รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - oiksdfu01457

หน้า: [1]
1

ขิง
ขิง ชื่อสามัญ Ginger (จิน’เจอ)
ขิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Roscoe จัดอยู่ในสกุลขิง (ZINGIBERACEAE)
ขิง จัดเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสถาพทางร่างกายในหลายๆด้าน เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินและก็แร่ธาตุที่มีความจำเป็นอย่างมากต่อสถาพทางร่างกายของเรา ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส แถมยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แล้วก็เส้นใยมากไม่น้อยเลยทีเดียวอีกด้วย ซึ่งคุณประโยช์จากขิงนั้น เราสามารถประยุกต์ใช้ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นราก เหง้า ต้น ใบ ดอก แก่น แล้วก็ผลก็ได้ทั้งนั้น
ประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิง
-ขิงจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะชั้นเลิศ
มีสารต้านอนุมูลอิสระไม่น้อยเลยทีเดียว ช่วยชะลอความแก่แล้วก็ชะลอการเกิดริ้วรอย
มีส่วนช่วยสำหรับการคุ้มครอง ต้านการเกิดโรคมะเร็ง ต้านการเติบโตของเซลล์ของมะเร็ง
ช่วยลดผลข้างเคียงจากสารเคมีที่ใช้เพื่อการรักษาโรคมะเร็ง โดยเหตุนี้ควรจะกินขิงพร้อมกันไปกับการดูแลรักษามะเร็งจะมีผลดี
ขิง มีฤทธิ์อุ่น ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น รวมทั้งช่วยในการขับเหงื่อ
ช่วยแก้อาการร้อนใน ด้วยการใช้ลำต้นใหม่ๆนำมาตีให้แหลกราว 1 กำมือ แล้วต้มกับน้ำ
ช่วยลดความอ้วน ลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอล ด้วยการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากไส้ แล้วปลดปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกทางอุจจาระ
ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะรวมทั้งไมเกรน ด้วยการกินน้ำขิงเสมอๆ
ช่วยลดความอยากของผู้ติดสิ่งเสพติดลงได้
แก้ตานขโมย ด้วยการใช้ขิง ใบกะเพรา พริกไทย ไพล มาบดผสมกันแล้วเอามารับประทาน
ช่วยรักษาโรคความดันเลือด ด้วยการนำขิงสดมาฝานต้มกับน้ำกิน
ช่วยบำรุงหัวใจของคุณให้แข็งแรง
ช่วยทุเลาลักษณะของโรคประสาท ซึ่งทำให้จิตใจหม่นหมอง (ดอก)
ช่วยฟื้นฟูร่างการสำหรับคุณแม่หลังคลอดลูก ด้วยการรับประทานไก่ผัดขิง
มีส่วนช่วยให้เจริญอาหาร (ราก, เหง้า) ด้วยการใช้เหง้าสดประมาณ 1 องคุลีเอามาต้มกับน้ำกิน ก็จะได้เป็นยาขมเจริญอาหาร
ใช้รับประทานเพื่อบำรุงเป็นยาธาตุ บำรุงธาตุไฟ (เหง้า, ดอก)
ใช้บำรุงน้ำนมของแม่ (ผล)
ช่วยทำให้นอนหลับได้อย่างสบาย
การกินขิงจะช่วยทำให้เลือดแข็งเป็นลิ่มเลือดได้ช้าลง
ใช้แก้ไข้ (ผล) ด้วยการนำขิงสดมาคั้นเป็นน้ำให้ได้ราวๆครึ่งถ้วย แล้วผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วย แล้วนำมาดื่มวันละ 3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการได้
ช่วยแก้หวัด ทุเลาอาการไอ บรรเทาหวัดจับเสมหะ ด้วยการใช้ขิงสดฝนกับน้ำมะนาวใส่เกลือหน่อยเดียว
ละอองน้ำหอมระเหยจากน้ำขิงช่วยทำลายไวรัสหวัดในทางเดินหายใจได้
แก้ลม (ราก)
ในคนเจ็บที่มีลักษณะอาการเมายาสลบข้างหลังผ่าตัด น้ำขิงช่วยแก้เมาได้
ช่วยแก้อาการเมารถ เมาเรือได้เป็นอย่างดี ด้วยการใช้ขิงสดเอามาตำให้แหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำ (ไม่ต้องดื่มน้ำตาม)
ช่วยขจัดปัญหาผมตก หัวล้าน ด้วยการนำเหง้าสดไปผิงไฟจนอุ่น แล้วเอามาตำให้แหลก นำมาพอกรอบๆที่มีผมตก วันละ 2 ครั้งจนถึงอาการดียิ่งขึ้น หรืออีกวิธีก็คือคั้นเอาเฉพาะน้ำขิงมาผสมกับน้ำมันมะกอกแล้วเอามาหมักผม นวดให้ทั่วศีรษะราว 30 นาทีก็ช่วยลดปัญหาผมร่วงได้เช่นกัน แถมยังช่วยทำให้ผมสวย แข็งแรง มีความอ่อนนุ่มลื่น ไม่ขาดง่ายอีกด้วย
-ช่วยบำรุงรักษาสายตา รักษาโรคเกี่ยวกับตา และก็ใช้แก้อาการตาพร่า (ผล, ใบ)
ช่วยรักษาอาการตาเฉอะแฉะ (ดอก)
ช่วยแก้โรคกำเดา (ใบ)
ใช้แก้อาการคอแห้ง เจ็บคอ (ผล)
ใช้รักษาอาการปากคอยุ่ย ท้องผูก (เหง้า,ดอก)
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดฟัน ด้วยการนำขิงแก่มาทุบอย่างรอบคอบคั่วกับน้ำสารส้มจนกระทั่งเกรียม แล้วบดกระทั่งเป็นผง ต่อจากนั้นนำมาพอกรอบๆฟันที่ปวดแก้เสมหะ เสมหะขาวเหลวจำนวนมากมีฟอง (ผล, ราก)ช่วยรักษาภาวะน้ำลายมาก อ้วกเป็นน้ำใสช่วยลดกลิ่นปาก แก้อาการปากเหม็น ด้วยการนำขิงมาคั้นผสมน้ำอุ่นแล้วก็เกลือน้อย เอามาอมบ้วนปาก ช่วยฆ่าเชื้อโรคในปากได้อีกด้วยช่วยทำนุบำรุงฟันและคุ้มครองป้องกันการเกิดฟันผุ
ช่วยขจัดกลิ่นรักแร้ ด้วยการใช้เหง้าขิงแก่นำมาตีให้แหลก แล้วเอามาคั้นเอาน้ำมาทาจั๊กกะแร้เสมอๆ จะสามารถช่วยในการกำจัดคราบกลิ่นได้
ช่วยแก้อาการสะอึก ด้วยการใช้ขิงสดตำกระทั่งแหลก คั้นเอาเฉพาะน้ำผสมกับน้ำผึ้งนิดหน่อย คนจนเข้ากันแล้วเอามาดื่ม
ช่วยรักษาโรคบิด (ผล, ราก, ดอก) ด้วยการใช้ขิงสดราว 75 กรัม ผสมกับน้ำตาลทรายแดง นำมาตำจนกระทั่งเหมาะ แล้วกิน 3 มื้อต่อวัน
ช่วยแก้อาการอาเจียน (เหง้า, ผล) ด้วยการนำขิงสดประมาณ 5 กรัมหรือขนาดเท่านิ้วโป้งมือ เอามาทุบให้แตกแล้วต้มกับน้ำ
ช่วยลดการอาเจียนคลื่นไส้จากการแพ้ท้อง (สำหรับหญิงมีท้องไม่สมควรกินหลายครั้งจนเกินความจำเป็น)
แก้อาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง ขับลมในไส้ (ผล, ราก, ใบ) ด้วยการนำขิงแก่มาตีพอแหลก เทน้ำเดือดลงไปครึ่งแก้ว แล้วปิดฝาตั้งทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 5 นาทีแล้วนำน้ำมาดื่มระหว่างมื้อของกิน
ช่วยรักษาอาการปวดในตอนหลังหรือก่อนประจำเดือน ด้วยการนำขิงแก่ที่แห้งแล้วราวๆ 30 กรัมมาต้มกับน้ำเป็นประจำ
ช่วยสำหรับการย่อยของกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ดอก)
ช่วยคุ้มครองการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการจุกเสียด (เหง้า)
ช่วยสำหรับเพื่อการขับถ่าย และช่วยในเรื่องของระบบลำไส้ให้ปฏิบัติงานได้อย่างเป็นปกติ
ช่วยฆ่าพยาธิ พยาธิกลมจุกไส้ (ใบ) ใช้น้ำขิงผสมกับน้ำผึ้งแล้วเอามาดื่ม
ช่วยแก้อาการขัดฉี่ (ดอก, ใบ)
ช่วยรักษาเยี่ยวรดที่พักผ่อนในผู้ป่วยที่มีสภาวะหยางพร่อง มีความเย็นในร่างกายเป็นเหตุ
ช่วยรักษาโรคนิ่ว (ใบ, ดอก)
ช่วยแก้อาการฟกช้ำ (ใบ)
ขิง ช่วยรักษาอาการปวดข้อตามร่างกายด้วยการรับประทานขิงสดเป็นประจำ
มีฤทธิ์ช่วยต้านทานเชื้อแบคทีเรีย
ใช้เป็นยาแก้คัน ด้วยการนำแก่นของขิงฝนทำเป็นยา (แก่น)
ขจัดปัญหาหนังที่มือลอกเป็นขุย ด้วยการใช้เหง้าสดมาหั่นเป็นแผ่น แล้วนำมาแช่เหล้า 1 ถ้วยชา ทิ้งเอาไว้ 24 ชั่วโมง แล้วนำแผ่นขิงมาถูบริเวณดังกล่าวข้างต้นวันละ 2 ครั้ง
ช่วยรักษาแผลเริมรอบๆหลัง ด้วยการใช้เหง้า 1 หัว เอามาเผาผิวนอกกระทั่งเป็นถ่าน รอปาดถ่านที่ผิวนอกออกไปเรื่อยๆแล้วนำผงที่ได้มาผสมกับน้ำดีหมูเอามาทาบริเวณที่เป็นแผลหากถูกแมงมุมกัด ใช้ขิงสดฝานบางๆเอามาวางทับบริเวณที่ถูกกัดจะช่วยบรรเทาอาการได้ช่วยรักษาอาการมือเท้าเย็น กลัวหนาว เย็นท้อง ฯลฯ ช่วยคุ้มครองป้องกันการแพ้อาหารทะเลจนถึงเกิดผื่นคัน ผื่นคัน หรือของกินช็อกประโยชน์ที่ได้รับมาจากขิง
ช่วยรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการนำขิงสดมาตำให้แหลก แล้วนำกากมาพอกรอบๆแผล เพื่อคุ้มครองป้องกันการอักเสบแล้วก็การเกิดหนองในขิงมีสารที่สามารถใช้กันบูดกันหืนในน้ำมันได้
ในด้านการประกอบอาหารนั้น ขิงสามารถช่วยเพิ่มรสอาหารได้อย่างดีเยี่ยม แล้วก็สามารถช่วยกำจัดกลิ่นคาวของของกินได้ดิบได้ดีอีกด้วย
ในด้านความสวยสดงดงามนั้นมีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของขิงอีกด้วย
ช่วยทำให้ผิวพรรณเรียบเนียนยิ่งขึ้น ด้วยการนำขิงสดมาขูดเป็นฝอยแล้วเอามานวดบริเวณต้นขา ตูด หรือรอบๆที่มีเซลลูไลต์จะช่วยลดความขรุขระของผิวได้อีกด้วย
สินค้าจากขิงนั้นนำมาดัดแปลงได้หลายชนิด ยกตัวอย่างเช่น ขนมบัวลอยน้ำขิง ขิงแช่อิ่ม ขิงเชื่อม ขิงกระป๋อง ขิงแคปซูล น้ำขิงมะนาว เป็นต้น

ขั้นตอนการทำน้ำขิง
วิธีทำน้ำขิงกระบวนการทำน้ำขิงขั้นแรกให้จัดเตรียมส่วนประกอบดังนี้ ขิงแก่ 1 โล / น้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วยตวง / น้ำสะอาด 3 ลิตร
นำขิงที่ได้ไปล้างให้สะอาด นำมาตีให้แตก แล้วเอามาใส่ไว้ด้านในหม้อต้ม เติมน้ำสะอาดลงไป เอาขึ้นตั้งไฟ
เมื่อต้มจนถึงน้ำเดือดแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยค่อยไฟลง เคี่ยวโดยประมาณ 20 นาทีกระทั่งน้ำขิงละลายออกมาจนกระทั่งหมด (น้ำจะเป็นสีเหลืองอ่อนๆ) แล้วยกลงจากเตา
เสร็จแล้วให้ตักน้ำขิงใส่แก้ว เพิ่มเติมน้ำตาลทรายแดงลงไป 1-2 ช้อนชา (ตามสิ่งที่จำเป็น) แล้วคนจะกว่าจะเข้ากัน
เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วหลังจากนั้นก็สามารถเอามากินได้ โดยนำมาดื่มแบบร้อนๆได้เลย
หรือจะดื่มแบบเย็นๆด้วยการใส่น้ำแข็งลงไปก็ได้เช่นเดียวกัน แต่ควรเติมน้ำตาลมากกว่า 2-3 เท่า (จะช่วยไม่ให้รสจืดมากเกินความจำเป็น เพราะมีน้ำแข็งผสมอยู่นั่นเอง)
น้ำขิงที่คั้นมานั้นไม่สมควรใช้ปริมาณที่เข้มข้นกระทั่งเกินไป เนื่องจากว่าจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายได้ เนื่องจากว่าจะไปยับยั้งการบีบตัวของไส้ กระทั่งทำให้ลำไส้หยุดการบีบตัว ด้วยเหตุดังกล่าวควรคั้นในจำนวนน้อยๆหรือดื่มจนเคยชินก่อน
เราชอบรู้จักคุ้นเคยกับขิงว่าเป็นอาหารที่นิยมนำมาใช้ในการทำกับข้าวและก็ทำเครื่องดื่ม ซึ่งจริงๆแล้วขิงจัดเป็นสมุนไพรไทยที่ช่วยการบำบัดโรคต่างๆได้สารพัด นับได้ว่าเป็นตัวช่วยสำหรับการรักษาโรคได้เลยทีเดียว แต่ว่าดังนี้เราก็ไม่สมควรจะหวังพึ่งสรรพคุณของขิงเพียงอย่างเดียวในการเยียวยารักษาโรค ควรทำอันอื่นหรือดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของเราร่วมด้วยจะได้ผลลัพธ์ที่ดีนักแล
เรามักนิยมใช้ขิงแก่ เพราะว่ายิ่งแก่จะยิ่งให้ความเผ็ดร้อน ก็เลยมีสรรพคุณทางยาที่มากกว่าขิงอ่อน รวมทั้งยังมีใยอาหารมากขึ้นเรื่อยๆตามไปด้วย แต่เนื่องมาจากขิงมีรสเผ็ด มีคุณลักษณะอุ่น ก็เลยไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีความร้อนภายในร่างกายอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นคนที่เหงื่อออกมาก เหงื่อออกค่ำคืน ตาแดง หรือมีไฟในตัวมากกว่าปกติ แต่ถ้าจะรับประทานควรรอบคอบเป็นพิเศษ http://www.disthai.com/

2
ขิงเป็นสมุนไพรที่น่าอัศจรรย์อย่างไร

3
อื่น ๆ / รู้จัก พญายอ สมุนไพรฆ่าเชื้อไวรัส
« เมื่อ: สิงหาคม 29, 2018, 05:48:20 PM »

พญายอ
พญายอเป็นไม้พุ่งแกมเลื้อย เถาและใบมีสีเขียวใบไม้ไม่มีหนาม ใบยาวเรียวปลายแหลม ออกตรงข้ามเป็นคู่ ดอกออกเป็นช่อ อยู่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3-6 ดอก กลีบดอกเป็นดอกปลายแยกสีแดงอมส้ม
พญายอขึ้นได้งามในดินที่สมบูรณ์ แสงแดดปานกลาง พบได้ทั่วไปตามป่าในประเทศไทย หรือปลูกกันตามบ้าน ปลูกโดยใช้ลำต้นปักชำ เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย ตัดกิ่งออกมาซัก 2-3 คืบ ปักขำให้รากออกมาดีแล้วก็ย้ายไปปลูกในแปลง ดูแลรักษาเหมือน พืชไม้ทั่วไป
ใบ เป็นยา ให้เก็บขนาดกลางที่สมบูรณ์ ไม่แก่หรือไม่อ่อนจนเกินไป ใบของพญายอสามารถลดอาการักเสบของหูได้ดี โดยเฉพาะส่วนที่สกัดด้วยสารละลาย “บิวทานอล” วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะได้ศึกษาพบว่าสารสำคัญตัวหนึ่งเป็น “เฟลโวนนอยต์” ส่วนด้านที่มีการต้านพิษงูยังไม่ชัดเจน แต่ปลอดภัยพอที่จะใช้
ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด, บวม, แดง ร้อนแต่ไม่มีไข้) จากแมลงที่มีพิษกัดต่อย เช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน รักษาโดยการเอาใบสดจากพญายอนี้มาสัก 10-15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาด ใส่ลงในครกตำยา ตำให้ละเอียด เติมแอลกอฮอล์พอชุ่มยา ตั้งทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ หมั่นคนยาทุกวัน กรองน้ำยา ใช้น้ำ และกากทาบบริเวณที่เจ็บปวดบวม หรือที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
ข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า สารสกัดจากใบพญายอ สามารถฆ่าเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส งูสวัด (varicella zoster virus) ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ คือ ยับยั้งไวรัสโดยตรง และยับยั้งการเพิ่มจำนสวนของไวรัส
ผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยยะสืบพันธุ์ที่ติดเชื้อครั้งแรกและติดเชื้อซ้ำ เมื่อรักษาโดยทาแผลของผู้ป่วยด้วยครีมพญายอ (5%) เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน acyclovir พบว่า แผลของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาจากสารสกัดใบพญายอและ acyclovir จะตกสะเก็ดภายในวันที่ 3 และหายภายในวันที่ 7 แสดงว่าครีมพญายอและครีม acyclovir มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคเริมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ให้หายได้เร็วพอกัน แต่ครีมพญายอ ไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง ในขณะที่ครีมทำให้แสบและราคาแพง
ผู้ป่วยโรคงูสวัด เมื่อรักษาโดยทาแผลด้วยครีมพญายอ (5%) วันละ 5 ครั้งทุกวัน ปรากฎว่าแผลจะตกสะเก็ดภายใน 1-3 วัน และหายภายใน 7-10 วัน พบว่าผู้ป่วยจะหายเร็วกว่าการใช้ยาชนิดอื่น และไม่พบอาการข้างเคียงใดๆ จากการใช้สารสกัดใบพญายอ
เห็นได้ชัดว่า สมุนไพรไทย พญายอ มีสรรพคุณมากมาย อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้สมุนไพร คุณผู้อื่นต้องศึกษาให้ละเอียด
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
รากของพญาปล้องทอง ประกอบด้วยสาร Lupeol, B-Sitosterol, Stigmasterol และมีการทดลองพบว่าสารสกัดด้วยสารละลายบิวทานอล (butanol) จากใบของพญาปล้องทอง มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) สามารถระงับอาการอักเสบได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้มีการผลิต ครีมพญายอ ขึ้นเพื่อนำมารักษาผู้ป่วยโรคงูสวัดได้ ทำให้แผลตกสะเก็ดหายเร็ว ลดอาการปวดได้ดี และไม่พบผลข้างเคียงใดๆ จากการใช้ครีมพญายอ จึงไม่ทำให้เกิดอาการแสบระคายเคือง มีการนำมาออกจำหน่ายในระดับอุตสาหกรรม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 1-3 เมตร มีลำต้นและกิ่งก้านสีเขียวเข้ม ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน รูปรีแคบขอบขนานกว้าง 1-3 ซม. ยาว 4-12 ซม. ดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีแดงส้ม มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียยาวโผล่พ้นหลอดออกมา ปลายแยกเป็น 2 ปาก ผลเป็นผลแห้ง ไม่ค่อยออกดอก ส่วนมากขึ้นตามป่า หรือปลูกกันตามบ้าน ดังนั้นการขยายพันธุ์จึงทำได้โดยการปักชำหรือ การแยกเหง้าแขนงไปปลูก
วิธีการปลูก
การปลูกพญายอ ส่วนใหญ่ใช้กิ่งปักชำโดยเลือกกิ่งที่สมบูรณ์ปราศจากโรค ไม่แก่ หรือไม่อ่อนเกินไป ตัดกิ่งพันธุ์ให้มีความยาว 6-8 นิ้ว และมีตาบนกิ่งประมาณ 1-3 ตา ให้มีใบเหลืออยู่ที่ปลายยอด ประมาณ 1/3 ของกิ่ง ทาปูนแดงบริเวณรอยตัดของต้นตอ และกิ่งพันธุ์เพื่อป้องกันเชื้อรา ปักชำลงในถุงที่มีวัสดุปักชำเป็นดินร่วนปนทราย จะช่วยให้อัตราการออกรากของกิ่งชำสูง คุณภาพของรากดี และสะดวกในการขุดย้ายต้นไปปลูก โดยปักชำกิ่งลงในวัสดุปลูกลึกประมาณ 3 นิ้ว เอียง 45 องศา รดน้ำให้ชุ่มและรักษาความชื้นให้เพียงพอ โดยกิ่งชำไม่ควรถูกแสงแดดโดยตรง และควรดูแลความชื้นในอากาศ กิ่งปักชำจะออกรากภายใน 3-4 สัปดาห์ เมื่อกิ่งชำที่มีอายุ 3-4 สัปดาห์ ที่ชำไว้ในแปลงชำหรือในถุงชำ โดยใช้ช้อนขุดหรือเสียมแซะกิ่งชำลงปลูกในหลุมปลูกที่เตรียมไว้ 1 ต้นต่อหลุม กลบดิน และกดดินที่โคนให้แน่น รดน้ำหลังจากปลูกทันที
การเก็บ เก็บใบขนาดกลาง ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป การเก็บเกี่ยวให้ใช้วิธีการตัดต้นเหนือระดับผิวดินประมาณ 10 ซม. หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ต้นตอเดิมยังงอกแตกแขนงเติบโตได้อีก และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อไปได้
การดูแลรักษา ควรให้น้ำในระยะ 1-2 เดือนแรก ควรรดน้ำทุกวัน ถ้าแดดจัดควรรดน้ำเช้า-เย็น เมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไปแล้วอาจให้น้ำวันเว้นวัน ในฤดูฝนถ้ามีฝนตกอาจจะไม่ต้องให้น้ำ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์ ชอบดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ไม่ชอบดินลูกรังหรือดินเหนียว ชอบอากาศร้อนชื้น ขึ้นได้ดีทั้งที่มีแดดและที่ร่ม
ลักษณะใบพญาปล้องทอง
ส่วนที่นำมาใช้ ใช้ได้ทั้งใบ และราก
ใบ

  • นำมารักษาอาการอักเสบ ถอนพิษ รักษาแผลร้อนในในปาก เริม งูสวัด ให้ใช้ใบสด 10-20 ใบ นำมาตำผสมกับเหล้าหรือ น้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาแผลและเอากากพอกแผล
  • นำมาทาบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อยเป็นผื่นคัน ให้ใช้ใบสด 5-10 ใบ ตำขยี้ทาบริเวณที่เป็นแผลที่แพ้ จะยุบหายได้ผลดี
  • นำมาแก้แผลน้ำร้อนลวก ให้ใช้ใบตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าวหรือน้ำมันงา เอากากพอกแผลที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้ แผลจะแห้ง หรือ นำใบมาตำให้ละเอียดผสมกับสุรา มีสรรพคุณดับพิษร้อนได้ดี


ราก[url=http://www.disthai.com/16913677/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2]พญายอ[/url][/url][/color]
ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ ขับระดู แก้ปวดเมื่อยบั้นเอว
http://www.disthai.com/

4

เหงือกปลาหมอ
เหงือกปลาหมอ ชื่อสามัญ Sea holly, Thistleplike plant
เหงือกปลาหมอ ชื่อวิทยาศาสตร์ Acanthus ebracteatus Vahl (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Acanthus ilicifolius Lour., Acanthus ilicifolius var. ebracteatus (Vahl) Benoist, Dilivaria ebracteata (Vahl) Pers.) จัดอยู่ในสกุลเหงือกปลาหมอ(ACANTHACEAE)
สมุนไพรเหงือกปลาหมอ มีชื่อเขตแดนอื่นๆว่า แก้มหมอ (จังหวัดสตูล), แก้มแพทย์เล (กระบี่), อีเกร็ง (ภาคกึ่งกลาง), นางเกร็ง จะเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน ฯลฯ
เหงือกปลาแพทย์มีอยู่ด้วยกัน 2 สายพันธุ์เป็นชนิดที่เป็นดอกสีม่วง (Acanthus ilicifolius L.) ที่พบได้บ่อยทางภาคใต้ และก็ประเภทที่เป็นดอกสีขาว (Acanthus ebracteatus Vahl) ที่พบบ่อยทางภาคกึ่งกลางและก็ภาคทิศตะวันออก และก็เป็นพรรณไม้ที่ลือชื่อของจังหวัดสมุทรปราการ
เหงือกปลาแพทย์ สมุนไพรใกล้ตัวหรือบางครั้งก็อาจจะเรียกว่าเป็นสมุนไพรชายน้ำหรือชายเลนก็ได้ สามารถนำสรรพคุณทางยามาใช้ในการรักษาโรคได้หลายอย่าง ที่โดดเด่นมากก็คือการนำมารักษาโรคผิวหนังได้ดูเหมือนจะทุกจำพวก แก้น้ำเหลืองเสีย และการนำมาใช้รักษาริดสีดวงทวาร เป็นต้น โดยส่วนที่ประยุกต์ใช้เป็นยาสมุนไพรก็ได้แก่ ส่วนลำต้นอีกทั้งสดและแห้ง ใบทั้งยังสดและแห้ง ราก เมล็ด และอีกทั้งต้น (ส่วนทั้งยัง 5 ประกอบไปด้วย ต้น ราก ใบ ผล เมล็ด)
รูปแบบของเหงือกปลาหมอ
ต้นเหงือกปลาแพทย์ เป็นไม้พุ่มขนาดกึ่งกลาง มีความสูงโดยประมาณ 1-2 เมตร ลำต้นแข็ง มีหนามอยู่ตามข้อของลำต้น ข้อละ 4 หนาม ลำต้นกลม กลวง ตั้งชัน มีสีขาวอมเขียว ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5 ซม. แพร่พันธุ์ด้วยแนวทางเพาะเม็ดรวมทั้งการใช้กิ่งปักชำ เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นที่โล่งแจ้ง เติบโตก้าวหน้าในที่ร่มและในที่ที่มีความชื้นสูง ถูกใจขึ้นตามชายน้ำหรือรอบๆริมฝั่งลำคลองบริเวณปากแม่น้ำ อย่างเช่น บริเวณริมน้ำเจ้าพระยาฝั่งทิศตะวันออกเหนือปากคลองมหาวงก์ แล้วก็ที่สถานศึกษานายเรือ ฯลฯ
ต้นเหงือกปลาหมอ
ใบเหงือกปลาหมอ ใบเป็นใบโดดเดี่ยว รูปแบบของใบมีหนามคมอยู่ริมขอบของใบแล้วก็ปลายใบ ขอบใบเว้าเป็นช่วงๆผิวใบเรียบเป็นมันลื่น แผ่นใบสีเขียว เส้นใบสีขาว มีเหลือบสีขาวเป็นแนวก้างปลา เนื้อเรือใบแข็งแล้วก็เหนียว ใบกว้างราว 4-7 เซนติเมตร และก็ยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร ใบจะออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน ก้านใบสั้น
ใบเหงือกปลาหมอ
ดอกเหงือกปลาหมอ มีดอกเป็นช่อตั้งตามปลายยอด ยาวราว 4-6 นิ้ว ดอกมีทั้งยังประเภทดอกสีม่วง (หรือสีฟ้า) รวมทั้งชนิดดอกสีขาว ที่ดอกมีกลีบรองดอกมี 4 กลีบ กลีบแยกจากกัน รอบๆกึ่งกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่
ดอกเหงือกปลาหมอ
สมุนไพรเหงือกปลาหมอ
ผลเหงือกปลาหมอ รูปแบบของผลเป็นฝักสีน้ำตาล ลักษณะของฝักเป็นทรงกระบอก รูปไข่ หรือกลมรี ยาวโดยประมาณ 2-3 ซม. เปลือกฝักมีสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน ภายในฝักมีเมล็ด 4 เม็ด
คุณประโยชน์ของเหงือกปลาหมอ
ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้อายุยืน สุขภาพแข็งแรง เลือดลมไหลเวียนดี เส้นโลหิตไม่ตัน บำรุงผิวพรรณ ด้วยการใช้ทั้งต้นเหงือกปลาหมอนำมาตำผสมกับพริกไทยในอัตราส่วน 2:1 แล้วคลุกเคล้าผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอน ว่ากันว่าถ้าหากกินต่อเนื่องกัน 1 เดือน จะก่อให้ปัญญาดี ไม่มีโรค / 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง / 3 เดือน ทำให้ริดสีดวงหาย / 4 เดือน ช่วยแก้ลม 12 พวก หูไว / 5 เดือน หมดโรค / 6 เดือน ทำให้เดินไม่ทราบอ่อนแรง / 7 เดือนผิวสวย / 8 เดือน เสียงน่าฟัง / 9 เดือน หนังเหนียว (ทั้งต้น, ราก)
เหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์ช่วยบำรุงรักษาประสาท (ราก)
ช่วยรักษาอาการธาตุเปลี่ยนไปจากปกติ (ทั้งต้น)
ช่วยทำให้เลือดลมเป็นปกติ (ทั้งยังต้น)เหงือกปลาหมอขาว
ช่วยทำให้เจริญอาหาร (อีกทั้งต้น)
ช่วยแก้โรคกษัย อาการผอมแห้งแรงน้อยเหลืองตลอดตัว ด้วยการใช้ทั้งยังต้นของเหงือกปลาหมอนำมาตำเป็นผงกินแต่ละวัน (ต้น)
ช่วยแก้อาการร้อนตลอดตัว เจ็บระบบทั้งตัว ตัวแห้ง เวียนศีรษะ หน้ามืดตามัว มือตายตีนตาย ด้วยการใช้ทั้งยังต้นของเหงือกปลาหมอแล้วก็เปลือกมะรุมอย่างละเท่ากัน ใส่หม้อต้มผสมกับเกลือนิดหน่อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ แล้วใช้ฟืน 30 ท่อน ต้มกับน้ำเดือดจนกระทั่งงวดแล้วชูลง เมื่อเสร็จให้กลั้นใจรับประทานขณะอุ่นๆกระทั่งหมด อาการก็จะ (ทั้งต้น)ช่วยยั้งมะเร็ง ต่อต้านมะเร็ง (ทั้งต้น)
ช่วยรักษาอาการปอดอักเสบ ด้วยการใช้เหงือกปลาหมอทั้งยังต้นแล้วก็อาหารเย็นเหนือ อาหารเย็นใต้ในสัดส่วนที่เท่ากัน เอามาต้มกับน้ำจนเดือดแล้วนำมาดื่มในขณะอุ่นๆทีละ 1 แก้ว ตอนเช้า ตอนกลางวัน เย็น อาการจะดียิ่งขึ้น (ทั้งยังต้น)
รักษาปอดอักเสบ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ใบ)
ต้นมีรสเค็มกร่อย คุณประโยชน์ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ (ต้น)
รากช่วยแก้แล้วก็บรรเทาอาการไอ หรือจะใช้เม็ดนำมาต้มดื่มแก้อาการไอก็ได้เช่นเดียวกัน (ราก, เมล็ด)
ช่วยแก้หืดหอบ (ราก)
ช่วยรักษาวัณโรค ด้วยการใช้ต้นนำมาตำผสมเป็นน้ำดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้ลักษณะการเจ็บตา ตาแดง ด้วยการใช้เหงือกปลาหมอทั้งต้นเอามาตำผสมกับขิง คั้นมัวแต่น้ำใช้หยอดตาแก้อาการ (อีกทั้งต้น)
ใบช่วยแก้ไข้ (ใบ)
ช่วยแก้ไข้จับสั่น ด้วยการใช้ทั้งต้นเหงือกปลาหมอมาตำผสมกับขิง (ทั้งยังต้น)
ช่วยแก้พิษไข้หัว ด้วยการใช้ทั้งยังต้นรวมทั้งรากเอามาต้มอาบแก้อาการ (อีกทั้งต้น)
แก้อาการไอ เมล็ดใช้ผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด นำมาต้มรวมกันแล้วเอาแต่น้ำมากินเป็นยาแก้ไอ (เม็ด)
ช่วยขับเสมหะ (ราก)
ถ้าหากเป็นลม ให้ใช้ต้นเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / พริกไทย 2 ส่วน ผสมรวมกัน ตำอย่างถี่ถ้วนเป็นผงแล้วนำมาละลายน้ำร้อนดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้โรคกระเพาะ ด้วยการใช้อีกทั้งต้นรวมทั้งพริกไทย (10:5 ส่วน) ตำผสมปั้นเป็นยาลูกกลอน (ต้น)

ช่วยขับพยาธิ (เมล็ด)
ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ต้นเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อย เอามาตำละลายกับน้ำแล้วทาบริเวณที่เป็นริดสีดวง หรือจะใช้ปรุงกับฟ้าทะลายขโมย ใช้รมหัวริดสีดวงก็ได้ (ต้น, ใบ)
ช่วยขับฉี่ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่กำหนดส่วนที่ใช้)
ช่วยรักษามุตกิดตกขาว ตกขาวของสตรี ด้วยการกางใบและต้นเอามาตำเป็นผุยผง ผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำมันมันงา ปั้นเป็นยาลูกกลอนรับประทานแก้อาการ (ต้น, ใบ, ราก)
ช่วยแก้ประจำเดือนมาไม่ปกติของสตรี ด้วยการใช้ทั้งต้นนำมาตำผสมกับน้ำผึ้ง น้ำมันงา (ทั้งยังต้น)
ช่วยรักษานิ่วในไต ด้วยการใช้ใบเอามาต้มเป็นน้ำดื่ม (ใบ)
ช่วยแก้ไตพิการ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้)
ผลช่วยขับโลหิต หรือจะใช้เมล็ดผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด นำมาต้มรวมกันแล้วมัวแต่น้ำมากิน หรือใช้ต้น 10 ส่วนรวมทั้งพริกไทย 5 ส่วน ผสมทำเป็นยาลูกกลอนรับประทานก็ได้ (เม็ด, ผล, ทั้งยังต้น)
ช่วยฟอกเลือด ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
แก้พิษเลือด ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (เปลือกต้น)
ช่วยรักษาแผล ด้วยการใช้ทั้งต้นเอามาตำผสมกับหัวสามสิบ ในอัตราส่วน 2:1 (ทั้งต้น)
ต้นเหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์ช่วยรักษาแผลพุพอง (ต้น)
ใบมีรสเค็มกร่อย สรรพคุณช่วยรักษาแผลอักเสบ (ใบ)
ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้ต้น 3-4 ต้น นำมาหั่นเป็นชิ้น แล้วต้มน้ำอาบแก้อาการ (ต้น, ใบ, เม็ด)
สำหรับคนป่วยเอดส์ที่มีแผลพุพองตามผิวหนัง ถ้าใช้ต้นมาต้มอาบและทำเป็นยากินติดต่อกันราว 3 เดือนจะช่วยทำให้ลักษณะของแผลพุพองบรรเทาลงอย่างชัดเจน (ต้น)
ช่วยรักษาโรคผิวหนังหรือประป่า รักษาขี้กลากเกลื้อน อีสุกอีใส (ใบ)
ช่วยรักษาโรคโรคเรื้อน คุดทะราด ด้วยการใช้อีกทั้งต้นนำมาตำมัวแต่น้ำกิน (ทั้งต้น)
ช่วยแก้ผดผื่นคันตามร่างกาย ใช้ล้างแผลเรื้อรัง ด้วยการใช้ต้นสดแล้วก็ใบสดล้างสะอาดราว 3-4 กำมือ เอามาสับแล้วต้มกับน้ำอาบแก้ผื่นคันติดต่อกัน 3-4 ครั้ง (ต้น, ใบ)
เหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์ทางยาช่วยแก้ผื่นคัน (ต้น)
รากสดนำมาต้มมัวแต่น้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคงูสวัดได้ (ราก)
ช่วยรักษาฝี ฝีเรื้อรัง แผลฝีหนอง ฝีดาษ ตัดรากฝี แก้พิษฝีทุกชนิดอีกทั้งภายในภายนอก ด้วยการใช้ต้นและก็ใบทั้งยังสดรวมทั้งแห้งราว 1 กำมือ เอามาบดอย่างถี่ถ้วน แล้วเอามาพอกบริเวณที่เป็นฝี หรือแนวทางที่สองจะเอามาสับเป็นชิ้นเล็กๆใส่น้ำให้ท่วมแล้วต้มในน้ำเดือดทิ้งไว้ 10 นาที แล้วนำมาดื่มก่อนรับประทานอาหารครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้ง โดยประมาณ 2-3 อาทิตย์ หรือจะใช้เมล็ดเอามาคั่วให้เกรียมแล้วป่นให้ถี่ถ้วน ชงกับน้ำกินเป็นยาแก้ฝีก็ได้ (ต้น, ใบ, เม็ด)
เม็ดใช้ปิดพอกฝี (เมล็ด)
ผลมีรสเผ็ดร้อน คุณประโยชน์ช่วยถอนพิษ (ผล, ต้น)
ใบสดนำมาตำให้รอบคอบ สามารถใช้พอกรอบๆแผลที่ถูกงูกัดได้ (ใบ)
ช่วยแก้ผิวแตกหมดทั้งตัว ด้วยการใช้อีกทั้งต้นของเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / ดีปลี 1 ส่วน ใช้ผสมกันบดให้เป็นผุยผงชงกับน้ำร้อนดื่มแก้อาการ (อีกทั้งต้น)
ต้น หากประยุกต์ใช้จะช่วยแก้โรคเหน็บชา อาการชาทั้งตัวได้ (ต้น)
รากมีคุณประโยชน์ช่วยแก้อัมพาต (ราก)
แก้ลักษณะของการเจ็บหลังเจ็บเอว ด้วยการใช้ต้นกับชะเอมเทศเอามาบดเป็นผุยผง ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนรับประทาน (ต้น)
ใบใช้เป็นยาประคบปรับแก้ข้ออักเสบรวมทั้งแก้ลักษณะของการปวดต่างๆ(ใบ)
ช่วยบำรุงรากผม ด้วยการใช้น้ำคั้นจากใบนำมาทาให้ทั่วหัว จะช่วยบำรุงรากผมได้ (ใบ)
ประโยชน์ซึ่งมาจากเหงือกปลาหมอ
ในขณะนี้สมุนไพรเหงือกปลาหมอมีการนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นยาแคปซูลสมุนไพร (เหงือกปลาหมอแคปซูล) หรือเป็นยาชงสมุนไพร (เหงือกปลาหมอผงสำเร็จรูป) หรือในรูปแบบของยาเม็ด
นอกเหนือจากการใช้เป็นยาสมุนไพรที่ใช้ในการอบตัวหรืออบด้วยละอองน้ำ สมุนไพรเหงือกปลาหมอยังคงใช้เป็นส่วนผสมสำหรับการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งหน้าอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สบู่ สินค้าที่ใช้ในการเปลี่ยนสีผม ตราบจนกระทั่งยาสระผมของสุนัข ฯลฯ
แหล่งอ้างอิง
: เว็บสำนักงานแผนการอนุรักษ์กรรมพันธุ์พืชสาเหตุจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ ม.อบ., หนังสือพิมพ์บ้านเมือง (ช่ำชอง หิมะคุณ), หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4, ฐานข้อมูลพันธุ์พืช องค์การส่วนวิชาพฤกษศาสตร์, สำนักงานกองทุนช่วยเหลือการผลิตเสริมสุขภาพ (สสส.), หนังสือยอดสมุนไพรยาอายุวัฒนะ (อาจารย์ยุยงวดี จอมรักษา), หนังสือการบริหารร่างกายแกว่งไกวแขน (โชคชัย ปัญจสมบัติพัสถาน) http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรเหงือกปลาหมอ

5

กระเทียม
กระเทียม ชื่อสามัญ Garlic
กระเทียม ชื่อวิทยาศาสตร์ คือคำว่า Allium sativum L. จัดอยู่ในสกุลพลับพลึง (AMARYLLIDACEAE) และก็อยู่ในวงศ์ย่อย ALLIOIDEAE (ALLIACEAE)
สำหรับในประเทศไทยนิยมปลูกมากมายในทางภาคเหนือและก็ภาคอีสาน แต่สำหรับกระเทียมที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพดี กลิ่นฉุนคงหนีไม่พ้นจังหวัดศรีสะเกศา
คุณประโยชน์ของกระเทียม
ช่วยทำนุบำรุงผิวหนังให้มีสุขภาพแข็งแรงและแข็งแรง
ช่วยเสริมสร้างการเติบโตของเยื่อภายในร่างกาย
ช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็ง
ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลแล้วก็น้ำตาลในเลือด
ช่วยทำให้สมดุลภายในร่างกาย
ช่วยแก้อาการหน้ามืดหัว อาการงุนงง ปวดศีรษะ หูอื้อ
ช่วยในเรื่องระบบแพร่พันธุ์แล้วก็ระบบทางเดินปัสสาวะ ด้วยเหตุว่ามีสารที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนทั้งยังหญิงและชาย ช่วยให้มดลูกบีบตัว เพิ่มกำลังวังชาให้มีเรี่ยวแรง
ช่วยรักษาโรคความดันเลือด
ช่วยคุ้มครองการเกิดโรคหัวใจ ลดการเสี่ยงของหัวใจล้มเหลวทันควัน
ช่วยต้านทานเนื้องอก
ช่วยแก้ปัญหาผมบาง ยาวช้า มีสีเทา
ช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดและรักษาโรคโลหิตจาง
ช่วยสำหรับเพื่อการขับพิษและก็พิษอันตรายที่แปดเปื้อนในเม็ดเลือด
ช่วยปกป้องผนังเส้นเลือดดกและแข็งตัว
สารสกัดน้ำมันกระเทียมมีสารที่มีส่วนช่วยสำหรับในการละลายลิ่มเลือด
ช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดเส้นโลหิตตัน
มีสารต่อต้านไม่ให้เม็ดเลือดแดงแตก
ช่วยบรรเทาอาการไอ น้ำมูกไหล ป้องกันหวัด
ช่วยรักษาโรคหวัดรวมทั้งไข้หวัดใหญ่
ช่วยรักษาอาการเยื่อบุจมูกอักเสบและไซนัส
ช่วยรักษาโรคโรคไอกรน
ช่วยแก้อาการหอบ โรคหืด
ช่วยรักษาโรคหลอดลม
ช่วยหยุดกลิ่นปากกระเทียม
ช่วยสำหรับเพื่อการขับเหงื่อ
ช่วยในการขับเสมหะ
ช่วยควบคุมโรคกระเพาะ ด้วยสารที่ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยของกินมาย่อยแผลในกระเพาะ
ช่วยสำหรับในการขับลม
ช่วยรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง ท้องอืด ท้องอืดท้องเฟ้อ
ช่วยคุ้มครองโรคท้องผูก
ช่วยรักษาโรคบิด
ช่วยสำหรับเพื่อการขับเยี่ยว
ช่วยสำหรับเพื่อการขับพยาธิได้หลายแบบ ตัวอย่างเช่น พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย พยาธิหมุด พยาธิไส้เดือน ฯลฯ
ช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบประเภทร้ายแรงได้
ช่วยคุ้มครองการเกิดโรคไต
ช่วยทำลายเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียต่างๆรวมถึงเชื้อราตามหนังศีรษะแล้วก็บริเวณเล็บ
ช่วยยั้งเชื้อต่างๆดังเช่น เชื้อที่นำมาซึ่งฝีหนอง คออักเสบ เชื้อปอดอักเสบ เชื้อวัณโรค ฯลฯ
ช่วยกำจัดพิษจากสารตะกั่วกระเทียมคุณประโยชน์
ช่วยรักษากลาก โรคเกลื้อน
ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ บำรุงข้อต่อรวมทั้งกระดูกในร่างกาย
บรรเทาอาการปวดข้อและก็เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวตามร่างกาย
ช่วยแก้อาการเคล็ดขัดยอกรวมทั้งเท้าพลิก เพราะมีสารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตมายังบประมาณริเวณที่นวดยาได้ดีเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
มีสารต่อต้านอาการไขข้ออักเสบ โรคข้อรูมาตำหนิสซั่ม
กระเทียมมีกลิ่นฉุนก็เลยสามารถช่วยไล่ยุงได้เป็นอย่างดี
ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย เพิ่มความยากของกิน
คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากกระเทียม
ประโยชน์สำคัญๆของกระเทียมอาจหนีไม่พ้นการนำมาใช้เพื่อช่วยแต่งรสชาติของอาหาร ไม่ว่าจะใช้ผัด แกง ทอด ยำ ต้มยำ หรือน้ำพริกต่างๆอีกสารพัน
กระเทียมเป็นเครื่องสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุหลายชนิด และก็ยังเป็นพืชที่ธาตุซีลีเนียมสูงขึ้นยิ่งกว่าพืชประเภทอื่นๆทั้งยังยังมีสารอะดีโนซีน (Adenosine) ซึ่งเป็นกรดนิวคลีอิกที่เป็นตัวสร้าง DNA รวมทั้ง RNA ของเซลล์ในร่างกาย
ยิ่งกว่านั้นยังมีการนำกระเทียมไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆอย่างมากมาย ยกตัวอย่างเช่น กระเทียมเสริมของกิน กระเทียมสกัดผง สารสกัดน้ำมันกระเทียม กระเทียมดอง ฯลฯ

คุณประโยชน์ทางโภชนาการของกระเทียมดิบ ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 149 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 33.06 กรัม
น้ำตาล 1 กรัม
ใยอาหาร 2.1 กรัม
ไขมัน 0.5 กรัม
โปรตีน 6.36 กรัม
วิตามินบี 1 0.2 มก. 17%
วิตามินบี 2 0.11 มก. 9%
วิตามินบี 3 0.7 มก. 5%
วิตามินบี 5 0.596 มิลลิกรัม 12%
วิตามินบี 6 1.235 มก. 95%
วิตามินบี 9 3 ไมโครกรัม 1%
วิตามินซี 31.2 มิลลิกรัม 38%
ธาตุแคลเซียม 181 มก. 18%
ธาตุเหล็ก 1.7 มก. 13%
ธาตุแมกนีเซียม 25 มิลลิกรัม 7%
ธาตุแมงกานีส 1.672 มิลลิกรัม 80%
ธาตุฟอสฟอรัส 153 มิลลิกรัม 22%
ธาตุโพแทสเซียม 401 มิลลิกรัม 9%
ธาตุสังกะสี 1.16 มิลลิกรัม 12%
ธาตุซีลีเนียม 14.2 ไมโครกรัม
% จำนวนร้อยละของจำนวนเสนอแนะที่ร่างกายอยากในแต่ละวันสำหรับคนแก่ (มูลเหตุ : USDA Nutrient database)
คำเสนอแนะรวมทั้งข้อควรไตร่ตรองในการใช้กระเทียม
[url=http://www.disthai.com/16488280/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1]กระเทียม[/url][/url][/color]ยิ่งสดเท่าไหร่ก็ยิ่งมีสรรพคุณที่ดีมากขึ้นเท่านั้น แต่สำหรับกระเทียมที่ผ่านความร้อนด้วยแนวทางต่างๆหรือผ่านการดอง จะก่อให้วิตามินรวมทั้งสารอัลลิซินที่มีอยู่ในกระเทียมนั้นย่อยสลายไป
วิตามินและแร่ที่อยู่ในกระเทียมนั้น จะมีมากมายหรือน้อยก็ขึ้นกับดินและก็สภาพภูมิอากาศที่ใช้เพื่อการเพาะปลูกอีกด้วย
สำหรับหญิงที่กำลังท้องหรือให้นมลูก ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดปกติ หรูหราความดันเลือดปกติ ผู้ที่มีลักษณะของเลือดหยุดไหลช้า รวมไปถึงคนที่ใช้ยาอื่นๆเป็นประจำ ตัวอย่างเช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแอสไพริน ยาแก้อักเสบ ยาต่อต้านเชื้อไวรัส คุณไม่ควรกินกระเทียมหรือสินค้ากระเทียมเสริมในปริมาณที่มากจนถึงเกินความจำเป็น เพราะเหตุว่าอาจส่งผลให้เป็นอันตรายต่อสภาพร่างกายได้
สำหรับผู้ที่ได้รับกลิ่นของกระเทียมเป็นประจำ อาจทำให้เกิดอาการแพ้กระเทียมเมื่อกินได้ โดยอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอาการอ้วก และก็มีอาหารหัวใจที่เต้นแรงไม่ดีเหมือนปกติ แม้กระนั้นอาการดังที่กล่าวผ่านมาแล้วจะค่อยๆหายไปเองภายในระยะเวลา 3-4 ชั่วโมง ซึ่งกระเทียมที่ประยุกต์ใช้สำหรับเพื่อการปรุงอาหารชอบก่อเกิดอาการแพ้ได้น้อยกว่ากระเทียมแบบสดๆ
สำหรับคนที่อยู่ในครัวหรือผู้ต้องใช้มือสัมผัสกับกระเทียมบ่อยๆรวมทั้งเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน อาจจะก่อให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ มีตุ่มน้ำได้ ด้วยเหตุดังกล่าวคุณควรหลบหลีกการสัมผัสกระเทียมโดยตรงบ่อยๆด้วยการใส่ถึงมือทุกหนในระหว่างที่จะใช้กระเทียม
แม้ว่ากระเทียมจะเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์อยู่ล้นหลาม แม้กระนั้นคุณก็ไม่สมควรที่จะเลือกใช้กระเทียมเพื่อหวังผลสำหรับการรักษาอาการหรือโรคใดโรคหนึ่ง ทั้งยังผลสรุปที่ได้ในแต่ละบุคคลก็บางทีอาจจะต่างกันออกไป โดยเหตุนั้นคุณควรที่จะเลือกรับประทานให้นานัปการรวมทั้งครบ 5 กลุ่ม จะเป็นหนทางที่ยอดเยี่ยม เพราะผักสมุนไพรทั่วๆไป ถ้าหากศึกษาเล่าเรียนกันอันที่จริงแล้ว มันก็มีสาระมากพอๆกับกันเลย
ตอนนี้ในบ้านเรายังไม่มีการยืนยันว่ากระเทียมนั้นจะสามารถรักษาโรคได้จริง คงจะเป็นไปได้เพียงแค่สมุนไพรช่องทางในการรักษาแล้วก็สมุนไพรเสริมสุขภาพเพียงแค่นั้นhttp://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรกระเทียม

6

ทับทิม
ทับทิม เป็นผลไม้ที่นิยมกินอย่างล้นหลาม โดยใช้ประโยชน์จากส่วนที่ได้ผลสำเร็จสดเยอะที่สุดและก็ยังนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆเช่น น้ำทับทิม สารสกัดจากทับทิม สินค้าด้านความสวยงาม อีกทั้งยังใช้ทำเป็นยารักษาโรคตามสูตรยาโบราณในหลายประเทศ
ทัมทิมอุสูดดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระรวมทั้งสารพฤกษเคมีหลายอย่างที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย ก็เลยเชื่อว่าบางทีอาจมีประโยชน์สำหรับการปกป้องโรคหรือบรรเทาอาการ ยกตัวอย่างเช่น โรคปอดอุดกันเรื้อรังหรือทุเลาอาการหายใจลำบากจากโรคนี้ โรคหัวใจและก็เส้นเลือด คอเลสเตอรอลสูง โรคในระบบทางเดินอาหาร โรคความดันโลหิตสูง โรคในโพรงปากและโรคเหงือก โรคริดสีดวงทวาร โรคผิวหนัง และก็อื่นๆ
ในปัจจุบันยังมีงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยที่ศึกษาการใช้ทับทิมในแบบอย่างแตกต่างกับการดูแลและรักษาโรคที่ค่อนข้างจะจำกัด ทำให้ยังไม่สามารถเจาะจงคุณภาพของทับทิมต่อการดูแลและรักษาโรคได้กระจ่างแจ้ง ซึ่งตัวอย่างการเรียนเรื่องทับทิมกับโรคต่างๆมีดังนี้
โรคเส้นโลหิตแดงแข็ง ทับทิมคือผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว ดังเช่น สารเอลลาจิแทนนิน (Ellagitannin) สารแทนนิน (Tannin) สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารโพลิฟีนอล (Polyphenol) ที่มั่นใจว่าช่วยยับยั้งปฏิกิริยาต่อต้านอนุมูลอิสระของไขมันไม่ดี ลดการสร้างโฟมเซลล์ และก็ลดการแข็งตัวของเส้นเลือด ก็เลยอาจช่วยลดความเสี่ยงสำหรับในการกำเนิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง
จากการศึกษาฤทธิ์การต้านสารอนุมูลอิสระของทับทิมในคนที่มีน้ำหนักเกินจำนวน 22 คน จากการรับประทานอาหารเสริมที่มีสารสกัดทับทิม วันละ 1,000 มก. (มีกรดแกลลิค 610 มก.) และวัดผลจากค่า TBARS ในเลือด (Thiobarbituric Acid Reactive Substances: TBARS) ซึ่งเป็นค่าการตรวจวัดฤทธิ์สำหรับการต้านทานสารอนุมูลอิสระ เพื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนการทดสอบ พบว่าค่าดังกล่าวมาแล้วข้างต้นลดน้อยลง ก็เลยคาดว่าการรับประทานทับทิมอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจแล้วก็เส้นโลหิต
นอกจากนี้ ยังมีการค้นคว้าอีกชิ้นให้ผู้ป่วยโรคเส้นเลือดแดงแข็งจำนวน 15 คน กินอาหารเสริมจากทับทิมเป็นระยะเวลามากยิ่งกว่า 1 ปีขึ้นไปและ 3 ปีขึ้นไป เปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่ไม่ได้ทานอาหารเสริม ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ทานอาหาร 3 ปีขึ้นไป หรูหราไขมันที่ลดลงโดยประมาณ 16% เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปอื่น จึงชี้ให้เห็นว่าการกินสารสกัดจากทัมทิมมากกว่า 3 ปี อาจมีส่วนช่วยสำหรับในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ทั้งนี้ ยังคงต้องมีการศึกษาเสริมเติมในระยะยาวกับกรุ๊ปการทดลองขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ยังไม่สามารถสรุปผลของทับทิมรวมทั้งการดูแลรักษาโรคเส้นเลือดแดงแข็งได้อย่างเห็นได้ชัด
โรคเหงือกอักเสบ ทับทิมคือผลไม้อีกชนิดที่มีคุณลักษณะช่วยต้านทานเชื้อแบคทีเรีย ก็เลยถูกนำมาใช้เป็นตัวเลือกสำหรับการรักษาโรคเหงือก เนื่องจากว่าการดูแลและรักษาหลักบางวิธีที่ยังไม่มีคุณภาพพอเพียงสำหรับเพื่อการบรรเทาอาการจากโรคมากมายซักเท่าไหร่และก็ลดความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการดูแลรักษาโรคนี้โดยใช้สารเคมี
จากการทดสอบทางสถานพยาบาลกับคนไข้โรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง จำนวน 40 คน เพื่อมองคุณภาพของเจลสารสกัดจากทับทิมเป็นระยะเวลา 224 ชั่วโมง โดยในแต่ละกรุ๊ปจะใช้วิธีรักษาที่แตกต่างกัน ผลพบว่า กลุ่มที่ใช้เจลสารสกัดจากทับทิมพร้อมกันกับการดูแลรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยกระบวนการขูดหินน้ำลาย เกลารากฟัน (Mechanical Debridement) มีอาการดีขึ้นข้างใน 7 วันแรก เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่เหลือสำหรับในการทดลอง ซึ่งเจลสารสกัดจากทับทิมก็เลยบางทีอาจนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลโพรงปากสำหรับคนป่วยโรคเหงือกอักเสบพร้อมกันกับการดูแลรักษาด้วยวิธีรักษาที่เป็นมาตรฐานในอนาคต
สอดคล้องกับการทดลองอีกชิ้นที่เรียนประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่ใช้ยาหลอกต้นแบบเจลในการรักษาคนที่เป็นโรคเหงือกอักเสบปริมาณ 32 คน พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม วันละ 3 ครั้ง ตรงเวลา 4 อาทิตย์ มีสุขภาพช่องปากดีขึ้นและก็ปัญหาโรคเหงือกอักเสบต่ำลงมากยิ่งกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก การค้นคว้านี้ชี้ให้เห็นว่าสารสกัดจากทับทิมบางทีอาจเอาไปใช้เป็นส่วนประกอบในสินค้าบำรุงช่องปาก ดังเช่นว่า ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยคุ้มครองแล้วก็ทุเลาลักษณะของโรคเหงือกอักเสบ
ปกป้องการเกิดคราบจุลชีวัน สารสกัดจากทับทิมมีคุณภาพสำหรับในการลดคราบจุลชีวันตามผิวฟัน รวมทั้งบางทีอาจนำมาซึ่งโรคทางโพรงปากอีกหลายอย่าง ซึ่งจากการทดลองให้อาสาสมัครที่มีสุขลักษณะในช่องปากดี ปริมาณ 30 คน หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้ปกติ แต่สลับมาใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน (Chlorhexidine) รวมทั้งยาหลอกในแต่ละกลุ่ม โดยใช้บ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง ตรงเวลา 5 วัน ผลพบว่าอาสาสมัครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมมีอัตราการเกิดคราบจุลชีวันลดลงอย่างเป็นจริงเป็นจังมากยิ่งกว่ายาหลอก แต่มีประสิทธิภาพไม่ได้มีความแตกต่างจากน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน จึงพอเพียงจะกล่าวได้ว่าสารสกัดจากทับทิมบางทีอาจลดช่องทางสำหรับการกำเนิดคราบจุลอินทรีย์ด้านในโพรงปาก
ช่วงเวลาเดียวกัน การเล่าเรียนอีกชิ้นก็ชี้ว่าสารสกัดทับทิมคงจะมีส่วนช่วยสำหรับในการลดการเกิดคราบจุลอินทรีย์ ซึ่งสำหรับการทดสอบได้เก็บรอยเปื้อนจุลชีวันจากช่องปากของอาสาสมัครที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงและก็กำลังจัดฟัน อายุ 9-25 ปี จำนวน 60 คน ข้างหลังงดเว้นแปรงฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อเปรียบเทียบผลก่อนและข้างหลังการใช้น้ำยาบ้วนปากชนิดต่างกันในแต่ละกรุ๊ป ยกตัวอย่างเช่น น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน และก็ยาหลอก ปรากฏพบว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิมมีประสิทธิภาพสำหรับการลดรอยเปื้อนจุลอินทรีย์ลงมากที่สุดประมาณ 84% รองลงมาเป็นน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน 79% และยาหลอกที่น้อยลงเพียงแค่ 11% ก็เลยอาจจะบอกได้ว่าสารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและก็เป็นตัวเลือกในการใช้จัดการกับรอยคราบจุลินทรีย์บนผิวฟัน ทั้งนี้ จากข้อมูลข้างต้นยังคงควรจะมีการต่อว่าดตามผลในระยะยาวจากการใช้สารสกัดทับทิมโดยตลอด เนื่องมาจากช่วงเวลาในการทดลองค่อนข้างจะสั้น
ภาวะคอเลสเตอรอลสูง ทับทิมมีสรรพคุณที่กล่าวกันว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้อย่างดีเยี่ยม จากการเรียนรู้ผลการดื่มน้ำทับทิมเข้มข้น 40 กรัม ในคนป่วยเบาหวานจำพวกที่ 2 รวมทั้งมีภาวการณ์ไขมันในเลือดสูงปริมาณ 22 คน เป็นระยะเวลา 8 อาทิตย์โดยระหว่างการทดลองจะมีการเก็บข้อมูลของกินที่รับประทานอาหารภายใน 24 ชั่วโมง ทุกๆ10 วัน (รวมทั้งของกินที่มีสารฟลาโวนอยด์) หลังจบสัปดาห์ที่ 8 พบว่าคนเจ็บหรูหราไขมันรวม ไขมันประเภทไม่ดี อัตราส่วนของไขมันไม่ดีกับไขมันดี และก็อัตราส่วนของไขมันรวมกับไขมันดีที่มีสะสมอยู่ในเลือดต่ำลง แต่ไม่เจอความเคลื่อนไหวของระดับไตรกลีเซอไรด์แล้วก็ระดับความเข้มข้นของไขมันดี ซึ่งทำให้เห็นว่าน้ำทับทิมอาจมีส่วนช่วยลดการเสี่ยงของโรคหัวใจโดยลดระดับไขมันในคนเจ็บโรคเบาหวานลง แม้กระนั้นยังบอกมิได้กระจ่างแจ้ง เนื่องจากของกินจำพวกอื่นที่รับประทานอาจมีส่วนช่วยสำหรับการลดไขมันในเลือดได้เช่นกัน รวมทั้งกรุ๊ปการทดลองมีขนาดเล็ก ควรต้องขยายผลการศึกษาเล่าเรียนในกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นเพิ่มเติมอีก นอกเหนือจากนั้น การดูแลรักษาสภาวะคอเลสเตอรอลสูงควรจะมีการควบคุมอาหารแล้วก็การออกกำลังกายไปพร้อม ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการลดระดับไขมันในเลือดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารโพลีฟีนอลที่พบได้บ่อยในทับทิม จากรายงานผลที่เจอในห้องแลประบุว่าสารเหล่านี้มีส่วนสำคัญสำหรับในการทุเลาลักษณะของโรคปอดอุดกันเรื้อรังและบางทีอาจชะลอไม่ให้โรคปรับปรุงอย่างเร็ว จึงมีการศึกษาเล่าเรียนสมรรถนะของสารโพลีฟีนอลในคนเพิ่มเติมอีก โดยให้คนไข้โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จำนวน 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่กินน้ำทับทิม 400 มล. (มีสารโพลิฟีนอล 2.66 กรัม) เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่กินยาหลอกต่อเนื่องกันทุกๆวันเป็นระยะ 5 อาทิตย์ ผลปรากฏว่า ไม่พบสารโพลิฟีนอลทั้งยังในเลือดและก็ปัสสาวะของผู้เจ็บป่วย ทั้งยังยังไม่เจอไม่เหมือนกันอย่างเป็นจริงเป็นจังระหว่าง 2 กลุ่ม ก็เลยคาดว่าทับทิมไม่น่ามีส่วนช่วยสำหรับการรักษาหรือทุเลาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
โดยปกติสารอาหารที่เข้าสู่ร่างกายจะถูกเผาผลาญผ่านกระบวนเมตาบอลิซึมแล้วก็ตรวจเจอได้ในเลือดหรือปัสสาวะ แต่ผลการศึกษาวิจัยกลับไม่พบสารโพลีฟีนอลจากการกิน ซึ่งบางทีอาจมีสาเหตุมาจากการย่อยสลายสารกลุ่มนี้โดยจุลอินทรีย์ในระบบย่อยอาหาร จะต้องทำความเข้าใจกรรมวิธีซึมซับสารอาหารที่แตกต่างก่อนจะอ้างถึงถึงคุณประโยชน์ด้านของสุขภาพจากการกิน เนื่องจากว่าสารอาหารที่พบในอาหารที่กินบางทีอาจไม่ได้ถูกเอาไปใช้ประโยชน์ในร่างกายมนุษย์เราทั้งสิ้น
โรคและก็อาการอื่นๆตัวอย่างเช่น โรคเส้นเลือดหัวใจ การหย่อนยานความสามารถทางเพศ เจ็บกล้ามเนื้อหลังการบริหารร่างกาย กรุ๊ปอาการอ้วนลงพุง โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงแดด การติดเชื้อทริวัวโมแนส (Trichomoniasis) ท้องร่วง โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง และอื่นๆยังจำเป็นต้องทำการวิจัยศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับคุณภาพรวมทั้งความปลอดภัยของทับทิมสำหรับการรักษาโรค

ข้อมูลทางโภชนศาสตร์ของผลทับทิม 100 กรัม (คร่าวๆ)
น้ำ 77.93 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 1.67 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.70 กรัม
เส้นใย 4.0 กรัม
น้ำตาล 13.67 กรัม
แคลเซียม 10 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.30 มิลลิกรัม
แมงกานีส 12 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 236 มิลลิกรัม
โซเดียม 3 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.35 มิลลิกรัม
วิตามินซี 10.2 มิลลิกรัม
วิตามินบี 1 0.067 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.053 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.075 มิลลิกรัม
โฟเลต 38 ไมโครกรัม
วิตามินอี 0.60 มก.
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม
ความปลอดภัยสำหรับเพื่อการรับประทานทับทิมหรือผลิตภัณฑ์จากทับทิม
โดยทั่วไปการกินน้ำทับทิมค่อนข้างมีความปลอดภัย แต่ในบางรายที่มีอาการแพ้ผลสดของทับทิมอาจเกิดผลข้างเคียงจากการดื่มน้ำทับทิมได้
รากทับทิมมีสารที่เป็นพิษต่อสุขภาพ การกินรากแล้วก็ลำต้นของทับทิมในจำนวนมากอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมค่อนข้างจะปลอดภัยสำหรับเพื่อการกินหรือประยุกต์ใช้กับผิวหนัง แม้กระนั้นอาจทำให้กำเนิดอาการแพ้นิดหน่อยในบางราย เป็นต้นว่า อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจลำบาก
การกินน้ำทับทิมค่อนข้างมีความปลอดภัยสำหรับหญิงมีท้องหรืออยู่ในตอนให้นมลูก แม้กระนั้นยังไม่มีรายงานรับรองความปลอดภัยสำหรับในการกินหรือใช้ทับทิมในแบบอย่างอื่น อย่างเช่น สารสกัดจากทับทิม จำเป็นจะต้องขอความเห็นหมอก่อนที่จะมีการรับประทานทุกคราว
น้ำทับทิมอาจจะก่อให้ความดันเลือดลดลดน้อยลงน้อย ซึ่งอาจจะทำให้ผู้เจ็บป่วยที่มีภาวการณ์ความดันต่ำอาการไม่ดีขึ้น
ผู้ที่มีอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีการเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้จากการกินทับทิม
ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดควรจะหยุดรับประทานทับทิมอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะทับทิมทำให้ความดันเลือดต่ำลง ก็เลยบางทีอาจกระทบต่อความดันเลือดในขณะผ่าตัดหรือส่งผลต่อเนื่องไปยังหลังการผ่าตัด
การรับประทานทับทิมควบคู่กับยาบางชนิดอาจจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ดังเช่น ยาที่เกี่ยวพันกับแนวทางการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome ประเภท P450 2D6 หรือชนิด P450 3A4 ยาลดความดันโลหิตหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันเลือดสูง ยาโรสุวาสแตว่ากล่าวน คนที่กินยาเป็นประจำหรือมีโรคประจำตัวควรขอความเห็นแพทย์ก่อนที่จะมีการกินเพื่อให้มีความปลอดภัย

7

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือ รักษาโรคมะเร็ง
อีกหนึ่งการวิจัยที่ศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับประสิทธิผลของสารโพลีแซ็คคาไรค์ในเห็ดหลินจือของผู้ในผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด จากการวิเคาะห์พบว่า สารดังกล่าวมาแล้วข้างต้นมีส่วนสำหรับการยัยยั้งการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว
จากการศึกษาเรียนรู้วิจัยเยอะแยะถึงประสิทธิผลทางการรักษาโรคโรคมะเร็งของเห็ดหลินจืออาจมีผลต่อการต้านการอักเสบในคนเจ็บโรคมะเร็งปอดบางราย แต่ยังคงไม่มีหลักฐานทางด้านวิทยาศาสตร์หรือการทดสอบทางการแพทย์ที่ให้ข้อมูลพอเพียงที่ช่วยเหลือให้ใช้เห็ดหลินจือสำหรับการรักษามะเร็งอย่างเป็นทางการ
เมื่อวิเคราะห์เทียบจากการรวบงานศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยที่ศึกษาประสิทธิผลของเห็ดหลินจือเพื่อรักษาโรคโรคมะเร็งในมนุษย์ 373 คน แม้ว่าจะพบว่าคนเจ็บตอบสนองต่อการดูแลรักษาด้วยเคมีบำบัดรักษาหรือรังสีบรรเทาเจริญขึ้นเมื่อรักษาร่วมกับการใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือ แม้กระนั้นเมื่อทดสอบการใช้เห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียวกลับไม่มีประสิทธิผลในในการทำให้โรคมะเร็งลดขนาดลงอย่างใด
นอกเหนือจากนี้ จาการทวนงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่ามีการค้นคว้า 4 ชิ้นที่ส่งผลลัพธ์สนับสนุนว่าเห็ดหลินจืออาจสโมสรต่อการปรับปรุงแก้ไขคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้น และก็ในขณะเดียวกัน ก็ส่งผลลัพธ์จากการค้นคว้าหนึ่งที่แสดงถึงผลข้างคียงของเห็ดหลินจือ เป็นอาการคลื่นใส้และก็นอนไม่หลับด้วย
ฉะนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่ใช้ในการพิสูจน์ทางคุณสมบัติและประโยชน์ของเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง งานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยเป็นการทดสอบขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ หรือเป็นเพียงแค่การทดสอบในคนไข้บางกลุ่มเท่านั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง ก็เลยยังคงเป็นเรื่องการค้นคว้าที่ควรปฏิบัติการทดลองต่อไปเพื่อได้สำเร็จลัพ์ที่ชัดแจ้งและก็มีประโยชน์ในวงกว้างต่อการรักษาคนเจ็บโรคมะเร็งได้ในอนาคต
ภาวการณ์ต่อมลูกหมากโต รวมทั้งการเจ็บป่วยในระบบทางเท้าเยี่ยว
มีขั้นตอนการทดลองหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือทดลองในคนเจ็บเพศ 88 รายซึ่งมีอายุเกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีลักษณะปัสสาวะขัดข้อง ข้างหลังการทดสอบกว่า 12 อาทิตย์ ผลลัพธ์ที่ได้เป็น ผู้ป่วยต่างหรูหราคะแนน IPSS ที่ ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลในการวัดปัญหาในระบบทางเท้าปัสวะของคนเจ็บจากการตอบคำถาม แต่ไม่ปรากฏผลในเชิงการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากอะไร
โดยเหตุนี้ การทดลองดังที่กล่าวถึงแล้วก็เลยยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่กระจ่างเพียงพอ จะต้องมีการค้นคว้าทดสอบในด้านนี้ถัดไปในอนาคต เพื่อค้นหาหลังฐานที่เด่นชัดในการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการดูแลและรักษาสภาวะต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพใดๆที่เกี่ยวข้อง
ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลการทดสอบทางด้านการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีคนป่วยเบาหวานจำพวก 2 ร่วมทดสอบกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่เป็นผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพเพียงพอจะสนับสนุนผลทางการรักษาพวกนั้น และไม่มีข้อมูลที่เพียงพอในการยืนยันด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจือด้วยเหมือนกัน โดยหนึ่งในงานวิจัยพวกนั้น ได้แสดงถึงผลกระทบจากการบริโภคเห็ดหลินจือในคนป่วยบางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องเสีย หรือท้องผูก
ด้วยเหตุดังกล่าวจะต้องมีการค้นคว้าทดลองถึงคุณภาพของเห็ดหลินจือสำหรับในการลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆเหล่านี้เพื่อคุ้มครองป้องกันและการดูแลและรักษาโรคเส้นโลหิตหัวใจต่อไป และก็ให้รู้เรื่องชัดเจนชัดดเจนในด้านดังที่ได้กล่าวมาแล้วเยอะขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นประโยชน์ต่อวิธีการรักษาคุ้มครองป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและอาการต่างๆที่เกี่ยวพันถัดไปในอนาคต
ปริมาณที่สมควรสำหรับเพื่อการบริโรคเห็ดหลินจืออย่างชัดแจ้ง เนื่องประสิทธิผลแล้วก็ผลข้างคียงจากการบริโภค ด้วยเหตุนี้ ผู้บริโภค ควรศึกษาค้นคว้าเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และขอคำแนะนำแพทย์หรือเภสัชกรก่อนจะมีการบริโรค ด้วยเหตุว่าหากแม้เห็ดหลินจือในแต่ละรูปแบบจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แต่สารเคมีและก็ส่วนประต่างบางทีอาจส่งผลข้างๆที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสภาพร่างกายได้เหมือนกัน

โดยปกติ จำนวนการบริโภคเห็ดหลินจือ/วันได้แก่
-เห็ดหลินจืออบแห้ง ไม่ควรบริโภคเกิน 1.5-9 กรัม/วัน
-ผงสารสกัดเห็ดหลินจือ ไม่สมควรบริโภคเกิน 1-1.5 กรัม
-สารละลายเห็ดหลินจือ ไม่สมควรบริโภคเกิน 1 มิลลิลิตร/วัน
ความปลอดภัยสำหรับการบริโภคเห็ดหลินจือ
แม้จะมีการพิสูจน์ถึงคุณค่าในบางด้านที่บางทีอาจเกิดขึ้นได้จากการบริโภคเห็ดหลินจือ แต่ผู้ซื้อก็ควรศึกษาค้นคว้าเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเห็ดหลินจือ และปรึกษาหมอหรือเภสัชกรก่อนที่จะมีการบริโภค โดยเฉพาะ ควรระมัดระวังในด้านปริมาณรวมทั้งรูปแบบเห็ดหลินจือที่บริโภค เพราะอาจเกิดผลข้างๆต่อสุขภาพได้ในตอนหลัง
โดยข้อควรระวังสำหรับเพื่อการบริโภคเห็ดหลินจืออย่างเช่น
คนซื้อทั่วๆไป.......
-ควรจะบริโภคเห็ดหลินจือในปริมาณที่พอดิบพอดี
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 1 ปี อาจจะส่งผลให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
-การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหลินจือติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 1 ปี อาจจะเป็นผลให้เป็นอันตรายต่อร่างกายได้
-การบริโภคสารสกัดเห็ดหลินจืออาจก่อกำเนิดผลกระทบได้ ยกตัวอย่างเช่น ปากแห้ง คอแห้ง คันจมูก เลือดกำเดาไหล ท้องไส้ปั่นป่วน ถ่ายเป็นเลือด
-การดื่มไวน์เห็ดหลินจืออาจนำมาซึ่งผลกระทบเป็นอาการผื่นคัน
-การสูดหายใจเอาเซลล์ขยายพันธุ์ หรือ สปอร์ (Spores) ของเห็ดหลินจือเข้าไปอาจจะก่อให้กำเนิดอาการแพ้
คนที่พึงระวังในการบริโภคเป็นพิษ
คนที่ครรภ์ หรือกำลังให้นมลูก แม้ยังไม่มีการยืนยันผลกระทบที่บางทีอาจเกิดขึ้นได้ในกลุ่มคนซื้อนี้แม้กระนั้นผู้ที่มีท้องและก็คนที่กำลังให้นมลูกควรหลีกเลี่ยงการบริโภคเห็ดหลินจือ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของตนและก็ลูกน้อย
คนที่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด การบริโภคเห็ดหลินจือในปริมาณมาก อาจเพิ่มการเสี่ยงในการเกิดภาวะมีเลือดออกในผู้เจ็บป่วยบางรายที่จำต้องเข้ารับการผ่าตัด ดังนั้น เพื่อลดการเสี่ยง คนไข้ควรจะหยุดบริโภคเห็ดหลินจือ ขั้นต่ำ 2 อาทิตย์ก่อนวันผ่าตัด
ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ
ความดันเลือดต่ำ เห็ดหลินจืออาจส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำลง ฉะนั้น คนป่วยภาวการณ์ความดันโลหิตต่ำจะต้องหลบหลีกการบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ การบริโภคเห็ดหลินจือในจำนวนมากบางทีอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเกิดภาวะมีเลือดออกในคนที่มีเกล็ดเลือดต่ำ เพราะฉะนั้นผู้เจ็บป่วยภาวะเกล็ดเลือดต่ำก็เลยไม่สมควรบริโภคเห็ดหลินจือ
ภาวการณ์มีเลือดออกผิดปกติ การบริโภคเห็ดหลินจือในปริมาณมาก บางทีอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเกิดภาวะมีเลือดออกในผู้ป่วยบางราย โดยยิ่งไปกว่านั้นในผู้ที่มีภาวการณ์เลือกออกเปลี่ยนไปจากปกติอยู่แล้ว http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรเห็ดหลินจือ

หน้า: [1]