รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - Tawatchai1212

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7
46

เจตมูลเพลิงขาว
ชื่อท้องถิ่นอื่น  ปิดปิวขาว (ภาคเหนือ) ตั้งชู้รักอ้วย , โคนชุวา (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) เจตมูลเพลิงขาว (ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Plumbaga zeylanica L.
ชื่อตระกูล  PLUMBAGINACEAE
ชื่อสามัญ White leadwort.
ลักษณะทั่วไปทางวิชาพฤกษศาสตร์
ไม้พุ่มขนาดเล็ก (US) สูงประมาณ 1-1.5 เมตร กิ่งอ่อนเป็นรองและก็เป็นเหลี่ยมสีเขียว แตกกิ่งก้านสาขารอบๆต้นมาก
ใบ เป็นใบคนเดียว ออกตรงข้ามกัน ลักษณะใบรูปไข่หรือรูปขอบขนานปนรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบของใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบมีสีเขียวเข้ม ลักษณะที่คล้ายกับใบมะลิแต่จะใหญ่กว่า
ดอก ออกดอกเป็นช่อที่ส่วนยอดของต้น ดอกมีสีขาว โคนหลอดจะเป็นหลอดเล็กๆแต่ส่วนปลายจะบานคล้ายจานมีอยู่ 5 กลีบ กลีบดอกจะบางมาก กลีบเลี้ยงเป็นสีเขียว รวมทั้งมีขนปกคลุมอยู่ ซึ่งขนนี้จะมีต่อมเหนียวๆติดมือ
ผล ได้ผลแห้ง ลักษณะรูปรี ยาว กลม สีเขียวและก็มีขนเหนียวรอบผล แตกออกได้
นิเวศวิทยา
มีถิ่นเกิดในอินเดีย แล้วก็เขตร้อนทั่วไป กำเนิดตามขว้างสดงดิบและก็ป่าเบญจพรรณทั่วๆไป เป็นไม้ที่ชอบอยู่ร่มรำไร
การปลูกแล้วก็เพาะพันธุ์
เจริญเติบโตได้ดีในที่ที่มีอากาศร้อนชื้น รวมทั้งสภาพดินธรรมดา  เพาะพันธุ์ด้วยการเพาะเม็ด หรือการปักชำกิ่ง

ส่วนที่ใช้ รส และสรรพคคุณ   
สมุนไพร ราก รสร้อน ใช้เป็นยาขับรอบเดือน แก้ปวดข้อ ขับพยาธิ ใช้ทาแก้กลากเกลื้อน ระงับอาการปวดฟัน รวมทั้งแก้ท้องเสีย ขับลมในกระเพาะและก็ลำไส้ ขับโลหิตประจำเดือน แก้ริดสีดวงทวาร ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
ต้น  รสร้อน แก้เลือดอันเกิดแต่ว่ากองกำเดา
ใบ รสร้อน แก้อาการน้ำดีนอกฝัก หรือแก้อพัทธปิตตะสมุฏฐาน
ดอก รสร้อน แก้อาการน้ำดีนอกฝัก หรือแก้อพัทธปิตตะสมุฏฐาน
วิธีการใช้แล้วก็ปริมาณที่ใช้

  • ขับประจำเดือนหรืบขับโลหิตเมนส์ โดยใช้รากสด 5-10 กรัม หรือแห้งประมาณ 3-5 กรัม ล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นต้มในน้ำที่สะอาด 500 ซีซี นานโดยประมาณ 10 นาที แล้วกรองเอาน้ำ ดื่มวันละ 2 เวลา รุ่งเช้า-เย็น
ข้อควรจะรู้
รากมีสาร plumbagin ลำต้นมีแบบเดียวกัน แต่น้อยกว่าราก
ต้องการให้เป็นยาช่วยสำหรับการย่อยหรือเจริญอาหาร ให้นำผงของรากเจตมูลไฟแดงมาผสมกับลูกสมอพิเภก ผงดีปลี แล้วก็เกลือ อย่างละเท่าๆกัน รับประทานครั้งละ 2.5 กรัม
สตรีที่มีครรภ์ห้ามกินรากของต้นนี้ ด้วยเหตุว่ารากจะมีสารบางอย่างที่ทำให้แท้งบุตรได้

47
อื่น ๆ / สัตววัตถุ ปูทะเล
« เมื่อ: มกราคม 04, 2018, 03:37:32 AM »

ปูทะเล
ปูทะเลเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในชั้นครัสเตเชีย ที่เจอในประเทศมีขั้นต่ำ ๓ ประเภท ทุกประเภทจัดอยู่ในวงศ์  Portunidae คือ
๑.ปูดำ หรือ ปูแดง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scylla serrata (forsskal) จำพวกนี้พบตามป่าชายเลนทั่วไป
๒.ปูขาว หรือ ปูทองหลาง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scylla oceanic dana จำพวกนี้พบตามพื้นทะเลทั่วไป
๓.ปูเขียว หรือ ปูทองคำโหลง หรือ ปูลาย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scylla transquebarica Fabricius
ประเภทนี้พบตามพื้นทะเลทั่วๆไปอีกทั้ง ๓ ชนิดมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ต่างกันด้านสีรวมทั้งหนามที่ขอบกระดองแล้วก็สภาพถิ่นอาศัย จนนักวิชาการลางสำนักจัดเป็นชนิดเดียวกันหมดเป็นScylla serrata  (Forsskal)
ชีววิทยาของปูทะเล
ปูทะเลอาจมีกระดองขนาดกว้างได้ถึง ๒๐ ซม. มีลำตัวที่แบ่งออกเป็น ๒ ส่วนหมายถึงท่อนหัวที่เชื่อมรวมกับอกมีกระดองเป็นเปลือกปกคลุมอยู่ด้านบน  กับส่วนท้องที่พับแนบติดกับลำตัวทางข้างล่าง ชาวบ้านเรียกส่วนนี้ว่า ตะปิ้ง ซึ่งในตัวผู้จะเป็นสามเหลี่ยมแคบ ส่วนในตัวเมียจะแผ่กว้างออกเป็นรูปโค้งกลม มีขา ๕ คู่ คู่แรกแปรไปเป็นก้ามใหญ่ ใช้จับเหยื่อแล้วก็ป้องกันตัว รวมทั้งเพศผู้ใช้จับกุมตัวภรรยาเวลาผสมพันธุ์ ขาคู่ที่ ๒-๕ มักมีปลายแหลม ใช้สำหรับคลานหรือเดิน ส่วนขาสุดท้ายของปูทะเลจะแบนเป็นกรรเชียง ช่วยสำหรับในการว่ายน้ำ ปูทะเลหายใจโดยเหงือกซึ่งมีลักษณะคล้ายฟองน้ำ  ประชาชนเรียก  นมปู  มองเห็นได้เมื่อเปิดกระดองออก  ปูทะเลบางทีอาจสลัดก้ามทิ้งได้  โดยสร้างก้ามใหม่ขึ้นมาเมื่อลอกคราบครั้งต่อมา  เหมือนปกติหลังจากการลอกคราบเปื้อนเพียงแต่ ๒ รั้ง ก้ามปูอาจมีขนาดใหญ่เหมือนเดิมได้  การลอกคราบเปื้อนของปูเป็นวิธีการช่วยเพิ่มขนาด  ภายหลังปูทานอาหารและก็สะสมไว้พอเพียงแล้ว  ก็จะสลัดเปลือกเดิมทั้งสิ้นทิ้งไป  แล้วสร้างเปลือกใหม่ขึ้นมาแทน  ปูที่แก่น้อยนั้นลอกคราบบ่อย  แต่จะค่อยๆห่างขึ้นเมื่อปูโตเต็มกำลังแล้ว ฤดูผสมพันธุ์ของปูทะเลอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม ในตอนนี้ปูทะเลมีไข่มาก ก่อนที่จะมีการสืบพันธุ์นั้น ตัวผู้อุ้มตัวเมียไว้เพื่อรอจนถึงตัวเมียลอกคราบ ภายหลังจากสืบพันธุ์แล้ว ตัวเมียจะปลดปล่อยไข่ออกมาไว้ตับปิ้ง ใช้รยางค์ของส่วนท้องโอบไข่เอาไว้ ไข่ในระยะเริ่มต้นมีสีเหลืองอ่อนๆแต่จะเปลี่ยนเป็นสีแก่ขึ้น จนกระทั่งเป็นสีส้มและก็สีน้ำตาล เป็นลำดับ หลังจากนั้นไข่ก็เลยฟักเป็นตัวอ่อน ดำเนินชีวิตเป็นพลิกก์ตอนลอยไปกับน้ำทะเล แล้วลอกคราบเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นตัวอ่อนอีกระยะหนึ่ง จึงจะจมลงสู่พื้นทะเลเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นปูขนาดเล็กถัดไป

ผลดีทางยา
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] แพทย์แผนไทยใช้ “ก้ามปูทะเลเผา” เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในการประกอบยาหลายขนาน เช่น ยาใช้ภายนอกแก้แผลอันมีสาเหตุมาจากไส้ด้วนไส้ลุกลาม กระตุ้นให้เกิดลักษณะของการปวดแสบปวดร้อนยิ่งนัก ซึ่งบึนทึกเอาไว้ภายใน พระหนังสือมุจฉาปักขันทิกา ดังต่อไปนี้ ถ้ามิหาย  ให้ร้อนหนัก ท่านให้เอา ก้ามปูสมุทรเผา ๑ เปลือกหอยโข่งเผา ๑ รากลำโพงแดง  ๑  รากขัดมอน  ๑  ฝางเสน  ๑  ดินประสิว ๑ เปลือกจิกนา ๑ ผลจิกท้องนา  ๑  เอาเสมอ  บดด้วยน้ำลายจรเข้เป็นกระสาย  หายแล ยาแก้กระหายน้ำแก้ร้อนภายในอันทำให้หอบขนานหนึ่ง  ซึ่งบันทึกไว้ภายในพระคู่มือธาตุวิภังค์ เข้าเครื่องยาที่เรียก “ก้ามปูทะเลเผาไฟ” ด้วย  ยาขนานนี้แบบเรียนว่าใช้ “รับประทานทั้งพ่น”  ดังต่อไปนี้ ขนานหนึ่งแก้ระหายน้ำให้ร้อนด้านในแลให้หอบ  ท่านให้เอาสังข์หนามเผาไฟ ๑  รากบัวหลวง ๑  ฝุ่นผงจีน  ๑  รังสุนัขร่าเผาไฟ  ๑  ชาดก้อน  ๑ ดอกพิกุล ๑  ดอกสาระภี  ๑  ดอกบุนนาค  ๑  เกสรบัวหลวง ๑ การบูร ๑ รากสลอดน้ำ ๑ รากคันทรง ๑ ก้ามปูสมุทรเผาไฟ ๑ โปตัสเซี่ยมไนเตรดขาว ๑ ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากัน บดเปนแท่ง ละลายน้ำดอกไม้สด ทั้งรับประทานอีกทั้งพ่น แก้ร้อนแก้ระหายน้ำ ไคลตกก็หายแล

Tags : สมุนไพร

48
อื่น ๆ / สัตววัตถุ เเมงมุม
« เมื่อ: ธันวาคม 26, 2017, 07:44:28 AM »

แมงมุม
แมงมุมเป็นชื่อเรียกสัตว์จำพวกแมงหลายประเภทในวงศ์ ทุกชนิดจัดอยู่ในชั้น  Araneae  มีชื่อสามัญว่า spider กินสัตว์เป็นของกิน มีขนาดนาๆประการตามแต่ชนิด  พวกที่คราวขนาดเล็กอาจมีลำตัวยาวเพียงแต่ ๐.๗  ซม. ส่วนพวกที่มีขนาดใหญ่อาจมีลำตัวยาวถึง ๙ ซม. พวกที่พบตามอาคารบ้านเรือนและก็ก่อความเปรอะเปื้อนรุงรังมักเป็นแมงมุมที่อยู่สกุล Pholcus หลายชนิด (วงศ์  pholcidae )
แมงกับแมลง
ในทางวิชากีฏวิทยา คำ “แมง” กับ “แมลง” สื่อความหมายต่างกัน และมักเรียกงงงวยกัน คำ “แมง”ใช้เรียกชื่อสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังหลายชนิด ซึ่งเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว  ลำตัวแบ่งออกได้เป็น ๒ ส่วนเป็นท่อนหัวกับอกรวมเป็นส่วนเดียวกันส่วนหนึ่งส่วนใด กับส่วนท้องอีกส่วนหนึ่ง มีขา ๘  หรือ ๑๐ ขา ไม่มีหนวด ไม่มีปีก ได้แก่ แมงมุม  แมงป่อง แมงดาทะเล ส่วนคำ “แมลง” ใช้เรียกชื่อสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหลากหลายประเภท ซึ่งเมื่อเจริญเติบโตสุดกำลังแล้ว  ลำตัวแบ่งออกได้เป็น ๓ ส่วนอย่างแจ่มแจ้งหมายถึงท่อนหัว ส่วนอก และก็ส่วนท้อง  มีขา ๖ ขา เป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังเพียงแต่พวกเดียวที่มีปีก อาจมีปีก ๑ หรือ ๒ คู่  หรือไม่มีปีกเลยก็ได้ เป็นสัตว์ที่มีมากมายชนิดที่สุดในโลก ยกตัวอย่างเช่น แมลงสาบ แมลงวัน
ชีววิทยาของแมงมุม
แมงมุมมีลำตัวแบ่งได้เป็น  ๒  ส่วน  ส่วนหัวกับส่วนอกชิดกันเป็นส่วนเดียวปกคลุมด้วยแผ่นแข็งทั้งยังด้านหลังและข้างล่าง มีตาเล็กๆข้างละหลายตา ลางชนิดอาจมีได้ถึง  ๘  ตา อยู่ใกล้ๆกัน  (เว้นเสียแต่แมงมุมลางประเภทที่ไม่มีตา ซึ่งมักเป็นแมงมุมที่อาศัยอยู่ในที่มืด อาทิเช่นในถ้ำ)  ที่ปากมีเขี้ยวเป็นอวัยวะคู่  มีรูปร่างเหมือนปากคีบหรือคีมคีบใช้คีบ  จับ  หรือยึดเหยื่อเป็นของกินได้  มีบ้องฐานข้อเดียว ส่วนปลายอาจมีรูปล่อยพิษซึ่งเชื่อมต่อถึงต่อมพิษที่ฐานปาก  ยิ่งไปกว่านั้นที่ปากยังมีอวัยวะคู่รูปทรงคล้ายขา แต่สั้นกว่าและมักแบนกว่า (มักก้าวหน้าดีแล้วก็เห็นได้ชัดในตัวผู้ที่ยังไม่โตเต็มกำลังรวมทั้งในตัวเมีย) แมงมุมไม่มีหนวด  มีขา ๔ คู่  ที่ขามักมีองค์ประกอบพิเศษให้ใช้ถักใยได้ ดังเช่น มีแผ่นแบนอยู่ระหว่างง่ามเล็บ ส่วนท้องอาจกลมหรือยาวสุดแต่ชนิดของแมงมุมที่ปลายมีท่อเป็นรูเปิดสำหรับปล่อยใยได้  บริเวณด้านล่างของส่วนท้องบ้องที่  ๒  รวมทั้ง ๓ มีอวัยวะปฏิบัติหน้าที่เป็นจมูกสำหรับหายใจ ซึ่งมักเป็นช่อง ภายในมีแผ่นบางๆเรียงทับกันคล้ายกระดาษหนังสือ แมงมุมส่วนมากที่คนไทยเห็นนั้น  มักเป็นจำพวกถักใยขวางทางผ่านของสัตว์เพื่อจับกินเป็นอาหาร เมื่อมีสัตว์มาติดใยแล้วก็ดิ้นรน  แรงสั่นสะเทือนจะไปถึงตัวแมงมุมเจ้าของรัง แมงมุมซึ่งมีสายตาไม่ดีก็จะติดตามทิศทางของแรงสะเทือนนั้นเข้าพบเหยื่อ กัดเหยื่อ รวมทั้งปล่อยน้ำพิษทำให้เหยื่อสลบ  ก่อนจะกินเป็นของกิน
แมงมุมในประเทศไทย
แมงมุมที่พบในประเทศไทยมีมาก  จัดอยู่ในหลายสกุล  แต่ว่าทุกวงศ์จัดอยู่ในชั้นเดียวกัน เป็น Araneae  จำพวกที่เจอในประเทศไทยนั้น  ส่วนใหญ่ไม่มีพิษร้ายถึงกับกัดคนให้เจ็บหรือตายได้  อย่างเช่น
๑.แมงใย หรือ ตัวใยแมงมุม  เป็นแมงมุมที่เจอตามบ้านที่พักรวมทั้งถักใยจนกระทั่งดูสกปรกรวมทั้งรกรุงรัง  มักเป็นพวกที่จัดอยู่ในสกุล  Pholcus หลายแบบ (วงศ์ Pholcidae )  แมงมุมพวกนี้มักมีลำตัวสีน้ำตาลหรือสีเทาทึบ หลังท้องสีมักเข้ม ลางชนิดมีลาย ส่วนใหญ่มีลำตัวยาว ๔-๕  มิลลิเมตร ขายาวกว่าลำตัวมากมาย เป็นยาวราว ๕-๖ เซนติเมตร  ทำให้ดูโย่งเย่งรวมทั้งบอบบาง  จึงมีชื่อสามัญว่า  daddy  long-leg  spider  คนไทยลางถิ่น เรียก แมงมุมเถ้าถ่าน เพราะว่าถักใยทำให้รกแล้วก็มีฝุ่นผงหรือเถ้ามาติด ใยแมงมุมที่แมงมุมพวกนี้ถักทอไว้ในบ้าน  โดยยิ่งไปกว่านั้นในห้องครัว  หรือที่อยู่ใกล้เตาไฟ ซึ่งมีเขม่าไฟหรือเถ้าติดอยู่ด้วยกัน หมอโบราณใช้เป็นเครื่องยา เรียก หญ้ายองไฟ
๒.แมงมุมทำหลาว เป็นแมงมุม พวกที่ถักใยนอกบ้าน  พบบ่อยตามแปลงพืชหรือตามเรือกสวนไร่  เป็นแมงมุมที่จัดอยู่ในสกุล  Tetragnatha  หลากหลายประเภท  (ตระกูล Tetragnathidae ) ซึ่งราษฎรเรียก แมงมุมทำหลาว  เนื่องจากว่าเมื่อตกใจ  แมงมุมเหล่านี้จะวิ่งไปหลบอยู่หลังใบไม้  ยื่นขา ๒ คู่แรกไปข้างหน้า ขาคู่ที่ ๔ ยื่นไปด้านหลังอยู่ในระดับเดียวกับลำตัว ขาคู่ที่ ๓ ใช้ยึดเกาะยืนตั้งฉากกับลำตัว ดูเหมือนคนที่จัดแจงพุ่งแหลนลงน้ำ แมงมุมเหล่านี้ดักจับเพลี้ยจักจั่นกินเป็นของกิน จัดเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อเกษตรกร
๓.แมงมุมก๋า หรือ ตัวก๋า มีชื่อวิทยาศาสตร์  Heteropodae  venatoria  (Linnaeus ) จัดอยู่ในตระกูล Sparassidae  มีชื่อสามัญว่า  banana  spider ( เพราะว่ามักพบแมงมุมก๋านี้ในโกดังเก็บกล้วย ) เป็นแมงมุมขาดกึ่งกลาง ตัวผู้ลำตัวยาว ๑.๕-๒  ซม.  ตัวเมียมีลำตัวยาว  ๒.๕-๓ เซนติเมตร ขายาว ๕-๖ ซม. หัว อก ขา และก็ท้องสีน้ำตาล  ตาสีคล้ำ  ที่ข้างหลังอกมีแถบสีดำดกพิงตามขวางด้านหน้า รวมทั้งแถบเป็นง่ามเหมือนรูปตัววี (V) ด้านปลายอีก ๑ แถบที่สันหลังท้องมีเส้นสีน้ำตาลแก่พาดมาถึงกึ่งกลาง  อาจพบจุดสีน้ำตาลแก่เป็นลายข้างๆ ข้างละ ๔-๕ จุด  มีขนสีน้ำตาลอ่อนรอบๆหน้าแล้วก็ขา  ทำให้ดูน่าสะพรึงกลัว แมงมุมชนิดนี้ไม่ถักใย  ออกหากินโดยการจับเหยื่อโดยตรง  เจออาศัยอยู่ตามบ้านช่องหรือตามโกดังเก็บของ เป็นแมงมุมที่มีประโยชน์  เพราะถูกใจกินแมลงสาบ
๔.แมงมุมมดแดง  มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Myrmarachne  formicaria  Linnaeus  จัดอยู่ในวงศ์  Salticidae เป็นแมงมุมประเภทที่มีรูปร่างเอาอย่างสัตว์อื่น  มักพบและก็มีชุกตามจังหวัดหาดทราย  ยกตัวอย่างเช่น  ชลบุรีหรือจังหวัดระยอง มีรูปร่าง   ขนาด  และสีสันใกล้เคียงกับมดแดง  และชอบอาศัยปะปนอยู่กับมดแดง แต่แตกต่างตรงที่เมื่อแมงมุมพวกนี้กระโจน  จะถักใยทิ้งตัวเพื่อโยกย้ายได้  เมื่อสังเกตอย่างประณีตขมักเขม้น จะพบว่าปริมาณขาและก็ลักษณะอื่นๆไม่เหมือนกับมดแดง

คุณประโยชน์ทางยา
แพทย์แผนไทยรู้จักใช้ “ต้นหญ้ายองไฟ”รวมทั้ง “แมงมุมตายซาก” เป็นเครื่องยาด้วย  ดังต่อไปนี้
๑.ต้นหญ้ายองไฟ  หมอแผนไทยรู้จักใช้หยากไย่แมงมุมเหนือเตาไฟในห้องครัวของบ้านไทยในชนบทอดีต (เตาไฟใช้ฟืนใช้ถ่าน)  หยากไย่แมงมุมที่มีเขม่าควัน ขี้เถ้า  และฝุ่นเกาะอยู่ด้วยนี้ แพทย์โบราณเรียก  ต้นหญ้ายองไฟ  ลางตำราเรียนเรียกเป็น  ใยแมงมุมไฟ  หรือ  หยากไย่ไฟ  ก็มี  ใช้เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง
สมุนไพร ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า  ต้นหญ้ายองไฟมีรสเค็ม  ฝาด  มีคุณประโยชน์แก้โลหิต  ฟอกเลือด  กระจัดกระจายเลือดอันเป็นลิ่มเป็นก้อน  ขับโลหิตระดู
ตำราเรียนยาไทยหลายขนานเข้า “ต้นหญ้ายองไฟ”  เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง  ในที่นี้ขอยกตัวอย่างยา  ๒  ขนาน ขนานแรกเป็นยาแก้กษัยอันเกิดเพื่อโชธาตุชื่อ “สันตัปปัคคี” ซึ่งบันทึกเอาไว้ภายในพระตำราไกษย  ดังนี้ ขนานหนึ่งเล่า  ถ้าหากมันให้จุกเสียดปวดขบเปนกำลัง  ให้เอาพริกเทศ  ๑๐๘  เม็ด  พริกล่อน  ๑๐๘  เม็ด  ผักกะดูดซับเอาอีกทั้งต้นรากใบลูกเอาสิ่งละ ๑ บาท  หญ้าไซย้อย  ๑  หญ้าไซแห้ง ๑ เอาสิ่งละ ๑ บาท  หญ้ายองไฟ  ๑  บาท  ไพลแห้ง  ๑  บาท  ตำเปนผง  ละลายน้ำเหล้าน้ำส้มซ่าน้ำขิงน้ำมะนาวน้ำกระเทียมก็ได้  ยักกระสายให้ชอบโรคนั้นเหอะ อีกขนานหนึ่งเป็นยาขับเลือดของสตรีซึ่งมีบันทึกเอาไว้ใน  พระคู่มือมหาโชตรัต ดังนี้ อนึ่งเอาสหัศคุณเทศ ๑   แก่นแสมทเล  ๑  ต้นหญ้ายองไฟ  ๑  ขมิ้นอ้อย  ๑  บดละลายเหล้ากิน  ใหขับโลหิตดีนักแล ตำรับยาลางขนาน  เจ้าของตำรับอาจเขียนตัวยาไว้เป็นปัญหาให้ตีความหมายกันเอาเอง  ยกตัวอย่างเช่น  ยาแก้บิดขนานหนึ่ง  เจ้าของยาให้ตำรับยาไว้ว่า “ลุกใต้ดิน  กินตีนท่า  อยู่หลังคา  ขี้ค้างรู  คู่อ้ายบ้า”  ซึ่งก็คือ “รากเจตมูลเพลิงเเดง  ๑  ผักเป็ด ๑  หญ้ายองไฟ ๑  ขี้ยาฝิ่น  ๑  สุราเป็นน้ำกระสาย”
๒. แมงมุมตายซาก  แพทย์แผนไทยใช้แมงมุมที่ตายแล้วซากแห้งสนิท  ไม่เหม็นและไม่ขึ้นรา  เป็นเครื่องยาในยาไทยโบราณหลายขนาน  ดังเช่น  “ยานากพด”  ซึ่งมีบันทึกเอาไว้ในพระหนังสือปฐมจินดาร์  ดังนี้ ยาชื่อนากพด  ท่านให้เอาใบหนาด  ๑  พริกไท  ๑  เบี้ยจั่นเผา  ๑  ขิง ๑  รังสุนัขร่าเผา  ๑  แมงมุมตายซาก  ๑  ลำพัน  ๑  รวมยา  ๗  สิ่งนี้เอาเท่าเทียมกัน  บดทำแท่งไว้  แก้ทรางทั้งปวง  แก้ละอองพระบาท  แก้ตะพั้น  ทั้งรับประทานทั้งชะโลมดีนัก

Tags : สมุนไพร

49
อื่น ๆ / สัตววัตถุ เต่านา
« เมื่อ: ธันวาคม 15, 2017, 01:41:47 AM »

เต่านา
เต่าท้องทุ่ง (Asian snail – eating turyle) เป็นเต่าน้ำจืด
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Malayemys subtrijuga(Gray)
จัดอยู่ในเชื้อสาย Emydidae
เป็นเต่าขนาดกลาง ตัวโตเต็มกำลังมีกระดองยาวราว ๒๑ เซนติเมตร กว้างราว ๑๕ ซม. รวมทั้งสูงราว ๑๐ ซม. หัวค่อนข้างจะโตมากมายก่ายกองจนกระทั่งดูไม่สมตัว หัวมีลายขาวยาวๆตลอดกาลจวบจนกระทั่งข้างคอ กระดองบนมีสันตามแนวยาว ๓ สัน สีบนข้างหลังเป็นสีน้ำตาลดำ ขอบกระดองมีเกล็ด ช่วงท้ายกลมมน ไม่หยักแหลม ตัวอ่อนมีลายเกล็ดบนกระดองใต้ท้อวเป็นแถบดำคละเคล้าแดงแถบใหญ่ หากแม้เมื่อโตขึ้นจะจางหาย [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/b][/url]  แปรไปที่ขอบกระดองสีขาวๆระหว่างนิ้วมีพังผืดกางเต็ม เพศผู้อกตันคล้ายตัวเมีย แต่มีหางยาว ใหญ่กว่า เต่าชนิดนี้รับประทานลูกกุ้ง ปลา แมลง โดยเฉพาะหอย เจอได้ชุมตามทุ่งนาสระหนองทั่วๆไปในทุกภาคของประเทศ

หนังสือเรียนสรรพคุณ
ยาโบราณว่า หัวเต่ามีรสจืดชืด คาว มีคุณประโยชน์แก้ตับทรุด แก้ม้ามย้อยม้ามโต แล้วก็แก้เยี่ยวทุพพลภาพ

50
อื่น ๆ / สัตววัตถุ ไก่บ้าน
« เมื่อ: ธันวาคม 11, 2017, 07:40:38 AM »

ไก่บ้าน
ไก่บ้าน หรือไก่เลี้ยง เป็นสัตว์ ๒ ขา มีขนปกคลุมตัว แล้วก็มีปีก เป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่คู่กับมนุษย์มาแต่ว่าสมัยก่อน ปัจจุบันมีการพัมนาสายพันธุ์ต่างๆล้นหลาม มีทั้งๆที่เลี้ยงเพื่อรับประทานเนื้อ เรียกไก่ เนื้อ และก็ชนิดที่เลี้ยงเพื่อกินไข่ เรียกไก่ไข่
ไก่บ้าน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gallus gallus (Linnaeus)

อยู่ในตระกูล Phasianidae มีชื่อสามัญว่า domestic fowl
สมุนไพร เป็นไก่ที่มีสายพันธุ์มาจากไก่ป่า (junglefowl) ก็เลยมีลักษณะทั่วไปคล้ายไก่ป่า ข้อแตกต่างที่สังเกตได้ง่ายระหว่างไก่บ้านกับไก่ป่าก็คือ แข้งของไก่บ้านมีสีได้หลายสี ตัวอย่างเช่น สีขาว สีเหลือง แต่ว่าของไก่ป่ามีเพียงแค่สีเดียวเป็นสีเทาเข้ม

51
อื่น ๆ / สัตววัตถุ ไก่ป่า
« เมื่อ: ธันวาคม 11, 2017, 02:50:36 AM »

ไก่ป่า
ไก่ป่าเป็นต้นเชื้อสายของไก่บ้าน
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gallus gallus (Linnaeus)
อยู่ในวงศ์ Phasianidae
มีชื่อสามัญว่า red jungle fowl
มีบ้านเกิด แถบทวีปเอเชียใต้ (ศรีลังกาแล้วก็ประเทศอินเดีย) มาทางตะวันออก จนกระทั่งหมู่เกาะมลายู
ไก่ป่าที่พบในประเทศไทยมีเพียงชนิดเดียวคือ Gallus gallus (Linnaeus) ชนิดนี้มีหน้าสีแดง ไม่มีขน หงอนสีแดง มีเหนียงสีแดงแล้วก็ติ่งหูอย่างละคู่ ขนบริเวณคอ ข้างหลัง ถึงสะโพกมีสีส้ม ขนปีกสีเขียววาวขลิบสีส้มใต้ท้องสีน้ำเงินดำ หางโค้งลาด ปลายพริ้ว สีเขียวแซมดำและก็สีน้ำเงินเข้มวาว ความยาวของตัววัดจากปลายปากถึงปลายหางราว ๖๐ เซนติเมตร ตัวผู้หนัก ๘๐๐ – ๑๓๐๐ กรัม ไก่ป่าตัวผู้มีลักษณะสำคัญที่ไม่เหมือนกับนกอื่นๆคือ
๑.มีหงอนบนหัวที่เป็นเนื้อ ไม่ใช่หงอนที่เป้นขน
๒.มีเหนียงเป็นเนื้อแขวนลงมาทั้งสองข้างของโคนปากและก็คาง
๓.มีหน้าแล้วก็คอเป็นหนังหมดจดๆ ไม่มีขน
๔.โดยทั่วไปขนเรียกตัวมีสีสวยงาม มีขนหาง ๑๔ – ๑๖ เส้นตั้งเรียงกันเป็นสันสูงตรงกลาง คู่กึ่งกลางยาวกว่าคู่ อื่น ปลายแหลมแล้วก็อ่อนโค้ง เรียก หางกะลวย
๕.แข้งมีเดือยข้างละอันเป็นอาวุธ
ไก่ป่า ตัวเมียมักมีขนาดเล็กกว่าเพศผู้ ขนไม่งดงาม สีไม่ฉูดฉาด แข้งไม่มีเดือย หงอนและเหนียงเล็กมากมาย หรือบางตัวแทบเป็บศูนย์ ไก่ป่าอาศัยตามพุ่มเล็กๆในป่าทั่วไป บินได้เร็ว แต่ในระดับต่ำๆและก็ระยะทางสั้นๆเป็นปกติอยู่เป็นฝูงใหญ่ตลอดตัวผู้รวมทั้งตัวเมียรวมกันราว ๕๐ ตัว แต่ว่าจะแยกเป็นฝูงเล็กๆในช่วงฤดูสืบพันธุ์ ซึ่งตัวผู้จำเป็นต้องต่อสู้กันเพื่อครอบครองพื้นที่รวมทั้งฉกชิงตัวเมียกันตัวละ ๓ – ๕ ตัว หลังสืบพันธุ์แล้วตัวเมียจะทำรังเป็นหลุมตื้นๆบนพื้นดินหรือบนกองใบไม้แห้งๆในที่ปลอดภัย  แล้วออกไข่คราวละ ๕ – ๖ ฟอง ไข่สีขาวหรือน้ำตาล ใช้เวลาฟักราว ๒๑ วัน ลูกไก่ป่าอายุ ๘ วันก็เริ่มบินเกาะตามก้านไม้ได้ และเมื่ออายุราวๆ ๑๐ วัน ก็เริ่มบินได้ในระยะทางสั้นๆ

ไก่ป่าที่เจอในประเทศไทยมี ๒ ประเภทย่อย เป็น
๑. ไก่ป่าติ่งหูขาว หรือ ไก่ป่าอีสาน (Cochin Chinese red jungle foml) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gallus gallus gallus (Linnaeus) มีติ่งหูสีขาว มักพบทางภาคทิศตะวันออกและก็ภาคอีสาน
๒. ไก่ป่าติ่งหูแดง หรือ ไก่ป่าชนิดประเทศพม่า (Burmese red jungle fowl) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gallus gallus  spadiceus (Bonnaterre) มีติ่งหูสีแดง มักพบทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และก็ภาคใต้
ประโยชน์ทางยา
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/b][/url] โบราณไทยใช้ตับไก่เป็นทั้งของกินและก็เป็นยา  แบบเรียนสรรพคุณยาโบราณบันทึกไว้ว่า  ตับไก่ใช้แก้โรคตาฝ้าตาฟาง ปัจจุบันเพิ่งจะทราบว่าโรคนี้เกิดจากการขาดวิตามินเอ ซึ่งพบได้บ่อยในตับไก่ หมอแผนไทยรู้จักใช้เปลือกไก่ฟัก ไข่แดง ตับไก่ และก็เล็บไก่ป่า เป็นเครื่องยามาเป็นเวลายาวนานแล้ว แบบเรียนโบราณว่า ไข่แดงมีรสมัน คาว มีคุณประโยชน์ชูกำลังสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ร่างกาย ตับไก่มีรสมัน คาว มีคุณประโยชน์บำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง บำรุงร่างกายให้แข็งแรง แก้โรคตาฝ้าตาฝ้า และเล็บไก่ป่าใช้แก้พิษไข้ ไข้รอยดำ ไข้หัวทุกชนิด นอกเหนือจากนั้นไข่ขาวยังคงใช้เป็นตัวยาปรุงแต่งทางการปรุงยาสำหรับทำยาขี้ผึ้ง ดังที่ปรากฏในยาขนานที่ ๗๙ ใน ตำราพระยารักษาโรคพระนารายณ์ ดังต่อไปนี้
ขนานหนึ่ง ให้เอาพิมเสน ๒ สลึง การบูร ๓ สลึง มาตะกี่ ๕ สลึง ชันตะคียน กำยาน สิ่งละ ๗ สลึง สีปากขาว ๑๐ ตำลึง น้ำมันที่ผลิตขึ้นมาจากมะพร้าวอันใหม่ดีนั้นครึ่งทนาน ต้มขึ้นด้วยกันให้สุกดี  แล้วกรองกากออกเสีย เอาไว้ให้เย็น ก็เลยเอาไข่ไก่ เอาแต่ไข่ขาว ๒ ลูก เอาสุรากลั่นราวๆจอกหนึ่ง กวนกับไข่ให้สบกันดี แล้วจึงแบ่งออกให้เป็น ๓ ภาคๆหนึ่งนั้น เอาน้ำทะแลงไซ้ ๓ สลึง การบูร ๓ สลึง กวนเข้าด้วยกันให้สบก็ดี เป็นสีผึ้งแดง จึงเอาสีปากขาวภาค ๑ นั้น มากวนด้วยจุที่สีพอเหมาะ เป็นสีปากเขียว ภาคหนึ่งเป็นสีผึ้งขาว ปิดแก้เพ่งพิศม์ แสบร้อนให้เย็น

52

น้ำขิง
ขิงเป็นสมุนไพร และเครื่องเทศที่ช่วยชาติไทยจีนและประเทศอินเดียรู้จักใช้มาตั้งแต่โบราณ แบบเรียนคุณประโยชน์โบราณของไทยว่าขิงสด มีรสหวานเผ็ดร้อน
มีคุณประโยชน์ แก้ปวดท้อง บำรุงธาตุ ขับลมในไส้ให้ผายรวมทั้งเรอ โดยเหตุนี้น้ำขิงนอกเหนือจากที่จะช่วยละลายยาให้กินยาง่ายแล้ว ยังช่วยแต่งรถยนต์ให้น่ารับประทานยิ่งขึ้นทั้งมีสรรพคุณทางยาซึ่งสามารถเสริมฤทธิ์ตัวยา ในยาขนานนั้นได้อีกด้วย ทิ้งที่นำมาใช้เตรียมน้ำขิง สำหรับทำเป็นกระสายยานั้น มักใช้ขิงแก่สดสูตรเอาผิวนอกออก ล้างน้ำให้สะอาดแล้วฝานเป็นชิ้นบางๆต้มกับน้ำตามอยากส่วนขิงที่นำมาใช้เป็นเครื่องเทศนิยมใช้อีกทั้งสดและแห้งทั้งยังหินอ่อนและขิงแก่โดยมักใช้ขิงที่ยังอ่อนอยู่ ปรุงอาหารที่ไม่ได้อยากต้องการรสเผ็ดมากมาย โบราณว่าขิงแห้งมีรสหวานเผ็ดร้อนมีคุณประโยชน์แก้ไข้แก้ลมแก้จุกเสียดแก้เสลดบำรุงธาตุแก้คลื่นเห*ยน อ้วก สวนหินสดมีรสหวานเผ็ดร้อนมีสรรพคุณแก้ปวดท้องบำรุงธาตุ ขับลมในลําไส้ให้ผายลมรวมทั้งเรอ
   สมุนไพร ยาเวลาที่ ๕๓ ในแบบเรียนพระยารักษาโรคพระนารายณ์ชื่อ “มหากระทัศใหญ่” ที่ใช้แก้ลมทุกหมวดหมู่นั้น ให้ใช้น้ำผึ้ง น้ำขิง น้ำส้มซ่า หรือน้ำกระเทียม เป็นน้ำกระสายยาก็ได้ สุดแต่หมอผู้วางยาจะยักกระสายให้จะต้องโรคจำต้องอาการ ดังต่อไปนี้   “มหากทัศใหญ่” ให้เอาโกฏสอเทศ เทียนทั้ง ๕ รากเจตมูลไฟ ผลกระวาน ใบกระวาน ผลอันใหญ่ สะค้าน เปลือกสมุลแว้ง ขิงแห้ง ว่านน้ำ พริกล่อน รากไคร้เครือ บอแร็ก ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ เกลือสินเธาว์ สิ่งละส่วน การะบูร กานพลู เทียนตาตั๊กแตน เทียนเกล็ดหอย สหัสคุณก็ได้ เปล้าน้อยก็ได้ สิ่งละ ๘ส่วน ดีปลี ๒๐ ส่วน กระทำเป็นผุยผง ละลายน้ำผึ้ง น้ำขิงน้ำส้มส้า น้ำกระเทียมก็ได้ กินหนักสลึงหนึ่ง แก้ลมปัตฆาฏ ลมอัมพาต ลมราทยักษ์ ถ้าเกิดลมนั้นเบากำลังยานั้นก็จะให้ร้อนถึงปลายมือปลายเท้า บรรดาลมทั้งหมดแก้ได้หายสิ้นแลฯ
  ขิงมีชื่อเรียกในภาษาสันสกฤตว่า srigavere ซึ่งแผลงเป็น zingiber เมื่อทำให้เป็นภาษาละตินเพื่อตั้งเป็นชื่อสกุลและชื่อสกุล ตามหลักสากลในการตั้งชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ ฝรั่งเรียกว่าขิง ginger ดังที่เรียกกันในภาษาแขก ผู้รอบรู้ทางภาษาคนไม่ใช่น้อยสันนิศฐานว่า คำ “ขิง” ในภาษาไทย ก็คงจะมีที่มาจากภาษาแขกนี้เอง แม้กระนั้นเรียกให้สั้นลง
ขิง เป็นเหง้าของพืชขนาดเล็กที่มี
ชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Zingiber officnale Roscoe
ในสกุล Zingoberaceae
เป็นพืชอายุหลายปี สูง ๓๐-๙๐เซนติเตียนเมตนมีเหง้าที่มีกาบใบบางๆห่อหุ้ม เปลือกนอกสีน้ำตาลปนเหลือง เนื้อเหง้ามีสีนวล มีกลิ่นเฉพาะ เป็นใบเลี้ยงคนเดียว ออกสลับกัน รูปขอบขนานแกมรูปใบหอก ปลายใบแหลม ขอบของใบเรียบ ขนาดกว้าง ๑-๓ เซนติเมตร ยาว ๑๐-๒๕เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อ ช่อดอกแทงขึ้นโดยตรงจากเหง้า ก้านช่อดอกยาว๑๐-๒๐ เซนติเมตร มีใบปนะดับ สีเขียวอ่อน ดอกย่อย ไม่มีก้าน ดอกมีสีเหลือง ปลายกลีบเป็นสีม่วงแดง ผลสำเร็จแห้ง มี๓ พู

ขิงมีองค์ประกอบเป็นชันน้ำมัน (oleoresin)อยู่ในจำนวนสูง ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ขิงมีรสเผ็ดแล้วก็ มีกลิ่นหอมยวนใจ ถ้าสกัดชันน้ำมันนี้ ด้วยตัวทำละลาย บางประเภทจะได้ชันน้ำมันที่เกือบจะบริสุทธิ์ซึ่งมีลักษณะข้นเหนียว สีน้ำตาลเข้ม มีกลิ่นฉุนรวมทั้งรสเผ็ดร้อน มีชื่อเรียกเชิงพาณิชย์ว่า “จินพบริน” (gingerin) มีสารในกรุ๊ปจินเจอรอล ( gingerol) โชโกล (shogaol) และ ชิงพบโรน (zingerone) เป็นหลัก ชันน้ำมันที่เตรัยมใหม่ๆจะมีจินเจอรอล ตัวอย่างเช่น 3-6-gingerol,8-gingerol,10-gingerol,12-gingerol เป็นหลัก แต่หากทิ้งเอาไว้นานๆจะมีโชโกลเป็นตัวหลัก อีกทั้งโชโกลแล้วก็สิงพบโรนไม่ใช่สารสินค้าธรรมชาติที่พบในขิง แม้กระนั้นเป็นสารที่มีเหตุมาจากปฏิกิริยาเคมีในระหว่างการสกัดด้วยตัวทำละลาย สารทั้งสองนี้มีรสเผ็ดร้อนกว่าจินพบรอคอยล ฉะนั้น จินเจอรินที่ดีต้องมีสารทั้งสองชนิดนี้ในจำนวนที่ต่ำที่สุด  ขิงมีน้ำมันระเหยง่ายราวจำนวนร้อยละ ๑-๓ ปริมาณนี้จะขึ้นกับแนวทางปลูกและก็ตอนที่เก็บเกี่ยว ในน้ำมันระเหยง่ายมีสารสำคัญหลายแบบ เป็นต้นว่า (-)-b-sesquiphillandrene , E,E-a-farnesene , (-)-zingiberene , (+)-ar-curcumene ซึ่งมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อบัคเตรีที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดหนอง ขับลม กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารรวมทั้งไส้  ปัจจุบันนี้มีการใช้สารสกัดจากขิง ซึ่งหนสารส่วนประกอบหลักเป็นอนุพันธ์ของ 4-hydroxy-3-methoxyphenyl ดังเช่นว่า ซิงพบโรน จินเจอร์ไดออล (gingerdiol) จินเจอร์ไดโอน (gingerdione) จินเจอรอล โชโกล เป็นยาที่ช่วยบรรเทาอาการอ้วกอาเจียน แล้วก็ทุเลาอาการปวดเพราะว่าข้อเสื่อม ทั้งยังอาจช่วยลดการอักเสบและก็บวมของข้อ

53
อื่น ๆ / สัตววัตถุ อีกากับนกกาเหว่า
« เมื่อ: ธันวาคม 06, 2017, 06:07:33 AM »

อีกากับนกกาเหว่า
อีกาเป็นนกที่ถูกนกกาเหว่าตกไข่และก็ให้ฟักไข่แทนสูงที่สุด นกกาเหว่าตัวเมียออกไข่ในตอนสายๆภายหลังจากกาออกจากรังไปแล้ว ก่อนออกไข่ นกกาเหว่าตัวเมียเป็นจำต้องทำลายไข่ของกาทุกหน ทีละ ๑ ฟอง แล้ววางไข่ของปัญญามธรรมดานกกาเหว่าวางไข่เพียงแค่ ๑ ครั้งต่อรังกาแต่ละรัง แม้กระนั้นอาจมีนกกาเหว่าตัวอื่นมาออกไข่ในรังอีการังเดียวกันได้ ลูกนกกาเหว่าที่อีกาฟักออกเป็นตัวแล้ว มักทำลายไข่ของกาที่เหลืออยู่หรือลูกของกาเสมอ [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] รังอีกาลางรังพบบ่อยกาตัวผู้และกาตัวเมียเลี้ยงลูกนกกาเหว่า ๑ ตัว นกประเภทนี้สร้างรังตามต้นไม้สูงๆโดยการเอากิ่งไม้มาขัดกันหยาบๆตกไข่ปีละครั้งละ ๓-๕ ฟอง ไข่สีฟ้าอมเขียว มีกระสีน้ำตาล ตัวเมียกกไข่ราว  ๑๘  วัน จึงฟักออกมาเป็นตัว ตัวผู้จะหาอาหารมาเลี้ยง จากนั้น  ๓-๔  อาทิตย์ ตัวอ่อนจึงเริ่มฝึกบิน กาเป็นนกที่เฉลี่ยวฉลาด สามารถเลียนเสื่อมเสียได้เหมือนกับนกแก้วหรือนกขุนทองแม้กระนั้นอาจเลียนได้ไม่มากมายคำ มีนิสัยชอบการขโมยของลูกนกหรือไข่นกอื่นเป็นของกิน

Tags : สมุนไพร

54

รังนกอีแอ่น
อีแอ่นกินรังรวมทั้งอีแอ่นก้นขาวสร้างรังด้วยน้ำลายเป็นรูปถ้วยครึ่งส่วน ปริมาณยาวตามขอบบนเฉลี่ย ๑๓.๓ ซม. ลึก ๕.๑  เซนติเมตร   มีน้ำหนัก  ๗-๑0  กรัม   โดยนกทั้งยัง  ๒  เพศช่วยกันทำรังเฉพาะช่วงกลางคืน ใช้เวลาในการสร้างรัง ๓0-๓๕  วัน  รวมทั้งจะสร้างรังชดเชย  (re-nest) ถ้ารังถูกทำลาย   โดยรังที่  ๒  ที่ทำใหม่มีขนาดเล็กลงมีน้ำหนักโดยเฉลี่ย  ๕-๗  กรัม แล้วก็ใช้เวลาสำหรับเพื่อการทำรังลดน้อยลงด้วย  หมายถึง ๒0-๒๕  วัน ถ้าเกิดรังถูกทำลายอีกก็จะทำรังที่ ๓ ซึ่งจะมีขนาดเล็กกว่ารังที่ ๒ ไม่มาก น้ำหนักใกล้เคียงกัน   และก็ใช้เวลาสำหรับเพื่อการสร้างรัง  ๑๕-๑๗ วัน เหมือนเคยนกประเภทนี้สร้างรังเพียง ๓ รัง หากรังที่ ๓ ทำลายก็จะไม่ทำรังใหม่อีก แต่ว่าจะมีลางสร้างรังที่ ๔ และที่  ๕  ได้
ตอนที่นก  ๒  จำพวก นี้สร้างรังคือตอนก.พ.ถึงมิถุนายน โดยออกไข่เพียงแต่รังละ ๒ ฟอง ระยะฟัก ๒๒-๒๔  วัน ระยะเลี้ยงลูก ๕-๖ สัปดาห์ นกทั้งคู่เพศจะช่วยเหลือกันฟักไข่และก็เลี้ยงลูกอ่อน ลูกอ่อนที่ฟักออกมามักมี  ๒  ตัว มีเพียงตัวเดียวที่เติบโตหรือรอดตายกระทั่งบินได้   โดยระหว่างที่ลูกนกอีกตัวหนึ่งมักตาย   เพราะเหตุว่าไม่ได้กินอาหาร หรืออาจถูกลูกนกอีกตัวหนึ่งซึ่งโตกว่าเบียดตกรังไป
สมุนไพร ส่วนอีแอ่นหางสี่เหลี่ยมทำรังโดยใช้ขนเป็นอุปกรณ์ ใช้น้ำลายเป็นตัวเชื่อมสิ่งของให้ชิดกัน รูปร่างของรังเป็นรูปถ้วย ขนาดโตกว่าของอีแอ่นรับประทานรังเพียงแค่เล็กๆน้อยๆน้ำหนักเฉลี่ยราว  ๓0  กรัม หรือราว ๓ เท่าของอีแอ่นกินรัง อีแอ่นหางสี่เหลี่ยมนี้มีความประพฤติวิธีการทำรังทดแทนและก็การออกไข่ตอบแทนเหมือนกันกับอีแอ่นทำรังสะโพกขาวแต่ว่าตกไข่เพียงรังละ ๑ ฟอง รวมทั้งระยะเวลาสร้างรังกับตกไข่นั้นนานกว่า
อีแอ่นทำรังทั้ง ๓ ประเภทดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้งน้ำครอบครองตามกฎหมาย อนึ่ง สำหรับการเก็บรังนกนั้น ผู้เก็บต้องได้รับสัมปทาน กฎหมายให้เก็บรังนกได้ไม่เกินปีละ  ๓  ครั้ง การเก็บแต่ละครั้งให้เก็บพร้อมเพียงกัน   ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจการแล้ว เนื่องจากว่าการเริ่มต้นทำรังของนกแต่ละตัวไม่พร้อม   ลางรังที่เก็บจะมีไข่หรือตัวอ่อนอยู่ด้วย  ซึ่งการเก็บรังที่มีไข่หรือตัวอ่อนแล้วนั้น นกจะไม่มีการทำรังใหม่ขึ้นมาทดแทน เป็นเหตุให้ปริมาณอีแอ่นน้อยลง นอกจาก การต่ำลงของอีแอ่นกินรังเกี่ยวโยงกับสารพิษตกค้างในตัวนก และสัตว์ผู้ล่า ซึ่งจำนวนมากเป็นเหยี่ยวต่างๆงูเหลือม รวมทั้ง งูเขียว

คุณประโยชน์ของรังนก
ชาติจีนเป็นชนชาติที่นิยมบริโภครังนก ด้วยเหตุว่าเช้าใจกันว่าเป็นอาหารชั้นยอด มีคุณประโยชน์บำรุงกำลังสำหรับคนไข้เรื้อรังด้วยโรคต่างๆเป็นยาอายุวัฒนะ กระตุ้นให้เกิดกำหนัด แม้กระนั้นก็นำไปสู่เสมหะด้วย รังนกประเทศต่างๆตัวอย่างเช่น ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม รวมทั้ง ประเทศฟิลิปปินส์ จะถูกส่งไปขายในประเทศจีน รวมถึงประเทศที่มีชุมชนจีนหนาแน่น ปีละมากมายๆชาวจีนเช้าใจกันว่า รังนกจากไทยมีคุณภาพดียอด จึงมีราคาแพงกว่ารังนกประสิทธิภาพเดียวกันจากประเทศอื่น
ผลที่ได้รับจากการวิเคราะห์คุณค่าทางของกินของรังนกพบว่า มีโปรตีนอยู่จำนวนร้อยละ ๕๔  คาร์โบไฮเดรตจำนวนร้อยละ ๒๓.๓  น้ำจำนวนร้อยละ ๑๖.๘  และก็สารอื่นๆและแคลเซียม โพแทสเซียม   รวมทั้งฟอสฟอรัส อีกร้อยละ ๕.๙  นอกเหนือจากนี้ยังมีสารที่แสดงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เป็นคุณต่อร่างกายอีกหลายประเภท

55

สมุนไพรโกษฐ์สิงคี
ยาขนานที่ ๖๘ ใน [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] หนังสือเรียนพระโอสถพระนารายณ์ เข้าเครื่องยาชื่อ “โกฏสิงคี” ซึ่งมีบันทึกไว้ ดังนี้ สีผึ้งบี้พระเส้น ให้เอาชะมด ๒ ไพล พิมเสน โกฏเชียง กรุงเขมา ดีงูงูเหลือม จันทร์ทั้งยัง ๒ กฤษณา กระลำพัก สิ่งละเฟื้อง โกฏสอ โกฏเฉมา โกฏจุลาลำภา โกฏกัยี่ห้อ โกฏสิงคี โกฏหัวบัว มัชะกิยวาณี กระวาน  กานพลู ลูกจันทร์  ดอกจันทร์   เทียนดำ เทียนขาว  พริกหอม  พริกหาง พริกล่อน ดีปลี ลูกกราย ฝิ่น สีปาก สิ่งละสลึ่ง กระเทียม หอมแดง ขมิ้นอ้อย ๒ สลึง ทำเปณจุที่ละลายน้ำมะนาว  ๑0  ใบ น้ำมันงาทนาน ๑  น้ำมันหมูหลิ่ง น้ำมันเสือ หุงให้อาจแต่ว่าน้ำมัน ก็เลยเอาชันรำโรง ชันอ้อย ชันระนัง ใส่ลงพอสมควร กวนเอาก็ดีแล้วจึงเอาทาแพรทาผ้าถวาย ทรงปิดไว้ที่พระเส้นอันแข็งนั้นหย่อนยาน ข้าพระพุทธเจ้า ออกพระสิทธิสาร ประกอบทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายทรง ณ วัน  ๑ ฯ ๔  ค่ำ ปีชวด โทศกฯ เครื่องรางที่ตำราฯเรียก โกฏสิงคีในยาขนานนี้ ก็คือ เขากุย นั่นเอง

56
อื่น ๆ / สัตววัตถุ น้ำมันขนเเกะ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2017, 09:12:15 AM »

น้ำมันขนแกะ
น้ำมันขนแกะ (wool-fat  หรือ  Adeps  Lanae) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากขนแกะ ส่วนปลายฤดูใบไม้ผลิถึงต้นฤดูร้อน น้ำมันนี้มีส่วนสำคัญเป็นคอเลสเตอรอลรวมทั้งไฮโซคอเลสเตอรอล (isocholesterol) ตลอดจนเอสเตอร์ของกรดมันประเภทอื่นๆอีกหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น กรดแลโนแพลมิติก (lanopalmitic  acid) กรดแลโนชอลิก (lanocerric  acid) กรดคาร์นิวบิก  (carnubic  acid) กรดโอลีอิก (oleic  acid) กรดไมริสติก (myristic  acid) น้ำมันขนแกะนี้ใช้เป็นส่วนประกอบเพื่อดูดน้ำในการทำยาขี้ผึ้ง (ointment)  และก็ยาครีม  (cream) รวมทั้งใช้สำหรับทากันผิวหนังแห้งแตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอากาศหนาวเมื่ออากาศแห้งมากมาย น้ำมันขนแกะที่มีน้ำผสมอยู่ด้วยจำนวนร้อยละ ๒๕-๓0 (hydrated  wool-fat) เรียก แลโนลิน  (lanolin)

ผลดีทางยา
แพทย์แผนไทยรู้จักใช้น้ำนมแกะและก็เขาแกะเป็นกระสายยารวมทั้งเครื่องยา ดังต่อไปนี้
๑. นมแกะ ได้จากแกะตัวเมียที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ พระหนังสือคุณประโยชน์ (แลมหาพิกัด) บันทึกไว้ว่า “น้ำนมแกะแก้โรคหืดไอ รวมทั้งจุกเสียด รุ่งโรจน์ไฟธาตุ” ยาขนานที่  ๖๖ ในตาราพระยารักษาโรคพระนารายณ์ เข้า”น้ำนมแกะ” เป็นเครื่องยาด้วย ดังนี้
 สมุนไพร น้ำมันมหาวิศครรภราชไตล เอาโหราทั้งสอง หนัก ๗ บาท สคัดค้าน  ชะพลู เปล้าใหญ่ เปล้าราม เปล้าน้ำเงิน เทียน ๕  เทียนเยาวภานีเป็น  ๖  โกฏทั้งยัง ๕ กานพลู ใบกระวาน ลูกเอ็น จันทน์แดง จันทน์ขาว หางไหล มหาละลาย   ลูกตลอด สิ่งละตำลึง  ๑  ตรีกระฏุก เปล้าน้อย พิมเสน รากไคร้หอม  รากแฝก ไค้เครือ เปราะหอม สิ่งละ ๒ ตำลึง รากคันทา สหัสคันทา  อัชระคันทา อบเชย รากผักแผ้วแดง รัตโชติ สิ่งละ  ๓  ตำลึง   รากเจตมูลเพลิงเเดง แก่นสน สิ่งละ  ๔  ตำลึง  กฤษณา  ใบตลอด สิ่งละ  ๕  ตำลึง  ลูกลางโพง   ๒0  ลูก  น้ำมะกรูด   น้ำมะนาวน้ำมะงั่ว น้ำส้มส้า นมวัว น้ำนมควาย  น้ำนมแกะ น้ำนมแพะ น้ำมันคูเลละ น้ำมันเชตะ น้ำมันพิมเสน  น้ำมันดิน  สิ่งละทนาน   น้ำมันงาเชย  ๗  ทนาน มะพร้าวไฟ  ๓  ลูก บิดมัวแต่น้ำกะทิ หุงให้คงแต่ว่าน้ำมัน   ทาแก้เส้นอุทธังคมาวาตา   อโธค   มาวาตา   อันปน พระเลือด แล่นในพระเส้นสบาย ให้พระเส้นตึงแลกระด่างนั้นออกเป็นประจำ เราพพุทธเจ้าออกพระสิธิสารประกอบทูลเกล้าฯ   มอบให้ทรง   ณ  วัน  ๓ ฯ ๑0  เย็น  ศักราช  ๒๒๓0   ปีขาล  อัฐศกฯ
๒.เขาแกะ   ได้จากเขาของแกะทั้งเพผู้รวมทั้งเพศภรรยา   ใช้เป็นเครื่องยาในยาไทย  ได้แก่  “ยาจักรวาลฟ้าครอบ”   ในพระหนังสือธาตุวิภังค์  ซึ่งมีบันทึกไว้ดังต่อไปนี้ยาชื่อจักรวาลฟ้าครอบ   แก้พิษไข้กาฬทั้งหมด   สารพันพิษอันใดๆก็ดีแล้ว   พิษรอยดำภายในด้านนอก   ในกังวลในใจดีแล้ว   แลพิษกาฬทั้งผอง  ๗๐๐   จำพวกที่ไม่ได้ขึ้นมาทำพิษ   คุดอยู่ในหัวใจแลตับปอดทั้งยังข้างในก็ดี   แลหลบอยู่ตามผิวหนังข้างในก็ดี   แลพิษโรคฝีดาษฝีหัวเดียว  ก็ดี   ตานทรางดีแล้ว   ท่านให้ยำยาขนานใหญ่นี้ไว้แก้   เว้นไว้แต่บุราที่กรรมแลเดี๋ยวนี้บาปนอกจากนั้นหายสิ้นแล   แพทย์ทั้งสิ้นควรเร่งทำยาขนานนี้ขึ้นไว้ให้เถอะ   ก็เลยจะสู้กันกับรอยดำ   ๗๐๐  ชนิดได้   ท่านให้เอา  เขี้ยวเสือ  ๑   เขี้ยวหมู  ๑   เขี้ยวหมี  ๑   เงี่ยงปลาฉนาก  ๑   เงี่ยงปลากระเบน  ๑   นอแรด  ๑   งา  ๑   เขากุย  ๑   เขากวาง  ๑   เขาแพะ  ๑   เขาแกะ  ๑   ทั้งนี้คั่วให้ไหม้เกรียม   หวายตะค้า  ๑   หวายตะมอย  ๑   เจ็ตต้นภังคี  ๑   สังกะระณี  ๑   ดอกสัตบุศย์  ๑   สัตตบตระหนี่ช  ๑   สัตบัน  ๑   บัวหลวง  ๑   บัวขม  ๑   บัวเผื่อน  ๑   จงมายากลนี  ๑   พิกุล  ๑   บุนนาค  ๑   สาระภี  ๑   มลิซ้อน  ๑   มลิลา  ๑   ดอกจำปา  ๑   ดอกกระดังงา  ๑   กฤษณา  ๑   กะลำภัก  ๑   ขอนดอก  ๑   ใบพิมเสน  ๑   พิมเสนเกล็ด  ๑   การะบูร  ๑   น้ำประสานทอง  ๑   โกฏ  ๕  หนึ่ง   เทียน  ๕  หนึ่ง   ลูกจันทร์  ๑   ดอกจันทร์  ๑  กระวาน ๑   กานพลู  ๑   สมุลแว้ง  ๑   เห็ดกะถินขาว  ๑   เห็ดกะถินสวรรค์  ๑   เห็ดมะพร้าว  ๑   เห็ดตาล  ๑   เห็ดงูเห่า  ๑   เห็ดมะขาม  ๑   เห็ดไม้รัง  ๑   เห็ดไม้แดง  ๑   เห็ดตับเต่า  ๑   หัวมหากาฬทั้งยัง  ๕  หนึ่ง   ยาทั้งนี้เอาส่วนเท่ากัน   สารพัด  (ดี)   เป็นน้ำกระสายบดปั้นแท่งไว้   แก้กาฬ  ๗๐๐  พวก   แก้ได้ทุกสิ่ง   น้ำกระสายยายักใช้เอาตามแต่ที่ชอบด้วยโรคนั้นเหอะ   แก้ในวสันตฤดู   คือน่าฝนแล

57
อื่น ๆ / สัตววัตถุ ปลาพะยูน
« เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2017, 11:39:27 AM »

ปลาพะยูน
ปลาพะยูนเป็นสัตว์กินนม อาศัยอยู่ในน้ำไม่ใช่ปลาจริงๆแต่ว่าด้วยเหตุว่าอยู่ในน้ำและก็มีรูปร่างคล้ายปลาชาวไทยก็เลยเรียกรวมเป็น”ปลา”
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dugong dugon(MuBer)
จัดอยู่ในวงศ์ Dugongidae
ชื่อสามัญว่า dugong sea
บางถิ่นเรียกว่า พะยูน วัวทะเลหรือหมูทะเลก็เรียก มีลำตัวเปรียว ขนาดตัววัดจากหัวถึงโคนหาง ยาว ๒.๒๐ -๓.๕๐ เมตรหางยาว ๗๕.๘๕ ซม.ตัวโตสุดกำลังหนัก ๒๘๐ ถึง ๓๘๐ กิโลรูปกระสวยหางแยกเป็น๒แฉกขนานกับพื้นในแนวระดับไม่มีครีบหลังจากอยู่ตอนล่างของส่วนแม่ริมฝีปากบนเป็นก้อนเนื้อดกลักษณะเป็นเหลี่ยมเหมือนจมูกหมูเมื่ออายุน้อยลำตัวมีสีออกขาวแต่ว่ากลายเป็นสีเทาอมน้ำตาลเมื่อโตเต็มวัย เป็นปกติถูกใจอยู่รวมกันเป็นฝูงหลายๆฝูงหากินรวมกันเป็นฝูงใหญ่กินพืชชนิด สมุนไพร ต้นหญ้าทะเลตามพื้นท้องทะเลชายฝั่งเป็นของกินโตเต็มที่พร้อมสืบพันธุ์ได้เมื่ออายุ ๑๒-๑๓ปีท้องนาน๑ปีคลอดลูก ทีละ ๑ ตัว เคยพบได้มากตามชายฝั่งทะเลของประเทศไทยแม้กระนั้นตอนนี้เป็นสัตว์หายากแล้วก็ใกล้สิ้นซากยังเจอในอ่าวไทยที่จังหวัดระยองจังหวัดชลบุรีจังหวัดตราดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และก็ชายฝั่งทะเลอันดามันแถบจังหวัดภูเก็ต พังงากระบี่โดยเฉพาะเจอซุกซุมที่สุดบริเวณอุทยานแห่งชาติชายหาดเจ้าไหม-เกาะลิบตางจังหวัดตรังในต่างถิ่นพบได้ตั้งแต่รอบๆชายฝั่งทะเลด้านทิศตะวันออกของทวีปแอฟริกาสมุทรแดงตลอดแนวชายฝั่งของมหาสมุทรอินเดียไปจน ถึงประเทศฟิลิปปินส์เกาะไต้หวันถึงภาคเหนือของทวีปออสเตรเลีย

ประโยชน์ทางยา
หมอแผนไทยใช้เขี้ยวปลาพะยูนเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งแม้กระนั้นเพื่ออนุรักษ์สัตว์จำพวกนี้ซึ่งหายากมากแล้วจึงไม่ควรใช้ยานี้อีกต่อไป เขี้ยวปลาพะยูนเป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง ที่ใช้ในพิกัดยาไทยที่เรียกว่า”นวขี้ยว” หรือ”เนาวเขี้ยว” อาทิเช่นเขี้ยวหมูเขี้ยวหมีเขี้ยวเสือ เขี้ยวจระเข้เขี้ยวแกงเลียงหน้าผา และงา (มองคู่มือการปรุงยาแผนไทยเล่ม ๑น้ำกระสายยา)

58
อื่น ๆ / สัตววัตถุ เม่น
« เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2017, 07:35:20 AM »

เม่น
เม่นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
จัดอยู่ในตระกูล Hystricidae
เม่นที่พบในประเทศไทยมี ๒  ชนิด  ดังเช่น
๑.เม่นใหญ่แผงคอยาว
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hystrix  brachyuran  Linnaeus
ชื่อสามัญว่า  Malayan  porcupine
เม่นประเภทนี้มีขนาดวัดจากปลายจมูกถึงโคนหางยาว ๖๓ – ๗๐  เซนติเมตร หางยาว ๖ – ๑๐ เซนติเมตร น้ำหนักตัว  ๓-๗ กิโล ขนบนลำตัวเป็นขนแข็งใช้ป้องกันตัว  หัวเล็ก จมูกป้าน มีหนวดยาวสีดำ บริเวณลำตัว คอ รวมทั้งไหล่  มีขนแข็ง  สั้น  สีดำ  ขนใต้คอสีขาว ตาเล็ก ใบหูเล็ก ขนตั้งแต่ข้างหลังไหล่ไล่ลงไปแข็งยาว ด้านโคนแล้วก็ปลายสีขาว ตรงกลางสีดำ ปลายแหลม หางมีขนเหมือนหลอดสั้นๆขาสีดำเม่นชนิดนี้ถูกใจออกหากินโดยลำพังในยามค่ำคืน รักสงบ เวลาเจอศัตรูจะวิ่งหนี พอเพียงจวนตัวจะหยุดกึก [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/b][/url] แล้วพองขนขึ้น ศัตรูที่ติดตามมาอย่างรวดเร็วถ้าเกิดหยุดไม่ทันก็จะโดนขนเม่นตำ และก็ถ้าศัตรูใช้ตีนตะครุบก็จะโดนขนเม่นตำเช่นเดียวกัน  ได้รับความปวดเจ็บมาก เมื่อศัตรูผละหนีไปแล้ว  เม่นก็จะหลบเข้าโพรงไม้หรือโพรงดิน ขนเม่นที่หลุดออกไปจะมีขนใหม่แตกหน่อขึ้นมาแทนที่ เม่นชนิดนี้รับประทานผัก หญ้าสด หน่อไม้ เปลือกไม้ ผลไม้ และกระดูกสัตว์  เริ่มสืบพันธุ์ได้เมื่ออายุราว ๒ ปี มีท้องนาน  ๔  เดือน  ตกลุกครั้งละ  ๑ -๓  ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย ลูกเม่นแรกเกิดมีขนที่อ่อน  แม้กระนั้นเมื่อถูกอากาศด้านนอกขนจะเบาๆแข็งขึ้น  อายุราว ๒๐ ปีพบทางภาคใต้ของเมืองไทย ในต่างแดนเจอที่มาเลเชียรวมทั้งอินโดนีเซีย
๒. เม่นหางพวง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Atherurus  macroura (Linnaeus)
ชื่อสามัญว่า  bush-tailed  porcupine
เม่นจำพวกนี้มีความยาวลำตัววัดจากปลายจมูกถึงโคนหาง  ๔๐ – ๕๐  ซม. หางยาว ๑๕ – ๒๐ เซนติเมตร น้ำหนักตัว ๒.๕ – ๕  กิโลกรัม จมูกเล็ก มีหนวดยาว ใบหูเล็ก ลำตัวยาว ขาสัน มีขนแข็งปกคลุมทั่วตัว ขนบางส่วนแข็งและก็ปลายแหลมมาก  เหมือนหนาม  ขนส่วนที่ยาวที่สุดอยู่บริเวณกึ่งกลางข้างหลังขนแบน  มีร่องยาวอยู่ข้างบน ช่วงกลางหางไม่ค่อยมีขน แต่เป็นเกล็ด โคนหางมีขนสั้นๆปลายหางมีขนขึ้นดกครึ้มเป็นกระจุก มองเป็นพวง ขนดัตระหนี่ล่าวแข็งและก็คม ส่วนขนที่หัวบริเวณขาทั้ง ๔ และก็บริเวณใต้ท้อง แหลม แม้กระนั้นไม่แข็ง ขาค่อนข้างจะสั้น ใบหูกลมและเล็กมากมาย เล็บเท้าเหยียดตรง ทื่อ และแข็งแรงมากมาย เหมาะกับขุดดิน เม่นชนิดนี้ออกหากินในช่วงเวลากลางคืน  ช่วงเวลากลางวันมักแอบอยู่ในโพรงดิน  ตามโคนรากของต้นไม้ใหญ่ หรือตามซอกหิน มักออกหากินเป็นฝูง  ใช้ขนเป็นอาวุธปกป้อง กินหัวพืช หน่อไม้  เปลือกไม้  รากไม้  ผลไม้  แมลง เขาและก็กระดูกสัตว์  ตกลูกครั้งละ ๓- ๕  ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย  ลูกเม่นทารกมีขนอ่อนนุ่ม แต่จะต่อยๆแข็งขึ้นอายุราว ๑๔ ปี เจอในทุกภาคของประเทศไทย ในต่างถิ่นพบทางภาคใต้ของจีน รวมทั้งที่ลาว เวียดนาม  เขมร มาเลเซีย  และอินโดนีเซีย

ประโยชน์ทางยา
หมอแผนไทยใช้ขนเม่นที่สุมไฟให้ไหม้แล้วปรุงเป็นยาแก้ตานซาง  แก้พิษรอยดำ  พิษไข้ เชื่อมซึม กระเพาะอาหารของเม่นใช้ปรุงเป็นยากินบำรุงน้ำดี ช่วยทำให้ลำไส้มีกำลังบีบย่อยของกิน พระหนังสือปฐมจินดาร์ให้ยาขนานหนึ่ง เข้า“ขนเม่น” เป็นยาใช้ภายนอกตัวเด็ก ดังต่อไปนี้ ภาคหนึ่งยาใช้ภายนอกตัวกุมารกันสรรพโรคทั้งผอง รวมทั้งจะเป็นไข้อภิฆาฏดีแล้ว  โอปักกะมิกาพาธก็ดีแล้ว ท่านให้เอาใบมะชน คราบเปื้อนงูเห่า หอมแดง สาบนกแร้งสาบกา ขนเม่น ไพลดำ ไพลเหลือง  บดทำแท่งไว้ ละลายน้ำนมโค ทาตัวกุมาร จ่ายตราบาปโทษทั้งสิ้นดีนัก

59
อื่น ๆ / สัตววัตถุโคโรค
« เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2017, 09:10:14 AM »

โคโรค
วัวโรคเป็นชื่อเครื่องยาอย่างหนึ่ง เครื่องยานี้ใช้ในยาจีน [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/b][/url] ประเภทที่เป็นของแท้รวมทั้งของดีราคาแพงสูงมาก แบบเรียนยาที่สาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับรองเอาไว้ภายในชื่อเครื่องยาว่า Calculus Bovis มีชื่อสามัญว่า cow bezoar จีนเรียก หนิวหวาง(จีนสำเนียงแมนดาริน) วัวโรคเป็นก้อนนิ่วหรือก้อนหินปูนที่เกิดในถุงน้ำดีของวัวบ้าน (gallstone) อันมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bos Taurus domesticus Gmelin ในตระกูล Bovidae มี ๒ แบบ
๑. วัวโรครูปไข่ อาจมีรูปไข่ รูปกลมหรือแทบกลม หรือรูปสามเหลี่ยมขนาดวันผ่านศูนย์กลาง ๑-๓ เซนติเมตร ผิวละเอียดและก็เรียบ โดยปกติมักมีสีเหลืองทองหรือสีน้ำตาลอมเหลือง หรืออาจมีสีอ่อนหรือเข้มกว่า เป็นเงาวาวนิดหน่อย บางชิ้นบางทีอาจเคลือบด้วยเยื่อบางสีดำเข้ม บางชิ้นอาจมีผิวหยาบคายและก็มีรอยแตก มีน้ำหนักเบา เนื้อไม่แน่น แตกง่าย ลอกออกเป็นชั้นๆได้ เมื่อผ่าออกภายในจะมีสีอ่อนกว่า มีเม็ดและก็รอยพอกของหินปูนเป็นชั้นๆมีกลิ่นหอมยวนใจซีดๆรสขม แล้วหวาน เคี้ยวง่าย ไม่ติดฟัน เมื่อค้ยวให้ความรู้ความเข้าใจสึกเย็นและก็แจ่มใสในปาก
๒. โคโรครูปรีคอดกึ่งกลาง (dumb-bell) มีผิวไม่เรียบ บางชิ้นมีเส้นโค้งตามทางยาว บางชิ้นมี “เกล็ด” แต่โดยทั่วไปมักยาวราว ๓ ซม. ขนาดวัดผ่านศูนย์กลาง ๑-๑.๕ ซม. สีน้ำตาลลอมแดง มีรอยแตกแล้วก็ก้อนเล็กๆเมื่อผ่าออกจะเห็นเม็ดน้อยกว่าแบบรูปไข่ สีแก่กว่า แล้วก็ตรงกลางกลวง
ของแท้หรือของที่เป็นของปลอม
เพราะโคโรคเป็นเครื่องยาที่ราคาแพงแพง ในท้องตลาดก็เลยมีของที่ไม่ใช่ของแท้ขายมากมาย ของเก๊นั้นอาจได้จากก้อนนิ่วในถุงน้ำดีของสัตว์อื่น ตัวอย่างเช่น หมู แพะ อูฐ หรือทำขึ้นจากผงขมิ้นชัน ผงขมิ้นเครือ หรือผงโกษฐ์กะทอง ผสมกับน้ำดีของวัว กาวหนังลาชัน เป็นต้น กรรมวิธีสำรวจว่าวัวโรคเป็นของแท้หรือของที่ไม่ใช่ของแท้ บางทีอาจทำเป็นหลายวิธี ตัวอย่างเช่น
๑. วิธีการใช้เข็มแทง ทำเป็นโดยเผาเข็มจนแดง แล้วแทงลงไปในก้อนวัวโรค จะเกิดรอยแยก ชิ้นส่วนที่แยกจะเป็นชิ้นบางๆเนื้อละเอียด ติดกันและเปราะ มีกลิ่นหอมซีดๆตรงรอยเจาะเป็นจุดขาวๆปลายเข็มไม่เป็นสีเหลืองเมื่อถอนเข็มออก ต่างจากของเก๊ซึ่งไม่มีจุดขาวรวมทั้งปลายเข็มมีสีเหลืองเมื่อถอนเข็มออก ยิ่งไปกว่านั้น ของเทียมไม่มีเม็ดเมื่อผ่าออก แล้วก็มีกลิ่นแตกต่าง
๒. วิธีการใช้เล็บ พ่นน้ำหยดเล็กๆลงบนเล็บนิ้วโป้งมือ โรยผงโคโรคนิดหน่อยลงบนหยดน้ำบนเล็บนั้น หากเป็นของแท้จะก่อให้เล็บเป็นสีเหลือง วาววาวผ่องใสอยู่นาน รู้สึกเย็น ถ้าเกิดเป็นของเลียนแบบ เล็บจะเป็นสีเหลือง แต่จะเลือนรางไปอย่างรวดเร็ว เล็บเป็นเงาหม่นหมองๆไม่มีความรู้สึกเย็นที่เล็บ
๓. วิธีลอง ชิมโคโรคปริมาณน้อย หรือใช้ลิ้นเลียก้อนโคโรค หากเป็นของแท้จะทราบรสขมก่อน แล้วจึงมีรสหวานตาม ให้ความรู้ความเข้าใจสึกเย็นรวมทั้งแจ่มใสลงไปถึงคอ โดยไม่มีกลิ่นแปลกๆหรือกลิ่นแรงๆยิ่งกว่านั้น ถ้าเกิดบดวัวโรคจะไม่มีความรู้สึกเสมือนเคี้ยวทราย ไม่ติดฟัน ไม่มีกาก และทำให้ลิ้นเป็นสีเหลือง
๔. วิธีใส่ลงไปในน้ำ เอาโคโรคใส่ลงไปในน้ำ หากยังคงเป็นก้อนรูปและก็ขนาดเหมือนเดิม หมายความว่าเป็นของแท้ หากก้อนนั้นพองขึ้นรวมทั้งแตก ก็เป็นของเลียนแบบ

ผลดีทางยา
ตำราจีนว่า โคโรคมีรสขม หวาน และก็เย็น มีสรรพคุณเกี่ยวกับเส้นหัวใจและก็ตับ โดย
๑. ช่วยชีวิตและลด “เสมหะ” ใช้ในการแก้ผู้ป่วยภาวการณ์ช็อคและก็โคม่า เพ้อและไม่รู้สึกตัวเพราะไข้สูง รวมทั้งโรคลมชักในเด็ก อันมีสาเหตุจากการสั่งสม “เสลด” และก็ความร้อนในร่างกาย
๒. ช่วยสยบ “ลม” อันทำให้เกิดพยาธิสภาพภายในและหยุดการชัก ใช้แก้อาการชักเนื่องมาจากไข้สูง
๓. ขจัด “ความร้อน” และสารพิษต่างๆใช้เป็นยาแก้โรคมะเร็งเต้านม ลักษณะของการเจ็บคอ คอตีบ ปากเป็นแผลจากด้านใน ฯลฯ
ขนาดและก็วิธีการใช้
บดโคโรคให้เป็นผงละเอียด ทำเป็นยาผงหรือยาเม็ด ใช้ขนาด๐.๑๕-๐.๓๕ กรัม ผสมกับน้ำ การใช้กับสตรีในระหว่างตั้งท้อง ควรที่จะใช้ด้วยความระวัง

Tags : สมุนไพร

60
อื่น ๆ / สัตววัตถุหมูป่า
« เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2017, 10:57:23 AM »

หมูป่า
หมูป่าเป็นสัตว์กินนม กีบคู่
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sus  scrofa Linnaeus
จัดอยู่ในตระกูล  Suidae
มีชื่อสามัญว่า  common wild pig หมูไม่มีอารยธรรมก็เรียก
ชีววิทยาของหมูป่า
หมูป่ามีรูปร่างเพรียวลม ขนาดวัดจากปลายจมูกถึงโคนหางยาวราว ๑.๕๐ เมตร หางยาวราว ๒๐ ซม. น้ำหนักตัว ๗๕-๑๐๐ กิโล  ความสูงช่วงไหล่ ๖๐-๗๕ ซม. รอบๆไหล่และอกใหญ่ เรียวไปทางด้านหลังของลำตัว ขาเล็กเรียว ใช้สำหรับขุดค้นหาอาหารใต้ดิน ขนยาว หยาบคาย แข็ง สีน้ำตาลเข้มหรือสีดำปนเทา หรือสีดำแซมขาว มีขนยาวเป็นแผงบนสันคอและก็ข้างหลัง ขนบริเวณดังที่กล่าวถึงมาแล้วนี้จะตั้งชันขึ้นเมื่อสะดุ้งหรือเมื่อต่อสู้กับศัตรู เขี้ยวมีลักษณะยาว คมมากมาย โค้งงอนขึ้นไปนอกปาก   ใช้เป็นอาวุธป้องกันตัว บางตัวอาจมีเขี้ยวยาวถึง ๖ นิ้ว จมูกไว หูไว ถูกใจอาศัยตามป่าเปียกชื้น ที่ราบตามไหล่เขา หรือรอบๆหนองน้ำ อยู่เป็นฝูง ออกหากินเช้าตรู่หรือเย็น   และก็ช่วงกลางคืน ช่วงกลางวันมักหลบอยู่ตามพุ่งไม้ ตามปลักโคลน หรือลำน้ำ ถูกใจเกลือกปลักโคลนตม เพศผู้ที่อายุมากกๆจะแยกออกไปพบกินตามลำพัง เรียก หมูป่าโทน หรือ หมูโทน ตัวเมียอายุมากๆเป็นผู้นำฝูง ในช่วงฤดูสืบพันธุ์เพศผู้ต่อสู้กัน แล้วก็จะดุร้ายเมื่อบาดเจ็บ หมูป่าแม่ลูกอ่อนจะดุร้ายกว่าปรกติรวมทั้งจะหวงลูกมากมาย ถูกใจขุดคุ้ยดินหาอาหาร กินได้ทั้งยังพืชแล้วก็สัตว์ เป็นต้นว่า ผลไม้  ข้าวโพด เผือก มัน งู หนู ไส้เดือน กบ เขียด ปลา หมูป่าสืบพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี แต่ผสมพันธุ์กันถี่ที่สุดในช่วงธันวาคมถึงมกราคม เริ่มโตสืบพันธุ์ได้เมื่ออายุ ๘-๑๐ เดือน ตั้งครรภ์นาน ๑๑๕ วัน ตามปกติตกลูกครั้งละ ๔-๘ ตัว ลูกเลิกกินนมเมื่ออายุ ๓-๔ เดือน หมูป่าอายุยืนราว ๑๕ ปี

ผลดีทางยา
หมอแผนไทยรู้จักใช้หนังหมูป่า ดีหมูป่า และก็เขี้ยวหมูป่าเป็นเครื่องยา ดังนี้
๑. หนังหมูป่า ดังเช่นว่า ยาต้มแก้สันนิบาตโลหิตขนานหนึ่งใน พระคู่มือชวดาร เข้า “หนังหมุหยาบคาย” เป็นเครื่องยาด้วย ดังต่อไปนี้ ยานั้นคุลีการเปนยาดับพิษลมพิษเสมหะอันร้อนนอนมิหลับบริโภคอาหารมิได้   ให้แต่งยาต้มกินช่วงเวลาเช้า   เอาหีบลม ๑   หนังหมูดุร้าย ๑   รากเจ็ตมูลเพลิงแดง ๑   รากช้าพลู ๑   เอาสิ่งละ ๑ บาท   ข่า ๕ บาท   ดอกคำ ๑๐ สลึง   เทียนดำ ๒ บาท   ผลจู๋ม ๑   ก้านสะเดา ๑   ผลสมอเทศ ๑   ผลสมอไทย ๑   ผลสมอพิเภก ๑   ยาเช้าเย็นเหนือ ๑   เอาสิ่งละ ๑ บาท   ดอกบัวแดง ๑   ดอกบัวขาว ๑   ดอกบัวขม ๑   ดอกบัวเผื่อน ๑   ดอกพิกุล ๑   ดอกบุนนาค ๑   ดอกสารภี ๑   เอาสิ่งละ ๖ สลึง  ต้มด้วยน้ำเถาวัลเปรียงแซกดีเกลือตามกำลังวัน  กินจ่ายเม็ดยอดตกลิ้น   แล้วจึงประกอบยามหาสมไม่ใหญ่   แก้ไข้แก้ลม   ให้รับประทานเปนคู่กับยาต้ม
๒. ดีหมูป่า   ดังเช่นว่า   ยาขนานหนึ่งชื่อ “ยาประสานทองคำ”   ใน พระหนังสือปฐมจินดาร์ เข้า “ดีหมูดุร้าย” เป็นเครื่องยาด้วย   ดังต่อไปนี้
ยาชื่อผสานทองคำ   ขนานนี้ท่านให้เอา   ชะมดสด ๑   ชะมดเช็ด ๑   เอาสิ่งละ ๑ เฟื้อง   พิมเสน ๑ สลึง   กรุงเฉมา ๑   อำพัน ๑   ดอกบุนนาค ๑   น้ำประสานทอง ๑   ลิ้นสมุทรปิ้งไฟ ๑   เอาสิ่งละ ๒ สลึง   ตรีกฏุก ๑   หีบศพอีกทั้ง ๙   เทียนอีกทั้ง ๕   ผลจันทน์ ๑   ดอกจันทน์ ๑   กระวาน ๑   กานพลู ๑   จันทน์ ๒   กฤษณา ๑   กระลำภัก ๑   ชะลูด ๑   ขอนดอก ๑   เปราะหอม ๑   ผลราชดัด ๑   ผลสารพัดสารพันพิษ ๑   พญารากขาว ๑   ปลาไหลเผือก ๑   ตุๆมกาอีกทั้ง ๒   ลุก ๑   มหาสดำ ๑   มหาละลาย ๑   รากท้อม ๑   รากไคร้เครือ ๑   หว้านกีบแรด ๑   หว้านร่อนทอง ๑   หว้านน้ำ ๑   แสนประสระต้น ๑   แสนประสระเครือ ๑   สุรามฤตย์ ๑   อบเชยเทศ ๑   เอาสิ่งละ ๑ บาท   ทองคำเปลว ๒๐ แผ่น   รวมยา ๖๑ สิ่งนี้กระทำเปนจุณ   แล้วเอาดีงูเหลือม ๑   ดีจระเข้ ๑   ดีตะพาบ ๑   ดีหมูป่าไม่มีอารยธรรม ๑   ดีปลาช่อน ๑   ดีนกยูง ๑   ดีอีกทั้ง ๖ นี้แซก   เอาน้ำเปนกระสาย   บดปั้นแท่งไว้   แก้พิษทราง   แลแก้ไข้สันนิบาต   ละลายน้ำดอกไม้กิน   ถ้าแก้พิษไข้ทรพิษ   พิษฝีดวงเดียว   พิษงูร้ายละลายสุรากิน   ทุกสิ่งทุกอย่างประสิทธิ์ดีนัก
๓. เขี้ยวหมูป่า   เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งในพิกัดไทยที่เรียก “นวเขี้ยว” หรือ “เนาวเขี้ยว”  ได้แก่ เขี้ยวหมูป่า  เขี้ยวหมี   เขี้ยวเสือ เขี้ยวแรด  เขี้ยวสุนัขป่า เขี้ยวปลาพะยูน   เขี้ยวตะไข้  เขี้ยวแกงเลียงเขาหิน  และก็งา  (ดู คู่มือการปรุงยาแผนไทย เล่ม๑ น้ำกระสายยา)

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7