รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - onjiu0101a5

หน้า: [1]
1

พญายอ
พญายอเป็นไม้พุ่งปนเลื้อย เถาและก็ใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงกันข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกไม้เป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้งามในดินที่สมบูรณ์ แดดปานกลาง พบได้มากตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ ฯลฯไม้ที่ปลูกง่าย ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาก็ดีแล้วก็ย้ายไปปลูกลงในแปลง รักษาราวกับ พืชไม้ทั่วๆไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่ไหมอ่อนจนกระทั่งเหลือเกิน ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูได้ดี โดยยิ่งไปกว่านั้นส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” ตระกูลสถิต ฉั่วกุล รวมทั้งแผนกได้เรียนรู้พบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโอ้อวดนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต่อต้านพิษงูยังไม่ชัดแจ้ง แต่ว่าไม่มีอันตรายพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ไม่มีไข้) จากแมลงที่เป็นพิษกัดต่อย ตัวอย่างเช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามรอบๆที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำอย่างถี่ถ้วน เติมแอลกอฮอล์พอชุ่มยา ตั้งทิ้งเอาไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกเมื่อเชื่อวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และกากทาบบริเวณที่ปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
พญายอ หรือ เสลดพังพอน เหตุเพราะเสมหะพังพอนมีหมดทั้งตัวผู้ละตัวเมีย แต่ว่าเพศผู้ไม่นิยมประยุกต์ใช้เนื่องจากว่ามีฤทธิ์อ่อน รวมทั้งเพื่อไม่ให้งงจึงเรียกเสมหะพังพอนตัวเมียว่า "พญายอ" ส่วนมากนำมาทำเป็นยาสมุนไพรไทยจัดอยู่ในกรุ๊ปพืชถอนพิษ  “พญายอ” เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยาใช้ภายนอกรักษาข้างนอก มีคุณประโยชน์บรรเทาการอักเสบของผิวหนังได้ดิบได้ดี  มีฤทธิ์ลดการอักเสบ มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส
คุณลักษณะของผงพญายอสำหรับเพื่อการบำรุงผิวพรรณ
- ใช้แก้สิวเม็ดผดผื่นคัน ด้วยการนำมาดองกับสุรา แล้วผสมดินสอพองใช้ทาแก้สิวและเม็ดผื่นผื่นคัน
- ใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ผสมกับเหล้าใช้เป็นยาแก้ผื่นคัน ไฟลามทุ่ง ผื่นคัน แผลไฟเผาน้ำร้อนลวก
- ใช้รักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวก พญายอมีสรรพคุณช่วยดับพิษร้อนได้ดิบได้ดี
- อีกตำรากล่าวว่านอกเหนือจากการที่จะใช้รักษาแผลไฟเผาน้ำร้อนลวกได้แล้ว ยังช่วยรักษาแผลเปื่อยเนื่องมาจากถูกแมงกะพรุนไฟ แผลหมากัด และแผลที่เกิดขึ้นมาจากการเช็ดกกรดได้อีกด้วย
- ใช้รักษาแผลน้ำเหลืองเสีย เอามาพอก จะรู้สึกเย็นๆซึ่งยาจะช่วยดูดน้ำเหลืองได้ดี ทำให้แผลแห้งไว
- ใช้แก้ฝี ด้วยการผสมกับเกลือและก็สุรา ใช้พอกบริเวณที่เป็น แปลงยาทุกเช้ารวมทั้งเย็น
- ใช้เป็นยาขับพิษ ทำลายพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ได้แก่ งู ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง อื่นๆอีกมากมาย
- พญายอ ใช้รักษาอาการอักเสบ รักษาแผลร้อนในปาก แก้เริม (แผลผิวหนังจำพวกเริม) อีสุกอีใส แก้งูสวัด ไฟลามทุ่ง แล้วก็ใช้เป็นยาทำลายพิษต่างๆเอาน้ำมาดื่มหรือเอาน้ำมาทาแผลและเอากากพอกบริเวณแผล
- มีฤทธิ์แก้อาการแพ้ ลดการอักเสบ สามารถลดการอักเสบเรื้อรังได้
- มีฤทธิ์ลดความเจ็บปวด ช่วยลดลักษณะของการปวด
- มีฤทธิ์ต้านไวรัสได้ดีและไม่เป็นพิษต่อเซลล์

กรรมวิธีการพอกขัดผิวด้วยผงพญายอ

  • ชำระล้างผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้ารวมทั้งเช็ดเครื่องแต่งตัวให้สะอาดก่อนแนวทางการขัดพอกผิว
  • ใช้ผสมกับน้ำที่สะอาด (หรือ ผงสมุนไพรอื่นๆน้ำผึ้ง น้ำนม หรือโยเกิร์ต เพื่อทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น)
  • สามารถใช้พอกหรือขัดได้ทั้งผิวหน้าแล้วก็ผิวกาย บ่อยๆ สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง


     - สำหรับผิวหน้า พญายอแม้เป็นสิวอักเสบ ห้าม ขัดโดยเด็ดขาด ให้ใช้เป็นการพอกผิวแทน เพื่อไม่ให้เชื้อสิวลามไปทั่วใบหน้า และเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผิวหน้ามากเกินความจำเป็น พอกทิ้งไว้โดยประมาณ 15 นาที
     - หากใช้ขัด (สำหรับคนที่ไม่เป็นสิว แล้วก็ผิวกาย) ให้ขัดให้เบาไม้เบามือที่สุด ประมาณแค่ลูบคลำเพียรพยายามจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย ห้ามกดแรงลงบนนิ้วขณะขัด รวมทั้งให้ขัดแค่ 5 นาทีก็เพียงพอที่สารสำคัญจะออกฤทธิ์แล้ว เมื่อครบ 5 นาทีให้พอกทิ้งเอาไว้กระทั่งแห้ง (บางทีอาจใช้ระยะเวลาพอกทิ้งเอาไว้ราวๆ 15 นาที)

  • พญายอ ภายหลังแห้งแล้ว ให้ทำความสะอาดโดยการล้างด้วยน้ำปกติ (ไม่ควรใช้น้ำอุ่น) ล้างแบบเบาที่สุดหรือให้เปิดฝักบัวเบาๆและจากนั้นก็ปลดปล่อยให้น้ำรดผ่านผิวไปสัก 2-3 นาที แล้วก็ใช้ฝ่ามือลูบให้ค่อยที่สุด โดยใช้หลักการล้างเดียวกับการขัดหน้าหมายถึงเพียรพยายามจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย
  • ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว ดูดซับหน้าให้แห้ง


Tip  เพื่อการบำรุงที่เพิ่มขึ้น เมื่อพอกหรือขัดผิวด้วยผงสมุนไพรแล้ว ให้เอาน้ำผึ้งผสมน้ำดื่มธรรมดาในอัตราส่วน 1 ช้อนชาเสมอกัน ทาให้ทั่วผิวหน้า แล้วนวดวนเบาๆทั่วบริเวณใบหน้าสักน้อย ทิ้งน้ำผึ้งไว้ 10 นาที ก็ล้างออก เพื่อเป็นการคืนความชุ่มชื่นให้แก่ผิว อีกทั้งช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มและก็กระจ่างขาวใส ดูอ่อนกว่าวัยยิ่งขึ้น http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรเสลดพังพอน (พญายอ)

2

กระเทียม
สรรพคุณกระเทียม
ปรับความดันเลือดให้อยู่ในระดับธรรมดา
ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงเหมาะกับคนเจ็บโรคเบาหวาน
บำรุงเลือด คุ้มครองอาการโลหิตจาง
เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
คุ้มครองโรคหัวใจ
ลดอาการท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายดำเนินการก้าวหน้าขึ้น
ช่วยขับลม แก้อาการจุดเสียดแน่นท้อง
คุ้มครองป้องกันไข้หวัด ยับยั้งการเติบโตของเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา
มีสารต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิวพรรณ และลดความเสี่ยงสำหรับในการเป็นโรคโรคมะเร็ง
chopped-garlicsiStock
กระเทียม กับ 10 คุณประโยชน์ดีๆที่พวกเราอยากให้ท่านทานทุกวัน
วิธีทานกระเทียมให้ได้ประโยชน์
สารอัลลิสินในกระเทียมที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของพวกเรา ต้องผ่านการหั่น สับ ตี หรือบด จำเป็นต้องหั่น สับ ตี หรือบดกระเทียมก่อนเอามาทำกับข้าว 5-10 นาที โดยสารอัลลิสินนี้จะไม่สลายหายไปเมื่อถูกความร้อน ด้วยเหตุดังกล่าวจะทานสด หรือจะปรุงอาหารในน้ำมันก็ช่างเถิด
จำนวนกระเทียมที่ควรทานต่อวัน
ในวัยผู้ใหญ่สามารถทานกระเทียมได้ราว4 กรัมต่อวัน แต่ไม่สมควรทานมากเกินกว่านี้ติดต่อกันเกิน 10 วัน เพราะว่าจะเพิ่มการเสี่ยงภาวการณ์เลือดแข็งช้า  หรือเลือดไหลไม่หยุดเมื่อเกิดรอยแผล
วิธีเลือกซื้อกระเทียมมาทำอาหาร
ควรที่จะทำการเลือกกระเทียมที่หัวแน่นๆไม่ฝ่อ เปลือกบาง เนื้อสีเหลืองอ่อน สด ไม่เน่า ไม่มีราขึ้น รวมทั้งถ้าหากอยากได้รสของกระเทียมแบบแรงๆควรที่จะทำการเลือกกระเทียมหัวเล็กๆ
ว่าแล้วของกินมื้อต่อไปก็บอกให้คนประกอบอาหารพ่อครัวใส่กระเทียมลงไปในอาหารให้ด้วยนะคะ แม้กระนั้นระวังสักหน่อย หากทานกระเทียมมากมายๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระเทียมสด อาจมีลักษณะการเจ็บคอคราวหลัง แล้วก็อย่าลืมระแวดระวังกลิ่นปากกันด้วยจ้ะ ประเดี๋ยวจะกล่าวหาไม่เตือนนะ
ลักษณะทั่วไปของกระเทียม
กระเทียมเป็นไม้ล้มลุกจำพวกรับประทานหัว ลำต้นสูง 1-2 ฟุต มีหัวลักษณะกลมแป้นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 นิ้ว ข้างนอกของหัวกระเทียมมีเปลือกบางๆห่ออยู่หลายชั้น ด้านในหัวประกอบแกนแข็งตรงกลาง ภายนอกเป็นกลีบเล็กๆจำนวน 10-20 กลีบ เนื้อกระเทียมในกลีบมีสีเหลืองอ่อนรวมทั้งใส  มีน้ำเป็นองค์ประกอบสูง มีกลิ่นแรงจัด
ลำต้นและหัวกระเทียมสด
แหล่งเพาะปลูก
กระเทียมสามารถปลูกได้ทั่วๆไปในทุกภาคของเมืองไทย แต่นิยมนำมาปลูกกันมากมายทางภาคเหนือแล้วก็ภาคอีสาน เหตุเพราะมีภาวะดินและก็สภาพการณ์อากาศที่เหมาะมากกว่าภาคอื่นๆทำให้กระเทียมเจริญวัยได้ดิบได้ดี เห็นผลผลิตสูงรวมทั้งมีรสชาติที่ดีมากกว่า

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
กระเทียมเป็นไม้ล้มลุกแล้วก็ใหญ่ยาว สูง 30-60 เซนติเมตร มีกลิ่นฉุน มีหัวใต้ดิน2 ลักษณะกลมแป้น เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-4 เซนติเมตร มีแผ่นเยื่อสีขาวหรือสีม่วงอมชมพูหุ้มห่ออยู่ 3-4 ชั้น ซึ่งลอกออกได้ แต่ละหัวมี 6-10 กลีบ กลีบเกิดจากตาซอกใบของใบอ่อน ลำต้นลดรูปลงไปๆมาๆก ใบโดดเดี่ยว (Simple leaf) ขึ้นมาจากดิน เรียงซ้อนสลับ แบนเป็นแถบแคบ กว้าง 0.5-2.5 เซนติเมตร ยาว 30-60 ซม. ปลายแหลมแบบ Acute ขอบเรียบแล้วก็พับทบเป็นสันตลอดความยาวของใบ โคนแผ่เป็นแผ่นแล้วก็เชื่อมชิดกันเป็นวงห่อรอบใบที่อ่อนกว่าและก้านช่อดอกนำมาซึ่งเป็นลำต้นเทียม ปลายใบสีเขียวรวมทั้งสีจะค่อยๆจางลงจนตราบเท่าถึงโคนใบ ส่วนที่ห่อหัวอยู่มีสีขาวหรือขาวอมเขียว ช่อดอกแบบช่อซี่ร่ม (Umbel) มีตะเกียงรูปไข่เล็กๆจำนวนไม่ใช่น้อยอยู่ปนเปกับดอกขนาดเล็กซึ่งมีจำนวนน้อย มีใบตกแต่งใหญ่ 1 ใบ ยาว 7.5-10 ซม. ลักษณะบาง ใส แห้ง เป็นจะงอยแหลมหุ้มห่อช่อดอกในช่วงเวลาที่ยังตูมอยู่ แต่เมื่อช่อดอกบานใบแต่งแต้มจะเปิดอ้าออกแล้วก็แขวนลงรองรับช่อดอกไว้ ก้านช่อดอกเป็นก้านกระโดด เรียบ รูปทรงกระบอกตัน ยาว 40-60 เซนติเมตร ดอกสมบูรณ์เพศ กลีบรวม 6 กลีบ แยกจากกันหรือติดกันที่โคน รูปใบหอกปลายแหลม ยาวโดยประมาณ 4 มม. สีขาวหรือขาวอมชมพู เกสรเพศผู้ 6 อัน ติดที่โคนกลีบรวม อับเรณูและก้านเกสรเพศเมียยื่นขึ้นมาสูงขึ้นยิ่งกว่าส่วนอื่นๆของดอก รังไข่ 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวุล 1-2 เม็ด ผลเล็กเป็นกระเปาะสั้นๆรูปไข่หรือค่อนข้างกลม มี 3 พู เมล็ดเล็ก สีดำ
ในประเทศไทยปลูกมากทางภาคอีสานและภาคเหนือ แต่ว่ากระเทียมที่มีชื่อว่าเป็นกระเทียมคุณภาพดี กลิ่นแรง อย่างเช่นกระเทียมจากจังหวัดศรีสะเกศ
วิธีเลือกซื้อกระเทียม
วิธีสำหรับการเลือกซื้อกระเทียมนั้น มีหลักพิจารที่กล้วยๆคือ เลือกกระเทียมที่หัวแน่น กลีบแน่น เปลือกบาง มีเนื้อสีเหลืองอ่อน สด แน่น ไม่ฝ่อและไม่มีเชื้อรา ที่สำคัญหากจำเป็นต้องทำกับข้าวที่อยากได้กลิ่นแรงๆจะต้องเลือกกระเทียมหัวเล็กเท่านั้น
กระเทียมสดคุณภาพดี
จะเห็นว่ากระเทียมมีคุณประโยชน์และก็สรรพคุณจำนวนมาก ถึงกระเทียมจะมีกลิ่นฉุน แต่ก้ไม่ยากเกินไปที่จะกินครับผม ฉะนั้นอย่าลืมเพิ่ข้อควรปฏิบัติตามในการรับประทานกระเทียมโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลในกรุ๊ปต่อไปนี้
คนที่กำลังมีท้องหรือคนที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร การกินกระเทียมในช่วงการมีท้องค่อนข้างไม่เป็นอันตรายถ้าเกิดรับประทานเป็นของกินหรือในปริมาณที่สมควร แต่บางทีอาจไม่ปลอดภัยถ้าเกิดกินกระเทียมเป็นยารักษาโรค ทั้งยังไม่มีช้อมูลที่น่าไว้วางใจพอเพียงเกี่ยวกับความปลอดภัยของการทากระเทียมที่บริเวณผิวหนังในตอนการตั้งท้องหรือให้นมบุตร
เด็ก การกินกระเทียมในจำนวนที่สมควรแล้วก็ในระยะสั้นๆอาจไม่เป็นอันตรายสำหรับเด็ก แต่การใช้กระเทียมทาบริเวณผิวหนังอาจส่งผลให้กำเนิดอาการแสบร้อนและก็เคือง
คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะหรือการย่อยอาหาร อาจจะเป็นผลให้มีการเคืองที่ดินเดินอาหารได้
คนที่มีความดันโลหิตต่ำ การกินกระเทียมอาจก่อให้ระดับความดันเลือดลดลดน้อยลงมากยิ่งกว่าธรรมดา
ผู้ที่วางแผนเข้ารับการผ่าตัด ควรจะหยุดรับประทานกระเทียมก่อนจะมีการผ่าตัดอย่างต่ำ 2 อาทิตย์เพราะว่าอาจจะทำให้เลือดออกมากรวมทั้งมีผลต่อความดันโลหิตในระหว่างการผ่าตัด และก็คนที่มีสภาวะเลือดออกไม่ดีเหมือนปกติไม่สมควรรับประทานกระเทียม โดยเฉพาะกระเทียมสด ด้วยเหตุว่าอาจเพิ่มการเสี่ยงให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น
คนที่อยู่ในระหว่างการรับประทานยารักษาโรค เช่น ไอโซไนอะซิด เนื่องจากกระเทียมอาจลดการดูดซึมของยาภายในร่างกายและมีผลต่อสมรรถนะแนวทางการทำงานของยา รวมทั้งไม่สมควรรับประทานกระเทียมในระหว่างใช้ยาดังนี้
ยารักษาการติดโรคเอชไอวีหรือโรคภูมิคุมกันบกพร่อง
ยาคุม
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
ยาต้านทานเกล็ดเลือดกระเทียมลงในเมนูอาหารของท่านครับผม สรรพคุณรวมทั้งประโยช์จากกระเทียมนั้นร้ายมากจริงๆ http://www.disthai.com/

3
อื่น ๆ / ความเป็นมาของต้นราชพฤกษ์
« เมื่อ: สิงหาคม 16, 2018, 05:17:55 AM »

ราชพฤกษ์
ภูมิหลังของต้นราชพฤกษ์
   จากอดีตก่อนหน้าที่ผ่านมากว่า 50 ปี ทางด้านราชการมีความอุตสาหะหลายคราในการกำหนดให้มีสัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยยิ่งไปกว่านั้นการกำหนด ต้นไม้ และ ดอกไม้ ประจำชาติ เริ่มที่กรมป่าไม้ได้เชิญชวนให้พลเมืองพึงพอใจต้นราชพฤกษ์หรือคูณมาตั้งแต่ตอนปี พ.ศ.2494 โดยรัฐบาลลงความเห็นให้ถือวันที่ 24 เดือนมิถุนายน เป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติ (arbour day) มีการเชิญชวนให้ปลูกต้นไม้ที่มีประโยชน์ชนิดต่างๆเยอะแยะ ในขณะเดียวกันก็ได้มีการเสนอว่า ต้นราชพฤกษ์ น่าจะถือเป็นต้นไม้ประจำชาติ
ราชพฤกษ์
   จนถึงในปี พ.ศ.2506 มีการสัมมนาเพื่อระบุเครื่องหมายต้นไม้รวมทั้งสัตว์ประจำชาติเป็นครั้งแรก โดยกรมป่าไม้ได้เสนอให้ ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูณ พืชที่มีความมงคลที่เป็นประโยชน์รวมทั้งรู้จักกันอย่างล้นหลามฯลฯไม้ประจำชาติ สำหรับสัตว์ประจำชาติก็คือ ช้างเผือก สัตว์ที่มีคุณค่าเกี่ยวเนื่องกับจารีตไทยรวมทั้งประวัติศาสตร์ไทยมายาวนาน การเสนอคราวนั้นมิได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุนี้ตลอดเวลาก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาสัญลักษณ์ที่บ่งถึงความเป็นไทยจึงมีหลากหลาย ตั้งแต่สถานที่สำคัญๆ สัตว์ ดอกไม้ ที่คนไทยรู้จักและพบเห็นบ่อยมาก เช่น พระปรางค์วัดย่ำรุ่งฯ เรือสุพรรณหงส์ ดอกบัว ดอกมะลิ ดอกพุทธรักษา แมวไทย เหมือนกับ ต้นราชพฤกษ์ และก็ ช้างเผือก ยังคงถูกยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติตลอดมา
            ปี พ.ศ.2530 มีการสนับสนุนให้ปลูกต้นราชพฤกษ์อีกครั้ง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยมีการผลักดันให้ปลูกต้นราชพฤกษ์ทั่วทั้งประเทศปริมาณ 99,999 ต้น ปัจจุบันนี้ก็เลยมีต้นราชพฤกษ์อยู่ล้นหลามทั้งประเทศไทย
            บทสรุปเรื่องเครื่องหมายประจำชาติดูเหมือนจะยังไม่กระจ่าง กระทั่งช่วงปี พ.ศ.2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้นำเรื่องดังกล่าวกลับมาเสนออีกครั้ง แล้วก็มีบทสรุปเสนอให้มีการระบุสัญลักษณ์ประจำชาติ 3 สิ่งคือ ดอกไม้ สัตว์แล้วก็สถาปัตยกรรม และการพินิจก่อนหน้าที่ผ่านมาเสนอให้กำหนดดอกไม้ประจำชาติเป็น ดอกราชพฤกษ์ สัตว์ประจำชาติเป็นช้างไทย และสถาปัตยกรรมประจำชาติเป็น ศาลาไทย
            เหตุที่เลือก ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติเพราะมีความเหมาะสมในหลายๆด้าน คือ เป็นดอกไม้จากต้นไม้ที่ถูกเสนอให้เป็นต้นไม้ประจำชาติเมื่อครั้งที่กรมป่าไม้เสนอไว้ ฯลฯไม้ที่แก่ยืน คงทน ปลูกขึ้นก้าวหน้าทั่วทุกภาคของประเทศ เป็นต้นไม้ประจำถิ่นที่รู้จักแพร่หลาย มีชื่อเรียกหลายชื่อแตกต่างในแต่ละภาค ดังเช่นว่า คูน คูน อ้อดิบ ราชพฤกษ์เป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลใช้ประโยชน์ในพิธีการหลักๆเช่น ลงหลักเมือง ลงเสาเอก ทำคฑาจอมพลและยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร ในฤดูร้อนราชพฤกษ์จะมีดอกสะพรั่งอีกทั้งต้น ช่อดอกมีรูปทรงสวยงาม สีเหลืองอร่ามเป็นเครื่องหมายของพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติ รวมทั้งเป็นสีเดียวกับวันพระราชการเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นอกจากนี้ความงามของช่อดอก รวมทั้งความหมายที่ดียังถูกจำลองแบบประดับประดาไว้บนอินทรธนูของเจ้าหน้าที่รัฐอีกด้วย
ดอกราชพฤกษ์ ดอกไม้ประจำชาติไทย
ส่งดอกไม้ประจำชาติไทยเป็นดอกราชพฤกษ์ (Golden shower) หรือ ชื่อด้านวิทยาศาสตร์ของ ดอกราชพฤกษ์เป็นCassia fistula
           ดอกไม้สีเหลืองสวยงามที่พบได้บ่อยเห็นได้ทั่วไปตามริมถนนสายต่างๆเป็นสีสันของ ดอกราชพฤกษ์ หรือ ดอกคูน ต้นไม้มงคลที่ได้รับการเชิดชูให้เป็น ดอกไม้ประจำชาติไทย ทั้งมั่นใจว่าเป็นต้นไม้ที่ปลูกไว้แล้วจะเสริมให้คนในบ้านทรงเกียรติยศชื่อ เสียงเยอะขึ้นด้วย ยิ่งใกล้เข้าสู่เวลาที่การเปิดประตูต้อนรับเพื่อนบ้านอาเซียนกันแล้ว ในวันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอนำข้อมูลเกี่ยวกับดอกไม้ประจำชาติไทยอย่าง ดอกราชพฤกษ์ มาให้ทำความรู้จักกันจ้า
เรื่องราวดอกราชพฤกษ์
           ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน ฯลฯไม้ท้องถิ่นของทวีปเอเชียใต้ ตั้งแต่ประเทศปากีสถาน อินเดีย ประเทศพม่า และศรีลังกา โดยนิยมนำมาปลูกกันมากในเขตร้อน สามารถเติบโตก้าวหน้าใน รวมทั้งเป็นที่รู้จักในประเทศไทยมาหลายสิบปี โดยมีการเสนอให้ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทยตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2506 แต่ว่าก็ยังไม่ได้บทสรุปชัดเจน กระทั่งมีการลงนามให้เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย เมื่อวันที่ 26 ต.ค. พ.ศ. 2544

ดอกไม้ประจำชาติไทย
           เนื่องมาจาก ต้นราชพฤกษ์ มีดอกสีเหลืองยกช่อ ดูสง่างาม อีกทั้งยังมีสีตรงกับ สีประจำวันพระราชการบังเกิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นไม้ของพระเจ้าแผ่นดิน" และก็มีการลงชื่อให้ต้นราชพฤกษ์ ยอดเยี่ยมใน 3 สัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยมี 1. ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทย 2. ศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติไทย รวมทั้ง 3. ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย
เหตุผลเลือกเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

  • เนื่องด้วยฯลฯไม้พื้นเมืองที่รู้จักกันอย่างมากมาย แล้วก็มีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย
  • มีประวัติเกี่ยวข้องกับจารีตหลักๆในไทยและฯลฯพืชที่มีความเป็นสิริมงคลที่นิยมปลูก
  • ใช้ประโยชน์ได้มากมาย เป็นต้นว่า ใช้เป็นยารักษาโรค ทั้งยังยังใช้ลำต้นเป็นเสาเรือนได้ ฯลฯ
  • มีสีเหลืองสวยงาม พุ่มงามเต็มต้น เทียบเป็นสัญลักษณ์ที่ศาสนาพุทธ
  • มีอายุยืนนาน แล้วก็ทนทาน
ลักษณะทั่วไป
           ฯลฯไม้ขนาดกึ่งกลาง สูงประมาณ 10-20 เมตร ออกดอกเป็นช่อสีเหลืองแพรวพราว แต่ละช่อยาวราว 20-40 เซนติเมตร โดยกลีบดอกจะเป็นสีเหลือง 5 กลีบ ส่งผลยาวราว 30-60 เซนติเมตร มีกลิ่นฉุน และมีเม็ดที่เป็นพิษ
การปลูกดอกราชพฤกษ์
           นิยมนำมาปลูกด้วยเมล็ด โดยจะมีการเจริญวัยช้าในช่วง 1-3 ปีแรก แต่ว่าต่อไปจะมีการเติบโตเร็วขึ้น และก็ออกดอกตอนอายุราวๆ 4-5 ปี
การดูแลและรักษา
           แสงสว่าง : อยากได้แสงอาทิตย์จัด หรือกลางแจ้ง รวมทั้งเติบโตได้ดีในที่โล่งเป็นพิเศษ
           น้ำ : ถูกใจน้ำน้อย ควรรดน้ำ 7-10 วันต่อครั้ง สามารถทนกับลักษณะอากาศร้อนก้าวหน้า
           ดิน : สามารถเจริญเติบโตก้าวหน้าในดินที่ร่วนซุย ดินร่วนผสมทราย หรือดินเหนียว
           ปุ๋ย : นิยมใส่ปุ๋ยหมัก หรือ ปุ๋ยหมัก ในอัตรา 2-3 กก.ต่อต้น และก็ควรให้ปุ๋ยปีละ 3-4 ครั้ง
การขยายพันธุ์
           แนวทางแพร่พันธุ์ต้นราชพฤกษ์ที่นิยม คือ การเพาะเม็ด โดยใช้เมล็ดสดๆมาขลิบด้วยกรรไกรตัดเล็บ แม้กระนั้นต้องเลือกขลิบรอบๆด้านป้าน เพราะด้านแหลมจะมีต้นอ่อนอยู่ แล้วต่อจากนั้นนำไปแช่น้ำสะอาดทิ้งไว้ข้ามวัน แล้วก็ค่อยเทน้ำออกให้เหลือปริมาณเพียงพอหล่อเลี้ยงเมล็ดได้ แล้วทิ้งเอาไว้อีกคืนก็จะพบรากแตกหน่อ รวมทั้งสามารถนำลงปลูกได้เลย
ความเชื่อถือเกี่ยวกับต้นราชพฤกษ์
           มั่นใจว่าฯลฯพืชที่มีความเป็นสิริมงคล ที่ควรปลูกไว้ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ รวมทั้งถ้าหากปลูกเอาไว้ในบ้านจะช่วยทำให้ทรงเกียรติตำแหน่ง เกียรติยศ และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางไสยเวท โดยใช้ใบทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ ด้วยเหตุว่าเป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลนาม http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรราชพฤษ์

4

ชื่อตระกูล : LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassia fistula L.
ชื่อสามัญ : Golden shower, Indian laburnum, Pudding-pine tree
ชื่อท้องถิ่นอื่น : ราชพฤกษ์ (ภาคเหนือ) ; ปูโย, เปอโซ, ปือยู, แมะหล่าหยู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ; คูณ (ภาคกลาง, ภาคเหนือ) ; ชัยพฤกษ์, ราชพฤกษ์ (ภาคกึ่งกลาง) ; กุเพยะ (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี)
ประเภทนี้ตำราเรียนหลังเล่มเสนอ ชื่อใหม่เป็นเพียงระดับชนิดย่อย คือ Cassia javanica L.subsp javanica K.& S.S .Larsen พืชประเภทนี้เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก ถึงกับขนาดกลาง สูงได้ถึง ๑๕ เมตร เมื่อลำต้นอย่างอ่อนอยู่มีน้ำแข็งที่เกิดขึ้นมาจากกิ่งแก่ที่หลุดร่วงไป แต่ว่าเมื่อต้นแก่ขึ้นจะหายไป ลำต้นไม่เป็นปุ่มปม ใบเป็นใบประกอบแบบขนเรียงสลับกัน มีใบย่อย ๕-๑๕ คู่ ก้านใบยาว ๑.๕-๔ ซม. แกนกลางใบยาว ๒๐-๓๐ ซม. ใบย่อยรูปไข่ปนรูปมูลหรือรูปขอบขนาน กว้าง ๑.๕-๓ ซม. ยาว ๒-๕ ซม. ปลายใบกลมหรือมน โคนใบกลม ใต้ใบมีขนละเอียดอยู่เอนราบกับผิวใบ ก้านใบย่อยสั้นมากมาย ดอกออกเป็นช่อตามกิ่ง ก้านช่อดอกใหญ่รวมทั้งแข็ง ไม่แตกกิ่ง ยาว ๕-๑๖ เซนติเมตร เมื่อเริ่มบานมีสีชมพูแล้ว เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม เมื่อใกล้โรยกลายเป็นสีออกขาว ดอกย่อยมีก้านเรียวยาว ๓-๕ ซม.[url=http://www.disthai.com/16488365/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C]ราชพฤกษ์[/url] มีกลีบเลี้ยงมี สีแดงเข้มถึงสีแดงอมน้ำตาล รูปไข่ ปลายแหลม ยาว ๗-๑๐ มม.กลีบดอกไม้รูปไข่กลับ กว้าง ๗-๘ มม. ยาว ๒๕-๓๕มิลลิเมตร โคนกลีบดอกเป็นก้านยาวราว ๓ มิลลิเมตร  เกสรเพศผู้มี ๑๐ อัน ปริมาณยาวแตกต่างกัน รังไข่เรียว ขนปกคลุมบางๆผลเป็นฝักรูปกระบอกขนาดวัดผ่าศูนย์กลางราม ๑-๑.๕ เซนติเมตร ยาว ๒๐-๖๐ เซนติเมตร ห้อยลงมาจากกิ่ง ฝักแก่สีดำ สะอาด ไม่มีขน ไม่แตก มีเมล็ดไม่น้อยเลยทีเดียว รวมทั้งรูปแบนเกือบกลม สีน้ำตาลวาว
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ต้น (T) สูงราว 5-15 เมตร เปลือกต้นเรียบ หมดจด สีเทาอ่อนหรือสีเทาอมน้ำตาล สีเทาอมขาว หรือสีนวล
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบเรียงสลับ ลักษณะใบย่อยรูปไข่ ปลายใบแหลม ขอบของใบเรียบ โคนใบมน แผ่นใบสีเขียว มีใบย่อยโดยประมาณ 4-12 คู่
ดอก มีดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะ เป็นช่อห้อยระย้าออกตามกิ่งหรือออกตามง่ามใบ ออกดอกแบบสมมาตรด้านข้าง มีกลีบดอก 5 กลีบ สีเหลืองสด โดยกลีบบนสุดจะเรียงอยู่รอบในสุด ดอกมีกลิ่นหอมสดชื่นอ่อนๆ
ผล เป็นฝักกลม ทรงกระบอกยาว ผิวเรียบ และก็มีเปลือกแข็ง ด้านในมีผนังแบนสีน้ำตาล กั้นเป็นห้องและก็มีเมล็ดห้องละ 1 เม็ด ผลอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือดำ
เมล็ด มีเนื้อหุ้มห่อนิ่มๆสีน้ำตาลไหม้ หรือสีดำ ลักษณะกลมมนและก็แบน มีรสหวาน
นิเวศวิทยา
ขึ้นตามป่าเบญจพรรณแล้งทั่วๆไป มีมากทางภาคเหนือ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับรวมทั้งปลูกข้างถนนเพื่อความสวย
การปลูกแล้วก็ขยายพันธุ์
ปลูกได้ไม่ยากและก็เติบโตได้ในดินแทบทุกชนิด แม้กระนั้นจะชอบดินร่วนซุยคละเคล้าทราย เพาะพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดรวมทั้งตอนกิ่ง

ผลดีทางยา
รสและก็สรรพคุณในหนังสือเรียนยา
ราก รสเมา เป็นยาบำรุง รักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจ โรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดี เป็นยาถ่ายอย่างแรง รักษาลักษณะของการมีไข้ ระบายพิษไข้ ถ่ายสิ่งสกปรกออกมาจากร่างกาย ฆ่าเชื้อโรคคุดทะราด แก้ขี้กลากโรคเกลื้อน แก้อาการเซื่องซึม หนักหัว
เปลือกราก รสฝาด ต้มดื่มแก้ไข้ไข้มาลาเรียรวมทั้งระบายพิษไข้ ใช้ร่วมกับเนื้อในฝักเป็นยาแก้ไข้ไข้มาลาเรียและเป็นยาระบาย
แก่น รสเมา ใช้เป็นยาขับพยาธิไส้เดือน รักษาอาการท้องเดิน และช่วยรีบคลอด
ราชพฤกษ์เปลือกต้น รสฝาดเมา ใช้เป็นยาช่วยรีบคลอด รักษาอาการท้องเดิน
กระพี้ รสเมา ใช้แก้รำมะนาด
ฝัก เนื้อในฝักรสหวานเหม็นเบื่อ ใช้รับประทานเป็นยาระบาย ช่วยทุเลาอาการแน่นหน้าอก ฟอกหรือจ่ายน้ำดี แก้ลมเข้าข้อและขัดข้อ
เปลือกฝัก รสฝาดเมา ทำให้แท้งลูก ขับรกที่ค้าง รวมทั้งทำให้คลื่นไส้
ใบแก่ รสเมา ใบสดหรือตากแห้ง ใช้เป็นยาถ่าย รักษาอัมพาต ฆ่าเชื้อโรคทั้งปวง ฆ่าพยาธิผิวหนัง รักษาอัมพาตของกล้ามบนใบหน้า พอกแก้ปวดข้อ หรือต้มน้ำกินแก้โรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับสมอง แก้เส้นเอ็นพิการ
ใบอ่อน รสเมา ตำพอกหรือคั้นเอาน้ำทารักษาโรคกลากโรคเกลื้อน แก้ไข้รูมาติก
ดอก รสเปรี้ยวขม ใช้รักษาโรคกระเพาะ เป็นยาถ่ายพยาธิ ต้มดื่มแก้ไข้ แก้แผลเรื้อรัง ช่วยหล่อลื่นในไส้ ระบายท้อง
เม็ด ช่วยกระตุ้นให้อาเจียน เป็นยาถ่าย
ราชพฤกษ์ วิธีแล้วก็ปริมาณที่ใช้
แก้อาการท้องผูก โดยเอาเนื้อในฝักแก่หนักประมาณ 5-10 กรัม ต้มกับน้ำ 500 ซีซี ใส่เกลือน้อย ดื่มก่อนนอนหรือเวลาเช้าก่อนรับประทานอาหาร เป็นยาระบายที่เหมาะสำหรับคนที่ท้องผูกเป็นประจำ และก็สตรีท้องก็ใช้ฝักคูณเป็นยาระบายได้
รักษาโรคกระเพาะ โดยใช้ฝักประมาณ 30 กรัม ผสมน้ำ 100 ซีซี ต้มให้เดือดแล้วก็เหลือน้ำ 50 ซีซี ดื่มให้หมดครั้งเดียว วันละ 3 ครั้ง http://www.disthai.com/

5

บุก สมุนไพรไทย เพื่อหลีกไกล เรื่องอ้วนๆ
บุก มาแล้ว ! บุกมาแล้ว !  รีบหนีเร็ว  เอ๊ะอย่างไรนี่ พวกเรากำลังดูหนังการรบอยู่เหรอ ไม่ครับผม บุกในที่นี้ไม่ได้ถึงศัตรูบุก แต่ว่าหมายถึงหัวบุก สมุนไพรไทยบ้านพวกเรา ต่างหาก และก็ที่ต้องหนี ไม่ใช่ผู้ใดกันแน่ที่ไหน แม้กระนั้นเป็นโรคฮอตได้รับความนิยมในตอนนี้อย่างโรคอ้วน โรคเบาหวาน ต่างหากที่จำต้องหนีไป
บุก ส่วนที่เห็นคือ หัวบุก ตอนแรกเรื่องของบุกในเมืองไทย มันก็มิได้แพร่หลายหรือเป็นยอดนิยมราวกับเดี๋ยวนี้เพราะเหตุว่าจริงๆตอนแรกมันก็เป็นพืชพื้นเมืองอยู่ดี  คนในท้องถิ่นก็นำบุกมาปรุงอาหาร เหมือนเผือก ราวกับมันทั่วไปพอเพียงเริ่มมีคนมาศึกษาค้นคว้า   คุณประโยชน์ต่างๆของมัน เลยเปลี่ยนเป็นพืชสมุนไพรไทยที่ได้รับความนิยม มีการแปรรูปเป็นต้นแบบต่างๆตั้งแต่สารสกัด บุกผง วุ้นบุก รวมทั้งอื่นๆอีกมาก วันนี้เองก็คงไม่ช้าเกินความจำเป็นที่จะนำทุกคนมารู้จัก พืชสมุนไพรไทย ที่เรียกว่าบุกกันแบบลึกซึ้งมารู้จะบุกกัน
ชื่อไทย   บุก
ชื่อสามัญ  Konjac ,  devil’s tongue  (ลิ้นปิศาจ  น่าสยองครับชื่อนี้ คาดว่ามาจากลักษณะของดอกบุก )   , shade palm, umbrella arum
ชื่อวิทยาศาสตร์      Amorphophallus rivieri Durieu cv. Konjac
ชื่อวงศ์    ARACEAE
ชื่อตามเขตแดน  :  บุกคุงคก (ชลบุรี) เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน) มันซูรัน (ภาคดลาง)  หัวบุก (จังหวัดปัตตานี) บุกคางคก  (ภาคกลาง, เหนือ) บุกหนาม บุกหลวง (แม่ฮ่องสอน)  กระบุก (อิสาน)
พวกเราพบบุกถึงที่กะไว้ไหน
บุกเป็นพืชป่าล้มลุกที่พบทั่วๆไปทุกภาคของประเทศ โดยขึ้นกับตาม ป่าเขา รวมทั้งบางครั้งบางคราวก็เจอตามพื้นที่ ปลูกข้าว ดังเช่นว่าที่จังหวัดปทุมธานี และนนทบุรี ฯลฯ บุกขึ้นได้ในภาวะดินทุกชนิด แต่ว่าจะเจริญเติบโตได้ดิบได้ดีให้หัวขนาด ใหญ่ได้ในดินซึ่งร่วนซุย น้ำไม่ขังและก็ดินที่มีฮิวมัส หรืออินทรียวัตถุสูง
รูปแบบของต้นบุก
รูปแบบของต้น บุก บอกให้เห็นส่วนประกอบเป็นใบบุก และหัวบุกลำต้นใต้ดิน  บุกมีลำต้นใต้ดินหรือที่เราเรียกแบบง่ายๆก็คือ หัวบุก  ชนิดเดียวกันกับเรียกหัวเผือก หัวมัน ขนาดอยู่ที่ราว 25 เซนติเมตร (บางพันธ์อาจเล็กมากยิ่งกว่านี้ )ทรงกลมแป้นลักษณะทรงเดียวกับลูกฟักทอง แต่ว่าบางสายพันธ์มีลักษณะพิเศษแตกต่างออกไป  ซึ่งส่วนนี้เอง เป็นใช้ที่สะสมอาหารของบุก
 ใบบุก  ลักษณะเสมือนใบมะละกอ มีสีเขียวเข้ม บางจำพวกมีก้านใย เป็นลวดลายบางจำพวกมีหนามอ่อนๆ หรือบางทีบุกบางชนิดก็มีใบมีจุดแบบไข่ปลาสีขาวด้านบน  จะเห็นว่าใบบุกมีใบลักษณะที่มากมายมาก  แม้กระนั้นที่เด่นๆสังเกตง่ายว่าเป็บุกเป็น จะมีก้านตรงจากกลางของหัว เมื่อโผล่จากดินแล้วแผ่กางออก 3 ทาง มีทรงแผ่กว้างแบบร่ม แม้กระนั้นบาง จำพวกจะแปลกตรงที่กลับขึ้นข้างบนเหมือนหงายร่ม ด้วยเหตุนั้นรูปแบบของใบบุก มีหลายแบบอย่างขึ้นกับชนิดของบุก
ดอกของบุกลักษณะดอกดอกเหมือนต้นหน้าโค แต่ละชนิดมีขนาด สี และก็รูป ทรงแตกต่างกัน บางประเภทมีดอกใหญ่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุกคางคก ดอกบุกมีกลิ่น เหม็นเหมือนเนื้อสัตว์เน่า บุกจำพวกอื่นๆมีดอกเล็กก้านดอกจะโผล่ขึ้นตรง จากกลางหัวบุก เหมือนกันกับก้านใบ บุกมักจะมีดอกในช่วงปลายหน้าแล้ง แม้กระนั้นบุกสามารถมีดอกได้ในช่วง เวลาต่างๆกัน ช่วงเวลาสำหรับในการแก่เต็มกำลัง ของดอกที่จะติดผลก็แตกต่างกัน
 ผลบุก (อย่างงกับหัวบุกนะ ) ภายหลังจากดอก ผสมพันธุ์ก็จะเกิดผล ผลอ่อนของบุก มีสีขาวอมเหลือง พอเพียงอายุ ได้ 1-2 เดือน จะส่งผลสีเขียวเข้ม มีจุดดำที่ปลายคล้ายผลกล้วย ผล ของบุกส่วนมากจะมีลักษณะคล้ายๆกัน แต่ว่าเมล็ดภายในไม่เหมือนกัน พบว่าส่วนมากมีเม็ดเป็นทรงอูมยาว  บุกบางประเภทก็มีเมล็ดในกลม   ผลแก่ของบุกจะมีสีแดงหรือแดงส้ม

บุกกับการนำมาเข้าครัว
เป็นพืชอาหารพื้นเมืองซึ่งชาวไทยนำเอาก้านใบมาแกงส้ม ลวกจิ้มน้ำพริก     ส่วนหัวบุกมีการนำไปดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขตามแต่ละภูมิภาค ได้แก่ทางภาคอีสาน มีการทำขนมที่เรียกว่าขนมบุก แกงบวชมันบุก แกงอีสาน (แกงลาว)   ภาคตะวันออกจะมีการฝาน หัวบุกเป็นแผ่น บางบาง แล้วเอามานึ่งรับประทานอาหาร ทางภาคเหนือโดยเฉพาะคนภูเขา มักนำมา ปิ้งกิน ภาคกลางมักนำหัวบุกที่ฝานเป็นชิ้นบางๆมาแช่น้ำปูน แช่น้ำก่อนล้างหลายๆครั้งและหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปทำเป็นขนมหวาน
*บุกมีหลายประเภทหลายชนิด บางทีอาจขมแล้วก็เป็นพิษ ทุกชนิดมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ทั้งที่ก้านใบและก็หัว ซึ่งอาจส่งผลให้คัน ก่อนนำมาทำกับข้าวจำต้องต้มเสียก่อน ไม่งั้นกินเข้าไปทำให้คันปากแล้วก็ลิ้นพอง
ของกินที่ดัดแปลงมาจากบุก
ปัจจุบันนี้มีการนำบุกมาแปรรูป ทั้งในรูปแบบของเส้นบุก ซึ่งเป็นสินค้าแปรรูปจากท่อนหัวบุก มีแบบเส้นใส สามารถนำมาปรุงเป็นของกินจานอร่อยได้ ผมว่าคนใดเคยไปกินเนื้อย่างอาจเคยพบบ้าง นอกจากเส้นบุกแล้วมีการเอามาผสมเครื่องดื่มต่างๆเอาแบบได้รับความนิยมๆอดีตสมัย คือ เจเล่ ผสมผงบุก ถ้าเกิดจำไม่ผิดอันนี้เขามาทำเป็นรายแรก (เจ้าของบริษัทผ่านมาอ่านขอค่าใช้จ่ายสำหรับโฆษณาด้วยนะครับ)
คุณประโยชน์ของบุก
จากการศึกษาเล่าเรียนพบว่า  แป้งบุกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พวกกลูโคแมนแนน (glucomannan) เป็นสารโมเลกุลใหญ่ (polysaccharides)ที่มีน้ำตาล 2 ชนิดหมายถึงดี-เดกซ์โทรส (D-glucose) และ (D-mannose) เป็นสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในรูปของใยอาหาร (dietary fiber)  ซึ่งดูดน้ำได้มาก แต่ว่าร่างกายย่อยสลายได้ยาก ดูดซับได้ช้า ก็เลยให้พลังงานและสารอาหารน้อย เหลือกากมาก ทำให้ระบบขับถ่ายปฏิบัติงานดี ผู้ที่อยากได้ลดน้ำหนักนิยมกินอาหารจากแป้งบุก ตัวอย่างเช่น วุ้นเส้นบุก เส้นหมี่แป้งหัวบุก เพราะเหตุว่ารับประทานอิ่มได้ ระบายท้อง แต่ว่าไม่ทำให้อ้วน
นอกจากนั้นเองเจ้า สารกลูวัวแมนแนนนี้ สามารถลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ ก็เพราะความรั้ง ซึ่งยั้งการดูดซึมของกลูวัวลสจากทางเดินอาหาร ยิ่งเหนียวหนืดมาก็ยิ่งมีผลลดการดูดซึมกลูโคลส โดยเหตุนี้ กลูโคแมนแนนช่วยลดน้ำตาลได้ดิบได้ดีมากมาย เดี๋ยวนี้ก็เลยใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นของกินสำหรับคนป่วยเป็นโรคเบาหวาน และก็สำหรับผู้ป่วยเป็นโรคมีไขมันในเลือดสูง
นี่แหละขอรับคือประโยชน์จากบุก ลองหามาทานกันครับผม มีคุณประโยชน์ขนาดนี้ ปัจจุบันนี้ไม่หายากแล้วเดินไปห้าง ก็ได้บุกเส้นแล้ว แนะนำมามายำแบบยำวุ้นเส้นครับผม รับรองอร่อยแท้ๆ http://www.disthai.com/

หน้า: [1]