาจไม่มีส่วนช่วยได้จริง เช่น การแบ่งกลุ่มให้นักเรียนนายเรือ 80 ผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการออกเรือท่ามกลางทะเลที่มีคลื่นแรง กินเหง้าขิง 1 กรัม เทียบกับอีกกลุ่มที่กินยาหลอก ปรากฏว่ากรุ๊ปที่รับประทานขิงนั้นมีอาการคลื่นไส้และก็ตาลายลดน้อยลงจริงแม้กระนั้นอยู่ในระดับบางส่วนเพียงแค่นั้น หรือในอีกงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยที่ชี้ว่าการกินผงขิงในจำนวน 500 กรัม 1,000 กรัม หรือเหง้าขิงสด 1,000 มิลลิกรัม ต่างไม่มีส่วนช่วยในการป้องกันอาการเมารถหรือรูปแบบการทำงานของกระเพาะที่เกี่ยวพันกับอาการเมารถที่เกิดขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังแต่อย่างใด
การรักษาที่ยังไม่มีหลักฐานพอเพียงต่อการกำหนดความสามารถ
อาการอ้วกคลื่นไส้จากแนวทางการทำเคมีบรรเทา อีกหนึ่งคุณประโยชน์เป็นลดอาการอ้วกแล้วก็อ้วก ซึ่งมีการศึกษาเล่าเรียนทางวิทยาศาสตร์ แม้กระนั้นหลักฐานเกี่ยวกับการใช้ขิงในคนเจ็บที่รับเคมีบำบัดรักษานั้นยังเป็นที่โต้วาทีกันอยู่ว่าจะมีส่วนช่วยได้จริงหรือไม่ การเรียนรู้หนึ่งที่ชี้ถึงผลดีข้อนี้ของขิง โดยให้ผู้ป่วยกินแคปซูลขิงที่ประกอบด้วยขิง 0.5-1.5 กรัม เทียบกับยาหลอก ตั้งแต่ 3 วันก่อนวันทำเคมีบำบัดรักษานานตลอดเป็นเวลา 6 วัน พบว่า มีระดับความรุนแรงของอาการอ้วกที่เกิดขึ้นหลังจากการรักษาน้อยกว่ากรุ๊ปที่มิได้กินแคปซูลขิง แม้กระนั้นเห็นผลได้ชัดในกลุ่มที่ใช้แคปซูลขิง 0.5 กรัม กับ 1 กรัมเพียงแค่นั้น ส่วนกรุ๊ปที่กินแคปซูลขิง 1.5 กรัมกลับเห็นผลน้อยกว่า แสดงว่าการรับประทานขิงในปริมาณมากจึงบางทีอาจมิได้ทำให้อาการอ้วกอย่างที่น่าจะเป็น
แม้กระนั้น มีหลักฐานที่ปะทะคารมข้อช่วยเหลือดังกล่าวข้างต้นซึ่งเป็นงานศึกษาเรียนรู้วิจัยที่เปิดเผยว่าการรับประทานขิงมิได้มีประสิทธิภาพดีไปกว่าการใช้ยาแก้อ้วก ดังนี้ ผลการค้นคว้าที่ขัดแย้งกันนี้ คาดว่าอาจมีต้นเหตุมาจากจำนวนขิงที่ใช้ทดลองนั้นต่างกัน รวมถึงช่วงเวลาที่เริ่มรักษาโดยใช้ ขิงจะประยุกต์ใช้คุณประโยชน์ทางการแพทย์ในด้านนี้แล้วได้ผลหรือเปล่าอาจต้องมีการยืนยันเพิ่มอีกถัดไป
เบาหวาน คุณสมบัติของขิงต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานในตอนนี้ยังมีผลการศึกษาที่ไม่แน่นอน การค้นคว้าหนึ่งพบว่าการกินขิง 2 กรัม นาน 12 สัปดาห์ สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม ระดับไขมันในเลือด รวมทั้งสารมาลอนไดอัลดีไฮด์ที่แสดงถึงระดับอนุมูลอิสระในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 รวมทั้งอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังบางจำพวกจากเบาหวานได้ ในขณะเดียวกัน มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยอื่นๆที่ชี้แนะว่าขิงนั้นมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดจริง กลับไม่มีผลต่อระดับอินซูลิน หรือบางงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยกล่าวว่าขิงมีผลกับอินซูลิน แต่กลับไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ซึ่งผลการศึกษาที่แตกต่างกันนั้นอาจมาจากจำนวนขิงหรือระยะเวลาที่ผู้เจ็บป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคโรคเบาหวานในแต่ละการทดลองนั้นแตกต่างกันนั่นเอง
อาหารไม่ย่อย มีการวิจัยเล่าเรียนคุณภาพของขิงในผู้เจ็บป่วยที่มีอาการของกินไม่ย่อยปริมาณ 11 คน โดยให้รับประทานแคปซูลที่มีขิง 1.2 กรัมภายหลังจากการละของกิน 8 ชั่วโมง ผลปรากฏว่าขิงช่วยกระตุ้นให้กระเพาะมีการย่อยอาหารรวมทั้งมีการบีบตัวของกระเพาะส่วนปลาย แต่การกินขิงนั้นไม่เป็นผลต่ออาการที่เกี่ยวโยงกับระบบทางเดินอาหารหรือสารเปปไทด์ในลำไส้ แม้กระนั้น ผู้ร่วมการทดลองนี้มีจำนวนน้อย ทำให้ไม่บางทีอาจระบุได้อย่างแจ่มแจ้งว่าขิงช่วยลดอาการของกินไม่ย่อยได้แน่นอนเท่าใด
อาการแฮงค์ เช้าใจกันว่าการดื่มน้ำขิงจะสามารถช่วยทุเลาอาการแฮงค์ซึ่งได้ผลข้างเคียงจากการดื่มแอลกอฮอล์ได้ สำหรับคุณประโยชน์ข้อนี้มีงานค้นคว้าแต่ก่อนที่เสนอแนะว่าการผสมขิงกับเปลือกข้างในของส้มเขียวหวาน แล้วก็น้ำตาลก่อนดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยลดอาการเมาค้างในตอนหลัง รวมถึงอาการอ้วก อาเจียนและท้องเดิน แม้กระนั้น การเล่าเรียนดังกล่าวมาแล้วข้างต้นยังนับว่าคลุมเครืออยู่มากมายและไม่อาจรับรองได้ว่ามีต้นเหตุที่เกิดจากขิงจริงๆหรือส่วนประกอบอื่นๆที่ใช้ประกอบ
ลดคอเลสเตอรอล คุณลักษณะของขิงซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลนั้นได้มีการทดลองโดยให้คนเจ็บที่มีภาวการณ์ไขมันในเลือดสูงกินแคปซูลขิงวันละ 3 ครั้ง ทีละ 1 กรัม ผลบอกว่าเมื่อเทียบกับผู้เจ็บป่วยกรุ๊ปที่กินยาหลอก ขิงมีคุณภาพช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลลงได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งการใช้ขิงลดระดับคอเลสเตอรอลจะให้ผลดีกระทั่งสามารถประยุกต์ใช้รักษาผู้เจ็บป่วยสภาวะนี้ได้หรือไม่คงจะต้องรอคอยการศึกษาเล่าเรียนในอนาคตที่แจ่มกระจ่างกันต่อไป
อาการเจ็บกล้ามหลังบริหารร่างกาย คุณลักษณะด้านการบรรเทาปวดและลดการอักเสบของขิงจะช่วยลดอาการเจ็บจากการบริหารร่างกายได้ด้วยหรือไม่นั้นยังคงไม่กระจ่างรวมทั้งเป็นที่โต้วาทีกันอยู่เช่นกัน จากการทดสอบหนึ่งที่ให้ผู้เข้าร่วมกินขิงสดหรือขิงที่ทำให้สุกด้วยความร้อนแล้ว 2 กรัมอย่างต่อเนื่องนาน 11 วัน พบว่าอีกทั้งขิงสดและขิงสุกต่างมีส่วนช่วยลดลักษณะการเจ็บกล้ามเนื้อจากการบริหารร่างกายแบบหดยืดกล้ามได้ในระดับปานกลางไปจนกระทั่งระดับมาก
แต่อีกงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยหนึ่งกลับเจอผลลัพธ์ตรงกันข้าม จากการให้ผู้เข้าร่วมการทดลองที่ทำกิจกรรมออกกำลังกายยืดหดกล้ามเนื้อเหมือนกัน รับประทานขิง 2 กรัมในตอน 24 ชั่วโมงรวมทั้ง 48 ชั่วโมงภายหลังการออกกำลังกาย พบว่าไม่ได้ส่งผลให้ลักษณะการเจ็บกล้าม การอักเสบ หรือเจ็บที่เกิดขึ้นจากการออกกำลังกายต่ำลง แม้กระนั้นผู้ทำการวิจัยพบว่าการรับประทานขิงอาจช่วยให้ลักษณะการเจ็บกล้ามเนื้อเบาๆดีขึ้นในทุกๆวัน ถึงแม้บางทีอาจมองไม่เห็นผลประโยชน์โดยทันที
อาการปวดศีรษะไมเกรน มีการเรียนรู้กับผู้ป่วย 100 คน ที่เคยมีอาการปวดหัวไมเกรนฉับพลันโดยให้รับผงขิงหรือยารักษา http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรขิง

หน้า: [1]