รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - k7y656525252

หน้า: [1] 2
1

เพชรสังฆาต
ชื่อสมุนไพร  เพชรสังฆาต
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น สันชะควด (ภาคกลาง) , สันชะคาด , ขันข้อ (ราชบุรี) , สามร้อยต่อ (ประจวบคีรีขันธ์)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Cissus quadrangularis Linn.
วงศ์  Vitaceae
ถิ่นกำเนิด
เพชรสังฆาตเป็นพืชเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย รวมทั้งแอฟริการวมทั้งมีการแพร่ไปจำพวกไปตามประเทศเขตร้อนของทวีปดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว โดยพบบ่อยตามบริเวณป่าหรือที่เปียกชื้นที่หรูหราความสูงไม่เกิน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล ส่วนในประเทศไทยมักพบตั้งแต่ภาคเหนือตอนล่างลงไป และก็มักจะออกดอกและก็ติดผลในตอนเดือน เดือนมิถุนายน-เดือนสิงหาคม
ลักษณะทั่วไป
เพชรสังฆาตจัดเป็น ไม้เถาเลื้อย โดยมีเปลือกเถาเรียบ เถาอ่อนรูปสี่เหลี่ยมเป็นครีบ เป็นข้อๆต่อกันเห็นข้อข้อชัดเจน ลักษณะเป็นบ้องๆตรงข้อเล็กรัดตัวลงแต่ละข้อยาวประมาณ 6-10 ซม. บางข้ออาจมีรากออกมาด้วย มีมือเกาะออกตรงข้อต่อตรงข้ามกับใบ ตามข้อมียางขาว ใบลำพัง เรียงสลับ ออกตามข้อต้น ข้อละ 1 ใบ กว้าง 3-8 ซม. ยาว 4-10 ซม. ใบเป็นรูปสามเหลี่ยมหรือรูปไข่ กลมครึ้ม เล็ก ผิวเรียบ ปลายใบมน โคนใบเว้า ข้างหลังใบรวมทั้งท้องใบเรียบเป็นมัน ขอบของใบหยักมนห่างๆหรือหยักเว้า 3-5 หยัก เนื้อใบนิ่ม ก้านใบยาว 2-3 ซม. ดอกออกเป็นช่อ ออกตามข้อต้นตรงกันข้ามกับใบ ดอกกลมเล็กสีแดงเขียวเป็นช่อขนาดเล็ก ยาวประมาณ 2-4 ซม.ดอกย่อยสีเขียวอ่อน มีขนาด 2.5 มิลลิเมตร กลีบดอกไม้มี 4 กลีบโคนกลีบภายนอกมีสีแดง ส่วนกลีบข้างในสีเขียวอ่อน เมื่อบานเต็มกำลังดอกจะงองุ้มไปทางด้านล่าง เกสรตัวผู้มี 4 อันวางตรงกับกลีบดอกไม้ ผลสดทรงกลม ผิวเรียบวาว ฉ่ำน้ำ ผลกลมขนาด 4-7 มิลลิเมตร ผลอ่อนสีเขียว พอเพียงสุกเป็นสีแดงหรือดำ เมล็ดกลมสีน้ำตาลมี 1 เม็ด
การขยายพันธุ์
เพชรสังฆาตนิยมใช้กรรมวิธีการปักชำโดยมีวิธีการเป็น เลือกเถาที่มีลักษณะเหมาะสม คือ จะต้องเป็นเถาที่มีลักษณะครึ่งแก่ครึ่งหนึ่งอ่อน นำมาตัดเป็นท่อนให้แต่ละท่อนมีข่อติดอยู่ปริมาณ2 ข้อแล้ว กระทำการปักชำท่อนพันธุ์โดยใช้ข้อทางด้านโคนของเถาฝังลงดินแล้วกลบให้แน่น รดน้ำให้เปียก รวมทั้งควรจะจัดวางถุงต้นกล้าที่ปักชำไว้ในที่ร่ม ในส่วนของข้อที่เหลืออยู่ข้างบนจะเป็นบริเวณที่แตกใบใหม่เพื่อเจริญเป็นเถาต่อไป
องค์ประกอบทางเคมี
เถาของเพชรสังฆาตมีส่วนประกอบทางเคมี อย่างเช่น natural plant steroids (ketosterones): onocer-7-ene-3 alpha, 21 beta-diol, delta-amyrin, delta-amyrone รวมทั้ง 3,3',4,4'- tetrahydroxybiphenyl สารกลุ่ม stilbene: quadrangularins A, B, C, resveratrol, piceatannol, pallidol , parthenocissine A.สารในกรุ๊ป flavonoids อย่างเช่น diosmin, hisdromin, hesperidin. รวมไปถึง ascorbic acid (vitamin C), lupeol, carotene แล้วก็ calcium oxalate.
ผลดี/สรรพคุณ
ตามตำรายาไทย กล่าวว่า เถา รสร้อนขมคัน เป็นยาแก้ริดสีดวงทวารหนัก แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้ประจำเดือนแตกต่างจากปกติ แก้กระดูกแตกหักซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ริดสีดวงทวารทั้งยังชนิดกลีบมะไฟและก็เดือยไก่
• ราก รักษาอาการกระดูกแตกหัก
• ต้น แก้หูน้ำหนวก แก้เลือดกำเดา แก้รอบเดือนไม่ปกติ ช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย
• ใบ รักษากระดูกแตกหัก รักษาโรคไส้ (อาการของกินไม่ย่อย) ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย แก้ริดสีดวงทวารหนัก
นอกเหนือจากนั้นในงานศึกษาวิจัยด้านการแพทย์แผนปัจจุบันยังกำหนดไว้ว่าเพชรสังฆาต มีประสิทธิภาพที่ดีสำหรับการรักษาริดสีดวงทวารหนักโดยยิ่งไปกว่านั้นการลดอาการคัน ปวดการเกิดเลือดออก และกลายเป็นซ้ำ
ทั้งยังในตอนนี้ได้มีงานค้นคว้าพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งรับรองสรรพคุณรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดี และยังอุดมไปด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีส่วนประกอบของแคลเซียมสูงมาก แล้วก็สารอทุ่งนาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic Steroids) ที่มีฤทธิ์เร่งปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการสร้างเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งปฏิบัติภารกิจสร้างกระดูกและก็ยังช่วยให้มีการสร้างสารมิววัวโพลีแซกคาไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในขั้นตอนการสมานกระดูก ยิ่งกว่านั้นสารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีน ที่มาจับกุมกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตจนกระทั่งกลายเป็นกระดูกแข็งที่สามารถรับน้ำหนักรวมทั้งมีความยืดหยุ่นในตนเองอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านี้เพชรสังฆาตยังสามารถใช้ปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับ เพราะเพชรสังฆาตเป็นไม้เถาเลื้อยมีลักษณะรูปทรงเป็นสีเหลี่ยมแปลกตา มีดอกแล้วก็ผลเป็นช่อสีแดงสวย สามารถนำไปปลูกเอาไว้สำหรับเพื่อการประดับรอบๆรั้วบ้าน ซุ้มไม้หรือรอบๆโคนต้นไม้ใหญ่เพื่อให้เถารุ่งโรจน์เลื้อยพันขึ้น
ต้นแบบ/ขนาดวิธีการใช้
ในอดีตการใช้เพชรสังฆาตรักษา ริดสีดวงทวารหนักจะทำ โดยนำ เถาสดใส่กล้วยหรือ มะขามแล้วกลืน (เนื่องมาจากเพชรสังฆาตมีแคลเซียม ออกซาเลต (calcium oxalate) การกลืนเถาสดบางทีอาจ มีการระคายเคืองทางเดินอาหารได้) ถัดมาได้มี การนำ เพชรสังฆาตมาผลิตให้อยู่ในแบบอย่างแคปซูลเพื่อให้ไม่ยุ่งยากต่อการบริหารยา
โดยในรูปยาผงใส่แคปซูล 250 มก. ให้รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง ก่อนที่จะกินอาหารและก็ก่อนนอน ตรงเวลา 5-7 วัน
หนังสือเรียนยาพื้นบ้านจังหวัดโคราช ใช้ ต้น แก้ริดสีดวงทวารโดยหั่นเป็นแว่น ตำผสมเกลือนำไปตาก ปั้นเป็นลูกร้อยกรอง กินทีละ 1 เม็ด 3 เวลา หรือใช้เถาสดคั้นเอาน้ำ แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้ระดูไม่ปกติ แก้กระดูกแตกหักซ้นขับลมในลำไส้
ตำรับยาสมุนไพรพื้นเมืองล้านนา ใช้น้ำจากต้น หยอดหู แก้น้ำหนวกไหล หยอดจมูกแก้เลือดเสียในสตรีใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกรอบๆกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบ น้ำคั้นจากเถาใช้ดื่มแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้เลือดประจำเดือนสตรีไม่ปกติ รักษาริดสีดวงทวารที่เริ่มเป็นระยะแรก
ส่วนอินเดีย ใช้ ลำต้น เป็นยาพอกเมื่อกระดูกหัก น้ำคั้นจากต้นรับประทานแก้โรคลักปิดลักเปิด แก้อาการไม่ดีเหมือนปกติของประจำเดือน
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ผลต่อแรงตึงตัวของหลอดโลหิตดำ สารสกัดเพชรสังฆาตมีฤทธิ์กระตุ้นหลอดโลหิตดำ ให้มีความตึงตัวมากขึ้น คล้ายกับส่วนประกอบของไบโอฟลาโวนอยด์ 2 ประเภท ได้แก่ ไดออสมิน 90%แล้วก็ฮิสเพอริดิน 10% ที่เจอในตำรับยาแผนปัจจุบัน สำหรับใช้รักษาริดสีดวงทวาร
ฤทธิ์ต้านการอักเสบกะทันหัน สารสกัดเมทานอลยั้งการบวมของใบหู และก็การบวมของอุ้งเท้าของหนูขาว ที่ถูกกระตุ้นด้วยสารเคมี
สารสกัดเฮกเซนที่ความเข้มข้นร้อยละ 1 แล้วก็สารสกัดเอทานอลที่ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 5 ลดอาการบวมของใบหูหนูที่รั้งนำด้วยสารเคมี พอดีเวลา 30 นาที ตรวจพบองค์ประกอบทางเคมีของสาร lupeol ในสารสกัดเฮกเซน
ฤทธิ์แก้ปวด สารสกัดเมทานอลลดปริมาณครั้งที่หนูถีบจักรยืดบิดตัวจากลักษณะของการเจ็บเจ็บท้องเพราะเหตุว่าได้รับกรดอะซีติเตียนกที่ฉีดเข้าทางท้อง และลดระยะเวลาของการเลียเท้าหลังทั้งยัง 2ระยะ สำหรับในการทดลองด้วยการฉีดฟอร์มาลิน แสดว่าออกฤทธิ์แก้ปวดผ่านทั้งยังระบบประสาทศูนย์กลาง และก็ส่วนปลาย
ฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร สารสกัดเอทานอล สามารถลดการเกิดแผลในกระเพาะหนูขาวที่ถูกรั้งนำให้เป็นแผลด้วยแอสไพริน เมื่อให้สารสกัดขนาด 250, 500 แล้วก็ 750 มก./กก. ให้หนูกินนาน 7 วัน ลดการเกิดแผลได้ 40, 71.2 และ 72.6% ตามลำดับ เปรียบเทียบกับranitidine ขนาด 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ลดการเกิดแผล 71.9% เพราะฉะนั้นสารสกัดขนาด 500 มก./กิโลกรัม เป็นขนาดที่เหมาะสมที่สุด เนื่องมาจากออกฤทธิ์ใกล้เคียงกับ Ranitidine และก็ให้ผลไม่ได้ต่างอะไรกับขนาด 750 มก./กก.จะลดการทำลายเนื้อเยื่อในกระเพาะ และก็รายงานการวิจัยอีกฉบับหนึ่งระบุว่า การเรียนรู้ประสิทธิผลรวมทั้งผลกระทบของการใช้สมุนไพรเพชรสังฆาตในคนไข้โรคริดสีดวงทวารระยะกะทันหัน จำนวน 570 คน โดยแบ่งเป็น 3 กรุ๊ป คือ กรุ๊ปที่ได้รับยาที่มีส่วนผสมของฟลาวานอยด์ (Daflon 500 มก./เม็ด) กรุ๊ปที่ได้รับสมุนไพรเพชรสังฆาต (500 มิลลิกรัม/เม็ด) และก็กรุ๊ปที่ได้รับยาหลอก ในตอน 4 วันแรก ให้รับประทานทีละ 3 เม็ด รุ่งเช้าแล้วก็เย็นหลังรับประทานอาหาร และก็ตอน 3 วันหน้า ได้รับครั้งละ 2 เม็ด เช้าตรู่แล้วก็เย็น หลังอาหาร ผู้ป่วยจะได้รับการวัดอาการต่างๆคือ เลือดไหลทางทวารหนัก มูก อาการคัน รอยแดงหรืออักเสบรอบทวารหนัก รวมทั้งการสัมภาษณ์เพื่อสอบถามอาการ รวมถึงมีการตรวจเลือดแล้วก็ติดตามผลกระทบของการได้รับยาหรือสมุนไพรควบคู่ไปพร้อมด้วย
ผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยในทุกกลุ่มส่วนมากอาการเลือดไหลฉับพลันจะหยุดในวันที่ 2 ของการให้ยา และมีลักษณะอาการดียิ่งขึ้นข้างหลังการให้ยาครบ 7 วัน ประสิทธิผลของการดูแลรักษาในผู้ป่วยทุกกลุ่มไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และไม่มีผลใกล้กันเกิดขึ้น สรุปได้ว่าเพชรสังฆาตได้ผลในการรักษาริดสีดวงทวารในระยะเฉียบพลันไม่ได้แตกต่างจากยาที่มีส่วนผสมของฟลาวานอยด์แล้วก็ยาหลอก มีความหมายว่าเพชรสังฆาตไม่มีผลช่วยสำหรับในการรักษาริดสีดวงทวารในระยะกะทันหัน
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
ความเป็นพิษกะทันหัน เมื่อทดสอบความเป็นพิษโดยให้หนูขาวรับประทาน ขนาด 0.5 – 5.0 ก./กก
ไม่เจอพิษอะไรก็แล้วแต่
ความเป็นพิษกึ่งเรื้อรัง (3 เดือน) ในหนูขาวชนิดวิสตาร์ 5 กลุ่มๆละ 12 ตัว/เพศ กลุ่มควบคุมได้รับน้ำทางปาก 10 มิลลิลิตร/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน ในตอนที่หนูอีก 4 กรุ๊ปได้รับผงยาเพชรสังฆาตแห้งทางปากในขนาด 0.03,0.3 รวมทั้ง 3.0 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กก/วัน หรือเทียบเท่า 1,10 และ 100 เท่าของขนาดที่ใช้ในคน/วัน ตามลำดับ โดยกลุ่มสุดท้ายเป็นกรุ๊ปสังเกตอาการข้างหลังการหยุดยา ผลวิจัยพบว่าการเติบโตของกลุ่มสุดท้ายเป็นกรุ๊ปดูอาการหลังการหยุดยา ผลการศึกษาวิจัยพบว่าการเจริญเติบโตของกลุ่มได้รับผงยาและกลุ่มควบคุมไม่มีความต่างกัน ไม่นำมาซึ่งความเคลื่อนไหวของค่าทางเลือดวิทยาแล้วก็ค่าทางซีรั่มชีวเคมี หรือจุลพยาธิสภาพของอวัยวะภายในที่มีความข้องเกี่ยวกับขนาดของผงยา และไม่พบความแปลกอะไรก็แล้วแต่ซึ่งสามารถสรุปได้ว่าเนื่องจากความเป็นพิษของผงยาเพชรสังฆาต
ข้อเสนอ/ข้อควรตรึกตรอง

การรับประทานเพชรสังฆาตสด อาจก่อให้เกิดอาการระคายคอ ระคายเยื้อบุในปากเนื่องด้วยเถาสดมีผลึกแคลเซียมออกซาแลตอยู่มากมาย
2. ห้ามกินติดต่อกันนานเกิน 2 อาทิตย์ด้วยเหตุว่าอาจส่งผลให้เกิดนิ่วในทางเดินเยี่ยว ผู้ป่วยโรคไตห้ามรับประทาน
3. การใช้สมุนไพรเพชรสังฆาตควรจะปรึกษาแพทย์หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญสำหรับเพื่อการใช้เสมอ ด้วยเหตุว่าอาจจะส่งผลให้เป็นผลใกล้กันที่ไม่ประสงค์ได้ ดังเช่น ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะน้อย แน่นท้อง ฯลฯ
เอกสารอ้างอิง

  • นพมาศ สุนทรเจริญนนท์.เพชรสังฆาต.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • วีรพล ภิมาลย์และคณะ.การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมานประสิทธิภาพในการรักษาริดสีดวงทวารหนักของเพชรสังฆาต.วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน.ปีที่10.ฉบับที่3.กันยายน-ธันวาคม.2557.หน้า403-418https://www.disthai.com
  • Panthong A, Supraditaporn W, Kanjanapothi D, Taesotikul T, Reutrakul V. Analgesic, anti-inflammatory and venotonic effects of Cissus quadrangularis Linn. J Ethnopharmacology 2007; 110 : 264–70.
  • เพชรสังฆาต.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีPanpimanmas S, Sithipongsri S, Sukdanon C, Manmee C. Experimental Comparative Study of the Efficacy and Side Effects of Cissus quadrangularis L. (Vitaceae) to Daflon (Servier) and Placebo in the Treatment of Acute Hemorrhoids. J Med Assoc Thai 2010; 93 (12): 1360-7.
  • ผลของการใช้เพชรสังฆาตในการรักษาโรคริดสีดวงทวารที่มีอาการเฉียบพลัน.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • เพชรสังฆาต.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.J Med Assoc Thai 2010;93(12):1360-7




2


โด่ไม่รู้ล้ม
ชื่อสมุนไพร  โด่ไม่รู้ล้ม
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น หญ้าไก่นกคุ้ม , หญ้าสามสิบสองหาบ , หญ้าไฟนกคุ้ม , หนาดผา (ภาคเหนือ) , ขี้ไฟนกคุ่ม (เลย) , หญ้าปราบ (ภาคใต้) , หนาดมีแคลน (สุราษฎร์ธานี) , เคยโป๊ , ตะชีโกวะ (กะเหรี่ยง) , ก้อมทะ (ลั๊วะ) , จ่อเก๋ (ม้ง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Elephantopus scaber Linn.
ชื่อสามัญ   Prickly-Leaved Elephant’s Foot
วงศ์    ASTERACEAE

ถิ่นกำเนิด
[url=https://www.disthai.com/17028781/%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A1]โด่ไม่รู้ล้ม[/url] เป็นพืชที่ถูกเรียกชื่อตามรูปแบบของลำต้นที่เมื่อถูกเหยียบย่ำหรือถูกทับก็จะแบนราบลงไปกับพื้นดิน แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปเพียงแต่ชั่วขณะหนึ่ง ลำต้นก็จะกลับมาตั้งโด่เหมือนเดิมก็เลยเป็นต้นเหตุของชื่อ โด่ไม่รู้ล้ม ซึ่งพืชนี้ข้อมูลถิ่นกำเนิดที่จริงจริงยังไม่แน่ชัดแต่ว่าจัดเป็นพืชในเขตร้อนที่เจอได้ในประเทศเขตร้อนทั่วทั้งโลก รวมทั้งเมืองไทยด้วย ซึ่งในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ และก็พบได้บ่อยตามป่าดิบ ป่าสนเขา ป่าเต็งรัง รวมทั้งป่าโปร่งที่มีภาวะของดินเป็นดินร่วนคละเคล้าทราย
ลักษณะทั่วไป โด่ไม่รู้ล้ม จัดเป็นไม้ล้มลุก ลำต้นสั้น กลม ชี้ตรง สูง 10-30 ซม. ตามผิวลำต้น มีขนสีขาวตรงละเอียดห่าง สาก ใบเป็นใบโดดเดี่ยวอยู่บริเวณเหนือเหง้าติดกันเป็นวงกลม เรียงสลับชิดกันอยู่เป็นกระจุก คล้ายกุหลาบซ้อนที่โคนต้น รูปแบบของใบเป็นรูปหอกหัวกลับ แผ่นใบกว้างโดยประมาณ 3-5 ซม.รวมทั้งยาวประมาณ 8-20 ซม. ขอบของใบหยักหรือเป็นจะคล้ายฟันเลื่อยห่างๆมีเส้นกิ้งก้านของใบประมาณ 12-15 คู่ ส่วนของใบที่ค่อนไปทางปลายจะผายกว้าง แล้วสอบเป็นแหลมทู่ๆส่วนโคนใบจะสอบแคบจนกระทั่งก้านใบ มีเนื้อใบครึ้มสาก ผิวใบจะมีขนสากเล็กๆขนตรงห่างมีสีขาว และก็มีขนต่อมห่างอยู่ทั้งสองด้าน โดยท้องใบจะมีขนมากกว่าข้างหลังใบ แผ่นใบมักแผ่ราบไปกับพื้นดิน ก้านใบยาวราวๆ 0.5-2 ซม. หรือไม่มีก้านใบ ดอกช่อแทงออกมาจากกึ่งกลางต้น ช่อดอกรูปขอบขนาน มี 4 ดอกย่อย ยาว 8-10 มม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3 มม. ดอกย่อยขนาดเล็กดอกรูปหลอดสีม่วง หลอดกลีบยาว 3-3.5 มิลลิเมตร เกลี้ยง ปลายกลีบยาว 1.5-2 มิลลิเมตร ไม่มีขน เกสรเพศผู้สีเหลือง มีอับเรณูยาว 2.2-2.3 มม. ปลายแหลม ฐานเป็นติ่งแหลม ก้านชูอับเรณูยาว 1.5-1.7 มม. เกสรเพศเมียมีก้านเกสรยาว 7-8 มิลลิเมตร ยอดเกสรยาว 0.5-0.6 มิลลิเมตร มีขนที่ปลายยอดและก็จบที่รอยแยก แต่ละช่อย่อยมาอยู่รวมกันเป็นช่อกลุ่มกลมที่ปลายก้านดอก บริเวณโคนกลุ่มดอกมีใบประดับแข็งรูปสามเหลี่ยม แนบอยู่ 3 ใบ ยาว 1-2 เซนติเมตร กว้าง 0.5-1.5 ซม. ขอบของใบเรียบปลายเรียวแหลม ที่ผิวใบทั้งคู่ด้านมีขนตรงสีขาว ออกที่ปลายยอดแบบช่อแยกแขนง ก้านช่อดอกมีความยาวได้ถึง 8 ซม.และก็มีขนสาดๆอยู่ทั่วไป ส่วนฐานรองดอกจะแบนรวมทั้งหมดจด มีเส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 0.5-0.7 มม. วงใบประดับประดาเป็นรูปขอบขนาน มี 2 ชั้น สูงราว 7-10 มม. มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-3 มม. ใบตกแต่งเหมือนรูปหอก ผิวด้านนอกมีขนตรง ส่วนขอบใบมีขนชุดครุย ชั้นนอกเป็นรูปใบหอกยาวราว 4-6 มม.และกว้างประมาณ 0.5-1.5 มิลลิเมตร ปลายแหลม ส่วนชั้นที่ 2 เป็นรูปขอบขนานกว้างประมาณ 1-2 มม.รวมทั้งยาวประมาณ 8-10 มม. ปลายแหลม สีขาว เป็นเส้นตรงแข็ง มี 5 เส้น เรียง 1 ชั้น ยาวราวๆ 5-6 มิลลิเมตรส่วนผลได้ผลสำเร็จแห้งและไม่แตก ลักษณะของผลเล็กรวมทั้งเรียว เป็นรูปกรวยแคบ ผิวด้านนอกผลมีขนหนาแน่น ยาวราว 2.5-3 มิลลิเมตรและก็กว้างโดยประมาณ 0.4-0.5 มม. ผลไม่มีสัน
การขยายพันธุ์ โด่ไม่รู้ล้มเป็นไม้ล้มลุกที่ทนแล้งได้ดี สามารถแพร่พันธุ์ได้หลายวิธี ตัวอย่างเช่น การเพาะเมล็ดหรือการแยกต้นแยกหัว ที่สามารถปลูกภายในแปลงหรือปลูกใส่กระถางได้โดยการปลูกโด่ไม่รู้ล้มนั้นก็เช่นเดียวกับการปลูกพืชปกติ คือ จัดเตรียมหลุมรวมทั้งรองตูดหลุมใส่ต้นจำพวกลงไปกลบดินแล้วรดน้ำพอเปียกแต่สภาพดินที่ปลูกควรจะเป็นดินร่วมปนทราย และควรปลูกกลางแจ้ง เนื่องจากว่าโด่ไม่รู|ไม่รู้เรื่อง|ไม่เคยรู้|ไม่เคยทราบ|ไม่ทราบ|ไม่รู้จัก}ล้มเป็นพืชที่ชอบแดดและก็ทนแล้งเจริญ
ส่วนประกอบทางเคมี
ในส่วนต่างๆของโด่ไม่รู้ล้มเจอสารกลุ่ม elephantopins รวมทั้ง deoxyelephanpin Crepiside E, cynaropicrin deacyl; cyanaropicrin-3-β-D-glucopyranoside deacyl; dotriacontan-1-ol; elephantopin, 11-13-dihydro-deoxy; elephantopin, 11-13-dihydro; elephantopin deoxy; elephantopin, iso-deoxy; friedelanol, epi; friedelinol, epi; lupeol; stigmasterol; stigmasterol 3-O- β-D-glucoside; triacontan-1-ol; zaluzanin C, gluco; scabertopin


ประโยชน์/สรรพคุณ

หนังสือเรียนยาไทย ทั้งต้น มีรสกร่อยขมให้เป็นยาขับฉี่ แก้ไข้ แก้ไข้จับสั่น ขับน้ำเหลืองเสีย แก้บิด แก้ท้องร่วง แก้ไอ แก้วัณโรค บำรุงหัวใจ ขับเหงื่อ ขับเมนส์ขับพยาธิตัวกลม แก้ฉี่ทุพพลภาพ บำรุงความกำหนัด แก้กษัยขับไส้เดือน แก้กามโรค แก้บวมน้ำ แก้นิ่ว แก้ไข้หวัด แก้เจ็บคอ แก้ตาแดง แก้โรคดีซ่าน แก้เลือดกำเดาออกง่าย แก้ฝี แก้แผลมีหนอง แก้แผลงู แก้แมลงเป็นพิษกัดต่อย แก้อักเสบ แก้แผลในกระเพาะอาหาร แก้แผลยุ่ยในปาก แก้เหน็บชา ราก รสกร่อยขม ขับฉี่ แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้หวัด แก้ไอเรื้อรังแก้ท้องร่วง แก้บิด ขับพยาธิ ขับระดู บีบมดลูก ต้มเอาน้ำอมแก้ปวดฟัน แก้ฝี แผลมีหนอง บวมอักเสบทั้งหลาย เป็นยาคุมสำหรับหญิงที่คลอดบุตรใหม่ เป็นยาบำรุง เป็นยาขับไส้เดือน รักษาโรคชาย ต้มดื่มแก้อาเจียน ใบ รสกร่อยฝาด รักษารอยแผล แก้โรคผิวหนัง แก้ไข้ ขับฉี่ แก้เมื่อยล้า รักษากามโรค รักษาโรคชาย เป็นยาคุมกำเนิดสำหรับหญิงที่คลอดบุตรใหม่ เป็นยาบำรุง เป็นยาขับไส้เดือน แก้ไอ นำไปสู่ความกำหนัด รากแล้วก็ใบ รสกร่อยฝาดขับปัสสาวะ แก้ท้องเสีย แก้โรคแผลในกระเพาะอาหารแก้บิด แก้กามโรคในสตรี ไม่กำหนดส่วนที่ใช้ ชูกำลัง ชูกำลัง ตัดกษัย บำรุงกษัยไม่ให้เกิด แก้ปัสสาวะทุพพลภาพ บำรุงความกำหนัด ขับฉี่ แก้ไข้จับสั่น แก้ไอ แก้ไข้ ขับพยาธิไส้เดือน แก้กามโรค แก้โรคหลอดลมอักเสบ แก้ปวดบวม แก้ตับอักเสบ แก้บิด รักษาตัวบวม รักษาไตอักเสบ
ตำรายาประจำถิ่น ใช้ รากต้มน้ำกิน แก้ไอ ชูกำลัง บำรุงความสามารถทางเพศ ร้อนใน หิวน้ำ แก้ไข้ ราก ต้มน้ำกินหรือดองเหล้าดื่ม กับยากำลังเสือโคร่ง ม้ากระทืบโรงบำรุงร่างกายแก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ราก ลำต้น ใบ แล้วก็ผล ต้มน้ำกิน แก้โรคกระเพาะของกิน แก้ไอ
 
หนังสือเรียนแพทย์แผนจีน
 
โด่ไม่รู้ล้มกล่าวไว้ว่า ” อีกทั้งต้น มีรสขมเผ็ด ฤทธิ์เย็น เข้าเส้นลมปราณ ปอด ตับและก็ม้าม คุณประโยชน์ แก้เจ็บคอ รักษาต่อมทอนซิลอักเสบ แก้บวมน้ำภายในร่างกาย โรคกำเดาห้ามเลือด นิ่วในทางเดินฉี่ ขับเยี่ยว ฝีด้านในและก็ข้างนอก ใช้ภายนอกแก้โรคผิวหนัง แก้พิษงู แมลงสัตว์กัดต่อย
ส่วนในทางหมอแผนปัจจุบัน ระบุว่า โด่ไม่รู้ล้มอาจช่วยเรื่องบำรุงร่างกาย แก้อาการหมดแรง ช่วยทำให้มีกำลัง รวมทั้งมีฤทธิ์สำหรับในการช่วยถอนพิษไข้แก้อาการตัวร้อน แก้ไอ แก้อ้วก แก้ท้องร่วง โดยแนวทางรับประทานที่ดีเยี่ยมที่สุดคือการนำมาต้นน้ำดื่ม แล้วก็ยังสามารถช่วยลดการเสี่ยงสำหรับเพื่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ โดยมีรายงานศึกษาว่าที่เอทานอลที่สกัดได้จากโด่ไม่รู้ล้มมีค่าความเข้มข้นซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงสำหรับในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก นอกเหนือจากนี้ด้านการแพทย์ยังนำโด่ไม่รู้ล้มไปสกัดเพื่อรักษาอาการอักเสบจากการต่อว่าดเชื่อชนิดต่างๆอาทิเช่นไส้อักเสบ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ รวมทั้งยับยั้งเชื้อโรคแล้วก็เชื้อแบคทีเรีย ช่วยรักษาอาการที่เกี่ยวกับระบบฉี่ดังเช่นว่าช่วยในการขับปัสสาวะ แก้อาการขัดเบาซึ่งเป็นอาการเริ่มของทางเท้าเยี่ยวอักเสบ ช่วยลดการเกิดนิ่ว และก็ยังมีฤทธิ์ช่วยบำรุงรักษากำหนัดเพิ่มอารมณ์ทางเพศทั้งยังในสตรีรวมทั้งผู้ชาย ช่วยฟื้นฟูและบำรุงสมรรถภาพ ช่วยลดภาวะของลับแข็งช้า อ่อนตัวเร็ว และหลั่งเร็วในผู้ชาย ทำให้โด่ไม่รู้ล้มจึงเป็น 1 ในสมุนไพรที่นิยมนำไปสกัดเป็นยาหรือสินค้าเสริมของกินที่ให้สรรพคุณสำหรับการเสริมสร้างสมรรถนะทางเพศ
ต้นแบบ / ขนาดวิธีใช้
• แก้เลือดกำเดา ใช้ต้นสด 30-60 กรัม (หรือต้นแห้ง หนัก 10-15 กรัม) ต้มกับเนื้อหมูพอประมาณ รับประทานติดต่อกันนาน 4-5 วัน
• แก้โรคตับเหลือง ใช้ต้นสด 120-240 กรัม ต้มกับเนื้อหมูพอประมาณ กินติดต่อกันเป็นเวลานาน 4-5 วัน
• แก้ท้องมาน ใช้ต้นสด 60 กรัม ต้มเอาน้ำ ยามเช้า-เย็น หรือต้มกับเนื้อหมูกิน
• แก้ขัดเบา ใช้ต้นสด15-30 กรัม ต้มเอาน้ำกิน
• แก้นิ่ว ใช้ต้นสด 90 กรัม ต้มกับเนื้อหมู 120 กรัม เพิ่มน้ำใส่เกลือนิดหน่อย ต้มต้ม กรองมัวแต่น้ำ แบ่งไว้ดื่ม 4 ครั้ง
• แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ แก้เจ็บคอ ใช้ต้นแห้ง 6 กรัม แช่ในน้ำร้อน 300 ซีซี(ราวขวดแม่โขง) นาน 30 นาที รินเอาน้ำกินหรือจะบดเป็นผงปั้นเม็ดไว้กินก็ได้
• แก้ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ใช้ต้นสด 30 กรัม ต้มเอาน้ำ
• แก้ฝีบวมหรือฝีเป็นหนอง ใช้ต้นสด ตำผสมเกลือบางส่วน ละลายน้ำส้มสายชูเพียงพอข้นๆพอก
• แก้ฝีฝักบัว ใช้ต้นสด 25 กรัม ใส่น้ำ 1 ขวด และเหล้า 1 ขวด ต้มดื่มและก็ใช้ต้นสดต้มกับน้ำ เอาน้ำล้างหัวฝีที่แตก
รักษาโรคผิวหนังต่างๆและก็ใช้ทาแผล โดยใช้ใบสด 2 กำมือ มาต้มกับน้ำมันที่ทำขึ้นมาจากมะพร้าวแล้วใช้ทาบริเวณที่เป็น หรือใช้รากรวมทั้งใบ (สดหรือแห้งก็ได้) 2 กำมือ ต้มดื่มแก้ท้องร่วง แก้กระเพาะเป็นแผล ช่วยขับฉี่ หรือใช้อาบในสตรีหลังคลอด ส่วนรากใช้ตำผสมพริกไทย แก้อาการปวดฟัน หรือใช้รากต้มกับน้ำแล้วก็ใช้อบแก้ปวดฟันก็ได้เช่นเดียวกัน
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา สารสกัดต่างๆของโด่ไม่รู้ล้มมีฤทธิ์ลดไข้ ลดการอักเสบ ลดระดับความดันเลือด รวมทั้งมีความเป็นพิษต่อเซลล์ของมะเร็งต่อมลูกหมาก ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ยับยั้งเชื้อไวรัส ต้านความเป็นพิษต่อตับ ลดไข้ ลดการอักเสบ ลดระดับความดันเลือดและก็ยั้งการเคลื่อนไหวของลำไส้เล็กกระตุ้นมดลูก ยั้งเอนไซม์ reverse transcriptase, glutamate-oxaloacetate-transaminase แล้วก็ glutamate-pyruvate-transaminase มีการเรียนรู้ผลของโด่ไม่รู้ล้มในหนูเพศผู้ต่อความกำหนัด ประสิทธิภาพน้ำกาม ของลับเสริม ขนาดและก็กล้ามลึงค์ และก็รูปร่างเพศลูก พบว่าสมุนไพรโด่ไม่รู้ล้ม มีฤทธิ์กระตุ้นกำหนัดแล้วก็ทำให้ระดับ testosterone สูงขึ้นในหนูแรท แต่ว่าในขนาดสูงกลับทำให้ระดับ testosterone และก็เชื้อสเปิร์มน้อยลง เพิ่มการเกิด libido เปลี่ยนแปลงค่า osmolality รวมทั้งจำนวนอสุจิของน้ำกาม ลดเปอร์เซ็นต์อสุจิเคลื่อนไหว เพิ่มน้ำหนักอวัยวะเพศเสริม รวมทั้งเพิ่มสัดส่วนเพศลูก (เพศภรรยา/เพศผู้)
การเรียนทางพิษวิทยา
จากการศึกษาพบว่าน้ำต้มโด่ไม่รู้ล้ม หรือสารสกัด 50% เอทานอลจากพืชทั้งต้น ไม่มีพิษ เมื่อให้หนูถีบจักรรับประทานแม้ว่าจะให้ในขนาดมากถึง 6.0 กรัม/โล รวมทั้งพบว่าขนาดของสารสกัดทั้งสองชนิดที่ทำให้หนูถีบจักรตายปริมาณร้อยละ 50 มีค่ามากกว่า 2 กรัม/โล เมื่อฉีดเข้าทางท้อง
สารสกัดรากและใบที่หมักกับสุราโรง 40 ดีกรี เมื่อนำมาป้อนหนูทดลองในขนาดความเข้มข้น 2,000 มก.ต่อกก. เพียงแค่ครั้งเดียว แล้วเก็บผลในวันที่ 14 ผลการทดลองพบว่าหนูไม่แสดงอาการผิดปกติ ส่วนการทดสอบความเป็นพิษแบบระยะสั้น พบว่าไม่ต่างอย่างมีความนัยสําคัญของน้ำหนักตัว น้ำหนักตับ ไต ม้ามหัวใจ adrenal cortex รวมทั้งอัณฑะ และระดับเอนไซม์ BUN creatinine AST และ ALT ของหนูทุกกรุ๊ป
 
ข้อเสนอแนะ / ข้อควรระวัง
 
1. สตรีตั้งท้องไม่ควรรับประทานอาหารเสริมหรือยาแผนโบราณที่มีส่วนประกอบจากโด่ไม่รู้ล้ม
2. ผู้ที่มีอาการปัสสาวะมากไม่ปกติไม่ควรใช้โด่ไม่รู้ล้มด้วยเหตุว่ามีสรรพคุณสำหรับในการขับฉี่ ซึ่งอาจส่งผลให้อาการรุนแรงขึ้น
3. ผู้ที่มีภาวะหยางพร่อง (กลัวหนาว , แขนขาเย็น , ไม่อยากดื่มน้ำ , ถ่ายเหลว , ตัวซีดเซียว , อยากนอนหงาวหาว นอน) ไม่สมควรใช้โด่ไม่รู้ล้ม
 
เอกสารอ้างอิง

  • ไพบูลย์ แพงเงิน.สมุนไพรรู้ใช้ไกลโรค (สมุนไพรคู่บ้าน 2).กรุงเทพฯ:มติชน.2556.272 หน้า.
  • ผศ.ดร.วีณา นุกูลการ. โด่ไม่รู้ล้ม.สมุนไพรกับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.https://www.disthai.com/
  • โด่ไม่รู้ล้ม.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีโด่ไม่รู้ล้ม.กลุ่มยาแก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ.สรรพคุณสมุนไพร.โครงการอนุรักษ์พันธุ์กรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี
  • โด่ไม่รู้ล้ม.สารานุกรมสมุนไพร เล่ม 1 สมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ104.ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.


3
อื่น ๆ / สรรพคุณเเละประโชน์ ชุมเห็ดเทศ
« เมื่อ: ธันวาคม 03, 2018, 09:40:43 AM »

ชุมเห็ดเทศ
ชื่อสมุนไพร  ชุมเห็ดเทศ
ชื่ออื่นๆ / ชื่อท้องถิ่น ขี้คาก , ลับมืนหลวง , หมากกะลิงเทศ ,หญ้าเล็บมือหลวง (ภาคเหนือ) , ส้มเห็ด (เชียงราย) ,จุมเห็ด (มหาสารคาม) , ชุมเห็ดใหญ่ (ภาคกลาง) , ตะสีพอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ตุ๊ยเฮียะเต่า , ฮุยจิวบักทง (จีน) , ตุ้ยเย่โต้ว (จีนกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Senna alata (L.) Roxb.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Cassia alata (L.) Roxb. , Cassia bracteata L.f.
ชื่อสามัญ  Acapulo, Candelabra bush, Candle bush, Ringworm bush
วงศ์  FABACEAE (LEGUMINOSAE ) - Caesalpinioideae
ถิ่นกำเนิด
ชุมเห็ดเทศ มีบ้านเกิดเมืองนอนในเขตร้อนของทวีปแอฟริกา อเมริกาออสเตรเลีย แล้วก็เขตร้อนในเอเซียอาคเนย์ สำหรับในประเทศไทย สามารถพบมากในประเทศไทย จากที่ชุ่มชื้น ทุกภาวะดินแต่ไม่ขอบที่ร่มมากมาย พบมากอีกทั้งบริเวณที่ราบรวมทั้งบนเขาที่มีความสูงไม่เกิน 1500 เมตร จากระดับน้ำทะเล
ลักษณะทั่วไป
ชุมเห็ดเทศจัดเป็นพุ่มไม้ขนาดกึ่งกลาง สูง 1.5-3 เมตร ลำต้นแข็งมีเนื้อไม้ ลำต้นแตกกิ่งก้านเป็นแนวขนานกับพื้นดิน กิ่งจะแบออกทางข้างๆ มีขนสั้นนุ่ม เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีน้ำตาล ใบเป็นใบประกอบแบบขนปลายคู่ ออกเรียงสลับ ใบย่อย 8-20 คู่ ยาว 5-15 ซม. ใบย่อยรูปขอบขนาน ยาว5-15 ซม. ปนรูปรี โคนใบมน ปลายใบมน กลม หรือเว้าเล็กน้อย ไม่มีต่อม ฐานใบมนไม่เท่ากันทั้งคู่ด้าน ขอบของใบเรียบมีสีแดง แกนกลางใบดก ยาวโดยประมาณ 30-60 ซม. ก้านใบประกอบยาวราว 2 เซนติเมตร หูใบรูปติ่งหู สามเหลี่ยม ยาว 6-8 มิลลิเมตร ติดทน ดอกย่อยมีเส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 4 ซม. ก้านดอกย่อยสั้นมาก ใบตกแต่งเป็นแผ่นบางๆกลีบเลี้ยงสีเขียวปลายแหลมมี 5 กลีบ กลีบสีเหลืองปลายมนมี 5 กลีบ ลายเส้นที่กลีบดอกไม้เห็นได้ชัด เกสรตัวผู้ยาว แตกต่างกัน เกสรตัวเมียมี 1 อัน ผลมีลักษณะเป็นฝักรูปแถบ ยาว แบน และสะอาดไม่มีขน ฝักมีปริมาณยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตรแล้วก็กว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร มีสันหรือปีกกว้าง 4 ปีก ปีกกว้างประมาณ 5 มม.ตามความยาวของฝัก ฝักมีฝาผนังกัน ฝักเมื่อแก่จะเป็นสีดำแล้วก็แตกตามยาว ข้างในฝักมีเม็ดประมาณ 50-60 เม็ด เม็ดเป็นรูปสามเหลี่ยมสีดำ มีผิวขรุขระ มีขนาดกว้างประมาณ 5-8 มิลลิเมตรและก็ยาวโดยประมาณ 7-10 มม.
การขยายพันธุ์ ชุมเห็ดเทศสามารถแพร่พันธุ์ได้ 2 แนวทางเป็นการใช้เมล็ดและก็การปักชำ แม้กระนั้นส่วนใหญ่จะนิยมแพร่พันธุ์ด้วยเม็ดมากกว่าซึ่งมีวิธีการปลูกดังต่อไปนี้
1. การเตรียมดินให้กำจัดวัชพืชและเศษสิ่งของ พร้อมทั้งไถพรวนและก็ตากดินไว้ 7-15 วัน จากนั้นให้ปุ๋ยคอกอัตรา 2 ตันต่อไร่
2. การเตรียมประเภท ระงับเลือดเม็ดที่แก่จัดแล้วเอามาแช่น้ำไว้ 1 คืน แล้วหลังจากนั้นคลุกกับทรายในอัตรา 1: 1-2 แล้วหุ้มห่อด้วยผ้าขาวบาง รดน้ำให้เปียกแฉะ เก็บในที่ร่ม 1-2 วัน เม็ดก็จะเริ่มงอก
3. การปลูก แม้ปลูกแบบหยอดหลุมด้วยเม็ดที่เริ่มแตกออก ให้หยอดหลุมละ 5-6 เม็ดให้มีระยะห่างระหว่างต้น และระหว่างแถว 3x4 เมตร เมื่อปลูกเสร็จใช้ผางปกคลุมบางๆรดน้ำให้ชุ่ม ถ้าเกิดปลูกแบบใช้ต้นกล้าให้น้ำต้นกล้าที่เพาะจากเม็ดที่มีอายุ 30 วัน หรือมีใบจริง 5-7 ใบ มาปลูกลงแปลง รดน้ำให้เปียก ปักไม้ค้ำกระทั่งถึงไว้และก็ผูกติดกับต้นกล้าแล้วหุ้มโคนต้นด้วยผางและควรจะรดน้ำให้ชุ่มเสมอในช่าง 2 เดือนแรก
องค์ประกอบทางเคมี ชุมเห็ดเทศมีองค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญประกอบด้วยสารกลุ่ม Anthraquinone โดยในใบชุมเห็ดเทศ ควรจะมีสาระสำคัญ Hydroxy-anthracene derives ไม่น้อยกว่า 1.0% w/w (โดยคำนวณเป็น rhein-8-glucoside) ยกตัวอย่างเช่น Aloe-emodin, Chrysophanol , Chrysophanic acid, lsochrysophanol, Physcion glycoside, Terpenoids, Sennoside, Sitosterols, Lectin, Rhein.

ผลดี / สรรพคุณ

แบบเรียนยาไทย: ใช้ข้างในแก้ท้องผูก เป็นยาระบาย ไปกระตุ้นทำให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวดีขึ้น สมานธาตุรักษากระเพาะอักเสบ แก้กษัยเส้น ทำหัวใจให้ธรรมดาขับฉี่ ขับพยาธิ ใช้ข้างนอก รักษาฝี และก็แผลพุพอง รักษาขี้กลาก เกลื้อน โรคผิวหนัง อมบ้วนปาก รักษาผิวหนังอักเสบเป็นผื่นคัน เส้นประสาทอักเสบ โดยใช้ส่วนของ ใบ เป็นยาถ่าย ใช้ด้านนอกรักษาขี้กลาก แก้แมลงสัตว์กัดต่อย แล้วก็โรคผิวหนังอื่นๆใช้ถ่ายพยาธิตัวตืด ใบสด ใช้รักษากลากเกลื้อน ตำพอก เร่งหัวฝี ใบรวมทั้งดอก ทำยาต้มกิน เป็นยาระบายแก้ท้องผูกขับเสมหะในรายที่หลอดลมอักเสบ และก็แก้หืด เมล็ด มีกลิ่นเบื่อ รสเหม็นเบื่อเล็กน้อยใช้ขับพยาธิ แก้ตานซาง แก้ท้องขึ้นท้องเฟ้อ แก้นอนไม่หลับ ฝัก มีรสเบื่อเบื่อ แก้พยาธิ เป็นยาระบาย ขับพยาธิตัวตืด พยาธิไส้เดือน ต้นและราก แก้กษัยเส้น แก้ท้องผูก บำรุงหัวใจเปลือกและก็แก่นไม้ ใช้ขับน้ำเหลืองเสีย ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันระบุว่า ชุมเห็ดเทศเป็นยาระบายที่ดี เพราะมีทั้งยังแอนทราควิโนน ซึ่งเป็นยาระบาย แล้วก็แทนนิน ซึ่งเป็นยาฝาดสมาน ก็เลยเป็นยาระบายที่สมานธาตุในตัว และก็ในชุมเห็ดเทศยังมีพฤกษเคมีที่เป็นยาแล้วก็สารต่อต้านนุมูลิอิสระสำคัญหลายแบบ โดยมีการทดลองสารสกัดหยาบจากใบ เปลือกลำต้น ดอก ผล สกัด โดยใช้เอทิลอะสิเตทแล้วก็เมทานอล พบสารฟลาโวนอยด์ แอนทราควิโนน คูมาริน ซาโปนิน แทนนิน เทอร์ปินอยด์ สเตอร์รอยด์ และก็คาดิแอคไกลโคไซด์ แต่ว่าไม่พบสารแอลคาลอยด์ ในทุกส่วนของชุมเห็ดเทศ และก็พบว่าสารสกัดอีกทั้ง 8 แบบอย่าง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ สารสกัดอีกทั้ง 8 แบบอย่างสารมารถต้านทานเชื้อ Bacillus subtilis และ Staphy-lococcus aureus ได้ โดยเฉพาะสารสกัดเมทานอลจากดอกชุมเห็ดเทศชนิดเดียวเพียงแค่นั้นที่ต้านทานเชื้อ Pseudomonas auroginosa ได้ แม้กระนั้นไม่มีสารใดที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อ E.coli การเล่าเรียนการออกฤทธิ์ของ Senna alata (L.) Roxb. หรือชุมเห็ดเทศสำหรับการยั้งการก้าวหน้าของเชื้อก่อโรคพบว่าสารสกัดจากชุมเห็ดเทศสามารถยั้งการเจริญก้าวหน้าของเชื้อก่อโรคได้หลายแบบ เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต และยังมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ต้านทานการก่อยับยั้งเนื้องอก เป็นยาระบาย ขับเยี่ยว ลดการอักเสบ แก้ปวดอีกด้วย
รูปแบบ/ขนาดวิธีการใช้

อาการท้องผูก ใช้ใบจำนวน 12-15 ใบย่อย ตากแห้ง คั่ว (ถ้าไม่คั่วซะก่อน จะกำเนิดอาการข้างๆ เป็นอาจมีอาการคลื่นไส้คลื่นไส้ เมื่อคั่วความร้อนจะช่วยทำให้สารที่ออกฤทธิ์ทำให้อาเจียนอาเจียนสลายไป) แล้วค่อยนำไปต้มกับน้ำพอควร ดื่มครั้งเดียวก่อนรับประทานอาหารเช้าตรู่มืด หรือก่อนนอน หรือใช้ผงใบ 3-6 กรัม ชงน้ำเดือด 120 มล. เป็นเวลา 10 นาที ดื่มก่อนนอน บางทีอาจทำเป็นยาลูกกลอนก็ได้ หรือใช้ช่อดอกสด 1-3 ช่อดอก ลวก จิ้มน้ำพริก หรือใช้ดอก 1 ช่อ รับประทานใหม่ๆเป็นยาระบาย รวมทั้งใช้ใบแล้วก็ก้านขนาดใหญ่ ราวๆ 3-5 ช่อ เอามาต้มกับน้ำประมาณ 2 ขัน(1500 ซี.ซี.) ต้มให้เดือดเหลือน้ำราว 1/2 ขัน ใส่เกลือพอมีรสเค็มเล็กน้อย ดื่มวันละ 1 แก้ว (250 ซี.ซี.)คราวต่อมา กินดอกทีละราวๆ 1 ช่อ
การใช้ชุมเห็ดเทศรักษาขี้กลาก โรคเกลื้อน นำใบสดมาตำอย่างถี่ถ้วนใช้ทาบริเวณที่เป็นกลากหรือผื่นคัน หรืออาจนำใบชุมเห็ดเทศ 3-4 ใบ มาตำอย่างระมัดระวังเพิ่มเติมน้ำมะนาวนิดนึง ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง หรือใช้ใบสดขยี้ถูนานๆแล้วก็บ่อยๆตรงบริเวณที่เป็น
รวมทั้งใช้ใบสด 4-5 ใบ ตำรวมกับกระเทียม 4-5 กลีบ แล้วเพิ่มเติมปูนแดงเล็กน้อย ทาบริเวณที่เป็นซึ่งได้ใช้ไม้ไผ่บางๆฆ่าเชื้อโรคแล้วขูดผิวบริเวณที่นั้นให้มีสีแดง(กรณีขี้กลาก) ทาวันละ3-4 ครั้ง จนกระทั่งจะหาย รวมทั้งเมื่อหายแล้วให้ทาไปอีก 1 สัปดาห์ หรือจะใช้ใบสดตำแช่สุรา เอาส่วนเหล้าทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง จวบจนกระทั่งจะหาย พบว่าได้ผลดี แม้กระนั้นไม่ค่อยสำเร็จในขี้กลากที่ผมรวมทั้งเล็บ
รักษาฝีแผลพุพอง ใช้ใบชุมเห็ดเทศ 1 กำมือ ต้มกับน้ำเพียงพอท่วม เคี่ยวให้เหลือ 1 ใน 3 เอามาล้างฝีที่แตกแล้ว หรือแผลพุพอง วันละ 2 ครั้งรุ่งเช้า เย็น ถ้าเกิดบริเวณที่เป็นกว้างมากใช้สมุนไพร 10-12 กำมือ ต้มกับน้ำใช้อาบรุ่งเช้าเย็น ตราบจนกระทั่งจะหาย
ใช้ใบสดตำพอก เพื่อรีบให้หัวฝีออกเร็วขึ้น หรือจะใช้ใบผสมกับน้ำปูนใสหรือเกลือหรือน้ำมันตำพอก รักษากลาก แมลงสัตว์กัดต่อย โรคผิวหนัง นอกจากนั้นยังคงใช้ใบตำพอกหรือคั้นเอาน้ำผสมน้ำปูนใสทาหรือผสมวาสลิน ใช้ทำเป็นยาขี้ผึ้งทาได้อีกด้วย
ส่วนยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติที่เสนอแนะให้ใช้คือ รับประทานทีละ 1 – 2 ซอง (ใบชุมเห็ดเทศแห้งซองละ 3 กรัม) (3 – 6 กรัม) ชงในน้ำเดือด 120 มิลลิลิตร นาน 10 นาที วันละ 1 ครั้งกระโน้นนอน ทุเลาท้องผูก
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ สารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำขนาดเท่ากันผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 5 กรัม/กิโล ทำให้ลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูตะเภาหดตัวได้ปริมาณร้อยละ 25 ของฤทธิ์จากฮีสตามีน 1 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำขนาดเทียบเท่าผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 10 และก็ 20 กรัม/โล ส่งผลเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ของหนูเม้าส์ได้มากกว่ากรุ๊ปควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำในขนาด 15 ไมโครกรัม/มล. ทำให้ลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูตะเภาหดตัวได้ในหลอดทดสอบ ในขณะสารกลัยโคไซด์จากใบชุมเห็ดเทศมีฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเนื้อเรียบในไส้
ฤทธิ์สำหรับการรักษาอาการท้องผูก เมื่อให้สารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศแห้งด้วยน้ำร้อนกับหนูแรททางปากในขนาด 500 และก็ 800 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่ามีฤทธิ์ช่วยระบาย แล้วก็เมื่อให้สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำกับหนูเม้าส์ทางปากในขนาดเท่ากันผงใบชุมเห็ดเทศแห้ง 5, 10 รวมทั้ง 20 กรัม/กิโล จะมีผลให้หนูเม้าส์ถ่ายเหลว โดยการให้ในขนาดต่ำ (5 กรัม/กิโล) จะออกฤทธิ์ช้ากว่าในขนาดสูง (10 แล้วก็ 20 กรัม/กิโล) สาร anthraquinone glycoside จากใบดังเช่นว่า isocrysophanol, physcion-l-glycoside, chrysophanol, emodine, rhein, รวมทั้ง aloe-emodin มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อจุลชีพ สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำ สารสกัดด้วยเอทานอล สารสกัดด้วยเมทานอล รวมทั้งสาร aloe-emodin, rhein emodol, 4,5-dihydroxy-1-hydroxymethylanthrone, 4,5-dihydroxymethylanthraquinone และก็ chrysophanol จากใบชุมเห็ดเทศ มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อราที่ผิวหนังดังเช่นว่า Epidermophyton floccosum , Microsporium gypseum, Trichophyton rubrum , T. mentagrophytes และ M. canis เมื่อเทียบกับยา tolnaftate สารสกัดด้วยน้ำแล้วก็เอทานอลจากเปลือกต้นชุมเห็ดเทศสามารถยั้งเชื้อยีสต์ Candida albicans ได้ โดยที่ความเข้มข้น 30 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร จะให้ผลดีเมื่อเปรียบเทียบกับยา ticonazole 30 ไมโครกรัม/ไมโครลิตร แม้กระนั้นสารสกัดจากใบด้วยน้ำและก็เอทานอลไม่มีฤทธิ์ยั้งเชื้อยีสต์ น้ำมันหอมระเหยจากใบชุมเห็ดเทศ สารสกัดจากเปลือกต้นด้วยเมทานอล มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Bacillus subtilis ในจานเพาะเชื้อได้ปานกลาง สารสกัดด้วยน้ำจากใบชุมเห็ดเทศสามารถยับยั้งเชื้อ Escherichia coli ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อเหมาะความเข้มข้นมากยิ่งกว่า 21.8 มก./มล.
ผลของการวิจัยทางสถานพยาบาล (clinical pharmacology) การศึกษาฤทธิ์สำหรับการรักษาอาการท้องผูก การเรียนทางสถานพยาบาลแบบสุ่มมีกลุ่มควบคุมระหว่างชงชาชุมเห็ดเทศ มิสท์แอลบา รวมทั้งยาหลอก ในโรงพยาบาลชุมชน 5 แห่ง และก็โรงพยาบาลทั่วไป 1 แห่ง ผู้เจ็บป่วยที่ไม่ขี้ต่อเนื่องกันเกิน 72 ชั่วโมง ปริมาณ 80 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กรุ๊ปแรก รับยาหลอกเป็นน้ำ เพิ่มสีคาราเมล 120 มล. จำนวน 28 ราย กลุ่มลำดับที่สองรับยามิสท์แอทบา 30 มล. น้ำ 90 มล. จำนวน 28 รายรวมทั้งกลุ่มที่สามรับน้ำละลายชุมเห็ดเทศ ได้จากการชงผงชุมเห็ดเทศปริมาณ 3-6 กรัม ในถุงกระดาษ แช่ในน้ำเดือด 120 มล. นาน 10 นาที จำนวน 24 ราย คนเจ็บทั้งยัง 3 กลุ่มมีลักษณะไม่ได้แตกต่างกัน ได้รับยารับประทานก่อนนอนประเมินผลจากการถ่ายอุจจาระไหมอึด้านใน 1 วัน พบว่า สำเร็จถ่ายอุจจาระด้านใน 24 ชั่วโมง ร้อยละ 18,86 และ 83 ตามลำดับ ซึ่งพบว่าผลของกลุ่มชุมเห็ดเทศรวมทั้งมิสท์แอลบาดีกว่ายาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติแต่ว่าพบอาการท้องเดินในกรุ๊ปที่ได้รับมิสท์แอลบามากกว่า คนเจ็บกรุ๊ปที่ได้รับชุมเห็ดเทศมีความชอบใจมากยิ่งกว่ายาหลอก สรุป ยาชงชุมเห็ดเทศมีประสิทธิภาพที่ดีสำหรับเพื่อการรักษาท้องผูก
ส่วนอีกการทดลองหนึ่งพบว่าเมื่อผสมผงใบชุมเห็ดเทศในอาหารในขนาดร้อยละ 2 และ 10 ของของกิน แล้วให้หนูแรทกินนาน 4 สัปดาห์ จะเจอแผลในไส้ ตับ แล้วก็ไต รวมทั้งหรูหราฮีโมโกลบินแล้วก็ packed cell volume (PCV) สูงขึ้น แต่จำนวนเม็ดเลือดแดงน้อยลงใน 2 อาทิตย์แรก เมื่อใส่สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยเอทานอลขนาด 100 มิลลิกรัมในน้ำกินให้หนูแรทรับประทานนาน 14 วัน พบว่ากำเนิดแผลในตับ เซลล์ตับตายเกลื่อนกลาดกระจัดกระจายรวมทั้งมีการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำ การฉีดสารemodin แล้วก็ kaemferol ขนาด
10 มิลลิกรัม เข้าช่องท้องหนูแรทติดต่อกัน 14 วัน หรือฉีดสาร aloe-emodin ขนาด 100 มิลลิกรัม สาร rhein ขนาด 70 มิลลิกรัม เข้าช่องท้องนาน 4 วัน พบว่าเกิดแผลในตับของหนูทุกกลุ่ม กลุ่มที่ได้รับ aloe-emodin จะพบเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย หนูทุกกรุ๊ปหรูหราฮีโมโกลบิน และก็ PCV ต่ำลงภายใน 14 วัน เมื่อป้อนสารสกัดจากใบด้วยน้ำขนาด 10, 50, 100 แล้วก็ 250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ให้หนูแรทนาน 14 วัน จะพบระดับฮีโมโกลบินและ เม็ดเลือดแดงมากขึ้น ในเวลาเดียวกันหนูมีลักษณะอาการเบื่ออาหาร ผอมแห้งแล้วก็น้ำหนักลด
การเล่าเรียนในผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคขี้กลากและก็โรคเกลื้อนสารสกัดจากใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์แล้วก็ครีมชุมเห็ดเทศเข้มข้นจำนวนร้อยละ 20 สามารถรักษาผู้ป่วยโรคกลาก 30 ราย และโรคเกลื้อน 10 ราย ได้ดีเท่ากันกับยาขี้ผึ้ง whitfield แต่ไม่เป็นผลรักษาราที่เล็บแล้วก็หนังศีรษะ ยาเตรียมชุมเห็ดเทศในแบบอย่างทิงเจอร์และก็ครีม(ซึ่งมีสารสำคัญ rhein 600 ไมโครกรัม/กรัม) ได้ผลสำหรับการรักษาผู้เจ็บป่วยโรคกลากโรคเกลื้อนที่ผิวหนังได้เหมือนกันกับยาครีมวัวลไตรมาโซลปริมาณร้อยละ 1 สารสกัดใบชุมเห็ดเทศสดด้วยน้ำ (ใบสด 100 กรัมต่อน้ำ 50 มิลลิลิตร) ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 100 ทาบริเวณแขน แล้วก็ขา หรือความเข้มข้นร้อยละ 90 ทาบริเวณคอ รวมทั้งมือ และก็ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 80 ทาบริเวณหน้า วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน 2 ชั่วโมง ส่งผลรักษาโรคกลากโรคเกลื้อนประเภท Pityraisis versicolor ที่มีสาเหตุมาจากเชื้อรา Malassezia furfur ในคนป่วยจำนวน200 คนได้
การศึกษาทางพิษวิทยา การทดลองความเป็นพิษ การทดสอบความเป็นพิษกระทันหัน พบว่าสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ปริมาณร้อยละ 50 ในขนาด 15 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 โล ไม่มีพิษเมื่อให้หนูเม้าส์ทางปากและก็ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง แต่มีความเป็นพิษนิดหน่อยเมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ แล้วก็เมื่อฉีดสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ85 เข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ในขนาด 2 กรัม/กก.ก็ไม่เจอความเป็นพิษ สารสกัดจากใบด้วยน้ำและสารสกัดจากส่วนเหนือดินของชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 มีความเป็นพิษปานกลางเมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์
โดยขนาดของสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ปริมาณร้อยละ 50 ที่ทำให้หนูถีบจักรตายจำนวนร้อยละ 50 (LD50) คือ ขนาดที่ให้ทางปากและก็ทางผิวหนังมากยิ่งกว่า 15 กรัมต่อกิโลกรัมแล้วก็ทางท้อง 8.03 กรัมต่อกก.
การทดสอบพิษกึ่งเรื้อรังของผงใบชุมเห็ดเทศในหนูขาววิสตาร์ 4 กรุ๊ป กลุ่มละ 24 ตัว (เพศผู้ 12 ตัว เพศภรรยา 12 ตัว) เป็นกรุ๊ปควบคุมและก็กรุ๊ปที่ได้รับยาทางปากขนาด 0.03 , 0.15 รวมทั้ง0.75 กรัมต่อกก.ต่อวัน (ซึ่งเปรียบได้กับได้รับ 1 5 แล้วก็ 25 เท่า ของขนาดที่รักษาในคน) ผลเป็น ไม่พบพิษทุกกรุ๊ป มีการเจริญวัยธรรมดาการตรวจทางเลือดวิทยารวมทั้งชีวเคมีธรรมดา ไม่พบพยาธิภาวะรวมทั้งจุลพยาธิวิทยาของอวัยวะภายในที่ไม่ดีเหมือนปกติ
พิษต่อระบบขยายพันธุ์ เมื่อฉีดสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์จำนวนร้อยละ 50 เข้าท้องหนูแรทในขนาด 125 มิลลิกรัม/กก. ไม่มีผลทำให้แท้งและไม่พบพิษต่อตัวอ่อนแต่ว่าผลต่อความเคลื่อนไหวของรอบเดือนไม่กระจ่าง ส่วนสารสกัดจากใบด้วยน้ำขนาด300ไมโครกรัม/มิลลิลิตร มีฤทธิ์ทำให้มดลูกหนูแรทหดตัวในหลอดทดลองรวมทั้งมีฤทธิ์เสริม oxytocin
พิษต่อเซลล์ การทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์โดยใช้ brine shrimp พบว่าสารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยน้ำในขนาด 7.74 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้ brine shrimp ตายไปครึ่งหนึ่ง และก็สารสกัดนี้มีความเป็นพิษต่อเซลล์ Vero โดยความเข้มข้น 1,414 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ทำให้เซลล์ Vero ตายไปครึ่งหนึ่ง
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดใบชุมเห็ดเทศด้วยเอทานอล มีผลก่อกลายพันธุ์ในSalmonella typhimurium strain TA98 และก็พบว่าสารสกัดชุมเห็ดเทศด้วยแอลกอฮอล์ มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ S. typhimurium strain TA98 และก็TA100 โดยในการออกฤทธิ์อยากได้โปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีจากตับหนูกระตุ้นการออกฤทธิ์
ข้อเสนอแนะ/ข้อควรไตร่ตรอง

1. ระมัดระวังการใช้ในเด็กอายุต่ำลงมากยิ่งกว่า 12 ปี คนป่วย inflammatory bowel disease รวมทั้งภาวการณ์ทางเดินอาหารตัน ผู้สูงอายุ หญิงให้นมบุตร ด้วยเหตุว่าสารmetabolite บางตัวอาทิเช่น rhein ถูกคัดหลั่งทางทะเลนม
2. ควรที่จะใช้ยาระบายเป็นบางโอกาส ไม่สมควรใช้ติดต่อกัน เพราะว่าสารแอนทราควิโนนในใบชุมเห็ดเทศ มีฤทธิ์ทำให้ลำไส้บีบตัวรวมทั้งขยับเขยื้อนเร็ว ใช้ติดต่อนานจะมีผลให้ไส้ชินต่อการใช้ยา ถัดไปถ้าเกิดไม่ใช้จะก่อให้ไส้ไม่บีบตัวไม่ขยับเขยื้อนเกิดท้องผูกhttps://www.disthai.com/
3. การรับประทานยาในขนาดสูงอาจทำให้กำเนิดไตอักเสบ มีเลือดหรือโปรตีนในเยี่ยวมากยิ่งกว่าปกติ
4. การใช้ตลอดนานๆอาจมีผลลดจำนวนเม็ดเลือดแดง แล้วก็ฮีโมโกลบิตและก็อาจก่อให้กำเนิดแผลที่ตับ
5. การใช้ตลอดในขนาดสูงนานๆบางทีอาจเกิดระบบการดูดซึมแตกต่างจากปกติ มีการดูดกลับของเหลวต่ำลง เกิดภาวะระดับโพเทสเซียมและก็แคลเซียมในเลือดต่ำ
6. ห้ามใช้ในสตรีท้อง
7. การใช้ชุมเห็ดเทศในขั้นแรกๆอาจทำให้กำเนิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อาการปวดมวนท้องเนื่องจากว่าการบีบตัวของลำไส้ใหญ่แล้วก็อาจมีอาการอาเจียน ของกินไม่ย่อยและก็เจ็บท้องได้
เอกสารอ้างอิง
1. เภสัชกรชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.ชุมเห็ดไทย/ชุมเห็ดเทศ.คอลัมน์ สมุนไพรน่ารู้.นิตยสารแพทย์ชาวบ้าน.เล่มที่ 26 .กรกฎาคม .2524
2. ฉัตรโย สวัสดิไชย,สุรศักดิ์ อิ่มเอี่ยม.ชุมเห็ดเทศ.ยาน่าทราบ.นิตยสารศูนย์การศึกษาแพทยศาสตร์คลินิก โรงหมอพระปกเกล้า.ปีที่ 34 ฉบับที่4.เดือนตุลาคม-ธ.ค..2560 หน้า.352-355
3. ดร.วิทย์ เที่ยงตรงบูรณธรรม.“ชุมเห็ดเทศ”. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 271-274.
4. เปี่ยม บุณยะโชติ. ตำราโบราณว่าด้วยโรคเด็กและก็คุณผู้หญิง. จังหวัดกรุงเทพ: สำนักพิมพ์เฟื่องอักษร, 2514. หน้า 39.
5. กองศึกษาค้นคว้าทางการแพทย์. สมุนไพรพื้นบ้าน เวลาที่ 1. จังหวัดกรุงเทพ: กรมวิทยาศาตร์การแพทย์. กระทรวงสาธารณสุข, 2526. หน้า 34.
6. ดร.นิจศรี เรืองรังษี, เครื่องหมายชัย มังคละคุปต์. “ชุมเห็ดเทศChumhet Tet)”. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1 หน้า 108.
7. พระเทวดาวิมลผมจุก. ตำราเรียนยากลางบ้าน. จ.กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มงกุฏราชวิทยาลัย, 2524. หน้า 140.
8. ชุมเห็ดเทศ.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
9. วิทยา บุญวรพัฒน์. “ชุมเห็ดเทศ”. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีนที่ใช้บ่อยมากในประเทศไทย. หน้า 208.
10. เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ กำเนิดดอนแฝก. “ชุมเห็ดเทศ”. หนังสือสมุนไพรบำบัดรักษาโรคเบาหวาน 150 จำพวก. หน้า 74-75.
11. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ชุมเห็ดเทศ Ringworm Bush”. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีต้นไม้. หน้า 75.
12. ชุมเห็ดเทศ.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
13. คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา. บัญชียาจากสมุนไพร พุทธศักราช 2549 ตามประกาศคณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช2549 เรื่องบัญชียาหลักแห่งชาติพ.ศ. 2547 (ฉบับที่ 4). จ.กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การกสิกรรมที่เมืองไทยจำกัด, 2549
14. วันดี กฤษณพันธ์ แม้นสรวง วุฒิอุดมเลิศ ดอกมะลิ ไตรอำนาจวาสนา สุภาวี อาชวาคม. การเล่าเรียนฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราของสารแอนทราควิโนนจากใบชุมเห็ดเทศ. การสัมมนาวิชาการวิทยาศาสตร์แล้วก็เทคโนโลยีที่เมืองไทย ครั้งที่ 24, 19-21 เดือนตุลาคม ณ. ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ จ.กรุงเทพฯ, 2541.
15. Harrison J, Garro CV. Study on anthraquinone derivatives from Cassia alata L. (Leguminosae). Rev Peru Bioquim 1977;(1):31-2.
16. จินตนาการ สุทธชนาความสนุก และก็แผนก. ฤทธิ์ต้านเชื้อราของใบชุมเห็ดเทศ. รวมข้อสรุปย่อการค้นคว้าวิจัยการแพทย์แผนไทยแล้วก็ทิศทางการค้นคว้าวิจัยในอนาคต สถาบันการแพทย์แผนไทย, 2543.
17. Akah PA. Abortifacient activity of some Nigerian medicinal plants. Phytother Res 1994;8(2):106-8.
18. Plengvidhya P, Suvagondha C. A study of diagnostic contents of leaves of some members in genus Cassia. J Pharm Assoc Siam, Third series 1957;10(1):10-2.
19. เกษร นันทจิต. ฤทธิ์ต่อต้านจุลชีพของใบชุมเห็ดเทศ (Cassia alata Linn.). รายงานการวิจัย ที่ทำการคณะกรรมการศึกษาค้นคว้าแห่งชาติ, 2538.
20. เสาวลักษณ์ ดงษ์งดงาม. ฤทธิ์ต่อต้านจุลชีพของสารสกัดจากพืชสกุล Cassia sp. รายงานการวิจัย ที่ทำการคณะกรรมการศึกษาค้นคว้าแห่งชาติ, 2543.
21. Thamlikitkul V, Dechatiwonges T, Chantrakul C, et al. Randomized controlled trial of Cassia Alata Linn. for constipation. J Med Assoc Thai 1990;73(4):217-21.
22. Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P. Study on toxicity of Thai medicinal plants. Bull Dept Med Sci 1971;12(2/4):36-65.
23. Rao JVLN, Sastry PSR, Poa RVK, Vimaladevi M. Occurrence of kaempferol and aloe-emodin in the leaves of Cassia alata. Curr Sci 1975;44(20):736-7.
24. ท้องนาถฤดี สิทธิสมวงศ์ ทรงพล ชีวะพัฒน์ เอมจิต หวังหมัด สุธิดา ไชยราช พัชรินทร์ รักษามั่น จรินทร์ จันทรฉายะ. พิษของใบชุมเห็ดเทศ. วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์2534;33(4):145-54.
25. Somchit MN, Reezal I, Nur

4
อื่น ๆ / ถั่งเช่า ผักหนาม เป็นอย่างไร ?
« เมื่อ: ธันวาคม 01, 2018, 09:56:26 PM »

 
ถั่งเช่า ผักหนาม เป็นยังไง ? มั่นใจว่าtyukyukคนไม่ใช่น้อยถั่งเช่าคงจะไม่ชินหูกัrtบผักชนิดนี้ แต่ว่าคงจะพอเดาได้ว่าluilควรจะมีหนามyukมากแน่นอนซึ่งที่จริงแrhrtล้วผักหuiนามเป็นผักที่สามารถพบเจอไukykuyด้ทั่วๆไปในป่า รyukวมทั้งพื้นที่ชื้น บริเวณริมแม่น้ำ ลำคลอง คนธรรมดาทั่วไปที่รู้จักผักหนามโดยมากจyukะเอามาทำเป็นอาyหารทานจ้ะ เพราะผักหนามถือเป็นผักที่มีสาระรวมทั้งให้คุณค่าukyukทางโภชนาการมjtyากทีเjtyjyuดียว วันนี้เราเลยนำเรื่องราวและก็คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากผักหนามมาฝากylกันถั่งเช่าค่ะ ผักหนาม หรือกะลี มีชื่อทางด้านวิทยjyukาylkศาสตร์เป็น Lasia spinosa (L.) Thwaites. เป็นไม้ล้มลุกแก่uiหลายปี อยู่ในสกุลARACEAEluil เครือjtyเดียวกับบluiอน มีylukerเหง้าอยู่ใต้ดินuiluil ต้นตั้งตรง มีulหนามแหลมตามลำต้นรวมทั้งใบ ชอบขึ้นjtyตามดินโคลนและพื้นที่เปียกชื้นชายน้ำ พบukyuilในทวีปเอเชียเขตร้อนอย่างjttrใต้ของจีhjrtน เอhrthtyjyuเซียอาคเนย์ รวมทั้งอินเดีย นิยมเด็ดมาต้มกินกับน้ำพริก ซึ่งนอกจากจะถั่งเช่ากินjtyางๆที่ไkyukyuด้รับจาก|คุณประโยชน์ของ|คุณประโยชน์ที่ไyukด้รับมาจาก|คุณประโยช์จyukyukyukาก|คุณปyukระโยชน์ซึ่งมาจาก|คุณประโยชrrน์ukต่างๆที่ได้รับจาก}ผักหนามยังมีอีกเยอะแยะเลยค่ะ เมื่อก่อนจะไปดูคุณประโยชน์ต่luiางๆluที่ได้รับจากผักหนulkาม เรามาทำความรู้จักผักหนามให้มากกว่านี้กันก่อนค่ะลักษณะทางพฤluกษ์ศาสตร์ของผักluiluiluuiliหนาม ลำต้น : ลำต้นluiuilukyukผักหนามuiเป็นเหง้าแข็งอยู่ใต้ดิน เลื้อยขนานกับพื้น มีหนามแหลมอยู่ตามลำต้uiน โดkyuยลำต้นจะมีเส้นผ่านศูนย์กลiluiางถั่งเช่าราว 4-5 เซนติเมตร และก็ยาวได้ถึง 75 เซนติเมตร uilชอบขึ้นบริเวณที่เฉอะแฉะหรือมีน้ำขัง
 

5

งาดำ รูปแบบของปีบต้นปีบ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกับขนาดกึ่งกลาง ลำต้นตรง มีความสูงราวๆ 5-10 เมตร เปลือกต้นเป็นสีเทาเข้มแตกเป็นร่องลึก มีช่องอากาศ รากเกิดเป็นegrtykyukหน่อ;op'op'io รุ่งเรืองงาดำเป็นต้trjytkyuนuilใหม่kyukได้ ขยายพัuilนธุ์ด้วยวิธีการuilนำเมล็ดมาเพาะ หรือใช้rthต้นอ่อนที่yukเกิดขึ้uil;ou;ioนมาจากรากบ;ioริเวณของต้นแม่ เอามาตัดเป็นท่op;อนสั้นๆแuilล้'rhjtrhrtวนำมาerhtuilrthปักชำในกuilระบะluiluiกรวยi;oi;ที่ผสมด้วยuilเถ้io;io;าถ่านแกลบก็ไio;ioด้ ปีrjhบเป็ulนuilพัoi;ioนธุ์พืชพื้นเมื;i;'ioองของพม่;io;าแล้;oi;วsก็ไทยที่ขึ้นเกstrjลื่อนกลาดuilกระจัดlกระluจายอio;ยู่ทั่วjtyไปตามuiltyjtyuiป่าเบญจพรรyukyukณและก็ป่าดuluililงดิบแล้งทางภาคเหนืuอ ภาคตะวันiluiluilตก uiรวมทั้งioทางภาคoi;io;ตะjythrjrthวันออกเฉียงเio;rtหนือต้นปีปใบrthบ ลักษluilณะของใulilบเป็นใlบปuiliulio;;ระกอบแlulhrhrthบบrtขนนluuiก 3 ชั้น มีความกว้างlhtyjui;oi;ประมruาณ 13-tykjyukyuuil20 ซม.และยาวราวojiuluii;ๆyukuil 1uuiluiluili6ui-26 yukม.i;io;l ก้านใบยtyาว 3.5-6 เuuiluiliiluiซนติtyjเมตร ที่ตัวใoi;บจytjะประกอบutyjtyykyukปtyjด้วยศูนย์กลghrthาrlehtrttyio;rhยาวรtyykjtาวliๆ 13-19 งาดำเซนติioเ;io;มตegร rhมีjtyjyukใบioย่อยyu 4-6 คู่ กว้jางkyประมาthtณ|ราว|ราวtyoi;jytergๆrryuk|โดยtrปรykuilioio;;io;ะมtาyjukณ}u 2.th5jtyj-3 เซนติเมตrthรรวมทั้yukงยาวhgrthykราeวๆrthytj 4-5 เซนติเมtyjyulตรuil ลักษณะใบมีรูปร่iluางคoi;ล้ายรูปหอlกปนรูปไข่ ปลuilายใบเรียวegrแหลioiม ฐio;านuใบเuiป็นรูปลิ่ม uilขอบใบหยักuilเป็นซี่หยาบๆเนื้อใบเกลี้ยงบางคล้ายกับกระดาษบปีบดอกปีluiluilบ ลักษณะดอกเป็นช่อกระจุกแยhtyกกิ่thrtงก้ukานสาขา มีrtuilhluความยlio;าวโhrthดยyประio;มาณ 10-25 ซe;gergม. ดอtrกย่อยจะrrhประกอrthบไปด้วยrthกtyjลีบเลี้ยงสีเhrtขียว ดอjtyjกrtมีกลิ่นหอม มีควykามกว้างtrhราว 0.5 ซม.และก็ยาวrgประมาณ 6-10 เซนติเมตร เชื่อมกันเป็นหลuilอดปjtyากแตร แยกออกเป็น 5 แฉก 3 แฉกรูปreขอบขนาน 2tyj แฉกข้างล่างออกrthrtจะแหลมykyuk มีเกสuilรตัวykykyผู้ปuilริมาณ 4 ก้าน สuilองคู่จะยาrgeruilวkygeujtyjtykไม่เท่uilากัน และoi;iyukก็มีเกสรตัวเมียethtyj;po'จำนวน 1 ก้าน อยู่เหนือวงuilกลีบ โดยดอukyukykyuuilกปีบจะมีuilดอกhในช่วงพ.ย.ถึงkyuพฤษภาคมyukyดjtyอกปีบผลo;ปีบ ลักtytykjษณะได้uilผลytyjytkงาดำแห้kykuyukyuงแตกuil ผลแuilบนยาว ขอบuilนาน มีyuuylเนื้อรวมทั้งเม็htrดเป็นจำนวนมาก เป็นแผ่นบางมีปีgtyกสรรพคุณของปีบดyอกมีคุณประโยชน์เป็นยาบำluilukyergรุงกำลัง (kiuดอก)ช่วยบำรุงโลหิต (ดอก)รากช่วtrjยบำรุงปอด (ราก)ช่วยjyuรักษาวัณโรค (ราก)ใช้เป็นยารักษาhtytyjytjyไซนัerสอัyukกเสบ (ดอก)ช่วยรักuiluษาริดสีดวงจมูก ด้วยการใช้ดอกที่ilตากแห้งแล้ehrejtyjวเอามามวนเป็นยาสูบดูดเพื่อรักio;iษาอาการ งาดำ(ดอก)ช่วยรักjtyษาอาการหอบหืด หอบอ่อนแรง ทำใi;io;ห้uilระบบการหายใจดีขึ้นด้วยการใช้ดอกปีio;บแห้งราวๆ 6-7 ดอก แล้วมวนเป็นtyjyukyukยาสูบสูบ เพื่อerggรักษาอาการหอบหืดได้ (ราก, ดอก)วยรักษาปอดพิการ (ราก)ใช้เป็นยาแก้ลม (ดอก)ใบใช้มวนเป็นยาสูบสูบแทนฝิ่น เพื่อช่วยขยายหลอดลมแล้วก็รักษาอาการหอบหืดได้เหมือนกัน (ใบ)

6

ขิง ใบสายหยุดเป็นพืชใบเลี้ยงคู่ แตกใบออกเป็นใบเดี่ยวเยื้องสลับกันบนส่วนปลายของกิ่งกิ้งก้าน ใบมีรูปหอก โคนใบกว้าง ปลายใบแหลม มีก้านใบสั้น แผ่นใบเรียบ ขอบของใบโค้งเป็นคลื่น ใบอ่อนมีสีเขียวอ่อน เมื่อrtjhtyjytkjtyjytkutkแก่มีสีเขียวเข้ม แล้kyuวก็เป็นเงา ขิงขนาดใบกว้าง 5-7 เyukซนติเมio;opi'poop''ตร ยาว 10-15yuk เtywsgjtyซนติเมตร แผ่นใบมีเส้นกลางใบกระจ่างแจ้ง kมีเส้yukนใบกิ้งก้านแhยrกสลับerhกันออกข้างๆ 5yuk-10 คู่ ขึ้นกัregrehtบrthความยาวของใบ ทั้งนี้ ใบสายหยุrtyykhดจะเขียวyukดกตhyjyukลอดทั้งปีดอกดอกสายหยุด เป็นดehอrกชนิrดโดดเดี่ยoi;ว io;แทงออกตามซอกใบ มีก้านดอกสีเขีjtyว ยาวราวๆty-5 เซนติเมตรyuktyถัดมrthrา|ต่rhอมา}เป็tyjนตัวดอกที่yujyมีกลีtyjบเลี้ยงรูปหอก 3 อัน ขkyuนาดเท่yukyukyukjนeryuyukg และhty กว้างราวๆ 1.2-2 jtyซม. jtแผ่นกลีบyjและ|และก็|แล้วก็|รtjyukวมทั้ง}ขอบtyกลีบtyดอกไjtyม้ดอกเรียบ และyผ่ytjนกtrลีบดอกเห็นเส้นกลีบแจ่มแจ้งjty โดยกลีบเมื่อบergานสุดกำลังจdrhะส่วนปลายกลีบrthโค้งงอเข้าพบh|ภายใrละก็|แล้วก็|รวมทั้ง}มีรังไข่จำนวนไม่น้อย 15-30 อัน แต่ละอันhrมีที่yuktไข่อ่อน 1-7 อัน ซึ่งส่วนนี้จะก้าวหน้าเป็นผลที่มีลักyukษณะสำเร็จย่อยเรียงชิดกันดอกสายหยุดจะเริ่มบานในขิงและก็oiบานได้นานหลlวันoกว่าที่กลีบดอlกrthจะหล่น ซึ่งขณะกลีบyukkดอกไม้บานrthukyutจhะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆโดยยิ่งไปกว่าyukนั้นช่วงเช้าจะมีกลิ่นหอมyukหวนเยอะที่สุด รวtyjมทั้งกลิ่นจะค่อยอ่อนลงเมื่ออากาศร้อนขึ้นทั้งนี้ ดอกจะบานสม่ำเสมอตลอดในช่วงฤดูrthฝนดอกสายหยุดผล และเมล็ดผลสายหยุดมีรูปร่างผิดตาที่ไyjytม่tyjเหมือนผลของอื่นๆคือ ผลออกเป็นช่อที่ส่งผลย่อยอยู่บนก้านผkykหลักเดียวtrhกัน ขิงและก็แต่ละผลจะkyuส่งผลย่อยเรียงติดกัน เป็น ผลมีลักษณะเป็นคอคอดเว้าเป็นพักๆ2-6 ตอน หมายคือผลผลที่ติดเรียงกันเulถอดๆโดยในyuแต่ละช่อผลuiจะส่uilผล{ประมาณ|ราว|ราวๆ|โดยประมาณuil1u0-30 ผล แต่iะผลจะมีผลย่อยเรียงติดกัน 2-7 ผล หรืออาจมีเพียงแค่ผลเyjtดียว รวมทั้งผลย่อยแต่ytละผลจะมีเม็ด 1 เม็ด ด้วยjyukuiluiเหตุนั้นขิง ภายใน 1 ช่อผล จะมีผลได้มากถึง 210 ผล

10
อื่น ๆ / Re: ขายส่งว่านชักมดลูก กล้วย คือผลไม้
« เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2018, 08:09:27 AM »
ว่านชักมดลูก

11

ทับทิม ผักขจร มีชื่อแคว้นอื่นๆว่า สลิด ฟุ้งกระจาย (ภาคกึ่งกลาง), ผักสลิด (จังหวัดโคราช), กะจอน, ขะจอน, สลิดป่า, ผักสลิดคาเลา, ผักขิกyuk เป็นต้wrhjytjtefergนลักษณะขอlutkil;iop;op;opงทับทิมขจร'[p'p[pต้นฟุ้งกระจาย หรือ ต้นสลิด มีถิ่นกำเนิดkyukyukyuนประเทศkuyจีนแล้วก็อินเดีย โดยจัดเป็นไม้เถาเoi;io;oi;ลื้อยพิงพันกัio;io;บต้นไม้ชนิดอื่น สามารถเkyyukukuลื้อยพัtykuyukuiloiuนไปได้ไกลราวๆ 2-5 เมตร เถามีขนyukาดเล็ก ลักษณะกลมเuiluหนียวมliากและก็เป็นสีเขียว เมื่อแก่เถาแผ่กว้างจะกลายเป็นสีน้ำตashjytjtyjtyาล ตามยอดอ่อนมีขนสีขาวขึ้นปกคลุม แตกใบเป็นพุ่มไม้yukแน่นและก็ทึบ ทำluiluiyukyuklให้บางเวลาyพุ่มไม้yukของของต้yukedนแพร่จะแผ่yกคลุมต้นไม้อื่นได้yukมิดkkyuอย่างยิ่งจyukริงๆ เพาะพันธุ์ด้uiluiวiulยแนวทางปักชำรวมทั้งแukyสงตะวัyukyukyukนจัด สามารyukพบ|เจอ}ได้ทั่yukวทุกภาคของเมืองไทย ykyukuโดยจะขึ้kyuนได้ตามป่kuาดิบแล้ง ป่าkyเบญจพรรณ ป่าละเมาะ ป่าเต็งรังต้นฟุ้งกระจายใบขจร หรือ ใบสลิด ใบเป็นใบเyuyuดี่ยว ออกyuyuyukkตรงข้ามกันเป็นคู่ yukลักษณะของใบเป็นรูปkหัวใจ คล้ายใบโพธิ์หรือใบพลู ปลาyukยใบเรียวแหลมยาวเป็นติ่ง (เหมือนใบต้นข้าวสาร) โคนใบมนเว้า ส่วนขอyukบของใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างราวๆ 4-7.5 เซนติเมตร และก็ยาวราวๆ 6-11 ซม. ข้างหลังใบแล้วyukก็ท้องใบเรียบ แผ่นใบบางทับทิม สะอาด ไม่มีจัก จะเuilห็นเส้นใบชัด หน้าใบเป็นคลื่นน้อย ใบเป็นสีเyukขียวอมสีแดงน้อยdj ส่วนก้านใบยาyuyukuykyukวประมาณ 1.2-2 ซม.ใบสลิดใบแผ่กว้างดอกjyu{ขจร|แผ่กว้าง|yjtyukyuk 10-20 ดอjtytyก ดอกย่อyukยมีลักษliะแข็งเป็นสีเขียวอมสีliuเหลือง ดอกมีกลิ่นหอมยkuyukนใจ (หอมแรyukyufrว่าดอกชำมะนาดหรือกลิ่นของio;ใบเตย โดยจะหอมมากมายในตอนเวyukuiลkyyuาเย็นถึงช่วงกลางyjคืtน) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางดอกราว kyyuk1.5 เซjtrนติเมตรทับทิม กลีบมี 5yuk กลีบ ส่วนโคนกลีบเชื่อมติดกันเyukkป็นหลอดสั้นๆกลีบย่นแล้วก็บิด ปลายแยkuกเป็นแฉกแหลม 5 แyukฉก ดอกมีjtyเกสรเพศผู้ 5 ก้าน ติดอยู่บนหลอดกลีบ เชื่อมติดกัtyjนเองแsdrgrtjhtyละก็เชื่อมติดกับยอดเกสรเพศเมีย แล้วจะเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นชั้นเครื่องกั้jytytyนรอบ โอบล้อมก้านtyjยอดเกสเพศเมียรวมทั้งjtกสรเพศเมียเอาjtyไว้ แล้วก็มีชุดกลุ่มเรณูอยู่ 5 ชุด ซึ่งมีลักษณะการเกิดคล้ายกับในดอกรัก เกสรเพศเมียจytyะมีรังไข่ 2 อัน แต่ว่าjมีก้านยอดเกสรเพศเมียแล้วก็ทับทิมยอดเกสรtyjพศเมียด้วยกัน ส่วนกลีบเลี้ยงดอกเป็นสีเขียว มี 5 กลีบ แยกจากกันมีอิสรภาพ โดยจะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม บ้างว่าจะออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงต.ค.

12

ดาวเรือง ผักหนาม อย่ามีความคิดว่าเป็นเพียงแค่พืชชายน้ำ หรือเป็นพืชอันตรายที่มีหนามเยอะแยะ เพราะเหตุว่าจริงๆแล้วผักหymนio;ามมีประโยชน์ดาวเรืองแล้วก็{สรรพคุณ|คุณประโยชน์?p'p'กกว่าที่ทุกคนคิด ! ผักหนาม เyu,ป็นอย่u.างไร ? เชื่อว่าผู้คนจำนวนio;มากyjtyjtอาจoi;ioไม่ชินหูกับผักชนิrjnytukul;i;ดนี้ แต่ว่าน่าจะพอเดาไyjtyด้ว่าจะต้องมีหนามเezyukshbdtjmykยอะแน่นอนrthซึ่งอันที่จริงแyukyล้วผั;ioหนามเป็นioผักซึ่ง;olสามารถesrhrytyjhehjyพบyukเจอได้rthทั่วๆไะพปในป่า รวมทั้งioluilพื้นที่เปียกชื้น บริเuiวณuiluiluiริ;ioมน้ำ ukyukคลอง คนสามัญที่รู้จักผักuilหนาytyjtyjikiuมโดยมากจะนำมiluาทำเป็นของกินio;ทานค่ะ เนื่องจากผักหนามนับว่าเป็fjnyukนผักที่มีคุณiปรtjtuilะโยชน์และilก็uให้ท่านค่าทางโภชนาการมากมายทีเดียว วัuiliuluiนkนี้เราเลยนำเรื่องราวและคุณปilระโยชน์ซึ่งมาจากผักหio;io;นuiluiามมาฝากกันค่;o ผักio;หนาม หรือกะลี มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ oi;มีหนามแหลมตามลำต้นio;และก็ใบ ถูกใจขึ้นตามดินio;io;โคลนรวมทั้io;พื้นที่เปีio;กชื้นริมน้ำ พio;บในทวีปเอเio;ยเขตร้อนอย่างตอนio;ใต้ของจีน เอเซียอาคเนย์ แล้วก็ประเทศอินเดีย นิยมเด็ดมาต้มกินกับน้ำพริก ซึ่งนอกจากจะรับประทานกับน้ำพริกอร่อยแล้ว ประโยชน์ซึ่งมาจากผักหนามยังมีอีกมากมายเลยค่ะ เมื่อก่อนจะไปดูประโยชน์ของผักหนาม เรามาทำความรู้จักผักหนามให้มากยิ่งกว่านี้กันก่อนจ้ะลักษณะทางพฤกษ์ศาสตร์ของผักหนามลำต้น : ลำต้นผักหนามเป็นเหง้าแข็งอยู่ใต้ดิน เลื้อยขนานกับพื้น มีหนามแหลมอยู่ตามลำต้น โดยลำต้นจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางราวๆ 4-5 ซม. ดาวเรืองแล้วก็ยาวได้ถึง rjyuk75 ซม. ชอบขึ้นบริเวณที่เฉอะแฉะหรือมีน้ำขัง ใบ : ใบของผักหนามเป็นใบคนเดียวทtuรงหัวลูกศร ผืนใบเรียบ สีเขียวเข้ม ขอบใบหยักเว้าลึกเป็นแฉกเกือบถึงเส้นกลางใบ เรียงสลับกัน โดยใบมีความกว้างมากกว่า 25 ซ;io;yioม. ยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร มีหนามอยู่รอบๆ;ข้างหลังแล้วก็เส้นกึ่งกลางใบ ส่วนใบอ่อนจะม้วนเป็นแท่งกลม ปลายแหลมoi;ก้าน : ก้านของผักหนาio;มมีทรงกระบอก แข็ง ยาวราวๆ 40-120 ซม. และมีหนามแหลมตามก้านใบ ดอก : ดอกของผักหนามเป็นช่อเชิงลด เป็นเป็นช่อดอกแบบไม่สิ้นสุด มีทรงกระบอก เป็นแท่งยาวเท่ากับใบ ประmymui,.u.มาณ 4 เซนติเมตร ออกมาจากกytkาบใบ ก้านของดอกมีหนามดาวเรืองแล้วก็สามารถยาวได้ถึง 75 เซนติเมตร มีดอกย่อยui.เยอะแยะ ใบประดับประดาเป็นกาบสีน้ำตาลผสมเขียวถึงสีม่วง ยาวถึง 55 เซนติเมตร โดยกาบจะม้วนเป็นเกลียวไปกระทั่งสุดความยาว ช่อดอก.uo.oมีสีน้ำตi.uล มีดอกเพศผู้เยอะมากอยู่ด้านบนดาวเรือง และก็ดอกตัวเมียอยู่pด้านล่างในจำนวนไม่มากมาย ดอกจะออกตอนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน

13
อื่น ๆ / Re: ขายกวาวเครือเเดง มังคุด (Mangosteen)
« เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2018, 01:53:09 AM »
กวาวเครือแดง

14

หญ้าหวาน มะเขือยาวเป็นพืชสวนห้องครัวที่อุดมไปด้วยวิตามินรวมทั้งเกลือแร่ ก็เลยมั่นใจว่ามะเขือยาวบางทีอาจมีผลดีต่อสุขภาพรวมทั้งอาจช่วยรักษาtjyukrป้องกันrtio;io;hหญ้าหวาน;io;oรคบางชนิดได้ ขึ้นรถอาหารในtykilio;มะเขือยาวที่มีสาระต่อร่างกาย เช่น ใยอาหาร โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แมงกานีส โพแทสเซียม โฟเลต ulวิตามินซี รวtyjtyjuiluilมทั้งวิตามิuyนเคมะเขือยาวหkuilากแม้มะเขือยาวเป็นแหล่iuluilo;งโyjyukuitภชนากio;ารiolioที่สำrthคัญขอio;งสารอาหารต่างๆแต่ในทางวิทยาirnhjulศkjyukาสตร์i;oio;และก็การแพทย์ยังไม่มีio;io;iouilulil;กoi;ารยืนยันคุณสio;มบัติของมะเขือยาวrhoi;rthเuilพื่อการดูแลuiluiและรักhtyษาโรคแต่อย่างใด มีuilเพียงแค่หลักuilฐาuilนบางส่วนที่uilแส;oi;ดงถึงประสิทธิผลของมะเขือยาวในด้uilานต่างๆดังต่อykปนี้านอนุมูลuilสระโดยธรรมดาlul สารอนุมูลอิergrสระเกี่ยวเนื่tyjytjtyjhuiองกับวิธีทำuilงานภายในเซลล์uyukytkiluร่างกาย แต่ว่าถ้าหากร่างก;io;oi;io;าyukyukkยมีสารนี้มากจนเกินไป บางทีuilอาจทำความเiuสียหายแก่เซลล์และก็นำมาซึ่งyukyukการก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพต่างๆได้ มีywfgukสมมติykฐานว่าสioารให้jtyสีแอนโทไซยานิน (Anthio;ocyanins) ในมะเขือยาวอาจมีคุณลักษณะต้านทานอนุมูลอิสระได้ จึงมีการนำสารสกัดจากเปลือกมะเขือยาวไปค้นคว้าหาคุณภาyuพด้io;io;oi;านการต้านอนุมูลyukอิสระในหลอดทดลอง พบว่าสารแอนโทไซยาyuio;iokนินอาจมีฤทธิ์คุ้มครองป้องกันการทำyjtyลายเซลล์จากสารอykนุมูลอิสระได้io;อย่างไรก็ดี งานค้นคว้าวิจัยดังกล่าวข้างต้นหญ้าหวานเป็นการศึกtเรียyjjtyนio;iแบบอย่างเซลล์ใ;ioน;iooห้องปฏิบัติการเท่io;านั้น จำkyuเiป็นที่จะต้องค้นp['คว้าศึกษาค้นคว้าเพิ่มอีกโดยการทำกio;ารทดสอบในio;มนุluiษย์ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจuilนและก็เกิดคุณประโยชน์ต่อไtyjปในอนาคตลดระดับน้ำตาลในเลือดระดับน้ำpo;ตาลใjtyนเลือดสูงมีop;op;ต้นเหตุมาจาuiluilกไม่อาจควบคุมระuilดับuilน้ำuilตาลได้ตามธรรมดา และถ้าหากปล่อlluiuiยให้ระดัluilบน้ำio;ตeาลในเลือjtyสูtyjงโดยมิได้รับการรักษา อาจทำให้uiเกิด|กำเนิด}โรคแyulkuiละภjsejhาวะแทรกซ้อนอื่นๆตามมาได้ด้วยมะเขือยาวมีสารพฤกษเคมีโพลีฟีนอลที่เช้uiาใจกันว่าอาจช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลแล้วก็เพิ่มการสร้างอินซูลินเพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้ ก็เลยมีงานศึกษาค้นคว้าแลuiะทำการวิจัยในหลอดทดสอบที่ศึกษาสารสกัดจากมะเขือยาว พบว่ามะเขือยาวอาจuiluiluiloiช่วยลดโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวโยงกับกรรมวิธีดูดซึมน้ำตาลภายในร่างกาย ซึ่งช่วยลดระดับน้ำตjtาลในเลือดลงได้ด้วย แม้กระนั้นyukyukyukกาiuรทดสอบดังที่ไjyuyuด้กล่าวมาแล้วได้แก่การใช้สารสกัyukyukyukดทดสyjkytkyukykykอบกับเซลล์แบบอย่rthrางในห้องปฏิบัติการหญ้าหวาน ดังนั้น ควรจะมีการศึกษาเรียนรู้และค้นคyukuiiuluilว้าและทำการวิจัยทดสอบในมนุษย์ถัดไป เพื่อประสิทธิผลสูงสุดทthางสุขภาพrthและก็การแพทย์ลดการเสี่ยงโรคหัวใจโรคหัวใจเป็นโรคอันตราtyยที่รุนแรงjต่อชีวิตถ้าผู้เจ็บป่วuykยyukมิได้รักษาดูkyuแลอากาuyา|เนื่ytองจากว่า}มะเขืjyuอยาวมีสาrthรอาหาrttyhให้ประโยชน์ในที่มาของโรคหัวใจได้ด้วยแม้thrบางงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยtyjtyjที่ทดlioสอuiบในสัตว์พบว่า มะเขือยาวอาจช่วยuilลดระดับไขมันชั่วช้าสารเลวyjt (LDL Cyukholesterol) แล้วก็สารสามกลีเซอร์ไรด์ (Triglytrjceride) ที่เพิ่มความเสี่ยงของโrthtyjryrtyรคหัวใจได้หญ้าหวาน แม้กระนั้นการทดสkjtyอบใช้ผงสกัดจากมะเขือยาวเพื่อลดระดับไขมันในเลือดของคนเรากoi;;ลับไม่พบความเคลื่อนไหว;opของระดับไขมันที่มีความนัยสำop;คัญอะไร ก็เลยไม่อop;op;าyukyukyuจสรุปประสิkทธิผลของมะเขือยาวต่อการลดระyukดับไขมันในเลือดได้ในช่วงเopวลานี้ ควรค้นคว้าทดสอบเพิ่มเติม เพื่อได้ผลลัพธ์ที่มีคุณประโยชน์เด่นชัดถัดไปในอนาคต

15

ขายส่งมะรุม ผักเบี้ยหินผักเบี้ยหิน ชื่อวิทยาluliอดของผักเบี้ยหินกับตัวทดลilkuilง โดยแบ่งหนูtkyjที่ถูกกระตุ้นให้เป็นเบาหวtyานด้วย streptrtjyukoi;ozotocin ออกเป็นrhte4 op']กรุ๊ป กลุ่มละ 6 ตัว แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม กลุ่มหวานใจษาด้tyjวdetjyukยยามาตรฐาy;น;ซึ่jtyงใtyช้ลดน้ำตาลใi;iooนเลือด (glibenclamide)มะรุมราคาถูก ในขนาด 1 มิลลิกjtyรัมต่อuilกิโลกรัม|กก.|กิโล|โล} ส่วนอีก 2 กรุ๊ปให้สารสกัดเtyjมทานอลขtyjองtyjผักเบี้ยหิน ขนาด 100 แล้วก็ 200 มก.ต่อกิtyjโล เป็นjtyjtyลำดับ ผลการทดลองพบjtuliว่าสารสกัดเมทาuiyjtylนjtyอลขjองผักเบี้ยtyหินส'oขายส่งมะรุมเเคปซูลp'ามาjtydjyyuรถช่วยลดระดับน้ำop'ตาลในเลือดของtyjหนูแรทได้อย่างเป็นจริงเป็นจังหtytyjลัtyjงขายส่งมะรุมเเคปซูลกินเข้าไป 1 ชั่lgiวโมง พรรณtyjม้ที่ขdtkyuk.ยายพันธุ์tjtyyด้วยแนวทางเพาะเมล็ดj จัดเป็นพรรณไม้กลางioop';แจ้งที่ถูกใจแสงอาทิตย์uil;แดดจัดเต็มวัน มีความชุ่มชื้นปาio;นกลาง พบในข้าวไร่และที่นาui;oดอนพื้นที่นาน้ำฝl;uoi;น ioประโยชน์ของ|ประโยชน์ที่ได้รับมาจาก|dejtประโio;;ยช์จาก|ปรjtyjะโยชน์ซึ่งมาจาioก|io;ประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจาก|คุณ;io;ปioระโยชน์ขykylอง|คุณประโยaชน์ที่ได้รับมาจาก|คุณประโยช์จาก|คุณประio;โยชน์ซึ่งมาจาก|คุณประkuโliยชน์ต่างๆที่ไo;รับจาก}ผัuyk;opกเบี้ยหินใช้ปรุงเป็นของกินหรือขายส่งมะรุมเเคปซูลรับประytktrทานสดty ข้อมูลทางเภสัชวิทยาio;ของผักเบี้ยหินนั้น จากการเรียนรู้ฤjhrทธิ์ลดระดับน้ำตาลใio;hrttนเลือดของผักเบี้ยio;หินกับตัวทดลอง ผลของการทดสอบมะรุมราคาถูกพบว่าสารสกัดเrthทานอลของผักเบี้ยหินสามารถช่วยลดระดับน้ำjtyjตาjtyลในopเลือดของหrtjntyขายส่งมะรุมเเคปซูลนูแรo;ioทได้อย่างเป็นจริงio;เป็นจังหลังกินเlio;ข้าไป 1 ชั่วโมง รวมทั้งจะrehtrลrthดระดับน้ำตาลได้ดีที่สุดjหลังรับประทานเข้าไป jty4 ชั่วโมง แสดงให้เห็นว่าio;สารjtyดังกล่าว|ดังที่กล่าวมาแล้ว|ดังที่กล่าวถึงมาแล้ว|ดัiukyuที่กล่าวผ่านมาแล้ว|ดังที่กล่าวถึงtyjtyjแล้ว|ดังกล่าวข้างต้น|ดังกล่าวมาแล้วuilข้างต้น|ดังrtที่กล่าวมาข้างต้น|ดัrthงที่tyjกล่าวtyมาแล้วข้างต้น|ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว|ดังที่ได้กio;ล่าวมาแล้วข้างต้น|ดังที่ไjtyjtyด้กล่าวผ่านมาแล้ว}มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูที่เป็นขายส่งมะรุมเเคปซูลโรคเบาหวานได้เสมอกันกับการดูแลรักษาโดยใyjช้ยามาตรฐานที่ใช้ลดน้ำตาลในเลือด (glibenclamide)2ยtyjtyjyาวราว มะรุมราคาถูก1-1.5 มิลิเมตร ไม่ร่วง กลีบเป็นสีชมพูอ่อนหรือสีชมพูแกมขาว แยกจากกัน มี มะรุมราคาถูก5 กลีบlkuil กลีบดอกมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานปลายแหลม ช่วงปลายกลีบเป็นwhrtlติ่งแหลมสีม่วง กลีบมะรุมราคาถูกมีขนาดกว้างราว 1-1.5 มิลลิเมตร แล้วก็ยาวมะรุมราคาถูกประมาณ 2-3 มม. ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวนมาก ติดอยู่บนกลีrtบดอก ขายส่งมะรุมเเคปซูลก้านยกอับเรณูเป็นสีขาวยาวราวๆ r2-3 มิลลิเมตร อับเรณูเป็นสีชมพูth มะรุมราคาถูกเกสรเพศเมียมี 1rthrt อัน รังไข่ superior otyhvary มีก้านเกสรเพศเมียยาว 3 มม.ขายส่งมะรุมเเคปซูล ยอดเกสรเป็นเส้น รังไข่เป็นทรงกระบอกมี 1 ห้อง ออวุลมี 2-8 อัน ออกดอกได้ตลอดทั้งปี

Tags : มะรุมราคาถูก

หน้า: [1] 2