รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - mmkmm25255

หน้า: [1]
1
กระชายดำ

2
ขมิ้นชัน

3

ขายยากษัยเส้น ตะกร้าผีมดเป็นไม้เถา ลำต้นเมื่อยังอ่อนlอยู่มีขน แต่ขนจะค่อยๆหล่นyไป{จuil|จนกระmkylkuiulทั่ง|จนถึง|กระทั่งio;เกือบl8i;;เกลี้ยงรือfkulio;lหมดจด ใบลำพังเรียงสลับ มีรูปร่างtrl8;iy;หลายแบบ ตั้งแต่รูปไข่จนถึงรูปไข่แก;io537;มรูปใบหอก กว้าง 5.8-tli;7.6 จำหน่ายยากษัยเส้นซม. ยาว 9.5-16.5 ซม. ปลายแหลม โคนเว้าลึfloi;กเป็นรูio;tyปหัวใจหรือรูปติ่ง5356หู ขอบเรียบ ใบที่llul8232เติบโตสุดกำลังแล้วสะอาดอีกทั้ง 2 ด้าน เว้นแต่เส้นใบl;iแล้ว4353ก็เส้นใบย่อยอาจมีข;tl8;8l;น แผ่นใบมีต่อมลักษณะเป็นจุดเล็กๆเรี่ยราด เส้น32ใบออกkio;ul;จากโคนใบ 3-5 เส้น เส้นแขนงใบข้45yukางละ 3-4 เrtlk8ส้น เส้นใบย่อยเรียงตามขวาง ใบเหมือนขั้นบันไดรวมทั้งสานกันเป็นร่างแห เส้นร่างแหเห็นได้ชัดทางด้านล่าtli;งม;op;lกยิ่งกว่า5ด้านบน p;ก้านใบยาว 3-6 ซม. ด้าน45บนเป็นร่องและ;;ก็มีขนละ;9;เอียio; 4างล่างขจัดขจi;['pายอยู่ไกลๆ;

Tags : ขายยากษัยเส้น,ขายยากษัยเส้น

4

พริกไทยดำ ขอบชะนางขอบชะนาง ชื่อวิทยาศาสตร์ Gonostegia pentandra (Roxb.) Miq.  (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Pouzolzia pentandra (Roxb.) Benn.) จัดอยู่ในตระกูลกะลังตังช้าง (URTICACEAEหรือ CROPIACEAE)สมุนไพรขอบชะนาง มีชื่อเขตแดนrthtyjykllulอื่นๆว่า หญ้ามูกมาย (จังหวัดสระบุ'op'op'op'oรี),พริกไทยดำ ขอบชะนางขาeeว หนอehนตายopehrehpต้erองการขาว หนอนขาว ขอบชะนางtyyukแดง หljtyuiluiluilนอนตายต้องกuiljtyio;io;ารแดง หนอนแtyดง (ภาคกึ่'op'งกลางyj), หญ้าหนอนตาย (ภาคเหนือop'), ตาสียาเก้op'อ ตอสีเพาykuyukyะเกล (กะเuyliuoio;หรี่ยง-แม่yukyukฮ่องสอน), เปลืi;io;iooอกมืนดิน jtyjเป็นต้tykytkyukนรูปแio;io;บบของjtyขอhrthบชะนางต้io;นขอjtyบชะนาtyjง มีเขo'o'poตjtyผู้กrthrรjtyjtyะทำระจายhrthrthrtio;ประเภทอrhjยู่io;oi;วทุกภาคของjtyประเทศio;op'opอjtyยู่ร่วมกัน io;2 ชนิrehด ตัวtyjtyjtyอย่างเช่น ขอบชะนางแดงรวมทั้oi;งขอบชะนางขาว ;io;oioโดยจัดเป็นพ;io;ioรรณไม้ล้มลุกจำyukuilioijวกต้นหญ้าjty รวมทั้;io;oiงเลื้อยแผ่jtyjt;oi;yไปตามดินแต่ยอดจะตั้ง io;ลำoi;ioต้นมีขนาดใหญ่กว่าก้านไม้ขีดเพียงแค่เล็กๆน้อยๆ โดยเป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นตามเรือกสวนขอบร่อง jyuรวมทั้jtงขึ้l;oi;uiนตามพื้นที่สุขสบytyายoi;ที่มีก้;oi;อนอิฐปูนเก่าๆหรือดังio;iที่ผุพัerง ขยายพันธุ์ด้วยtyjtyแนวท;ioางใช้ผ;ลลำต้นอยู่เหjtyนืjtyอดิน ตั้งชันเองได้ ลำio;io;ต้นเรีio;ยบมีความio;สูงได้โดยประมาณoi;i; 2-3 ฟุตขอบชthjtyะนาoi;งแดงใบขอบชะนาง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับio;oi;กัน โดยใบขio;องขอบioชะนางแดงjtyjtyjจะyjtyมีลักษณะเป็นรูปใบหอก ใบมีขนาดกว้างราวๆ 1.5-2.5 ซม.และยาว{ประมาณ|ราว|ราวๆ|โดยประมา;oio5-8 ซม. ส่วนขiioอบชะนางขาtyjวจะมีop;ลักษณ'p['tyj[pะของใบเป็นรูปค่yukอนข้างจะมนและก็กลyukyukyukyukมหรือเป็นรูปไข่พริกไทยดำ ใบมีขนาดกว้างปjtyระมoi;io;าณ 1-1.5 เซนติเมตio;รและยาวโดยปio;ระมาณyuk 2-3 ซyuk. เส้นykuใบของทั้งสองแบบสามารถเห็นได้แจ่io;มชัด เป็นเส้น 3 เส้น ใบจะมีขนาดใjytkuuiliuoliuoyหญ่ราว edhrtjt2 กระเบียjhghmyukด,jนิ้ว ยาวราวๆ 1 นิ้วค/.รึ่ง ถึง 1 นิ้วฟุryjtytต สีของใบแลjytะก็ต้jtyนของขอjtyjบชะนางจะเป็นjtyสีม่วงอมสีแดง เฉพาะแผ่นใบนั้นสีจะกระghmจ่างแจ้ง คือ ข้างหลังใบจะเป็นสีเขียวเข้มอมสีแดง และท้อhgmghmงใบจะเป็ghmghนสีแดงคล้ำ แต่ว่าjtyjถ้าหากเป็yukop'นขอบชะนางขาวสีของใบจะเป็นfgyukyukสีเขียวอ่ghอนๆและทั้งสองประเภทพริกไทยดำจะมีขmghmนบางส่วนอยู่อีกทั้งบนแผ่นใบแลgfmjhj,hjะตyuามลำต้นดngmอกขอบชะนาpo'pgmo'ง มีดghอกเyukyuป็นช่อกระจุกตามgระหว่างซอกใบkyuและก็ตามกิ่ง ดอกมีukyขนาดเล็ก เป็jytนแบบแยกเพtyjศjty อยู่บนต้นเดียวกัน เป็นดอกเพศผู้กับดอกเพศtyjภรรยา โดยดอกขyukองขอyukบชytjะนางแดงจะเป็yukkนสีแดง ส่วนดอกขอyukงjขอบชtytyะนางขาวจjะเป็tyjtyนสีเyukขียวอมyukเหลืองหรือสีนวลผลขอบชะนางพริกไทยดำ ผลสำเร็จแห้งไม่แตกแบบ achene1 ผลเป็นสีน้ำตาลkyuออกเป็นกระจุกตามซอกyukyukkyuyukkใบ มีขนาดประมาณ 2-3 มม. เมื่อแห้งแล้วyukจะร่วงหyukล่นลงบนtyjtytyjtyjtyดินหรือปลิวไปตามลม ภายในผลมีเมล็ดykโดยประมาณ 1-2 jเม็ด เมล็ดมีลักษณะกลมรีสีน้ำตาลและก็พริกไทยดำมีขjtyนาดเล็กมากคุณประโยชน์ของขอบชะนางช่วยแก้อาการไjtyม่อยากกินอาหาร (ใช้ผลแห้ง โดยใช้สูตรเดียวกับการรักษาลักษณะของการปวjtดท้อง)ช่วยแก้อาการอjtyjtyjytาเจียนเป็นฟอง

6

น้ำมันเหลือง
เราเสนอแนะกล้วยๆเพียงแค่ 2 ขั้นตอนเป็น"กด" + "ทา" โดยจะนวดไหมนวดก็ได้ ทาบริเวณที่มีลักษณะ
ปัจจุบันนี้น้ำมันเหลืองได้รับความนิยมใช้มหาศาลมาก เนื่องจากน้ำมันเหลืองคุณประโยชน์ไม่แพ้ยาแผนปัจจุบันอย่างยิ่งจริงๆ ลูกค้าส่วนมากอยากใช้สินค้าที่ทำมาจากธรรมชาติจริงๆเพราะว่านอกเหนือจากจะรู้สึกปลอดภัยแล้ว ใช้นานหรือบ่อยขนาดไหนก็ไม่เกิดการสะสม
คนใดที่ประทับใจใช้ น้ำมันเหลือง เป็นประจำห้ามพลาด เพราะเหตุว่าวันนี้พวกเรานำน้ำมันเหลืองสูตรใหม่ กลิ่นไม่ฉุนจัด ซึ่งธรรมดานั้นมีการทำกันกลายสูตรจำนวนมาก สุดแท้แต่ว่าใครชอบสูตรไหน เป็นน้ำมันเหลืองที่ทำจากธรรมชาติล้วนๆใช้สมุนไพรดีๆของไทยทั้งผองมักใช้แก้ปวด แก้มึนหัว แก้ตะคิว รักษาอาการหอบหืด ไซนัส บางสูตรแก้อาการท้องอืดได้ด้วย ไปดูสูตรกระบวนการทำกันเลย
สิ่งของ วัสดุ
1.เมนทอล 300 กรัม
2.พิมเสน 100 กรัม
3.การบูร 100 กรัม
4.หัวไพลแก่จัด 200 กรัม
5.น้ำมันงาบริสูทธิ์ 50 กรัม
6.กระทะสำหรับทอดหัวไพล
7.ภาชนะสำหรับผสมสาร ดังเช่น ขวดใส่กาแฟ ขวดแก้ว
วิธีทำ
1.ล้างหัวไพลให้สะอาดตากให้แห้ง หั่นเป็นชิ้นเล็กๆตากแห้ง
2.ทอดหัวไพลในน้ำมันงาโดยใช้ไฟอ่อนๆทอดไปกระทั่งน้ำมันเป็นสีเหลือง เสร็จแล้วใส่สมุนไพรตัวทอดต่อให้หมดฟองยกลงจากเตากรองเอากากทิ้ง
3.นำองค์ประกอบทั้งยัง 3 จำพวก ในอัตราส่วนที่เจาะจงเป็น(เมนทอล 3 ส่วน พิมเสน 1 ส่วน พิมเสน 1 การบูร 1 ส่วน )เทผสมรวมกันในภาชนะสำหรับผสมสาร
4.ใช้ไม้พายเล็กคนให้ส่วนประกอบทั้งสิ้นละลายเป็นของเหลว (ถ้าเกิดไม่ใช่ไม้คนบางทีอาจใช้กรรมวิธีการเขย่าขวดให้ส่วนประกอบละลายก็ได้
5.เติมน้ำมันที่สกัดจากหัวไพลลงไป คนให้เข้ามาเป็นเนื้อเดียว
6.น้ำมันเหลืองที่ได้บรรจุขวดปิดฝาให้แน่น
[url=https://www.charmingfresh.com/product/49/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3https://www.chiangdaonaturefood.com/product/45/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3]น้ำมันเหลือง[/b][/url] ผลการศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัยบอสตันเผยว่า คนเจ็บโรคมะเร็งระยะขยายที่ได้รับการนวดตัว จะสามารถนอนล้ำหน้าขึ้น ทุเลาอาการเจ็บปวด รวมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย ซึ่งสอดคล้องกับผลของการวิจัยของ Memorial Sloan-Kettering Cancer Center in New York City ในปี 2004 ที่เผยว่า ผู้บาดเจ็บโรคมะเร็งระยะแพร่ จะทรมาทรกรรมจากลักษณะการเจ็บปวดลดลง คลื่นไส้น้อยครั้ง ไหมอ้วกเลย รู้สึกแจ่มใสขึ้น ความดันดียิ่งกว่าเดิม และจากนั้นก็เครียดจากอาการป่วยน้อยลง ภายหลังจากได้รับการบำบัดด้วยแนวทางนวด
การเลือกน้ำมันเหลือง
การเลือกน้ำมันนวดขึ้นกับการใช้แรงงาน และก็คุณค่าต่างๆของน้ำมันนวดแต่ละจำพวก โดยส่วนมากน้ำมันพื้นฐานที่นิยมนำมาผสมทำน้ำมันนวด เป็นต้นว่า น้ำมันที่ทำขึ้นมาจากเมล็ดทานตะวัน ฯลฯ ซึ่งมีวิตามินอี สูงขึ้นมากยิ่งกว่าน้ำมันถั่วเหลือง แล้วหลังจากนั้นก็น้ำมันเมล็ดข้าวโพดถึง 3 เท่า วิตามินอี ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ดักจับ รวมถึงทำลายของเสียที่รังแกเซลล์ต่างๆของร่างกาย ช่วยทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ลกไขมันในหลอดเลือด คุ้มครองการเกิดมะเร็ง นอกเหนือจากนั้นน้ำมันเม็ดดอกทานตะวันยังมีกรดไขมันไม่อิ่ม กรดไลโนเลอิกสูง ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำต้องต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำให้ผิวพรรณนุ่มชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย
โดยทั้งนี้น้ำมันเหลืองแต่ละจำพวกจะมีคุณสมบัติ แล้วก็คุณประโยชน์ที่หลากหลาย ขึ้นกับการเลือกใช้ให้เหมาะสมตามการใช้

7
อื่น ๆ / ความเป็นมาของต้นราชพฤกษ์
« เมื่อ: สิงหาคม 11, 2018, 02:56:35 PM »

ราชพฤกษ์
ราชพฤกษ์ ชื่อสามัญ Golden shower, Indian laburnum, Pudding-pine tree, Purging Cassia
ราชพฤกษ์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cassia fistula L. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) แล้วก็อยู่ในตระกูลย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ CAESALPINIACEAE)
สมุนไพรราชพฤกษ์ มีชื่อเขตแดนอื่นๆว่า กุเพยะ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), ปูโย ปีอยู เปอโซ แมะหล่าอยู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ลักเกลือ ลักเคย (กะเหรี่ยง), ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ (ภาคกึ่งกลาง), ต้นลมแล้ง (ภาคเหนือ), ราชพฤกษ์ (ภาคใต้), คูน (ทั่วๆไปเรียกและชอบเขียนไม่ถูกหรือสะกดไม่ถูกเป็น “ต้นคูณ” หรือ “คูณ“) ฯลฯ
คำว่า “ราชพฤกษ์” แสดงว่า “ต้นไม้ของพระมหากษัตริย์” ซึ่งเป็นเครื่องหมายของงานมหกรรมพืชสวนโลกซึ่งจัดขึ้นเพื่อฉลองในวโรกาสอันเป็นมหามงคลที่พระเจ้าอยู่หัวของพวกเราทรงครอบครองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปี
ต้นราชพฤกษ์ ต้นไม้ประจำชาติไทย
เมื่อปี พุทธศักราช2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติได้มีคำแนะนำแล้วก็สรุปให้มีการระบุสัญลักษณ์ประจำชาติ 3 สิ่ง ซึ่งประกอบไปด้วย ดอกไม้ สัตว์ และสถาปัตยกรรม ซึ่งจากการพินิจพิเคราะห์ได้บทสรุปว่า ให้สัตว์ประจำชาติเป็น “ช้างไทย” ส่วนในด้านสถาปัตยกรรมประจำชาติเป็น “ศาลาไทย” และในส่วนของดอกไม้ประจำชาติก็คือ “ดอกราชพฤกษ์” โดยมีเหตุมีผลสำหรับเพื่อการคัดดังต่อไปนี้
ต้นคูน หรือ ต้นราชพฤกษ์ จัดฯลฯไม้ประจำชาติไทย (ตามประกาศของกรมป่าไม้)ต้นไม้ราชพฤกษ์ เป็นต้นไม้ที่คนประเทศไทยทั่วไปรู้จักกันอย่างล้นหลาม ในนามของ “ต้นคูน” สามารถพบเจอได้ทั่วๆไปของทุกภาคในประเทศ
ต้นราชพฤกษ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับจารีตชาวไทยมาอย่างเป็นเวลายาวนาน เพราะว่าเป็นพืชที่มีความมงคลนามและใช้สำหรับในการประกอบพิธีสำคัญๆต่างๆหลายพิธีการ อาทิเช่น พิธีลงเสาหลักเมือง ทำคทาจอมพล ใช้ทำยอดธงชัยเฉลิมพล เป็นต้น
ต้นราชพฤกษ์นั้นสามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้อย่างนานาประการ อย่างเช่น การใช้เป็นยาสมุนไพรหรือนำมาใช้ทำเป็นเสาบ้านเสาเรือนได้ ฯลฯ
ต้นราชพฤกษ์ฯลฯไม้ที่มีอายุยืนนานรวมทั้งแข็งแรงทนทาน
ต้นราชพฤกษ์มีรูปทรงและก็พุ่มไม้ที่สวย มีดอกเหลืองแพรวพราวเต็มต้น ดูสวยยิ่งนัก
ดอกราชพฤกษ์มีสีเหลือง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ที่พระพุทธศาสนา แล้วก็ยังเป็นสัญลักษณ์ของวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ยิ่งกว่านั้นตามตำราพืชที่มีความเป็นสิริมงคล 9 จำพวกยังกำหนดไว้ว่า ต้นราชพฤกษ์เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ ความมีอำนาจบุญบารมี มีโชคมีชัย
สมุนไพรราชพฤกษ์ กับการนำมาใช้รักษาโรคแล้วก็อาการต่างๆโดยส่วนที่นำมาใช้เป็นคุณประโยชน์ทางยานั้น ดังเช่น ส่วนของใบ ดอก เปลือก ฝัก แก่น กระพี้ ราก และเม็ด ซึ่งสมุนไพรราชพฤกษ์ เป็นสมุนไพรที่สามารถใช้ได้กับเด็ก สตรี รวมไปถึงคนชรา โดยไม่มีอันตรายอะไรก็ตาม
ลักษณะของต้นราชพฤกษ์
ต้นราชพฤกษ์ (ต้นคูน) เป็นพืชท้องถิ่นในแถบทวีปเอเชียใต้ ไล่ตั้งแต่ทางตอนใต้ของปากีสถานไปจนกระทั่งอินเดีย พม่า แล้วก็ประเทศศรีลังกา โดยจัดเป็นพรรณไม้ขนาดกึ่งกลาง มีลำต้นสีน้ำตาลแกมเทาเกลี้ยง มักขึ้นทั่วๆไปตามป่าผลัดใบหรือในดินที่มีการระบายน้ำดี แพร่พันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดแล้วย้ายกล้ามาปลูกเอาไว้ภายในถุงเพาะชำ เมื่อโตพอแล้วก็ย้ายมาปลูกภายในพื้นที่ แต่ในขณะนี้บางทีอาจจะใช้กระบวนการทาบกิ่งและเสียบยอดก็ได้ แม้กระนั้นช่องทางสำเร็จจะน้อยกว่ากระบวนการเพาะเม็ด
ใบราชพฤกษ์ (ใบคูน) รูปแบบของใบออกเป็นช่อ ใบสีเขียววาว ช่อหนึ่งยาวโดยประมาณ 2.5 เซนติเมตร แล้วก็มีใบย่อยเป็นไข่หรือรูปป้อมๆประมาณ 3-6 คู่ ใบย่อยมีความกว้างราวๆ 5-7 ซม. และยาวโดยประมาณ 9-15 ซม. โคนใบมนรวมทั้งสอบไปทางปลายใบ เนื้อใบบางสะอาด มีเส้นกิ่งก้านสาขาใบถี่และโค้งไปตามรูปใบ
ใบราชพฤกษ์
ดอกราชพฤกษ์ (ดอกคูน) มีดอกเป็นช่อ ยาวราวๆ 20-45 ซม. มีกลีบรองดอกรูปขอบขนาน มีความยาวโดยประมาณ 1 ซม. กลีบมี 5 กลีบ หลุดร่วงได้ง่าย และกลีบดอกไม้ยาวกว่ากลีบรองดอกโดยประมาณ 2-3 เท่า แล้วก็มีกลีบรูปไข่ปริมาณ 5 กลีบ รอบๆพื้นกลีบจะเห็นเส้นกลีบชัดแจ้ง ที่ดอกมีเกสรตัวผู้ขนาดแตกต่างปริมาณ 10 ก้าน มีก้านอับเรณูโค้งงอขึ้น ดอกชอบบานในตอนมี.ค.ถึงเดือนพฤษภาคม แม้กระนั้นก็มีบางกรณีที่มีดอกนอกฤดูเช่นเดียวกัน เช่น ในช่วงธันวาคมถึงม.ค.
ดอกราชพฤกษ์ดอกคูน
ผลราชพฤกษ์ หรือ ฝักราชพฤกษ์ (ฝักคูณ) ผลมีลักษณะเป็นฝักรูปทรงกระบอกสะอาดๆฝักยาวประมาณ 20-60 ซม. แล้วก็วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ราว 2-2.5 เซนติเมตร ฝักอ่อนจะมีสีเขียว ส่วนฝักแก่จัดจะมีสีดำ ในฝักจะมีฝาผนังเยื่อบางๆติดกันอยู่เป็นช่องๆตามแนวขวางของฝัก และในช่องจะมีเม็ดสีน้ำตาลแบนๆอยู่ มีขนาดราวๆ 0.8-0.9 เซนติเมตร
ฝักคูนฝักราชพฤกษ์
คุณประโยชน์ของราชพฤกษ์
ช่วยบำรุงรักษาโลหิตภายในร่างกาย (เปลือก)
สารสกัดจากลำต้นรวมทั้งใบของราชพฤกษ์มีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระ (ลำต้น, ใบ)
สารสกัดจากเม็ดมีฤทธิ์ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล (เมล็ด)
ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจหรือถุงน้ำดี (ราก)
ราชพฤกษ์มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้ (ราก)
ฝักราชพฤกษ์มีคุณประโยชน์ทางยาช่วยแก้ไข้มาลาเรีย (ฝัก)
ช่วยแก้ไข้รูมาติกด้วยการใช้ใบอ่อนเอามาต้มกับน้ำดื่ม (ใบ)
ฝักอ่อนมีรสหวานอมเปรี้ยวนิดหน่อย มีกลิ่นเหม็นเหม็นเบื่อ เย็นจัด สรรพคุณสามารถใช้ขับเสลดได้ (ฝักอ่อน)
ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ (ฝัก)
เปลือกเมล็ดรวมทั้งเปลือกฝักมีสรรพคุณช่วยทำลายพิษ ทำให้อาเจียน หรือจะใช้เม็ดราว 5-6 เมล็ด เอามาบดเป็นผงแล้วกินก็ได้ (เม็ด, ฝัก)
ต้นราชพฤกษ์ สรรพคุณของกระพี้ใช้แก้ลักษณะของการปวดฟัน (กระพี้)
ในอินเดียมีการใช้ฝัก เปลือก ราก ดอก และใบมาทำเป็นยา ใช้เป็นยาแก้ไข้และก็หัวใจ แก้อาการหายใจขัด ช่วยถ่ายของเสียออกมาจากร่างกาย แก้อาการซึมเศร้า หนักหัว หนักตัว ทำให้ชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวยหน้าอก (เปลือก, ราก, ดอก, ใบ, ฝัก)
คุณประโยชน์ราชพฤกษ์ช่วยแก้โรครำมะนาด (กระพี้, แก่น)
ช่วยรักษาเด็กเป็นต้นตานขโมยด้วยการใช้ฝักแห้งราว 30 กรัมเอามาต้มกับน้ำ (ฝัก)
ช่วยทุเลาอาการแน่นหน้าอก (เนื้อในฝัก)
ฝักแก่ใช้เป็นยาระบาย ช่วยสำหรับในการขับถ่าย ทำให้ถ่ายได้สะดวก ไม่มวนท้อง แก้อาการท้องผูก เหมาะกับผู้ที่มีลักษณะอาการท้องผูกบ่อยๆและสตรีท้อง เนื่องจากว่ามีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone glycoside) เป็นตัวช่วยระบาย สำหรับวิธีการใช้ ให้ใช้ฝักแก่ขนาดก้อนเท่าหัวแม่มือ (หนักโดยประมาณ 4 กรัม) และน้ำอีก 1 ถ้วยแก้วใส่หม้อต้ม แล้วผสมเกลือนิดหน่อย ใช้ดื่มก่อนกินอาหารตอนเช้าหรือช่วงก่อนนอนเพียงแค่ครั้งเดียว (ฝักแก่, ดอก, เนื้อในฝัก, ราก, เม็ด)
เมล็ดมีรสฝาดเมา คุณประโยชน์ช่วยแก้ท้องร่วง (เม็ด)
ช่วยหล่อลื่นลำไส้ รักษาโรคเกี่ยวกับกระเพาะและก็แผลเรื้อรัง (ดอก)
ช่วยรักษาโรคบิด (เมล็ด)
คุณประโยชน์ของราชพฤกษ์ ฝักช่วยแก้อาการจุกเสียด (ฝัก)
ช่วยทำให้กำเนิดลมเบ่ง ด้วยการใช้เม็ดฝนกับต้นหญ้าฝรั่น น้ำดอกไม้เทศ รวมทั้งน้ำตาล แล้วนำมากิน (เมล็ด)
ฝักรวมทั้งใบมีคุณประโยชน์ช่วยขับพยาธิ ด้วยการใช้ฝักแห้งประมาณ 30 กรัมนำมาต้มกับน้ำดื่ม (ใบ, ฝัก, เนื้อในฝัก)
ต้นคูณมีสรรพคุณช่วยขับพยาธิไส้เดือนในท้อง (แก่น)
เปลือกฝักมีรสเฝื่อนเมา ช่วยขับรกที่ค้าง ทำให้แท้งลูก (เปลือกฝัก)
สารสกัดจากใบคูนมีฤทธิ์ช่วยต้านการเกิดพิษที่ตับ (ใบ)
สรรพคุณของคูน รากใช้แก้โรคโรคกุฏฐัง (ราก)
ใบสามารถประยุกต์ใช้สำหรับเพื่อการฆ่าเชื้อโรค เชื้อโรคบนผิวหนังที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อราได้ (ใบ)
ช่วยฆ่าพยาธิผิวหนัง (ใบ)
รากนำมาฝนใช้ทารักษาขี้กลากเกลื้อน รวมทั้งใบอ่อนก็ใช้แก้กลากได้เช่นเดียวกัน (ราก, ใบ)
เปลือกและก็ใบนำมาบดผสมกันใช้ทาแก้เม็ดผื่นผื่นตามร่างกายได้ (เปลือก, ใบ)
เปลือกมีสรรพคุณช่วยแก้ฝี แก้บวม หรือจะใช้เปลือกและก็ใบเอามาบดผสมกันใช้ทารักษาฝี (เปลือก, ใบ)
คูน สรรพคุณของดอกช่วยแก้บาดแผลเรื้อรัง รักษาแผลเรื้อรัง (ดอก)
เปลือกราชพฤกษ์ คุณประโยชน์ช่วยสมานรอยแผล (เปลือก)
ฝักคูณมีคุณประโยชน์ช่วยแก้อาการปวดข้อ (เนื้อในฝัก)
แขกใช้ใบนำมาตำ นำมาพอกแล้วนวด ช่วยแก้โรคปวดข้อและก็อัมพาต (ใบ)
ช่วยกำจัดหนอนและแมลง โดยฝักแก่มีสารออกฤทธิ์ที่ส่งผลต่อระบบประสาทของแมลง เมื่อนำฝักมาบดผสมกับน้ำเสียไว้โดยประมาณ 2-3 วัน แล้วใช้สารละลายที่กรองได้มาฉีดพ่นจะสามารถที่จะช่วยในการกำจัดแมลงรวมทั้งหนอนในแปลงผักได้ (ฝักแก่)
สารสกัดจากรากราชพฤกษ์มีฤทธิ์ยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี Acetylcholinesterase
นอกจากนี้ยังมีการนำสมุนไพรราชพฤกษ์มาดัดแปลงทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆเยอะแยะ อาทิเช่น
น้ำมันนวดราชพฤกษ์ ที่ต้มมาจากน้ำมันจากใบคูน เป็นน้ำมันนวดสูตรร้อนหรือสูตรเย็น ที่ใช้นวดแก้อัมพฤกษ์อัมพาต แล้วก็ขจัดปัญหาเรื่องเส้น
ลูกประคบราชตารู เป็นลูกประคบสูตรโบราณ ที่ใช้ใบคูนเป็นตัวยาตั้งต้น ประกอบไปด้วย ขมิ้นอ้อย เทียนดำ กระวาน แล้วก็อบเชยเทศ โดยลูกประคบสูตรนี้จะใช้ปรุงตามอาการ โดยจะมองตามโรคและความปรารถนาเป็นหลัก ซึ่งแต่ละคนจะได้แตกต่าง
ผงพอกคูนคาดข้อ ทำจากใบคูนที่เอามาบดเป็นผุยผง ช่วยแก้อาการปวดเส้น อัมพฤกษ์อัมพาต โดยนำมาพอกบริเวณที่เป็นจะช่วยกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการไหลเวียนของเลือด ทุเลาอาการปวดข้อ รักษาโรคเกาต์ แล้วก็ยังช่วยลดอาการอักเสบได้อีกด้วย ซึ่งสูตรนี้สามารถใช้กับคนไข้ที่เป็นอัมพาตใบหน้าครึ่งส่วน ตาไม่หลับ มุมปากตกได้ด้วย
ชาสุวรรณาค้าง ทำจากใบคูน สรรพคุณช่วยในด้านสมอง แก้ปัญหาเส้นโลหิตตีบในสมอง ช่วยทำให้ระบบไหลเวียนในร่างกายดียิ่งขึ้น ช่วยแก้อัมพฤกษ์อัมพาต โดยเป็นตัวยาที่มีไว้ชงดื่มพร้อมกันไปกับการดูแลรักษาแบบอื่นๆ

ข้อควรตรึกตรอง !
:การทำเป็นยาต้ม ควรต้มให้พอควรจึงจะได้ผลดี ถ้าเกิดต้มนานเกินไปหรือเกินกว่า 8 ชั่วโมง ยาจะไม่มีฤทธิ์ระบาย แต่ว่าจะมีผลให้ท้องผูกแทน รวมทั้งควรที่จะทำการเลือกใช้ฝักที่ไม่มากจนเกินไป รวมทั้งยาต้มที่ได้หากกินมากเกินไปอาจจะทำให้คลื่นไส้ได้
ประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากราชพฤกษ์
นิยมนำมาปลูกไว้ฯลฯไม้ประดับตามสถานที่ต่างๆดังเช่น สถานที่ราชการ รอบๆริมถนนข้างทาง แล้วก็สถานที่อื่นๆ
ต้นราชพฤกษ์กับความศรัทธา ต้นราชพฤกษ์เป็นพืชที่มีความเป็นสิริมงคลนามที่คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดที่ปลูกต้นราชพฤกษ์ไว้เป็นไม้ประจำบ้านจะช่วยทำให้ทรงเกียรติและก็เกียรติยศ สาเหตุเพราะเหตุว่าคนให้การเห็นด้วยว่าต้นราชพฤกษ์เป็นไม้ที่มีคุณค่าสูงรวมทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยอีกด้วย แล้วก็ยังมั่นใจว่าจะทำให้ผู้อาศัยนั้นรุ่งโรจน์ โดยจะนิยมปลูกต้นราชพฤกษ์ในวันเสาร์และก็ปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน (อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะทิศดังกล่าวได้รับแสงอาทิตย์จัดในช่วงช่วงเวลาบ่าย เลยปลูกไว้เพื่อช่วยลดความร้อนในบ้านแล้วก็ช่วยประหยัดพลังงาน)
ต้นราชพฤกษ์เป็นพืชที่มีความมงคลและก็ศักดิ์สิทธิ์ ใช้ทำเป็นน้ำพุทธมนต์ในพิธีบูชาต่างๆทางศาสนา อาทิเช่น พิธีวางศิลาฤกษ์ ใช้ทำเสาหลักเมือง เสาฤกษ์ในการก่อสร้างพระตำหนัก ยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร คทาจอมพล ส่วนใบของต้นราชพฤกษ์จะใช้ทำเป็นน้ำพุทธมนต์ไว้สะเดาะเคราะห์ได้ผลลัพธ์ที่ดีนัก ฯลฯ
เนื้อไม้ใช้ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ ด้ามเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆหรือทำเป็นไม้ไว้ใช้สอยอื่นๆได้แก่ ใช้ทำเสา เสาสะพาน ทำสากตำข้าว ล้อเกวียน คันไถ เป็นต้น
เนื้อของฝักแก่สามารถประยุกต์ใช้แทนกากน้ำตาลสำหรับในการทำเป็นหัวเชื้อจุลินทรีย์รวมทั้งจุลินทรีย์ขยายได้
ฝักแก่สามารถประยุกต์ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับในการหุงต้มด้วยเตาเศรษฐกิจที่มีขนาดพอเหมาะพอควร โดยไม่ต้องผ่า ตัด หรือเลื่อย
แหล่งอ้างอิง :
เว็บที่ทำการโครงงานอนุรักษ์พันธุกรรมพืชสาเหตุจากความคิด สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, เว็บกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า รวมทั้งพืชพันธุ์, เว็บไซต์ไทยโพส, สำนักงานปรับปรุงเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน), งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554, สำนักงานกองทุนช่วยเหลือการผลิตเสริมสุขภาพ (สสส.) http://www.disthai.com/

8

ขิง
ขิง เป็นพืชที่มีเหง้าใต้ดิน ภายนอกเหง้าเป็นน้ำตาลปนเหลือง เนื้อในสีขาวหรือเหลืองอ่อน มักนำมาทำอาหารเพราะส่งกลิ่นหอม ยิ่งไปกว่านี้ ขิงยังใช้เป็นองค์ประกอบในเครื่องดื่ม สบู่ รวมทั้งเครื่องแต่งหน้าทั้งหลายเหมือนกัน ด้านประโยชน์ต่อร่างกาย มีความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ขิงรักษาโรคหลายประเภทมาอย่างยาวนาน ดังเช่น โรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับระบบที่ทำหน้าที่สำหรับการย่อยอาหารอย่างท้องร่วง มีก๊าซในกระเพาะ อาหารไม่ย่อย อาการเมารถเมาเรือ อ้วก ไม่อยากกินอาหาร
คุณสมบัติของขิงมั่นใจว่าประกอบด้วยสารที่อาจช่วยลดอาการอ้วกแล้วก็ลดการอักเสบ โดยนักค้นคว้าส่วนใหญ่คาดว่าเป็นสารที่ออกฤทธิ์ในกระเพาะอาหารแล้วก็ไส้ และสารนี้อาจมีผลต่อสมองหรือระบบประสาทส่วนที่ควบคุมอาการอาเจียนด้วย แต่ว่าข้อสมมติฐานดังกล่าวข้างต้นยังไม่กระจ่างนัก และคุณสมบัติด้านอื่นๆมีข้อมูลน้อยกว่า ซึ่งคุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิงต่อสุขภาพที่เราเชื่อกันนั้น ปัจจุบันนี้ทางด้านวิทยาศาสตร์มีข้อมูลชี้แจงไว้ดังต่อไปนี้
การดูแลรักษาที่บางทีอาจเห็นผล
อาการอาเจียนอ้วกที่เกิดขึ้นมาจากการใช้ยาต้านไวรัสไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องหรือโรคภูมิคุมกันบกพร่อง คุณประโยชน์ทุเลาอาการอาเจียนคลื่นไส้ของขิงอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคนี้ที่เอาแต่ได้รับผลกระทบจากการใช้ยารักษาโรค โดยจากการศึกษาผู้ป่วยปริมาณ 102 คน แบ่งให้กรุ๊ปหนึ่งรับประทานขิง 500 กรัม อีกกรุ๊ปกินยาหลอกวันละ 2 ครั้ง ในตอน 30 นาทีก่อนจะได้รับยารักษาโรคเอดส์อย่างยาต้านรีโทรไวรัส ตรงเวลาทั้งผอง 14 วัน พบว่าขิงช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดจากการดูแลและรักษาโรคติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องได้
อาการอาเจียนอาเจียนภายหลังการผ่าตัด ขิงอาจช่วยทุเลาอาการอ้วกแล้วก็อาเจียนจากการผ่าตัดได้ด้วยเหมือนกัน โดยการเรียนด้านวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ชี้ว่าการกินขิง 1-1.5 กรัม ในช่วง 1 ชั่วโมงก่อนจะมีการผ่าตัดนั้นดูเหมือนจะช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนที่อาจเกิดขึ้นในระหว่าง 1 วันหลังได้รับการผ่าตัด
งานศึกษาเรียนรู้วิจัยหนึ่งทดลองแบ่งผู้ป่วยจำนวน 122 รับการผ่าตัดต้อกระจกให้รับประทานแคปซูลขิง 1 กรัม และอีกกรุ๊ปได้รับแคปซูลขิง 500 มิลลิกรัมแม้กระนั้นแบ่งให้ 2 ครั้งกระโน้นผ่าตัด ซึ่งผลสรุปพบว่าคนไข้ในกรุ๊ปข้างหลังมีลักษณะอาเจียนคลื่นไส้น้อยครั้งและก็มีความร้ายแรงของอาการน้อยกว่า โดยงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยนี้พบว่าการใช้ขิงนั้นน่าจะให้ความสามารถสูงสุดเมื่อรับประทานเป็นประจำแล้วก็เป็นประจำโดยแบ่งจำนวนการใช้
นอกเหนือจากนั้น การทดสอบทาน้ำมันขิงบริเวณข้อมือของผู้เจ็บป่วยก่อนเข้ารับการผ่าตัด พบว่าช่วยคุ้มครองอาการคลื่นไส้ในผู้ป่วยราวๆ 80 เปอร์เซ็นต์จากผู้เข้ารับการผ่าตัดทั้งผอง แต่ทว่าการใช้ขิงช่วยลดอาการอ้วกอ้วกร่วมกับยาลดอ้วกอ้วกนั้นบางทีอาจให้ผลได้ไม่ดีนัก รวมทั้งการใช้ขิงกับคนป่วยที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการอ้วกอ้วกน้อยอยู่แล้วก็อาจไม่ได้ผลเช่นกัน
อาการแพ้ท้อง การรับประทานขิงอาจมีส่วนช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง ได้แก่ คลื่นไส้ อ้วก หรือเวียนศีรษะ ผลการค้นคว้าชิ้นหนึ่งที่ช่วยรับรองคุณลักษณะนี้เป็นการทดลองในหญิงที่มีอายุท้องต่ำกว่า 20 สัปดาห์ ปริมาณ 120 คน ซึ่งพบเจออาการแพ้ท้องแต่ละวันนานขั้นต่ำ 1 อาทิตย์ และไม่รู้สึกดีขึ้นแม้จะเปลี่ยนแปลงการรับประทานอาหารแล้วก็ตาม ภายหลังกินสารสกัดจากขิง 125 มิลลิกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับขิงแห้ง 1.5 กรัม วันละ 4 ครั้ง 4 วัน ผลลัพธ์ได้ชี้ให้เห็นว่าขิงบางทีอาจสามารถประยุกต์ใช้คุณประโยชน์ในฐานะการรักษาช่องทางต่ออาการแพ้ท้องได้
นับว่าสอดคล้องกับอีกงานศึกษาค้นคว้าวิจัยก่อนหน้าที่ชี้ว่าการรับประทานขิง 1 กรัมต่อวัน ติดต่อนาน 4 วัน สามารถช่วยลดความร้ายแรงของอาการอาเจียนอาเจียนในหญิงท้องที่มีลักษณะอาการแพ้ท้องได้ แม้กระนั้นการใช้ขิงสำหรับคุณค่าด้านนี้อาจเห็นการดูแลรักษาได้ช้ากว่าหรือให้ผลดีไม่เทียบเท่าการใช้ยาแก้คลื่นไส้คลื่นไส้ นอกนั้น การเล่าเรียนเกี่ยวกับคุณสมบัติช่วยลดอาการแพ้ท้องของขิงยังมีข้อกำหนดรวมทั้งพบคำตอบที่ไม่สม่ำเสมอ โดยมีบางการทดสอบที่ชี้ว่าขิงบางทีอาจไม่ได้มีส่วนช่วยสำหรับการลดอาการแพ้ท้องเหมือนกัน
อาการตาลายศีรษะ อาการที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งการอ้วกนี้บางทีอาจบรรเทาให้ดีขึ้นได้ด้วยการใช้คุณค่าจากขิง จากงานค้นคว้าที่ทดสอบด้วยการให้ผู้ที่มีอาการบ้านหมุน และก็ตากระตุกจากการกระตุ้นโดยใช้อุณหภูมิกินผงเหง้าขิง ปรากฏว่าเหง้าขิงช่วยลดอาการวิงเวียนศีรษะได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกรุ๊ปที่รับประทานยาหลอก แต่ว่ามิได้ช่วยลดช่วงเวลาหรือชะลอการกระตุกของตามากนัก
โรคข้อเสื่อม มีการเรียนบางงานที่ชี้ว่าขิงอาจมีสรรพคุณลดลักษณะของการเจ็บที่เกิดขึ้นมาจากโรคข้อเสื่อม จากการทดลองหนึ่งที่ให้คนป่วยกินสารสกัดจากขิงชนิดหนึ่ง (Zintona EC) ในจำนวน 250 กรัม วันละ 4 ครั้ง พบว่าช่วยลดลักษณะของการปวดข้อเข่าภายหลังการดูแลรักษาตรงเวลา 3 เดือน ส่วนอีกการค้นคว้าที่ใช้สารสกัดจากขิงผสมกับข่า พบว่าได้ผลลัพธ์สำหรับในการช่วยลดลักษณะของการเจ็บขณะยืน อาการเจ็บหลังเดิน และก็อาการข้อติด
ยิ่งไปกว่านี้ มีการเรียนเปรียบเทียบสมรรถนะระหว่างขิงแล้วก็ยาแก้ปวด โดยให้คนป่วยโรคข้ออักเสบในกระดูกบั้นท้ายแล้วก็ข้อเข่ารับประทานสารสกัดขิง 500 มก.ทุกๆวัน วันละ 2 ครั้ง ขิงให้ผลบรรเทาอาการปวดได้เสมอกันกับการใช้ยาไอบูโพรเฟน 400 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง และก็ยังมีงานศึกษาเรียนรู้ที่เสนอแนะว่าการนวดด้วยน้ำมันที่มีส่วนผสมของขิงแล้วก็ส้มบางทีอาจช่วยทุเลาลักษณะของการปวดแล้วก็อ่อนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆของคนไข้ที่มีลักษณะเจ็บเข่าได้ด้วย
ลักษณะของการปวดประจำเดือน นอกเหนือจากลักษณะของการปวดจากโรคข้อเสื่อม การเรียนรู้บางงานยังชี้ว่าขิงอาจมีคุณสมบัติช่วยทุเลาอาการปวดประจำเดือน อย่างเช่น การทดสอบในนิสิตมหาวิทยาลัย 120 คน โดยให้กินผงเหง้าขิงทีละ 500 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้งในตอน 2 วันก่อนเริ่มมีระดูสม่ำเสมอไปจนกระทั่ง 3 วันแรกของการมีระดู รวมเป็น 5 วัน พบว่าผงเหง้าขิงมีส่วนช่วยลดความร้ายแรงของลักษณะของการปวดประจำเดือนได้อย่างมีนัยสำคัญด้านการเล่าเรียนเปรียบประสิทธิภาพของขิงและยาลดลักษณะของการปวดเมนส์อย่างเมเฟนามิค (Mefenamic acid) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) 400 มก. ในอาสาสมัคร 150 คน โดยแบ่งกลุ่มกินแคปซูลขิงหรือยาแต่ละจำพวกในปริมาณ 250 มก. วันละ 4 ครั้ง นาน 3 วัน โดยเริ่มตั้งแต่มีระดู ผลลัพธ์ปรากฏไปในทำนองเดียวกันกับการค้นคว้าแรก คือ ขิงมีคุณภาพทุเลาความรุนแรงของลักษณะของการปวดรอบเดือนไม่แตกต่างกับการใช้ยาเมเฟนามิคหรือไอบูโพรเฟน
การรักษาที่อาจไม่ได้ผล
อาการเมารถรวมทั้งเมาเรือ นับเป็นคุณประโยชน์ของขิงที่มีการพูดถึงกันมากมาย แต่ว่าหากแม้ขิงอาจจะช่วยลดอาการวิงเวียนได้ แม้กระนั้นสำหรับในการเวียนหัวอ้วกที่เกิดขึ้นมาจากการเดินทางนั้น งานวิจัยส่วนใหญ่ระบุว่าขิงบางทีอาจไม่มีส่วนช่วยได้จริง อย่างเช่น การแบ่งกลุ่มให้เด็กนักเรียนนายเรือ 80 ไม่คุ้นเคยกับการออกเรือท่ามกลางสมุทรที่มีคลื่นแรง รับประทานเหง้าขิง 1 กรัม เทียบกับอีกกรุ๊ปที่รับประทานยาหลอก ปรากฏว่ากลุ่มที่รับประทานขิงนั้นมีลักษณะอาการอาเจียนและก็หน้ามืดลดน้อยลงจริงแต่ว่าอยู่ในระดับบางส่วนแค่นั้น หรือในอีกงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยที่ชี้ว่าการกินผงขิงในจำนวน 500 กรัม 1,000 กรัม หรือเหง้าขิงสด 1,000 มิลลิกรัม ต่างไม่มีส่วนช่วยในการป้องกันอาการเมารถหรือการทำงานของกระเพาะที่เกี่ยวข้องกับอาการเมารถที่เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด
การดูแลรักษาที่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอต่อการระบุคุณภาพ
อาการคลื่นไส้อาเจียนจากกระบวนการทำเคมีบรรเทา อีกหนึ่งสรรพคุณคือลดอาการอ้วกรวมทั้งอ้วก ซึ่งมีการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ แต่หลักฐานเกี่ยวกับการใช้ขิงในคนป่วยที่รับเคมีบำบัดรักษานั้นยังเป็นที่โต้วาทีกันอยู่ว่าจะมีส่วนช่วยได้จริงหรือไม่ การศึกษาหนึ่งที่ชี้ถึงประโยชน์ข้อนี้ของขิง โดยให้คนป่วยกินแคปซูลขิงที่ประกอบด้วยขิง 0.5-1.5 กรัม เทียบกับยาหลอก ตั้งแต่ 3 วันก่อนวันทำเคมีบรรเทานานตลอดตรงเวลา 6 วัน พบว่า มีระดับความรุนแรงของอาการอ้วกที่เกิดขึ้นหลังจากการรักษาน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับประทานแคปซูลขิง แม้กระนั้นได้ผลได้ชัดในกรุ๊ปที่ใช้แคปซูลขิง 0.5 กรัม กับ 1 กรัมเพียงแค่นั้น ส่วนกลุ่มที่รับประทานแคปซูลขิง 1.5 กรัมกลับสำเร็จน้อยกว่า แสดงว่าการรับประทานขิงในจำนวนมากจึงบางทีอาจมิได้ทำให้อาการอาเจียนอย่างที่น่าจะเป็น
แม้กระนั้น มีหลักฐานที่คัดค้านข้อช่วยเหลือดังที่ได้กล่าวมาแล้วซึ่งเป็นงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยที่เผยว่าการรับประทานขิงไม่ได้มีคุณภาพดีไปกว่าการใช้ยาแก้อ้วก ดังนี้ ผลการค้นคว้าที่ขัดแย้งกันนี้ คาดว่าอาจมีต้นเหตุมาจากจำนวนขิงที่ใช้ทดสอบนั้นต่างกัน รวมทั้งช่วงเวลาที่เริ่มรักษาด้วยการใช้ ขิงจะนำมาใช้คุณประโยชน์ด้านการแพทย์ในด้านนี้แล้วเห็นผลหรือเปล่าอาจควรจะมีการยืนยันเพิ่มต่อไป
โรคเบาหวาน คุณลักษณะของขิงต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของคนไข้โรคเบาหวานในขณะนี้ยังส่งผลการศึกษาเรียนรู้ที่ไม่แน่นอน การค้นคว้าหนึ่งพบว่าการรับประทานขิง 2 กรัม นาน 12 สัปดาห์ สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม ระดับไขมันในเลือด และก็สารมาลอนไดอัลดีไฮด์ที่แสดงถึงระดับอนุมูลอิสระในคนเจ็บเบาหวานจำพวกที่ 2 และก็บางทีอาจช่วยลดการเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังบางประเภทจากโรคเบาหวานได้ ในขณะเดียวกัน มีงานศึกษาเรียนรู้อื่นๆที่เสนอแนะว่าขิงนั้นส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดจริง แต่ไม่เป็นผลต่อระดับอินซูลิน หรือบางการวิจัยพูดว่าขิงมีผลกับอินซูลิน แต่กลับไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ซึ่งผลวิจัยที่ไม่เหมือนกันนั้นอาจมาจากจำนวนขิงหรือช่วงเวลาที่ผู้เจ็บป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคโรคเบาหวานในแต่ละการทดสอบนั้นไม่เท่ากันนั่นเอง
อาหารไม่ย่อย มีการวิจัยศึกษาเล่าเรียนประสิทธิภาพของขิงในคนป่วยที่มีลักษณะของกินไม่ย่อยปริมาณ 11 คน โดยให้รับประทานแคปซูลที่ประกอบด้วยขิง 1.2 กรัมภายหลังการงดเว้นของกิน 8 ชั่วโมง ผลปรากฏว่าขิงช่วยกระตุ้นให้กระเพาะมีการย่อยของกินรวมทั้งเกิดการบีบตัวของกระเพาะส่วนปลาย แต่ทว่าการกินขิงนั้นไม่มีผลต่ออาการที่เกี่ยวพันกับระบบทางเดินอาหารหรือสารเปปไทด์ในลำไส้ อย่างไรก็แล้วแต่ ผู้ร่วมการทดลองนี้มีจำนวนน้อย ทำให้ไม่บางทีอาจเจาะจงได้อย่างแจ่มแจ้งว่าขิงช่วยลดอาการอาหารไม่ย่อยได้แน่นอนเท่าใด
อาการแฮงค์ เชื่อกันว่าการกินน้ำขิงจะสามารถช่วยทุเลาอาการแฮงค์ซึ่งเป็นผลใกล้กันจากการดื่มแอลกอฮอล์ได้ สำหรับคุณประโยชน์ข้อนี้มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยแต่ก่อนที่ชี้แนะว่าการผสมขิงกับเปลือกด้านในของส้มเขียวหวาน และน้ำตาลทรายแดงก่อนดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยลดอาการแฮงค์ในตอนหลัง รวมทั้งอาการอาเจียน อ้วกและท้องเดิน แต่ การเล่าเรียนดังที่กล่าวมาแล้วยังจัดว่าคลุมเครืออยู่มากมายและไม่อาจยืนยันได้ว่ามีต้นเหตุที่เกิดจากขิงจริงๆหรือส่วนประกอบอื่นๆที่ใช้ประกอบ
ลดคอเลสเตอรอล คุณลักษณะของขิงซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลนั้นได้มีการทดลองโดยให้คนเจ็บที่มีภาวการณ์ไขมันในเลือดสูงกินแคปซูลขิงวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 กรัม ผลลัพธ์กล่าวว่าเมื่อเทียบกับผู้ป่วยกรุ๊ปที่กินยาหลอก ขิงมีประสิทธิภาพช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการใช้ขิงลดระดับคอเลสเตอรอลจะให้ผลดีจนถึงสามารถประยุกต์ใช้รักษาผู้ป่วยภาวการณ์นี้ได้หรือไม่คงจะจะต้องรอการเล่าเรียนในอนาคตที่กระจ่างกันถัดไป
อาการเจ็บกล้ามเนื้อข้างหลังออกกำลังกาย คุณลักษณะด้านการบรรเทาปวดรวมทั้งลดการอักเสบของขิงจะช่วยลดลักษณะของการเจ็บจากการออกกำลังกายได้ด้วยหรือเปล่านั้นยังคงไม่ชัดเจนและเป็นที่โต้เถียงกันอยู่ด้วยเหมือนกัน จากการทดลองหนึ่งที่ให้ผู้เข้าร่วมกินขิงสดหรือขิงที่ทำให้สุกด้วยความร้อนแล้ว 2 กรัมโดยตลอดนาน 124 ชั่วโมง พบว่าทั้งขิงสดและก็ขิงสุกต่างมีส่วนช่วยลดลักษณะของการเจ็บกล้ามจากการออกกำลังกายแบบหดยืดกล้ามได้ในระดับปานกลางไปจนกระทั่งระดับมาก
แต่ทว่าอีกงานค้นคว้าหนึ่งกลับเจอผลสรุปตรงกันข้าม จากการให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบที่ทำกิจกรรมบริหารร่างกายยืดหดกล้ามเหมือนกัน กินขิง 2 กรัมในตอน 24 ชั่วโมงรวมทั้ง 48 ชั่วโมงหลังจากการออกกำลังกาย พบว่าไม่ได้ทำให้ลักษณะของการเจ็บกล้ามเนื้อ การอักเสบ หรือบาดเจ็บที่เกิดขึ้นมาจากการออกกำลังกายต่ำลง แม้กระนั้นผู้วิจัยพบว่าการรับประทานขิงบางทีอาจช่วยทำให้ลักษณะของการเจ็บกล้ามเนื้อเบาๆในทุกๆวัน ถึงแม้บางทีอาจไม่เห็นผลได้โดยทันที
อาการปวดหัวไมเกรน มีการเรียนกับคนป่วย 100 คน ที่เคยมีลักษณะปวดหัวไมเกรนเฉียบพลันโดยให้รับผงขิงหรือยารักษา http://www.disthai.com/

9

ตะไคร้บ้าน
ตะไคร้ คุณประโยชน์
"ตะไคร้" (Lemongrass) เป็นสมุนไพรก้นครัวที่เรารู้จักและก็รู้จักกันมานาน เพราะเหตุว่าในอาหารไทยหลากหลายประเภทมักใส่ตะไคร้ลงไปยอดเยี่ยมในเครื่องปรุงด้วยเสมอ อาทิ ต้มยำ ต้มข่าไก่ ยำ น้ำพริกต่างๆช่วยเพิ่มรสชาติแล้วก็ค่าให้กับของกิน ส่งกลิ่นหอมชักชวนกิน จนถึงกลายเป็นสิ่งที่จะจำเป็นเลยในของกินเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีกลิ่นหอมยวนใจเฉพาะตัวจากน้ำมันหอมระเหย ทำให้ตะไคร้ถูกเอาไปใช้เป็นกลิ่นในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพมากมาย น้ำมันหอยระเหย น้ำมันทาตัว ยาจุดกันยุง สบู่ต่างๆ
ตะไคร้ จัดเป็นไม้ล้มลุกที่จัดอยู่ในตระกูลต้นหญ้า มีหลายประเภท นอกเหนือจากนำไปทำกับข้าวแล้วแล้วก็ทำเป็นยาสมุนไพรแล้ว ตะไคร้บางชนิดยังช่วยไล่ยุงมดแมลงได้อีกด้วย จึงจัดเป็นผักสวนครัวที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน หลายบ้านก็เลยนิยมนำมาปลูกไว้ภายในบ้าน จะใช้เมื่อไหร่ก็ตัดมาใช้ได้ในทันที
ตะไคร้จัดเป็นสมุนไพรที่ซ่อนคุณค่าไว้มากมายก่ายกอง เพราะว่าเป็นอีกทั้งของกินและยารักษาโรค มีวิตามินและแร่ที่มีสาระต่อสุขภาพ ทั้งยังวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม ธาตุฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เหล็ก สังกะสี ทองแดง แมงกานีส และโฟเลต คุณภาพคับแก้วขนาดนี้คนที่รังเกียจตะไคร้ลองเปลี่ยนแปลงความคิดกันใหม่ หันมาชอบตะไคร้ให้เพิ่มมากขึ้น จะได้ประโยชน์มากมายก่ายกองแน่ๆ
ตะไคร้หอมไล่ยุงได้ใช่หรือ?
ในตะไคร้หอม มีน้ำมันหอยละเหยอยู่ซึ่งมีฤทธิ์สำหรับเพื่อการปกป้องแมลงได้ โดยครีมที่มีส่วนผสมจากน้ำมันหอมละเหยในตะไคร้สามารถคุ้มครองป้องกันยุงลาย ยุงก้นปล่อง แล้วก็ยุงอารมณ์เสียกัดได้ ยิ่งไปกว่านี้ยังฤทธิ์สำหรับการกำจัดลูกน้ำยุงได้อีกด้วย
นอกเหนือจากยุงแล้ว สารสกัดจากตะไคร้หอมยังช่วยคุ้มครองป้องกันแมลงชนิดอื่น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผสมสารสกัดตะไคร้กับสะเดาจะส่งผลช่วยลดเพลี้ยอ่อนแล้วก็หนอนเจาะฝักซึ่งเป็นศัตรูของถั่วฝักยาว ส่วนแชมพูที่มีส่วนผสมจากตะไคร้หอม สามารถฆ่าตัวเห็บหมัดในสัตว์เลี้ยงได้
ลักษณะ
ลำต้นรูปทรงกระบอก แข็ง เกลี้ยง ตามปล้องมักมีไขปกปะทุลม เหง้า มีข้อรวมทั้งบ้องสั้นมากมาย กาบใบสีขาวนวล หรือสีขาวคละเคล้าม่วง รสปร่า  มีกลิ่นหอมสดชื่นเฉพาะ
คุณประโยชน์
– อีกทั้งต้น : ใช้เป็นยารักษาโรคหือหอบ แก้ปวดท้อง ขับเยี่ยว แล้วก็แก้อหิวาตกโรค ยิ่งไปกว่านี้ยังใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่น รักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และก็ขับเหงื่อ
– ใบ : ช่วยลดระดับความดันโลหิตสูง แก้ไข้
– ราก : ใช้เป็นยาปรับปรุงแก้ไข เจ็บท้อง ท้องเสีย
– ต้น : ใช้เป็นยาขับลม ยาแก้ไม่อยากอาหาร แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว เป็นยาบำรุงธาตุไฟให้รุ่งโรจน์ ยิ่งไปกว่านี้ยังคงใช้กำจัดกลิ่นคาวได้ด้วย
– น้ำมัน : มีฤทธิ์ต้นเชื้อรา แล้วก็มีกลิ่นไล่สุนัขและแมว
หนังสือเรียนยาไทย : ต้น รสหอมปร่า ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด แก้อาการเกร็ง ขับเหงื่อ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ แก้อาการขัดเบา แก้นิ่ว แก้เยี่ยวเป็นเลือด ทำให้เจริญอาหาร ลดความดันเลือด เหง้า แก้ไม่อยากอาหาร บำรุงไฟธาตุ แก้กษัย ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้เยี่ยวขัด แก้ปัสสาวะทุพพลภาพ แก้นิ่ว เป็นยารักษาโรคเกลื้อน แก้ไข้หวัด ขับเมนส์ ขับตกขาว ใช้ภายนอกทาแก้ลักษณะของการปวดบวมตามข้อ
ตะไคร้หอม
ตะไคร้ คุณประโยชน์
ลักษณะ
ลำต้นเป็นข้อๆใบรูปขอบขนานปลายแหลม ใบยาวกว่าตะไคร้บ้าน รูปแบบของใบกว้าง 5-20 มิลลิเมตร ยาวราวๆ 50-100 ซม. แผ่นใบแคบ ยาว แล้วก็นุ่มกว่าตะไคร้บ้าน มีสีเขียว ผิวเนียน รวมทั้งมีกลิ่นหอมเอียน ก้านใบเป็นกาบซ้อนกันแน่นสีเขียวคละเคล้าม่วงแดง รากฝอยแตกออกจากโคน ต้นรวมทั้งใบมีกลิ่นฉุนกระทั่งรับประทานเป็นของกินไม่ได้ ทั้งต้น มีรสปร่า ร้อนขม

คุณประโยชน์
– ทั้งต้น : ใช้เป็นยาแก้ปากแตกระแหง แก้ริดสีดวงในปาก ขับลมในลำไส้ แก้แน่น ขับโลหิตประจำเดือน มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเรียบบีบตัว ไม่เหมาะสมกับสตรีมีครรภ์ เนื่องจากแม้ทานเข้าไป อาจจะเป็นผลให้แท้งได้
– ใบ : ใช้เป็นยาคุมกำเนิด ชำระล้างไส้ ไม่ให้กำเนิดซาง
– ราก : แก้ลมจิตรวาด หัวใจ กระวนกระวาย เพ้อเจ้อ
– ต้น : แก้ลมพานไส้ แก้ธาตุ แก้เลือดลมเปลี่ยนไปจากปกติ
– น้ำมัน : ใช้ทาปกป้องยุง มีฤทธิ์ไล่แมลง แล้วก็ใช้รักษาโรคตัวเห็บสุนัข
ตำราเรียนยาไทย : ใช้ เหง้า เป็นยาบีบมดลูก ทำให้แท้งลูกได้ คนตั้งท้องห้ามกิน นอกจากนี้ยังคงใช้ขับเมนส์ ขับเยี่ยว ขับตกขาว ขับลมในลำไส้ แก้แน่น แก้แผลในปาก แก้ตานซางในลิ้นและก็ปาก บำรุงไฟธาตุ แก้ไข้ แก้อ้วก แก้ริดสีดวงตา แก้ธาตุ แก้เลือดลมแตกต่างจากปกติ
เหง้า ใบ แล้วก็กาบ นำมากลั่นได้น้ำมันหอมระเหย ใช้เป็นเครื่องหอม ดังเช่นว่า สบู่ หรือพ่นทาผิวหนังกันยุง แมลง ทั้งยังต้น มีรสปร่า ร้อนขม แก้ริดสีดวงในปาก
คุณประโยช์จากน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้
– น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้บ้าน ช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า ทำให้คล่องแคล่ว ความเครียดลดลง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยสำหรับในการย่อยของกิน ช่วยเจริญอาหาร ทุเลาลักษณะของการปวดโรคข้ออักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ
-น้ำมันหอมระเหยที่กลั่นจากใบตะไคร้ ช่วยทุเลาลักษณะของการปวดข้อ ช่วยต้านทานเชื้อราบนผิวหนังได้อย่างดีเยี่ยม รวมทั้งช่วยลดการบีบตัวของไส้ได้
ข้อควรปฏิบัติตาม
ตะไคร้มีฤทธิ์ที่จะช่วยขับเลือด ทำให้มดลูกบีบตัว ห้ามใช้กับหญิงตั้งท้องเนื่องจากว่าอาจจะก่อให้แท้งได้

10

ทับทิม
ทับทิม เป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานอย่างล้นหลาม โดยใช้ประโยชน์จากส่วนที่สำเร็จสดมากที่สุดรวมทั้งยังนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆดังเช่น น้ำทับทิม สารสกัดจากทับทิม สินค้าด้านความงาม ทั้งยังใช้ทำเป็นยารักษาโรคตามสูตรยาโบราณในหลายประเทศ
ทัมทิมอุสูดดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและก็สารพฤกษเคมีหลายชนิดที่มีสาระต่อร่างกาย จึงมั่นใจว่าอาจมีประโยชน์ในการคุ้มครองป้องกันโรคหรือบรรเทาอาการ ตัวอย่างเช่น โรคปอดอุดกันเรื้อรังหรือบรรเทาอาการหายใจไม่สะดวกจากโรคนี้ โรคหัวใจและหลอดเลือด คอเลสเตอรอลสูง โรคในระบบทางเดินอาหาร โรคความดันโลหิตสูง โรคในช่องปากและโรคเหงือก โรคริดสีดวงทวาร โรคผิวหนัง รวมทั้งอื่นๆ
ในตอนนี้ยังมีงานศึกษาเรียนรู้วิจัยที่เรียนรู้การใช้ทับทิมในต้นแบบไม่เหมือนกันกับการรักษาโรคที่ค่อนข้างจะจำกัด ทำให้ยังไม่สามารถกำหนดประสิทธิภาพของทับทิมต่อการดูแลและรักษาโรคได้เด่นชัด ซึ่งแบบอย่างการศึกษาเล่าเรียนเรื่องทับทิมกับโรคต่างๆมีดังนี้
โรคหลอดเลือดแดงแข็ง ทับทิมคือผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว เป็นต้นว่า สารเอลลาจิแทนนิน (Ellagitannin) สารแทนนิน (Tannin) สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารโพลิฟีนอล (Polyphenol) ที่เชื่อว่าช่วยยั้งปฏิกิริยาต่อต้านอนุมูลอิสระของไขมันไม่ดี ลดการสร้างโฟมเซลล์ รวมทั้งลดการแข็งตัวของเส้นเลือด จึงบางทีอาจช่วยลดความเสี่ยงสำหรับในการเกิดโรคเส้นโลหิตแดงแข็ง
จากการเรียนรู้ฤทธิ์การต้านทานสารอนุมูลอิสระของทับทิมในคนที่มีน้ำหนักเกินจำนวน 22 คน จากการทานอาหารเสริมที่มีสารสกัดทับทิม วันละ 1,000 มก. (ประกอบด้วยกรดเอ็งลลิค 610 มิลลิกรัม) แล้วก็ประเมินผลจากค่า TBARS ในเลือด (Thiobarbituric Acid Reactive Substances: TBARS) ซึ่งเป็นค่าการวัดฤทธิ์สำหรับการต้านสารอนุมูลอิสระ เพื่อเปรียบเทียบกับผลก่อนที่จะมีการทดสอบ พบว่าค่าดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วลดลง จึงคาดว่าการรับประทานทับทิมบางทีอาจช่วยลดการเสี่ยงของโรคหัวใจแล้วก็เส้นเลือด
ยิ่งไปกว่านี้ ยังมีงานศึกษาวิจัยอีกชิ้นให้คนไข้โรคเส้นเลือดแดงแข็งจำนวน 15 คน กินอาหารเสริมจากทับทิมเป็นระยะเวลามากยิ่งกว่า 1 ปีขึ้นไปรวมทั้ง 3 ปีขึ้นไป เปรียบเทียบกับกลุ่มที่มิได้รับประทานอาหารเสริม ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ทานอาหาร 3 ปีขึ้นไป หรูหราไขมันที่น้อยลงประมาณ 16% เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปอื่น ก็เลยชี้ให้เห็นว่าการกินสารสกัดจากทัมทิมมากยิ่งกว่า 3 ปี อาจมีส่วนช่วยสำหรับในการลดการเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดแดงแข็ง ดังนี้ ยังคงควรจะมีการเรียนรู้เพิ่มอีกในระยะยาวกับกรุ๊ปการทดสอบขนาดใหญ่เยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ยังไม่สามารถสรุปผลของทับทิมรวมทั้งการดูแลรักษาโรคเส้นเลือดแดงแข็งได้อย่างแจ่มแจ้ง
โรคเหงือกอักเสบ ทับทิมคือผลไม้อีกชนิดที่มีคุณสมบัติช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย ก็เลยถูกประยุกต์ใช้เป็นตัวเลือกสำหรับเพื่อการรักษาโรคเหงือก เพราะเหตุว่าการดูแลรักษาหลักบางแนวทางที่ยังไม่มีประสิทธิภาพพอเพียงสำหรับเพื่อการบรรเทาอาการจากโรคมากสักเท่าไหร่แล้วก็ลดการเสี่ยงด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจากการดูแลรักษาโรคนี้โดยใช้สารเคมี
จากการทดสอบทางสถานพยาบาลกับผู้ป่วยโรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง จำนวน 40 คน เพื่อมองความสามารถของเจลสารสกัดจากทับทิมเป็นระยะเวลา 21 วัน โดยในแต่ละกรุ๊ปจะใช้แนวทางรักษาที่แตกต่าง ผลพบว่า กลุ่มที่ใช้เจลสารสกัดจากทับทิมควบคู่กับการดูแลรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยแนวทางการขูดหินน้ำลาย เกลารากฟัน (Mechanical Debridement) มีลักษณะดีขึ้นข้างใน 7 วันแรก เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปที่เหลือสำหรับในการทดสอบ ซึ่งเจลสารสกัดจากทับทิมก็เลยบางทีอาจนำไปปรับใช้เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลโพรงปากสำหรับคนป่วยโรคเหงือกอักเสบควบคู่กับการรักษาด้วยวิธีรักษาที่เป็นมาตรฐานในอนาคต
สอดคล้องกับการทดสอบอีกชิ้นที่เรียนสมรรถนะของน้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ใช้ยาหลอกแบบอย่างเจลสำหรับในการรักษาผู้ที่เป็นโรคเหงือกอักเสบจำนวน 32 คน พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 4 อาทิตย์ มีสุขภาพโพรงปากดีขึ้นรวมทั้งปัญหาโรคเหงือกอักเสบลดน้อยลงมากกว่ากรุ๊ปที่ใช้ยาหลอก การศึกษาค้นคว้าวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากทับทิมบางทีอาจใช้ประโยชน์เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เพื่อดูแลรักษาช่องปาก อาทิเช่น ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เพื่อช่วยคุ้มครองปกป้องแล้วก็บรรเทาอาการโรคเหงือกอักเสบ
คุ้มครองปกป้องการเกิดคราบเปื้อนจุลชีวัน สารสกัดจากทับทิมมีประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการลดคราบจุลินทรีย์ตามผิวฟัน รวมทั้งอาจนำไปสู่โรคทางช่องปากอีกหลากหลายประเภท ซึ่งจากการทดลองให้อาสาสมัครที่มีสุขลักษณะในช่องปากดี จำนวน 30 คน หยุดใช้น้ำยาบ้วนปากที่เคยใช้ปกติ แต่ว่าสลับมาใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน (Chlorhexidine) และยาหลอกในแต่ละกลุ่ม โดยใช้บ้วนปาก วันละ 2 ครั้ง ตรงเวลา 5 วัน ผลพบว่าอาสาสมัครที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากทับทิมมีอัตราการเกิดคราบเปื้อนจุลินทรีย์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญมากกว่ายาหลอก แม้กระนั้นมีคุณภาพไม่ได้ต่างอะไรจากน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีน ก็เลยพอจะกล่าวได้ว่าสารสกัดจากทับทิมบางทีอาจลดโอกาสในการกำเนิดคราบเปื้อนจุลชีพภายในช่องปาก
ช่วงเวลาเดียวกัน การเรียนรู้อีกชิ้นก็ชี้ว่าสารสกัดทับทิมคงจะมีส่วนช่วยสำหรับในการลดการเกิดคราบเปื้อนจุลชีพ ซึ่งสำหรับการทดสอบได้เก็บคราบจุลชีวันจากช่องปากของอาสาสมัครที่มีสุขภาพแข็งแรงและกำลังจัดฟัน อายุ 9-25 ปี จำนวน 60 คน หลังงดแปรงฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อเปรียบผลก่อนและหลังการใช้น้ำยาบ้วนปากประเภทแตกต่างกันในแต่ละกรุ๊ป ดังเช่นว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิม น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน และยาหลอก ปรากฏพบว่า น้ำยาบ้วนปากจากสารสกัดทับทิมมีประสิทธิภาพในการลดคราบเปื้อนจุลอินทรีย์ลงมากที่สุดราว 84% รองลงมาเป็นน้ำยาบ้วนปากคลอเฮกสิดีน 79% รวมทั้งยาหลอกที่ลดลงเพียงแต่ 11% จึงอาจจะบอกได้ว่าสารสกัดจากทับทิมมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียและเป็นตัวเลือกสำหรับเพื่อการใช้ขจัดคราบจุลชีวันบนผิวฟัน ทั้งนี้ จากข้อมูลข้างต้นยังคงจะต้องมีการติดตามผลในระยะยาวจากการใช้สารสกัดทับทิมอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากว่าช่วงเวลาสำหรับในการทดสอบค่อนข้างสั้น
ภาวการณ์คอเลสเตอรอลสูง ทับทิมมีคุณประโยชน์ที่พูดกันว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดี จากการเรียนรู้ผลของการดื่มน้ำทับทิมเข้มข้น 40 กรัม ในคนไข้โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และมีภาวการณ์ไขมันในเลือดสูงจำนวน 22 คน เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์โดยระหว่างการทดลองจะมีการเก็บข้อมูลของกินที่รับประทานอาหารด้านใน 1 วัน ทุกๆ10 วัน (รวมทั้งของกินที่มีสารฟลาโวนอยด์) ข้างหลังจบสัปดาห์ที่ 8 พบว่าผู้เจ็บป่วยหรูหราไขมันรวม ไขมันจำพวกไม่ดี อัตราส่วนของไขมันไม่ดีกับไขมันดี และอัตราส่วนของไขมันรวมกับไขมันดีที่มีสะสมอยู่ในเลือดลดน้อยลง แต่ว่าไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของระดับไตรกลีเซอไรด์และก็ระดับความเข้มข้นของไขมันดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าน้ำทับทิมอาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจโดยลดระดับไขมันในคนป่วยเบาหวานลง แต่ยังบอกไม่ได้แจ่มกระจ่าง เหตุเพราะอาหารชนิดอื่นที่กินอาจมีส่วนช่วยสำหรับการลดไขมันในเลือดได้เหมือนกัน รวมทั้งกรุ๊ปการทดลองมีขนาดเล็ก ควรต้องขยายผลการศึกษาในกรุ๊ปที่ใหญ่ขึ้นเพิ่มอีก นอกจากนี้ การดูแลและรักษาภาวการณ์คอเลสเตอรอลสูงจะต้องมีการควบคุมของกินและการออกกำลังกายไปพร้อมกัน ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการลดระดับไขมันในเลือดมากเพิ่มขึ้น
โรคปอดอุดกันเรื้อรัง ทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารโพลีฟีนอลที่มักพบในทับทิม จากรายงานผลที่เจอในห้องทดลองระบุว่าสารพวกนี้มีส่วนสำคัญสำหรับเพื่อการบรรเทาอาการโรคปอดอุดกันเรื้อรังและบางทีอาจชะลอไม่ให้โรคพัฒนาอย่างรวดเร็ว จึงมีการเรียนสมรรถนะของสารโพลีฟีนอลในคนเพิ่มเติม โดยให้ผู้เจ็บป่วยโรคปอดอุดกันเรื้อรัง จำนวน 30 คน แบ่งเป็นกรุ๊ปที่ดื่มน้ำทับทิม 400 มล. (มีสารโพลิฟีนอล 2.66 กรัม) เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่กินยาหลอกต่อเนื่องกันวันแล้ววันเล่าเป็นระยะ 5 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า ไม่เจอสารโพลิฟีนอลอีกทั้งในเลือดและเยี่ยวของคนป่วย อีกทั้งยังไม่พบความไม่เหมือนอย่างเป็นจริงเป็นจังระหว่าง 2 กลุ่ม ก็เลยคาดว่าทับทิมไม่น่ามีส่วนช่วยสำหรับในการรักษาหรือบรรเทาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
โดยปกติสารอาหารที่เข้าสู่ร่างกายจะถูกเผาผลาญผ่านกระบวนเมตาบอลิซึมแล้วก็ตรวจพบได้ในเลือดหรือฉี่ แม้กระนั้นผลวิจัยกลับไม่พบสารโพลีฟีนอลจากการกิน ซึ่งอาจมีต้นเหตุมาจากการสลายตัวสารพวกนี้โดยจุลชีพในระบบการทำงานเกี่ยวกับการย่อยอาหาร จึงควรทำความเข้าใจวิธีการดูดซึมสารอาหารที่แตกต่างกันก่อนที่จะอ้างถึงถึงประโยชน์ด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจากการกิน ด้วยเหตุว่าสารอาหารที่เจอในอาหารที่รับประทานบางทีอาจไม่ได้ถูกเอาไปใช้ผลดีในร่างกายมนุษย์เราทั้งปวง
โรคและก็อาการอื่นๆได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ การหย่อนสมรรถนะทางเพศ เจ็บกล้ามข้างหลังการบริหารร่างกาย กรุ๊ปอาการอ้วนอ้วน โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เยื่อบุช่องปากอักเสบ ผิวไหม้จากแสงอาทิตย์ การตำหนิดเชื้อทริวัวโมแนส (Trichomoniasis) ท้องเดิน โรคบิด เจ็บคอ โรคริดสีดวงทวาร อาการวัยทอง รวมทั้งอื่นๆยังจำเป็นจะต้องศึกษาค้นคว้าศึกษาค้นคว้าเพิ่มอีกเพื่อหาหลักฐานเกี่ยวกับความสามารถและความปลอดภัยของทับทิมสำหรับการรักษาโรค

ข้อมูลทางโภชนศาสตร์ของผลทับทิม 100 กรัม (โดยประมาณ)
น้ำ 77.93 กรัม
พลังงาน 83 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 1.67 กรัม
ไขมัน 1.17 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 18.70 กรัม
เส้นใย 4.0 กรัม
น้ำตาล 13.67 กรัม
แคลเซียม 10 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.30 มิลลิกรัม
แมงกานีส 12 มก.
ฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 236 มก.
โซเดียม 3 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.35 มิลลิกรัม
วิตามินซี 10.2 มก.
วิตามินบี 1 0.067 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.053 มก.
วิตามินบี 3 0.293 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.075 มก.
โฟเลต 38 ไมโครกรัม
วิตามินอี 0.60 มิลลิกรัม
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม
ความปลอดภัยสำหรับการกินทับทิมหรือผลิตภัณฑ์จากทับทิม
โดยทั่วไปการกินน้ำทับทิมออกจะมีความปลอดภัย แม้กระนั้นในบางรายที่มีอาการแพ้ผลสดของทับทิมบางทีอาจเกิดผลข้างเคียงจากการกินน้ำทับทิมได้
รากทับทิมประกอบด้วยสารที่เป็นพิษต่อสถาพทางร่างกาย การกินรากและลำต้นของทับทิมในจำนวนมากอาจไม่ปลอดภัย
สารสกัดจากทับทิมค่อนข้างไม่มีอันตรายสำหรับในการกินหรือประยุกต์ใช้กับผิวหนัง แม้กระนั้นอาจจะก่อให้กำเนิดอาการแพ้บางส่วนในบางราย อย่างเช่น อาการคัน บวม น้ำมูกไหล หรือหายใจไม่สะดวก
การกินน้ำทับทิมค่อนข้างมีความปลอดภัยสำหรับหญิงมีท้องหรืออยู่ในตอนให้นมบุตร แต่ว่ายังไม่มีรายงานรับรองความปลอดภัยในการรับประทานหรือใช้ทับทิมในต้นแบบอื่น ดังเช่นว่า สารสกัดจากทับทิม ควรต้องขอความเห็นหมอก่อนจะมีการกินทุกหน
น้ำทับทิมอาจจะเป็นผลให้ความดันโลหิตลดลดน้อยลงน้อย ซึ่งอาจจะทำให้คนเจ็บที่มีภาวการณ์ความดันต่ำอาการเกิดขึ้นอีก
ผู้ที่มีลักษณะอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้จากการรับประทานทับทิม
คนเจ็บที่จะต้องเข้ารับการผ่าตัดควรจะหยุดรับประทานทับทิมอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากทับทิมส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำลง ก็เลยอาจกระทบต่อความดันโลหิตในขณะผ่าตัดหรือมีผลต่อเนื่องไปยังหลังการผ่าตัด
การรับประทานทับทิมพร้อมกันกับยาบางจำพวกอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา เช่น ยาที่เกี่ยวกับลักษณะการทำงานของตับโดยโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ Cytochrome ชนิด P450 2D6 หรือจำพวก P450 3A4 ยาลดความดันโลหิตหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาโรสุวาสแตว่ากล่าวน ผู้ที่รับประทานยาเป็นประจำหรือมีโรคประจำตัวควรจะขอความเห็นหมอก่อนการกินเพื่อให้มีความปลอดภัย

Tags : สมุนไพรทับทิม

11

บุก
บุก มีคุณประโยชน์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต รักษาโรคเบาหวาน เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้ไอ ละลายเสมหะ แก้โรคท้องมาน ใช้สำหรับสตรีรอบเดือนมาแตกต่างจากปรกติ ใช้แก้พิษงู ใช้เป็นยาแก้แผลไฟไหม้และก็น้ำร้อนลวก แก้ฝีหนองบวมอักเสบ  ใช้เป็นยาแก้ปวด แก้ฟกช้ำ ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยขับประจำเดือนของสตรี ใช้เป็นยาพอกฝี
บุก มีชื่อสามัญว่า Konjac อ่านออกเสียงว่า คอน-จัค มีชื่อทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch ชื่อเรียกอื่นๆของบุก เป็นต้นว่า บุกระอุงคก เบีย เบือ มันซูรัน หัวบุก บุกคางคก บุกหนาม บุกหลวง แพทย์ ยวี จวี๋ ยั่ว แพทย์ยื่อ เป็นต้น
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของต้นบุก
ต้นบุก นับว่าเป็น พืชล้มลุกชนิกหนึ่ง เป็นไม้เนื้ออ่อน รูปแบบของลำต้นเจ้าเนื้อและมีสีเขียวเข้ม ใบบุกเป็นใบเดี่ยว ซึ่งใบของบุกจะแตกใบที่ยอดและใบแผ่ขึ้นเสมือนร่มกาง ดอกของบุกจะมีสีเหลือง จะบานในช่วงเวลาเย็น มีกลิ่นฉุน ลักษณะราวกับดอกหน้าวัว
ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นราว 50-150 เซนติเมตร หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ ลักษณะของหัวเป็นรูปค่อนข้างจะกลมแบนนิดหน่อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราวๆ 25 เซนติเมตร ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นและก็กิ่งไม้มีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายทาสีขาวปนเปอยู่
ใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยเรียงสลับ รูปแบบของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดยาวโดยประมาณ 15-20 ซม.
ดอกบุก มีดอกเป็นดอกโดดเดี่ยว รูปแบบของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวโดยประมาณ 30 เซนติเมตร สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก รูปแบบของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
คุณประโยชน์ของบุก
สำหรับสรรพคุณของบุก เรานิยมใช่ประโยน์ทางยาของบุก จาก หัว รากรวมทั้งเนื้อของลำต้น เนื้อหา ดังต่อไปนี้
หัวบุก มีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด รักษาโรคเบาหวาน เป็นยาแก้ไข้จับสั่น ช่วยแก้ไอ ละลายเสลด แก้โรคท้องมาน ใช้สำหรับสตรีระดูมาไม่ดีเหมือนปรกติ ใช้แก้พิษงู ใช้เป็นยาแก้แผลไฟเผาแล้วก็น้ำร้อนลวก แก้ฝีหนองบวมอักเสบ  ใช้เป็นยาพารา แก้ฟกช้ำดำเขียว
รากของบุก ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยขับรอบเดือนของสตรี ใช้เป็นยาพอกฝี

ข้อควรตรึกตรองในการบริโภคบุก
สำหรับข้อห้ามในการรับประทานบุกหมายถึงหัวบุกจะมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ รวมทั้งระบบทางเดินอาหาร โดยเหตุนี้ ในฝูงชนที่ ม้าม ตับ รวมทั้งระบบทางเดินอาหาร ไม่ดี ควรหลบหลีกรับประทาน และไม่รับประทานมากเกินไป ซึงข้อพึงระวังสำหรับเพื่อการบริโภคบุก มีเนื้อหาดังต่อไปนี้
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) เยอะมากๆ ที่ทำให้มีการเกิดอาการคัน ส่วนเหง้าแล้วก็ก้านใบถ้าหากปรุงไม่ดีแล้วกินเข้าไปจะทำให้ลิ้นพองรวมทั้งคันปากได้
ก่อนนำมารับประทานจะต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่รับประทานกากยาหรือยาสด
กรรมวิธีการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำพอเพียงแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นหนแรก แล้วก็ค่อยนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อพิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกุมกันเป็นก้อน ก็เลยสามารถใช้ก้อนดังกล่าวข้างต้นสำหรับการทำกับข้าวหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้ถ้าอาการเป็นพิษจากการกินบุก ให้กินน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบหมอ
เหตุเพราะวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก ก็เลยไม่สมควรบริโภควุ้นบกตอนหลังการกิน แม้กระนั้นให้กินก่อนที่จะกินอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคของกินที่ผลิตมาจากวุ้น อาทิเช่น วุ้นก้อนและก็เส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมของกินหรือหลังรับประทานอาหารได้ เพราะว่าวุ้นดังกล่าวข้างต้นได้ผ่านกรรมวิธีการและได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว รวมทั้งการการที่จะขยายตัวหรือขยายตัวได้อีกนั้นก็เลยเป็นได้ยาก ส่วนในเรื่องของค่าทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เนื่องจากว่าไม่มีการย่อยสลายเป็นน้ำตาลในร่างกาย และไม่มีวิตามินและก็แร่ธาตุ หรือสารอาหารใดๆก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อสภาพร่างกายเลยกลูโคแมนแนนมีผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันลดลง ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดผลเสียและไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แต่ว่าจะไม่มีผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ
การกินผงวุ้นบุกในจำนวนมาก อาจจะก่อให้มีลักษณะอาการท้องเดินหรือท้องอืด มีลักษณะอยากกินน้ำมากยิ่งกว่าเดิม บางคนอาจมีอาการอ่อนเพลียเนื่องจากว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดน้อยลงได้http://www.disthai.com/

หน้า: [1]