รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - parple1199

หน้า: [1]
1
เรื่องราวของว่าน108 และก็คุณประโยชน์ด้านรักษาโรค


เรื่องราวความเป็นมาของว่าน108 นั้น จะเล่าไปถึงสมัยก่อนโน้นเลย  ความเชื่อเกี่ยวกับฤทธิ์ของ ว่าน108ต่างๆมีอิทธิฤทธิ์ความศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อยไปกว่าเวทย์มนต์พระมนต์ โดยสามารถป้องกันภัยอันตรายต่างๆได้ อย่างเช่นอยู่ยงคงกระพันชาตรี (เป็นใช้ของมีคมยกตัวอย่างเช่นมีดฟันถูกร่างกายแล้วไม่เข้ามาเป็นบาดแผลเป็นปกติทั่วๆไป อย่างยิ่งเป็นเพียงแต่รอยขีดบนผิวหนังเล็กๆ มีเลือดออกซิบๆหรือบวมนูนเนื่องจากว่ารอยถูกฟันอย่างแรงให้แลเห็นเท่านั้น หรือใช้ปืนยิงไม่ดัง ไม่มีลูกปืนออกมาถูกตัว หรือถ้ามีเสียงหรือมีลูกปืนออกมาก็แคล้วคลาดไม่กระทบถูกร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใด หรือถ้าเกิดกระทบถูกต้องร่างกายก็ไม่มีบาดแผลปรากฏแก่ ร่างกายนอกเหนือจากแก่เสื้อผ้าที่สวมเป็นรอยถูกลูกกระสุนปืนไหม้เกรียมหรือเป็นรูขาดเท่านั้น) เมื่อกินว่านเข้าไปแล้วให้มีพละเกิดมากมาย มีใจฮึกเหิมไม่หวาดกลัวต่อบรรดาศาสตราวุฒทั้งปวงสามารถต่อสู้เอาชนะคนหมู่มากที่รุมล้อมได้ ว่าน108บางประเภททำให้คนปรกติดีๆที่ไปถูกเข้าถึงกับเป็นง่อยล้าเสียขาไปก็มี บางประเภทเป็นพิษทำให้ถึงกับตายได้ก็มี ว่านบางชนิดทำให้เกิดเป็นเสน่ห์เมตตามหานิยมแก่ผู้มีว่านจำพวกนั้นติดตัว ว่าน108บางชนิดกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดเป็นความอัปมงคลได้ เช่นว่านดอกทอง บางจำพวกใช้เป็นยารักษาโรคต่างๆเป็นต้นว่า ว่านน้ำและก็ว่านหางจระเข้ ว่านบางประเภทสามารถแสดงอำนาจศักดิ์สิทธิ์ทดลองพุ่งเป็นดวงในเวลากลางคืน นำเอาดวงหน้าคนปลูกไปแสดงด้วย เที่ยวเพ่นพ่านดังผี เช่นว่านกระสือฯลฯ ถึงแม้ว่าว่านมีอิทธิฤทธิ์ดังที่กล่าวผ่านมาแล้วมาแล้วต่างๆก็ยังคงมีผู้สนใจศึกษาเล่าเรียนในเรื่องของว่านน้อยมาก ดังนี้เป็นด้วยเหตุว่าขาดการวางใจ และไม่มีผู้ทรงความรู้ที่สามารถชี้ชัดลงไปว่าว่าน108ชนิดใดมีรูปร่างลักษณะอย่างใดแน่ ขาดทั้งตัวอย่างสำหรับนักศึกษาพอจะเรียนรู้ตามหลักมาตรฐานทางแผนปัจจุบัน ยิ่งในทางคุณประโยชน์แสดงอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของว่านด้วยแล้ว ยิ่งหาผู้ทรงวิทยาคุณบ่งชัดว่าว่าน108อย่างนี้มีคุณประโยชน์ทางยาประการใด ขายมวลสาร ว่าน108มีอิทธิฤทธิ์อย่างใดให้แน่นอนยากมาก เนื่องจากว่าขาดผู้ที่มีความชำนาญที่เคยใช้เคยทดลองหรือเคยพบเคยเห็น ส่วนใหญ่มักพูดว่าเคยเจอจากแบบเรียนหรือท่านว่าแต่อย่างเดียวแม้ว่าบรรดาว่านต่างๆได้ถูกท่านโบราณจารผู้ทรงวิทยาคุณทางเวทมนตร์คาถาขลังได้เก็บบรรดาหัวว่านสำคัญต่างๆไว้อย่างน้อย 108 อย่าง ทำเป็นผงผสมกับเกสรไม้หอม ดังเช่น พิกุล บุนนาค มะลิ บัวอีกทั้ง 5 ประกอบด้วยผงวิเศษต่างๆอีกเยอะแยะหลายสิ่งหลายอย่าง โดยนำเอามาบดให้ละเอียดระคนรวมกันผสมน้ำมันตังอิ้วปั้นเป็นแท่ง ทำแม่พิมพ์ประทับเป็นองค์พระเครื่องรูปต่างๆเมื่อแห้งสนิทและหลังจากนั้นก็ค่อยนำเข้าพิธี พุทธาภิเษก พร้อมทั้งพระอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณมากรูปทำพิธีปลุกเสกเวทมนตร์คาถาดูแลให้พระพิมพ์พวกนั้นมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ต่างๆในทางยืนยงชาตรีบ้าง เป็นเมตตามหานิยมบ้าง เรียกกันว่าพระเครื่องฯลฯ แล้วก็ที่พระเครื่องทรงความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆก็ด้วยปาฏิหาริย์ของว่านบันดาลช่วยเหลือเกื้อกูลและเวทมนตร์คาถาที่ประกอบเป็น 2 แรงด้วยกัน โบราณว่า “อิทธิฤทธิ์ของว่าน108 นั้นจะมีคงที่ตลอดกาลได้มักเป็นว่านที่ได้ปลูกติดต่อเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษเป็นระยะเวลานานหลายชั่วอายุคนมาแล้วส่วนมาก เนื่องจากผู้ปลูกเหล่านั้นทราบเคล็ดลับของแนวทางการทำให้ว่านคงจะทรงอำนาจศักดิ์สิทธิ์อยู่โดยไม่เสื่อมคลาย ส่วนว่านที่ขึ้นเองตามชายป่าโดยธรรมชาตินั้นมักไม่ต้องการมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ทั้งๆเป็นว่าน108ชนิดเดียวกันเช่นเดียวกัน ในการนี้แม้ว่าจะได้นำเอาว่านว่าน108มาปลูก ถ้าหากมิได้รอบคอบ โดยปล่อยให้ว่านขึ้นและโรยราไปเองตามธรรมชาติ หรือปลดปล่อยให้ว่านคงอยู่ในดินตลอดเวลานานจนกระทั่งใกล้จะถึงหน้าฝนมาใหม่ ว่านว่าน108ก็จะผลิแตกต้นอีก แม้กระนั้นอิทธิฤทธิ์ของว่านนั้นจะจืดจางเสื่อมลงไปทุกที นานๆหลายฝนเข้าก็หมดฤทธิ์ไปเอง ทั้งนี้เป็นเพราะธาตุสาร (ปรอท) ในตัวว่านลืมต้น เป็นหนีออกไปจากต้นขณะเมื่อว่านทรุดโทรมในช่วงฤดูแล้ง ถ้าเกิดได้กู้ว่านขึ้นจากดินภายในเดือน 12 วันอังคารหรือด้านในเดือนอ้ายวันพุธไม่เกินข้างขึ้นอ่อนๆซะก่อนแล้ว (อย่าให้ว่านคงอยู่ในดินเลยพ้นถึงฤดูนกกาเหว่าหรือนกยูงร้องหาคู่)ก็เลยจะไม่เสีย หากปล่อยให้หัวว่านดำรงอยู่เลยกำหนดฤดูนี้ไป ว่านนั้นๆก็จะเสื่อมอานุภาพลงไปเรื่อยๆ”
 
• สิ่งแวดล้อมการทำงาน
ตัว PowerShell มีความพิเศษมากกว่า Shell อื่นทั่วๆไป โดยเป็นสภาพแวดล้อมที่รองรับการเขียนสคริปต์ทับกันได้อย่างเต็มที่ ทำให้ใช้เขียนสคริปต์ที่มีคุณภาพสูงได้อย่างไม่ยากเย็นซึ่งเราสามารถใช้สคริปต์พวกนี้สำหรับจัดการระบบต่างๆบนวินโดวส์ได้อย่างสะดวกและก็ยืดหยุ่น ทำให้เหล่าแอดไม่นระบบทั้งหลายนิยมดำเนินงานผ่าน PowerShell เพื่อเขียนสคริปต์ที่สลับซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในตอนที่ Command Prompt นั้นเป็นเพียงแค่สภาพแวดล้อมการทำงานที่เปิดให้รันคำบัญชา DoS เก่าเบื้องต้นเพียงแค่นั้น จึงออกจะมีความรู้และมีความเข้าใจจำกัด และไม่สามารถเข้าถึงฟีพบร์ระดับแอดไม่นส่วนใหญ่บนระบบได้ เรียกว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะเขียนสคริปต์ที่สลับซับซ้อนบน Command Prompt

แต่ว่าถึงอย่างไรก็ตาม Command Prompt ก็เป็นประโยชน์สำหรับการใช้งานของมัน เช่น การรันคำสั่งง่ายๆในชีวิตประจำวันของแอดไม่นอปิ้ง ping, ipconfig ซึ่งถ้าเรามิได้คุ้นเคยกับการทำงานผ่านคอมมานด์ไลน์อย่าง Command Prompt การจะหันไปใช้งานคอมมานด์ไลน์ระดับค่อนข้างสูงอย่าง PowerShell ก็ยิ่งไม่จำเป็น แต่หากคร่ำหวอดหรือช่ำชองกับการใช้ Command Prompt แล้ว ก็อาจหันมาลองฝึกฝนใช้ PowerShell บ้างก็ได้ เพราะหลายคำบัญชาบน Command Prompt ก็สามารถรันบน PowerShell ได้ด้วยเหมือนกัน

PowerShell นั้นมีความรู้และมีความเข้าใจสูงมาก โดยสามารถดำเนินการอะไรบางอย่างที่ถ้าเกิดไม่ใช้เชลล์ตัวนี้และบางทีอาจจำเป็นต้องหันไปพึ่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์เธิร์ดงานเลี้ยงภายนอกแทน PowerShell นี้เป็นฟีเจอร์ที่ทำให้ชีวิตของเหล่าแอดมินง่ายดายขึ้นมาก ด้วยการเขียนสคริปต์เพื่อรันคำบัญชาที่ซับซ้อนแบบอัตโนมัติเพื่อแบ่งเบาภาระ

Tags : ขายมวลสาร,ผงว่าน108,ขายมวลสาร

2

 ดอกต้นแก้วดอกแก้วต้นแก้วต้นไม้มงคลไม้มงคล
ดอกแก้วเป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลอีกประเภทหนึ่ง
ที่ผู้คนชอบหามาปลูกเพื่อตกแต่งรอบๆบ้านและก็สวน ชาวไทยโบราณนิยมนำมาปลูกไว้เพื่อเป็นแนวรั้ว
บ้าน เมื่อต้นโตขึ้นพอควรจะเริ่มส่งกลิ่นหอมเย็อว่าจะช่วยคุ้มครองปกป้องรักษาทุกคนในบ้านให้รอดพ้นจากสิ่งเลวร้ายและอันตรายต่างๆการเลือกปลูก ไม้มงคลปลูกเอาไว้ในนหากยิ่งโตเต็มไวแล้วจะส่งกลิ่นชื้นดวงใจเป็นอยากมากมาย มีความชื่อว่าผู้ใดที่มาเที่ยหาบ้านผู้ที่ปลูกต้นแก้ว(ต้นดอกแก้ว)”ทำให้มีคู่รักดุจแก้วตาดวงใจ”ต้นแก้วขอสำหรับไม้นามมงคลที่มีขนาดเล็กก็ชอบปลูกเป็นไม้กระถางไว้หน้าบ้านเนื่องจากเงต้นจะตากลายเป็นร่องยาว เหมือนไม่ยืนต้นทั่วไป
ชื่อท้องถิ่น: แก้ว, แก้วขาว (ภาคกึ่งกลาง), แก้วขี้ไก่ (ยะลา), แก้วพริก, ตะไหลแก้ว (ภาคเหนือ)

มีชื่อภาษาอังกฤษว่า: Orange Jessamine, Satin-wood, Cosmetic Bark Tree)ดอกแก้ว
ต้นแก้ว(ต้นดอกแก้ว) มีถิ่นกำเนิดมากจาก: จีน, ประเทศญี่ปุ่น, ประเทศเกาหลี, ประเทศอินเดีย แล้วก็ภูมิภาคอินโดจีน
ต้นแก้วเป็นต้นไม้พืชที่มีความมงคลที่มีลักษณะเป็นพุ่มไม้มีขนาดไม่ใหญ่มากนักต้นสูงสุดกำลังโดยประมาณ5-10เมตร ลำต้นมีสีขาวเทาๆเปลือก ใบต้นแก้วนั้นมีลักษณะใบเป็นช่อเป็นแผงออกใบเรียงสลับกันดังแบบของขนนกปลายคี่ ช่อหนึ่งมีใบย่อยโดยประมาณ 4-9ใบ ส่วนดอกของต้นจะมีสีขาวแซมด้วยเกสรสีเขียวและเหลืองให้ความงดงามในแบบสบายตา ถ้าเกิดอยู่ใกล้ๆจะมีได้กลิ่นหอมแต่ว่าเมื่อเอามาสูดจะมีกลิ่นหอมหวนเย็นชื่นใจ
ใบต้นแก้วการปลูก้ตนแก้ว

Tags : ต้นแก้ว,ไม้มงคล

3
เสลดพังพอนตัวเมีย-สมุนไพรไทย

4
เสลดพังพอนตัวเมีย-สมุนไพรไทย

5

รากสามสิบ
รากสามสิบ คุณประโยชน์สมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพที่คนอยากมีลูกห้ามพลาด
          รากสามสิบ คุณประโยชน์เด่นๆของสมุนไพรตัวนี้ลือชื่อเรื่องเป็นยาบำรุงสำหรับสตรี ซึ่งผู้คนจำนวนมากบางทีอาจเคยได้เห็นสมุนไพรรากสามสิบแบบแคปซูลกันมาบ้าง แล้วทราบไหมขาว่า คุณประโยชน์ซึ่งมาจากรากสามสิบ สมุนไพรตัวเด็ดนี้มิได้มีดีแค่ช่วยคนต้องการมีลูกเพียงแค่นั้น
รากสามสิบ สมุนไพรนี้มีที่มา
          รากสามสิบโดยความเป็นจริงแล้วถูกเรียกหลายชื่อมากมายๆเป็นต้นว่า สาวร้อยสามี จ๋วงเครือ (ภาคเหนือ) ผักชีช้าง ผักหนาม (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) สามร้อยราก สามสิบ ชีช้าง จั่นดิน หรือม้าสามต๋อน มีชื่อสามัญว่า Shatavari
          ส่วนลักษณะต้นรากสามสิบเป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็ง มีหนามแหลม มีเหง้ารวมทั้งรากใต้ดินเหมือนรากของต้นกระชาย ดอกมีขนาดเล็ก สีขาว แยกเป็นช่อ มีกลิ่นหอมยวนใจ เป็นต้นที่ส่งผลสดลักษณะกลม ผิวเรียบมัน และมีเมล็ดสีดำ
รากสามสิบ สมุนไพรบำรุงสตรี
สรรพคุณรากสามสิบ
          รากสามสิบถูกเปรียบเทียบให้เป็นพลังที่การฟื้นฟูความสาว (Female Rejuvenation) เป็นยาโบราณที่หมอแผนโบราณและก็แพทย์สมุนไพรใช้เป็นยาบำรุงสำหรับสตรีมาตั้งแต่สมัยก่อน ซึ่งก็นับเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดชื่อสาวร้อยผัว ชื่อเล่นอีกชื่อของรากสามสิบนั่นเอง โดยคนรุ่นก่อนชอบนำรากมาต้มรับประทานหรือปั้นเป็นลูกกลอนรับประทานกับน้ำผึ้ง ซึ่งบอกต่อๆกันว่า จะช่วยบำรุงสตรีให้ไมว่าจะอายุเท่าไรก็มีลูกได้ง่าย
          นอกเหนือจากนี้สมุนไพรรากสามสิบยังผ่านการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยคุณประโยชน์มาล้นหลาม โดยพบว่า รากสามสิบมีคุณประโยชน์ทางเภสัชวิทยาตามนี้ติดตัวอยู่ด้วย
          - ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียรวมทั้งเชื้อรา
          - คลายกล้ามมดลูก
          - บำรุงหัวใจ
          - ลดการอักเสบ
          - แก้ปวด
          - ยั้งโรคเบาหวาน
          - ปราบเซลล์ของมะเร็ง
          - กระตุ้นภูมิต้านทาน
รากสามสิบ
          - ต้านทานสภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ
          - ลดระดับไขมันเลือด
          - ปกป้องกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
          - ลดอาการหัวใจโตที่เกิดขึ้นมาจากความดันโลหิตสูง
          - มีฤทธิ์ใกล้เคียงฮอร์โมนเอสโตรเจน (ฮอร์โมนผู้หญิง)
          - ช่วยสร้างสมดุลฮอร์โมนเพศหญิง
          - ขับน้ำนม
          - ช่วยทำให้การตกไข่บริบูรณ์
          - ช่วยบำรุงกำลังท่านชาย
          - เสริมความแข็งแรงของน้ำเชื้อสเปิร์ม
          - ยั้งการเกิดแผลในกระเพาะ
          - ลดอาการกรดเกินในกระเพาะ
          - ยับยั้งพิษต่อตับ
          - แก้ริดสีดวงทวาร
          - ขับลม
          - ขับเยี่ยว
          - ขับเสลด
          - บำรุงทารกในท้อง
          - แก้แท้งลูก
          - รักษาโรคคอพอก
          - แก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ครั่นเนื้อครั่นตัว
          - ฝนรากทาเป็นยาแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อยได้
          - กระตุ้นประสาท บำรุงกำลัง
รากสามสิบ สมุนไพรบำรุงสตรี
          รวมทั้งด้วยคุณประโยชน์ของรากสามสิบที่มีฤทธิ์ใกล้เคียงกับฮอร์โมนเอสโตรเจน คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยจังหวัดพะเยาจีงได้ทำการศึกษาเรื่อง ผลของสารสกัดรากสามสิบต่อการปกป้องคุ้มครองการสลายเนื้อกระดูกรวมทั้งอวัยวะสืบพันธุ์ ในหนูแรทที่ถูกตัดรังไข่ เนื่องมาจากเล็งเห็นว่า โรคกระดูกพรุนซึ่งมักจะกำเนิดกับผู้หญิงมากยิ่งกว่าผู้ชายนั้น มีต้นเหตุหลักจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนภายหลังหมดระดู โดยเห็นผลการทดสอบมาว่า หนูที่ได้รับสารสกัดสมุนไพรรากสามสิบภายหลังถูกตัดรังไข่ มีน้ำหนักมวลกระดูกที่มากกว่ากลุ่มหนูถูกตัดรังไข่แต่ว่าไม่ได้รับสารสกัดสมุนไพรรากสามสิบ
          ยิ่งไปกว่านี้สารสกัดรากสามสิบยังไม่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวในเยื่อบุโพรงมดลูก ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า สารสกัดรากสามสิบอาจมีความสามารถในการป้องกันการสลายของเนื้อกระดูกในหนูทดลองได้ โดยไม่ส่งผลเสียอะไรก็ตามต่ออวัยวะสืบพันธุ์ แต่ทว่ายังคงจะต้องทดสอบเพิ่มเพื่อค้นคว้าทำการวิจัยว่า สารสกัดรากสามสิบจะมีผลต่อใดๆกับอวัยวะอื่นหรือไม่
รากสามสิบ สมุนไพรบำรุงสตรี       

หารากสามสิบได้จากที่ไหน
          หากแม้ต้นรากสามสิบจะยังมีให้เห็นอยู่ในประเทศไทย แม้กระนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปขุดหารากสามสิบมาต้มรับประทานให้เมื่อยล้า เนื่องจากปัจจุบันมีสารสกัดรากสามสิบในรูปแคปซูลมาให้เลือกซื้อมากมายก่ายกอง แม้กระนั้นดังนี้ควรจะตรวจตราให้แน่ว่าแคปซูลรากสามสิบมีเครื่องหมายการค้าและได้รับการยืนยันจากหน่วยงานของกินรวมทั้งยาหรือเปล่า
          แต่หากผู้ใดกันแน่สามารถหาต้นรากสามสิบสดๆได้ จะนำมาต้มยากินเองเราก็มีสูตรยาสมุนไพรรากสามสิบมาให้ด้วยค่ะ
น้ำรากสามสิบ (สูตรเริ่มแรก)
     ส่วนประกอบ

  • สมุนไพรรากสามสิบ ใช้ส่วนราก 2.5 กิโล
  • น้ำ 10 ลิตร


     ขั้นตอนการทำ

  • นำรากสามสิบมาล้างให้สะอาด
  • ปอกเปลือกรวมทั้งดึงไส้ออก
  • หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
  • ล้างให้สะอาดอีกรอบ
  • ต้มน้ำให้เดือด
  • ใส่รากสามสิบ ลงในหม้อต้ม
  • ต้มประมาณ 3 ชั่วโมง
  • ชิมรส และสามารถเพิ่มน้ำตาลกรวดหรือใบเตยเพิ่มความหอมลงไปได้
รากสามสิบแช่อิ่ม
     ส่วนประกอบ

  • สมุนไพรรากสามสิบ ใช้ส่วนราก 2.5 กิโล
  • น้ำตาล 1.5 กิโลกรัม
  • น้ำ 5 ลิตร
    ขั้นตอนการทำ

  • นำรากสามสิบมาล้างให้สะอาด
  • ปอกเปลือกและก็ดึงไส้ออก
  • หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
  • ล้างให้สะอาดอีกรอบ
  • ต้มน้ำให้เดือด
  • เพิ่มเติมน้ำตาล ลงในหม้อต้ม
  • เคี่ยวกระทั่งน้ำตาลทรายละลายหมด
  • ใส่รากสามสิบ
  • ต้มต่อจนกระทั่งเป็นสีเหลืองทอง
รากสามสิบ
ข้อพึงระวังสำหรับการใช้สมุนไพรรากสามสิบ
          เหตุเพราะสมุนไพรรากสามสิบออกฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจน ดังนั้นก็เลยจัดเป็นยาสมุนไพรที่ไม่ปลอดภัยนักต่อผู้หญิงที่มีการเสี่ยงโรคมะเร็งอยู่แล้ว อาทิเช่น คนที่ป่วยด้วยโรคเนื้องอกในมดลูก (Uterine Fribrosis) หรือมีก้อนเนื้อในเต้านม (Fibrocystic Breast) ฯลฯ ด้วยเหตุนั้นไม่ว่าจะใช้สมุนไพรอะไรก็ควรขอคำแนะนำแพทย์ก่อนจะเยี่ยมที่สุดนะคะ       
          มองเห็นสรรพคุณรากสามสิบกันไปแล้วหลายท่านเริ่มสนใจต้องการหารากสามสิบมาบำรุงสุขภาพกันบ้าง แม้กระนั้นก็อย่าลืมที่เตือนไว้นะคะ ก่อนซื้อแคปซูลรากสามสิบมากิน ควรจะสำรวจที่มาที่ไปรวมทั้งยี่ห้อ และการยืนยันจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือด้วย http://www.disthai.com/

6


ราชพฤกษ์

คูน คุณประโยชน์และก็สรรพคุณของคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์
เรื่องราวดอกราชพฤกษ์
           ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน ฯลฯไม้พื้นบ้านของทวีปเอเชียใต้ ตั้งแต่ปากีสถาน ประเทศอินเดีย ประเทศพม่า และศรีลังกา โดยนิยมปลูกกันมากในเขตร้อน สามารถเจริญวัยเจริญในที่โล่ง แล้วก็เป็นที่รู้จักในประเทศไทยมาหลายสิบปี โดยมีการเสนอให้ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 แม้กระนั้นก็ยังไม่ได้ผลสรุปกระจ่าง จนกว่ามีการลงชื่อให้เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย เมื่อวันที่ 26 ต.ค. พุทธศักราช 2544
ดอกไม้ประจำชาติไทย
           เนื่องด้วย ต้นราชพฤกษ์ มีดอกสีเหลืองชูช่อ มองสง่างาม ทั้งยังยังมีสีตรงกับ สีทุกวันพระราชการเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นไม้ของในหลวง" รวมทั้งมีการลงนามให้ต้นราชพฤกษ์ เป็นหนึ่งใน 3 เครื่องหมายประจำชาติไทย โดยมี 1. ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทย 2. ศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติไทย และก็ 3. ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย
เหตุผลเลือกเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

  • เนื่องจากฯลฯไม้ประจำถิ่นที่รู้จักกันอย่างล้นหลาม แล้วก็มีอยู่ทุกภาคของเมืองไทย
  • มีประวัติเกี่ยวข้องกับจารีตประเพณีหลักๆในไทยรวมทั้งฯลฯพืชที่มีความเป็นสิริมงคลที่นิยมนำมาปลูก
  • ใช้ประโยชน์ได้นานาประการ อาทิเช่น ใช้เป็นยารักษาโรค ทั้งยังยังคงใช้ลำต้นเป็นเสาเรือนได้ ฯลฯ
  • มีสีเหลืองแพรวพราว พุ่มสวยเต็มต้น เปรียบเป็นเครื่องหมายที่พุทธศาสนา
  • มีอายุยืนนาน แล้วก็แข็งแรง


คูน หรือ ราชพฤกษ์ (Golden Shower, Indian Laburnum) เป็นพืชสมุนไพรชนิดยืนต้นขนาดกลางถึงกับขนาดใหญ่ ที่มีชื่อเรียกตามแคว้นต่างๆอาทิเช่น ภาคเหนือเรียก ราชพฤกษ์, คูน หรือชัยพฤกษ์ ส่วนปัตตานีเรียก ลักเคย หรือลักเกลือ และก็กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรีเรียก กุเพยะ เป็นต้น ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรประจำถิ่นของเอเชียใต้ไปจนถึงอินเดีย ศรีลังกา และก็ประเทศพม่า รวมถึงคูนหรือราชพฤกษ์นี้ยังเป็นดอกไม้ประจำชาติของไทยอีกด้วย
————– advertisements ————–
การรักษา
           แสงสว่าง : อยากได้แดดจัด หรือกลางแจ้ง รวมทั้งเติบโตเจริญในที่โล่งแจ้งเป็นพิเศษ
           น้ำ : ถูกใจน้ำน้อย ควรจะรดน้ำ 7-10 วันต่อครั้ง สามารถทนกับลักษณะอากาศร้อนได้ดี
           ดิน : สามารถเติบโตเจริญในดินซึ่งร่วนซุย ดินร่วนปนทราย หรือดินเหนียว
           ปุ๋ย : นิยมใส่ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยธรรมชาติ ในอัตรา 2-3 กก.ต่อต้น แล้วก็ควรให้ปุ๋ยปีละ 3-4 ครั้ง
ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติไทย
การขยายพันธุ์
           แนวทางแพร่พันธุ์ต้นราชพฤกษ์ที่นิยม คือ การเพาะเมล็ด โดยใช้เมล็ดสดๆมาขลิบด้วยกรรไกรตัดเล็บ แต่จะต้องเลือกขลิบบริเวณด้านป้าน ด้วยเหตุว่าด้านแหลมจะมีต้นอ่อนอยู่ จากนั้นนำไปแช่น้ำสะอาดทิ้งไว้ผ่านวัน แล้วก็ค่อยเทน้ำออกให้เหลือปริมาณเพียงพอหล่อเลี้ยงเม็ดได้ แล้วต่อจากนั้นทิ้งเอาไว้อีกคืนก็จะพบรากแตกออก แล้วก็สามารถนำลงปลูกได้เลย
ความศรัทธาเกี่ยวกับต้นราชพฤกษ์
           มั่นใจว่าเป็นต้นพืชที่มีความมงคล ที่ควรปลูกเอาไว้ภายในทิศตะวันตกเฉียงใต้ และหากปลูกเอาไว้ในบ้านจะช่วยทำให้ทรงเกียรติยศ เกียรติ แล้วก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางไสยเวท โดยใช้ใบทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ เพราะว่าเป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลนาม
ลักษณะทั่วไปของคูน
สำหรับต้นคูนนั้นจัดว่าเป็นไม้ใหญ่ขนาดกลาง โดยลำต้นมีสีน้ำตาลอมเทา มักขึ้นตามป่าผลัดใบ หรือในดินที่สามารถระบายน้ำได้ดิบได้ดี ส่วนใบจะมีสีเขียวเป็นมัน วัวนมน เนื้อใบสะอาดและบาง ดอกจะออกเป็นช่อ มีกลีบทรงไข่กลับอยู่ 5 กลีบ แล้วก็มองเห็นเส้นกลีบแจ่มแจ้ง ฝักอ่อนมีสีเขียวและก็จะเป็นสีดำเมื่อแก่จัด และก็ในฝักจะมีผนังเยื่อบางๆกั้นเป็นช่องๆอยู่ตามแนวขวางของฝัก และด้านในช่องเหล่านี้จะมีเมล็ดสีน้ำตาลแบนๆอยู่
ต้นคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์
คุณประโยชน์และก็คุณประโยชน์ของคูน
ใบ – ช่วยฆ่าพยาธิผิวหนัง ฆ่าเชื้อโรคต่างๆช่วยระบายท้อง สามารถใช้พอกแก้ลักษณะของการปวดข้อ หรือแก้ลมตามข้อ รวมทั้งช่วยแก้โรคอัมพาตของกล้ามบนบริเวณใบหน้า หรือนำไปต้มรับประทานแก้เส้นพิการ แล้วก็โรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับสมอง ให้รสเมา
ดอกราชพฤกษ์ – ช่วยระบายท้อง แก้ไข้ แก้พรรดึก (ท้องผูก) และก็โรคกระเพาะของกิน และก็แผลเรื้อรัง ให้รสขมเปรี้ยว
ราก – ช่วยในการฆ่าเชื้อโรคคุดทะราด ระบายพิษไข้ แก้ขี้กลากหรือโรคเกลื้อน แก้อาการเซื่องซึมหนักแถวๆหัว รวมถึงช่วยถ่ายสิ่งสกปรกเปรอะเปื้อนออกจากร่างกาย แก้อาการหายใจขัด ทำให้กระชุ่มกระชวยหน้าอก แก้อาการไข้ ไปจนกระทั่งรักษาโรคหัวใจ ถุงน้ำดี มีฤทธิ์ถ่ายแรงกว่าเนื้อในฝัก สามารถใช้ได้กับเด็กหรือสตรีมีท้อง ไม่มีผลข้างๆอะไรก็ตามให้รสเมา
แก่น – ช่วยสำหรับในการขับพยาธิไส้เดือน ให้รสเมา
กระพี้ – ช่วยแก้โรครำมะนาด ให้รสเมา
เนื้อในฝัก – ใช้พอกเพื่อช่วยแก้ลักษณะของการปวดข้อ แก้ตานขโมย ปรับปรุงแก้ไขมาลาเรีย แก้บิด ถ่ายพยาธิ หรือคนที่มีลักษณะอาการท้องผูกเรื้อรัง รวมทั้งถ่ายเสมะและแก้พรรดึก (ท้องผูก) ไปจนถึงระบายพิษไข้ สามารถใช้ได้ในเด็กแล้วก็สตรีตั้งท้อง ไปจนกระทั่งเป็นยาระบายที่ไม่ทำให้ปวดมวนหรือไข้ท้อง ให้รสหวานเหม็นเบื่อ
เปลือกฝัก – ทำให้แท้งลูก ทำให้อาเจียน แล้วก็ขับรกที่ค้างอยู่ออกมา ให้รสเฝื่อนเมา
เม็ด – ทำให้อาเจียน ให้รสเฝื่อนเมา
เปลือกต้น – ช่วยแก้อาการท้องเสีย ใช้ฝนผสมกับต้นหญ้าฝรั่น น้ำดอกไม้เทศ แล้วก็น้ำตาล กินเพื่อให้กำเนิดลมเบ่ง ให้รสฝาดเมา
เปลือกราก – ช่วยแก้ไข้มาลาเรีย แล้วก็ระบายพิษไข้ ให้รสฝาด
ดอกคูน หรือ ดอกราชพฤกษ์
ต้นคูนมักนิยมปลูกเป็นไม้ประดับในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อน สามารถเจริญวัยได้ดิบได้ดีใน รวมทั้งปลูกได้ง่ายอีกทั้งในดินร่วนซุย ดินร่วนซุยคละเคล้าทราย หรือดินร่วนซุยเหนียว แล้วก็ยังทนต่อสภาพอากาศแห้งแล้งและก็ดินเค็มก้าวหน้า แต่ว่าถ้าอากาศหนาวจัดอาจทำให้ติดเชื้อราหรือโรคใบจุดได้http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรราชพฤษ์

7

ตะไคร้
ตะไคร้ (Lemon Grass) จัดเป็นพืชผักสมุนไพรชนิดหนึ่งที่นิยมเอามาประกอบอาหารสำหรับขจัดกลิ่นคาว รวมทั้งช่วยเพิ่มรสชาตของของกิน ในนานัปการรายการอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวกที่เป็นอาหารต้มยำ รวมทั้งแกงต่างๆรวมถึงการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆเป็นต้นว่า น้ำตะไคร้ ผงตะไคร้ ฯลฯ
ตะไคร้ เป็นไม้ล้มลุกสกุลเดียวกันกับต้นหญ้า แก่มากกว่า 1 ปี ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม มีถิ่นเกิดในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้นว่า พม่า ไทย ลาว มาเลเชีย อินโดนีเชีย เป็นต้น
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cymbopogon citratus (DC.)
สกุล : Graminae
ชื่อสามัญ : Lapine, Lemon grass, Sweet rush, Ginger grass
ชื่อท้องถิ่น:
– ตะไคร้
– ตะไคร้แกง
– ตะไคร้มะขูด
– คาหอม
– ไคร
– จะไคร
– เชิดเกรย
– หัวสิงไค
– เหลอะเกรย
– ห่อวอตะโป
– เฮียงเม้า
ตะไคร้1
ลักษณะทั่วไป
ลำต้น
ลำต้นตะไคร้มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นมีลักษณะตั้งชัน ทรงกระบอก มีความสูงได้ถึง 1 เมตร (และใบ)ส่วนของลำต้นที่เราเห็นจะเป็นส่วนของกาบใบที่ออกเรียงช้อนกันแน่น โคนต้นมีลักษณะกาบใบห่อหุ้มดก ผิวเรียบ และก็มีขนอ่อนปกคลุม ส่วนโคนมีรูปร่างอ้วน มีสีม่วงอ่อนบางส่วน รวมทั้งเบาๆเรียวเล็กลงเปลี่ยนเป็นส่วนของใบ ศูนย์กลางเป็นข้อแข็ง ส่วนนี้สูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร ขึ้นกับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และก็ประเภท และก็เป็นส่วนที่นำมาใช้สำหรับเตรียมอาหาร
ตะไคร้ ใบ
ใบตะไคร้มี 3 ส่วนเป็นก้านใบ (ส่วนลำต้นที่กล่าวข้างต้น) หูใบ (ส่วนต่อ
ระหว่างกาบใบ แล้วก็ใบ) และใบ
ใบตะไคร้ เป็นใบลำพัง มีสีเขียว มีลักษณะเรียวยาว ปลายใบโค้งทางลงดิน โคนใบเชื่อมต่อกับหูใบ ใบมีรูปขอบขนาน ผิวใบสากมือ แล้วก็มีขนปกคลุม ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ แต่คม กลางใบมีเส้นกึ่งกลางใบแข็ง สีขาวอมเทา มองเห็นต่างกับแผ่นใบกระจ่าง ใบกว้างราว 2 เซนติเมตร ยาว 60-80 เซนติเมตร
ดอก
ตะไคร้เป็นพืชที่มีดอกยาก จึงไม่ค่อยประสบพบเห็น ดอกตะไคร้ดอกจะมีดอกเป็นช่อกระจาย มีก้านช่อดอกยาว และก็มีก้านช่อดอกย่อยเรียงเป็นคู่ๆในแต่ละคู่จะมีใบเสริมแต่งรองรับ มีกลิ่นหอมยวนใจ ดอกมีขนาดใหญ่คล้ายดอกอ๋อ
ดอกตะไคร้
คุณประโยชน์ตะไคร้

  • ลำต้น แล้วก็ใบสด


– ใช้เป็นเครื่องเทศเตรียมอาหารสำหรับดับกลิ่นคาว ช่วยให้อาหารมีกลิ่นหอมสดชื่น แล้วก็ปรับแต่งรสให้น่ารับประทานมากขึ้นเรื่อยๆ
– ใช้เป็นส่วนผสมของยาทากันยุง สเปรย์กันยุง รวมทั้งยาจุดกันยุง

  • น้ำมันตะไคร้

    – ใช้เป็นส่วนประกอบของน้ำหอม
    – ใช้เป็นส่วนผสมสำหรับทำสบู่ ยาสระผม
    – ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง
    – ใช้ทานวด แก้เมื่อย
    – ใช้ทาลำตัว แขน ขา เพื่อคุ้มครองป้องกัน รวมทั้งไล่ยุง
    – ใช้เป็นส่วนประกอบของสารคุ้มครอง รวมทั้งกำจัดแมลง
    ค่าทางโภชนาการของตะไคร้ ( 100 กรัม)

  • พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่
  • โปรตีน 1.2 กรัม
  • ไขมัน 2.1 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม
  • เส้นใย 4.2 กรัม
  • แคลเซียม 35 มก.
  • ฟอสฟอรัส 30 มก.
  • เหล็ก 2.6 มก.
  • วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม
  • ไทอามีน 0.05 มก.
  • ไรโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม
  • ไนอาสิน 2.2 มก.
  • วิตามินซี 1 มก.
  • ขี้เถ้า 1.4 กรัม


ที่มา: กองโภชนาการ (2544)(1)
สารสำคัญที่เจอ
ส่วนของลำต้น และก็ใบมีน้ำมันหอมระเหย (Volatile oil) ที่ประกอบด้วยสารหลายอย่าง ดังเช่นว่า
– สิทราล (Citral) พบได้ทั่วไปที่สุด 75-90%
– ทรานซ์ ไอโซซิทราล (Trans-isocitral)
– ไลโมเนน (Limonene)
– ยูจีนอล (Eugenol)
– ลินาลูล (Linalool)
– พบรานิออล (Geraniol)
– ค้างริโอฟิวลีน ออกไซด์ (Caryophyllene oxide)
– เจอรานิล อะสิเตท (Geranyl acetate)
– 6-เมทิล 5-เฮพเทน-2-วัน (6-Methyl 5-hepten-2-one)
– 4-โนที่นาโนน (4-Nonanone)
– เมทิลเฮพครั้งโนน (Methyl heptennone)
– สิโทรเนลลอล (Citronellol)
– ไมร์ซีน (Myrcene)
– การบูร (Camphor)
สะสมจาก กาญจนา ขยัน (2552)(2), ใจวรรณ น่าอัศจรรย์ชัยตระกูล (2551) อ้างถึงในเอกสารหลายฉบับ(4)

สรรพคุณตะไคร้

  • ลำต้น และใบ


– ช่วยบรรเทา แล้วก็รักษาอาการไข้หวัด
– แ้ก้ไอ แล้วก็ช่วยขับเสลด
– ทุเลาอาการโรคหืดหอบ
– รักษาลักษณะของการปวดท้อง
– ช่วยขับเยี่ยว แก้ปัสสาวะยาก
– ช่วยขับเหงื่อ
– ช่วยสำหรับการขับลม
– แก้อหิวาต์
– บำรุงธาตุ เจริญอาหาร
– ช่วยลดความดัน โลหิตสูง
– ลดจำนวนคอเลสเตอรอลในเส้นโลหิต
– แก้ประจำเดือนมาผิดปกติ

  • ราก


– ใช้เป็นยาปรับปรุงเจ็บท้อง แล้วก็ท้องร่วง
– ช่วยขับฉี่
– ทุเลาอาการไอ และก็ขับเสมหะ

  • น้ำมันหอมระเหย


– ออกฤทธิ์ต้านเชื้อรา
– ช่วยกำจัดเซลลูไลท์
– ช่วยสำหรับเพื่อการถ่าย
– ทุเลาอาการท้องเสีย
– ลดอาการจุกเสียด แน่นท้อง จากฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้
– ช่วยขับน้ำดี
– ช่วยขับลม
– ระังับอาการปวด
– ต้านทานอาการอักเสบ และลดการติดเชื้อ
– กระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด
– ลดอาการเศร้าหมอง
– ต่อต้านอนุมูลอิสระ
สะสมจาก ทอง ขยัน (2552)(2), ใจชาติชั้นวรรณะ น่าอัศจรรย์ชัยวงศ์ (2551)(4)
ฤทธิ์ทางยาของสารสกัดจากตะไคร้

  • ฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้


น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ออกฤทธิ์ลดอาการแน่นจุกเสียดด้วยการลดการบีบตัวของลำไส้ โดยมีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ ได้แก่ Cineole และ Linalool

  • ฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียสาเหตุอาการของอาการท้องเดิน


สารเคมีในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้สามารถออกฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียที่สำคัญของอาการท้องร่วงเป็นE. coli โดยมีสารออกฤทธิ์ อาทิเช่น Citral, Citronellol, Geraneol รวมทั้ง Cineole

  • ฤทธิ์ขับน้ำดี


น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้สามารถออกฤทธิ์กระตุ้นการขับน้ำดีของตับอ่อน โดยมีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ ตัวอย่างเช่น Borneol, Fenchone และ Cineole

  • ฤทธิ์ขับลม


สาร Menthol, Camphor และก็ Linalool สามารถออกฤทธิ์กระตุ้นการขับลมภายในร่างกายได้
พิษของน้ำมันตะไคร้
ปริมาณน้ำมัน[url=http://www.disthai.com/16913433/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89]ตะไคร้[/url]ที่ทำให้หนูขาวตายที่ครึ่งหนึ่งของปริมาณหนูขาวทั้งสิ้น ด้วยการให้ทางปาก  ที่ความเข้มข้น 5,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และการให้น้ำมันหอมระเหยทางกระเพาอาหารแก่กระต่ายที่ทำให้กระต่ายตายที่ครึ่งหนึ่ง พบว่า มีจำนวนความเข้มข้นเดียวกันกับการให้แก่หนูขาว
พิษทันควันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ที่ความเข้มข้น 1,500 ppm ในระยะเวลา 60 วัน กลับได้มาพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้มีการเติบโตเร็วกว่ากรุ๊ปที่ไม้ได้รับ และค่าทางเคมีของเลือดไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร

Tags : สมุนไพรตะไคร้

8

บุก
บุก มีคุณประโยชน์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด รักษาโรคเบาหวาน เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้ไอ ละลายเสลด แก้โรคท้องมาน ใช้สำหรับสตรีเมนส์มาไม่ดีเหมือนปรกติ ใช้แก้พิษงู ใช้เป็นยาแก้แผลไฟลุกแล้วก็น้ำร้อนลวก แก้ฝีหนองบวมอักเสบ  ใช้เป็นยาพารา แก้ฟกช้ำ ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยขับรอบเดือนของสตรี ใช้เป็นยาพอกฝี
บุก มีชื่อสามัญว่า Konjac อ่านออกเสียงว่า คอน-จัค มีชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch ชื่อเรียกอื่นๆของบุก ดังเช่น บุกปะทุงคก เบีย เบือ มันซูรัน หัวบุก บุกคางคก บุกหนาม บุกหลวง แพทย์ ยวี จวี๋ ยั่ว แพทย์ยื่อ เป็นต้น
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของต้นบุก
ต้นบุก นับว่าเป็น พืชล้มลุกชนิกหนึ่ง เป็นไม้เนื้ออ่อน ลักษณะของลำต้นอวบและมีสีเขียวเข้ม ใบบุกเป็นใบลำพัง ซึ่งใบของบุกจะแตกใบที่ยอดแล้วก็ใบแผ่ขึ้นราวกับร่มกาง ดอกของบุกจะมีสีเหลือง จะบานในช่วงเย็น มีกลิ่นแรง ลักษณะเสมือนดอกหน้าวัว
ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นประมาณ 50-150 ซม. หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ รูปแบบของหัวเป็นรูปค่อนข้างกลมแบนน้อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 25 ซม. ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นรวมทั้งกิ่งมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายทาสีขาวปะปนอยู่
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขน มีใบย่อยเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีขนาดยาวราว 15-20 ซม.
ดอกบุก มีดอกเป็นดอกโดดเดี่ยว รูปแบบของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวประมาณ 30 ซม. สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก รูปแบบของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
คุณประโยชน์ของบุก
สำหรับสรรพคุณของบุก เรานิยมใช่ประโยน์ทางยาของบุก จาก หัว รากและก็เนื้อของลำต้น รายละเอียด ดังนี้
หัวบุก มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต รักษาโรคเบาหวาน เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้ไอ ละลายเสลด แก้โรคท้องมาน ใช้สำหรับสตรีรอบเดือนมาผิดปรกติ ใช้แก้พิษงู ใช้เป็นยาแก้แผลไฟไหม้รวมทั้งน้ำร้อนลวก แก้ฝีหนองบวมอักเสบ  ใช้เป็นยาพารา แก้ฟกช้ำดำเขียว
รากของบุก ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยขับประจำเดือนของสตรี ใช้เป็นยาพอกฝี

สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวังในการบริโภคบุก
สำหรับข้อกำหนดสำหรับในการรับประทานบุก คือ หัวบุกจะมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ และก็ระบบทางเดินอาหาร เพราะฉะนั้น ในฝูงคนที่ ม้าม ตับ และก็ระบบทางเดินอาหาร ไม่ดี ควรจะหลบหลีกกิน และไม่รับประทานมากเกินความจำเป็น ซึงข้อควรปฏิบัติตามสำหรับในการบริโภคบุก มีเนื้อหาดังนี้
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) จำนวนมาก ที่ทำให้เกิดอาการคัน ส่วนเหง้ารวมทั้งก้านใบถ้าหากปรุงไม่ดีแล้วรับประทานเข้าไปจะก่อให้ลิ้นพองและคันปากได้
ก่อนเอามากินต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่กินกากยาหรือยาสด
กรรมวิธีการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำพอแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นมัวแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นคราวแรก แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อให้พิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับตัวกันเป็นก้อน จึงสามารถใช้ก้อนดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นสำหรับเพื่อการทำอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้ถ้าอาการเป็นพิษจากการรับประทานบุก ให้รับประทานน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วและก็ตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบหมอ
เพราะวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก ก็เลยไม่ควรบริโภควุ้นบกตอนหลังการกิน แต่ให้กินก่อนรับประทานอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคอาหารที่ผลิตขึ้นจากวุ้น ตัวอย่างเช่น วุ้นก้อนและก็เส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมอาหารหรือหลังรับประทานอาหารได้ เพราะวุ้นดังที่กล่าวมาข้างต้นได้ผ่านกรรมวิธีการรวมทั้งได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว และก็การการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นก็เลยเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เนื่องจากว่าไม่มีการเสื่อมสลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกาย และไม่มีวิตามินและธาตุ หรือสารอาหารอะไรก็ตามที่มีคุณประโยชน์ต่อสภาพทางด้านร่างกายเลยกลูโคแมนแนนมีผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันลดน้อยลง ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดผลเสียและไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่ว่าจะไม่เป็นผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ
การกินผงวุ้นบุกในปริมาณมาก อาจจะส่งผลให้มีลักษณะท้องเสียหรือท้องเฟ้อ มีลักษณะอาการหิวน้ำมากยิ่งกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการหมดแรงเพราะว่าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงได้http://www.disthai.com/

9

ขิง
ขิง ชื่อสามัญ Ginger (จิน’พบ)
ขิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Roscoe จัดอยู่ในวงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)
ขิง จัดเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายในหลายๆด้าน เพราะว่าอุดมไปด้วยวิตามินแล้วก็แร่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อสภาพทางด้านร่างกายของเรา ดังเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แถมยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และก็เส้นใยเป็นจำนวนมากอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิงนั้น เราสามารถนำมาใช้ได้หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นราก เหง้า ต้น ใบ ดอก แก่น และก็ผลก็ได้ทั้งหมด
ประโยชน์ที่ได้รับมาจากขิง
-ขิงจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอด
มีสารต้านทานอนุมูลอิสระเยอะมากๆ ช่วยชะลอความแก่และก็ชะลอการเกิดริ้วรอย
มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการปกป้อง ต้านการเกิดโรคมะเร็ง ต้านการเติบโตของเซลล์ของโรคมะเร็ง
ช่วยลดผลกระทบจากสารเคมีที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ดังนั้นควรกินขิงพร้อมกันไปกับการดูแลรักษาโรคมะเร็งจะเกิดผลดี
ขิง มีฤทธิ์อุ่น ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น รวมทั้งช่วยสำหรับการขับเหงื่อ
ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการใช้ลำต้นใหม่ๆเอามาตีให้แหลกประมาณ 1 กำมือ แล้วต้มกับน้ำ
ช่วยลดความอ้วน ลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอล ด้วยการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากไส้ แล้วปลดปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ
ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะและก็ไมเกรน ด้วยการกินน้ำขิงเป็นประจำ
ช่วยลดความอยากของผู้ติดสิ่งเสพติดลงได้
แก้ต้นตานขโมย ด้วยการใช้ขิง ใบกะเพรา พริกไทย ไพล มาบดผสมกันแล้วนำมากิน
ช่วยรักษาโรคความดันโลหิต ด้วยการนำขิงสดมาฝานต้มกับน้ำดื่ม
ช่วยบำรุงหัวใจของคุณให้แข็งแรง
ช่วยบรรเทาลักษณะโรคประสาท ซึ่งทำให้จิตใจขุ่นหมอง (ดอก)
ช่วยฟื้นฟูร่างการสำหรับคุณแม่หลังคลอดบุตร ด้วยการรับประทานไก่ผัดขิง
มีส่วนช่วยให้เจริญอาหาร (ราก, เหง้า) ด้วยการใช้เหง้าสดราวๆ 1 องคุลีนำมาต้มกับน้ำดื่ม ก็จะได้เป็นยาขมเจริญอาหาร
ใช้กินเพื่อบำรุงเป็นยาธาตุ บำรุงธาตุไฟ (เหง้า, ดอก)
ใช้บำรุงน้ำนมของมารดา (ผล)
ช่วยให้นอนหลับได้อย่างสบาย
การกินขิงจะช่วยให้เลือดแข็งตัวเป็นลิ่มเลือดได้ช้าลง
ใช้แก้ไข้ (ผล) ด้วยการนำขิงสดมาคั้นเป็นน้ำให้ได้ราวๆครึ่งถ้วย แล้วผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา เอามาต้มกับน้ำ 2 ถ้วย แล้วนำมาดื่มวันละ 3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการได้
ช่วยแก้หวัด ทุเลาอาการไอ ทุเลาหวัดจับเสลด ด้วยการใช้ขิงสดฝนกับน้ำมะนาวใส่เกลือเล็กน้อย
ละอองน้ำหอมระเหยจากน้ำขิงช่วยทำลายไวรัสหวัดในทางเดินหายใจได้
แก้ลม (ราก)
ในผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะติดยาสลบหลังผ่าตัด น้ำขิงช่วยแก้เมาได้
ช่วยแก้อาการเมารถ เมาเรือได้เป็นอย่างดี ด้วยการใช้ขิงสดนำมาตำให้แหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำ (ไม่ต้องดื่มน้ำตาม)
ช่วยไขปัญหาผมตก หัวล้าน ด้วยการนำเหง้าสดไปผิงไฟจนถึงอุ่น แล้วเอามาตำให้แหลก นำมาพอกรอบๆที่มีผมร่วง วันละ 2 ครั้งจนถึงอาการดียิ่งขึ้น หรืออีกวิธีก็คือคั้นเอาเฉพาะน้ำขิงมาผสมกับน้ำมันที่สกัดจากมะกอกแล้วนำมาหมักผม นวดให้ทั่วศีรษะประมาณ 30 นาทีก็ช่วยลดปัญหาผมหล่นได้แบบเดียวกัน แถมยังช่วยให้ผมสวย แข็งแรง มีความอ่อนนุ่มลื่น ไม่ขาดง่ายอีกด้วย
-ช่วยบำรุงรักษาสายตา รักษาโรคเกี่ยวกับตา รวมทั้งใช้แก้อาการตาฟาง (ผล, ใบ)
ช่วยรักษาอาการตาแฉะ (ดอก)
ช่วยแก้โรคกำเดา (ใบ)
ใช้แก้อาการคอแห้ง เจ็บคอ (ผล)
ใช้รักษาอาการปากคอยุ่ย ท้องผูก (เหง้า,ดอก)
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดฟัน ด้วยการนำขิงแก่มาตีอย่างระมัดระวังคั่วกับน้ำสารส้มกระทั่งไหม้เกรียม แล้วบดจนกระทั่งเป็นผุยผง แล้วต่อจากนั้นนำมาพอกรอบๆฟันที่ปวดแก้เสมหะ เสลดขาวเหลวปริมาณมากมีฟอง (ผล, ราก)ช่วยรักษาภาวะน้ำลายมาก คลื่นไส้เป็นน้ำใสช่วยลดกลิ่นปาก แก้อาการปากเหม็น ด้วยการนำขิงมาคั้นผสมน้ำอุ่นและเกลือเล็กน้อย เอามาอมบ้วนปาก ช่วยฆ่าเชื้อโรคในปากได้อีกด้วยช่วยทำนุบำรุงฟันและคุ้มครองการเกิดฟันผุ
ช่วยขจัดกลิ่นจั๊กกะแร้ ด้วยการใช้เหง้าขิงแก่นำมาทุบให้แหลก แล้วนำมาคั้นเอาน้ำมาทารักแร้เป็นประจำ จะสามารถช่วยจัดการกับรอยคราบกลิ่นได้
ช่วยแก้อาการสะอึก ด้วยการใช้ขิงสดตำจนแหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำผสมกับน้ำผึ้งเล็กน้อย คนให้เข้ากันแล้วเอามาดื่ม
ช่วยรักษาโรคบิด (ผล, ราก, ดอก) ด้วยการใช้ขิงสดราวๆ 75 กรัม ผสมกับน้ำตาลทรายแดง นำมาตำกระทั่งเข้ากัน แล้วรับประทาน 3 มื้อต่อวัน
ช่วยแก้อาการอ้วก (เหง้า, ผล) ด้วยการนำขิงสดราวๆ 5 กรัมหรือขนาดเท่านิ้วโป้งมือ นำมาทุบให้แตกแล้วต้มกับน้ำกิน
ช่วยลดการอ้วกอ้วกจากการแพ้ท้อง (สำหรับหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรกินบ่อยครั้งจนกระทั่งเหลือเกิน)
แก้อาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง ขับลมในไส้ (ผล, ราก, ใบ) ด้วยการนำขิงแก่มาทุบพอแหลก เทน้ำเดือดลงไปครึ่งแก้ว แล้วปิดฝาตั้งทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 5 นาทีแล้วนำน้ำมาดื่มระหว่างมื้อของกิน
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดในตอนหลังหรือก่อนระดู ด้วยการนำขิงแก่ที่แห้งแล้วโดยประมาณ 30 กรัมมาต้มกับน้ำกินเสมอๆ
ช่วยสำหรับการย่อยของกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ดอก)
ช่วยคุ้มครองการเกิดแผลในกระเพาะ ลดอาการจุกเสียด (เหง้า)
ช่วยสำหรับการขับถ่าย และช่วยในเรื่องของระบบลำไส้ให้ทำงานได้อย่างปกติ
ช่วยฆ่าพยาธิ พยาธิกลมจุกไส้ (ใบ) ใช้น้ำขิงผสมกับน้ำผึ้งแล้วเอามาดื่ม
ช่วยแก้อาการขัดเยี่ยว (ดอก, ใบ)
ช่วยรักษาฉี่รดที่นอนในผู้ป่วยที่มีภาวการณ์หยางพร่อง มีความเย็นในร่างกายเป็นเหตุ
ช่วยรักษาโรคนิ่ว (ใบ, ดอก)
ช่วยแก้อาการฟกช้ำดำเขียว (ใบ)
ขิง ช่วยรักษาอาการปวดข้อตามร่างกายด้วยการรับประทานขิงสดบ่อยๆ
มีฤทธิ์ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย
ใช้เป็นยาแก้คัน ด้วยการนำแก่นของขิงฝนทำเป็นยา (แก่น)
จัดการกับปัญหาหนังที่มือลอกเป็นเกล็ด ด้วยการใช้เหง้าสดมาหั่นเป็นแผ่น แล้วเอามาแช่เหล้า 1 ถ้วยชา ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง แล้วนำแผ่นขิงมาเช็ดบริเวณดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นวันละ 2 ครั้ง
ช่วยรักษาแผลเริมรอบๆหลัง ด้วยการใช้เหง้า 1 หัว เอามาเผาผิวนอกกระทั่งเป็นถ่าน คอยเฉือนถ่านที่เปลือกนอกออกไปเรื่อยแล้วนำผงที่ได้มาผสมกับน้ำดีหมูนำมาทาบริเวณที่เป็นแผลถ้าหากว่าถูกแมงมุมกัด ใช้ขิงสดฝานบางๆนำมาวางทับบริเวณที่ถูกกัดจะช่วยทุเลาอาการได้ช่วยรักษาอาการมือเท้าเย็น กลัวหนาว เย็นท้อง เป็นต้น ช่วยคุ้มครองการแพ้อาหารทะเลจนถึงเกิดผื่นคัน ลมพิษ หรืออาหารช็อกคุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิง
ช่วยรักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวก ด้วยการนำขิงสดมาตำให้แหลก แล้วนำกากมาพอกรอบๆแผล เพื่อปกป้องการอักเสบแล้วก็การเกิดหนองในขิงมีสารที่สามารถใช้กันบูดกันเหม็นหืนในน้ำมันได้
ในด้านการประกอบอาหารนั้น ขิงสามารถช่วยเพิ่มรสชาติอาหารได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสามารถช่วยขจัดกลิ่นคาวของอาหารได้ดีอีกด้วย
ในด้านความงามนั้นมีผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งหน้าที่ใช้บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของขิงอีกด้วย
ช่วยทำให้ผิวพรรณเรียบเนียนยิ่งขึ้น ด้วยการนำขิงสดมาขูดเป็นฝอยแล้วเอามานวดรอบๆต้นขา ก้น หรือรอบๆที่มีเซลลูไลต์จะช่วยลดความตะปุ่มตะป่ำของผิวได้อีกด้วย
ผลิตภัณฑ์จากขิงนั้นเอามาแปรรูปได้หลายประเภท ดังเช่น บัวลอยน้ำขิง ขิงแช่อิ่ม ขิงเชื่อม ขิงกระป๋อง ขิงแคปซูล น้ำขิงมะนาว เป็นต้น

วิธีทำน้ำขิง
แนวทางการทำน้ำขิงวิธีทำน้ำขิงขั้นตอนแรกให้ตระเตรียมส่วนประกอบดังนี้ ขิงแก่ 1 กก. / น้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วยตวง / น้ำสะอาด 3 ลิตร
นำขิงที่ได้ไปล้างให้สะอาด เอามาตีให้แตก แล้วเอามาใส่ไว้ภายในหม้อต้ม เพิ่มน้ำสะอาดลงไป ยกขึ้นตั้งไฟ
เมื่อต้มจนน้ำเดือดและหลังจากนั้นก็ค่อยเบาไฟลง เคี่ยวราวๆ 20 นาทีจนน้ำขิงละลายออกมาจนกระทั่งหมด (น้ำจะเป็นสีเหลืองอ่อนๆ) แล้วชูลงจากเตา
เสร็จแล้วให้ตักน้ำขิงใส่แก้ว เพิ่มเติมน้ำตาลทรายแดงลงไป 1-2 ช้อนชา (ตามความจำเป็น) แล้วคนจะกว่าจะเข้ากัน
เป็นระเบียบเรียบร้อยและก็สามารถเอามาดื่มได้ โดยเอามาดื่มแบบร้อนๆได้เลย
หรือจะดื่มแบบเย็นๆด้วยการใส่น้ำแข็งลงไปก็ได้เช่นเดียวกัน แต่ว่าควรจะเพิ่มน้ำตาลมากกว่า 2-3 เท่า (จะช่วยไม่ให้รสจืดมากจนเกินความจำเป็น เนื่องจากมีน้ำแข็งผสมอยู่นั่นเอง)
น้ำขิงที่คั้นมานั้นไม่ควรใช้ปริมาณที่เข้มข้นกระทั่งเหลือเกิน เพราะจะเป็นโทษต่อสภาพทางด้านร่างกายได้ เพราะจะไประงับการบีบตัวของลำไส้ กระทั่งทำให้ลำไส้หยุดการบีบตัว โดยเหตุนี้ควรคั้นในจำนวนน้อยๆหรือดื่มจนชินก่อน
พวกเรามักจะรู้จักคุ้นเคยกับขิงว่าเป็นอาหารที่นิยมนำมาใช้สำหรับการประกอบอาหารและทำเครื่องดื่ม ซึ่งที่จริงแล้วขิงจัดเป็นสมุนไพรไทยที่ช่วยการเยียวยารักษาโรคต่างๆได้สารพัด ถือได้ว่าตัวช่วยในการรักษาโรคได้อย่างยิ่งจริงๆ แต่ว่าดังนี้พวกเราก็ไม่สมควรจะหวังพึ่งสรรพคุณของขิงเพียงอย่างเดียวสำหรับในการบำบัดรักษาโรค ควรจะทำอย่างอื่นหรือดูแลสุขภาพของเราร่วมด้วยจะได้ผลดีนักแล
พวกเรามักนิยมใช้ขิงแก่ เพราะเหตุว่ายิ่งแก่จะยิ่งให้ความเผ็ดร้อน ก็เลยมีคุณประโยชน์ทางยาที่มากกว่าขิงอ่อน รวมทั้งยังมีใยอาหารเยอะขึ้นเรื่อยๆตามไปด้วย แต่เหตุเพราะขิงมีรสเผ็ด มีคุณลักษณะอุ่น จึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีความร้อนในร่างกายอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นคนที่เหงื่อออกมาก เหงื่อออกช่วงเวลาค่ำคืน ตาแดง หรือมีไฟในตัวมากยิ่งกว่าธรรมดา แม้กระนั้นถ้าจะกินควรรอบคอบเป็นพิเศษ http://www.disthai.com/

หน้า: [1]