รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - gggggg020202

หน้า: [1]
1
ขายกวาวเครือขาว

2

เหงือกปลาหมอ
เหงือกปลาหมอ ชื่อสามัญ Sea holly, Thistleplike plant
เหงือกปลาหมอ ชื่อวิทยาศาสตร์ Acanthus ebracteatus Vahl (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Acanthus ilicifolius Lour., Acanthus ilicifolius var. ebracteatus (Vahl) Benoist, Dilivaria ebracteata (Vahl) Pers.) จัดอยู่ในวงศ์เหงือกปลาหมอ(ACANTHACEAE)
สมุนไพรเหงือกปลาหมอ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆว่า แก้มแพทย์ (จังหวัดสตูล), แก้มแพทย์เล (กระบี่), อีเกร็ง (ภาคกึ่งกลาง), นางเกร็ง จะเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน เป็นต้น
เหงือกปลาหมอมีอยู่ด้วยกัน 2 สายพันธุ์หมายถึงจำพวกที่เป็นดอกสีม่วง (Acanthus ilicifolius L.) ที่พบบ่อยทางภาคใต้ แล้วก็ประเภทที่เป็นดอกสีขาว (Acanthus ebracteatus Vahl) ที่พบได้มากทางภาคกลางแล้วก็ภาคทิศตะวันออก และเป็นพรรณไม้ที่ขึ้นชื่อลือนามของจังหวัดสมุทรปราการ
เหงือกปลาหมอ สมุนไพรใกล้ตัวหรือบางครั้งก็อาจจะเรียกว่าเป็นสมุนไพรชายน้ำหรือชายเลนก็ได้ สามารถนำคุณประโยชน์ทางยามาใช้ในการรักษาโรคได้หลายแบบ ที่โดดเด่นมากมายก็คือการนำมารักษาโรคผิวหนังได้เกือบทุกชนิด แก้น้ำเหลืองเสีย แล้วก็การนำมาใช้รักษาริดสีดวงทวาร ฯลฯ โดยส่วนที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพรก็ได้แก่ ส่วนลำต้นทั้งสดและก็แห้ง ใบสดรวมทั้งแห้ง ราก เม็ด และอีกทั้งต้น (ส่วนอีกทั้ง 5 ประกอบไปด้วย ต้น ราก ใบ ผล เมล็ด)
รูปแบบของเหงือกปลาหมอ
ต้นเหงือกปลาแพทย์ เป็นไม้พุ่มขนาดกึ่งกลาง มีความสูงราวๆ 1-2 เมตร ลำต้นแข็ง มีหนามอยู่ตามข้อของลำต้น ข้อละ 4 หนาม ลำต้นกลม กลวง ตั้งชัน มีสีขาวอมเขียว ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางราวๆ 1.5 ซม. ขยายพันธุ์ด้วยแนวทางเพาะเม็ดและก็การใช้กิ่งปักชำ เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นกลางแจ้ง เติบโตได้ดิบได้ดีในที่ร่มและก็ในที่ที่มีความชุ่มชื้นสูง ถูกใจขึ้นตามชายน้ำหรือบริเวณริมฝั่งคลองบริเวณปากแม่น้ำ เป็นต้นว่า รอบๆริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งทิศตะวันออกเหนือปากคลองมหาวงก์ รวมทั้งที่สถานที่เรียนนายเรือ ฯลฯ
ต้นเหงือกปลาหมอ
ใบเหงือกปลาหมอ ใบเป็นใบลำพัง รูปแบบของใบมีหนามคมอยู่ขอบขอบใบแล้วก็ปลายใบ ขอบของใบเว้าเป็นช่วงๆผิวใบเรียบเป็นเงาลื่น แผ่นใบสีเขียว เส้นใบสีขาว มีชำเลืองสีขาวเป็นแนวก้าง เนื้อเรือใบแข็งและเหนียว ใบกว้างโดยประมาณ 4-7 ซม. และยาวประมาณ 10-20 ซม. ใบจะออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน ก้านใบสั้น
ใบเหงือกปลาหมอ
ดอกเหงือกปลาหมอ ออกดอกเป็นช่อตั้งตามปลายยอด ยาวโดยประมาณ 4-6 นิ้ว ดอกมีชนิดดอกสีม่วง (หรือสีฟ้า) รวมทั้งพันธุ์ดอกสีขาว ที่ดอกมีกลีบรองดอกมี 4 กลีบ กลีบแยกจากกัน รอบๆกึ่งกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่
ดอกเหงือกปลาหมอ
สมุนไพรเหงือกปลาหมอ
ผลเหงือกปลาหมอ ลักษณะของผลเป็นฝักสีน้ำตาล รูปแบบของฝักเป็นทรงกระบอก รูปไข่ หรือกลมรี ยาวราวๆ 2-3 เซนติเมตร เปลือกฝักมีสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน ภายในฝักมีเม็ด 4 เม็ด
สรรพคุณของเหงือกปลาหมอ
ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้อายุยืน สุขภาพแข็งแรง เลือดลมไหลเวียนดี เส้นโลหิตไม่อุดตัน บำรุงผิวพรรณ ด้วยการใช้ทั้งต้นเหงือกปลาหมอนำมาตำผสมกับพริกไทยในอัตราส่วน 2:1 แล้วคลุกเคล้าผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอน ว่ากันว่าแม้รับประทานต่อเนื่องกัน 1 เดือน จะก่อให้ปัญญาดี ไม่มีโรค / 2 เดือน ผิวหนังเต่งตึง / 3 เดือน ทำให้ริดสีดวงหาย / 4 เดือน ช่วยแก้ลม 12 ประเภท หูดี / 5 เดือน หมดโรค / 6 เดือน ทำให้เดินไม่เคยทราบเหน็ดเหนื่อย / 7 เดือนผิวสวย / 8 เดือน เสียงน่าฟัง / 9 เดือน หนังเหนียว (อีกทั้งต้น, ราก)
เหงือกปลาหมอมีคุณประโยชน์ช่วยบำรุงรักษาประสาท (ราก)
ช่วยรักษาอาการธาตุไม่ดีเหมือนปกติ (อีกทั้งต้น)
ช่วยให้เลือดลมเป็นปกติ (ทั้งต้น)เหงือกปลาหมอขาว
ช่วยให้เจริญอาหาร (ต้น)
ช่วยแก้โรคกษัย อาการผ่ายผอมเหลืองทั้งตัว ด้วยการใช้ทั้งยังต้นของเหงือกปลาหมอนำมาตำเป็นผุยผงรับประทานทุกๆวัน (ต้น)
ช่วยแก้อาการร้อนตลอดตัว เจ็บระบบตลอดตัว ตัวแห้ง เวียนหัว หน้ามืดตามัว มือตายตีนตาย ด้วยการใช้ทั้งต้นของเหงือกปลาหมอรวมทั้งเปลือกมะรุมอย่างละเท่ากัน ใส่หม้อต้มผสมกับเกลือเล็กน้อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ แล้วใช้ฟืน 30 ท่อน ต้มกับน้ำเดือดจนงวดแล้วชูลง เมื่อเสร็จให้อั้นลมหายใจกินขณะอุ่นๆจนหมด อาการก็จะดียิ่งขึ้น (ทั้งต้น)ช่วยยับยั้งมะเร็ง ต่อต้านโรคมะเร็ง (อีกทั้งต้น)
ช่วยรักษาอาการปอดอักเสบ ด้วยการใช้เหงือกปลาหมอทั้งยังต้นและก็อาหารเย็นเหนือ อาหารมื้อเย็นใต้ในรูปทรงที่เสมอกัน เอามาต้มกับน้ำกระทั่งเดือดแล้วเอามาดื่มในขณะอุ่นๆทีละ 1 แก้ว ยามเช้า ช่วงกลางวัน เย็น อาการจะ (ทั้งยังต้น)
รักษาปอดอักเสบ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ใบ)
ต้นมีรสเค็มกร่อย คุณประโยชน์ช่วยแก้ลักษณะของการปวดศีรษะ (ต้น)
รากช่วยแก้รวมทั้งบรรเทาอาการไอ หรือจะใช้เมล็ดนำมาต้มดื่มแก้อาการไอก็ได้เช่นกัน (ราก, เมล็ด)
ช่วยแก้โรคหืดหอบ (ราก)
ช่วยรักษาวัณโรค ด้วยการใช้ต้นเอามาตำผสมเป็นน้ำดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้ลักษณะการเจ็บตา ตาแดง ด้วยการใช้เหงือกปลาหมอทั้งต้นนำมาตำผสมกับขิง คั้นมัวแต่น้ำใช้หยอดตาแก้อาการ (อีกทั้งต้น)
ใบช่วยแก้ไข้ (ใบ)
ช่วยแก้ไข้จับสั่น ด้วยการใช้ทั้งต้นเหงือกปลาหมอมาตำผสมกับขิง (ทั้งยังต้น)
ช่วยแก้พิษไข้หัว ด้วยการใช้ทั้งต้นแล้วก็รากนำมาต้มอาบแก้อาการ (ทั้งต้น)
แก้อาการไอ เม็ดใช้ผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด นำมาต้มรวมกันแล้วเอาแต่น้ำมากินเป็นยาแก้ไอ (เมล็ด)
ช่วยขับเสมหะ (ราก)
ถ้าเกิดเป็นลม ให้ใช้ต้นเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / พริกไทย 2 ส่วน ผสมรวมกัน ตำอย่างรอบคอบเป็นผุยผงแล้วนำมาละลายน้ำร้อนดื่ม (ต้น)
ช่วยแก้โรคกระเพาะ ด้วยการใช้ต้นและพริกไทย (10:5 ส่วน) ตำผสมปั้นเป็นยาลูกกลอน (อีกทั้งต้น)

ช่วยขับพยาธิ (เม็ด)
ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ต้นเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อย นำมาตำละลายกับน้ำแล้วทาบริเวณที่เป็นริดสีดวง หรือจะใช้ปรุงกับฟ้าทะลายโจร ใช้รมหัวริดสีดวงก็ได้ (ต้น, ใบ)
ช่วยขับปัสสาวะ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
ช่วยรักษามุตกิดตกขาว ตกขาวของสตรี ด้วยการใช้ใบและก็ต้นเอามาตำเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำมันมันงา ปั้นเป็นยาลูกกลอนรับประทานแก้อาการ (ต้น, ใบ, ราก)
ช่วยแก้เมนส์มาไม่เป็นปกติของสตรี ด้วยการใช้ต้นนำมาตำผสมกับน้ำผึ้ง น้ำมันงา (ทั้งต้น)
ช่วยรักษานิ่วในไต ด้วยการใช้ใบนำมาต้มเป็นน้ำดื่ม (ใบ)
ช่วยแก้ไตพิการ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่กำหนดส่วนที่ใช้)
ผลช่วยขับโลหิต หรือจะใช้เมล็ดผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด เอามาต้มรวมกันแล้วมัวแต่น้ำมากิน หรือใช้ต้น 10 ส่วนและพริกไทย 5 ส่วน ผสมทำเป็นยาลูกกลอนกินก็ได้ (เม็ด, ผล, อีกทั้งต้น)
ช่วยฟอกเลือด ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้)
แก้พิษเลือด ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (เปลือกต้น)
ช่วยรักษาแผล ด้วยการใช้อีกทั้งต้นเอามาตำผสมกับหัวสามสิบ ในอัตราส่วน 2:1 (ทั้งต้น)
ต้นเหงือกปลาหมอมีสรรพคุณช่วยรักษาแผลพุพอง (ต้น)
ใบมีรสเค็มกร่อย สรรพคุณช่วยรักษาแผลอักเสบ (ใบ)
ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้ต้น 3-4 ต้น นำมาหั่นเป็นชิ้น แล้วต้มน้ำอาบแก้อาการ (ต้น, ใบ, เม็ด)
สำหรับคนเจ็บเอดส์ที่มีแผลพุพองตามผิวหนัง ถ้าเกิดใช้ต้นมาต้มอาบรวมทั้งทำเป็นยากินติดต่อกันราว 3 เดือนจะช่วยให้ลักษณะของแผลพุพองบรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด (ต้น)
ช่วยรักษาโรคผิวหนังหรือประดง รักษาขี้กลากเกลื้อน อีสุกอีใส (ใบ)
ช่วยรักษาโรคเรื้อน คุดทะราด ด้วยการใช้อีกทั้งต้นเอามาตำเอาแต่น้ำกิน (ทั้งต้น)
ช่วยแก้ผดผื่นคันตามร่างกาย ใช้ล้างแผลเรื้อรัง ด้วยการใช้ต้นสดรวมทั้งใบสดล้างสะอาดราวๆ 3-4 กำมือ เอามาสับแล้วต้มกับน้ำอาบแก้ผื่นคันต่อเนื่องกัน 3-4 ครั้ง (ต้น, ใบ)
เหงือกปลาหมอมีสรรพคุณทางยาช่วยแก้ลมพิษ (ต้น)
รากสดเอามาต้มเอาแต่น้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคงูสวัดได้ (ราก)
ช่วยรักษาฝี ฝีเรื้อรัง แผลฝีหนอง ฝีดาษ ตัดรากฝี แก้พิษฝีทุกประเภทข้างในภายนอก ด้วยการใช้ต้นรวมทั้งใบทั้งสดแล้วก็แห้งราวๆ 1 กำมือ นำมาบดอย่างละเอียด แล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็นฝี หรือวิธีที่สองจะนำมาสับเป็นชิ้นเล็กๆใส่น้ำให้ท่วมแล้วต้มในน้ำเดือดทิ้งไว้ 10 นาที แล้วเอามาดื่มก่อนกินอาหารครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้ง ราวๆ 2-3 อาทิตย์ หรือจะใช้เม็ดนำมาคั่วให้เกรียมแล้วป่นให้รอบคอบ ชงกับน้ำกินเป็นยาแก้ฝีก็ได้ (ต้น, ใบ, เมล็ด)
เมล็ดใช้ปิดพอกฝี (เม็ด)
ผลมีรสเผ็ดร้อน สรรพคุณช่วยถอนพิษ (ผล, ต้น)
ใบสดนำมาตำอย่างละเอียด สามารถใช้พอกรอบๆแผลที่ถูกงูกัดได้ (ใบ)
ช่วยแก้ผิวแตกตลอดตัว ด้วยการใช้ต้นของเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / ดีปลี 1 ส่วน ใช้ผสมกันบดให้เป็นผุยผงชงกับน้ำร้อนดื่มแก้อาการ (ทั้งยังต้น)
ต้น หากประยุกต์ใช้จะช่วยแก้โรคเหน็บชา อาการชาตลอดตัวได้ (ต้น)
รากมีสรรพคุณช่วยแก้อัมพาต (ราก)
แก้ลักษณะของการเจ็บข้างหลังเจ็บเอว ด้วยการใช้ต้นกับชะเอมเทศเอามาบดเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนรับประทาน (ต้น)
ใบใช้เป็นยาประคบแก้ไขข้ออักเสบแล้วก็แก้ลักษณะของการปวดต่างๆ(ใบ)
ช่วยทำนุบำรุงรากผม ด้วยการใช้น้ำคั้นจากใบเอามาทาให้ทั่วหัว จะช่วยบำรุงรักษารากผมได้ (ใบ)
คุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากเหงือกปลาหมอ
ในปัจจุบันสมุนไพรเหงือกปลาหมอมีการนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นยาแคปซูลสมุนไพร (เหงือกปลาหมอแคปซูล) หรือเป็นยาชงสมุนไพร (เหงือกปลาหมอผงสำเร็จรูป) หรือในรูปแบบของยาเม็ด
นอกจากการใช้เป็นยาสมุนไพรที่ใช้ในการอบตัวหรืออบด้วยไอน้ำ สมุนไพรเหงือกปลาหมอยังคงใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งตัวอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สบู่ สินค้าที่ใช้ในการเปลี่ยนสีผม จนกว่าแชมพูของสุนัข เป็นต้น
แหล่งอ้างอิง
: เว็บไซต์สำนักงานแผนการสงวนพันธุกรรมพืชสาเหตุจากความคิด สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ ม.อบ., หนังสือพิมพ์ประเทศชาติ (เชี่ยวชาญ หิมะคุณ), หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4, ฐานข้อมูลพันธุ์พืช องค์การส่วนวิชาพฤกษศาสตร์, สำนักงานกองทุนช่วยเหลือการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), หนังสือยอดสมุนไพรยาอายุวัฒนะ (อาจารย์ยุยงวดี จอมพิทักษ์), หนังสือกายบริหารแกว่งไกวแขน (โชคชัย ปัญจทรัพย์) http://www.disthai.com/

3

รากสามสิบ
รากสามสิบ สรรพคุณ ว่านสามสิบ แบบเรียนยาท้องถิ่น ใช้ ต้นหรือราก ต้มน้ำกิน แก้แท้งลูก แล้วก็โรคคอพอก ราก มีรสเฝื่อนฝาดเย็น รับประทานเป็นยาแก้พิษร้อนในอยากกินน้ำ แก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ครั่นตัว ฝนทาแก้พิษแมลงป่องกัดต่อย แก้ปวดฝี ทำให้เย็น ทำลายพิษฝี พิษปวดแสบปวดร้อน ช่วยทำนุบำรุงเด็กในครรภ์ บำรุงตับ ปอด ชูกำลัง ผสมกับเหง้าขิงป่า และต้นจันทน์แดงผสมเหล้าโรงใช้เป็นยาแก้วิงเวียน ทั้งยังต้นหรือราก ต้มน้ำดื่ม แก้แท้งลูก แล้วก็โรคคอพอก ผล มีรสเย็น ปรุงเป็นยาแก้พิษไข้เซื่องซึม แก้พิษไข้กลับ ไข้ซ้ำ มักใช้ร่วมกับผลราชดัด เพื่อดับพิษไข้จากบิดเรื้อรัง
รากสามสิบ ช่วยเหลือความรัก และ กระชับความเกี่ยวพันให้ชีวิตครอบครัว คลายกล้ามของมดลูก บำรุงหัวใจ ,แก้การอักเสบ ,บำรุงเลือด แก้ปวดระดู ประจำเดือนมาผิดปกติ ลดภาวะมีลูกยาก เสริมฮอร์โมนเพศหญิง กระชับช่องคลอด ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว บำรุงผิวพรรณ ลดสิวฝ้า ชลอความแก่ แก้อาการวัยทอง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Asparagus racemosus Willd.
วงศ์ : Asparagaceae
ชื่ออื่น : สาวร้อยผัว รากศตวารี จ๋วงเครือ (เหนือ) ผักชีช้าง (จังหวัดหนองคาย) ผักหนาม (จังหวัดนครราชสีมา) สามร้อยราก (กาญจนบุรี) สามสิบ ชีช้าง จั่นดิน ม้าสามต๋อน
ลักษณะทางวิชาพฤกษศาสตร์
ไม้เลื้อย เนื้อแข็ง ลำต้นสีเขียว มีหนามแหลม มักเลื้อยพันตันไม้อื่น เลื้อยยาว 1.5-4 เมตร เถากลมเรียบ เถาอ่อนเป็นเหลี่ยม ตามข้อเถามีหนามแหลม มีเหง้าและก็รากใต้ดินออกเป็นกระจุกคล้ายกระสวยออกเป็นพวงคล้ายรากกระชาย อวบน้ำ เป็นเส้นกลมยาว โตกว่าเถามากมาย ลำต้นมีหนาม เถาเล็กเรียว กลม สีเขียว ใบโดดเดี่ยว แข็ง ออกรอบข้อ เป็นฝอยเล็กๆเหมือนหางกระรอก สีเขียวดก หรือเป็นกระจุก 3-4 ใบ เรียงแบบสลับ ใบรูปเข็ม กว้าง 0.5-1 มม. ยาว 3-6 ซม. แผ่นใบมักโค้ง สันเป็นสามเหลี่ยม มี 3 สัน ปลายใบแหลม เป็นรูปเคียว โคนใบแหลม มีหนามที่ซอกกระจุกใบ ก้านใบยาว 13-20 ซม. ช่อดอก ออกที่ปลายกิ่งหรือซอกใบ แบบช่อกระจะ ยาว 2-4 เซนติเมตร ดอกย่อย สีขาว ขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมหวน มี 12-17 ดอก ก้านดอกย่อย ยาวราวๆ 2 มิลลิเมตร กลีบรวม มี 6 กลีบ เชื่อมกันเป็นหลอดรูปดอกเข็ม ปลายแยกเป็นแฉก ส่วนหลอดยาว 2-3 มม. ส่วนแฉกรูปช้อน ยาว 3-4 มม. กลีบบางแล้วก็ร่น เกสรเพศผู้ เชื่อมและก็อยู่ตรงกันข้ามกลีบรวม ขนาดเล็กมี 6 อัน ก้านยกอับเรณูสีขาว อับเรณูสีน้ำตาลเข้ม รังไข่รูปไข่กลับ ยาวโดยประมาณ 1 มม. อยู่เหนือวงกลีบ มี 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวุล 2 เมล็ด หรือมากยิ่งกว่า ก้านเกสรเพศเมียสั้น ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็นสามแฉกขนาดเล็ก ผลสด ออกจะกลม หรือเป็น 3 พู ผิวเรียบเป็นมัน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-6 มิลลิเมตร ผลอ่อนสีเขียวเมื่อสุกสีแดงหรือม่วงแดง เมล็ดสีดำ มี 2-6 เมล็ด มีดอกช่วงม.ย.ถึงเดือนมิถุนายน เจอตามป่าโปร่ง หรือเขาหินปูน
สาวร้อยผัวหรือรากสามสิบ เป็นสมุนไพรไทยมีรสขนมหวานเย็น ที่แฝงไปด้วยคุณประโยชน์ขนานเอก บำรุงเครื่องเพศในสตรี และยังเสริมสมรรถนะทางเพศให้แก่บุรุษ
นิยมนำส่วนของใบอ่อน ยอดอ่อน ผลอ่อน ซึ่งมีกลิ่นหอมยวนใจเหมือนผักชีลาว มารับประทานเป็นผัก แล้วก็นำส่วนของรากที่มีลักษณะเหมือนกระชาย แม้กระนั้นมีขนาดใหญ่แล้วก็ยาวกว่าอีกทั้งมีกลิ่นหอมยวนใจ มาใช้ดองยาสมุนไพร ชูกำลังในสตรีด้วยสรรพคุณที่สอดคล้องกับชื่อที่เรียกขานกันว่า สาวร้อยสามี ที่สื่อความหมายได้ว่า ไม่ว่าสาวใด อายุมากแค่ไหน อยู่ในวัยมีระดูหรือหมดเมนส์ก็ตาม ถ้าหากได้ทานหัวพืชประเภทนี้เสมอๆ จะช่วยให้มองเป็นสาวกว่าวัย มีพลังทางเพศ รวมทั้งยังช่วยเพิ่มขนาดของอก ด้วยแนวทางนำรากสดมาต้มกินหรือไม่ก็อาจจะนำรากไปตากแห้ง แล้วเอามาบดเป็นผงปั้นเป็นลูกกลอนผสมกับน้ำผึ้งรับประทานก็ได้เช่นกันตามตำราอายุรเวท มีการใช้รากสามสิบเป็นสมุนไพรหลักสำหรับบำรุงในเพศหญิง ช่วยให้หญิงกลับมาเป็นสาวได้อีกที
ในประเทศอินเดียก็เรียกสมุนไพรจำพวกนี้คล้ายกับเมืองไทย โดยในภาษาสันสกฤต เรียกว่า ศตาวรี (Shtavari) แสดงว่า ต้นไม้ที่มีรากหนึ่งร้อยราก หรือบางตำราบอกว่าหมายคือ สตรีที่มีร้อยสามี “Satavari” (this is an India word meaning’a woman who has a hundred husbands) รากสามสิบเป็นสมุนไพรที่ถูกกล่าวถึงในตำรา พระเวท ซึ่งเป็นคำภีร์ที่มีมาก่อนอายุยงรเวทด้วยซ้ำ จึงน่าจะนับว่าเป็นสมุนไพรที่มีการใช้มานานหลายพันปีแล้ว รวมทั้งในอินเดียใช้ รากสามสิบ ทำเป็นอาหารหวานเหมือนกันกับเมืองไทย
ในตำราอายุรเวทใช้รากสามสิบเป็นสมุนไพรหลักสำหรับบำรุงในผู้หญิง สำหรับการทำให้เพศหญิงกลับมาเป็นสาว (Female rejuvention) นอกเหนือจากนี้ยังช่วยแก้ไขปัญหาอื่นๆของสตรีอาทิเช่น ภาวการณ์ระดูผิดปกติ ปวดประจำเดือน สภาวะมีบุตรยาก ตกขาว ภาวะอารมณ์ทางเพศถดถอย ภาวการณ์หมดปะจำเดือน(menopause) รวมทั้งใช้บำรุงนมบำรุงท้อง คุ้มครองปกป้องการแท้ง (habitual abortion) แล้วก็อาการที่ไม่พึงปรารถนาอื่นๆของสตรี
สมุนไพรชนิดนี้จะเด่นต่อเพศหญิงแล้ว ในประเทศอินเดียยังใช้สำหรับเพื่อการเพิ่มพลังทางเพศให้กับเพศชายอีกด้วย ซึ่งก็อาจจะคล้ายกับทางภาคเหนือของไทยที่ใช้สาวร้อยผัว หรือที่เรียกในภาคเหนือว่า “ม้าสามต๋อน” เป็นยาดองเพื่อเพิ่มพลังทางเพศชาย รวมทั้งยังคงใช้เพื่อสรรพคุณทางยาอื่นๆอีกมาก ดังเช่นว่า ยาแก้ไอ ยารักษาโรคกระเพาะ ยาแก้บิด แก้ไข้ แก้อักเสบ ซึ่งจัดได้ว่าสมุนไพรประเภทนี้เป็นสมุนไพร ที่ใช้สูงที่สุดในประเทศอินเดีย ปัจจุบันมีสารสกัดด้วยน้ำ ของรากสามสิบ จากประเทศอินเดียไปที่สหรัฐฯ ในลักษณะเป็น dietary supplement หรือพวกอาหารเสริมซึ่งสามารถขายได้ ทั่วไปไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์

สรรพคุณสมุนไพรรากสามสิบ (รากศตวารี)
ช่วยสร้างสมดุล แก่ระบบฮอร์โมนเพศหญิง
แก้ปวดเมนส์
แก้ระดูมาผิดปกติ
แก้อาการตกขาว
แก้ไขปัญหาช่องคลอดอักเสบ ช่วยกำจัดกลิ่นในช่องคลอด
ช่วยทำให้ช่องคลอดกระชับ
ขจัดปัญหาการมีบุตรยาก คุ้มครองปกป้องการแท้งลูก
บำรุงนม
ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว
ช่วยระบาย ขับปัสสาวะ
ลดกลิ่นตัว กลิ่นปาก
ช่วยเพิ่มขนาดอก แล้วก็บั้นท้าย
กระชับรูปทรง
ช่วยลดไขมันส่วนเกิน
ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
บำรุงเลือด และก็บำรุงหัวใจ
บำรุงฮอร์โมนเพศ
บำรุงผิวพรรณ
ลดสิว ลดฝ้า ช่วยผิวขาวใส
แก้อาการวัยทอง ชะลอความชรา
ใช้รักษาโรคตับ ปอดพิการ
บำรุงกำลัง แก้กระษัย
ข้อควรปฏิบัติตามในการใช้รากสามสิบ
รายงานการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์พบว่ารากสามสิบมีฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจน เพราะฉะนั้นก็เลยห้ามประยุกต์ใช้ในสตรีที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ดังเช่นว่า คนป่วยโรค uterine fribrosis หรือ fibrocystic breast
ผลที่ได้รับจากการวิจัยสมุนไพรรากสามสิบ
การเล่าเรียนในหนูแรทของสารสกัดรากด้วยเอทานอลต้นรากสามสิบ แบ่งเป็น 2 ช่วงหมายถึงช่วงฉับพลัน รวมทั้งตอนยาวสม่ำเสมอ
โดยการเล่าเรียนในระยะกระทันหันป้อนสารสกัดเอทานอลต้นรากสามสิบขนาด 1.25 กรัม/กก. ให้กับหนูแรทที่ไม่เป็นเบาหวาน แล้วก็หนูแรทที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1 และก็ จำพวกที่ 2 พบว่าไม่มีผลลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่ว่าช่วยให้ทนต่อการเพิ่มขึ้นของกลูโคส (glucose tolerance) ในนาทีที่ 30 ดียิ่งขึ้น และการเรียนรู้ตอนยาวตลอดโดยป้อนสารสกัดเอทานอลรากสามสิบขนาด 1.25 กรัม/กก.วันละ 2 ครั้ง นาน 28 วัน ให้กับหนูที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตอนที่หนูเบาหวานกรุ๊ปควบคุมได้รับน้ำในขนาดที่เสมอกัน พบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และเพิ่มระดับของอินซูลิน 30% เมื่อเทียบกับกรุ๊ปโรคเบาหวานควบคุม นอกจากนั้นยังเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มระดับอินซูลินในตับอ่อน และเพิ่มกลัยโคเจนที่ตับเมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปโรคเบาหวานควบคุม จากการเรียนรู้ในครั้งนี้สรุปได้ว่าฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของสารสกัดรากสามสิบน่าจะเป็นผลมาจากการหยุดยั้งการสรุปยรวมทั้งการดูดซึมสารคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งการเพิ่มการหลั่งอินซูลิน ซึ่งต้นรากสามสิบน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อการเอามารักษาผู้เจ็บป่วยเบาหวานได้
ที่มา : หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล http://www.disthai.com/

Tags : สมุนไพรรากสามสิบ

4

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือมีผลยังไงต่อเซลล์ต่อมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต เบาหวาน โรคความดันสูง และก็โรคอื่นๆอันแสนเหนื่อยที่จะรักษา ติดตามผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยรับรองสรรพคุณได้ในเนื้อหานี้ค่ะ
บทความกลุ่มนี้อ้างอิงคุณประโยชน์ของเห็ดหลินจือจากผลการศึกษาเรียนรู้รับรองจากที่ต่างๆเพื่อเพื่อนได้ไตร่ตรองด้วยตัวเองว่ารักษาโรคได้ดิบได้ดีแค่ไหนและก็น่าไว้ใจแค่ไหน ถ้าหากเพื่อนพ้องๆเคยอ่านบทความเกี่ยวกับสรรรพคุณหรืองานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยเกี่ยวกับเห็ดหลินจือจากที่อื่นมาก่อน แล้วรู้สึกอ่านไม่ง่ายเท่าใดไหมเข้าใจ บทความในเว็บแห่งนี้คนเขียนได้คัดและสะสมจากหลายที่และเขียนในภาษาที่อ่านง่ายที่สุดเท่าที่จะทำเป็น
เพื่อนพ้องๆชอบบทความนี้ก็จะเป็นกำลังจิตใจให้คนเขียนได้บทความดีๆให้เพื่อนอ่านกันอีกต่อไปบทความเห็ดหลินจือรักษาโรคเด็ดๆที่เพื่อนพ้องๆจะต้องชอบ
ระบบภูมิต้านทานเป็นกลไกการกำจัดเชื้อโรค สารเคมีปะปน เซลล์มะเร็ง และสิ่งเจือปนอื่ๆที่จะเข้ามาทำอัตรายต่อสภาพทางด้านร่างกายพวกเรานั้นเอง โดยเหตุนี้ถ้าหากสหายๆมีระบบภูมิคุ้มกันดีก็จะไม่ป่วยง่าย หรือถ้าเจ็บป่วยก็จะรู้สึกตัวเร็ว แต่ถ้าหากระบบภูมิคุ้มกันไม่ดีก็จะป่วยบ่อยมากและเป็นหนักกว่ามีระบบูมิคุ้มกันแข็งแรง มาถึวนี้แล้วสหายๆคงจะเห็นจุดสำคัญของการมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงกันแล้ว
คนจีนโบราณใช้[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ[/url]มายาวนานกว่า 2000 ปีแล้ว แต่ในยุคนั้นยังไม่มีผู้ใดพิสูจน์ได้ว่าเพราะอะไรคนที่ทานเห็ดหลินจือถึงมีอายุยืนและแข็งแรงไม่ค่อยเป็นโรค เวลานี้เราสมารถยนต์พิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสารกลุ่ม Polysacchayide ในเห็ดหลินจือนั้นสามารถสร้างเสริมภูมิต้านทานให้กับเราได้จริง สารกรุ๊ปดังที่กล่าวถึงมาแล้วสามารถกระตุ้นการสร้าง Interleukin แล้วก็ Immuoglodulin ซึ่งทำให้ระบบภูมป้องกันดีแล้วก็แข็งแรงขึ้น
ระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกเสริมด้วยสาร Polysaccharide ในเห็ดหลินจือจะสามารถต้านวรัส เซลล์ของโรคมะเร็ง รวมทั้งจำกัดสารอนุมูลอิสระได้ดีขึ้น นอกเหนือจากนี้ยังช่วยให้ถูกผลข้างเคียงที่โดนยาต้านทานโรคมะเร็งบางตัวและวิธีการทำคีโมกดภูมิต้านทานให้มีระบบระเบียบภูมิคุ้มกันอีก รวมทั้งเห็ดหลินจือยังมีสารออกฤทธิ์ต้านทานการแบ่งตัวของเชื้อ HIV อีกด้วย ซึ่ง กรุ๊ปดังที่กล่าวมาข้างต้นคือกรุ๊ป Bitter Triterpenoids
A
นักค้นคว้าได้ศึกษาค้นพบสารหลากหลายประเภทในเหล็ดหลินจือที่ช่วยลดปริมาณไขมันในเส้นเลือดเป็นGanoderic Acid และก็ Lucidenic Acid ซึ่งสาร 2 จำพวกที่กล่าวมาแล้ว นอกจากช่วยลดไขมันในเส้นโลหิตได้แล้ว ยังคุ้มครองไม่ให้ไขมันอุดตันเส้นโลหิตได้โดยตรงอีกด้วย นอกจากนั้นยังมีสารกรุ๊ป Nucleotide ซึ่งสามารถช่วยลดการอุดตันของลิ่มเลือดในเส้นเลือด รวมทั้งช่วยลดอัตราเสี่ยงที่จะเป็นอัมพาตได้อีกด้วย
ได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่ญี่ปุ่นทดลองให้สารสกัดเห็ดหลินจือกับผู้ที่เป็นโรคไขมันเส้นเลือดสูง 70 ราย และกระทำการเก็บผลของการทดลองหลังจากผ่านไป 3 เดือน พบว่าวัวเรสเตอคอยลของคนรับการทดลองลดน้อยลงไปถึง 74% ซึ่งก็สอดคล้องกับผลที่เกิดขึ้นจากการวิจัยจากทั่วทั้งโลก และยังพบว่าเห็ดหลินจือ เว้นแต่ช่วยลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือดแล้ว ยังมีผลให้เลือดไหลเวียนอีกด้วย
โดยเหตุนี้ ก็เลยอาจพูดได้ว่า เครื่องพิสูจน์ทางคุณลักษณะแล้วก็ประโยชน์ซึ่งมาจากเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง งานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยเป็นการทดลองขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีคุณภาพเพียงพอ หรือเป็นเพียงแต่การทดสอบในผู้เจ็บป่วยบางกรุ๊ปเท่านั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง จึงยังคงเป็นหัวข้อการค้นคว้าที่ควรจะทำงานทดลองต่อไป เพื่อได้ได้ผลลัพ์ที่ชัดแจ้ง รวมทั้งมีคุณประโยชน์ในวงกว้างต่อการดูแลรักษาคนไข้มะเร็งได้ในอนาคต

ภาวะต่อมลูกหมากโต และก็การเจ็บป่วยในระบบทางเท้าเยี่ยว
มีขั้นตอนการทดลองหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากเห็ดหลินจือทดสอบในคนป่วยเพศ 88 รายซึ่งมีอายุเกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีอาการปัสสาวะติดขัด ข้างหลังการทดสอบกว่า 12 สัปดาห์ ผลลัพธ์ที่ได้เป็น คนไข้ต่างหรูหราคะแนน IPSS ที่ดียิ่งขึ้น ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลสำหรับการวัดปัญหาในระบบทางเดินปัสวะของผู้ป่วยจากการตอบคำถาม แต่ไม่ปรากฏผลในเชิงความเคลื่อนไหวคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากอะไร
เพราะฉะนั้น การทดลองดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจึงยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่ชัดเจนเพียงพอ ควรต้องมีการค้นคว้าทดสอบในด้านนี้ต่อไปในอนาคต เพื่อค้นหาหลังฐานที่แจ้งชัดสำหรับเพื่อการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการดูแลและรักษาสภาวะต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพใดๆที่เกี่ยวเนื่อง
ลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคเส้นโลหิตหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลของการทดลองทางด้านการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีคนไข้โรคเบาหวานชนิด 2 เข้าร่วมทดสอบกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่เป็นผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพพอเพียงจะสนับสนุนผลทางการรักษาพวกนั้น และไม่มีข้อมูลที่พอเพียงสำหรับการยืนยันด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจืออย่างเดียวกัน โดยหนึ่งในงานค้นคว้าวิจัยพวกนั้น ได้แสดงถึงผลกระทบจากการบริโภคเห็ดหลินจือในคนไข้บางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องเสีย หรือท้องผูก
ด้วยเหตุนี้ควรต้องมีการค้นคว้าทดลองถึงคุณภาพของเห็ดหลินจือสำหรับการลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆเหล่านี้เพื่อคุ้มครองปกป้องและการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจถัดไป รวมถึงให้ได้การกระจ่างแจ้งชัดดเจนในด้านดังกล่าวข้างต้นมากเพิ่มขึ้น อันเป็นคุณประโยชน์ต่อแนวทางการรักษาป้องกันโรคเส้นโลหิตหัวใจแล้วก็อาการต่างๆที่เกี่ยวพันถัดไปในอนาคต

Tags : สมุนไพรเห็ดหลินจือ

5

ขิง
ถึงแม้ว่าขิงจะเป็นสมุนไพรที่สามารถใช้ทำครัวและก็มีสรรพคุณในการรักษาโรค ถึงแม้ขิงจะมีกลิ่นฉุนรวมทั้งมีรสชาติเผ็ดร้อน เลยทำให้ไม่ถูกปากหลายๆคนนั้น แต่ว่าขิงก็เป็นสมุนไพรซึ่งสามารถใช้ปรุงอาหารแล้วก็มีคุณประโยชน์รักษาโรค พวกเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าสมุนไพรดีๆอย่างขิงนั้นเป็นประโยชน์และก็โทษอะไรที่พวกเราคิดไม่ถึงบ้าง
ประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิง
+ ลดอาการท้องอืดถ้าเกิดคุณรู้สึกท้องอืดหรือของกินไม่ย่อยให้จิบชาน้ำขิงหรือกินขิงสดจะทำให้คุณเข้าใจดีขึ้น หรือหากว่าคุณกำเนิดอาการท้องอืดที่เกิดจากการกินถั่วละก็ คราวหลังทดลองฝานถั่วบางๆลงไปในของกินที่มีถั่ว โน่นก็จะช่วยลดของกินท้องขึ้นได้เหมือนกันค่ะ ด้วยเหตุว่าขิงนั้นเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน สามารถช่วยขับลม รวมทั้งกระตุ้นการทำงานของไส้ทำให้ อาการท้องอืดบรรเทาลงได้
+ ช่วยทุเลาอาการไมเกรน
จากการเล่าเรียน
พบว่า การกินขิงในตอนที่อาการไมเกรนใกล้กำเริบนั้น จะช่วยให้ความเจ็บปวดจากอาการไมเกรนลดลงได้ เนื่องจากว่าขิงจะไปช่วยสกัดการฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการอักเสบ นอกเหนือจากนี้ยังมีการศึกษาเล่าเรียนอื่น บอกให้เห็นอีกว่าขิงสามารถช่วยรักษาอาการไขข้ออักเสบ โดยพบว่าผู้ที่มีอาการของโรคข้อเข่าเสื่อมหรือโรครูมาตอยด์มีอาการน้อยลงเมื่อบริโภคขิงผงเสมอๆแต่ละวัน
คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิง และก็โทษที่คุณอาจคิดไม่ถึง
+ ช่วยคุ้มครองมะเร็ง
 ขิงมีคุณลักษณะสำหรับในการช่วยต่อสู้กับโรคมะเร็ง โดยมีการเรียนพบว่าขิงช่วยทำให้เซลล์ของมะเร็งข้างในรังไข่ตาย เพราะในขิงมีสารเคมีธรรมชาติที่ไปช่วยกระตุ้นโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีกลูตาไธโน-เอส-ทรานสเฟอรเรส ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ก็เลยช่วยคุ้มครองป้องกันโรคมะเร็งได้ นอกจากนั้นยังพบอีกว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีขิงเป็นองค์ประกอบยังช่วยลดอาการอักเสบในลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
+ ช่วยทุเลาอาการคลื่นไส้
 ขิงสามารถบรรเทาอาการอาเจียนได้ โดยชาวเอเชียนั้นชอบใช้ขิงในการช่วยบรรเทาอาการเมารถ หรือเมาเรือ นอกจากนี้ยังมีหลายการศึกษาเล่าเรียนพบว่าขิงสามารถช่วยป้องกันรวมทั้งบรรเทาอาการอาเจียนภายหลังการผ่าตัดและยังช่วยทุเลาอาการคลื่นไส้และคลื่นไส้ในคนเจ็บโรคมะเร็งที่เข้ารับเคมีบำบัดได้อีกด้วย
+ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด
 มีการศึกษาเล่าเรียนใหม่พบว่า ขิงผงนั้นสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ โดยยิ่งไปกว่านั้นกับผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ว่าก็ควรจะที่จะขอความเห็นแพทย์ก่อนรับประทานขิงร่วมกับยา เพราะขิงบางทีอาจทำปฏิกิริยากับยาที่ใช้รักษาได้ และควรจะติดตามผลระดับน้ำตาลอย่างใกล้ชิด เพราะหากกินขิงมากจนเกินความจำเป็นก็อาจจะทำให้ระดับอินซูลินน้อยลงมากจนเกินไปจนถึงอยู่ในขีดอันตรายได้
คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิง แล้วก็โทษที่คุณอาจไม่คาดฝัน
ขิงดอง คุณประโยชน์ดีก็มีนะ รู้ยัง?
 เราบางทีอาจจะเคยทราบกันมาว่าการรับประทานของดองไม่ดีกับสุขภาพ แต่ว่าต้องขอนอกจากไว้สำหรับขิงดองค่ะ เนื่องจากว่าจริงๆแล้วแม้ขิงดองจะเป็นของกินที่ผ่านการดองด้วยน้ำส้มสายชู แม้กระนั้นเรื่องคุณประโยชน์ และคุณประโยชน์เพื่อสุขภาพ ขิงดองก็มีดีไม่ด้อยไปกว่าขิงใหม่ๆเลยล่ะค่ะ ซึ่งประโยชน์ของขิงดองมีดังนี้
* ช่วยแก้อาการเมาเรือ เมารถ และก็อาการแพ้ท้อง

เพราะขิงดองเป็นอาหารที่มีกลิ่นแรงทั้งยังยังมีรสชาติเผ็ดอมเปรี้ยว เลยทำให้เปลี่ยนเป็นของกินที่เหมาะสำหรับมีลักษณะอาการเมาเรือ เมารถ แล้วก็สตรีที่กำลังมีครรภ์ ซึ่งมักจะมีลักษณะอาการแพ้ท้อง เอาไว้กินในขณะที่รู้สึกอ้วก เนื่องจากว่าจะช่วยบรรเทาอาการได้จ้ะ ไม่ต้องพึ่งยาแก้เมา หรือยาแก้แพ้ท้อง ทดลองใช้ขิงดองดูนี่ล่ะจ้ะ เด็ด !
* ช่วยล้างปากเวลากินอาหาร
 สำหรับหลายคนที่สงสัยว่าเพราะเหตุใดเวลาไปกินอาหารประเทศญี่ปุ่นแล้วบนจานของกินญี่ปุ่นจะมีขิงดอง คำตอบก็คือขิงดองพวกนั้นมีไว้รับประทานล้างปากค่ะ โดยส่วนใหญ่สำหรับในการรับประทานอาหารประเทศญี่ปุ่น จะรับประทานขิงดองตามเข้าไปภายหลังทานอาหารจานนั้นหมดแล้ว เพื่อไม่ให้รสอาหารจานเดิมติดอยู่ในปากจนกระทั่งทำให้รู้สึกมันแล้วก็รับประทานจานถัดไปไม่ไหว อีกทั้งยังส่งผลให้ลิ้มรสของกินจานต่อไปได้อย่างมากอีกด้วย
* โซเดียมต่ำ
 แม้ขิงดองจะมีรสจัด แต่ว่าน่าประหลาดที่ขิงดองเป็นของกินที่มีโซเดียมต่ำมากมายเมื่อเทียบกับของกินดองชนิดอื่นๆเมื่อเอามากินและทำให้ไม่ต้องกังวลกับปริมาณโซเดียม ลดความเสี่ยงที่จะกำเนิดความดันเลือดสูงลงไปได้อีกเยอะเลย
คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากขิง รวมทั้งโทษที่คุณอาจไม่ได้นึกฝัน
ข้อควรตรึกตรองในการทานขิง
- อาจจะก่อให้เกิดภาวะแทรกสำหรับในการมีครรภ์ได้
 มีบางการเรียนพบว่าขิงมีความเชื่อมโยงกับภาวะแทรกซ้อนในการมีครรภ์และก็การแท้ง แต่สำหรับการตั้งครรภ์รายอื่นๆนั้นไม่พบว่าการกินขิงจะทำให้กำเนิดอาการพวกนั้นขึ้น แถมยังช่วยลดอาการคลื่นไส้จากการแพ้ท้องได้อีกด้วย โดยเหตุนั้นคุณควรไปขอความเห็นหมอก่อนที่จะที่ใช้ขิงในการรักษาอาการแพ้ท้องด้วยตัวเองจ้ะ
- ส่งผลให้เกิดแผลร้อนในด้านในปากได้
 ขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน ถ้าหากรับประทานเข้าไปในปริมาณที่มากก็จะสามารถเยื่อบุด้านในโพรงปากมีการอักเสบจนถึงเป็นอาการร้อนในได้ โดยเหตุนี้ไม่ควรกินขิงมากจนเกินความจำเป็นจ้ะ
- ยั้งการแข็งตัวของเลือด
 การเล่าเรียนหนึ่งในออสเตรเลียพบว่า ขิงนั้นมีสรรพคุณสำหรับเพื่อการต่อต้านการแข็งตัวของเลือดมากยิ่งกว่ายาแอสไพริน สถาบันสุขภาพของออสเตรเลียได้ออกการเตือนให้งดการกินขิงในขณะที่ใช้ยาละายลิ่มเลือดเนื่องจากจะมีผลให้กำเนิดการเสี่ยงสำหรับการกำเนิดอาการห้อเลือดหรืออาการเลือดออกได้ โดยเหตุนั้นหากคุณมีลักษณะอาการเลือดออกไม่ปกติหรือกำลังใช้ยาละลายลิ่มเลือด ควรจะเลี่ยงการกินขิงจ้ะฃ http://www.disthai.com/

6

น้ำมันเหลือง เป็นยังไง ?
น้ำมันเหลือง ยาแผนโบราณจากพืชสมุนไพรประสิทธิภาพเยี่ยม ทำมาจากพืชสมุนไพรชนิดต่างๆกัน คุณประโยชน์ที่ใช้สูดดม ทา นวด เพื่อบรรเทาอาการต่างๆคุณประโยชน์นี้ไม่เป็นรองยาแผนปัจจุบันอย่างยิ่งจริงๆ
การใช้นำมันนวดตามจุดต่างๆ
การนวดน้ำมันเหลืองเป็นแนวทางในการดูแลภาวะผิวและก็สุขภาพที่ขอชี้แนะเป็นการนวด ที่สกัดจากสมุนไพรรวมทั้งพืชต่างๆที่อุดมไปด้วยประโยชน์ที่ดีต่อร่างกาย โดนการนำสารสกัดกลิ่นและก็เนื้อน้ำมันพวกนั้นมานวดตามจุดต่างๆของร่างกายด้วยกลิ่นหอมสดชื่น และก็สัมผัสของของน้ำมันที่เต็มไปด้วยธรรมชาติจะเข้าไปช่วยกระตุ้นระบบต่างๆของร่างกาย ลดความเครียด ทำให้พวกเราผ่อนคลาย รวมถึงช่วยในเรื่องของความชื้นรวมทั้งผิวพรรณให้ดูดีขึ้นด้วย วันนี้เราจะพาไปดูประโยชน์ของการนวดน้ำมันว่าเป็นประโยชน์ในด้านใดบ้าง
โรคนี้จะไม่อาจจะหายไปได้เอง!
โรคต่างๆเกี่ยวกับข้อจะไม่สามารถหายสนิทได้เอง ถึงแม้ว่าอาการที่แสดงออกมาจะรุนแรงลดน้อยลงก็ตาม และท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นโรคเรื้อรังและก่อกำเนิดความยากลำบากสำหรับเพื่อการดำรงชีพมากขึ้น
เมื่อปลดปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยปัญหาเรื่องข้อที่มีอยู่ก็จะขยายไปจนถึงทำให้มีแค่เพียงการผ่าตัดแค่นั้นที่จะเป็นทางออกเดียวที่ช่วยได้
ในบางครั้งบางคราวที่เป็นร้ายแรงมากมายจำเป็นจะต้องแปลงข้อต่อทั้งปวงด้วย
ความเจ็บมีเพียงแค่จะมากขึ้น
การผ่าตัดสามารถหลีกเลี่ยงได้
ฟื้นฟูข้อต่อของคุณให้รวดเร็วทันใจที่สุดเท่าที่จะทำเป็นในระหว่างที่โรคยังไม่ได้แผ่ขยายเกินความจำเป็นนัก
  แพทย์ประจำถิ่นหรือการแพทย์แผนไทย เห็นด้วยในคุณประโยชน์อันแสนวิเศษของยาแผนโบราณตามตำรายาสมุนไพร ตำรับเก่าแก่วัดโพธิ์หรือวัดพระเชเหม็นตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งเป็นยาสมุนไพรแผนโบราณขนานเอกที่มีชื่อดังรวมทั้งได้รับความเชื่อใจในการรักษาโรคมาเนิ่นนานแล้ว สมกับคำที่กล่าวไว้ว่า "นวดแผนโบราณ ยาแผนโบราณ ตำรายาสมุนไพร จำต้องวัดโพธิ์ ภูมิปัญญาของชาวไทยทั้งชาติของบรรพบุรุษไทย"
ศิลปะที่สวยของการนวดได้ทวีความร้ายแรงมากยิ่งขึ้นด้วยการนวดน้ำมันบางมากมาย. น้ำมันนวดแต่ละคนมีคุณลักษณะรักษาโรคต่างๆที่มีเพื่อให้บริการด้านต่างๆสำหรับเพื่อการรักษาร่างกายและจิตใจของคุณอีกด้วย. เลือกน้ำมันที่ดีเยี่ยมที่สุดสำหรับความปรารถนาส่วนตัวของคุณและผ่อนคลายร่างกายของคุณด้วยการนวดผ่อนคลายและก็ฟื้นฟูอย่างสม่ำเสมอ, เพื่อรักษาความสมดุลทางด้านจิตวิญญาณของคุณรวมทั้งร่างกายที่แข็งแรงที่สุดของร่างกายของคุณ.

  • คุณประโยชน์มีอะไรบ้าง ?


สรรพคุณของน้ำมันเหลือง สมุนไพรนั้น มีเยอะแยะทีเดียว
บรรเทาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล เป็นหวัด แก้วิงเวียนศีรษะ หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม
แก้เคล็ดลับขัดยอก บวมช้ำ ทาแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ปวดบวม
ทาท้องเพื่อขับลมด้านในท้อง
ทาแก้ผื่นผื่น ตุ่มคัน
ทาก่อนนอนทำให้หลับง่ายดายมากยิ่งขึ้น จิตใจสงบ ผ่อนคลาย ทาเช็ดนวดอุ้งเท้า ไล่เลือดลม
ใช้ทาแก้ เหน็บชา ตะคริว ปวดสันหลังปวดบั้นเอว ปวดเข่า ปวดขา บวมช้ำ ปวดกล้าม ดมกลิ่นแก้อาเจียน ตาลาย อาการหอบหืด แล้วก็ไซนัส
- ทุเลาอาการหน้ามืดศีรษะ หน้ามืด คล้ายจะเป็นลมเป็นแล้ง
- แก้เคล็ดลับขัดยอก ทำลายพิษแมลงสัตว์กัดต่อย
- ทาท้องเพื่อขับลมข้างในท้อง
- ทาแผลมีดบาด ทาแก้ผื่นผื่น
- ทาก่อนนอนช่วยทำให้หลับง่ายมากยิ่งขึ้น
- บรรเทาอาการคัดจมูก เพราะว่าหวัด
น้ำมันเหลืองผลการศึกษาเรียนรู้จากมหาวิทยาลัยบอสตันเผยว่า คนป่วยโรคมะเร็งระยะแพร่ไปที่ได้รับการนวดตัว จะสามารถนอนได้ดีขึ้น บรรเทาลักษณะการเจ็บปวด รวมถึงมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นด้วย ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ Memorial Sloan-Kettering Cancer Center in New York City ในปี 2004 ที่เปิดเผยว่า คนเจ็บโรคมะเร็งระยะแพร่ จะทรมาทรกรรมจากลักษณะของการเจ็บปวดน้อยลง อ้วกน้อยครั้ง ไหมอ้วกเลย รู้สึกชื่นบานขึ้น ความดันดีมากยิ่งกว่าเดิม รวมทั้งเครียดจากอาการป่วยลดน้อยลง หลังจากได้รับการบำบัดด้วยวิธีการนวด
การเลือกน้ำมันนวด
การเลือกน้ำมันเหลืองขึ้นกับการใช้งาน และก็สรรพคุณต่างๆของน้ำมันเหลืองแต่ละประเภท โดยส่วนมากน้ำมันเบื้องต้นที่นิยมเอามาผสมทำน้ำมันเหลือง ได้แก่ น้ำมันเมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งมีวิตามินอี สูงขึ้นยิ่งกว่าน้ำมันที่ผลิตขึ้นมาจากถั่วเหลือง แล้วก็น้ำมันเมล็ดข้าวโพดถึง 3 เท่า วิตามินอี ปฏิบัติภารกิจเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ดักจับ และทำลายของเสียที่ทำร้ายเซลล์ต่างๆของร่างกาย ช่วยทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ลกไขมันในเส้นเลือด ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ยิ่งกว่านั้นน้ำมันเม็ดดอกทานตะวันยังมีกรดไขมันไม่อิ่ม กรดไลโนเลอิกสูง ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นจะต้องต่อสุขภาพ ทั้งยังยังช่วยให้ผิวพรรณนุ่มชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวย
โดยดังนี้น้ำมันแต่ละประเภทจะมีคุณสมบัติ รวมทั้งคุณประโยชน์ที่ต่างๆนาๆ ขึ้นกับการเลือกใช้ให้เหมาะสมตามการใช้งาน
วัสดุ อุปกรณ์
1.เมนทอล 300 กรัม
2.พิมเสน 100 กรัม
3.การบูร 100 กรัม
4.หัวไพลแก่จัด 200 กรัม
5.น้ำมันงาบริสูทธิ์ 50 กรัม
6.กระทะสำหรับทอดหัวไพล
7.ภาชนะสำหรับผสมสาร ตัวอย่างเช่น ขวดใส่กาแฟ ขวดแก้ว
กระบวนการทำ
1.ล้างหัวไพลให้สะอาดตากให้แห้ง หั่นเป็นชิ้นเล็กๆตากแห้ง
2.ทอดหัวไพลในน้ำมันงาโดยใช้ไฟอ่อนๆทอดไปจนน้ำมันเป็นสีเหลือง เสร็จแล้วใส่สมุนไพรครั้งละตัวทอดถึงแม้ว่าจะหมดฟองยกลงจากเตากรองเอากากทิ้ง
3.นำส่วนผสมทั้งยัง 3 ประเภท ในอัตราส่วนที่กำหนด คือ (เมนทอล 3 ส่วน พิมเสน 1 ส่วน พิมเสน 1 การบูร 1 ส่วน )เทผสมรวมกันในภาชนะสำหรับผสมสาร
4.ใช้ไม้พายเล็กคนให้ส่วนประกอบทั้งผองละลายเป็นของเหลว (ถ้าไม่ใช่ไม้คนบางทีอาจใช้กรรมวิธีการเขย่าขวดให้ส่วนผสมละลายก็ได้
5.เติมน้ำมันที่สกัดจากหัวไพลลงไป คนให้เข้าเป็นเนื้อเดียว
6.น้ำมันเหลืองที่ได้บรรจุขวดปิดฝาให้แน่น
คุณประโยชน์น้ำมันเหลือง เป็นผลิตภัณฑ์ ที่คนจำนวนมากนิยมทำใช้กันเอง ด้วยเหตุว่าสมุนไพรหาได้ง่าย ใช้ทาแก้อัมพาต เหน็บชา ปวดสันหลังปวด บั้นเอว ปวดหัวเข่า ฟกช้ำ ปวดกล้าม สูดดมแก้คลื่นใส้ เวียนหัว หอบหือ และก็ไซนัส

Tags : น้ำมันเหลือง

7

น้ำมันนวดสมุนไพร
โรคนี้จะไม่อาจจะหายไปได้เอง!
โรคต่างๆเกี่ยวกับข้อจะไม่สามารถที่จะหายสนิทได้เอง ถึงแม้ว่าอาการที่แสดงออกมาจะร้ายแรงลดน้อยลงก็ตาม และก็สุดท้ายก็จะเปลี่ยนเป็นโรคเรื้อรังแล้วก็ทำให้เกิดความยากลำบากในการดำรงชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
1.[url=https://www.charmingfresh.com/product/49/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3http://www.chiangdaoherb.com/product/19/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3]น้ำมันนวด[/url] จะเข้าไปช่วยกระตุ้นรูปแบบการทำงานของระบบประสาท ให้ดำเนินการเจริญมากขึ้นเรื่อยๆ ลดอาการเคร่งเคลียดให้เราผ่อนคลายจากการความอ่อนแรงแล้วก็ความเหนื่อยอ่อนสะสม
2.การนวดน้ำมัน จะเข้าช่วยการกระตุ้นรูปแบบการทำงานของเลือด ให้ดำเนินการได้ดิบได้ดีมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นและสามารถหล่อเลี้ยงออกสิเจนและก็สารอาหารต่างๆไปทั่วร่างกายอย่างสมบูรณ์ คุ้มครองโรคต่างๆรวมทั้งลดความดันเลือดเจริญด้วย
3.เพิ่มความยืดหยุ่นให้ร่างกาย ด้วยการเข้าไปซ่อมแซมและฟื้นฟูระบบกล้าม ข้อต่อต่างๆในร่างกายให้ดำเนินงานได้ดิบได้ดีแล้วก็มีประสิทธิภาพเยอะขึ้นเรื่อยๆ
4.เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ด้วยเข้าไปกำจัดพิษ ทั้งยังในร่างกายและสภาพผิว ช่วยผลัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดออกมาส่งให้ผิวของคุณเรียบเนียนชุ่มชื้น ดูผ่องใสแล้วก็ชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆ
5.น้ำมันนวดช่วยในประเด็นการนอนหลับให้ดีกว่าเดิม บรรเทาสมองแล้วก็ร่างกายต่างๆส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้นอนหลับสนิทได้ดีมากยิ่งกว่ากว่า ลดอาการนอนไม่หลับได้อย่างยอดเยี่ยม
นอกนั้นการนวดน้ำมันยังมีประโยชน์อีกหลายอย่างต่อสภาพร่างกาย ซึ่งถือได้ว่าหนทางแก่คนรักสุขภาพได้อย่างดีเยี่ยม
ลดอาการปวดหัวไมเกรน
     สำหรับคนที่เคยทรมาทรกรรมจากลักษณะของการปวดหัวไมเกรนอยู่บ่อยครั้ง แพทย์ก็ได้ชี้แนะให้ทดลองไปนวดบรรเทาสุขภาพดูบ้าง ด้วยเหตุว่าจากผลการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ พบว่า ผู้ที่มีลักษณะอาการปวดหัวไมเกรนที่ได้รับบริการนวดตัวต่อเนื่องกัน 2-3 สัปดาห์ จะสามารถบรรเทาอาการข้างเคียงของโรคไมเกรน แล้วก็นอนหลับได้อย่างสนิทขึ้นด้วยจ้ะ
น้ำมันนวด สมารถเเก้ลักษณะของการปวดข้างหลัง เป็นอาการที่ทุกคนจะต้องเคยพบเจอ ซึ่งเพียงพอปวดหลังขึ้นมาทีไรเราก็อยากจะเอนกายพักผ่อน หรือไม่ก็ไปนวดผ่อนคลายลักษณะของการปวดปวดเมื่อย ทั้งที่จริงแล้วอาการปวดข้างหลังอาจจะไม่ได้เกิดจากอาการปวดเมื่อยกล้ามเพียงเท่านั้น แม้กระนั้นยังอาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพอื่นๆได้อีกมากมาย เช่นที่เราจะพาทุกคนไปศึกษาสาเหตุของอาการปวดหลังด้านขวา ว่าเกิดจากอะไรรวมทั้งอันตรายหรือเปล่า เพื่อได้ทราบทันลักษณะการเจ็บป่วยไข้ของร่างกาย
ปวดหลังขวาที่อยู่ข้างบน
          ลักษณะของการปวดหลังข้างขวาด้านบน เป็นลักษณะของการปวดข้างหลังที่อยู่รอบๆตั้งแต่รอบๆข้างหลังไหล่ไปจนถึงใต้สะบัก เกิดขึ้นได้จากหลายกรณีร่วมกัน โดยมูลเหตุที่มักนำไปสู่ลักษณะของการปวดข้างหลังข้างบนขวา มีดังนี้
ปวดหลังข้างขวา


การนั่งทำงานเป็นเวลานานๆหรือชูของหนักผิดท่า


          น้ำมันนวดสามารถช่วยการชูของหนักหรือการนั่งดำเนินงานในอิริยาบถที่ไม่ถูกต้องติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆๆก็เป็นสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดลักษณะของการปวดกล้ามบริเวณหลังส่วนบนทางขวาได้  โดยบริเวณข้างหลังส่วนบน นอกเหนือจากกล้ามเนื้อข้างหลังแล้ว ก็ยังเชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อไหล่แล้วก็กล้ามคอ ด้วยเหตุนี้ถ้าหากมีอาการปวดหลังด้านขวาที่อยู่ทางด้านบนจากการใช้แรงงานหนักก็มักจะมีลักษณะปวดคอและไหล่ในด้านเดียวกันร่วมด้วย ทราบอย่างงี้แล้วแม้คนใดที่ยังนั่งทำงานในท่าเดิมนานๆก็ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายบ้างนะคะ และน่าจะนั่งให้ถูกท่าด้วย โดยท่านั่งดำเนินงานที่ถูกต้องก็คือควรให้จอคอมพิวเตอร์อยู่ในระดับสายตาค่ะ


ความเปลี่ยนไปจากปกติของกระดูกแล้วก็ข้อ


          ม้ำมันนวดกระดูกรอบๆข้างหลังส่วนบนนั้นประกอบไปด้วยกระดูกไหปลาร้า กระดูกไหล่ กระดูกสันหลัง และกระดูกต้นแขน ซึ่งถ้าเกิดความเปลี่ยนไปจากปกติกับกระดูกกลุ่มนี้ก็อาจจะก่อให้บริเวณหลังด้านขวาที่อยู่ทางด้านบนเกิดลักษณะของการปวดได้ โดยต้นเหตุที่ทำให้กระดูกไม่ดีเหมือนปกติก็ได้แก่ การเกิดอุบัติเหตุ หรือข้อต่อของกระดูกที่หลังส่วนบนขวามีการอักเสบ นอกนั้นภาวการณ์กระดูกพรุนก็สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดที่กระดูกรอบๆขวาที่อยู่ข้างบนได้ ในช่วงเวลาที่คนไข้โรคมะเร็งบางจำพวกในระยะแพร่ อย่างโรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งที่ต่อมไทรอยด์ และโรคมะเร็งไต ก็จะมีลักษณะปวดกระดูกบริเวณข้างหลังส่วนบนด้วยเหมือนกัน


ความแปลกของอวัยวะภายใน


          ลักษณะของการปวดหลังส่วนบนขวามิได้เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากกล้ามรวมทั้งกระดูกรอบๆหลังส่วนบนเพียงแค่นั้น แต่ว่ายังอาจเป็นเพราะเนื่องจากลักษณะการเจ็บเจ็บป่วยของอวัยวะต่างๆภายในร่างกายได้ เป็นต้นว่า โรคตับ นิ่วในไตและในกระเพาะหรือลำไส้เล็กส่วนต้น โรคในถุงน้ำดี หรือแม้กระทั้งอาการติดเชื้อโรคในไต หรืออาจจะเกิดจากอาการไส้ติ่งอักเสบที่ทำให้ปวดขยายขึ้นบริเวณหลังทางด้านขวาก็ได้ ส่วนคุณสุภาพสตรี หากมีอาการปวดที่ข้างหลังส่วนบนขวา นั่นอาจเป็นสัญญาณของซีสต์ในรังไข่ การติดเชื้อของท่อรังไข่ หรือการมีท้องนอกมดลูกที่รอบๆท่อรังไข่ได้อีกด้วยค่ะ


โรคที่เกี่ยวกับปอด


          น้ำมันนวด ปอดเป็นอวัยวะที่อยู่ส่วนบนของร่างกายซึ่งตรงกับข้างหลังส่วนบนพอดีเป๊ะ ฉะนั้นเมื่อปอดมีความผิดธรรมดาก็สามารถทำให้เกิดอาการปวดข้างหลังส่วนบนได้ โดยอาการที่จะก่อให้เกิดอาการปวดข้างหลังข้างบนขวาก็ตัวอย่างเช่น โรคปอดบวม โรคมะเร็ง อาการติดเชื้อโรคของเยื่อหุ้มห่อปอดหรือช่องอก นอกจากนั้นอาการอุทกภัยปอด หรือแม้กระทั้งหัวใจล้มเหลว ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดลักษณะของการปวดข้างหลังขวาบนได้ ด้วยเหตุนี้หากมีลักษณะอาการปวดที่ข้างหลังข้างบนขวาแบบเรื้อรังแล้วก็ร้ายแรง ควรจะรีบไปพบหมอให้เร็วที่สุดค่ะ

8

คนท้องนวดขาได้ไหม ? ตอบเรื่องที่น่าสงสัยสำหรับคุณแม่
          คนท้องใช้น้ำมันนวดขาได้ไหม เชื่อว่าปัญหานี้น่าจะเป็นปริศนายอดฮิตที่คุณแม่มือใหม่หลายๆคนอยากรู้กันแน่นอน เนื่องจากว่าคนท้องส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาปวดเมื่อย โดยยิ่งไปกว่านั้นรอบๆต้นขา วันนี้พวกเราจะพาม่าม้าไปไขข้อสงสัยหัวข้อนี้กันจ้ะ
          น้ำมันนวดสำหรับม่าม้าที่กำลังตั้งครรภ์ ในระยะท้องแรกๆบางทีอาจจะไม่มีปัญหาเรื่องปวดเมื่อยสักเยอะแค่ไหน แต่พอเพียงอายุครรภ์เริ่มมากขึ้นๆและก็ด้วยฮอร์โมนภายในร่างกายที่มีการเปลี่ยน ประกอบกับสรีระแม่เริ่มเปลี่ยน รวมไปถึงน้ำหนักที่มากขึ้นเรื่อยๆด้วย จึงทำให้คุณแม่จำนวนมากร้อยทั้งยังร้อยชอบมีปัญหาปวดเมื่อยตามมา ซึ่งเรื่องนี้ม่าม้าไม่ต้องกังวลเพราะเหตุว่านับว่าเป็นเรื่องธรรมดาของคนท้องจ้ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายไตรมาสที่ 2 แล้วก็ 3 แม่จะมีอาการปวดไปหมดทั้งตัวเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นปวดหลัง ปวดเอว และก็ปวดต้นขา เนื่องมาจากต้องแบกรับน้ำหนักที่มากขึ้นนั่นเอง ซึ่งลักษณะของการปวดเมื่อยเหล่านี้ม่าม้าจะสามารถทุเลาลงได้ด้วยการนวดให้คลายปวด แม้กระนั้นถึงแบบนั้นคุณแม่คนจำนวนไม่น้อยอาจจะไม่พ้นมีความรู้สึกกังวลว่า คนท้องนวดได้ไหม คนท้องนวดขาได้ไหม ? แล้วก็เพื่อช่วยทำให้คุณแม่ความกังวลลดลง วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปพบคำตอบกันจ้ะ
          สำหรับม่าม้ามีครรภ์ที่มีลักษณะปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตามร่างกายต่างๆปกติแล้วสามารถนวดได้จ้ะ แต่ว่าต้องเป็นการนวดที่ไม่ร้ายแรงเกินไป นวดพอคลายเส้นและก็คลายปวดก็พอเพียง อย่างรอบๆแขนและก็ขาคุณแม่สามารถนวดได้บ่อยๆเนื่องด้วยเป็นจุดที่ไม่ชมรมกับการแท้งบุตร ทั้งนี้ควรเลี่ยงการนวดบริเวณท้อง เพราะอาจจะมีการกระทบกระเทือนทำให้มีผลกับการตั้งท้องหรือแท้งลูกได้จ้ะ
          นอกจากนี้สำหรับแม่ที่อยากนวด ตอนนี้ยังมีสถานที่นวดคนท้องอย่าง ร้านค้าสปา ร้านนวด หมอแผนไทย รวมทั้งหมอแผนไทยประยุกต์ ที่รับนวดสำหรับคนท้องโดยยิ่งไปกว่านั้นด้วยนะคะ ซึ่งแม่สามารถเข้าไปใช้บริการได้ตั้งแต่นวดตัว นวดคอ บ่า ไหล่ นวดแขนขา และนวดเท้าได้ แต่ทั้งนี้ม่าม้าก็ควรที่จะทำการเลือกร้านค้าหรือสถานที่ที่ได้มาตรฐาน มีผู้ชำนาญในการนวดสำหรับคนท้องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องด้วยการนวดคนท้องนั้นจะไม่ราวกับการนวดคนปกติทั่วๆไป ฉะนั้นก็เลยต้องให้ได้รับการฝึกหัดหรือเรียนรู้แนวทางนวดคนท้องอย่างถูกต้องเป็นคนนวดเพียงแค่นั้นจ้ะ
          ต่อนี้ไปม่าม้าก็อาจหายกลุ้มอกกลุ้มใจและก็มั่นใจเวลาจะนวดเพื่อคลายเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวกันแล้วใช่ไหมล่ะขา ซึ่งการนวดนั้นนอกเหนือจากการที่จะช่วยให้อาการปวดน้อยลงแล้ว ยังจะช่วยให้คุณแม่สามารถใช้น้ำมันนวดผ่อนคลาย หายเครียด และก็อารมณ์ดีขึ้นอีกด้วยนะคะ แต่ว่าดังนี้ก็อย่างที่บอกไปตอนต้น หากจะนวดก็ควรจะนวดเพียงเบาๆเพียงแค่นั้น หรือจะไปใช้บริการยังสถานที่นวดคนท้องโดยเฉพาะก็ได้ค่ะ จะได้แน่ใจว่าจะไม่กระทบกระเทือนกับลูกน้อยในท้องนั่นเอง
ปวดหลังด้านขวา อย่าประมาทว่าเป็นเพียงแค่เกิดจากลักษณะของการปวดเมื่อย เนื่องจากบางโอกาสนี่อาจเป็นสัญญาณของลักษณะการเจ็บป่วยไข้ที่นึกไม่ถึง
          น้ำมันนวดสามารถช่วยอาการปวดหลัง เป็นอาการที่ทุกคนต้องเคยพบเจอ ซึ่งเพียงพอปวดหลังขึ้นมาทีไรพวกเราก็อยากจะเอนหลังพัก หรือไม่ก็ไปนวดบรรเทาอาการปวดปวดเมื่อย ทั้งที่จริงแล้วลักษณะของการปวดข้างหลังอาจจะไม่ได้มีเหตุที่เกิดจากลักษณะของการปวดปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเพียงเท่านั้น แต่ว่ายังอาจเกิดขึ้นเนื่องจากปัญหาสุขภาพอื่นๆได้อีกมากมาย ดังเช่นที่เราจะพาทุกคนไปเรียนรู้สิ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดข้างหลังทางด้านขวา ว่าเกิดขึ้นจากอะไรและก็อันตรายหรือเปล่า เพื่อจะได้รู้ทันลักษณะการเจ็บป่วยไข้ของร่างกาย
ปวดหลังด้านขวาที่อยู่ทางด้านบน
          ลักษณะของการปวดข้างหลังข้างขวาข้างบน เป็นอาการปวดหลังที่อยู่รอบๆตั้งแต่บริเวณข้างหลังไหล่ไปจนกระทั่งใต้สะบัก เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน โดยต้นสายปลายเหตุที่มักกระตุ้นให้เกิดอาการปวดข้างหลังด้านบนขวา มีดังนี้
ปวดหลังข้างขวา


การนั่งทำงานเป็นระยะเวลานานๆหรือยกของหนักผิดท่า


          น้ำมันนวด สามารถช่วย อาการการชูของหนักหรือการนั่งปฏิบัติงานในลีลาที่ผิดจำเป็นต้องติดต่อกันเป็นเวลานานๆก็เป็นสาเหตุที่นำมาซึ่งอาการปวดกล้ามบริเวณข้างหลังส่วนบนด้านขวาได้  โดยรอบๆหลังส่วนบน เว้นแต่กล้ามเนื้อข้างหลังแล้ว ก็ยังเชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อไหล่และกล้ามเนื้อคอ เพราะฉะนั้นหากมีลักษณะอาการปวดหลังขวาที่อยู่ข้างบนจากการใช้แรงงานหนักก็มักจะมีอาการปวดคอแล้วก็ไหล่ในด้านเดียวกันร่วมด้วย ทราบอย่างงี้แล้วหากคนไหนที่ยังนั่งดำเนินงานในท่าเดิมนานๆก็ลุกขึ้นยืนมายืดเส้นยืดสายบ้างนะคะ และน่าจะนั่งให้ถูกท่าด้วย โดยท่านั่งทำงานที่ถูกต้องก็คือควรให้จอคอมพิวเตอร์อยู่ในระดับสายตาค่ะ


ความแตกต่างจากปกติของกระดูกรวมทั้งข้อ


          กระดูกรอบๆหลังส่วนบนนั้นประกอบไปด้วยกระดูกไหปลาร้า กระดูกไหล่ กระดูกสันหลัง แล้วก็กระดูกต้นแขน ซึ่งถ้าหากกำเนิดความไม่ดีเหมือนปกติกับกระดูกกลุ่มนี้ก็อาจจะส่งผลให้รอบๆหลังด้านขวาบนเกิดลักษณะของการปวดได้ โดยต้นเหตุที่ทำให้กระดูกไม่ดีเหมือนปกติก็ได้แก่ การเกิดอุบัติเหตุ หรือข้อต่อของกระดูกที่หลังส่วนบนขวาเกิดการอักเสบ นอกเหนือจากนั้นสภาวะกระดูกพรุนก็สามารถกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการปวดที่กระดูกรอบๆด้านขวาทางด้านบนได้  ระหว่างที่คนไข้โรคมะเร็งบางชนิดในระยะแพร่ อย่างโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งปอด โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งที่ต่อมไทรอยด์ และก็โรคมะเร็งไต ก็จะมีลักษณะปวดกระดูกรอบๆข้างหลังส่วนบนเช่นเดียวกัน


ความผิดแปลกของอวัยวะภายใน


          น้ำมันนวดสามารถช่วยรักษาอาการ อาการปวดหลังส่วนบนขวามิได้มีสาเหตุจากกล้ามเนื้อและก็กระดูกรอบๆข้างหลังส่วนบนเท่านั้น แต่ว่ายังอาจเป็นเพราะเนื่องจากลักษณะการเจ็บเจ็บไข้ของอวัยวะต่างๆภายในร่างกายได้ เป็นต้นว่า โรคตับ นิ่วในไตแล้วก็ในกระเพาะหรือลำไส้เล็กส่วนต้น โรคในถุงน้ำดี หรือแม้กระทั้งอาการติดโรคในไต หรืออาจจะมีการเกิดจากอาการไส้ติ่งอักเสบที่ทำให้ปวดลุกลามขึ้นรอบๆข้างหลังทางขวาก็ได้ ส่วนคุณผู้หญิง หากมีอาการปวดที่ข้างหลังส่วนบนขวา โน่นบางทีอาจเป็นสัญญาณของซีสต์ในรังไข่ การติดเชื้อของท่อรังไข่ หรือการมีครรภ์นอกมดลูกที่รอบๆท่อรังไข่ได้อีกด้วยจ้ะ


โรคที่เกี่ยวกับปอด


          ปอดเป็นอวัยวะที่อยู่ส่วนบนของร่างกายซึ่งตรงกับหลังส่วนบนพอดิบพอดี โดยเหตุนี้เมื่อปอดมีความผิดธรรมดาก็สามารถนำไปสู่อาการปวดข้างหลังส่วนบนได้ โดยอาการที่จะทำให้เกิดลักษณะของการปวดข้างหลังด้านบนขวาก็ได้แก่ โรคปอดบวม โรคมะเร็ง อาการติดโรคของเยื่อห่อปอดหรือช่องอก ยิ่งกว่านั้นอาการน้ำหลากปอด หรือแม้กระทั้งหัวใจล้มเหลว ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่อาการปวดข้างหลังด้านขวาที่อยู่ทางด้านบนได้ ด้วยเหตุดังกล่าวถ้าหากมีลักษณะอาการปวดที่หลังด้านบนขวาแบบเรื้อรังรวมทั้งร้ายแรง ควรจะรีบไปพบหมอให้เร็วที่สุดค่ะ

Tags : น้ำมันนวดสมุนไพร

9

การใช้นำมันนวดตามจุดต่างๆ
น้ำมันนวด เป็นวิธีดูแลสภาพผิวและสุขภาพที่ขอแนะนำเป็นการนวด ที่สกัดจากสมุนไพรและพืชต่างๆที่อุดมไปด้วยประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพ โดนการนำสารสกัดกลิ่นและเนื้อน้ำมันเหล่านั้นมานวดตามจุดต่างๆของร่างกายด้วยกลิ่นหอม รวมทั้งสัมผัสของของน้ำมันที่เต็มไปด้วยธรรมชาติจะเข้าไปช่วยกระตุ้นระบบต่างๆของร่างกาย ลดความตึงเครียด ทำให้เราผ่อนคลาย รวมไปถึงช่วยในเรื่องของความชุ่มชื้นและผิวพรรณให้ดูดีขึ้นด้วย วันนี้เราจะพาไปดูประโยชน์ของการนวดน้ำมันว่ามีประโยชน์ในด้านใดบ้าง
1.การนวดน้ำมันจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทให้ทำงานดีมากขึ้น ลดการตึงเครียด ทำให้เราผ่อนคลาย
2.การนวดน้ำมัน จะช่วยกระตุ้นการทำงานของโลหิต ให้ทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งสามารถหล่อเลี้ยงออกซิเจนและสารอาหารต่างๆทั่วร่างกายอย่างครบถ้วน ป้องกันโรคต่างๆรวมทั้งความดันโลหิตได้ดีอีกด้วย
3.ความยืดหยุ่นให้ร่างกาย ด้วยการเข้าไปซ่อมแซมและฟื้นฟูระบบกล้ามเนื้อ ข้อต่างๆในร่างกายทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
4.เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เข้าไปกำจัดสารพิษ ทั้งภายในร่างกายและสภาพผิว ช่วยผลัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดออกมา ทำให้ผิวของคุณเรียบเนียนชุ่มชื้น ดูมีน้ำมีนวล
5.ช่วยในเรื่องการนอนหลับให้ดีกว่าเดิม น้ำมันนวด ผ่อนคลายสมองและร่างกายต่างๆ ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้นอนหลับสนิทได้ดีว่าเดิม
ปวดเมื่อยร่างกายทีไร สิ่งแรกที่ทุกคนนึกถึงก็คงอยากจะพาตัวเองไปนอนเอนกาย รับบริการนวดแผนไทย นวดน้ำมัน หรือนวดอะไรก็ได้สักอย่างเพื่อให้เราคลายความปวดเมื่อยเนื้อตัว แต่นอกจากการนวดจะช่วยให้เราสบายตัวขึ้น ว่าไม่ใช่แค่คลายความปวดเมื่อยที่การนวดสามารถทำให้เราได้ แต่ยังมีอีก 6 ประโยชน์ที่น่าแปลกใจและดีใจไปพร้อม ๆ กัน ที่ร่างกายจะได้รับผลดีผ่านการบีบนวดเนื้อตัวตามนี้เลยค่ะ


ลดอาการปวดหัวไมเกรน


          สำหรับคนที่เคยทรมานจากอาการปวดหัวไมเกรนอยู่บ่อยครั้ง แพทย์ก็ได้แนะนำให้ลองไปนวดบำบัดสุขภาพดูบ้าง เพราะจากผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ พบว่า ผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรนที่ได้รับบริการนวดตัวติดต่อกัน 2-3 สัปดาห์ จะสามารถบรรเทาอาการข้างเคียงของโรคไมเกรน และนอนหลับได้อย่างสนิทขึ้นด้วยค่ะ
 บรรเทาอาการกล้ามเนื้ออักเสบจากการออกกำลังกาย
          เวลาที่ออกกำลังกายอย่างหนัก ร่างกายจะได้รับผลกระทบเป็นอาการปวดเมื่อย หรือกล้ามเนื้ออักเสบเป็นของแถม ซึ่งการศึกษาของ Buck Institute for Research on Aging and McMaster University in Ontario, Canada ก็ได้เผยวิธีบรรเทาอาการว่า ให้ลองไปเอนกายรับบริการนวดตัวดูบ้าง เพราะน้ำมันนวด จะช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดจากการออกกำลังกายได้ดีเทียบเท่าการรับประทานยาคลายกล้ามเนื้อยังไงยังงั้นเลยล่ะ


ดูเด็กขึ้น


          ต่อแต่นี้ไปไม่ต้องทุกข์ยากลำบากแอ๊บแบ๊วกระชากวัยอีกต่อไป เพราะเหตุว่าเพียงไปสปาให้เขานวดๆบีบๆร่างกายอยู่เสมอๆก็สามารถทำให้พวกเรามองเด็กขึ้นได้แล้ว โดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านผิวหนังก็ได้อธิบายเสริมเติมว่า การขัดหน้าหรือนวดหน้า รวมไปถึงนวดตัว เป็นการกระตุ้นให้เลือดในร่างกายไหลเวียนน้ำมันนวด ซึ่งก็ทำให้สุขภาพผิวด้วย ทั้งการนวดยังช่วยกระตุ้นลักษณะการทำงานของต่อมท่อน้ำเหลือง ให้กำจัดพิษที่อยู่ใต้ผิวหนังให้หมดไป ทำให้สารอาหารรวมทั้งวิตามินต่างๆซึมเข้าสู่เซลล์ผิวก้าวหน้าขึ้น ช่วยทำให้ผิวมองมีชีวิตชีวาเต่งตึงได้อีกครั้ง รวมถึงกำจัดริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบๆผิวหน้าได้อีกด้วยนะ


คุ้มครองอาการ PMS


          ผู้หญิงทุกคนคงจะทราบว่าอาการ PMS ก่อนมีรอบเดือนนั้นสร้างความทรมานให้กับพวกเราได้มากมายแค่ไหน แต่วันนี้เราไม่จำเป็นที่จะต้องมาวิตกกังวลกับอาการกลุ่มนี้อีกต่อไป เนื่องจากผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยของ Touch Research Institute and University of Miami Medical School พบว่า การนวดตัวสามารถคุ้มครองป้องกันอาการใกล้กันทุกชนิดตอนที่หญิงมีรอบเดือนได้อยู่หมัด ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหลัง ปวดท้อง ตัวบวม น้ำหนักขึ้น หรืออาการหงุดหงิดไม่พอใจ แต่ว่าแนวทางนวดบางทีอาจจะได้ผลดีกับผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 19-45 ปี เพียงแค่นั้นนะคะ


ลดอาการข้างๆของโรคมะเร็ง


          ผลการค้นคว้าจากมหาวิทยาลัยบอสตันเปิดเผยว่า คนป่วยโรคมะเร็งระยะแพร่ระบาดที่ได้รับการนวดตัว จะสามารถนอนได้ดีขึ้น บรรเทาลักษณะของการเจ็บปวด รวมถึงมีคุณภาพชีวิตที่ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับผลจากการวิจัยของ Memorial Sloan-Kettering Cancer Center in New York City ในปี 2004 ที่เปิดเผยว่า คนป่วยโรคมะเร็งระยะแพร่ จะทรมานจากลักษณะการเจ็บปวดลดน้อยลง อาเจียนน้อยครั้ง หรือไม่อาเจียนเลย รู้สึกแจ่มใสขึ้น ความดันดีกว่าเดิม แล้วก็เครียดจากลักษณะการป่วยน้อยลง หลังจากได้รับการบำบัดด้วยวิธีการนวด


ทุเลาอาการปวดเรื้อรัง


          น้ำมันนวด ผู้ชำนาญทางด้านกายภาพบำบัดได้บอกเล่าถึงประสบการณ์ของตนให้ฟังว่า ผู้ที่มีลักษณะปวดเรื้อรัง ยกตัวอย่างเช่น ปวดตามข้อ โรคข้ออักเสบ และก็ลักษณะของการปวดปวดเมื่อยเรื้อรังอื่นๆจะคลายอาการเจ็บปวดเหล่านี้ลงไปได้มาก หลังจากได้รับบริการนวดอย่างแม่นยำต่อเนื่องกันเพียงแต่ 2-3 ครั้งเพียงเท่านั้น เพราะว่าน้ำมันนวด ใช้ได้อย่างถูกจุด จะช่วยบรรเทาอาการเกร็งของกล้ามเนื้อในส่วนนั้นๆได้อย่างเร็ว จึงสามารถทุเลาอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อบริเวณนั้นได้อย่างทันใจนั่นเองค่ะ

10

มะนาว
ชื่อสมุนไพร มะนาว
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ส้มมะนาว (ภาคกลาง),ส้มท้องนาว (ภาคใต้) ,สีมานีปีห์ (มลายู) ,หมากฟ้า (ไทยใหญ่) , โกรยชะม้า (เขมร) , มะเน้าเลย์ , มะนอเกละ , ปะนอเกล (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน) , ปะโหน่งกเงินลยาน (กะเหรี่ยง จังหวัดกาญจนบุรี)
ชื่อสามัญ  Common lime, Lime , Sour lime
ชื่อวิทยาศาสตร์  Citrus aurantifolia (Christm. et Panz.) Swing.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Limonia aurantifolia Christm. & Panzer.
ตระกูล  Rutaceae
ถิ่นกำเนิด เชื่อกันว่ามะนาวเป็นพืชประจำถิ่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพราะเหตุว่าผู้ที่อยู่ในภูมิภาคนี้ รู้จักการใช้ประโยชน์จากมะนาวกันเป็นอย่างดีมาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว ซึ่งหนึ่งในซึ่งก็คือเมืองไทย แม้กระนั้นมีการค้นพบอีกชิ้นหนึ่งที่มั่นใจว่ามะนาวมีแหล่งกำเนิดในประเทศอินเดียทางเหนือ รวมทั้งเขตเชื่อมต่อกับประเทศพม่า รวมทั้งทางภาคเหนือของมาเลเซีย (แต่ว่าน่าแปลกที่ไม่เจอมะนาวในป่าของไทย) เดี๋ยวนี้มีการปลูกมะนาวทั่วไปในเขตร้อน และเขตอบอุ่นครึ่งหนึ่งร้อนทั่วทั้งโลกเนื่องจากว่ามะนาวสามารถขึ้นได้ในที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำ แล้วก็ทนต่อดินเนื้อละเอียดได้ดีกว่าส้ม
ลักษณะทั่วไป มะนาวเป็นไม้ผลยืนต้นขนาดเล็กมีลักษณะเป็นพุ่มมีความสูงเฉลี่ย 2-5 เมตร ลำต้นมีลักษณะโค้งงอไม่ค่อยแข็งแรง เปลือกของลำต้นมีสีน้ำตาลคละเคล้าเทา กิ่งอ่อนของมะนาวมีสีเขียวอ่อน เมื่อแก่ สีจะเข้มขึ้นจนเป็นสีน้ำตาลส่วนกิ่งที่แก่มากจะเป็นสีเทา การออกของกิ่งก้านไม่ค่อยเป็นระเบียบ บนลำต้นและแขนงจะมีหนาม หนามมีลักษณะแหลมมีทั้งหนามสั้นรวมทั้งหนามยาวมีสีเขียวเข้มแล้วก็สีเขียวอมเหลือง ส่วนรอบๆปลายหนามีสีน้ำตาล เมื่อแก่ขึ้นหนามจะแห้งตามไป
                ใบของมะนาวมีลักษณะเป็นใบโดดเดี่ยว เป็นมีแผ่นใบอันเดียว ใบมีขนาดเล็กกว้างราว 3-6 เซนติเมตร ยาวโดยประมาณ 6-12 เซนติเมตรรูปร่างเป็นแบบรีหรือทรงไข่ ฐานใบมีลักษณะกลม ปลายใบมีรูปแหลม ป้าน ขอบของใบเป็นคลื่น หรือเป็นหยักละเอียด ก้านใบสั้นแล้วก็มีปีกใบแคบหรือบางทีอาจไม่มีปีกใบก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับจำพวกมะนาว ใบอ่อนมีสีเขียวจางเกือบจะเป็นสีขาว ใบแก่มีสีเขียวเข้ม ผิวใบด้านบนละเอียดวาวส่วนผิวใบด้านล่างค่อนข้างหยาบแล้วก็มีสีจางกว่า เมื่อกระทำการขยี้ใบจะมีกลิ่นฉุน
                ดอกมะนาวอาจเกิดเป็นดอกคนเดียวหรือช่อก็ได้ มีในขณะที่เป็นดอกบริบูรณ์และไม่บริบูรณ์ ดอกจะออกรอบๆซอกใบและก็ปลายกิ่ง ดอกมะนาวมีขนาดเล็ก ดอกที่ตูมจะมีขนาดความยาว 1-2 ซม. กลีบเลี้ยงมีสีเขียวเป็นรูปถ้วยมี 4-6 หยัก ส่วนกลีบดอกมีสีขาว และก็ด้านท้องกลีบดอกอาจมีสีม่วงอมแดงเจืออยู่ด้วย กลีบดอกมีลักษณะเป็นรูปถ้วย มีจำนวน 4-5 อัน ปริมาณกลีบในแล้วก็กลีบนอกมีจำนวนเท่าๆกัน แต่ละกลีบมีขนาด 0.8-1.2 ซม. ดอกมะนาวมีเกสรตัวผู้จำนวนมากถึง 20-40 อัน เชื่อมติดกันเป็นกรุ๊ป กลุ่มละ 4-8 อัน เกสรตัวเมียมีรังไข่รูปร่างเป็นทรงกระบอก ใน 1 ดอก จะมีรังไข่ราว 9-12 อัน
                ผลมะนาวมีรูปร่างนาๆประการตามจำพวกของประเภท มีทั้งรูปร่างยาวรี รูปไข่ และรูปร่างกลม ที่ก้นผลมีลักษณะเป็นจุกหรือปุ่มเล็กๆผลโดยปกติมีขนาดความยาว 3-12 ซม. เปลือกมักษณะตะปุ่มตะป่ำ และก็มีต่อมน้ำมันเปลือกผิว ผิวเปลือกเมื่อแหลม ใส่อยู่เป็นจำนวนมาก เนื้อมะนาวมีสีเหลืองอ่อน มีรสเปรี้ยวและมีกลิ่นหอมเม็ด ขนาดเล็กคล้ายรูปไข่ ด้านปลายหัวจะแหลม ข้างในเม็ดมีเยื่อสีขาว
การขยายพันธุ์  มะนาวเป็นพืชที่สามารถปลูกก้าวหน้าในดินแทบทุกจำพวก ไม่ว่าจะเป็น ดินเหนียว ดินทราย แต่ว่าถ้าเกิดต้องการจะปลูกมะนาว ให้เจริญเติบโตดี มี ผลเยอะ และก็คุณภาพดี ก็น่าจะปลูกในพื้นที่ที่เป็นดินที่ร่วนซุย มีการระบาย น้ำดี มีอินทรียวัตถุผสม อยู่มาก รวมทั้งควรที่จะเลือกพื้นที่ที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ
ส่วนการขยายพันธุ์มะนาวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี เป็นต้นว่า การตอนกิ่ง การทาบกิ่ง แล้วก็การต่อว่าดตา แต่แนวทางที่เป็นที่นิยมสำหรับการแพร่พันธุ์มะนาวมากที่สุดคือ การตอนกิ่ง โดยมีแนวทางดังนี้

  • เลือกกิ่งที่ไม่แก่หรืออ่อนเกินไปและไม่เป็นโรคหรือมีแมลงกัดกิน ยาวราว 30-50 ซม. และมีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 0.5 เซนติเมตรขึ้นไป
  • ตัดหนามและใบในบริเวณที่จะควั่นกิ่งออกราวๆ 5 เซนติเมตร
  • ควั่นกิ่งออกเป็น 2 รอยให้ลึกถึงแก่นไม้ห่างกัน 1-2 เซนติเมตร
  • ขูดเนื้อเยื่อเจริญก้าวหน้าออกให้หมด
  • ห่อหุ้มด้วยขุยมะพร้าวที่มีความชื้นหรือใช้ตุ้มตอนสำเร็จ มัดเปาะหัวด้านหลังให้แน่น แล้วทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 30-45 วัน เมื่อรากออกมาแล้วก็ใช้กรรไกรตัดกิ่งตัดเพื่อนำไปแช่น้ำกระทั่งอิ่มตัว
  • นำไปชำต่อในถุงดำขนาด 5x8 นิ้ว ที่ผสมดิน 1 ส่วน แกลบ 1 ส่วน และก็เมื่อกิ่งที่ชำเดินรากได้ดิบได้ดีในถุงสีดำและก็แข็งแรงแล้วหลังจากนั้นก็ให้นำไปปลูกถัดไป
การเตรียมพื้นที่ปลูก

  • พื้นที่ลุ่ม จัดเตรียมพื้นที่โดยทำคันนาให้มีความกว้างโดยประมาณ 6-8 เมตร ส่วนสูงให้พินิจจากปริมาณน้ำที่เคยท่วมสูงโดยให้อยู่สูงขึ้นยิ่งกว่า แนวระดับอุทกภัย 50 ซม. แทงร่องหรือซอกซอยร่องทำแต้มน้ำเพื่อ ระบายน้ำเข้าออก ขนาดร่องน้ำกว้าง 1.5 เมตร ลึก 1 เมตร พื้นที่ร่องกว้าง 0.5-0.7 เมตร ใช้ระยะปลูก 5X5 เมตร
  • พื้นที่ดอน ควรจะไถพรวนเพื่อกำจัดวัชพืช และทำให้ดินที่ร่วนซุย ใช้ระยะปลูก 4 x 4 – 6 x 6 เมตร ดังนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน
กรรมวิธีปลูก
ควรจะปลูกภายในช่วงต้นฤดูฝน ควรจะขุดหลุมปลูก ให้มีขนาดกว้างและลึกราว 50 เซนติเมตร ผสมดิน ปุ๋ยมูลสัตว์ และปุ๋ยร็อคฟอสเฟตเข้าด้วยกัน ในหลุมให้ สูงราว 2 ใน 3 ของหลุม ยกถุงกล้า ต้นไม้วางในหลุม โดยให้ระดับของดินในถุงสูงยิ่งกว่า ระดับดินปากหลุมน้อย ใช้มีดที่คม กรีดถุง จากก้นถุงขึ้นมาถึงปากถุงทั้งยัง 2 ด้าน (ช้ายรวมทั้งขวา) ดึงถุงก๊อบแก๊บออก โดยระวังอย่าให้ดินแตก กลบดินที่เหลือลงในหลุม กดดินรอบๆโคนต้นให้แน่น ปักไม้หลักและก็ผูกเชือกยึด เพื่อคุ้มครองลมพัดโยก หาวัสดุคลุมดินรอบๆโคนต้น ตัวอย่างเช่น ฟางข้าว ต้นหญ้าแห้ง รดน้ำให้โชก ทำร่มเงา เพื่อช่วยซ่อนแสงแดด
การกระทำรักษา การให้น้ำ ควรมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยยิ่งไปกว่านั้น ในช่วง ที่ปลูกใหม่ๆควรจะให้น้ำวันละครั้งเป็นอย่างน้อย (กรณีฝนไม่ตก) หลังจากปลูกราว 15 วัน มะนาวสามารถตั้งตัวได้แล้ว ให้น้ำเดือนละ 2-3 ครั้ง แล้วก็ควรจะหา วัสดุมาหุ้มดินรอบๆโคนต้น เพื่อช่วยรักษาความชื้น                ควรจะเริ่มงดให้น้ำ ตั้งแต่ตอนมีนาคม เป็นต้นไป จนถึงช่วงมีดอก เพื่อให้มะนาวสะสม อาหารให้สูงถึงระดับที่สามารถสร้างตาดอกได้ ปกติมะนาวจะออกดอก เมษายน-พฤษภาคม หลังจากมะนาวออกดอก แล้วก็กำลังติดผลอ่อน เป็นตอนๆที่มะนาวต้องการน้ำมากมาย เพื่อใช้เพื่อการเติบโต ของผล

     ส่วนพันธุ์มะนาวที่มีการปลูกกันมากมายในไทย ดังเช่น

  • มะนาวไข่ ผลกลม หัวด้านหลังยาวเหมือนมะนาวหนัง เมื่อโตเต็มกำลังผลมีลักษณะกลมมน เปลือกบางผลโต กว่ามะนาวหนัง
  • มะนาวแป้น ผลใหญ่ ค่อนข้างจะกลมแป้น เปลือกบาง มีน้ำมาก นิยมใช้บริโภคมากยิ่งกว่าพันธุ์อื่นๆเชิงพาณิชย์จะปลูกมะนาวชนิดแป้นดกพิเศษ สามารถบังคับให้ออกฤดูแล้งได้ง่าย
  • มะนาวหนัง ผลอ่อนกลมยาวหัวด้านหลังแหลม เมื่อโตสุดกำลังผลจะมีลักษณะกลมค่อนข้างจะยาว มีเปลือกดก ทำให้รักษาผลประโยชน์นาน


ส่วนประกอบทางเคมี น้ำจากผลมีกรด citric acid, malic acid, ascorbic acid,  ผิวมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยที่มาจากการกลั่นผิวผล จำนวนร้อยละ 0.3-0.4 ประกอบด้วยสารต่างๆได้แก่  d-limonene (42-64%), alpha-berpineol (6.81%), bergamotene ผสมกับ terpinen-4-ol (3%),  alpha-pinene          citric acid       
(1.69%), geraniol (0.31%), linalool,  terpineol, camphene, bergapten (furanocoumarin)    ใบมะนาวเมื่อนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการ    camphene
ต้มกลั่น (hydrodistillation) ได้น้ำมันหอมระเหยปริมาณร้อยละ 0.27  องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันมีสารต่างๆเป็นต้นว่า  6-methyl-5-hepten-2-one (3.19), limonene (44.82), neral (4.95), geranial (7.66) , geranyl acetate (8.98), caryophyllene oxide (2.31) ส่วนข้อมูลทางโภชนาการของมะนาวมีดังนี้

  • พลังงาน 30 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 10.5 กรัม
  • น้ำตาล 1.7 กรัม
  • เส้นใย 2.8 กรัม terpineol
  • ไขมัน 0.2 กรัม
  • โปรตีน 0.7 กรัม
  • วิตามินบี 1 0.03 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 0.02 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 3 0.2 มก.
  • วิตามินบี 5 0.217 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 6 0.046 มก.
  • วิตามินบี 9 8 ไมโครกรัม
  • วิตามินซี 29.1 มก.
  • แคลเซียม 33 มก.
  • เหล็ก 0.6 มก.
  • แมกนีเซียม 6 มก.
  • ธาตุฟอสฟอรัส 18 มิลลิกรัม
  • โพแทสเซียม 102 มิลลิกรัม
  • โซเดียม 2 มก. ที่มา : Wikipedia
ประโยชน์/คุณประโยชน์
น้ำมะนาวมีคุณค่าสำหรับการเป็นสารให้ความเปรี้ยว ผิวมะนาวมีกลิ่นหอมยวนใจจากน้ำมันหอมระเหย มะนาวเป็นเครื่องปรุงรสอาหารไทยที่ขาดเสียมิได้ เป็นส่วนประกอบรสเปรี้ยวหลักของน้ำพริก ตำส้ม ยำทุกชนิด ลาบและอาหารไทยอีกอีกมากมาย เมืองนอกใช้มะนาวในของคาวหวาน ได้แก่ ในพายมะนาวของเมืองฟลอริด้า อเมริกา
น้ำมะนาวนอกจากใช้ปรุงรสเปรี้ยวในของกินหลาย จำพวกแล้ว ยังนำมาใช้เป็นเครื่องดื่ม ผสมเกลือ แล้วก็น้ำตาล เป็นน้ำมะนาว ซึ่งมีชื่อเสียงกันดีในประเทศไทย รวมทั้งต่างแดนทั่วโลก นอกจากนี้เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์บางจำพวกยังนิยมฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆเสียบไว้กับขอบแก้ว เพื่อใช้แต่งรส
โดยภายในผลมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยถึงร้อยละ 7 น้ำมะนาวจึงมีสาระสำหรับใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาสำหรับทำความสะอาด เครื่องหอม การบำบัดด้วยกลิ่น (aromatherapy) หรือน้ำยาสำหรับล้างจาน
ยิ่งกว่านั้นยังมีการใช้ประโยชน์จากมะนาวด้านอื่นๆอีกเช่น หุงข้าวให้ขาวและก็อร่อยขึ้น ด้วยการใช้น้ำมะนาวราว 2-3 ช้อนนำไปซาวข้าว  ทอดไข่ให้ฟูแล้วก็นุ่ม มะนาว 4-5 หยดจะช่วยได้  มะนาวช่วยลดเหม็นคาวจากปลาเมื่อทำครัวแล้วก็ทำให้ปลาอาจรูปไม่เหลว เมื่อใช้มีดผ่าหัวปลี มีดจะมีสีม่วงคล่ำ ล้างออกตรากตรำ เอามานาวที่ผ่าแล้วมาเช็ดตามใบมีด จะช่วยให้มีดสะอาดเหมือนเดิม  การเชื่อมกล้วยหักมุกให้น่าอร่อย เมื่อน้ำตาลเดือดเป็นยางมะตูมแล้ว ให้บีบมะนาวครึ่งซีกลงไป จะช่วยทำให้กล้วยใส น่าอร่อยเพิ่มมากขึ้น  มะนาว 2-3 ลูกใส่ไว้ด้านในถังข้าวสารช่วยป้องกันมอดได้  ส่วนการเปลี่ยนรูปมะนาว มะนาวดัดแปลงได้ ดังเช่น น้ำมะนาวทำกับข้าว มะนาวแช่อิ่มตากแห้ง น้ำมะนาวเข้มข้น มะนาว ผง เครื่องดื่มผสมน้ำมะนาว แยมมะนาว เยลลีมะนาว แยมเปลือกมะนาว แยมนะทุ่งนาวดอง มะนาวดองเค็ม มะนาวหวาน กิมจ้อมะนาว เปลือกมะนาวสามรส เปลือกของมะนาวเส้นปรุงรส เปลือกของมะนาวเชื่อม เปลือกของมะนาวแช่อิ่ม มาร์มาเลดมะนาว ฯลฯ
ส่วนสรรพคุณทางยานั้นระบุว่า แบบเรียนยาไทยผิวมะนาวจัดอยู่ใน “เปลือกส้ม 8 ประการ” มี ผิวส้มเขียวหวาน ผิวส้มจีน ผิวส้มซ่า ผิวส้มโอ ผิวส้มจังหวัดตรังกานู ผิวมะงั่ว ผิวมะกรูด และผิวมะนาว (หรือผิวส้มโอมือ) มีสรรพคุณแก้ลมกองละเอียด กองหยาบคาย แก้เสลดโลหะ ใช้ปรุงยาหอม แก้ทางลม
           ยิ่งไปกว่านี้บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้เริ่มแรก ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา ปรากฏการใช้ผิวมะนาว ในยารักษาอาการทางระบบไหลเวียนเลือด (แก้ลม) ปรากฏตำรับ”ยาหอมเทวดาจิตร” มีส่วนประกอบของผิวมะนาว อยู่ใน ”เปลือกส้ม 8 ประการ” ร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณสำหรับเพื่อการแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืด ตาลาย ใจสั่น คลื่นเหียนอาเจียน อาเจียน แก้ลมจุกแน่นในท้อง
                ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันระบุถึงคุณประโยชน์ของมะนาวว่า สารดี-ลิโมนิน (d-limonin) เป็นสารที่กระตุ้นให้เกิดความขมในน้ำมะนาว น้ำมันผิวมะนาว (lime oil) พบได้ทั่วไปบริเวณผิวเปลือกของมะนาวมีสารดี-ลิโมนิน เป็นส่วนประกอบหลักเกินกว่าร้อยละ 90 พบว่าน้ำมันผิวมะนาว มีคุณสมบัติป้องกันและก็รักษาโรคมะเร็งหลายประเภท
คนตะวันตกทั่วไปมักกินน้ำส้ม หรือน้ำจากผลพืชเชื้อสายส้ม เช่น ส้มโอ หรือมะนาว ประกอบกับอาหารมื้อเช้า น้ำผลไม้พวกนี้มีวิตามินซี รวมทั้งมีสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoid) มีสารเฮสเพอริดิน (hesperidin) รูทิน (rutin) และที่นาริงจิน (naringin) และก็ลิโมนิน เป็นฟลาโวนอยด์หลักของพืชตระกูลส้ม จากนี้จะเรียกสารกลุ่มนี้ว่าฟลาโวนอยด์ส้ม (citrus bioflavonoid)
สารกรุ๊ปฟลาโม้นอย์ส้มนี้มีรายงานทางด้านการแพทย์ตะวันตกว่าใช้สำหรับการรักษาไข้มาลาเรีย โรครูมาติสม์เรื้อรังรวมทั้งโรคเกาต์ ใช้ในการคุ้มครองโรคเลือดออกตามไรฟัน คุ้มครองการตกเลือดข้างหลังคลอด และช่วยทุเลาอาการระคายคอจากการตำหนิดเชื้อรวมถึงโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งโรคที่เกิดจากการได้รับวิตามินซีในของกินไม่พอ ซึ่งอาจจะทำให้มีลักษณะอาการของโรคเกิดขึ้นข้างใน 8-12 อาทิตย์ คนเจ็บมักมีลักษณะคล้ายเจ็บป่วย อ่อนล้า ง่วงซึม โลหิตจาง ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บกระดูก มีแผลบวมช้ำหรือบวมง่าย มีจุดเลือดออกแดงๆตามผิวหนัง กำเนิดโรคทางปริทันต์ เป็นแผลแล้วหายยาก อารมณ์แปรปรวน หรือมีภาวะซึมเศร้า สำหรับคุณประโยชน์ซึ่งมาจากน้ำมะนาวต่อโรคนี้ มีงานค้นคว้าวิจัยเมื่อก่อนที่ให้ผู้ป่วยโรคนี้กินส้มกับมะนาวเหลือง พบว่าผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์และก็เร็ว เมื่อเทียบกับผู้ป่วยอีกกรุ๊ปที่รับประทานอาหารประเภทอื่น นอกจากนี้ในน้ำมะนาวยังมีกรด citric ซึ่งมีรสเปรี้ยว จะกระตุ้นให้มีการขับน้ำลายออกมาทำให้เปียกแฉะคอ จึงช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้
แบบ/ขนาดวิธีใช้
อาการไอ  ระคายคอจากเสมหะใช้น้ำจากผลที่โตเต็มกำลัง  เพิ่มเติมเกลือน้อย  จิบเสมอๆหรือ จะทำน้ำมะนาวเพิ่มเกลือแล้วก็น้ำตาลบางส่วน           อาการท้องอืดท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด   ใช้เปลือกผลสด 1/2-1 ผล ฝานเป็นชิ้นเล็กๆบางๆชงด้วยน้ำเดือด ปิดฝาทิ้งไว้ 5-10 นาที ดื่มแม้กระนั้นน้ำขณะมีลักษณะ หรือหลังรับประทานอาหาร 3 เวลาใช้มะนาว 1 ผล บีบเอาน้ำมะนาวมาชงกับน้ำร้อนดื่มหรือใช้มะนาวฝานบางๆจิ้มเกลือกินจะช่วยขับเสมหะได้ตอนเช้าหลังตื่นนอน ดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว บีบมะนาว 1/4 ผล (หรือใส่เกลือบางส่วน) จะช่วยบรรเทาท้องผูก รวมทั้งช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกายน้ำมะนาวผสมผงกำมะถันใช้ทาก่อนนอน แก้อาการกลาก โรคเกลื้อน หิดใช้น้ำมะนาวทาที่ตุ่มคัน ทิ้งไว้ให้แห้ง ล้างน้ำสบู่แล้วถูให้แห้ง แล้วก็ใช้แป้งทาตุ่มคัน แก้น้ำกัดเท้าในด้านความงดงาม ผลัดเซลล์ผิว ลดรอยด่างดำ ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ คนจะกว่าจะเข้ากัน ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้สักครู่ ล้างออกโดยใช้น้ำสะอาดแล้วดูดซึมให้แห้ง ทำอาทิตย์ละครั้ง ผิวหน้าจะดูสดใส หรือใช้น้ำมะนาวผสมน้ำแช่อาบใช้เพื่อการแก้ไข้ทับเมนส์ ด้วยการเอาใบมะนาวโดยประมาณ 100 ใบมาต้มรับประทานช่วยแก้ลิ้นเป็นฝ้า ด้วยการใช้สำลีชุบน้ำมะนาวขัดถูที่ลิ้นวันละ 2-3 ครั้ง
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา การเรียนรู้สัตว์ทดลองในหนู พบว่าเมื่อให้สารเฮสเพอริดินซึ่งเป็นฟลาโวนอยด์หลักจากเปลือกในพืชตระกูลส้มกับหนูไขมันสูง ส่งผลเพิ่มไขมันที่ดี (เอชดีแอล-คอเลสเตอรอล) ลดไขมันไม่ดี (แอลดีแอล-คอเลสเตอรอล) ลดปริมาณไขมันรวมและก็ไตรกลีเซอไรด์ ในหนูดังที่กล่าวถึงมาแล้ว รวมทั้งมีผลลดระดับความดันเลือดและขับเยี่ยวในหนูความดันสูง การทดลองในห้องปฏิบัติในแคนนาดาการพบว่า ฤทธิ์ดังที่กล่าวผ่านมาแล้วของฟลาโวนอยด์ส้มมีสาเหตุมาจากผลของการกระตุ้นลักษณะการทำงานของยีนรีเซปเตอร์ไขมันไม่ดี (แอลดีแอล) ในตับในตำแหน่งที่ควบคุมโดยสเตอรอคอยล (sterol regulatory element, SRE)
ในอเมริกา การค้นคว้าในสัตว์ทดลองพบว่า ฟลาโวนอยด์ส้มสองกลุ่ม ยกตัวอย่างเช่นกลุ่มเฮสเพอริดิน รวมทั้งกลุ่มโพลีมันข้นทอกสิเลตฟลาโวน (PMFs) มีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอลในพลาสม่าของสัตว์ทดสอบ ซึ่งส่งเสริมผลงานวิจัยในหนูถีบจักรของแคนาดา
เมืองจีน งานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยพบว่า ทุ่งนาริงจิน แล้วก็เฮสเพอริดินซึ่งเป็นฟลาโวนอยด์ส้มมีฤทธิ์กระตุ้นลักษณะการทำงานของยีนอะดีโพเนกทิน (adiponectin) ซึ่งเป็นยีนสำคัญในเมตาบอลิซึมของกลูโคสและก็ไขมันที่เกี่ยวเนื่องกับการสร้างพลัคอุดตันของหลอดเลือดและก็กรรมวิธีอักเสบ ผลการศึกษาพูดว่าฟลาโวนอยด์ส้มอีกทั้ง 2 ประเภทแสดงผลต้านทานการเกิดพลัคโดยกระตุ้น perovisome proliferator-activated receptor (PPAR) และยีนอะดีโพเนกทินในเซลล์ไขมันอะดีโพไซต์
นอกเหนือจากนี้ สารทั้งสองยังมีฤทธิ์เอสโทรเจนอย่างอ่อน มีผลต่อการผลิตไนตริกออกไซด์ในเซลล์ผนังหลอดเลือดผ่านการกระตุ้นรีเซปเตอร์ของเอสโทรเจน จึงมีฤทธิ์คุ้มครองป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นเหตุให้สนับสนุนการกินมะนาว แล้วก็ฟลาโวนอยด์ส้มเพื่อลดจำนวนคอเลสเตอรอลในเลือด ปกป้องโรคเส้นโลหิตหัวใจ โดยเฉพาะในหญิงวัยทอง
งานศึกษาเรียนรู้วิจัยหนึ่งพบว่า น้ำมะนาวเข้มข้น (concentrated lime juice, CLJ) มีฤทธิ์กระตุ้นเซลล์โมโนนิวเคลียร์ในระบบภูมิคุ้มกัน และก็โปรตีนในน้ำมะนาวเข้มข้นมีฤทธิ์ต้านทานการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง การเรียนรู้ในห้องแลปในรัฐเท็กซัสรวมทั้งแคลิฟอเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า สารกรุ๊ปฟลาโวนอยด์ส้มมีฤทธิ์ต่อต้านออกซิเดชั่นพอควร แต่ว่าต่ำยิ่งกว่าฟลาโวนอยด์ในพืชเชื้อสายขิง มีบทความทางด้านการแพทย์บอกว่า ฟลาโวนอยด์ส้มยับยั้งการก้าวหน้าของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ปอด โพรงปาก กระเพาะ และโรคมะเร็งเต้านมจากการทดลองในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดสอบหลากหลายประเภท แม้กระนั้นยังไม่เจอผลการศึกษาวิจัยทางคลินิก
ส่วนฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของมะนาวที่เกี่ยวกับแก้เจ็บคอมีดังต่อไปนี้  ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย มีการทำการวิจัยผลของทั้งน้ำมันหอมระเหยแล้วก็สารสกัด พบว่า น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ Bacillus cereus และ E. coli สารสกัด 80% เอทานอลจากเปลือกผิว มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus และ Bacillus cereus สารสกัดจากเมล็ดมีฤทธิ์ยั้งเชื้อ Bacillus subtilis, E. coli. Pseudomanas cichorii และ Salmonella typhimurium สารสกัดเอทานอลจากส่วนกิ่ง (branches) ความเข้มข้น 20 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ไม่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus, Bacillus subtilis แล้วก็ Streptococcus faecalis
การศึกษาทางพิษวิทยา การทดสอบความเป็นพิษ  เมื่อให้น้ำสกัดจากใบมะนาวทางปาก หรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนูเม้าส์ ด้วยขนาด 10 กรัม/กก.น้ำหนักตัว (เท่ากันกับ 1,852 เท่าของขนาดที่ใช้ในคน) ไม่พบความเปลี่ยนไปจากปกติอะไรก็ตามเมื่อป้อนสารสกัดรากมะนาวด้วยน้ำครั้งเดียวทางปาก ในขนาด 5 กรัม/โลน้ำหนักตัว ให้หนูแรทไม่พบว่าเป็นพิษทั้งยังแบบทันควันและก็ครึ่งเรื้อรัง แต่พบว่าในหนูที่ได้รับสารสกัด 1.2 กรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว/วัน  มีเอ็นไซม์ในตับมากขึ้นแต่ยังอยู่ในช่วงปกติ และไม่เจอความเปลี่ยนไปจากปกติของอวัยวะภายใน  ส่วนสารสกัดจากเปลือกผิวมะนาวส่งผลยับยั้งฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์  และการทดลองฤทธิ์ระคายเคืองโดยแนวทางการ Patch test พบว่าสารสกัดจากมะนาวให้ผล positive
ข้อเสนอแนะ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง

  • การทาน้ำมันมะนาวลงบนผิวหนังโดยตรงอาจไม่ปลอดภัยในคนที่มีผิวหนังแพ้ง่าย ซึ่งสามารถทำให้ผิวหนังไวต่อแสงแดดเป็นอย่างมาก โดยยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่มีผิวค่อนข้างขาว ภายหลังการใช้น้ำมันมะนาวทาลงผิวหนังจำเป็นที่จะต้องทาโลชั่นที่มีไว้สำหรับป้องกันแดดและใส่เสื้อผ้ามิดชิดเพื่อคุ้มครองป้องกันก่อนออกไปเผชิญกับแสงแดด
  • รสเปรี้ยวของมะนาวอาจจะทำให้เกิดท้องเสียหรือท้องเดินได้ถ้ากินมากจนเกินไป
  • หลังจากกินน้ำมะนาวแล้วไม่สมควรแปรงฟันในทันทีเพราะอาจจะก่อให้สารเคลือบฟันตามธรรมชาติหลุดได้
  • หากดื่มหรือรับประทานมะนาวเสมอๆและเป็นเวลานานต่อเนื่องกันอาจทำให้ฟันผุร่อนได้
  • คนที่มีภาวะโลหิตจางไม่ควรกินมะนาว เพราะเหตุว่ารสเปรี้ยวจะไปกัดฟอกเลือดนำมาซึ่งอันตรายได้
  • ยาบางชนิดที่จะถูกแปลงภายในตับ โดยมะนาวบางทีอาจส่งให้ช่วงเวลาสำหรับในการเปลี่ยนรูปของยาพวกนี้ลดน้อยลง การกินน้ำมะนาวขณะรับประทานยาบางชนิดที่เปลี่ยนรูปในตับจึงอาจส่งผลให้ส่งผลใกล้กันเยอะขึ้น อย่างเช่น ยาคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) เฟกโซเฟนาดีน (Fexofenadine) ไตรอาโซแลม (Triazolam) ด้วยเหตุดังกล่าว ก่อนกินมะนาวควรขอความเห็นแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่ด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม. 2536. พจนานุกรมสมุนไพรไทย. กรุงเทพ ฯ : พิมพ์ครั้งที่ 2, สำนักพิมพ์สุริยบรรณ.
  • รวี เสรฐภักดี.2553.คู่มือประกอบการฝึกอบรมโครงการปลูกมะนาวและการผลิตมะนาวนอกฤดู:การสร้างสวนไม้ผลยุคใหม่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน.นครปฐม
  • Sethpakdee, R. 1992. Citrus aurantifolia (Christm. & Panzer) Swingle . In: L.P.A. Oyen and Nguyen Xuan Dung (Editors): Plant Resourses of South-East Asia No 2. Edible fruits and nuts. Prosea Foundation, Bogor, Indonesia. pp. 126-128.
  • รศ.สุธาทิพ ภมรประวัติ.มะนาว ลดคลอเรสเตอรอลป้องกันโรคหลอดเลือด.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่354.คอลัมน์บทความพิเศษ.ตุลาคม.2551.
  • มะนาว.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีธิราภา แสนเสนา นพดล กิตติวราฤทธิ์ มาลิน จุลศิริ รุ่งระวี เติมศิริฤกษ์กุล. ฤทธิ์ต้านเชื้อและฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดจากผิวผลพืชตระกูลส้ม. โครงการพิเศษ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, 2536.
  • มะนาว.สมุนไพรที่ใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล http://www.disthai.com/
  • อรรถศิษฐ์  วงศ์มณีโรจน์.2553.คู่มือประกอบการฝึกอบรมโครงการปลูกมะนาวและการผลิตมะนาวนอกฤดู ดินและปุ๋ยสำหรับการปลูกมะนาวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน.นครปฐม.ไม้ผลเศรษฐกิจ.ฉบับที่102(251)/2552.วารสารเมืองไม้ผล.เทคนิคการปลูกมะนาวพันธุ์แป้นเกษตรดกพิเศษให้ออกในช่วงฤดูแล้ง.88-93 น.
  • Prabuseenivasan, S. et al. 2006. Invitro antibacterial activity of some plant essential oils. BMC Complement Altern Med 30(6):39
  • ประโยชน์ของมะนาวต่อการรักษาโรคได้ผลชัวร์หรือไม่.พบแพทย์ดอทคอม
  • อาจินต์ ปัญจพรรค์. ขุดทองในบ้าน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อนงค์ศิลป์การพิมพ์, 2524.
  • Ross SA, El-Keltawi NE, Megalla SE. Antimicrobial activity of some Egyptian aromatic plants. Fitot

11

มะขาม
ชื่อสมุนไพร มะขาม
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน ขาม (ภาคใต้) , ม่องวัวล้ง (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) , ตะคลำ (วัวราช) หมากแกง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) , อำเปียล (เขมร-สุรินทร์) , ส่าหม่อเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ซึงกัก , ทงฮ้วยเฮียง (จีน)
ชื่อสามัญ  tamarind
ชื่อวิทยาศาสตร์  Tamarindus indica Linn.
วงศ์  Fabaceae
ถิ่นเกิด เชื่อกันว่ามะขามมีบ้านเกิดเมืองนอนในแอฟริกา แถบประเทศซูตานในปัจจุบัน ต่อจากนั้นมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้นำมะขามมาปลูกในแถบอินเดีย รวมทั้งในประเทศแถเขตร้อนของเอเชียรวมทั้งประเทศแถบลาตินอเมริกา แม้ว่าจะมีหลักฐานว่ามะขามมีถิ่นเกิดดั้งเดิมอยู่ในทวีปแอฟริกา แต่ว่าสำหรับในประเทศไทยมะขามก็เข้ามา แล้วก็มีชื่อเสียงดีมากว่า 700 ปีแล้ว ดังปรากฏข้อความในแผ่นจารึกหลักที่ 1 ยุคบิดาขุนรามคำแหง ที่เอ๋ยถึงมะขามอยู่หลายแห่ง ได้แก่ ตอนหนึ่งว่า “หมากขามก็หลายในเมืองนี้คนไหนสร้างได้ไว้แก่มัน” เป็นต้น  จากหลักฐานดังที่กล่าวผ่านมาแล้วก็เลยอาจจะบอกได้ว่า มะขามเป็นพืชที่มีการกระจัดกระจายจำพวกเข้ามาสู่เมืองไทยกว่า 700 ปีมาแล้ว  ยิ่งกว่านั้นมะขามยังเป็นพืชพันธุ์ไม้พระราชทางแล้วก็ฯลฯไม้ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย
ทั้งนี้มะขามเป็นต้นไม้แข็งแรงคงทน และเป็นต้นไม้ที่แก่ยืนยาวมากประเภทหนึ่ง ในประเทศศรีลังกามีกล่าวว่าเจอมะขามที่มีอายุมากยิ่งกว่า 200 ปี ส่วนในประเทศไทย เจอมะขามยักษ์ที่วัดแค อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีขนาดลำต้น 6-7 คนโอบ มั่นใจว่าแก่กว่า 300 ปี โดยวัดแคนี้มีปรากฏชื่อในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนเณรแก้วเรียนวิชากับอาจารย์อาจจะสมภารวัดแค ว่า
“อีกทั้งพิชัยสงครามล้วนวิชาความรู้บางทีอาจจะปราบศัตรูไม่สู้ได้
      ฤกษ์พานาทีทุกอย่างไปทั้งเสกใบมะขามเป็นต่อแตน”
มีชาวสุพรรณฯ เยอะๆเชื่อว่า มะขามยักษ์ที่วัดแคในตอนนี้ เป็นมะขามต้นเดียวกันกับต้นที่สามเณรแก้วฝึกฝนเสกใบมะขามเหนือชั้นกว่าแตนในครั้งกระโน้น
ลักษณะทั่วไป  มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกึ่งกลางถึงใหญ่ สูง 6-20 เมตร เปลือกต้นสีเทา ดำ มีริ้วรอยมาก แตกกิ่งก้านสาขามาก ไม่มีหนาม ใบเป็นใบประกอบ ปลายเป็นใบคู่ ใบยาว 8-11 ซ.ม. มีใบย่อย 14-40 ใบ ใบย่อยลักษณะใบยาวปลายมนกลม ยาว 1-2,4 ซ.ม. กว้าง 4.5-9 ม.ม. ปลายใบมน หรือครั้งคราวก็เว้าเข้าเล็กน้อย ฐานใบทั้ง 2 ข้างเว้าเข้าแตกต่างกัน ตัวใบเรียบไม่มีขน ดอกออกที่ปลายก้านหรือจากซอกใบ เป็นช่อบานจากโคนไปปลาย ดอกมีกลีบห่อดอกอ่อน 1 กลีบ สีแดง ขอบมีขนสั้นสีขาว เมื่อดอกบานจะหลุดร่วงไปกลีบเลี้ยงไปกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ สีเหลืองปลายกลีบแหลมมีสีแดงอ่อนๆกลีบดอกมี 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน สีเหลืองมีลายเส้นกลีบดอกไม้สีแดงเข้ม ขอบกลีบดอกมีรอยย่นๆกลีบดอกไม้ 2 กลีบข้างล่างจะฝ่อ เล็กหายไป มีเกสรตัวผู้ 3 อัน ก้านเกสรติดกันจากส่วนกลางลงมา รังไข่มี 1 อัน เป็นฝักยาว ส่วนปลาย เป็นก้านเกสรตัวเมีย มีเม็ดมากมาย ฝักทรงกระบอก แบนน้อย ยาว 3-14 ซ.ม. กว้าง 2 เซลเซียสมัธยม เปลือกนอกสีเทา ข้างในมีเม็ด 3-10 เม็ด เมล็ดมีเปลือกนอก สีน้ำตาลปนแดงเรียบเป็นมัน มีดอกในตอนพ.ค.เป็นต้นไป ฝักแก่ในราวเดือนธันวาคม
การขยายพันธุ์  โดยทั่วไป มะขามสามารถขยายพันธุ์จะได้ด้วยเมล็ด แม้กระนั้นปัจจุบัน มะขามเริ่มมีการปลูกเพื่อการค้าขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยนิยมนำมาปลูกจากต้นพันธุ์ที่ได้จากการทำหมัน แล้วก็การแทงยอดเป็นหลัก เนื่องจากว่าสามารถได้ผลผลิตได้เร็วเพียงไม่ถึงปีข้างหลังการปลูก อีกทั้ง ต้นที่ปลูกด้วยวิธีนี้จะมีลำต้นไม่สูงราวกับการเพาะเม็ด ทำให้ง่ายต่อการจัดการ และก็การเก็บผลผลิตซึ่งการปลูกขั้นตอนต่างๆดังนี้

  • การเตรียมแปลง เตรียมแปลงด้วยการไถกลบหน้าดิน แล้วตากดิน และก็ต้นหญ้าให้ตายก่อน 1 ครั้ง ระยะตากดินนาน 7-14 วัน หลังจากนั้น ค่อยไถกลบอีกรอบ แล้วตากดินทิ้งเอาไว้อีก 5-7 วัน ก่อนจะทำการขุดหลุมปลูกลงในระยะ 8 x 8 เมตร หรือ 10 x 10 เมตร ขนาดหลุมลึก 50 ซม. กว้างยาว 50 ซม.
  • การปลูก ใช้ต้นพันธุ์ที่ได้จากการตอน หรือการเพาะเมล็ด ควรเลือกขนาดต้นประเภทที่สูงราว 0.5-1 เมตร ก่อนปลูกให้โรยตูดหลุมด้วยปุ๋ยธรรมชาติหรือปุ๋ยหมักหรืออุปกรณ์ทางการเกษตรอื่นๆร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราที่หลุมละ 1 กำมือ แล้วโกยดินลงคลุกผสมให้หลุมตื้นขึ้นมาเหลือประมาณ 25-30 ซม. ก่อนนำต้นจำพวกลงปลูก พร้อมกลบดิน รวมทั้งรดน้ำให้เปียก ต่อไป ให้นำฟางข้าวมาวางปกคลุมรอบโคนต้น
  • การดูแล การให้น้ำ ภายหลังการปลูกแล้วจะกระทำการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในระยะต้นเพื่อให้ต้นตั้งตัวได้ โดยควรจะให้น้ำในทุกๆ3-5 วัน/ครั้ง ต่อจากนั้น ค่อยให้น้อยลงมาเหลือ 3-4 ครั้ง/เดือน ดังนี้ อาจไม่ให้น้ำเลยถ้าหากเป็นตอนๆฤดูฝนไม่ต้อง


การใส่ปุ๋ย ให้ให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในระยะนี้จนกว่าต้นจะเติบโตพร้อมได้ผล ซึ่งตอนนั้นจึงเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 12-12-24 ร่วม เพื่อรีบผลผลิต ความถี่การใส่ปุ๋ยประมาณ ปีละ 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ ควรให้ปุ๋ยคอกโรยรอบโคนต้นด้วยทุกหนภายหลังจากการปลูกแล้วโดยประมาณเข้าปีที่ 2 หรือปีที่ 3 ก็เลยให้เริ่มติดผลประโยชน์
                นอกจากนี้มะขามยังสามารถปลูกได้ในประเทศแถบร้อนชื้น ดังเช่น ประเทศในแถบอเมริกากลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแอฟริกา  จึงถือว่ามะขามไม้ผลที่มีค่าทางด้านเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคโดยยิ่งไปกว่านั้นประเทศไทยและก็ประเทศอินเดียที่เป็นแหล่งปลูกมะขามขนาดใหญ่ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวพันกับมะขามจำนวนไม่ใช่น้อย
ส่วนประกอบทางเคมี
จากข้อมูลเบื้องต้นเม็ดมะขามประกอบด้วยอัลบูมินอยด์ (albuminoids)  โดยที่มีจำนวนไขมัน 14 -20%, คาร์โบไฮเดรต 59 – 60 %,น้ำมันที่ถูกทำให้แห้งเล็กน้อย  (semi-drying fixed oil) 3.9 – 20 %,น้ำตาลรีดิวซ์  (reducing sugar) 2.8%, สารที่มีลักษณะเป็นเมือก  (mucilaginous material) 60% ดังเช่น โพลีโอส (polyose) ซึ่ง       Tannin : Wikipedia
ใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า เมื่อพินิจพิจารณามองส่วนประกอบสำคัญๆพบว่าเปลือกหุ้มเม็ดมะขามประกอบไปด้วยโปรตีน 9.1% และเส้นใย 11.3% โดยที่เม็ดมะขามประกอบด้วยโปรตีน 13 % ลิปิด 7.1 % เถ้าถ่าน 4.2% รวมทั้งคาร์โบไฮเดรต 61.7%
โปรตีนหลักที่เจอในเม็ดมะขามเป็นอัลบูมิน (albumins) และโกลบูลิน  (globulins) โปรตีนจากเม็ดมะขามประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบ คือ สิสเทอีนและเมทไธโอนีน อยู่สูงถึง 4.02% เมื่อเทียบกับมาตรฐาน FAO/WHO (1991) ซึ่งตั้งค่าไว้เท่ากับ 2.50%  นอกจากนี้เปลือกหุ้มเมล็ดมะขามยังมีสารพวกอทนนิน โดยมีแถลงการณ์ว่าในเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยแทนนิน (tannins) ถึง 32% ซึ่งแทนนินนี้จำแนกประเภทได้เป็นโฟลบาแทนนิน  (phlobatannin) 35%ที่เหลือเป็นขาเตโคแทนนิน (Catecholtannin)
ส่วนในเนื้อมะขามที่ให้รสเปรี้ยวยังเจอกรดทาริทาริก (Tartaric acid)  และในใบมะขามพบกรด ทาริทาริก (Tartaric acid) และก็กรดมาลิก (Malic acid) ยิ่งไปกว่านี้ ส่วนต่างๆของมะขามจะมีเม็ดสี ซึ่งได้มีผู้นำไปใช้ประโยชน์กันอย่างกว้างขวาง โดยมะขามพันธุ์แดงมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) คริสแซนทีนิน (chrysanthemin) ส่วน Tartaric acid : Wikipedia
มะขามจำพวกอื่นๆมีเม็ดสีพวกแอนทอลแซนตำหนิน (anthoxanthin) ลูทีนโอลีน (lute olin) และก็อาปิเจนิน (apigenin) อยู่ในใบมะขามโดยประมาณร้อยละ 2 ฝักมะขามมีแอนทอคแซนติเตียนนนิดหน่อย ในดอกมะขามมีแซนโทฟิล (xanthophyll) เพียงแค่นั้น แล้วก็ในเปลือกเม็ดมะขามมีลิวโคแอนโทไซยานิดิน (leucoanthocyanidin) เป็นต้น
ส่วนค่าทางโภชนาการของมะขามีดังต่อไปนี้

  • พลังงาน 239 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 62.5 กรัม
  • น้ำตาล 57.4 กรัม Malic acid : Wikipedia       
  • เส้นใย 5.1 กรัม
  • ไขมัน 0.6 กรัม
  • โปรตีน 2.8 กรัม
  • วิตามินบี 1 0.428 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 0.152 มก. Chrysanthemin : Wikipedia       
  • วิตามินบี 3 1.938 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 5 0.143 มก.
  • วิตามินบี 6 0.066 มก.
  • วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม
  • โคลีน 8.6 มก.
  • วิตามินซี 3.5 มก. Luteolin : Wikipedia           
  • วิตามินอี 0.1 มิลลิกรัม
  • วิตามินเค 2.8 ไมโครกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 74 มก.
  • ธาตุเหล็ก 2.8 มิลลิกรัม Apigenin : Wikipedia           
  • ธาตุแมกนีเซียม 92 มก.
  • ธาตุฟอสฟอรัส 113 มก.
  • ธาตุโพแทสเซียม 628 มิลลิกรัม
  • ธาตุโซเดียม 28 มิลลิกรัม Xanthopyll : Wikipedia           
  • ธาตุสังกะสี 0.1 มิลลิกรัม


คุณประโยชน์/คุณประโยชน์ คุณประโยชน์ของมะขามสิ่งแรกที่เรามักใช้ประโยชน์กันบ่อยมากเป็นใช้บริโภคไม่ว่าจะรับประทานใหม่ๆหรือใช้ทำมะขามเปียกไว้สำหรับปรุงอาหาร มะขามแฉะมีกรดอินทรีย์อยู่สูงจึงเปรี้ยวมากมาย ใช้ประกอบอาหารไทยที่อยากได้รสเปรี้ยว ได้แก่ แกงส้ม ต้มส้ม ต้มโคล้ง และต้มยำโฮกอือ ฯลฯ นอกจากยังคงใช้สำหรับเพื่อการปรุงเครื่องจิ้มน้ำพริกต่างๆหลายอย่าง อย่างเช่น น้ำปลาหวาน หลนต่างๆน้ำพริกเผา น้ำพริกตาแดง น้ำพริกนรก และน้ำพริกคั่วแห้ง เป็นต้น
ทั้งนี้มะขามฝักอ่อนและใบมะขามอ่อน ก็เอามาปรุงอาหารได้สิ่งเดียวกัน ทั้งยังสามารถนำมะขามมาทำสินค้าดัดแปลงได้อีกหลายแบบ อาทิเช่น มะขามดอง , มะขามกวน , มะขามแช่อิ่ม , มะขามแก้ว , และก็ไวน์มะขาม ผงมะขาม , สบู่ , และก็แชมพูมะขาม ฯลฯ  ส่วนคุณประโยชน์ด้านอื่นๆก็มีอีกเช่น เนื้อไม้มะขาม สำหรับชาวไทยแล้วเขียงกว่าจำนวนร้อยละ 90 ทำมาจากไม้มะขาม เนื่องจากมีคุณสมบัติเหมาะสมกว่าไม้อื่นๆดังเช่น เหนียว เนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ไม่มีกลิ่นหรือสารพิษที่จะปนไปกับอาหาร ยิ่งกว่านั้นยังหาง่ายอละทนทานอีกด้วย นอกเหนือจากใช้ทำเขียงแล้ว ยังเหมาะกับทำครก สาก เพลา แล้วก็ดุมเกวียน ใช้กลึงหรือสลัก ถ้าเกิดเอามาเผาเป็นถ่าน จะให้ความร้อนสูง  เมล็ดมะขาม (แก่) นำมาใช้เป็นอาหารได้หลายสิ่งหลายอย่าง ดังเช่น คั่วให้สุกแล้วรับประทานโดยตรง เอามาเพาะให้แตกออกก่อน (เหมือนถั่วงอก) แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปปรุงอาหาร หรือนำไปคั่วให้ไหม้เกรียม แล้วบดละเอียด ใช้ชงดื่มแทนกาแฟ นอกจากนั้นเม็ดแห้งนำไปบดเป็นแป้งใช้ลงผ้าให้อยู่ตัวเจริญ
สำหรับสรรพคุณทางยานั้น ตามตำรายาไทยกล่าวว่า ดอก ใบและก็ฝักอ่อน ปรุงเป็นอาหารกินแก้ร้อนในฤดูร้อน แก้อาการไม่อยากกินอาหารแล้วก็อาหารไม่ย่อยในฤดูร้อนลดความดันเลือด น้ำคั้นจากใบ ใช้แก้อาหารไม่ย่อยแล้วก็ฉี่ลำบาก น้ำสุกจากใบให้เด็กกินขับพยาธิ รวมทั้งเป็นประโยชน์ในคนเป็นโรคโรคดีซ่าน ใบสด ใช้พอกบริเวณหัวเข่าหรือข้อพับทั้งหลายแหล่ที่บวมอักเสบหรือที่กลยุทธ์ขัดยอก, ฝี, ตาเจ็บ แล้วก็แผลหิด ใบแห้งบดเป็นผุยผง ใช้โรยบนแผลเน่าเปื่อยเรื้อรัง แล้วก็ใช้ผสมน้ำเป็นยากลั้วคอ ใบมีฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียได้ ใบสดมะขามใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในไส้ ใบสดมะขามช่วยรักษาหวัด อาการไอ ช่วยในการรักษาโรคบิด  ช่วยฟอกโลหิต นำมาต้มผสมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆใช้อาบหลังคลอด เปลือกต้น ฝาดสมานเป็นยาบำรุงและแก้ไข้ ,แก้ท้องเดิน , สมานแผล เนื้อหุ้มห่อเมล็ด (เนื้อมะขาม) มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆอาจเพราะว่ากรดตาร์ตาริค แต่ถ้าหากเอาไปต้มจนถึงสุก ฤทธิ์ระบายอ่อนๆนี้จะหายไป นอกนั้นยังคงใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยย่อย ขับลม ขับเสมหะ , ละลายเสมหะ  ฝาดสมาน แก้ไข้ แก้กระหายน้ำ ทำให้มีชีวิตชีวา ช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกาย  และเป็นยาฆ่าเชื้อ และให้กินในรายที่ท้องผูกเสมอๆ แก้พิษเหล้า อาหารไม่ย่อย อาเจียน จับไข้รวมทั้งท้องเดิน เนื้อในเมล็ด ใช้ถ่ายพยาธิไส้เดือน รากมะขามมีส่วนช่วยแก้อาการท้องเดิน ช่วยสำหรับในการสมานแผล รักษาโรคเริม รักษาโรคงูสวัด
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้ แก้ร้อน จากอากาศร้อน เบื่อข้าว แพ้ท้อง คลื่นไส้อ้วก ท้องผูก เด็กเป็นตานขโมย ใช้เนื้อหุ้มห่อเม็ด 15-30 กรัม ผสมน้ำ คั้นแล้วอุ่นให้กิน  แก้พิษเหล้า ขับเสลด ใช้เนื้อห่อหุ้มเมล็ด 3 กรัม ผสมน้ำตาลทรายกิน  แก้ไข้ ใช้เนื้อห่อเมล็ดแช่น้ำ ผสมน้ำตาลให้มีรสหวาน ใช้ดื่มแก้กระหายช่วยลดความร้อน ใช้เป็นยาระบาย รับประทานเนื้อห่อหุ้มเมล็ด แล้วดื่มน้ำตามมากๆใช้ใบต้มน้ำอาบ ข้างหลังคลอดและหลังฟื้นใช้ ทำให้ชื่นบาน หรือใช้อบไอน้ำ แก้หวัด คัดจมูก ขับเสมหะ แก้ท้องเฟ้อแน่น ของกินไม่ย่อย ใช้เปลือกต้นผสมเกลือ เผาในหม้อดินกระทั่งเป็นขี้เถ้าขาว รับประทานทีละ 60-120 มิลลิกรัม แล้วก็ยังใช้ขี้เถ้านี้ผสมน้ำอมบ้วนปากบ้วนปาก แก้คอเจ็บแล้วก็ปากเจ็บได้อีกด้วย หรืออาจใช้เนื้อหุ้มเม็ดรับประทานครั้งละ 15 กรัม ช่วยย่อยของกิน  หรือ   ใช้เนื้อมะขามรักษาท้องผูก       สามารถทำเป็น 3 วิธี คือใช้เนื้อจากฝักละลายน้ำแล้วผสมเกลือสวนเข้าทางทวาร หรือใช้เนื้อจากฝักผสมเกลือรับประทาน หรือ เอาเนื้อจากฝักผสมเกลือเล็กน้อย แล้วปั้นเป็นลูกกลอนกิน แก้ท้องเดิน ท้องเดิน ใช้เปลือกเม็ดสีน้ำตาลปนแดงเป็นมัน 600 มก. เทียนขาว(Cumin) อย่างละเท่าๆกัน ผสมน้ำตาล ต้มรับประทานวันละ 2-3 ครั้ง แก้อาการไม่ปกติเกี่ยวกับน้ำดี ใช้เนื้อห่อหุ้มเม็ด กินครั้งละ 10-60 กรัม เปลือกต้น ใช้ต้มกับน้ำ (จะมีแทนนินออกมา) ใช้เป็นยาสมานฝี แผล กันอักเสบ แก้ท้องเสียและอาเจียนและก็ใช้แก้โรคหืด ช่วยถ่ายพยาธิตัวกลมในลำไส้ พยาธิไส้เดือน ด้วยการใช้เมล็ดมะขามมาคั่ว กะเทาะเปลือกออก นำเนื้อในเม็ดมาแช่น้ำเกลือจนนุ่ม แล้วกินทีละ 20 เม็ด เครื่องดื่มชนิดหนึ่งชื่อ “เชอร์เบต” (sherbet) ซึ่งผสมโดยต้มเนื้อมะขาม 30 กรัม ในนม 1 ลิตร เพิ่มลูกเกด 2-3 ลูก กานพลู กระวานรวมทั้งการบูรเล็กน้อย ใช้ดื่มแก้ไข้และก็อาการอักเสบต่างๆยกตัวอย่างเช่น เจ็บป่วย อาหารไม่ย่อย อาการไม่ปกติเกี่ยวกับกระเพาะ ท้องร่วง แล้วก็ใช้แก้ลมแดดก้าวหน้า ส่วน น้ำชงจากเนื้อมะขาม จัดเตรียมโดยแช่เนื้อมะขามในน้ำ แล้วรินออกมารับประทาน แก้อาการไม่อยากกินอาหาร (ประสิทธิภาพของยาชง จะเพิ่มขึ้นอีก โดยการเติมพริกไทยดำ น้ำตาล กานพลู กระวานและก็การบูร ช่วยเพิ่มรส) และในระยะฟื้นไข้ ก็ให้กินเนื้อห่อเม็ดกับนม เนื้อห่อหุ้มเมล็ดอุ่นให้ร้อนใช้พอกแก้บวมอักเสบ เนื้อห่อหุ้มเม็ดผสมเกลือให้เป็นครีมใช้เช็ดนวดในโรครูห์มาตำหนิสซั่ม น้ำมะขามใช้อมบ้วนปากบ้วนปากแก้เจ็บคอ กระเพาะอาหารอักเสบ  นำมะขามแฉะไปแช่น้ำ ลอกเอาใยออก นำมะขามมาถูตัวเบาๆช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นตลอดวัน มะขามเปียกรวมทั้งดินสอพองผสมกระทั่งถูกกัน นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ราวๆ 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าดูกระชับสดใสและสะอาดยิ่งขึ้น  มะขามเปียกผสมกับน้ำอุ่นและนมสด ใช้พอกผิว ช่วยให้ผิวหนังที่มีรอยดำคล้ำกลับมาขาวดูสวยสดใส

การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย   สารสกัดน้ำร้อนจากใบ สารสกัดเอทานอล 95% จากใบ ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้  สารสกัดอีเทอร์-เฮกเซน-เมทานอล จากใบ ความเข้มข้น 100 มค.กรัม แล้วก็สารสกัดเอทานอล 95% จากผล ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้ ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus สารสกัดน้ำร้อนจากผล ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้ ให้ผลยับยั้งเชื้อ S. aureus คลุมเครือ เวลาที่สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มล. ได้ผลยั้งเชื้อดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นต่ำมากมาย สารสกัดเอทานอล 95% และก็สารสกัดน้ำร้อนจากราก ไม่กำหนดขนาดที่ใช้ สารสกัดเฮกเซนและก็สารสกัดน้ำจากผล ความเข้มข้น 200 มก./มิลลิลิตร และสารสกัดน้ำ ไม่ระบุส่วนที่ใช้ ความเข้มข้น 1 ก./มล. ไม่เป็นผลยั้ง S. aureus สารสกัดส่วนเนื้อมะขามด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในหลอดทดลองที่เป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง เป็นต้นว่า  Bacillus subtilis, Escherichia coli รวมทั้ง Salmonella typhi แต่สารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม รวมทั้งสารสกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ยั้งเชื้อดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วอย่างอ่อน
มีการทดสอบในสัตว์ (in vivo study) โดยให้เปลือกเม็ดมะขาม หรือเม็ดมะขาม ให้สัตว์ทดลองรับประทานพบว่าเปลือกเมล็ดมะขามที่กำจัดแทนนินออกแล้วมีค่าจำนวนที่เหมาะสมสำหรับเพื่อการบริโภคในไก่เป็น100 มิลลิกรัมต่อกิโล โดยซึ่งสามารถลดความตึงเครียดจากความร้อน (heat stress) และลดภาวการณ์ออกซิเดทีฟสเตรทได้ แม้กระนั้นการเรียนอีกฉบับแถลงการณ์ว่าเม็ดมะขามต้มแล้วเอกเปลือกหุ้มเม็ดมะขามออกนั้นไม่สารถเพิ่มคุณค่าทางอาหารในไก่ได้ ไก่ที่กินเม็ดมะขามดังที่กล่าวมาข้างต้นเจอผลกระทบในด้านที่เสียหายเป็น ดื่มน้ำมากยิ่งขึ้นและมีขนาดของตับอ่อนแล้วก็ความยางของลำไส้เล็กเพิ่มขึ้น โดยที่ผลที่ได้นี้ผู้ศึกษาค้นคว้าและวิจัยเสนอแนะว่ามีต้นเหตุมาจากโพลีแซคค้างไรด์ที่ไม่สามารถที่จะย่อยได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
          หนูถีบจักรเพศผู้แล้วก็เพศภรรยาที่รับประทานอาหารผสมด้วยส่วนสกัดโพลีแซคค้างไรด์จากเม็ด ขนาด 5% ของของกิน ไม่พบพิษ แม้กระนั้นหนูถีบจักรเพศเมียที่ทานอาหารผสมดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นขนาด 1.2 รวมทั้ง 5% จะมีน้ำหนักต่ำลงตั้งแต่อาทิตย์ที่ 34
          ไก่ (Brown Hisex chicks) ทานอาหารผสมด้วยเนื้อมะขามสุก 2% รวมทั้ง 10% นาน 4 สัปดาห์ พบว่าน้ำหนักน้อยลง (weight gain) และ feed conversion ratios ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ  มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพ คือ มีการเปลี่ยนของเซลล์ไขมันของตับ (fatty change) เซลล์ตับ และก็ cortex ของไตตาย (necrosis) ในอาทิตย์ที่ 2 และก็ 4 ไก่กรุ๊ปที่รับประทานอาหารผสม 10% จะมีพยาธิภาวะรุนแรงกว่าไก่กลุ่มที่กินอาหารผสม 2% ผลการตรวจทางซีรัมพบว่า กรดยูริก total cholesterol, alkaline phosphatase (ALP), glutamic oxaloacetic trans-aminase (GOT) ในซีรั่มเพิ่มขึ้น total serum protein ต่ำลงมากยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม (กลุ่มที่ไม่ได้กินอาหารผสมเนื้อมะขามสุก) sorbitol dehydrogenase แล้วก็ total bilirubin ไม่เปลี่ยนแปลง ค่า ALP กรดยูริก cholesterol รวมทั้ง total protein จะไม่กลับสู่ภาวการณ์ปกติในช่วง 2 อาทิตย์ภายหลังจากไม่ได้รับอาหารผสมแล้ว ผลการตรวจทางโลหิตวิทยาไม่มีความเคลื่อนไหว
หนูขาวเพศภรรยารวมทั้งเพศผู้ทานอาหารที่มีส่วนผสมของโพลีแซคค้างไรด์จากเม็ดมะขาม 4, 8 และ 12% นาน 2 ปี ไม่พบความเคลื่อนไหวของความประพฤติ อัตราการตาย น้ำหนักร่างกาย  การกินของกิน ผลทางวิชาชีวเคมีในเยี่ยวแล้วก็เลือด ผลการตรวจเลือด น้ำหนักอวัยวะ แล้วก็พยาธิสรีระ
          หนูถีบจักรที่กินสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากดอก พบว่าขนาดความเข้มข้นของสารสกัดสูงสุดที่หนูทนได้ เท่ากับ 1 ก./กิโลกรัม นน.ตัว
          หนูขาว Sprague-Dawley SPF รับประทานอาหารที่ผสมด้วย pigments จากเม็ดที่เผาในขนาด 0, 1.25, 2.5 และ 5% ของของกิน เป็นเวลา 90 วัน ไม่เจอความไม่ปกติอะไรก็แล้วแต่ความเข้มข้นสูงสุดของ pigments ที่ให้โดยการผสมในของกินในหนูเพศผู้พอๆกับ 3,278.1 มิลลิกรัม/กก./วัน แล้วก็ในหนูเพศเมียพอๆกับ 3,885.1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ไม่เจอพิษ
พิษต่อตัวอ่อน  L-(-)-di-Butyl malate ที่ได้จากสารสกัดเมทานอลจากฝักมะขาม เป็นพิษต่อเซลล์ตัวอ่อนของ Sea urchin แต่ว่าสารสกัดเอทานอล : น้ำ จากฝักมะขาม ให้ทางสายยางเข้าไปในกระเพาะอาหารหนูขาวที่ตั้งท้อง ขนาด 100 มก./กิโลกรัม ไม่พบพิษต่อตัวอ่อนในท้อง รวมทั้งสารสกัดเอทานอล 100% จากผล ให้ทางสายยางให้อาหารเข้าไปยังกระเพาะอาหารหนูขาวเพศเมีย ขนาด 200 มก./กิโลกรัม ไม่ทำให้แท้ง และไม่มีผลต้านการฝังตัวของตัวอ่อน
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์    ฝักมะขามขนาด 0.1 มก./จานเพาะเชื้อ ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของ Salmonella typhimurium TA1535 แต่ว่าไม่มีผลต่อ S. typhimurium TA1537, TA1538 และ TA98
ข้อแนะนำ/ข้อควรคำนึง

  • ในการเลือกซื้อมะขามมาใช้ประโยชน์(โดยเฉพาะมะขามสุก)นั้นควรที่จะทำการเลือกมะขามที่ปลอดเชื้อโรครา เพราะบางทีอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
  • การบริโภคมะขามมากจนเกินความจำเป็นอาจก่อให้เกิดผลกระทบกับร่างกายได้อย่างเช่น ท้องเดิน ท้องร่วง
  • การบริโภคมะขามไม่สมควรหวังผลสำหรับการรักษา/คุณประโยชน์ของมะขามมากจนเกินไปควรบริโภคแต่ว่าพอดิบพอดีและไม่ควรจะบริโภคติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • ยังมีส่งผลการค้นคว้าที่ชี้ชัดว่ามะขามสามารถใช้ลดหุ่นได้ ฉะนั้นก็เลยไม่ควรใช้มะขามมาลดน้ำหนัก
เอกสารอ้างอิง

  • สมพล ประคองพันธ์.วันชัย สุทธนันท์ .การใช้ดพลีแซคคาไรต์จากเมล็ดมะขามในยาอิมัลชั่นและยาแขวนตะกอน.วารสารเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล 1988:53
  • ภัคสิริ สินไชยกิจ,ไมตรี สุทธิจิตต์.คุณสมบัติชีวเคมีและการประยุกต์ใช้ของเมล็ดมะขาม,บทความปริทัศน์.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่4.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม.2554.
  • กองวิจัยทางการแพทย์. สมุนไพรพื้นบ้าน ตอนที่ 1.  กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2526.
  • Aengwanish, W. and Suttajit, M. Effect of polyphenols extracted from tamarind (Tamarindus indica L.) seed coat on physiological changes, heterophil/ lymphocyte ratio, oxidative stress and body weight of broiler (Gallus domesticus) under chronic heat stress. Ani Sci J 2010; 81: 264-270
  • เดชา ศิริภัทร.มะขาม.ต้นไม้ประจำครัวไทย.คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่163.พฤศจิกายน.2535
  • Ahmad I, Mehmood Z, Mohammad F.  Screening of some Indian medicinal plants for their antimicrobial properties.  J Ethnopharmacol 1998;62:183-93. http://www.disthai.com/
  • บวร เอี่ยมสมบูรณ์.  ดงไม้.  กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2518.
  • มะขาม.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pugalenthi M, Vadivel V, Gurumoorthi P, Janardhanan K. Comparative nutritional evaluation of little known legumes, Tamarindus indica, Erythrina indica and Sesbania bispinosa. Tropic Subtropical  Agroecosys 2004; 4(3): 107-123
  • George M, Pandalai KM.  Investigations on plant antibiotics. Part IV.  Further search for antibiotic substances in Indian medicinal plants.  Indian J Med Res 1949;37:169-81.
  • ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.มะขามและผักคราดหัวแหวน.คอลัมน์อื่นๆ นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่15.กรกฎาคม.2523
  • ก. กุลฑล.  ยาพื้นบ้าน.  กรุงเทพฯ:ปรีชาการพิมพ์, 2524.
  • Ross Sa, Megalla SE, Bishay DW, Awad AH.  Studies for determining antibiotic substances in some Egyptian plants. Part 1. Screening for antimicrobial activity.  Fitoterapia 1980;51:303-8.
  • Watt JM, Breyer-Brandwijk MG. The Medicinal and Poisonous Plants of Southern and Eastern Africa. 2nd edition. Edinburgh and London, E&S Livingstone. 1962.
  • พระเ

12

เพกา
ชื่อสมุนไพร เพกา
ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น ลิ้นฟ้า , หมากลิ้นฟ้า (โคราช,เลย,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) , มะลิดไม้ , มะลิ้นไม้ , ลิดไม้ (ภาคเหนือ) ,เบโก (จังหวัดนราธิวาส,ภาคใต้) ,หมากลิ้นช้าง , หมากลิ้นก้าง (ไทยใหญ่) ,กาโดโด้ง(กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) , ดอก๊ะ ,ดุแก ,ด๊อกก๊ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ,โชยเตี้ยจั้ง (จีน)
ชื่อสามัญ   Broken bone, Damocles tree, Indian trumpet flower, Indian trumpet tree
ชื่อวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Vent.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Oroxylum indicum (L.) Kurz
ตระกูล             Bignoniaceae
ถิ่นกำเนิด เพกาเป็นพืชท้องถิ่นที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมของทวีปเอเชีย ซึ่งพบในอินเดียแล้วก็เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นครั้งแรก ในตอนนี้สามารพบได้หลายประเทศ เป็นต้นว่า ประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว เขมร มาเลเซีย รวมถึง จีนตอนใต้ด้วย ซึ่งชอบเจอเพกาตามป่าเบญจพรรณ และป่าชื้นทั่วไป ส่วนในประเทศไทยนั้นสามารถพบเพกาได้ทุกภาคของประเทศ แม้กระนั้นสำหรับเพื่อการนำเพกามาทำเป็นอาหานั้น ดูเหมือนจะมีแต่คนประเทศไทยเท่านั้นที่นำมาบริโภค ส่วนประเทศอื่นๆนั้นไม่เจอข้อมูลในการเอามาบริโภคเป็นของกินอะไร
ลักษณะทั่วไป   เพกาเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกลางแล้วก็เป็นไม้ ครึ่งผลัดใบไหมผลัดใบ สูง 5-12 เมตร ขนาดลำต้นประมาณ 10-30 เซนติเมตร เรือนยอดเล็ก กิ่งเปราะหักง่าย แตกกิ่งก้านน้อย ต้นที่มีอายุน้อยมีกิ่งใหญ่กึ่งกลางกิ่งเดียว เปลือกเรียบ มีใบเป็นกรุ๊ปตรงกลาง คล้ายกับต้นปาล์ม หลังจากออกดอก ลำต้นจะแยกเป็นกิ่งเกะกะ เปลือกต้น สีน้ำตาลครีมอ่อน หรือเทาอ่อน แตกเป็นสะเก็ดสี่เหลี่ยม และแผลของใบยาวถึง 150 เซนติเมตร มีเหตุมาจากใบที่ร่วงไปแล้ว ลำต้นและแขนงมีรูระบายอากาศ กระจัดกระจายอยู่ทั่วๆไป เปลือกลำต้นเรียบสีเทา มีรอยแผลเป็น จากการหลุดตกของใบ ใบประกอบแบบขน 3 ชั้น ปลายคี่ ใบขนาดใหญ่ ยาว 60-200 เซนติเมตร เรียงตรงกันข้ามกันอยู่บริเวณปลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่ หรือรูปไข่แกมวงรี กว้าง 4-8 ซม. ยาว 6-12 เซนติเมตร ปลายยาว ขอบใบเรียบ ฐานใบสอบแคบ ใบเกลี้ยง หรือมีขนสีขาวสั้นๆด้านล่าง ท้องใบนวล ก้านใบเหนือสุดแยกออก 1 ครั้ง ก้านใบกลางแยก 2 ครั้ง และก็ก้านใบด้านล่างแยก 3 ครั้ง ทำให้เห็นใบทั้งหมดทั้งปวงเป็นรูปสามเหลี่ยม  ก้านใบย่อยยาว 5-8 มม. ก้านใบข้าง และก็ก้านใบร่วมโค้งพองออกที่ฐานแล้วก็ที่ข้อ ก้านใบยาว 0.5-2 เมตร ดอกช่อขนาดใหญ่แบบกระจะ ออกที่ปลายยอดเป็นกระจุก มีดอกย่อย 20-35 ดอก จะบานพร้อมคราวละ 2-3 ดอก ก้านช่อดอกยาว 60-180 เซนติเมตร ยื่นออกมานอกทรงพุ่มไม้ของยอด ดอกย่อยขนาดใหญ่ 8-12 ซม. กลีบสีนวลปนเขียวโคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดง หรือม่วงภายนอก หลอดกลีบดอกไม้ยาว 2-4 ซม. รูปแตร กลีบหนา ขอบย่น ไม่มีพู หรือพูไม่เท่ากัน มีต่อมกระจัดกระจายอยู่ภายนอก ข้างในมีขนหนาแน่น ดอกบานตอนค่ำ มีกลิ่นสาบฉุน รวมทั้งหล่นเช้าตรู่ ชอบมีดอกและผลในกิ่งเดียวกัน เกสรตัวผู้ 5 อัน ชิดกับหลอดดอก โคนก้านมีขน เกสรตัวเมียมี 1 อัน กลีบเลี้ยงยาว 2-4 ซม. มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นทรงกระบอก ปลายไม่แยกเป็นกลีบอย่างชัดแจ้ง เมื่อได้ผล กลีบเลี้ยงนี้จะรุ่งเรืองเป็นเนื้อแข็งมากมาย ผลเป็นฝัก แบน โค้งนิดหน่อยที่ฐาน มีสันเล็กๆที่ข้างๆ คล้ายรูปลิ้น แขวนอยู่เหนือเรือนยอด กว้าง 6-10 เซนติเมตร ยาว 30-120 เซนติเมตร สีน้ำตาลเข้ม สีแดง ติดฝักยาก ฝักเป็นรูปดาบ เมื่อแก่จะแตกเป็น 2 ด้าน เม็ดแบนสีขาว  ขนาด 4-8 เซนติเมตร มีปีกบางโปร่งแสง เยื่อนี้ช่วยให้เมล็ดลอยละล่องตามแรงลมให้ตกห่างต้นเพื่อแพร่พันธุ์ได้ไกลขึ้น
การขยายพันธุ์ เพกาสามารถเพาะพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด  โดยเลือกเม็ดจากฝักแก่ เปลือกฝักแห้ง มีสีดำ โดยให้เก็บฝักไว้สัก 2-3 เดือน ก่อนเอามาเพาะเมล็ด เนื่องจากว่าภายหลังฝักแก่ เม็ดเพกาจะเข้าสู่ระยะพักตัวอยู่ช่วงหนึ่ง แม้นำเมล็ดมาเพาะในช่วงหลังฝักแก่มักมีอัตราการงอกต่ำ ด้วยเหตุนี้ ก็เลยทิ้งฝักไว้สักระยะหนึ่งก่อน
การเพาะเมล็ด ควรจะเพาะในถุงเพาะชำ เพื่อย้ายต้นลงปลูกไว้ในแปลงได้สะดวก โดยนำเมล็ดออกจากฝัก แล้วก็ผึ่งแดดสัก 2-3 วันก่อน ต่อจากนั้นค่อยเอามาเพาะ  สำหรับวัสดุเพาะ ควรใช้ดินผสมกับสิ่งของอินทรีย์ ได้แก่ ปุ๋ยธรรมชาติ ปุ๋ยธรรมชาติ และก็แกลบดำ แต่ว่าหากไม่สบายให้ใช้เพียงแค่ปุ๋ยหมักสิ่งเดียวก็ได้ โดยใช้อัตราส่วนดิน:ปุ๋ยธรรมชาติ:แกลบดำ ที่ 1:3:1 ก่อนใส่ลงถุงเพาะชำ ต่อไป นำเม็ดลงกลบ และรดน้ำให้เปียก กับดูแลด้วยการรดน้ำเป็นประจำวันแล้ววันเล่า ขั้นต่ำวันละ 1 ครั้ง จนกว่าต้นจะผลิออก รวมทั้งแตกใบได้ 2 ข้อ ก่อนย้ายลงปลูกไว้ในแปลง  การปลูกเพกานิยมปลูกในต้นฤดูฝน เมื่อต้นกล้าแตกยอดได้ 2 ข้อแล้ว ให้นำกล้าเพกาลงปลูกได้ สำหรับระยะปลูกให้มีระยะห่างที่ 4×4 เมตร โดยการขุดหลุมขนาดประมาณ 30 เซนติเมตร ลึกโดยประมาณ 30 ซม. ก่อนที่จะรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักประมาณ 3-5 กำ และก็ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 โดยประมาณ 1 ถือมือ พร้อมคลุกหน้าดินผสม ก่อนที่จะนำกล้าเพกาลงปลูก
ส่วนประกอบทางเคมี
ในฝักเจอสาร Oroxylin A , Chrysin     ,Baicalein , Triterpene  , Carboxyliv acid , Ursolic acid
ในเม็ดพบสาร Flavonoids , Chrysin , Oroxylin A ,Terpene , Baicalein , Saponins , Benzoic acid  , 6-Glucoside , Tetuin
สำหรับองค์ประกอบของน้ำมันของเม็ดพบสาร
Caprylic, Lauric  , Myristic ,Palmitic ,Palmotoleic ,Stearic ,Oleic , Linoleic acid
ในใบพบสาร Flavones  ,Baicalein ,Glycosides ,6,7-Glucuronides,7-Glucuronides , Chrysin , Scutellarein , Anthraquinone , Aloe emodin
ส่วนของลำต้นเจอสาร Oroxylin A  ,Baicalein  ,Chrysin ,7-Glucuronides, Biochanin A ,Ellagic acid , Puunetin ,B-sitosterols ,b-Methylbailein  ,Lapachol
ส่วนรากพบสาร  Oroxylin A  ,  Baicalein , Chrysin, Pterocarpan , Rhodioside  ,D-Galatose ,Sitosterol
ที่มา : wikipedia
ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของเนื่องจากว่านั้นมีดังนี้
ค่าทางโภชนาการในยอดอ่อนเพกา (100 กรัม) พลังงาน 101 กิโลแคลอรี โปรตีน 6.4 กรัม ไขมัน 2.6 กรัม คาร์โบไฮเดรต 13.0 กรัม วิตามินบี1 0.18 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.69 มิลลิกรัมแล้วก็วิตามินบี3 2.4 มก.  ฝักอ่อนของเพกา (ต่อน้ำหนัก 100 กรัม) วิตามินซี 484 มิลลิกรัม วิตามินเอ 8,200 มก. แคลเซียม 13 มิลลิกรัม, ธาตุฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม, โปรตีน 0.2 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม, ไขมัน 0.5 กรัม, เส้นใย 4 กรัม
คุณประโยชน์/สรรพคุณ  คุณประโยช์จากเพกานั้นส่วนใหญ่นิยมเอามากินเป็นอาหาร เช่น ฝักอ่อน อายุฝักโดยประมาณ 1 เดือน (ที่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก สามารถใช้เล็บมือจิกลงไปได้) จัดเป็นผักพื้นเมืองที่นิยมเอามารับประทานด้วยการลวกหรือปิ้งไฟ คู่กับน้ำพริก รายการอาหารลาบต่างๆและก็ซุปหน่อไม้ ซึ่งฝักอ่อนนี้ เมื่อกินจะมีรสขมอ่อนๆดังนี้ การย่างไฟ นิยมปิ้งไฟจากเตาถ่าน แต่อาจปิ้งจากไฟลุกไหม้ก็ได้ โดยย่างให้เปลือกฝักอ่อนร้อน และอ่อนตัวกระทั่งไหม้เกรียมเป็นสะเก็ดดำ ต่อจากนั้นค่อยขูดสะเก็ดดำออก ก่อนนำมาหั่นรับประทาน    ใบ แล้วก็ยอดอ่อน ชาวบ้านนิยมนำมารับประทานดิบหรือลวกหรือย่างไฟ คู่กับน้ำพริก ซุปหน่อไม้ รวมทั้งเมนูลาบต่างๆรวมทั้งเอามาผัดใส่กุ้ง หรือยำใส่กระเทียมเจียว ทั้งนี้ ใบอ่อน รวมทั้งยอดอ่อน มักไม่นิยมเด็ดมารับประทานเท่าไรนัก ด้วยเหตุว่าจำเป็นให้ยอดเติบโต และติด ดอกบานนิยมนำมาลวกแค่นั้น เนื้อดอกเมื่อลวกแล้วจะมีความนิ่ม แล้วก็ให้รสขมน้อยกว่าฝักอ่อน และยอดอ่อน นับได้ว่าเป็นส่วนที่อร่อยมากที่สุด และชอบใช้สำหรับรับประทานคู่กับน้ำพริก ส่วนการใช้คุณประโยชน์อื่นๆนั้น เป็นต้นว่า แก่นไม้เพกา ในบางพื้นของภาคอีสาน นิยมใช้เผาถ่านสำหรับทำผงถ่านผสมทำดินปืนหรือดินบั้งไฟ ดังนี้ สามารถเผาเป็นถ่านได้อีกทั้งในรูปไม้สด เนื่องจากแก่นไม้สดค่อนข้างแห้งอยู่แล้ว และเผาในรูปท่อนไม้แห้ง ซึ่งเผาได้ง่ายยิ่งกว่า แต่เดี๋ยวนี้ ไม่ค่อยนิยมแล้ว เพราะเหตุว่า ต้นเพกาในอีสานหายากขึ้น รวมทั้งหันมาใช้ไม้ยูคาลิปตัสแทน ส่วนฝักเพกาแก่ นิยมนำมาตากแห้ง และส่งออกต่างประเทศเพื่อใช้ทำยาสมุนไพร สามารถทำรายได้ให้แก่เกษตรกรได้ นอกเหนือจากนี้คนภูเขายังใช้เปลือกต้นเพกาย้อมผ้าให้ได้สีเขียวอีกด้วย
นอกเหนือจากนี้เพกายังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย ดังนี้  ตำรายาไทย  ใช้  เม็ด ต้มน้ำดื่ม แก้ไอแล้วก็ขับเสลด ใช้เป็นยาระบาย เมล็ดแก่ มีรสขม เป็นยาระบาย แก้ไอ ขับเสลด เมล็ดแห้ง ทำน้ำจับเลี้ยงแก้ร้อนใน อยากดื่มน้ำ ฝักแก่ มีรสขมกินได้ แก้ร้อนในอยากดื่มน้ำ ช่วยเจริญอาหาร ยับยั้งไอ ฝักอ่อน มีรสขมร้อน ใช้เป็นยาขับลม
ใบ มีรสฝาดขม ต้มน้ำดื่มแก้ปวดท้อง เจริญอาหาร แก้ปวดข้อต่างๆ
เปลือกต้น -รสฝาดเย็น และขมเล็กน้อย เป็นยาสมานแผล ทำน้ำเหลืองให้เป็นปกติ ขับน้ำเหลืองเสีย ขับเลือดดับพิษโลหิต บำรุงเลือด แก้เสมหะจุกคอ ขับเสลด แก้บิด แก้อาการจุกเสียด
ราก   มีรสฝาดเย็น ขมนิดหน่อย ใช้บำรุงธาตุ ทำให้เกอดน้ำย่อยของกิน เจริญอาหาร   แก้ท้องร่วง แก้บิด แก้ไข้สันนิบาต
เพกา 5    คือการใช้ส่วนราก ใบ ดอก ผล ต้น รวมกันจะมีรสฝาดเย็น มีคุณประโยชน์สมานแผล แก้อักเสบบวม แก้ท้องเดิน บำรุงธาตุ แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ไข้เพื่อลม เพื่อเลือด

ต้นแบบ/ขนาดวิธีใช้
ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข      นำเปลือกต้นฝนกับน้ำปูนใสทาแก้อาการบวม ฟกช้ำ แล้วก็ อักเสบ  หรือนำเปลือกเพกาฝนทาบริเวณฝีแก้ปวดฝี        เปลือกต้นตำผสมกับเหล้า     ใช้เป็นยากวาดประสะพิษซางเด็กแบบเป็นเม็ดเหลือง      แก้ละอองขึ้นในปาก คอลิ้น แก้ละอองไข้     ใช้ฉีดพ่นตามตัวคนคลอดบุตรที่ทนการอยู่ไฟไม่ได้ ทำให้ผิวหนังชา     ทาบริเวณฝี แก้ปวดฝีทาแก้อาการฟกบวมอักเสบ  เปลือกต้นสดตำผสมกับน้ำส้ม  (ซึ่งได้จากรังมดแดง) หรือเกลือสินเธาว์    กินขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียด แก้บิด แก้อ้วกไม่หยุด    รับประทานแก้เสมหะจุกคอ (ขับเสลด) ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ บำรุงโลหิต
ยิ่งไปกว่านี้ ช่วยรักษาโรคโรคเบาหวาน ด้วยการใช้เปลือกเพกา เปลือกต้นไข่เน่า ใบไข่เน่า แก่นลั่นทม บอระเพ็ด ใบเลี่ยน รากต้นหญ้าค้าง รวม 7 อย่าง น้ำหนักอย่างละ 2 บาท เอามาต้มกับน้ำทีละ 1 แก้วเล็ก ก่อนกินอาหาร เช้าตรู่และเย็น  ช่วยแก้และก็ทุเลาอาการไอ และขับเสลดโดยใช้เมล็ดแก่เพการาวครึ่งกำมือถึงหนึ่งกำมือ (1.5 – 3 กรัม) ใส่ไว้ในหม้อที่เพิ่มน้ำ 300 มิลลิลิตร แล้วต้มไฟอ่อนๆจนถึงเดือดโดยประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำมาดื่มทีละ 1 แก้ว รุ่งเช้า ช่วงเวลากลางวัน เย็น จนกว่าอาการจะดียิ่งขึ้น  แก้โรคไส้เลื่อน ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกา รากเขยตาย ต้นหญ้าตีนนก เอามาตำรวมกันให้ถี่ถ้วน แล้วก็ค่อยนำไปละลายกับน้ำข้าวถู ใช้ขนไก่ชุบพิง นำมาทาลูกอัณฑะ
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ     ฟลาโวนอยด์ที่สกัดจากเพกาสามารถลดการอักเสบในเท้าของหนูเม้าส์ที่ถูกรั้งนำให้บวมด้วย dextran รวมทั้งจะส่งผลลดบวมมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อใช้ร่วมกับ a-chymotrypsin  สารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ลดการอักเสบในหนูที่ถูกทำให้มีการเกิดการอักเสบด้วยอัลบูมินจากไข่  ฟอร์มาลิน รวมทั้งฮีสตามีน แม้กระนั้นไม่มีผลในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยซีรัมจากม้า หรือไซลีน (xylene)  นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดจากเปลือกมีฤทธิ์ลดการแพ้ในหนูที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดภูมิแพ้ได้มากกว่าหนูปกติ
           จากการเล่าเรียนฤทธิ์ต้านทานการอักเสบในหลอดทดลอง พบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยั้งสารภายในร่างกายที่นำไปสู่การอักเสบเป็นPGE2 และก็ NF-kB รวมทั้งยังออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยการหยุดยั้งวิธีการออกซิเดชันของไขมัน (lipid-peroxidation)  นอกเหนือจากนั้นยังพบว่าสารสกัดด้วยไดคลอโรมีเทนจากเปลือกต้น แล้วก็รากมีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยยับยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase และก็พบว่าสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นแล้วก็รากของเพกาก็มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase ได้เช่นกัน โดยมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับ fisetin ซึ่งใช้เป็นสารมาตรฐานในการทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบ  นอกจากนั้นยังพบว่าสารสกัดด้วยน้ำจากเปลือกยังสามารถลดการอักเสบได้โดยลดการหลั่งเอนไซม์ myeloperoxidase
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและแก้ท้องเสียสารสกัดไดคลอโรมีเทนของเปลือกต้น รวมทั้งรากของเพกา มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้หลายสายพันธุ์เป็นต้นว่า Bacillus subtilis, Staphylococcus aureus, Escherichia coli และ Pseudomonas aeruginosa และยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อราCandida albicans แล้วก็เจอสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นและก็รากของเพกา มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อ B. subtilis และ S. aureus ได้เสมอกันกับยา streptomycin  สารสกัดเพกาอีกทั้งต้นด้วยการต้ม ไม่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Salmonella typi type 2 (ค่า MIC พอๆกับ 125 มก./มิลลิลิตร) แต่ว่ามีฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเชื้อ Staphylococcus aureus (ค่า MIC พอๆกับ 15.13 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร) (2) สารสกัดจากฝักด้วยเอทานอล (80%) ขนาด 12.5 มก./มล. มีฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเชื้อ S. aureus รวมทั้ง Escherichia coli
สำหรับสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรซึ่งมีเปลือกเพกาเป็นส่วนประกอบ และก็ใช้ทุเลาอาการท้องร่วงที่มิได้มีเหตุมาจากการติดเชื้อ พบว่ามีฤทธิ์ลดอาการท้องเสียในหนูเม้าส์ที่ทำให้ท้องเสียด้วยน้ำมันละหุ่ง และมีฤทธิ์ยั้งการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเรียบในลำไส้เล็กขิงหนูตะเภา  นอกนั้นยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่นำมาซึ่งอุจจาระร่วง 6 สายพันธุ์ในหลอดทดสอบ คือ Bacillus cereus ATCC 14579, Escherichia coli ATCC 25922, Salmonella typhimurium ATCC 11331, Shigella flexneri  DMSC 1130, Staphylococcus aureus ATCC 25923, Vibrio parahaemolyticus DMST 5665 แล้วก็ แบคทีเรียที่แยกได้จากของกิน ขึ้นรถสกัดด้วยน้ำจะออกฤทธิ์ดีกว่าสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์และสารสกัดของสมุนไพรเดี่ยวแต่ละประเภทที่เป็นส่วนประกอบในตำรับยานี้
ฤทธิ์ต้านการหดเกร็งกล้ามเนื้อ  สารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลรวมทั้งน้ำ (1:1) มีฤทธิ์ต้านทานการยุบเกร็งของกล้ามเนื้อของลำไส้เล็ก เมื่อกระทำการทดลองในหนูตะเภาที่ถูกกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการหดเกร็งของกล้ามส่วนลำไส้เล็กด้วย acetylcholine แล้วก็ histamine
ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ การศึกษาใช้สารสกัดจากใบเพกาสำหรับในการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ DDPH รวมทั้งยั้งสารอนุมูลอิสระ Nitric Oxide พบว่า สารสกัดสามารถออกฤทธิ์ยั้งในค่า IC50 = 24.22 ไมโครกรัม/มล. และ ค่า IC10 = 129.81 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ของสารทั้ง 2 ตามลำดับ
ฤทธิ์ต้านทานโรคมะเร็ง การเล่าเรียนทดลองสารสกัดจากเพกาชื่อ Baicalein สำหรับเพื่อการต้านทานเซลล์ของโรคมะเร็ง HL-60 พบว่า สาร Baicalein สามารถยับยั้งเซลล์ของโรคมะเร็ง HL-60 ได้มากกว่าปริมาณร้อยละ 50 ด้านใน 36-48 ชั่วโมง
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ มีการทดลองกรอกสารสกัดรากเพกาด้วยน้ำร้อนแก่หนูเพศผู้ในขนาด 1 โมล/กก. มีรายงานว่ากระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดพิษ Dhar รวมทั้งคณะ กระทำการทดสอบฉีดสารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลและน้ำ (1:1) แล้วก็สารสกัดรากเพกาด้วยเอทานอลและก็น้ำ (1:1) เข้าช่องท้องหนู พบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่หนูสามารถทนได้ (maximum tolerated dose) คือ 100 มก./กิโลกรัม แล้วก็ 1 กรัม/กก. ตามลำดับ (4) ธีระยุทธ ได้ทำการทดลองความเป็นพิษทันควันของสารสกัดเปลือกเพกาด้วยเอทานอล (70%) โดยการฉีดเข้าท้องรวมทั้งกรอกลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 100 มิลลิกรัม/กก.น้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่นำมาซึ่งพิษรุนแรงในหนู รวมทั้งเมื่อทดลองความเป็นพิษเฉียบพลันโดยใช้สารสกัดในขนาดสูงขึ้น คือ 400 และก็ 800 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่ทำให้มีการเกิดพิษกระทันหันเมื่อให้โดยการกรอกลงกระเพาะหนู แต่นำไปสู่พิษกะทันหันได้เมื่อฉีดเข้าท้องในขนาด 800 มิลลิกรัม/กิโลกรัม สำหรับความเป็นพิษกึ่งรุนแรงของสารสกัด พบว่าเมื่อกรอกสารสกัดลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 400 รวมทั้ง 800 มก./กก.น้ำหนักตัว ทุกเมื่อเชื่อวันตรงเวลา 30 วัน  พบว่าไม่นำไปสู่พิษฉับพลันในหนู
และเมื่อป้อนสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรขนาด 5 กรัม/กิโลกรัม ครั้งเดียวให้หนูแรท พินิจพฤติกรรมภายใน 14 วัน ไม่พบพิษแบบกะทันหันและก็ความแตกต่างจากปกติของอวัยวะภายใน และเมื่อให้สารสกัดขนาด 1, 2 และ 4 กรัม/โล/วัน แก่สัตว์ทดสอบต่อเนื่องกันเป็นเวลา 90 วันไม่เจอพิษแบบกึ่งเรื้อรัง ไม่เจอความไม่ดีเหมือนปกติของน้ำหนักตัว ค่าตรวจทางโลหิตวิทยา และทางวิชาชีวเคมี รวมทั้งความเคลื่อนไหวในพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน  สำหรับตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่ประกอบด้วยเพกา ชุมเห็ดเทศ (Senna alata (L.) Roxb.) และรางจืด (Thunbergia laurifolia Lindl.) ซึ่งออกฤทธิ์ต้านโรคมะเร็งในหลอดทดสอบ ก็พบว่ามีความปลอดภัยสำหรับการทดลองความเป็นพิษแบบกะทันหันในสัตว์ทดสอบ
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ จากการทดสอบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ โดยแนวทาง Ames’ test จากผลของการทดสอบพบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่ทำการทดสอบ (2 มิลลิกรัม/จานเพาะเชื้อ) กับ Salmonella typhimurium สายพันธุ์ TA98 และก็ TA100 พบว่าไม่มีคุณลักษณะในการก่อให้เกิดการ กลายพันธุ์ อมรศรี รวมทั้งภาควิชา พบว่าสารสกัดเพกาที่ได้จากการต้มมีฤทธิ์ต่อต้านการกลายพันธุ์ เมื่อทดลองโดยวิธี Ames’ test
การประมาณความเป็นพิษของสารสกัดจากเพกาโดยวิธี somatic mutation and recom bination test ในแมลงหวี่ พบว่าสารสกัดเพกาในขนาด 120 มิลลิกรัม/มล. สามารถก่อกำเนิด somatic mutation ได้  โดยพบว่าแมลงหวี่ที่ได้รับสารสกัดมีจำนวนจุดบนปีกลดน้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับแมลงหวี่กลุ่มควบคุม และก็มีกล่าวว่าส่วนสกัดอัลกอฮอล์ของเพกาเมื่อนำมาทำปฏิกิริยากับเกลือไนไตรท์ในสภาพการณ์โอบล้อมที่เป็นกรดแล้วนำมาทดลองการกลายพันธุ์ พบว่าสินค้าที่เกิดขึ้นมีฤทธิ์ก่อการกลายพันธุ์
ข้อแนะนำ/ข้อควรตรึกตรอง

  • หญิงมีครรภ์ไม่ควรกินฝักอ่อนของเพกา เนื่องจากมีฤทธิ์ร้อน โดยอาจจะเป็นผลให้แท้งลูกได้
  • ควรจะระวังในการใช้เพการ่วมกับยากลุ่มต้านทานการแข็งตัวของเกร็ดเลือด ดังเช่นว่า แอสไพริน (aspirin) ,วาฟาริน (warfarin) , สารสกัดแปะก๊วย (Ginko biloba)
  • เพกาเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนอาจจะทำให้เป็นผลข้างๆได้ ได้แก่ มีการระคายกระเพาะได้
เอกสารอ้างอิง

  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 1): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิก และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพร ที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา.สมุนไพรทีใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • จีรเดช มโนสร้อย วรพงษ์ กิจดำรงธรรม ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ อรัญญา มโนสร้อย. การทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันของสารสกัดตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่คัดเลือกจากฐานข้อมูลตำรายาสมุนไพรไทย มโนสร้อย 2. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 2553;8(2):54.
  • อมรศรี ช่างปรีชากุล อริศรา เวชกัลยามิตร มาลิน จุลศิริ ปัญญา เต็มเจริญ.  การต้านสารก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดน้ำจากพืช สมุนไพรชนิดที่สามารถนำมาปรุงเป็นเครื่องดื่ม. Special project, Faculty of pharmacy, Mahidol university,1991.
  • เพกา.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหิทยาลัยอุบลราชธานี
  • Ali RM, Houghton PJ, Raman A, Hoult JRS.  Antimicrobial and antiinflammatory activities of extracts and  constituents of Oroxylum indicum (l.) Vent.  Phytomedicine 1988;5(5):375-81.
  • เพกา.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ป่วยติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • อุดมการณ์ อินทุใส และปาริชาติ ทะนานแก้ว . สมุนไพรไทย ตำรับยา บำบัดโรค บำรุงร่างกาย.2549.
  • ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์.  รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 2): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”.  การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิกและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • เพกา/ลิ้นฟ้า สรรพคุณและการปลูกเพกา.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพิชเกษตรไทย http://www.disthai.com/
  • นพมาศ สุนทรเจริญนนท์. การพัฒนาตำรับยาแผนโบราณเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน. การสัมมนาเรื่อง “การเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านสมุนไพรสู่ระดับอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2”, 19-20 มีนาคม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ, 2552.
  • ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ.2551.พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยง ที่ตำบลบ้านจันทร์และแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ .วิทยานิพนธ์(วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.271 หน้า
  • Glinsukon T. Toxicological report. Symposium on Development of Medicinal Plants for Tropical Diseases, 26-27 February, Bangkok, Thailand, 1987. p.110-4.
  • เพกา.กลุ่มยาแก้โรคบิด ท้องเดิน ท้องร่วง โรคกระเพาะ.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด .โครงการอนุรักษ์พันธุกรมมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี.
  •   Siriwatanametanon N, Fiebich BL, Efferth T, Prieto JM, Heinrich M. Traditional Used Thai Medicinal Plants: In Vitro Anti-inflammatory, anticancer and Antioxidant Activities. J Ethnopharmacol 2010; 130:196-207.
  • Golikov PP, Brekhman II. Pharmacological study of a liquid extract from the bark of Oroxylum indicum.  Rastit, Resur 1967; 3(3): 446.
  • พัฒน์ สุจำนงค์.  ตำรายาไทย-จีนยากลางบ้าน ยาสมุนไพร และยาแผนโบราณ.  ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แพร่วิทยา, 2524. หน้า 363.
  •   Chen CP, Lin CC, Namba T.  Development of natural crude drug resources from Taiwan. (VI). In vitro studies of the inhibitory effect on 12 microorganisms.  Shoyakugaku Zasshi 1987; 41(3):215-25.
  • แก้ว กังสดาลอำไพ วรรณี โรจนโพธิ์. การประเมินฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสมุนไพรไทยในรูปของยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และสมุนไพรบางชนิด โดยวิธีเอมส์เทสต์. รายงานผลการวิจัยเอกสารด้านการแพทย์แผนไทยโดยศูนย์ประสานงาน

13

ฝรั่ง
ชื่อสมุนไพร  ฝรั่ง
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อแคว้น มะก้วย  มะก้วยกา มะกา (จังหวัดเชียงใหม่) , มะปั่น (จังหวัดลำปาง) , บักสีดา (อีสาน) , สีดา (จังหวัดนครพนม) จุ่มโป่ (สุราษฎร์) , ชมพู่ (ปัตตานี) , ยามู ,คุณย่าหมู (ภาคใต้) ยะมูบุเตบันยา (ทุ่งนาราธิวาส , มลายู) , ยะริง (ละว้า) , ฮวงเจี๊ยะหลิ่วกังซิวก้วยแปะจีฉิ่ว (จีน)
ชื่อสามัญ  Guava
ชื่อวิทยาศาสตร์  Psidium guajava Linn
ตระกูล  MYRTACEAE
บ้านเกิดเมืองนอน ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดหรือเป็นพืชพื้นบ้านของเมริกาเขตร้อน De Candolle มั่นใจว่าอยู่ระหว่างประเทศเม็กซิโก รวมทั้งเปรู รวมถึงหมู่เกาะอินดีสตะวันตกด้วยชาวสเปนนำจากฝั่งแปซิฟิคไปยังประเทศฟิลิปปินส์ รวมทั้งประเทศโปรตุเกสนำจากฝั่งตะวันตกไปยังประเทศอินเดีย สำหรับในประเทศไทยนั้น คาดว่ามีการนำเข้ามาในประเทศไทยในตอนยุคของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปัจจุบันนี้เป็นพืชมีขึ้นทั่วไปในเขตร้อนและก็ครึ่งร้อน ปลูกเป็นไม้ผลตามบ้าน ตามสวนทั่วๆไป
ลักษณะทั่วไป ฝรั่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูง 5-10 เมตร ลำต้นกิ่งก้านมีแก่นไม้เหนียวแข็งดี เปลือกต้นเรียบมีเหลืองอ่อนออกเทา และมีรอยลอกออกเป็นแผ่นๆก้านอ่อนมีลักษณะสี่เหลี่ยม มีขนสีขาวๆสั้น ก้านแก่ ขนร่วงไปหมด ยอดอ่อนมีขนสีขาวสั้นๆปกคลุม ใบเป็นใบโดดเดี่ยวออกตรงกันข้ามกันมีน้อยที่ออกเป็นวง (ที่ข้อเดียวกันออกเกินกว่า 2 ใบ) ใบรูปไข่ยาว 5-12 ซ.มัธยม หรือกว้าง 3-5 ซ.ม. ขยี้ใบสูดดมดูจะมีกลิ่นหอม ใบบางเหมือนแผ่นหนัง ปลายใบมนหรือแหลมสั้น ฐานใบค่อยๆขยายแหลมออกมายังกึ่งกลางใบ ขอบใบเรียบหลังใบมีสีเขียวแก่ มีรอยเส้นใบ (บุ๋มลงไปบางส่วน) ท้องใบมีขนสั้นๆสีขาวนุ่ม แล้วก็มีเส้นใบเป็นรอยนูนออกมา มีเส้นใบ 7-11 คู่ ก้านใบยาว 4 เซนติเมตร ดอกบางทีอาจออกเป็นช่อ 1-4 ดอก มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียวกลมมน กลีบสาวบางๆหลุดตกง่าย ยาว 2-2.5 ซ.มัธยม มีเกสรตัวผู้มาก มีก้านเกสรตัวผู้สีขาวยาวเท่ากับกลีบ มีอับเรณูสีเหลืองอ่อน มีก้านเกสรตัวเมีย 1 อันยาวพุ่งขึ้นมาสูงกว่าก้านเกสรตัวผู้ รังไข่อยู่ด้านล่างมี 5 ห้องแล้วก็ลักษณะทรงกลม และก็มีกลีบเลี้ยงเหลือติดอยู่กับปลายผล ผลทรงกลม  มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวประมาณ 3-15 ซ.ม. เนื้อผลส่วนใหญ่มีสีเหลือง ขาว หรือชมพู มีกลิ่นหอมยวนใจ เม็ดแข็ง เป็นรูปไตมีจำนวนมาก ขนาดเม็ด 0.3-0.5 ซม. สีขาวอ่อน พบบ่อยปลูกตามบ้านหรือสวนทั่วไปเอาผลไว้กินหรือขาย
การขยายพันธุ์    สามารถเติบโตได้ดิบได้ดีในทุกภาวะดิน แล้วก็ทนต่อความแล้ง แล้วก็น้ำขังได้เล็กน้อย แม้กระนั้นโดยธรรมดามักถูกใจเจริญเติบโตได้ดิบได้ดีในดินร่วนซุยปนทราย ที่มีภาวะพื้นที่มีการระบายน้ำดี สามารถให้ผลผลิตได้โดยประมาณ 1 ปีข้างหลังปลูก ผลสามารถเก็บได้ในช่วง 4-5 เดือน หลังติดดอก  โดยปกติจะให้ผลได้ในช่วงปลายหน้าแล้งถึงต้นฤดูฝนเป็นช่วงมี.ค.-เดือนมิถุนายน
                สำหรับในการเพาะพันธุ์ฝรั่งสามารถทำเป็นหลายแนวทาง ตัวอย่างเช่น การปลูกด้วยเมล็ด การทาบกิ่ง การติดตา การปักชำ แต่ว่าแนวทางที่นิยมสูงที่สุดหมายถึงการทำหมันกิ่ง
การเตรียมดิน แล้วก็การเตรียมแปลง สำหรับในการปลูกฝรั่งนั้น สามารถทำเป็น 2 แบบอย่างตามภาวะพื้นที่ คือ

  • พื้นที่ดินเหนียว น้ำหลากขังง่าย และก็มีระบบน้ำมากเกินเพียงพอ ให้ทำการขุดร่องลุกราวๆ 1 เมตร กว้าง 1-2 เมตร เพื่อเป็นแถวร่องสำหรับการให้น้ำ การเตรียมแปลง และก็การปลูกลงในลักษณะนี้พบได้ทั่วไปในพื้นที่ลุ่มภาคกลางเป็นส่วนใหญ่
  • พื้นที่ทั่วไปที่มีระบบน้ำไม่เพียงพอ สามารถปลูกภายในแปลงโดยไม่ชูร่องหรือการชูร่องสูงโดยประมาณ 30 ซม. ระยะห่างระหว่างร่องประมาณ 3-4 เมตร ดังนี้ ให้ทำไถดะ 1 ครั้ง เพื่อตากดิน และกำจัดวัชพืช และไถแปร 1 ครั้ง โดยเว้นช่วงห่างราวๆ 1-2 อาทิตย์ หลังจากนั้นกระทำไถชูร่อง
ส่วนวิธีการปลูกฝรั่ง มีดังนี้

  • ใช้กิ่งชนิดจากการทำหมันหรือการปักชำ
  • ขุดหลุมปลูก กว้าง ลึก ขนาด 50×50 ซม. แต่ละหลุมห่างกันประมาณ 3 เมตร ระยะห่างระหว่างแถวราว 3-4 เมตร หรือตามขนาดระยะห่างของร่อง
  • รองพื้นด้วยปุ๋ยหมักหรือมูลสัตว์ราวๆ 0.5 กิโลกรัม/หลุม หรือขนาด 1 พลั่วตัก พร้อมคลุกดินผสมตูดหลุมให้สูงราวๆ 1 ฝ่ามือ ดังนี้อาจผสมปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 ในอัตรา 1 กำมือ/หลุมก็ได้
  • นำกิ่งประเภท จากการตอนหรือการปักชำลงหลุมปลูก โดยกลบดินสูงเหนือปากหลุมน้อย ดังนี้ควรจะให้ดินกลบเหนือเขตรากสูงประมาณ 10-15 เซนติเมตร
  • ใช้หลักไม้ปักหลุม และก็ผูกเชือกยึดลำต้น
  • เมื่อปลูกเสร็จควรจะให้น้ำให้เปียกทันที


การให้น้ำ เริ่มให้น้ำหนแรกหลังการปลูกเสร็จให้เปียกชุ่ม ต่อไป ให้น้ำทุก 2 ครั้ง/วัน รุ่งเช้า-เย็น กระทั่งต้นฝรั่งตั้งตัวได้ โดยบางทีอาจเลือกใช้ระบบการให้น้ำที่มีคุณภาพ หลังจากนั้นบางทีอาจทำให้น้ำน้อยลง ขึ้นกับภาวะลมฟ้าอากาศ และความชุ่มชื้นของดิน ซึ่งไม่สมควรปลดปล่อยให้ดินแห้ง ขาดน้ำ โดยยิ่งไปกว่านั้นในช่วงติดผล แต่ว่าในตอนติดดอกไม่ควรให้น้ำมากซึ่งในช่วงนี้เพียงแค่ระวังไม่หน้าดินแห้งก็ เพียงพอ
                โดยสายพันธุ์ของฝรั่งยอดนิยมในปัจจุบัน ได้แก่ พันธุ์ แป้นสีทองคำ , พันธุ์กิมจู , พันธุ์กลมสาลี่ , พันธุ์ไม่มีเม็ด , พันธุ์เวียดนาม ฯลฯ
องค์ประกอบทางเคมี
quercetin, quercetin-3-arabinoside , quercetin 3-O-b-L-arabinoside (guajavarin),                                    quercetin 3-O-b-D-glucoside (isoquercetin), quercetin 3-O-b-D-galactoside (hyperin),                             quercetin 3-O-b-L-rhamnoside (quercitrin) และก็ quercetin 3-O gentiobioside , Tannin ในผิวฝรั่งเมื่อเอามาสกัดน้ำมันระเหย พบสารต่างๆอย่างเช่น 1,8-cineole  ,   a-copaene,  trans-caryophyllene  , humulene  ,  a-amorphene ,    nerolidol   , caryophyllene oxide ,  epigiobulol, longitorenedehyde , aromaden dendrene , helifdenolC ฯลฯ  แล้วก็สำหรับค่าทางโภชนาการของฝรั่งต่อ (165 กรัม) เป็น

  • พลังงาน 112 กิโลแคลอรี
  • เส้นใยอาหาร 8.9 กรัม
  • โปรตีน 4.2 กรัม
  • ไขมัน 1.6 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 23.6 กรัม
  • วิตามินเอ 1030 IU
  • วิตามินซี 377 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 1 0.1 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 0.1 มก.
  • วิตามินบี 3 1.8 มก.
  • กรดโฟลิก 81 ไมโครกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 30 มก.
  • ธาตุฟอสฟอรัส 66 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 0.4 มก.
  • ธาตุโพแทสเซียม 688 มก.
  • ธาตุทองแดง 0.4 มิลลิกรัม ที่มา : Wikipedia


ประโยชน์/สรรพคุณ ฝรั่งคือผลไม้เพื่อสุขภาพที่เหมาะสำหรับคนที่อยากลดความอ้วน ลดหุ่น หรือผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เพราะเหตุว่าฝรั่งอุดมไปด้วยกากใยอาหาร เมื่อกินแล้วจะก่อให้อิ่มนาน ช่วยกำจัดท้องร้อง ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ช่วยทำให้ปรับระดับการใช้อินซูลินของร่างกายให้สมควร และยังช่วยล้างพิษโดยรวมได้อีกด้วย จึงมีผลทำให้ผิวพรรณมองเปล่งปลั่งสดใส โดยฝรั่งจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทุกประเภท รวมทั้งยังมีวิตามินซีสูงกเงินว่าส้มถึง 5 เท่า และก็ยังนิยมนำฝรั่งไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆเช่น ฝรั่งดอง ฝรั่งแช่บ๊วย พายฝรั่ง แล้วก็ขนมอีกหลายประเภท รวมถึงประยุกต์ใช้ทำเป็นยาแคปซูลแก้ท้องร่วงจากใบฝรั่ง ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งบรรจุแคปซูลละ 250 มิลลิกรัม
                นอกเหนือจากนี้น้ำมันหอมระเหยในใบฝรั่งยังมีการเอาไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร อาทิเช่น หมากฝรั่ง ทอฟฟี่ รวมถึงนำมาผสมหรือแต่งกลิ่นในน้ำยาบ้วนปากได้อีกด้วย ส่วนสรรพคุณทางยาของฝรั่งนั้นมีดังนี้ ตำรายาไทยกล่าวว่า เปลือกต้น, ราก รสฝาด อ่อนโยน ใช้แก้แผลเป็นพิษ แก้ปวดฟัน โรคลักปิดลักเปิด แก้อาการเลือดกำเดา แก้น้ำเหลืองเสีย แผลพุพอง ใบรสฝาดเปียก อ่อนโยนไม่มีพิษ ใช้เป็นยาฝาดสมาน แก้ท้องร่วง บิดเรื้อรัง ลมพิษ ผื่นคัน รอยแผลที่มีเลือดออก ผลที่ยังไม่สุก รสเปรี้ยว ฝาดสุขุม ใช้แก้ท้องเสีย บิด ดับกลิ่นปาก แก้ปวดฟัน ผลหมูสหวานหอมใช้เป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูก ใช้ห้ามเลือดต่อต้านการอักเสบ ลดน้ำตาลในเลือด โดยใช้เปลือกแห้งหนัก 10 กรัม ต้มน้ำกิน ใบแห้งหนัก 3-5 กรัม ถ้าเป็นใบสดใช้หนัก 15-30กรัม ต้มน้ำกิน ถ้าหากใช้ด้านนอกต้มเอาน้ำล้างหรือตำพอก ผลที่ยังไม่สุก แห้งหนัก 6-10 กรัม ต้มน้ำดื่ม
ต้นแบบ/ขนาดวิธีใช้

  • แก้ลำไส้อักเสบ บิด ใช้ใบสด 30-60 กรัม ต้มน้ำกิน
  • แก้กระเพาะไส้อักเสบกะทันหันและท้องเดิน ที่เกิดขึ้นมาจากการสรุปยไม่ดี ใช้ใบแห้งหนัก 10-15 กรัม ต้มน้ำดื่ม
  • แก้บาดแผลเกิดขึ้นจากการหกล้มหรือกระทบกระแทกหรือบาดแผลมีเลือดออก ใช้ใบสดตำพอกแผลภายนอก
  • แก้ปวดฟัน ใช้เปลือกรากผสมน้ำส้มสายชูต้มเอามาอมแก้ปวดฟัน
  • แก้เด็กเป็นแผลเล็กแผลน้อยเรื้อรัง ใช้เปลือก ราก ต้มร่วมกับขนไก่ เอามาชำระล้างรอยแผล
  • แก้ผิวหนังเป็นผื่นผื่นคัน ใช้เปลือกต้นสดและก็ใบต้นเอาน้ำล้างบริเวณที่เป็น
  • แก้ท้องเดิน ใช้ใบหรือผลดิบ ต้มกินต่างชา (ใบแห้ง 5 กรัม ใส่น้ำ 100 มิลลิลิตร)
  • ใช้สวนล้างช่องคลอดข้างหลังคลอด ใช้น้ำต้มจากใบสดอุ่นๆสวนล้าง
  • ใช้สำหรับการขจัดกลิ่นปาก ด้วยการนำใบสด 3-5 ใบมาบดแล้วคายกากทิ้ง
  • ช่วยรักษาอาการเสียงแห้ง แก้คออักเสบโดยการใช้ผลที่ตากแห้งต้มน้ำดื่ม
  • ยอดอ่อนๆปิ้งไฟให้เหลืองกรอบ ชงน้ำดื่มแก้ท้องเดิน บิด ใบสดบดอมดับกลิ่นบุหรี่ สุรา และกลิ่นปากได้ดิบได้ดี
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ลดการบีบตัวของไส้ แก้ท้องร่วง             จากการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยฤทธิ์ทางยาของฝรั่งพบว่าการให้ยาเม็ดแคปซูลใบฝรั่งครั้งละ 500 มก. ทุก 6 ชั่วโมง เป็นเวลา 3 วัน กับผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคอุจจาระตก 122 คน สามารถลดปริมาณครั้งของการขี้ ช่วงเวลาที่อุจจาระ รวมทั้งจำนวนน้ำเกลือที่ให้ชดเชยได้  การให้ยาเม็ดแคปซูลฝรั่งขนาด 500 มิลลิกรัม (ที่มีสารฟลาโวนอยด์ 1 มก./แคปซูล 500 มก.)  ทุก 8 ชั่วโมง เป็นเวลา 3 วันในผู้ป่วยที่มีลักษณะท้องร่วง เจ็บท้อง จำนวน 50 คน จะสามารถลดการบีบตัวของลำไส้และก็ลดระยะเวลาปวดท้องได้   การให้ยาต้มของฝรั่งในคนไข้เด็กที่เป็นโรคไส้อักเสบจากเชื้อไวรัส (Rota virus) 62 คน ทำให้อาการภายใน 3 วัน ช่วงเวลาท้องเดินสั้นลง และไม่พบเชื้อ Rota virus ในอุจจาระมากกว่าเมื่อเทียบกับกรุ๊ปควบคุม
                 สารสกัดใบฝรั่งด้วยคลอโรฟอร์ม เฮกเซน เมทานอล แล้วก็น้ำ สามารถลดการเคลื่อนไหว รวมทั้งการหดเกร็งของลำไส้เล็กของหนูตะเภารวมทั้งหนูแรทที่ถูกรั้งนำให้มีการเคลื่อนไหวเยอะขึ้นเรื่อยๆด้วยอะเซทิลโคลีน  สารสกัดใบฝรั่งด้วยเอทานอลปริมาณร้อยละ 50 สามารถยับยั้งการหดตัวของลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้หดตัวด้วยกระแสไฟฟ้า อะเซทิลโคลีน และก็แบเรียมคลอไรด์ได้อย่างสมบูรณ์ แล้วก็สามารถยั้งอาการท้องร่วงในหนูเม้าส์ที่ถูกชักพาให้กำเนิดอาการท้องเดินด้วยน้ำมันละหุ่ง โดยฝรั่งจะไปเพิ่มการดูดซึมน้ำในลำไส้แล้วก็ลดการบีบตัวของไส้   สารสกัดด้วยน้ำของใบฝรั่งสดสามารถยับยั้งอาการท้องร่วงได้ โดยลดปริมาณครั้งของการอุจจาระในหนูซึ่งถูกรั้งนำให้กำเนิดอาการท้องเสียด้วยยา microlax ได้
                 ส่วนสกัดของสารกลุ่ม polyphenolic, saponin และ alkaloid จากใบฝรั่ง สามารถยั้งการยุบเกร็งของลำไส้เล็กของหนูตะเภาที่รั้งนำให้หดเกร็งด้วยอะเซทิลโคลีนแล้วก็โปแตสเซียมคลอไรด์ได้   สาร quercetin และ quercetin-3-arabinoside จากใบฝรั่ง สามารถต้านทานการยุบตัวของลำไส้เล็กที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยอะเซทิลโคลีน ทำให้ลำไส้มีการเคลื่อนลดน้อยลง  ยิ่งกว่านั้นสาร quercetin ในใบฝรั่งยังสามารถยั้งการหดเกร็งของลำไส้เล็กในหนูแรทและก็หนูตะเภาซึ่งรั้งนำให้เกิดอาการหดเกร็งด้วยสารละลายโปตัสเซียม  อะเซทิลโคลีน แบเรียมคลอไรด์ ฮีสตามีน แล้วก็ซีโรโทนินได้ และก็สามารถลดความสามารถในการซึมผ่านของๆเหลวของเส้นเลือดฝอยบริเวณท้องซึ่งมีผลช่วยรักษาอาการท้องร่วง  สาร quercetin 3-O-b-L-arabinoside (guajavarin), quercetin 3-O-b-D-glucoside (isoquercetin), quercetin 3-O-b-D-galactoside (hyperin), quercetin 3-O-b-L-rhamnoside (quercitrin) และก็ quercetin 3-O-gentiobioside จากใบฝรั่ง สามารถลดการยุบเกร็งของลำไส้เล็กหนูเม้าส์ได้   สาร asiatic acid จากใบฝรั่งส่งผลทำให้กล้ามเนื้อของลำไส้เล็กส่วนปลายของกระต่ายคลายตัว  สารสกัดผลฝรั่งดิบด้วยเมทานอลมีฤทธิ์ต้านการหลั่งอะเซทิลโคลีนในลำไส้เล็กของหนูแรทแล้วก็หนูตะเภาได้ แต่ว่ามีฤทธิ์น้อยกว่าอะโทรป่ายปีน โดยฝรั่งมีผลทำให้ไส้มีการเคลื่อนลดลง ทำให้รักษาอาการท้องเดินได้    สารสกัดฝรั่ง (ไม่เจาะจงส่วน) สามารถลดการบีบตัวของลำไส้เล็กของหนูแรทได้
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียมีการเรียนรู้การต้านเชื้อแบคทีเรียหลายรายงาน ยกตัวอย่างเช่น สารสกัดเอทานอลของฝรั่ง สามารถต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Escherichia coli, Salmonella enteritidis, Shigella flexneri ได้  สารสกัดน้ำ ความเข้มข้น 10-5 มคล./มล. ทดลองในจานเพาะเลี้ยงเชื้อ  พบว่าสามารถยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย Shigella dysenteriae ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคบิดได้ สารสกัดเปลือกต้น
ด้วย 70% เอทานอล  ความเข้มข้น 250 มิลลิกรัม/มล. ทดสอบในจานเพาะเลี้ยงเชื้อ พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคอุจจาระตกเป็นStaphylococcus aureus, Vibrio cholerae และก็ V. parahaemolyticus แต่ไม่มีผลต่อเชื้อ E. coli, Shigella  flexneri, Salmonella typhimurium สารสกัดราก กิ่ง และใบฝรั่งด้วย 50% เอทิลอัลกอฮอล์  ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อ  พบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย E. coli, Sh. dysenteriae, Sh. flexneri, S. typhimurium ที่เป็นต้นเหตุก่อให้เกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร แต่ว่าไม่มีผลต่อเชื้อ Salmonella enteritidis สารสกัดกิ่งฝรั่งด้วยเอทานอล:น้ำ อัตราส่วน 1:1 ความเข้มข้น 50 มคล. สามารถต้านเชื้อแบคทีเรีย Sh. dysenteriae, Sh. flexneri (ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคบิด) E. coli (แบคทีเรียในลำไส้) S. typhimurium (กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดโรคไทฟอยด์) แม้กระนั้นไม่มีผลต่อเชื้อ S. enteritidis สารสกัดทิงเจอร์ของฝรั่ง สามารถยั้งเชื้อแบคทีเรีย V. chlorea ที่เป็นสาเหตุของอหิวาต์ ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้แต่ว่าเห็นผลปานกลาง  น้ำมันหอมระเหยของใบฝรั่ง สามารถยั้งเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus แม้กระนั้นไม่มีผลต่อเชื้อ Bacillus subtilis, E. coli, S. typhimurium ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้  สารสกัดใบฝรั่งด้วยปิโตรเลียมอีเทอร์ ความเข้มข้น 1,000 มคก./มิลลิลิตร สามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย Enterococcus faecalis ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ แต่ว่าไม่มีผลต่อเชื้อ E. coli, S. typhimurium, S. aureus สารสกัดใบฝรั่งด้วยน้ำ ความเข้มข้น 20 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร พบว่าสามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย S. dysenteriae 1 (ทำให้มีการเกิดโรคบิด) และก็ V. chlorea (กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอหิวาตกโรค) ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ ซึ่งขนาดความเข้มข้นต่ำสุดที่ยั้งได้ (MIC) มีค่าพอๆกับ 1.25, 5 มก./มล. ตามลำดับ
สารสกัดผลดิบของฝรั่งด้วยเมทานอล  ในขนาด 50,100, 300 มก./กิโลกรัม สามารถต้านเชื้อแบคทีเรีย Sh. dysenteriae 1, Sh. dysenteriae 2, Sh. dysenteriae 4, Sh. dysenteriae 8 รวมทั้ง V. chlorea 1350 ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ ซึ่งความเข้มข้นต่ำสุดที่ยั้งได้ (MIC) มีค่าเท่ากับ 100-200 มคกรัม/มล. สารสกัดหยาบคายของใบฝรั่ง สามารถยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย Vibrio ที่แยกได้จากกุ้งกุลาดำที่เป็นโรค 23 สายพันธุ์ ซึ่งความเข้มข้นต่ำสุดที่ยั้งได้ (MIC) มีค่าเท่ากับ 1.25-5.00 มก./มิลลิลิตร สารสกัดใบฝรั่งด้วยอะซีโตน และ 95% เอทานอล สามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย Salmonella B, S. newport, S. typhimurium, Sh.  flexneri นอกนั้นสารสกัดใบ ลำต้นฝรั่งด้วย 95% เอทานอล ยังสามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย E. coli ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้อีกด้วย  สารสกัดใบ ลำต้นฝรั่งด้วยน้ำ สามารถต้านทานเชื้อแบคทีเรีย E. coli, Sh. flexneri, S. aureus แต่ไม่มีผลต่อเชื้อ Salmonella B, S. newport แล้วก็ S. typhimurium ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อ
สารสกัดใบฝรั่งด้วยเมทานอล  สามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย Sh. flexneri ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ ซึ่งความเข้มข้นต่ำสุดที่ยั้งได้ (MIC) มีค่าเท่ากับ 10 มก./วัน แม้กระนั้นได้ผลไม่แน่นอนต่อเชื้อ E. coli, S. typhimurium สารสกัดใบฝรั่งด้วย 95% เอทานอล ความเข้มข้น 1,000 มคก./มล. พบว่าสามารถต้านทานเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้มีการเกิดโรคอุจจาระหล่น ได้แก่ Salmonella D, Sh. dysenteriae 1, Sh. flexneri 2A, Sh. flexneri 4A  ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้  แต่ว่าไม่มีผลต่อเชื้อ Salmonella B, S. typhimurium type 2, Shigella bodyii, Sh. bodyii 5, Sh. dysenteriae 2, Sh. flexneri 3A, Sh. sonnei  ส่วนสกัดแทนนินจากใบฝรั่ง ความเข้มข้น 85, 95, 95, 100, 110 มคก./มิลลิลิตร สามารถต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย Sh. flexneri, S. enteritidis, S. aureus , Escherichia piracoli, E. coli ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ ตามลำดับ    สารสกัดใบฝรั่งด้วยเมทานอล  สามารถต้านทานเชื้อแบคทีเรีย Salmonella spp. ได้ 2 สายพันธุ์  รวมทั้งต่อต้านเชื้อ Sh.  flexneri, Sh. virchow, Sh. dysenteriae แล้วก็เชื้อ E. coli ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ สารสกัดใบฝรั่งด้วยเอทานอล:น้ำ(1:1)และก็อะซีโตน สามารถต้านเชื้อแบคทีเรีย E. coli ที่เป็นสาเหตุของโรคอุจจาระตกได้ สารสกัดลำต้นฝรั่งด้วย 95% เอทานอล สามารถต้านทานเชื้อแบคทีเรีย S. newport และก็ S. typhimurium, Sh. flexneri ในจานเพาะเลี้ยงเชื้อได้ แต่ว่าไม่เป็นผลต่อเชื้อ Salmonella B, S. aureus   น้ำคั้นจากผลฝรั่ง ไม่อาจจะต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย Bacillus typhosus ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคไทฟอยด์ได้ สารสกัดส่วนที่อยู่เหนือดินด้วยอัลกอฮอล์ แล้วก็น้ำ (1:1) ความเข้มข้นมากยิ่งกว่า 25 มคก./มิลลิลิตร ไม่สามารถที่จะต้านเชื้อแบคทีเรีย B. subtilis, E. coli, S. typhosa
มีการศึกษาวิจัยโดย ปัญจางค์ ธนังกูล และแผนก ในผู้เจ็บป่วย 122 คน ที่เป็นโรคอุจจาระร่วง เป็นชาย 64 คน และหญิง 58 คน ซึ่งอยู่ในช่วงอายุ 16-55 ปี ทำการวิจัยเปรียบโดยกรรมวิธีการสุ่ม โดยนำใบฝรั่งอบแห้งแล้วบดเป็นผุยผง บรรจุแคปซูล ขนาด 250 มิลลิกรัม ลักษณะเดียวและขนาดเดียวกับ tetracyclin และบริหารการรับประทานยาเช่นเดียวกัน คือ 500 มก. ทุก 6 ชม. ตรงเวลา 3 วัน ทั้งคู่กลุ่ม พบว่าใบฝรั่งสามารถลดจำนวนอุจจาระ ช่วงเวลาที่ขี้ รวมทั้งปริมาณน้ำเกลือที่ให้ชดเชยได้
มีการเรียนในคนไข้เด็ก 62 คน ที่เป็นโรคลำไส้อักเสบจากเชื้อไวรัส (Rota virus) โดยให้รับประทานยาต้มของฝรั่ง พบว่าอาการดีขึ้นด้านใน 3 วัน และช่วงเวลาท้องเดินสั้นลงกว่ากรุ๊ปควบคุมอย่างเป็นจริงเป็นจัง (p<0.05) จำนวนโซเดียมรวมทั้งกลูโคสในอุจจาระต่ำลง และผลของการตรวจอุจจาระไม่พบเชื้อ Rota virus สูงถึง 87.1% ในตอนที่กลุ่มควบคุมไม่พบเชื้อ Rota virus 58.1% แสดงว่ายาต้มของฝรั่งมีคุณภาพในการรักษาอาการท้องเสียในผู้เจ็บป่วยลำไส้อักเสบจากเชื้อ Rota virus ได้
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ   จากการศึกษาเล่าเรียนทางสถานพยาบาลในคนเจ็บ 70 คน ที่มีเหงือกอักเสบ พบว่าน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบฝรั่งสามารถลดการอักเสบได้ร้อยละ 19.8 แล้วก็ลดรอยโรคที่ความรุนแรง ได้จำนวนร้อยละ 40 เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีส่วนผสมของสารสกัดจากใบฝรั่ง หลังจากใช้ตรงเวลา 3 อาทิตย์
            สารสกัดใบฝรั่งด้วยน้ำขนาด 50-800 มก./กิโลกรัม เมื่อฉีดเข้าช่องท้องพบว่ามีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบแบบกระทันหัน  เมื่อทดลองกับอุ้งเท้าหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยไข่ขาวสด นอกเหนือจากนี้เมื่อฉีดน้ำมันหอมระเหยจากใบฝรั่งเข้าทางท้องของหนูแรทในขนาด 0.8 มล./กิโล พบว่าสามารถยั้งการอักเสบที่ถูกรั้งนำด้วยสาร carrageenan ได้
สารสกัดจากผลฝรั่งด้วยเมทานอลเมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องของหนูแรท พบว่าสามารถยับยั้งการอักเสบของอุ้งเท้าหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วยสาร carrageenan, kaolin รวมทั้ง formaldehyde ได้ นอกจากนั้นสารสกัดผลฝรั่งด้วยเมทานอลเมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องของหนูเม้าส์จะสามารถยับยั้งการอักเสบและลดอาการเจ็บปวดที่ถูกรั้งนำด้วย acetic acid  ได้ดียิ่งไปกว่าแอสไพรินที่ให้ในขนาดเสมอกันนิดหน่อย
เมื่อนำใบฝรั่งมาหมักกับราแล้วก็แบคทีเรียอาทิเช่น Phellinus linteus (ส่วนเส้นใย) Lactobacillus plantarum และ Saccharomyces cerevisiae แล้วนำมาสกัดด้วยเอทานอล พบว่าสารสกัดที่ได้มีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบโดยยั้งการสร้างสารที่ทำให้เกิดการอักเสบคือ ไนตริกออกไซด์แล้วก็ พรอสต้าเอ็งรนดิน อี 2 ในหลอดทดสอบ นอกเหนือจากนั้นสารสกัดฝรั่งด้วยเอทานอลรวมทั้งน้ำยังออกฤทธิ์ยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์
             สารสกัดใบฝรั่งด้วยเอทิลอะซีเตตมีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ รวมทั้งแก้แพ้โดยยับยั้งการโต้ตอบต่อแอนติเจนที่ชักชวนให้มีการแพ้และก็การอักเสบ
ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด                 สารสกัดใบฝรั่งด้วยเอทานอลมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในหนูแรทที่ถูกชักจูงให้เป็นโรคเบาหวานด้วยการฉีด alloxan เข้าเส้นเลือดดำขึ้นรถสกัดใบฝรั่งออกฤทธิ์ใน 2 ชั่วโมง มีฤทธิ์สูงสุดในชั่วโมงที่ 6 รวมทั้งสิ้นฤทธิ์ใน 24 ชั่วโมง
ฤทธิ์ต้านทานเซลล์ของโรคมะเร็ง      สารสกัดใบฝรั่งมีความเป็นพิษต่อเซลล์ของมะเร็ง murine fibrosarcoma และก็เซลล์มะเร็งเต้านม

การเรียนทางพิษวิทยา
การทดลองความเป็นพิษ  พิษกะทันหัน  สารสกัดด้วยน้ำจากใบ LD50 มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 20 กรัม/กิโลกรัม  เมื่อให้ทางปากในหนูถีบจักรอีกทั้ง 2 เพศ และมีค่ามากกว่า 5 ก./กก.  เมื่อฉีดเข้าทางท้อง สารสกัดเอทานอล (50%) จากส่วนเหนือดิน LD50 มีค่าพอๆกับ 0.188 เมื่อฉีดเข้าท้องในหนูถีบจักร พิษเรื้อรัง  การให้สารสกัดน้ำจากใบทางปาก ขนาด 0.2, 2 แล้วก็ 20 กรัม/กก. ทุกเมื่อเชื่อวันติดต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน  พบว่าอัตราการเพิ่มของน้ำหนักตัวลดลง ในกลุ่มที่ได้รับสารสกัด เมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุมที่ได้รับน้ำ ในตอนที่ไม่เจอความต่างของจำนวนของกินที่กินในทุกกลุ่ม ความประพฤติทั่วๆไปปกติในทุกกรุ๊ป หนูเพศผู้มีระดับ ALP, SGPT (ลักษณะการทำงานของตับ), BUN (การทำงานของไต) และก็ WBC สูงมากขึ้น ตอนที่ระดับของโซเดียมและก็คลอเลสเตอรอลในเลือดลดลง น้ำหนักของตับรวมทั้งไตมากขึ้น การตรวจทางจุลทัศนกายตอน พบความเคลื่อนไหวของไขมันรวมทั้งลักษณะ hydronephrosis หนูเพศเมียมีระดับโซเดียม โปแตสเซียม

14

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือมีผลอย่างไรต่อเซลล์ต่อมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต เบาหวาน โรคความดันสูง แล้วก็โรคอื่นๆอันแสนเพลียที่จะรักษา ติดตามผลวิจัยยืนยันสรรพคุณได้ในเนื้อหานี้ค่ะ
บทความพวกนี้อ้างอิงคุณประโยชน์ของเห็ดหลินจือจากผลวิจัยยืนยันจากที่ต่างๆเพื่อเพื่อนได้ตรึกตรองด้วยตัวเองว่ารักษาโรคได้ดีขนาดไหนและน่าไว้วางใจแค่ไหน ถ้าหากสหายๆเคยอ่านบทความเกี่ยวกับสรรรพคุณหรืองานศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเห็ดหลินจือจากที่อื่นมาก่อน แล้วรู้สึกอ่านไม่ง่ายเท่าไหร่หรือไม่รู้เรื่อง บทความในเว็บไซต์แห่งนี้นักเขียนได้คัดเลือกแล้วก็เก็บรวบรวมจากหลายที่และก็เขียนในภาษาที่อ่านง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อนๆชอบเนื้อหานี้ก็จะเป็นกำลังหัวใจให้ผู้เขียนได้บทความดีๆให้สหายอ่านกันอีกต่อไปบทความเห็ดหลินจือรักษาโรคเด็ดๆที่เพื่อนๆจำต้องชอบ
ระบบภูมิคุ้มกันเป็นกลไกการกำจัดเชื้อโรค สารเคมีแปลกปลอม เซลล์ของมะเร็ง แล้วก็สิ่งเจือปนอื่ๆที่จะเข้ามาทำอัตรายต่อสุขภาพเรานั้นเอง โดยเหตุนี้ถ้าหากเพื่อนๆมีระบบระเบียบภูมิต้านทานดีก็จะไม่ป่วยง่าย หรือถ้าป่วยก็จะฟื้นเร็ว แต่ถ้าหากระบบภูมิต้านทานไม่ดีก็จะป่วยไข้บ่อยแล้วก็เป็นหนักกว่ามีระบบูมิคุ้มกันแข็งแรง มาถึวที่ตรงนี้แล้วเพื่อนๆคงเห็นจุดสำคัญของการมีระบบภูมิต้านทานที่แข็งแรงกันแล้ว
คนจีนโบราณใช้สมุนไพร [url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ[/url]มานานกว่า 2000 ปีแล้ว แต่ในสมัยนั้นยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเพราะอะไรทานเห็ดหลินจือถึงมีอายุยืนและแข็งแรงไม่ค่อยเป็นโรค เวลานี้เราสมารถพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสารกลุ่ม Polysacchayide ในเห็ดหลินจือนั้นสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพวกเราได้จริง สารกรุ๊ปดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นสามารถกระตุ้นการผลิต Interleukin รวมทั้ง Immuoglodulin ซึ่งส่งผลให้ระบบภูเขามคุ้มกันดีและแข็งแรงขึ้น
ระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกเสริมด้วยสาร Polysaccharide ในเห็ดหลินจือจะสามารถต้านวรัส เซลล์มะเร็ง รวมทั้งจำกัดสารอนุมูลอิสระได้ดีขึ้น นอกนั้นยังช่วยให้ถูกผลข้างเคียงที่โดนยาต่อต้านโรคมะเร็งบางตัวและกระบวนการทำคีโมกดภูมิคุ้มกันให้มีระบบระเบียบภูมิต้านทานอีก และก็เห็ดหลินจือยังมีสารออกฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเชื้อ HIV อีกด้วย ซึ่ง กลุ่มดังกล่าวข้างต้นเป็นกรุ๊ป Bitter Triterpenoids
นักวิจัยได้ค้นพบสารหลายแบบในสมุนไพร เห็ดหลินจือที่ช่วยลดจำนวนไขมันในเส้นโลหิตหมายถึงGanoderic Acid รวมทั้ง Lucidenic Acid ซึ่งสาร 2 ประเภทที่ได้พูดไปแล้วก่อนหน้านี้ เว้นแต่ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้แล้ว ยังคุ้มครองปกป้องไม่ให้ไขมันตันเส้นโลหิตได้โดยตรงอีกด้วย นอกเหนือจากนี้ยังมีสารกรุ๊ป Nucleotide ซึ่งสามารถช่วยลดการอุดตันของลิ่มเลือดในเส้นโลหิต และก็ช่วยลดอัตราเสี่ยงที่จะเป็นอัมพาตได้อีกด้วย
ได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่ประเทศญี่ปุ่นทดลองให้สารสกัดเห็ดหลินจือกับผู้ที่เป็นโรคไขมันเส้นโลหิตสูง 70 ราย และก็กระทำเก็บผลของการทดสอบหลังจากผ่านไป 3 เดือน พบว่าโคเรสเตอคอยลของผู้รับการทดสอบลดลงไปถึง 74% ซึ่งก็สอดคล้องกับผลงานวิจัยจากทั่วโลก แล้วก็ยังพบว่าเห็ดหลินจือ นอกจากช่วยลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือดแล้ว ยังเป็นเหตุให้โลหิตไหลเวียนดียิ่งขึ้นอีกด้วย
ดังนั้น ก็เลยอาจพูดได้ว่า สิ่งที่ใช้ในการพิสูจน์ทางคุณลักษณะรวมทั้งประโยชน์ซึ่งมาจากเห็ดหลินจือยังคงมีจำกัด บาง งานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยเป็นการทดสอบขนาดเล็ก หลักฐานที่ได้ยังไม่มีคุณภาพพอเพียง หรือเป็นเพียงแค่การทดสอบในผู้เจ็บป่วยบางกรุ๊ปแค่นั้น ประสิทธิผลของเห็ดหลินจือต่อโรคมะเร็ง ก็เลยยังคงเป็นหัวข้อการค้นคว้าที่ควรจะปฏิบัติการทดลองถัดไป เพื่อให้ได้สำเร็จลัพ์ที่ชัดแจ้ง และเป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อการดูแลและรักษาคนป่วยโรคมะเร็งได้ในอนาคต
ภาวะต่อมลูกหมากโต และการเจ็บป่วยในระบบฟุตบาทเยี่ยว
มีขั้นตอนการทดลองหนึ่งที่ใช้สารสกัดจากสมุนไพร เห็ดหลินจือทดลองในคนเจ็บเพศ 88 รายซึ่งแก่เกินกว่า 49 ปีขึ้นไป ที่มีลักษณะปัสสาวะขัดข้อง หลังการทดลองกว่า 12 อาทิตย์ ผลที่ได้คือ คนเจ็บต่างมีระดับคะแนน IPSS ที่ดียิ่งขึ้น ( TNE lnternational Prostate Symptom Score )ซึ่งเป็นค่าคะแนนสากลสำหรับเพื่อการวัดปัญหาในระบบฟุตบาทปัสวะของผู้เจ็บป่วยจากการตอบคำถาม กลับไม่ปรากฏผลในเชิงการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิต การขับถ่ายปัสวะ หรือขนาดของต่อมลูกหมากแต่อย่างใด
ด้วยเหตุดังกล่าว การทดลองดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วก็เลยยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาสตร์ที่กระจ่างแจ้งเพียงพอ ควรต้องมีการค้นคว้าทดลองในด้านนี้ถัดไปในอนาคต เพื่อค้นหาข้างหลังฐานที่กระจ่างแจ้งสำหรับเพื่อการสรุปเกี่ยวกับประสิทธิของเห็ดหลินจือต่อการดูแลรักษาภาวะต่อมลูกหมากโตหรือปัญหาด้านสุขภาพอะไรก็ตามที่เกี่ยว

ลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจ
จากการวิเคราะห์ผลการทดสอบทางการแพทย์ 5 ราการ ซึ่งมีคนป่วยเบาหวานชนิด 2 เข้าร่วมทดสอบกว่า 398 รายพบว่า เห็ดหลินจือไม่เป็นผลทางการรักษาในเชิงการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่มีหลักฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพพอเพียงจะเกื้อหนุนผลทางการรักษาเหล่านั้น และไม่มีข้อมูลที่เพียงพอสำหรับเพื่อการยืนยันด้านความปลอดภัยจากการบริโภคเห็ดหลินจือเหมือนกัน โดยหนึ่งในงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยเหล่านั้น ได้แสดงถึงผลข้างเคียงจากการบริโภคเห็ดหลินจือในผู้ป่วยบางราย เป็นอาการคลื่นใส้ ท้องร่วง หรือท้องผูก
สมุนไพร ฉะนั้นจำเป็นที่จะต้องมีการค้นคว้าทดสอบถึงสมรรถนะของเห็ดหลินจือสำหรับเพื่อการลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆกลุ่มนี้เพื่อคุ้มครองปกป้องแล้วก็การรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจต่อไป และให้รู้เรื่องกระจ่างแจ้งชัดดเจนในด้านดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมากขึ้น อันเป็นคุณประโยชน์ต่อกรรมวิธีรักษาปกป้องโรคหลอดเลือดหัวใจและก็อาการต่างๆที่เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต

Tags : สมุนไพรเห็ดหลินจือ

หน้า: [1]