รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - billcudror1122

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 7
31

สมุนไพรชาข่อย
ชาข่อย Acalypha siamensis Oliv. ex Gang
ชื่อพ้อง A. evrardii Gagnep.; A. fruticosa Ridl.
บางถิ่นเรียกว่า ชาข่อย ชาฤาษี (กึ่งกลาง) กาน้ำ ชาญวน (จ.กรุงเทพฯ) จ๊าข่อย (เหนือ) ชาป่า (ปัตตานี) ผักดุก ผักดูด (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์).
    ไม้พุ่ม สูงราว 1-2 ม. ลำต้น และกิ่งเรียวเล็ก ไม่มีขน (ยกเว้นก้านใบและก็ช่อดอก). ใบ คนเดียว เรียงสลับกัน รูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด กว้าง 1.5-3 ซม. ยาว 4-6.5 ซม. ปลายใบมีติ่งปลายมนยื่นยาวออกไป โคนใบสอบแคบ; ขอบใบหยักมน เส้นใบมี 4-5 คู่ เส้นบางมาก คู่ข้างล่างสุดออกจากฐานใบ; ก้านใบยาวราวๆ 1-3 มม. สมุนไพร ดอก สีเขียว เล็ก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ และที่ยอด ช่อดอกยาว 2.5-4.5 เซนติเมตร มีขน ดอกเพศผู้ออกทางตอนบนของช่อ ดอกเพศภรรยามีเพียง 2-3 ดอก ออกที่โคนช่อ. ดอกเพศผู้ เล็ก ติดเป็นกลุ่มเล็กๆ; กลีบรองกลีบ 4 กลีบ รูปไข่ปลายแหลม ขอบกลีบมีขน; เกสรผู้มีโดยประมาณ 10 อัน ก้านเกสรมีขน ใบแต่งแต้มรูปหอก ปลายแหลม. ดอกเพศภรรยา มีใบประดับประดาขนาดใหญ่หุ้มอยู่ รังไข่มี 3 ช่อง แต่ละช่องมีไข่อ่อน 1 หน่วย. ผล แก่แห้ง แล้วก็แตก เล็ก ยาว 1-2 มม. มีรยางค์เหนียว. เมล็ด ออกจะกลม.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในป่าดงดิบแล้ง และปลูกเป็นรั้ว.
คุณประโยชน์ : ต้น ทั้งต้นตำเป็นยาพอกร่างกายใช้ลดไข้  ใบ น้ำสุก หรือ ชงใบ ใช้แทนใบชาได้ กินเป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยย่อย แก้น้ำเหลืองเสีย ไตทุพพลภาพ รวมทั้งขับฉี่ ยาชงใบ แล้วก็ดอก รับประทานเป็นยาขับฉี่

32

สมุนไพรต้นหญ้าถอดปล้อง
หญ้าถอดบ้อง Equisetum debile Roxb.
บางถิ่นเรียกว่า ต้นหญ้าถอดปล้อง ต้นหญ้านางเงือก ต้นหญ้าหูหนวก (เหนือ) เครือเซาะปอยวา แยปอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) หญ้าข้อ หญ้าสองข้อ (กึ่งกลาง).
    พืชล้มลุก ลำต้นสีเขียว ตั้งชัน สูง 30-100 ซม. มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-5 มิลลิเมตร เป็นบ้องๆข้างในกลวง ภายนอกมีร่องตามแนวยาว. ใบ ติดกันเป็นทรงกระบอกหุ้มรอบข้อ ยาว 4-12 มม. สีเขียว ขอบแยกเป็นแฉกๆสีน้ำตาล หรือ ขาว แฉกกลุ่มนี้แห้งและก็ร่วงง่าย แตกกิ่งตามข้อๆละ 1-4 กิ่ง. อวัยวะสืบพันธุ์ กำเนิดที่ยอด เป็นรูปขอบขนานปนรูปรี สร้างหน่วยขยายพันธุ์เรียกสปอร์ สปอร์มีลักษณะกลม สีเขียว และมีสายยาวๆ4 สาย พันอยู่รอบๆปลายของสายอีกทั้ง 4 นี้ พองออกเป็นรูปกระบอง.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามริมสายธารทางภาคเหนือ.
คุณประโยชน์ : ต้น น้ำต้มทั้งต้น รับประทานเป็นยาขับฉี่ เป็นยาเย็น ตำเป็นยาพอกรอยแผล พอกกระดูกที่เดาะ หรือ หัก และพอกแก้ปวดตามข้อ

33

สมุนไพรสบู่ดำ
สบู่ดำ Jatropha curcas Linn.
บางถิ่นเรียก สบู่ดำ สบู่มัน สลอดดำ สลอดป่า สลอดใหญ่ สี่หลอด (กึ่งกลาง) พมักเยา มะเยา มะหัว มะหุ่งฮั้ว มะโห่ง หงเทก (เหนือ).
ไม้พุ่ม สูง 2-5 มัธยม ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาวปนเทา เปลือกเรียบ หมดจด. ใบ ลำพัง เรียงสลับกัน รูปค่อนข้างจะกลม หรือ ไข่ป้อมๆกว้าง 7-11 ซม. ยาว 7-16 ซม. ปลายใบแหลม  ขอบใบเรียบ หรือ มีรอยหยัก 3-5 หยัก ฐานใบเว้าเป็นรูปหัวใจ เส้นใบออกจากจุดเดียวกันที่โคนใบ 5-7 เส้น ตามเส้นใบมีขนอ่อนปกคลุม ก้านใบยาว 6-18 เซนติเมตร ดอก สีเหลือง ออกเป็นช่อที่ยอด รวมทั้งตามง่ามใบ ดอกเพศผู้ รวมทั้งดอกเพศภรรยาอยู่บนต้นเดียวกัน ช่อดอกยาว 6-10 ซม. [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/b][/url] ดอกเพศผู้ มีกลีบรองกลีบดอกไม้ 5 กลีบ ยาว 4-5 มิลลิเมตร กลีบ 5 กลีบ เชื่อมชิดกันเป็นหลอด ด้านในหลอดมีขน เกสรผู้ 10 อันเรียงเป็น 2 วงๆละ 5 อัน อับเรณูตั้งชัน. ดอกเพศเมีย กลีบดอกไม่ชิดกัน รังไข่ และท่อรังไข่สะอาด บางทีก็มีเกสรผู้ฝ่อ 5 อัน; ภายในรังไข่มี 2-4 ช่อง มีไข่อ่อนช่องละ 1 หน่วย. ผล กลม เส้นผ่าศูนย์กลางราว 2.5 เซนติเมตร แก่จัดจะแตกเป็น 3 พู แต่ละพูมี 2 กลีบ. เม็ด รูปกลมรี สีดำ ผิวเกลี้ยง.

นิเวศน์วิทยา
: ปลูกกันทั่วๆไปเป็นรั้วบ้าน.
สรรพคุณ : ราก น้ำสุกรากรับประทานเป็นยาแก้ท้องร่วง ทำให้อาเจียน ระบาย และก็ใช้ทาเช็ดนวดแก้ปวดตามข้อ ต้น น้ำยางต้นสดใช้เป็นยาห้ามเลือด ออกฤทธิ์คล้ายสารชนิด collodion ใช้เฉพาะที่ สำหรับรักษาโรคริดสีดวงทวาร และก็แก้โรคผิวหนังบางจำพวก กิ่งตีใช้แปรงฟันแก้เหงือกบวมอักเสบ ใบ ยาชงกินแก้ไอ ส่วนน้ำสุกใบรับประทานเป็นยาฟอกโลหิต แก้ท้องร่วง ท้องเดิน ลดไข้ แก้ไอ อมบ้วนปากช่วยทำให้เหงือกแข็งแรง ทาแก้คัน รวมทั้งทาภายนอกช่วยขับน้ำนม น้ำคั้นใบใช้ทาท้องเด็กแก้ธาตุทุพพลภาพ หรือ ใช้ทาเช็ดนวดแก้เมื่อยกล้ามเนื้อ ทาแผลเรื้อรัง ทาฝี ลดอาการอักเสบ ผลแล้วก็เมล็ด ผลกินเป็นยาถ่ายพยาธิ แก้บิด ท้องร่วง และก็แก้อาการกระหายน้ำ ส่วนเม็ดเป็นพิษมากมาย มีคุณสมบัติเป็นสิ่งเสพติดที่มีฤทธิ์กัดทำลาย ใช้ทางยาเป็นยาถ่าย โดยรับประทานเม็ดที่กะเทาะเปลือกออกแล้วเอามาย่างไฟน้อย ปริมาณ 3-5 เม็ด สกัดได้น้ำมันครึ่งหนึ่งระเหย กินเป็นยาถ่ายอย่างแรง ทำให้คลื่นไส้ แก้น้ำเหลืองเสีย ตับอักเสบทาเฉพาะที่แก้คัน บวมแดง และน้ำมันนวดที่เตรียมขึ้นจากน้ำมันเมล็ด 1 ส่วน ผสมกับ Bland oil 3 ส่วน ใช้ทาเช็ดนวดแก้ปวดตามข้อ แก้คัน แก้ปวดเมื่อย รวมทั้งทาบาดแผลเล็กๆน้อยๆ

34

โรคลมชัก (Epilepsy)
โรคลมชักเป็นยังไง โรคลมชัก หรือ โรคลมเหียน มีรากศัพท์จากภาษากรีกโบราณ:  คือ ยึด ครอบครอง หรือ ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย โดยเป็นกรุ๊ปโรคทางประสาทวิทยาซึ่งถูกจำกัดความโดยอาการชักอันมีเหตุมาจากการทำงานอย่างสอดคล้องต้องกันมากเกินความจำเป็นของเซลล์ประสาท ฉะนั้นโรคลมชัก ก็คือโรคจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางซึ่งปฏิบัติหน้าที่สำหรับในการควบคุมรูปแบบการทำงานของร่างกาย จนกระทั่งนำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการชัก
                โรคลมชักเป็นโรคระบบประสาทที่พบมาก ในรายงานการเรียนโดย World Health Organization (WHO) และ World Federal of Neurology ในปี 2547 พบว่าใน 102 ประเทศที่รายงานปัญหาสุขภาพ พบว่าร้อยละ 72.5 ของประเทศเหล่านี้ระบุว่าโรคลมชักพบได้มากเป็นชั้นสองรองจากโรคปวดศีรษะ ในระหว่างที่โรคหลอดเลือดสมองเป็นอันดับสามคือ จำนวนร้อยละ 62.7 ประมาณว่าทั้งโลกคงจะมีคนที่แก่น้อยกว่า 15 ปี เป็นโรคลมชักกว่า 10.5 ล้านคน ซึ่งน่าจะพอๆกับหนึ่งในสี่ของปริมาณผู้ที่เป็นโรคลมชักทุกอายุ รวมทั้งในทุกๆปี คงจะมีบุคคลที่ได้รับการวิเคราะห์ใหม่เป็นโรคลมชัก ราว 3.5 ล้านคน ซึ่งจำนวนร้อยละ 40 จะเป็นผู้ป่วยเด็กที่อายุน้อยกว่า 15 ปี และกว่าจำนวนร้อยละ 80 เป็นผู้ป่วยในประเทศที่กำลังปรับปรุง
                ช่วงอายุที่เกิดโรคลมชักสูงคือตอนทารกแรกเกิดรวมทั้งเด็กตัวเล็กๆ ต้นเหตุที่ส่งผลให้เกิดโรคลมชักในตอนวัยทารกชอบเป็นพยาธิภาวะที่เกิดในช่วงการคลอดตัวอย่างเช่นผลการขาดออกสิเจน การติดเชื้อที่ระบบประสาท ส่วนเฒ่าเป็นช่วงที่ได้โอกาสกำเนิดโรคลมชักสูงรองลงมา ในปัจจุบันน่าจะพบว่าอุบัติการณ์โรคลมชักในวัยชรามากขึ้นในช่วงเวลาที่ในช่วงวัยทารกลดลงเนื่องมาจากความรู้ความเข้าใจทางการแพทย์สำหรับในการดูแลผู้ป่วยดียิ่งขึ้น ปัญหาสุขภาพแตกต่างจากเดิม การติดเชื้อที่ระบบประสาทที่บางทีก็อาจจะเป็นสาเหตุของโรคลมชักในวัยเด็กเริ่มน้อยลงจากการที่มีวัคซีนคุ้มครองโรคต่างๆอายุคนยืนยาวขึ้นกว่าเดิม โรคหลอดเลือดสมองซึ่งเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากปัญหาการกระทำสำหรับการกินอาหารไม่เหมาะสมมากขึ้น อื่นๆอีกมากมาย สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาความชุกและก็อุบัติการณ์โรคลมชักยังคงสูงโดยเฉพาะในเด็ก เนื่องจากปัญหาสุขอนามัยโรคติดเชื้อ ความสามารถสำหรับเพื่อการดูแลผู้เจ็บป่วยยังจำกัด มีการคาดคะเนว่าคนประเทศไทยทั้งประเทศ เป็นโรคลมชักประมาณ 450,000 คน แล้วก็ประชาชนโดยธรรมดายังมีความรู้และมีความเข้าใจต่อโรคลมชักไม่มาก
                ดังนี้ คนไข้โรคลมชัก ถ้าได้รับการรักษาอย่างจริงจังตลอดมาตลอดตั้งแต่แรกเกิดอาการ คนป่วยจะสามารถดำเนินชีวิตดังเช่นคนปกติ เรียนหนังสือ ทำงาน เล่นกีฬา ออกสังคม และก็สามารถสมรสได้ แต่ถ้าหากไม่ให้ความสนใจไม่ได้รับการดูแลและรักษาอย่างเอาจริงเอาจัง ปลดปล่อยให้ชักอยู่เสมอๆก็อาจส่งผลให้สมองเสื่อม บางรายบางทีอาจทุพพลภาพหรือตายเนื่องมาจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นระหว่างชัก เช่น จมน้ำ ขับขี่รถชน ตกจากที่สูง ไฟเผา น้ำร้อนลวก ฯลฯ
ที่มาของโรคลมชัก
โรคลมชักส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยตรวจไม่เจอสาเหตุแจ่มชัด (Idiopathic หรือ Primary Epilepsy) มั่นใจว่ามีความ พร่องของสารเคมีอะไรบางอย่างสำหรับในการควบคุมไฟฟ้าในสมอง (โดยที่ส่วนประกอบของสมองปกติดี) ทำให้แนวทางการทำหน้าที่ของสมองเสียความสมดุล มีการปล่อยกระแสไฟฟ้าอย่างผิดปกติของเซลล์สมอง ทำให้มีการเกิดอาการชัก แล้วก็หมดสติชั่วครู่ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีลักษณะทีแรกในช่วงอายุ 5-20 ปี รวมทั้งอาจมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือลูกพี่ลูกน้องเป็นโรคนี้ด้วย  และมีส่วนน้อยที่สามารถหามูลเหตุที่แจ่มชัดได้ (Symptomatic หรือ Secondary  Epilepsy)  อาจเป็นเพราะเนื่องจากความไม่ปกติของส่วนประกอบสมอง เช่น สมองทุพพลภาพแต่กำเนิด สมองได้รับกระทบกระเทือนระหว่างคลอด สมองพิการคราวหลังการติดเชื้อ แผลในสมองหลังผ่าตัด ฝีในสมอง เนื้องอกในสมอง โรคพยาธิในสมอง เลือดออกในสมอง (ซึ่งกลุ่มนี้พบได้ทั่วไปในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี) ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวการณ์แคลเซียมในเลือดต่ำ โรคพิษเหล้า สิ่งเสพติด (อย่างเช่น การเสพยาม้าเกินขนาด) พิษจากการใช้ยาบางชนิดที่ใช้เกินขนาด (กลุ่มนี้พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป)
ทั้งนี้ อาการในผู้เจ็บป่วยโรคลมชักอาจเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นจะต้องมีสิ่งกระตุ้นให้กำเนิดอาการ แม้กระนั้นก็มีในบางคราว หรือการใช้สารบางสิ่งที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการชักได้ ดังเช่น ความเคร่งเครียด การพักผ่อนน้อยเกินไป การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยารักษาอาการบางประเภทหรือกการใช้สิ่งเสพติด ภาวะมีประจำเดือนของเพศหญิง ยิ่งกว่านั้นยังมีคนไข้จำนวนหนึ่งแม้กระนั้นเป็นปริมาณน้อยซึ่งสามารถกำเนิดอาการชักได้ถ้าหากเห็นแสงสว่างแฟลชที่สว่างจ้า โดยอาการชักที่เกิดขึ้นมาจากต้นเหตุนี้เรียกว่า โรคลมชักที่ผู้ป่วยไวต่อแสงสว่างกระตุ้น (Photosensitive Epilepsy)
ลักษณะของคนเจ็บลมชัก โรคลมชัก แตกต่างจากการชักจากโรคอื่นๆเป็น อาการชักจากโรคลมชัก จะต้องมีอา การ ชัก เกร็ง กระตุก กัดลิ้น น้ำลายฟูมปาก ซึ่งดังนี้ จริงๆแล้ว โรคลมชักเอง มีอาการชักได้ 3 ต้นแบบ เช่น
1.อาการชักที่ส่งผลต่อทุกส่วนของสมอง (Generalized Seizures) เป็นอาการชักที่เกิดขึ้นอยู่กับสมองทั้ง 2 ด้าน แบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อยๆคือ
   อาการชักแบบเหม่อ (Absence Seizures) เป็นอาการชักที่มักเกิดขึ้นในเด็ก อาการที่เด่นเป็นการเหม่อ หรือมีการขยับเขยื้อนร่างกายเพียงแค่เล็กๆน้อยๆ อย่างเช่น การกระพริบตาหรือขยับริมฝีปาก อาการชักประเภทนี้อาจเป็นสาเหตุทำให้มีการเกิดการเสียการรับทราบในระยะสั้นๆได้
   อาการชักแบบชักเกร็ง (Tonic Seizures) เป็นอาการชักที่ทำให้มีการเกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยชอบเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อรอบๆหลัง แขนแล้วก็ขา จนทำให้คนป่วยล้มลงได้
             อาการชักแบบกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (Atonic Seizures) อาการชักที่นำมาซึ่งการทำให้กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงลง ผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะชักชนิดนี้จะไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อขณะเกิดอาการได้ จนกระทั่งทำให้ผู้เจ็บป่วยล้มพับ หรือหกล้มลงได้อย่างฉับพลัน
   อาการชักแบบชัก (Clonic Seizures) เป็นอาการชักที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ไม่ดีเหมือนปกติ โดยอาจจะเป็นผลให้มีการขยับเขยื้อนในจังหวะซ้ำ มักเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อบริเวณคอ ใบหน้า และก็แขน
             อาการชักแบบชักกระตุกและก็เกร็ง (Tonic-clonic Seizures) เป็นอาการชักที่มีผลต่อกล้ามในร่างกายทุกส่วน นำมาซึ่งอาการกล้ามเนื้อเกร็งและกระตุก มีผลทำให้ผู้เจ็บป่วยล้มลง รวมทั้งสลบ บางรายบางทีอาจร้องไห้ในระหว่างที่ชักด้วย รวมทั้งภายหลังจากอาการบรรเทาลง ผู้เจ็บป่วยบางทีอาจรู้สึกอิดโรยเนื่องจากอาการชัก
   อาการชักแบบชักตกใจ (Myoclonic Seizures) อาการชักประเภทนี้มักเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน โดยจะกำเนิดอาการชักกระตุกของแขนแล้วก็ขาคล้ายกับการโดนกระแสไฟฟ้าช็อต ส่วนมากมักจะเกิดหลังจากตื่น บ้างก็เกิดขึ้นร่วมกับอาการชักแบบอื่นๆในกรุ๊ปเดียวกัน
2.อาการชักเฉพาะส่วน (Partial หรือ Focal Seizures) อาการชักชนิดนี้จะเกิดขึ้นกับสมองเพียงแค่นิดหน่อย ก่อให้เกิดอาการชักที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเท่านั้น แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
    อาการชักแบบรู้ตัว (Simple Focal Seizures) สำหรับอาการชักประเภทนี้ ในช่วงเวลาที่เกิดอาการ ผู้เจ็บป่วยจะยังคงมีสติครบบริบรูณ์ โดยคนไข้อาจมีความรู้สึกแปลกๆหรือมีความรู้สึกวูบๆข้างในท้อง บ้างก็อาจรู้สึกราวกับมีลักษณะเดจาวู ซึ่งเป็นความรู้สึกเหมือนว่าเคยพบเห็นหรือเกิดเหตุการณ์ที่ประสบอยู่มาก่อน ทั้งที่ไม่เคย บางทีอาจเกิดความรู้สึกร่าเริงหรือกลัวทันทีทันใด และก็ได้กลิ่นหรือรับรู้รสชาติแปลกไป รู้สึกชาที่แขนและขา หรือมีลักษณะอาการชักที่แขนแล้วก็มือ เป็นต้น ดังนี้ อาการชักดังที่กล่าวมาแล้วอาจเป็นสัญญาณเตือนของอาการชักประเภทอื่นๆที่กำลังตามมา อาการเหล่านี้สามารถที่จะช่วยให้คนป่วยแล้วก็คนที่อยู่รอบข้างเตรียมรับมือได้ทัน
    อาการชักโดยไม่รู้ตัว (Complex Partial Seizures) สามารถเกิดขึ้นโดยที่คนเจ็บอาจจะไม่ทราบตัวและไม่สามารถจำได้ว่าเกิดอาการขึ้นเมื่อใด ไม่ว่าจะในขณะที่กำเนิดอาการหรืออาการสงบแล้ว อาการชักจำพวกนี้ไม่สามารถที่จะคาดคะเนได้โดยอาจมีอาการเป็นต้นว่า ขยับริมฝีปาก ถูมือ ทำเสียงแปลกๆหมุนแขนไปบริเวณจับเสื้อผ้า เล่นกับสิ่งของในมือ อยู่ในลีลาแปลกๆเคี้ยวหรือกลืนบางสิ่งบางอย่าง นอกเหนือจากนี้ ในเวลาที่เกิดอาการ คนป่วยจะไม่สามารถรับทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกายได้เลย
3.อาการชักต่อเนื่อง (Status Epilepticus) อาการชักชนิดนี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมากยิ่งกว่า 30 นาทีขึ้นไป หรือเป็นอาการชักตลอดที่คนไข้ไม่สามารถที่จะคืนสติในระหว่างที่ชัก ซึ่งเป็นคราวฉุกเฉินที่จำต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
ดังนี้ลักษณะสำคัญของการชักในโรคลมชักทุกชนิดเป็น การที่ผู้ป่วยมีลักษณะแตกต่างจากปกติทางระบบประสาทดังที่พูดมาแล้วข้างต้นอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆตั้งแต่ 30 วินาที ถึง 3 นาที อา การนั้นหายได้เอง แต่อาการพวกนั้นจะกำเนิดซ้ำๆและอาการไม่ปกติที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งจะมีลักษณะคล้ายๆกัน
ก่อนที่จะชัก บางบุคคลอาจมีอาการบอกเหตุล่วงหน้ามาก่อนหลายชั่วโมง หรือ 2-3 วัน เช่น หงุดหงิด เครียด หม่นหมอง เวียนหัว กล้ามกระตุก เป็นต้น และก่อนที่จะสลบเพียงแค่ไม่กี่วินาที คนป่วยอาจมีอาการเตือน ได้แก่ ได้กลิ่นหรือรสแปลกๆหูแว่วว่ามีเสียงคนพูด ตาเห็นภาพหลอน มีลักษณะอาการชะตามตัว จุกแน่นยอดอก ตากระตุๆก ฯลฯ ถ้ามิได้รับประทานยารักษา อาจมีอาการชักกำเริบเสิบสานซ้ำได้ปีละหลายครั้ง โดยเฉพาะเมื่อมีสิ่งเร้า (มองหัวข้อ “การดูแลและรักษาตนเอง”) ผู้ป่วยจะไม่มีอาการไข้ (ตัวร้อน) ร่วมด้วย ลักษณะอาการดังที่กล่าวถึงมาแล้วค่อนข้างจะเป็นลักษณะเฉพาะของโรคลมชัก ถ้าเคยได้เห็นเพียงแต่ครั้งเดียวก็จะนึกออกตลอดกาล
ส่วนอาการชักซึ่งเกิดจากโรคลมชัก มีต้นสายปลายเหตุมีเหตุมาจากการที่กรุ๊ปของเซลล์ประสาทเริ่มศักยะงานในปริมาณสูงอย่างแตกต่างจากปกติ รวมทั้งสอดคล้องต้องกัน ผลทำให้เกิดคลื่นของการลดความต่างศักย์ เรียกว่า ดีโพลาไรซิ่ง ชิฟท์ ปกติภายหลังจากเซลล์ประสาทที่ได้รับการเร่งเร้า ดำเนินงานหรือสร้างศักยะงาน ตัวของมันจะทนทานต่อการสร้างศักยะงานซ้ำในช่วงเวลาหนึ่ง สาเหตุส่วนหนึ่งบางทีอาจสำเร็จของรูปแบบการทำงานของเซลล์ประสาทที่ถูกยั้ง การเปลี่ยนแปลงไฟฟ้าข้างในเซลล์ประสาทที่ได้รับการกระตุ้น และก็ผลพวงของอะดีโนซีน
การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรคลมชัก

  • รับประทานยาปกป้องโรคลมชักตามขนาดที่แพทย์สั่งเป็นประจำ อย่าให้หยุดยาเอง หรือรับประทานๆหยุดๆกระทั่งหมอจะพินิจพิเคราะห์ให้หยุด ซึ่งอาจใช้เวลา 2-3 ปี
  • ไปตรวจกับหมอประจำตามนัด อย่าแปลงแพทย์เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น
  • หลบหลีกแรงกระตุ้นให้เกิดอาการชัก ยกตัวอย่างเช่น อย่าอดหลับอดนอน หรือนอนไม่เป็นเวลา หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ  อย่าดำเนินงานบากบั่นคร่ำเครียดหรืออ่อนเพลียเกินความจำเป็น  อย่าอดอาหารหรือรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา  อย่าดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์  อย่าเข้าไปในที่ๆมีเสียงครึกโครม หรือมีแสงสว่างแรง หรือแสงวอบแวบ  เมื่อเป็นไข้สูง จำเป็นต้องรีบรับประทานยาลดไข้แล้วก็เช็ดตัวให้ไข้ต่ำลง ไม่เช่นนั้นอาจกระตุ้นให้ชักได้
  • หลีกเลี่ยงความประพฤติหรือสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิดอันตราย ดังเช่นว่า ว่ายน้ำ ปีนป่ายขึ้นที่สูง อยู่ใกล้ไฟ ทำงานกับเครื่องจักร ขับขี่รถ ขับเรือ เดินข้ามถนนเพียงลำพัง เป็นต้น เนื่องจากถ้าเกิดอาการชักขึ้นมา บางทีอาจได้รับอันตรายได้
  • ควรจะเปิดเผยให้เพื่อนพ้องสถานที่สำหรับทำงานหรือที่โรงเรียนได้รู้ถึงโรคที่เป็น และก็ควรจะพกบัตรที่บันทึกเนื้อความเกี่ยวกับโรคที่เป็นและก็วิธีพยาบาลเบื้องต้นเพื่อว่าเมื่อเกิดอาการชัก ผู้ที่พบเห็นจะได้ไม่ตกอกตกใจ และก็หาทางช่วยเหลือให้ปลอดภัยได้
  • ออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างเหมาะควรจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังช่วยลดอาการสภาวะเซื่องซึมได้ แต่ว่าก็ควรจะกินน้ำให้พอเพียง และก็ควรหยุดพักถ้าหากรู้สึกอ่อนแรง
  • คุ้มครองป้องกันการบาดเจ็บที่สมอง ด้วยวิธีการดังนี้
  • ขับขี่รถอย่างปลอดภัย ใช้วัสดุอุปกรณ์คุ้มครอง คาดเข็มขัดนิรภัย หมวกกันน็อก แม้ผู้โดยสารเป็นเด็กตัวเล็กๆควรจัดให้นั่งบนที่นั่งเฉพาะสำหรับเด็กเพื่อความปลอดภัย
  • เดินอย่างละเอียด เพื่อป้องกันการหกล้ม โดยยิ่งไปกว่านั้นเด็กและก็คนแก่ที่มีโอกาสในการเสี่ยงที่จะพลัดหล่นหกล้มได้ง่าย ดังนั้นควรมีคนคอยดูแลอยู่เสมอ

การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคลมชัก ถึงแม้การเกิดโรคลมชักในหลายกรณีนั้นเกิดขึ้นโดยไม่ทรายสาเหตุและจะไม่สามารถที่จะป้องกันได้ แม้กระนั้นความพยายามที่จะลดการบาดเจ็บบริเวณหัว การดูแลเด็กแบเบาะที่ดีในขณะหลังคลอด บางทีอาจช่วยลดอัตราการเกิดโรคลมชัก(ที่มีสาเหตุ)ได้ และเมื่อมีลักษณะชักเกิดขึ้นแล้ว ควรจะหาทางปกป้องไม่ให้อาการกำเริบขึ้น ด้วยการกินยากันชักตามขนาดที่หมอชี้แนะ และก็คนเจ็บต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้อาการกำเริบ
ทั้งนี้ตอนนี้ยังไม่มียาที่ใช้คุ้มครองป้องกันการเกิดโรคลมชักได้ผลลัพธ์ที่ดี 100% และก็หมอไม่นิยมที่จะให้ยาคุ้มครองป้องกันการชัก หมอจะเริ่มให้ยารักษาอาการชักในโรคลมชักต่อเมื่อมีลักษณะอาการชักกำเนิด ขึ้นแล้ว เพื่อคุ้มครองปกป้อง/ลดโอกาสมีการชักซ้ำ
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครอง/รักษาโรคลมชัก ในช่วงเวลานี้ยังไม่ได้รับรายงานว่าสมุนไพรจำพวกไหนที่สามารถป้องกัน/รักษาโรคลมชักได้แต่ว่ามีการนำสมุนไพรของไทยไปวิจัยและก็ทดสอบในสัตว์ทดสอบและก็ได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจแต่ยังมิได้มีการนำไปทดสอบในมนุษย์ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้ อย่างเช่น

  • พริกไทยดำ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ piper nigrum Linn. อยู่ในสกุล Piperraceae เมื่อเร็วๆนี้มีแถลงการณ์ว่าสารสกัดพริกไทยดำมีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ รักษามะเร็ง ต้านทานโรคลมชัก โดยต้านการกระตุ้นสมองของสารสื่อประสาทกลุ่มกลูตาเมตผ่านตัวรับจำพวก NMDA ซึ่งฤทธิ์ต้านลมชักนี้จะสอดคล้องกับคุณประโยชน์ของพริกไทยดำที่มีการอ้างไว้ในตำราหมอแผนไทยและก็แพทย์แผนจีน นอกนั้นยังมีแถลงการณ์ว่าหนูอ้วนที่ถูกรั้งนำด้วยการให้กินอาหารที่มีไขมันสูงที่ได้รับพริกไทยดำจะหรูหราความเคร่งเครียดขบวนการออกซิเดชัน (oxidation stress) น้อยกล่ากลุ่มที่ไม่ได้รับพริกไทยดำ
  • ประพรมมิ มีชื่อสามัญว่า Thyme-leaf Gratiola และชื่ออังกฤษว่า Dwarf bacopa มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bacopa monnieri Wettst อยู่ในตระกูล Scrophulariaceae ในพรมมิมีสารสำคัญในกรุ๊ปแอลค้างลอยด์ ตัวอย่างเช่น บรามิน (brahmine), นิโคติน และสารกรุ๊ปซาโปนิน มีคุณลักษณะช่วยสำหรับเพื่อการเรียนรู้และจดจำ ช่วยลดอาการกังวล ลดอาการซึมเซา และต้านทานอาการชัก ซึ่งมีการทดลองที่สำคัญ ได้ดังนี้
  • ฤทธิ์ต้านอาการชัก (Anticonvulsive action)การแพทย์แผนไทย มีการนำพรมมิมาใช้เป็นสมุนไพรแก้ลมเหียน ซึ่งในขณะนี้ มีการนำพรมไม่มาทดลองในสัตว์ทดลอง (หนูถีบจักร) พบว่า สารสกัดน้ำจากประพรมมิขนาด 1-30 กรัม/กิโล (น้ำหนักตัว) สามารถควบคุมอาการลมชัก (epilepsy) ได้อย่างดีเยี่ยมโดยออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง
เอกสารอ้างอิง

  • Magiorkinis E, Kalliopi S, Diamantis A (January 2010). "Hallmarks in the history of epilepsy: epilepsy in antiquity". Epilepsy & behavior : E&B 17 (1): 103– PMID 19963440. doi:10.1016/j.yebeh.2009.10.023.
  • รศ.นพ.อนันต์นิตย์ วิสุทธิพันธ์ . อาการชัก และโรคลมชัก. บทความประกอบการบรรยายในการประชุมวิชาการ วิทยาการก้าวหน้าทางการพยาบาลเด็ก.2555
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคลมชัก-ลมบ้าหมู.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่166.คอลัมน์แนะยา-แจงโรค.กุมภาพันธ์ 2536
  • Liu Y, Yadev VR, Aggarwal BB, Nair MG. Inhibitory effects of black pepper (Piper nigrum) extracts and compounds on human tumor cell proliferation, cyclooxygenase enzymes, lipid peroxidation and nuclear transcription factor-kappa-B. Nat Prod Commun. 2010 ;5(8):1253-7
  • โรคลมชัก.ความหมาย,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/
  • ชาญชัย สาดแสงจันทร์.พรมมิ สมุนไพรที่คนแก่ต้องกิน.วารสารธรรมศาสตร์เวชสาร.ปีที่13.ฉบับที่4.ตุลาคม-ธันวาคม.2556
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ลมบ้าหมู.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่363.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กรกฏาคม.2553
  • Hi RA, Davies JW. Effects of Piper nigrum L. on epileptiform activity in cortical wedges prepared from DBA/2 mice. Brother Res 1997; 11(3): 222-225
  • Hammer, edited by Stephen J. McPhee, Gary D. (2010). "7". Pathophysiology of disease : an introduction to clinical medicine (6th ed. ed.). New York: McGraw-Hill Medical. ISBN 978-0-07-162167-0.
  • Nisha P, Singhal RS, Pandit AB. The degradation kinetics of flavor in black pepper (Piper nigrum L.).Journal of Food Engineering 2009; 92: 44-49.
  • Chang BS, Lowenstein DH (2003). "Epilepsy". N. Engl. J. Med. 349 (13): 1257–66. PMID 14507951. doi:10.1056/NEJMra022308.


35

โรคไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)
โรคไส้ติ่งอักเสบคืออะไร  ไส้ติ่ง (Vermiform appendix) เป็นส่วนเพิ่มเติมของไส้ที่ยื่นออกมาจากกระพุ้งไส้ใหญ่ (Cecum) ไส้ติ่งมีรูปร่างเสมือนถุงยาวๆขนาดเท่านิ้วก้อย ยื่นออกมาจากลำไส้ใหญ่ อยู่ตรงรอบๆท้องน้อยข้างขวา โดยมีลักษณะเป็นถุงแคบและก็ยาว มีขนาดกว้างเพียงแต่ 5-8 มม. รวมทั้งมีความยาวหรือก้นถุงลึกโดยเฉลี่ย 8-10 เซนติเมตร (ในคนแก่) ข้างในมีรูติดต่อกับลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ผนังภายในของไส้ติ่งมีเยื่อต่อมน้ำเหลืองกระจัดกระจายอยู่ ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อมีการอักเสบได้ง่าย โดยเนื้อเยื่อนี้จะมีการเพิ่มปริมาณมากช่วงวัยรุ่น ก็เลยพบไส้ติ่งอักเสบกำเนิดได้บ่อยในวัย รุ่น ไส้ติ่งนับว่าเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ที่ฝ่อตัวลงและไม่ได้ทำหน้าที่สำหรับเพื่อการย่อยรวมทั้งซับอาหาร เพราะเหตุว่าเป็นท่อขนาดเล็กปลายตัน เมื่อเกิดการอักเสบจึงทำให้เนื้อผนังไส้ติ่งเน่าตายและก็เป็นรูทะลุในเวลาอันรวดเร็วทันใจได้
ไส้ติ่งอักเสบเป็น อาการบวมและก็ติดโรคของไส้ติ่งนับเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันและก็อันตราย ซึ่งจะต้องได้รับการผ่าตัดอย่างรีบ ด่วน เพราะเหตุว่าถ้าหากทิ้งเอาไว้นาน ไส้ติ่งที่อักเสบมักแตกกระจายเชื้อโรคสู่ช่องท้อง รวมทั้งบางทีอาจเป็นสา เหตุร้ายแรงจนถึงติดโรคในกระแสโลหิตจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
โดยการตายจำนวนมากของโรคไส้ติ่งอักเสบเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากสภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบและก็สภาวะช็อค โรคไส้ติ่งอักเสบได้รับการชี้แจงเป็นครั้งแรกโดย Reginald Fitz ในปี พุทธศักราช 2429 เดี๋ยวนี้ได้รับการยินยอมรับว่ายอดเยี่ยมในสิ่งที่ทำให้เกิดลักษณะของการปวดท้องรุนแรงกระทันหันที่พบได้บ่อยที่สุดทั้งโลกและก็ โรคไส้ติ่งอักเสบยังพบเป็นต้นเหตุอันดับหนึ่งของโรคปวดท้อง ที่จำเป็นต้องรักษาด้วยแนวทางผ่าตัดเร่งด่วน บ่อยครั้งที่ค้นพบว่าคนป่วยปล่อยให้มีลักษณะอาการเจ็บท้องนานนับเป็นเวลาหลายวันและหลังจากนั้นก็ค่อยมาโรงพยาบาล  ซึ่งชอบพบว่าเป็นถึงกับขนาดไส้ติ่งแตกแล้ว ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่พบได้บ่อย เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กอายุ 2 ขวบไปจนกระทั่งคนชรา หรือแม้กระทั่งหญิงมีท้อง แต่ว่าจะพบได้มากในช่วงอายุ 10-30 ปี (เจอได้น้อยในคนชรา เหตุเพราะไส้ติ่งตีบยุบมีเนื้อเยื่อหลงเหลือน้อย รวมทั้งในเด็กอายุต่ำลงมากยิ่งกว่า 3 ปี เนื่องมาจากโคนไส้ติ่งยังค่อนข้างกว้าง) ในสตรีและก็ผู้ชายได้โอกาสเป็นโรคนี้ได้เท่าๆกัน รวมทั้งมีการคาดประมาณว่าในชั่วชีวิตของมนุษย์จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ราว 7% ในปีๆหนึ่งจะมีผู้เจ็บป่วยเป็นโรคนี้ราว 1 ใน 1,000 คน
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคไส้ติ่งอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ มีต้นเหตุจากมีสภาวะอุดกันของรูไส้ติ่ง ส่วนการอุดกันนั้นส่วนหนึ่งส่วนใดเป็นการเกิดขึ้นเองโดยไม่รู้มูลเหตุกระจ่าง แม้กระนั้นส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดจากมีเศษอุจจาระแข็งๆเรียกว่า "นิ่วอุจจาระ" (fecalith) ชิ้นเล็กๆตกลงไปอุดกันอยู่ภายในรูของไส้ติ่ง แล้วทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในรูไส้ติ่งจำนวนน้อยเกิดการเจริญขยายพันธุ์แล้วก็รุกล้ำเข้าไปในผนังไส้ติ่ง จนถึงเกิดการอักเสบตามมา แม้ปล่อยไว้เพียงแค่ไม่กี่วัน ฝาผนังไส้ติ่งก็เกิดการเน่าตายแล้วก็แตกทะลุได้ รวมทั้งต้นสายปลายเหตุที่พบได้รองลงมาคือ มีสาเหตุมาจากเนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลือง (Lymphoid tissue) ที่ฝาผนังไส้ติ่งที่ครึ้มตัวขึ้นตามการอักเสบต่างๆที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ยิ่งกว่านั้นอาจเป็นเพราะเนื่องจากสิ่งแปลกปลอม (ยกตัวอย่างเช่น เมล็ดผลไม้), หนอนพยาธิ (ที่สำคัญคือ พยาธิไส้เดือน พยาธิด้าย พยาธิตืดหมู) หรือเนื้องอก หรือบางคราวก็อาจเกิดจากการต่อว่าดเชื้อที่ระบบทางเท้าหายใจส่วนบน ที่ทำให้ต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย และต่อมน้ำเหลืองในไส้ติ่งเกิดการปฏิกิริยาสนองตอบด้วยการขยายตัวขึ้นกระทั่งไปห้ามไส้ติ่ง แล้วก็ทำให้ไส้ติ่งที่อาจมีเชื้อโรคอาศัยอยู่กำเนิดอาการอักเสบสุดท้าย ในผู้เจ็บป่วยบางรายอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสไซโตเมกะโล (Cytomegalovirus)  ซึ่งชอบเจอได้ในคนเจ็บเอดส์ รวมทั้งบางรายอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบโดยที่แพทย์ไม่เคยรู้ปัจจัยเลยก็ได้
อาการโรคไส้ติ่งอักเสบ อาการสำคัญของโรคไส้ติ่งอักเสบนั้นเป็น คนไข้จะมีอาการเจ็บท้องที่มีลักษณะสม่ำเสมอรวมทั้งปวดแรงขึ้นนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป หากไม่ได้รับการดูแลและรักษาก็ชอบปวดอยู่นานหลายวัน จนคนป่วยทนปวดไม่ไหวจะต้องพาส่งโรงหมอ ซึ่งลักษณะของไส้ติ่งอักเสบนั้นอาจแบ่งได้สองชนิด เป็นประเภทขวานผ่าซากและก็จำพวกไม่ไม่อ้อมค้อมดังนี้ จำพวกไม่อ้อมค้อมเดิมบางทีอาจปวดแน่นตรงลิ้นปี่เหมือนโรคกระเพาะ บางคนบางทีอาจปวดบิดเป็นพักๆรอบๆสะดือ คล้ายอาการปวดแบบท้องร่วง อาจเข้าส้วมหลายครั้ง แม้กระนั้นถ่ายไม่ออก (แต่บางคนอาจมีอาการถ่ายเป็นน้ำหรือ ถ่ายเหลวร่วมด้วย)ถัดมาจะมีลักษณะอาการอาเจียน อ้วก ไม่อยากกินอาหารร่วมด้วย อาการปวดท้องมักจะไม่ทุเลา แม้ว่าจะกินยาพาราใดๆก็ตาม ถัดมาอีก 3-4 ชั่วโมง ลักษณะของการปวดจะย้ายมาที่ท้องน้อยข้างขวา มีลักษณะปวดเสียดตลอดเวลา รวมทั้งจะเจ็บมากเพิ่มขึ้นเมื่อมีการขยับเขยื้อนตัว หรือเวลาเดินหรือไอจาม ผู้ป่วยจะนอนนิ่งๆหากเป็นมากคนเจ็บจะนอนงอขา ตะแคงไปข้างหนึ่ง หรือเดินตัวงอ เพื่อรู้สึกสบายขึ้น  เมื่อถึงขั้นที่มีอาการอักเสบของไส้ติ่งชัดแจ้ง มีแนวทางตรวจอย่างง่ายๆคือ ให้คนป่วยนอนหงายแล้วใช้มือกดลงลึกๆหรือใช้หมัดตีเบาๆตรงบริเวณไส้ติ่ง (ท้องน้อยข้างขวา)ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บมาก (เรียกว่า อาการกดเจ็บ) คนป่วยอาจมีไข้ต่ำๆ(อุณหภูมิ 37.7-38.3 องศาเซลเซียส) ส่วนประเภทไม่ไม่อ้อมค้อมนั้นอาจจะเริ่มต้นจากมีอาการปวดเริ่มที่หน้าท้องด้านล่างขวาตั้งแต่ต้น ท้องเสีย และมีการดำเนินโรคที่นานค่อยๆเป็นค่อยๆไปกว่าประเภทไม่อ้อมค้อม แม้ไส้ติ่งที่อักเสบสัมผัสกับกระเพาะปัสสาวะอาจทำให้มีอาการฉี่บ่อยมาก ถ้าไส้ติ่งที่อักเสบอยู่ด้านหลังลำไส้เล็กช่วงปลายอาจมีอาการอ้วกร้ายแรงได้ บางรายบางทีอาจรู้สึกปวดเบ่ง

ส่วนผู้ป่วยในกลุ่มที่เป็นเด็ก หรือสตรีท้อง อาจมีอาการบางอย่างที่ต่างจากคนโดยปกติทั่วๆไป ดังนี้

  • ในกลุ่มคนไข้ที่เป็นเด็ก เด็กที่แก่ต่ำว่า 2 ปี ลงไป จะมีอาการที่เห็นได้ชัดคือ อาเจียนมากมาย อาการท้องอืด ถ้าใช้มือกดรอบๆพุงจะรู้สึกเจ็บ ส่วนเด็กที่มีอายุมากกว่า 2 ปีขึ้นไปจะเริ่มแสดงอาการได้ ซึ่งอาการก็จะไม่ต่างอะไรจากคนทั่วไป
  • ในกรุ๊ปคนเจ็บที่เป็นสตรีมีท้อง เนื่องมาจากอวัยวะต่างๆที่ถูกดันให้สูงขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของมดลูก ไส้ติ่งของสตรีท้องจะเคลื่อนไปอยู่ที่รอบๆพุงส่วนบน ซึ่งถ้าเกิดมีลักษณะไส้ติ่งอักเสบจะก่อให้ปวดบริเวณพุงส่วนบนด้านขวาแทน นอกเหนือจากนี้อาจมีลักษณะของการปวดบีบที่ท้อง มีแก๊สในกระเพาะอาหาร หรืออาการแสบร้อนที่กึ่งกลางอก บางรายบางทีอาจพบอาการท้องเดิน หรือท้องผูกควบคู่กัน


ผู้ป่วยโรคไส้ติ่งอักเสบถ้าหากไม่ได้รับการดูแลและรักษาโดยการผ่าตัดภายใน 24-36 ชั่วโมงข้างหลังมีการอักเสบ ไส้ติ่งจะขาดเลือดแปลงเป็นเนื้อเน่าและตาย ในที่สุดผนังของไส้ติ่งที่เปื่อยจะแตกทะลุ หนองและสิ่งสกปรกภายในลำไส้จะไหลออกมาในท้อง ทำให้แปลงเป็นเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) และก็ถ้าเชื้อแบคทีเรียแผ่ขยายไปสู่กระแสเลือดก็จะมีการติดเชื้อในกระแสโลหิต ก่อให้เกิดอันตรายจนกระทั่งขั้นเสียชีวิตได้
วิธีการรักษาโรคไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคที่มีปัญหาสำหรับในการวินิจฉัยให้ที่ถูกต้องค่อนข้างมากมาย คนเจ็บบางรายได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ แต่เมื่อผ่าตัดเข้าไปก็พบว่าไส้ติ่งไม่มีการอักเสบ คนเจ็บบางรายแม้ว่าจะไปพบหมอแต่ว่าก็ได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นโรคอื่น กระทั่งไส้ติ่งแตกแล้วจึงได้รับการรักษาวิเคราะห์ที่ถูก เด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ขวบดูเหมือนจะทุกรายมักจะวินิจฉัยโรคนี้ได้หลังจากการแตกของไส้ติ่งแล้ว ในเด็กตัวเล็กๆและก็คนป่วยสูงอายุพบว่าอาจกำเนิดปัญหาร้ายแรง หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาโรคช้าเหตุเพราะมีภูมิคุ้มกันต่ำ
                การวินิจฉัยโรคไส้ติ่งอักเสบ การวิเคราะห์โรคในผู้เจ็บป่วยจำนวนมากอาศัยลักษณะทางคลินิก (clinical menifestation) เป็นอาการและก็การตรวจพบเป็นหลัก ส่วนการตรวจทางห้องปฎิบัติการและการค้นทางรังสีวิทยา (radiologic investigation) หรือการตรวจเพิ่มเติมอื่นๆมีความสำคัญน้อย มีสาระเฉพาะในคนป่วยบางรายที่ลักษณะทางคลินิกไม่แน่ชัดแค่นั้นโดยมีวิธีการวิเคราะห์ดังนี้

  • การวินิจฉัยลักษณะของไส้ติ่งอักเสบ เป็น
  • ลักษณะของการปวดท้อง เป็นอาการที่สำคัญที่สุด ช่วงแรกชอบปวดบริเวณสะดือ หรือบอก มิได้กระจ่างแจ้งว่าปวดที่รอบๆใดแต่ว่าระยะต่อมาอาการปวดจะกระจ่างที่ท้องน้อยด้านขวา (right lower quadrant-RLQ)
  • อาการอื่นๆที่บางทีอาจพบร่วมด้วยคือ


                          - คลื่นไส้ อาเจียน อาการนี้พบได้ในผู้ป่วยดูเหมือนจะทุกราย
                          - ไข้ ชอบกำเนิดหลังจากเริ่มลักษณะของการปวดท้องแล้วระยะหนึ่ง
                          - ไม่อยากอาหาร
                          - ท้องร่วง เจออาการในคนป่วยบางราย มักจะเกิดหลังจากไส้ติ่งแตกทะลุ หรือ ชี้แจง ได้จากไส้ติ่งอักเสบที่อยู่ตำแหน่งใกล้กับลำไส้ใหญ่ส่วน sigmoid หรือ rectum

  • ในเด็กที่มีไส้ติ่งแตกทะลุอาจมาด้วยอาการของไส้อุดตันได้
  • การตรวจร่างกาย เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเพื่อการวินิจฉัยโรค
  • การกดเจ็บเฉพาะที่ (local tenderness) แทบทั้งสิ้นจะมี maximal tenderness ที่ RLQ และก็อาจมี guarding และ rebound tenderness ด้วย ในคนไข้ไส้ติ่งแตกทะลุ tenderness แล้วก็ guarding มักตรวจเจอบริเวณกว้างขึ้นหรือพบทั่วรอบๆท้องน้อยข้างล่างอีกทั้ง 2 ข้าง จากการมี pelvic peritonitis ในรายที่เป็นก้อนไส้ติ่งอักเสบ (appendiceal mass) จาก phlegmon หรือ abscess มักคลำได้ก้อนที่ RLQ
  • การตรวจทางทวารหนัก (rectal examination) นับว่าเป็นประโยชน์มาก จะพบว่ากดเจ็บที่ทางขวาของ cul-de-sac แต่ไม่นิยมทำในเด็กตัวเล็กๆเพราะว่าแปลผลได้ตรากตรำ ในเด็กผู้หญิงอาจมีผลดีสำหรับการวินิจฉัยแยกโรคที่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจาก twisted ovarian cyst เนื่องจากว่าบางทีอาจคลำได้ก่อน ส่วนในรายที่สงสัยว่าอาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะ pelvic inflammatory disease นอกเหนือจากที่จะได้เรื่องราวร่วมเพศแล้วการตรวจด้านใน (per vagina examination - PV) จะให้ผลดีมาก
  • การตรวจอื่นๆบางทีอาจให้ผลบวกสำหรับในการตรวจ ดังเช่น


                          - Rovsing sign
                          - Obturator sign
                          - Psoas sign

  • การตรวจทางห้องปฎิบัติการ ไม่ค่อยมีความจำเป็นมากนักในคนเจ็บส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อการตรวจร่างกายสามารถให้การวินิจฉัยได้อยู่แล้ว แต่จะทำเป็นรากฐานเพื่อการดูแลระหว่างการดูแลรักษาถัดไป ได้แก่
  • complete blood count พบได้มากว่า เม็ดเลือดขาวสูงยิ่งกว่าปกติรวมทั้งมี shift to the left
  • การตรวจปัสสาวะ ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรนักในการวินิจฉัยแยกโรค แม้กระนั้นช่วยแยกโรคอื่น อาทิเช่น มีเม็ดเลือดแดงในเยี่ยวบางทีอาจจำเป็นต้องรำลึกถึงนิ่วในท่อไต
  • การตรวจพิเศษ ในรายที่ลักษณะทางคลินิกระบุชัดเจนว่าเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบฉับพลัน การตรวจพิเศษเสริมเติมก็ไม่สำคัญ แต่ว่าในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลคลุมเครือนั้น การตรวจพิเศษอาจมีประโยชน์สำหรับเพื่อการวิเคราะห์แยกโรค อย่างเช่น
  • การถ่ายภาพรังสีของท้อง อาจพบเงาของ fecalith หรือ localized ileus ที่ RLQ
  • การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonography) ของท้อง หรือ barium enema ไม่สำคัญในผู้เจ็บป่วยจำนวนมาก แม้กระนั้นอาจช่วยในการวินิจฉัยโรคในคนไข้บางรายที่มีปัญหาสำหรับเพื่อการวินิจฉัยโรค


ไส้ติ่งอักเสบสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเพียงแค่นั้น เพราะว่าจะช่วยรักษาอาการแล้วก็ช่วยกำจัดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะไส้ติ่งแตก โดยการผ่าตัดที่นิยมใช้ในตอนนี้เป็นการผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) เนื่องจากเป็นการผ่าตัดเล็กสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ในทันที เหมาะสมกับกรณีไส้ติ่งที่อักเสบยังอยู่ในระยะไม่รุนแรงนัก ถ้าเกิดร้ายแรงถึงขั้นไส้ติ่งแตก ก็ต้องใช้การผ่าตัดแบบเปิด (Open Surgery) ซึ่งเป็นผ่าตัดแบบมาตรฐาน เพราะว่านอกเหนือจากต้องนำไส้ติ่งที่แตกออกแล้ว ยังจำเป็นต้องทำความสะอาดภายในท้อง แล้วก็ใส่ท่อเพื่อระบายหนองจากฝีที่เกิดขึ้นอีกด้วย โดยแพทย์จะพินิจผ่าตัดรักษาดังนี้

  • ในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลชี้ว่าน่าจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ แนะนำให้การรักษาด้วยการ ผ่าตัดโดยเร่งด่วน หลังจากการเตรียมคนไข้ให้พร้อมรวมทั้งเหมาะสมต่อการให้ยาสลบและก็การผ่าตัด
  • ในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลคลุมเครือว่าจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ แม้กระนั้นมีสิ่งที่ทำให้สงสัยว่าอาจจะเป็นโรคนี้ ควรจะรับตัวไว้พินิจอาการในโรงพยาบาล เพื่อติดตามประเมินลักษณะทางคลินิกต่อเป็นระยะๆโดยงดน้ำและของกิน และไม่ให้ยาปฎิชีวนะ เมื่อลักษณะทางคลินิกชี้แจ้งชัดขึ้นว่าน่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน จะได้นำผู้ป่วยไปทำผ่าตัดรักษาอย่างทันการ
  • ในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลบ่งชัดว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบกะทันหัน ไม่แตกทะลุ ไม่จำเป็นที่ต้องให้ยายาปฏิชีวนะอีกทั้งก่อนรวมทั้งหลังผ่าตัด แม้กระนั้นหมอผู้ดูแลอาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะก่อนผ่าตัดก็ได้ เมื่อผ่าตัดพบว่าไส้ติ่งอักเสบไม่แตกทะลุ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ยาต่อ
  • ในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลไม่อาจจะแยกได้ว่าไส้ติ่งแตกทะลุแจ้งชัด นิยมให้ยายาปฏิชีวนะ โดยเริ่มตั้งแต่ก่อนผ่าตัด หากผ่าตัดแล้วพบว่าไส้ติ่งไม่แตกทะลุ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้ยาปฏิชีวนะต่อข้างหลังผ่าตัด แต่ว่าถ้าพบว่าไส้ติ่งแตกทะลุก็ให้ยาปฏิชีวนะต่อ
  • ในรายที่การตรวจร่างกายระบุว่ามี peritonitis ซึ่งเกิดขึ้นจากการแตกของไส้ติ่งอักเสบ ในเด็กมักมีลักษณะ generalized peritonitis ส่วนผู้ใหญ่จะเป็น pelvic peritonitis ก่อนนำคนเจ็บไปทำผ่าตัดควรที่จะใช้วิธีรักษาแบบเกื้อกูลให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสมสำหรับเพื่อการให้ยาสลบและก็การผ่าตัด ดังเช่นการให้ intravenous fluid ที่เหมาะสมให้พอเพียงซึ่งบางทีอาจใช้เวลาหลายชั่วโมง ดูว่าผู้ป่วยมีฉี่ออกดีแล้ว ให้ยาปฎิชีวนะที่สมควร ให้ยาลดไข้หรือเช็ดตัวให้อุณหภูมิร่างกายน้อยลงหากมีไข้สูง ถ้าเกิดท้องอืดมากควรจะใส่ nasogastric tube ต่อ suction บางทีอาจใช้เวลาสำหรับในการจัดแจงคนเจ็บ 3-4 ชั่วโมงก่อนนำคนไข้ไปผ่าตัด
  • กรณีที่ไส้ติ่งแตกทะลุระหว่างการผ่าตัด หรือไส้ติ่งไม่แตกทะลุ แต่รุนแรงถึงกับขนาด gangrenous appendicitis แนะนำให้ยาปฏิชีวนะระหว่างการผ่าตัด และก็ตลอด 1-3 วันแล้วแต่พยาธิภาวะ
  • ในรายที่มีลักษณะอาการมาหลายวันรวมทั้งการตรวจร่างกายพบว่ามีก้อนที่ RLQ ที่บ่งชี้ว่าน่าจะเป็น appendiceal phlegmon หรือ abscess น่าจะรักษาโดยวิธีช่วยเหลือโดยให้ยาปฎิชีวนะที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมกว้างขวาง ถ้าผู้ป่วยสนองตอบดีต่อการรักษา ดังเช่น อาการปวดท้องดียิ่งขึ้น ก้อนเล็กลง ให้รักษาต่อโดยวิธีเกื้อกูล และก็นำคนป่วยไปทำ elective appendectomy ต่อจากนั้น 6 สัปดาห์ - 3 เดือน แต่ว่าถ้าเกิดการดูแลรักษาด้วยยาปฎิชีวนะดังกล่าวข้างต้นไม่ได้รับการโต้ตอบที่ดีบางทีอาจจำเป็นจะต้องผ่าตัดเลย ถ้าเกิดพยาธิสภาพรุนแรงมาก บางทีอาจทำเพียงแค่ระบายหนอง แต่ถ้าหากพยาธิภาวะไม่รุนแรง รวมทั้งสามารถตัดไส้ติ่งออกได้เลย ก็เสนอแนะให้ทำ


กรุ๊ปอาการที่เสี่ยงต่อโรคไส้ติ่งอักเสบ มีอาการปวดท้องที่มีลักษณะไม่เหมือนลักษณะของการปวดโรคกระเพาะ ท้องเสีย หรือปวดเมนส์ ก็ให้สงสัยว่าอาจเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบได้ ควรรีบไปพบหมอ ถ้าเกิดมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

  • ปวดร้ายแรง หรือปวดติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป
  • กดหรือเคาะเจ็บตรงบริเวณที่ปวด
  • อาเจียนบ่อยมาก กินอะไรก็ออกหมด
  • มีลักษณะอาการหน้ามืด เป็นลมเป็นแล้ง ใจสั่นหวิว ใจสั่น
  • จับไข้สูง หรือหนาวสั่น
  • เค้าหน้าซีดเซียวเหลือง
  • กินยาบรรเทาปวดแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือกลับรุนแรงขึ้น
  • คนป่วยที่มีลักษณะท้องผูกร่วมด้วย ถ้าพบว่ามีลักษณะอาการเจ็บท้องร้ายแรงกว่าปกติ ก็ห้ามรับประทานยาถ่าย หรือกระทำการสวนทวาร


การติดต่อของโรคไส้ติ่งอักเสบ โรคไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการอุดตันของรูไส้ติ่ง จากสิ่งเจือปนต่างๆทำให้ไส้ติ่งมีการอักเสบติดโรคและก็แตกสุดท้าย ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นเฉพาะกับคนเจ็บแต่ละคน และไม่ได้เป็นโรคติดต่อที่แพร่ให้คนใกล้กันอะไร
การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ  เพราะโรคไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคเร่งด่วน จะต้องไปพบหมอทันที ที่ห้องฉุกเฉินของโรงหมอเพื่อกระทำการผ่าตัดและไม่ควรจะรับประทานยาระบายหรือสวนอุจจาระ เมื่อมีลักษณะท้องผูกร่วมด้วย เนื่องจากอาจจะส่งผลให้ไส้ติ่งอักเสบนั้นแตกเร็วขึ้น

  • การกระทำตัวก่อนการผ่าตัดไส้ติ่ง คนไข้ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้


o    เมื่อมีลักษณะอาการของไส้ติ่งอักเสบ ก่อนไปพบหมอคนไข้จะต้องงดอาหารและก็น้ำไว้ด้วยเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับในการผ่าตัดรีบด่วน
o   ในเรื่องที่มีลักษณะอาการเจ็บท้องแต่ว่าผู้ป่วยยังไม่ทราบสาเหตุ ห้ามรับประทานยาพารา แต่ว่าควรจะรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยก่อน เพราะว่ายาแก้ปวดจะไปบดบังลักษณะของการปวดทำให้หมอแยกโรคได้ทุกข์ยากลำบาก
o  งดการใช้ครีมและก็เครื่องสำอางทุกประเภท และก็ทำร่างกายให้สะอาด อาบน้ำ สระผม ตัดเล็บ เพื่อหมอพิจารณาอาการเปลี่ยนไปจากปกติจากการขาดออกสิเจนได้

  • การปฏิบัติตัวข้างหลังการผ่าตัดไส้ติ่ง ข้างหลังการผ่าตัดไส้ติ่ง 24 ชั่วโมง คนเจ็บต้องทำลุกจากเตียง เพื่อลำไส้มีการขยับเขยื้อนเร็วขึ้น งดเว้นของกินและน้ำหลังผ่าตัดวันแรก ส่วนการดูแลแผลผ่าตัด ห้ามให้ผ้าปิดแผลเปียกน้ำ ห้ามให้แผลโดนน้ำ ห้ามเกา รวมทั้งเวลาไอหรือจามให้ใช้มือพยุงแผลไว้ด้วยเพื่อคุ้มครองแผลที่เย็บแยกออก หากถ้าเกิดแผลยังไม่แห้งดีอย่าเพิ่งจะอาบน้ำ แต่ให้ใช้วิธีการเช็ดตัวแทน นอกนั้นเป็นการรับประทานยาดังที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ เน้นการกินอาหารที่มีโปรตีนสูง เพราะจะช่วยให้แผลติดเร็วมากขึ้น นอกจากนั้นคือ การขับถ่ายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้พอเพียง


การปกป้องคุ้มครองตัวเองจากโรคไส้ติ่งอักเสบ ในขณะนี้ยังไม่คราวการศึกษาค้นพบแนวทางปกป้องอาการไส้ติ่งอักเสบ เพราะไส้ติ่งอักเสบเป็นอาการกะทันหันที่ไม่สามารถที่จะหามูลเหตุที่แจ่มชัดได้ แม้กระนั้นมีข้อสังเกตว่า พลเมืองที่นิยมรับประทานอาหารพวกผักผลไม้มากมาย (อาทิเช่น ชาวแอฟริกา) จะมีอัตราการเป็นไส้ติ่งอักเสบน้อยกว่ากรุ๊ปที่กินผักและก็กินผลไม้น้อย (เช่น ชาวต่างประเทศ) จึงมีการชี้แนะให้อุตสาหะกินผักและผลไม้ให้มากๆทุกวี่วัน ซึ่งมีผลดีต่อการปกป้องคุ้มครองโรคท้องผูก ริดสีดวงทวาร โรคอ้วน และก็ยังมั่นใจว่าอาจป้องกันไส้ติ่งอักเสบ และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
ยิ่งกว่านั้นมีการศึกษาเล่าเรียนที่พบว่า ภาวะท้องผูกมีส่วนสมาคมกับการเกิดไส้ติ่งอักเสบ โดยพบว่าผู้เจ็บป่วยไส้ติ่งอักเสบจะมีปริมาณครั้งสำหรับเพื่อการถ่ายอุจจาระต่ออาทิตย์น้อยกว่ากรุ๊ปควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ และยังพบว่า คนไข้โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่รวมทั้งโรคมะเร็งลำไส้ตรงชอบเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบนำมาก่อน ทั้งยังยังมีผลการศึกษาหลายงานที่พบว่า การรับประทานอาหารที่มีกากใยต่ำจะมีส่วนสำหรับในการนำไปสู่โรคไส้ติ่งอักเสบอีกด้วย
สมุนไพรที่ช่วยป้องงกัน/ทุเลาโรคไส้ติ่งอักเสบ เนื่องแต่การรักษาโรคไส้ติ่งอักเสบจำเป็นต้องรักษาโดยใช้การผ่าตัดเท่านั้นแล้วก็ในขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าสมุนไพรประเภทไหนที่จะช่วยคุ้มครองปกป้องหรือ ทุเลา/รักษา โรคไส้ติ่งอักเสบได้ รวมทั้งยังไม่มีรายงานการวิจัยชิ้นไหนที่รายงานว่าสมุนไพรจำพวกไหนสามารถช่วยคุ้มครองหรือ / รักษาโรคไส้ติ่งอักเสบได้
เอกสารอ้างอิง

  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป     หน้า 525-527.
  • Fitz RH (1886). "Perforating inflammation of the vermiform appendix with special reference to its early diagnosis and treatment". Am J Med Sci(92): 321–46.(อังกฤษ)
  • ไส้ติ่งอักเสบ-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.
  • Adamis D, Roma-Giannikou E, Karamolegou K (2000). "Fiber intake and childhood appendicitis". Int J Food Sci Nutr51: 153–7. (อังกฤษ)
  • รศ.นพ.สุรเกียรติอาชานานุภาพ.ไส้ติ่งอักเสบ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่301.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.พฤษภาคม.2547
  • SCHWARTZ, Principle of Surgery , McGRAW HILL
  • Wangensteen OH, Bowers WF (1937). "Significance of the obstructive factor in the genesis of acute appendicitis". Arch Surg34: 496–526. (อังกฤษ)
  • โรคไส้ติ่งอักเสบ(APPENDICITIS).แนวทางการรักษาพยาบาลผู้ป่วยทางศัลยกรรม.ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย.


36

สมุนไพรขางปอย
ขางปอย Alchornea rugosa (Lour.) Muell Arg.
ชื่อพ้อง A. javanensis (Bl.) Backer & Bakh.f.
บางถิ่นเรียก ขางปอย ของปอยน้ำ (กึ่งกลาง) ซ่าหมากไฟ (เลย) ดับยาง (จังหวัดเชียงใหม่) เปล้าน้ำ (ลำปาง).
ไม้พุ่ม สูง 3-6 มัธยม กิ่งแข็ง กลม ตามยอดอ่อนมีขน. ใบ ผู้เดียว เรียงสลับกัน รูปขอบขนานแกมรูปหอก หรือ รูปหอกกลับ กว้าง 3-6 ซม. ยาว 9-16เซนติเมตร ปลายใบติ่งแหลม; โคนใบสอบแคบ โคนสุดมน หรือ เว้าเข้าน้อย ขอบของใบหยักแบบซี่เลื่อยตื้นๆห่างๆตรงรอยหยักมีต่อม เส้นใบโค้ง มี 7-10 คู่ ที่โคนเส้นใบด้านล่างมีขนออกเป็นกระจุก ก้านใบยาว 7-11 มม. มีขนสั้นๆหูใบยาว ปลายแหลม. สมุนไพร ดอก ออกเป็นช่อที่ยอด แยกเพศ. ดอกเพศผู้ ออกเป็นช่อกระจัดกระจายยาว 10-20 ซม. กิ่งช่อยาวเรียว ดอกเล็ก กลม ปลายแหลมสั้น ออกหนาแน่นตลอดกิ่งช่อ กลีบรองกลีบดอก 3-4 กลีบ สีม่วง รูปกลม เกสรผู้ 5-8 อัน. ดอกเพศเมีย ออกเป็นช่อสั้น รวมทั้งอ้วนกว่าช่อดอกเพศผู้ ก้านดอกสั้นมากมาย ใบตกแต่งเล็ก มีต่อม 2 ต่อม กลีบรองกลีบดอกไม้ 6 กลีบ รูปป้อมๆโคนกลีบเว้าเล็กน้อยเป็นรูปหัวใจ ฐานดอกดก รังไข่มีพู มีขน ท่อรังไข่อ้วน รวมทั้งสั้น ปลายแยกเป็นกิ่งก้านสาขายาวๆ3 กิ่งก้านสาขา ด้านในรังไข่แต่ละช่องมีไข่อ่อนหนึ่งหน่วย. ผล ผลอ่อนสีเขียว แก่จัดจะแห้ง มี 3 พู กว้างราว 8 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 6 มม. เมล็ด ค่อนข้างจะกลม.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามป่าดงดิบแล้ง และก็ป่าเขาดิบทั่วไป.
สรรพคุณ : ใบแล้วก็ราก น้ำต้มใบ และก็รากกินเป็นยาลดไข้ และก็แก้ไข้มาเลเรีย เม็ด กินเป็นยาถ่าย

Tags : สมุนไพร

37

โรคหูน้ำหนวกอักเสบเรื้อรัง/หูน้ำหนวก.( Chronic Otitis media)
โรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบคืออะไร ขั้นแรกจำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า โรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบ (Otitis media) นั้น เรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่า โรคหูน้ำหนวก เกิดขึ้นจากการตำหนิดเชื้อในหูชั้นกึ่งกลาง
ซึ่งหูชั้นกึ่งกลาง (middle ear) เป็นส่วนของช่องหูที่อยู่ต่อจากเยื่อแก้วหูเข้าไป มีกระดูกค้อน กระดูกทั่ง แล้วก็กระดูกโกลนบรรจุอยู่ ปฏิบัติหน้าที่รับคลื่นเสียงก่อนหน้าที่ผ่านมาทางหูชั้นนอก และก็ส่งต่อไปยังหูชั้นในซึ่งมีเส้นประสาทหูรับรู้เสียง (การได้ยิน)
            ด้านล่างของหูชั้นกลางมีท่อเล็กๆเชื่อมต่อกับคอหอย เรียกว่า ท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) เมื่อมีการติดเชื้อโรคของคอหอย เชื้อโรคสามารถเดินทางผ่านท่อยูสเตเชียนเข้าไปในหูชั้นในได้ ถ้าหากว่าท่อยูสเตเชียนมีการอักเสบบวม ก็จะเกิดการตัน ทำให้เชื้อโรคถูกกักไว้ภายในหูชั้นกลางจนถึงเกิดการติดเชื้อของหูชั้นกลาง รวมทั้งอาจอักเสบเป็นหนองขังอยู่ในหูชั้นกึ่งกลาง มีลักษณะอาการไข้สูง ปวดหู หูอื้อได้ในระยะแรก
โรคนี้จึงพบได้บ่อยร่วมกับโรคติดเชื้อของทางเท้าหายใจส่วนต้น เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ฝึกหัด คออักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นต้น โดยเชื้อก่อโรคบางทีอาจเป็นเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียก็ได้
โดยโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบ เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปโดยเฉพาะในเด็ก เพราะว่าในเด็กนั้น ท่อปรับความดันหูชั้นกลางหรือท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกึ่งกลางและก็หลังโพรงจมูก ยังไม่พัฒนาบริบูรณ์เต็มที่ ประกอบกับเด็กเกิดภาวะติดเชื้อ อย่างเช่น โรคไข้หวัดได้หลายครั้ง ทำให้ได้โอกาสที่จะเกิดการอักเสบตลอดไปยังรูเปิดของท่อปรับความดันหูชั้นกึ่งกลาง ซึ่งอยู่ข้างหลังโพรงจมูก ส่งผลทำให้มีการเกิดภาวการณ์หูชั้นกึ่งกลางอักเสบทันควัน (Acute otitis media) ขึ้น ซึ่งถ้าหากมิได้รับการดูแลรักษา จะมีลักษณะไข้ หูอื้อ และปวดหูมาก จนตราบเท่าเมื่อแก้วหูทะลุ อาการปวดหูและไข้จะเริ่มทุเลาลง แต่ว่าจะมีน้ำหนอง ซึ่งมีกลิ่นเหม็นไหลออกมาจากหู รวมทั้งหากยังมิได้รับการรักษาที่เหมาะสมอีก บางทีอาจกลายเป็น “โรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้อรัง หรือหูน้ำหนวก (Chronic otitis media)” ต่อไป ซึ่งได้โอกาสเป็นผลข้างเคียง เข้าแทรกต่างๆตามมาได้ อาทิเช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หูชั้นในอักเสบ ฝีในสมอง ฝีข้างหลังหู ฝีที่คอ ใบหน้าเป็นอัมพาต อื่นๆอีกมากมาย
โรคหูชั้นกลางอักเสบ ชอบเกิดอาการอักเสบภายในของบริเวณหูชั้นกึ่งกลาง จำนวนมากแล้วมักเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการติดเชื้อที่เยื่อหู จนถึงก่อเกิดอาการบวมแดง อักเสบ รวมทั้งกำเนิดของเหลวที่บริเวณข้างหลังแก้วหู
โดยระดับของการอักเสบแบ่งได้ 3 ระดับดังนี้

  • หูชั้นกลางอักเสบฉับพลัน (Acute otitis media – AOM) โดยทั่วไปแล้วหากผู้เจ็บป่วยไม่มีอาการหูชั้นกลางอักเสบมาก่อน จะถือได้ว่าหูชั้นกึ่งกลางอักเสบรุนแรง เหตุเพราะอาการดังที่กล่าวถึงมาแล้วจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีภาวการณ์ ดังต่อไปนี้ ส่วนมากมักเกิดร่วมกับการติดเชื้อในรอบๆฟุตบาทหายใจส่วนต้น (คอและจมูก) ตัวอย่างเช่น ไข้หวัด ต่อมทอนซิลอักเสบ แล้วก็บางรายหูชั้นกลางอักเสบฉับพลันบางทีอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่ ไอกรน ฝึก ทำให้เชื้อโรครอบๆคอผ่านท่อยูสเตเชียน หรือท่อปรับความดันหูชั้นกึ่งกลาง (Eustachain tube) เข้าไปในหูชั้นกึ่งกลางได้ และมีการอักเสบขึ้นมา ทำให้เยื่อบุผิวภายในหูชั้นกลางแล้วก็ท่อยูสเตเชียนบวม รวมทั้งมีหนองขังอยู่ในหูชั้นกลาง เพราะไม่สามารถที่จะระบายผ่านท่อยูสเตเชียนที่บวมรวมทั้งตันได้ ในที่สุดเยื่อแก้วหูซึ่งเป็นเยื่อบางๆที่กั้นอยู่ระหว่างหูชั้นกึ่งกลางอักเสบกับหูชั้นนอกก็จะมีการทะลุเป็นรู หนองที่ขังอยู่ภายในก็จะไหลออกมากลายเป็นหูน้ำหนวกในเวลาถัดมา
  • ภาวการณ์น้ำคั่งในหูชั้นกึ่งกลาง (Otitis media with effusion-OME) เมื่อมีการอักเสบที่หูชั้นกลางจะมีผลให้กำเนิดของเหลวภายในหู ซึ่งอาจมีผลต่อการได้ยินในระยะสั้น กล่าวคือ เป็นสภาวะที่มีนํ้าขังอยู่ในหูชั้นกลางโดยที่ไม่มีอาการแสดงของการอักเสบหรือติดโรค คนไข้มักจะมีลักษณะหูอื้อ การได้ยินต่ำลง แต่ว่าไม่มีลักษณะของการปวดหูและไม่มีไข้ เมื่อตรวจทานในหูจะไม่พบการบวมแดงของแก้วหู แต่ว่าจะมีการขยับของเยื่อแก้วหูน้อยลง (เพราะมีน้ำขังอยู่ข้างหลัง) สภาวะนี้พบได้มากในคนที่มีโครงสร้างบริเวณใบหน้าที่ผิดปกติ
  • หูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้อรัง ถ้าแพทย์พบว่ามีการฉีกจนขาดของแก้วหูเป็นประจำและก็มีร่องรอยของการอักเสบ ก็อาจส่งผลให้หมอวินิจฉัยได้ว่ามีการอักเสบอย่างเรื้อรังที่หูชั้นกึ่งกลางได้โดยมีสภาวะดังต่อไปนี้ เป็นสภาวะที่มีการทะลุของเยื่อแก้วหูรวมทั้งมีหูน้ำหนวกไหลแบบเรื้อรัง (ส่วนใหญ่จะเริ่มเป็นมาตั้งแต่เด็ก) โดยอาจมีต้นเหตุจากหูชั้นกึ่งกลางอักเสบทันควันหรือมาจากการได้รับบาดเจ็บจนถึงแก้วหูทะลุก็ได้ รวมทั้งบางเวลาบางทีอาจพบร่วมกับผู้ที่เป็นภูมิแพ้เรื้อรัง ทอนซิลอักเสบเรื้อรัง ผนังกันช่องจมูกคด รวมทั้งริดสีดวงจมูก


ซึ่งโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบนี้พบบ่อยในเด็กมากกว่าในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี เหตุเพราะท่อยูสเตเชียนของเด็กสั้นกว่าแล้วก็อยู่ในแนวราบมากกว่าในผู้ใหญ่ โดยในโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบนี้ ระยะของการอักเสบที่ทำให้มีน้ำหนองไหลออกมาจากรูหู (ภาษาประชาชนเรียกน้ำหนวก) นี้ มักจะเจอในระยะหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรั้ง เป็นส่วนมาก ส่วนระยะอื่นพบบ่อยได้นานๆครั้งมาก และก็ความร้ายแรงของโรคก็ไม่มากเท่าระยะเรื้อรัง โดยเหตุนั้นในประเด็นถัดไปนักเขียนก็เลยจะขอชี้แจงเฉพาะในระยะหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรังหรือโรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรังเพียงเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนของผู้อ่าน
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง สาเหตุของโรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้องรังของ (COM) มักเกิดจาก

  • หูชั้นกลางอักเสบกระทันหัน (acute otitis media) ที่มิได้รับการดูแลและรักษาทันการ ทำให้หนองในหูชั้นกลางดันเยื่อแก้วหูทะลุออกมาก รวมทั้งต่อไปไม่ได้รับการดูแลและรักษาอย่างถูกแนวทางทำให้เยื่อแก้วหูที่ทะลุนั้นไม่สามารถปิดได้เอง
  • เยื่อแก้วหูทะลุจากการบาดเจ็บ (traumatic tympanic membrane perforation) อาทิเช่น ใช้ไม่พันสำลีปั่นช่องหู แล้วมีอุบัติเหตุชนทำให้ไม้พันสำลีนั้น ชนเยื่อแก้หูจนถึงทะลุเป็นรูและก็รูนั้นไม่สามารถที่จะปิดได้เอง หรือมีสาเหตุจากการผ่าตัดกรีดเยื่อแก้วหู (myringotomy) เพื่อระบายหนองออกจากหูชั้นกลาง ในคนป่วยที่มีหูชั้นกลางอักเสบทันควันที่มีภาวะแทรกซ้อน หรือผ่าตัดเพื่อใส่ท่อระบายของเหลวหรือหนองในหูชั้นกึ่งกลาง (ventilation tubes) แล้วก็ค้างไว้ที่เยื่อแก้วหู แล้วหลุดออกไป แต่ว่ารูที่เกิดจากการผ่าตัดนั้นไม่สามารถที่จะปิดได้เอง ซึ่งมูลเหตุที่ทำให้เยื่อแก้วหูที่ทะลุนั้นไม่อาจจะปิดได้เองอย่างเช่น
  • มีการไหลของของเหลว ได้แก่ มูกหรือหนองผ่านรูทะลุตลอดเวลา เนื่องด้วยยังมีการติดเชื้อในหูชั้นกลางอยู่
  • เยื่อบุผิวหนังของหูชั้นนอก (squamous epithelium) เข้ามาคลุมที่ขอบของรูทะลุ เมื่อเยื่อแก้วหูทะลุ ทำให้กลไกสำหรับเพื่อการ

Proteus species
ที่มา : Google
ปกป้องการตำหนิดเชื้อของหูชั้น
กึ่งกลางเสียไป เมื่อเยื่อแก้วหูทะลุ ทำให้กลไกในการปกป้องการตำหนิดเชื้อของหูชั้นกึ่งกลางเสียไปเชื้อโรงที่เป็นสาเหตุของการตำหนิดเชื้อและทำให้หูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้อรัง ตัวอย่างเช่น เชื้อแบคทีเรียรวมทั้ง     
        พบบ่อย เป็นเชื้อชนิดเอ็งรมลบ
 
Pseudomonas aeruginosa
        ที่มา : Googie                                                                                                                
 

Staphylococcus aureus
ที่มา Wikipedia
 รวมทั้งPseudomonas aeruginosa, Proteus species, Klebsiella pneumoniae แล้วก็เชื้อประเภทเอ็งรมบวก อาทิเช่น Staphylococcus aureus แล้วก็บางทีอาจพบเชื้อ anaerobes ยกตัวอย่างเช่น Bacteroides, Peptostrep-tococcus, Peptococcus ได้ ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายได้โดย

  • มีสาเหตุมาจากการที่เชื้อโรคจากคอ หรือ จมูก ผ่านเข้าทาง Eustachian tube ไปสู่หูชั้นกลาง
  • มีเหตุมาจากเชื้อโรคเข้าทางรูหู ผ่านแก้วหูที่ทะลุอยู่ก่อนแล้ว เข้าไปสู่หูชั้นกึ่งกลาง และ mastoid air cell
  • ผ่านทางกระแสโลหิต


นอกเหนือจากนั้นยังอาจมีต้นเหตุมาจาก  มีการอุดตันของรูเปิดของท่อยุยงสเตเชียนจากพยาธิภาวะในโพรงข้างหลังจมูก ดังเช่นว่า โรคมะเร็งโพรงข้างหลังจมูก ต่อมอดีนอยด์โต, การอักเสบของโพรงจมูก ไม่ว่าจากการติดเชื้อ ไหมใช่การต่อว่าดเชื้อการอักเสบของโพรงหลังจมูก ซึ่งมีสาเหตุจากกรดไหลย้อนที่ขึ้นมาที่โพรงข้างหลังจมูก หรือเกิดขึ้นจากกรดไหลย้อนที่ขึ้นมาที่โพรงหลังจมูก หรือมีต้นเหตุจากความไม่ดีเหมือนปกติแต่กำเนิดของท่อยูสเตเชียนทางกายวิภาคแล้วก็สรีรวิทยา ยกตัวอย่างเช่น เพดานแหว่ง (cleft palate) Down syndrome พยาธิสภาพดังกล่าว ทำให้มีการคั่งของของเหลวที่ผลิตขึ้นจากหูชั้นกึ่งกลาง และเกิดการอักเสบของเยื่อบุหูชั้นกึ่งกลาง แล้วก็ทำให้ของเหลวดังกล่าวมาแล้วข้างต้นไหลออกมาจากหูชั้นกึ่งกลางได้
ลักษณะโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้อรัง หูชั้นกลางอักเสบชนิดเรื้อรัง  แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ

  • ประเภทไม่อันตราย (safe or uncomplicated ear) รูทะลุของเยื่อแก้วหู มักจะอยู่กึ่งกลาง (central perforation) โอกาสที่เยื่อบุหูชั้นนอก (stratified squamous epithelium) หรือขี้ไคล (cholesteatoma) จะเข้าไปในหูชั้นกลางแล้วก็โพรงอากาศมาสตอยด์ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนน้อย หูน้ำหนวกชนิดนี้เป็นจำพวกที่ไม่มีคราบไคลนั่นเอง จำพวกนี้ผู้ป่วยจะมีหนอง (mucopurulent discharge) ไหลจากหูเป็นๆหายๆอาจตรวจพบ granulation หรือ polyp ได้ มักไม่พบว่ามีอาการปวดหูร่วมด้วย แม้มีอาการปวดหูแปลว่าอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น ยิ่งกว่านั้นผู้ป่วยมักเสียการได้ยินแบบการนำเสียงเสีย บางรายอาจมีเส้นประสาทหูเสื่อมร่วมด้วยจาก Bacterial Toxin
  • ประเภทอันตราย (unsafe or complicated ear) มักจะมีรูทะลุของเยื่อแก้วหู อยู่ที่ขอบแก้วหู (marginal perforation) ทำให้ช่องทางที่เยื่อบุหูชั้นนอก หรือไคลจะเข้าไปในหูชั้นกึ่งกลางรวมทั้งโพรงกระดูกมาสตอยด์ นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนสูง หูน้ำหนวกประเภทนี้เป็นประเภทที่มีคราบไคลนั่นเอง จำพวกนี้คนป่วยจะมีลักษณะอาการเป็น คนป่วยจะมีลักษณะหนองไหลออกจากหูเป็นๆหายๆหากว่ารักษาด้วยยาเต็มที่แล้วอาการแย่ลง  และก็มีลักษณะหูตึงจากการนำเสียงแตกต่างจากปกติ (conductive hearing loss) หรือทำลายอวัยวะที่เกี่ยวกับการได้ยินในหูชั้นใน ทำให้หูตึงจากเส้นประสาทหูดำเนินงานไม่ดีเหมือนปกติ (sensorineural hearing loss) มีอาการเวียนศีรษะ อ้วก อ้วก  นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอัมพาตของเส้นประสาทคู่ที่ 7  เกิดภาวะสอดแทรกทางสมอง ได้แก่ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitis), ฝีในสมอง (brain abscess),

การติดเชื้อของเส้นเลือดในกะโหลกศีรษะ (sigmoid sinus thrombophlebitis) มีการอักเสบของกระดูกมาสตอยด์ (mastoiditis) เพราะมีหนองขังอยู่ในส่วนของกระดูก มาสตอยด์ แล้วไม่สามารถระบายออกไปได้ ทำให้มีการทำลายของกระดูกส่วนที่เป็นโพรงอากาศมาสตอยด์ผู้ป่วยมีลักษณะอาการปวดหูเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีหนองไหลออกจากหูเยอะขึ้น
และมีกลิ่นเหม็น  กำเนิดฝีหนองหลังหู (subperiosteal abscess)
วิธีการรักษาโรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากแนวทางซักเรื่องราวอาการของคนเจ็บ การตรวจร่างกาย แล้วก็การใช้งานเครื่องส่องหู (Otoscope) ส่องดู ซึ่งจะเจอเยื่อแก้วหูมีลักษณะไม่ดีเหมือนปกติ แม้แก้วหูยังไม่ทะลุสามารถรับรองการมีน้ำในหูชั้นกึ่งกลางได้ด้วยการตรวจ pneumatic otoscope รวมทั้งการวัด tympanometry ถ้าหากทะลุแล้วจะมองเห็นรูทะลุรวมทั้งมีน้ำอยู่ในรูหูชั้นนอก สามารถนำน้ำในหูไปย้อมสีแล้วก็เพาะหาจำพวกของเชื้อได้แล้วก็การตรวจนับเม็ดเลือดจะช่วยรับรองภาวะติดเชื้อโรคถ้าเกิดยังไม่มีหนองไหล ยิ่งไปกว่านี้ยังมีการตรวจพิเศษอื่นๆเพิ่มเติมอีกอาทิเช่น

  • การถ่ายรังสีกระดูกมาสตอยด์ (plan film of mastoid) พบบ่อยว่าโพรงกระดูกมาสตอยด์ทึบ และก็บางส่วนของกระดูกมาสตอยด์บางทีอาจถูกทำลายไป
  • การตรวจการได้ยิน เพื่อตรวจระดับของการได้ยินทีเสียไป ถ้าหากการอักเสบของหูชั้นกลางหรือ cholesteatoma ทำลายกระดูกหู (ossicular destruction) จะทำให้มีการสูญเสียการได้ยินมากมาย (conductive hearing loss) หรืออาจมีการสูญเสียของประสาทหู (sensorineural hearing loss) ได้ถ้าหากมี inner ear involvement
  • การเป่าลมเข้าไปในช่องหู เพื่อมองว่าคนป่วยมีอาการเวียนหัวเยอะขึ้น หรือมีลูกตากระตุๆก (nystagmus) หรือ (fistula test) ถ้า cholesteatoma ได้ทำลายกระดูกที่ห่ออวัยวะควบคุมการทรงตัว จนถึงเกิดทางเชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกลาง และอวัยวะควบคุมการทรงตัว การเป่าลมดังที่ได้กล่าวมาแล้วจะทำการกระตุ้นอวัยวะควบคุมการทรงตัว ทำให้คนเจ็บมีลักษณะเวียนศีรษะหรือลูกตากระตุกได้ ควรจะกระทำทดสอบดังที่ได้กล่าวมาแล้วในผู้เจ็บป่วยทุกรายที่มี cholesteatoma โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เจ็บป่วยที่มีอาการเวียนศีรษะ
  • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) ของกระดูกเทมโพรอคอยล (temporal bone) ใคร่ครวญทำในรายที่ใช้ยารักษาเต็มที่แล้วไม่ดีขึ้น (สงสัย cholesteatoma เนื้องอก,สิ่งแปลกปลอม) หรือสงสัยว่าจะมีภาวะแทรกซ้อน (ossicular or fallopian canal erosion จาก cholesteoma, subperiostea abscess)
  • การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ของกระดูกเทมโพรอคอยล ไต่ตรองรณาทำในรายที่สงสัยว่าจะมีภาวะแทรกซ้อน (dural inflammation, sigmoid sinus thrombosis, labyrinthitis, extra-craniai and intracranial abscess)


สำหรับวิธีการดูแลรักษาโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้อรังชนิดไม่อันตรายเป็น ชำระล้าง ดูดโรคหนองในรูหู  ให้ยาหนอดหู fluoroquinolone ear drop 14-28 วัน
ถ้าหากว่าอาการยังไม่ดีขึ้นให้ กินยาปฏิชีวนะ ร่วมด้วย หลังจากให้การรักษาด้วยการใช้ ยาปฏิชีวนะอย่างมากแล้วยังไม่ดีขึ้นจำเป็นต้องประเมินหา cholesteatoma แล้วก็ mastoiditis
ในคนเจ็บบางรายหลังการรักษาด้วย ยาปฏิชีวนะไปแล้ว ยังพบว่าแก้วหูทะลุอยู่ไม่สามารถที่จะปิดเองได้ซึ่งอาจตรึกตรองรับการผ่าตัดแก้วหู (tympanoplasty) จุดประสงค์หลักสำหรับในการปะเยื่อแก้วหูเป็น

  • เพื่อกำจัดการตำหนิดเชื้อในหูชั้นกึ่งกลาง
  • เพื่อคุ้มครองป้องกันการติดเชื้อผ่านเยื่อแก้วหูที่ทะลุไปสู่หูชั้นกึ่งกลาง
  • เพื่อช่วยทำให้การได้ยินดีขึ้น


แล้วก็วิธีการรักษาโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้อรังจำพวกอันตรายเป็น กำจัดการตำหนิดเชื้อภายในหูชั้นกลางปกป้องไม่ให้มีการติดเชื้อโรคด้านในหูชั้นกลางอีก รักษาการได้ยินให้อยู่ในสภาพดี
นอกเหนือจากจุดหมายปลายทางในการรักษาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว 3 ข้อแล้ว ควรจะทำให้ cholesteatoma มีทางออก เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ cholesteatoma มีการขยายขนาดใหญ่ขึ้นจนไปทำลายอวัยวะที่สำคัญต่างๆ

  • การดูแลและรักษาทางยา โดยอาจให้ยาต้านจุลชีวินจำพวกกินและจำพวกหยอดหู แล้วก็ให้ยาต่อต้านจุลชีวันชนิดฉีดเข้าเส้นโลหิต ในคนป่วย ที่มีภาวะแทรกซ้อน แล้วก็ชำระล้างหู โดยนำหนองของเหลว รวมทั้งเนื้อตายในหูชั้นกลางออกให้หมด
  • ทำการผ่าตัด mastoidectomy สำหรับคนเจ็บที่มี cholesteatoma เก็กกักเอาไว้ภายในส่วนของแก้วหูที่เป็นแอ่ง แล้วก็หมอไม่อาจจะมองเห็นรวมทั้งทำความสะอาดเอา cholesteatoma โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนในสุดของแอ่งได้ ควรกระทำการผ่าตัด แนวทางเป็นเอา cholesteatoma ออกมาให้หมด โดยทำ tympanomastoid surgery และเปิดโอกาสให้ choleseatoma ที่อยู่ภายใน มีทางออกสู่ภายนอก เพื่อเป็นการป้องกันและไม่ให้ cholesteatoma มีการขยายขนาดจนไปทำลายอวัยวะที่สำคัญต่างๆและก็เกิดภาวะแทรกซ้อนได้

สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง สาเหตุต่างๆที่ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการต่อว่าดเชื้อภายในหูชั้นกึ่งกลางกระทั่งเปลี่ยนเป็นการอักเสบเรื้อรังได้ ซึ่งเช่น

  • อายุ หูชั้นกึ่งกลางอักเสบมักเกิดขึ้นในเด็กอายุ 6 เดือน-2 ปี เป็นส่วนมาก เพราะเหตุว่าท่อยูสเตเชียนของเด็กอยู่ในลักษณะแนวขนานนำมาซึ่งการระบายของเหลวไม่ดีเพียงพอเสมือนผู้ใหญ่
  • ปัญหาด้านสุขภาพ เด็กที่มีภาวการณ์ปากแหว่งเพดานแหว่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดติดเชื้อโรคในหูชั้นกลาง เพราะเหตุว่าความเปลี่ยนไปจากปกติดังที่กล่าวมาแล้วจะส่งผลให้เชื้อโรคไปสู่ท่อยูสเตเชียนแล้วก็เข้าสู่หูชั้นกลางได้ง่ายดายยิ่งกว่าคนปกติทั่วไป ยิ่งกว่านั้น ผู้ป่วยกรุ๊ปดาวน์ซินโดรม (Down's Syndrome) ที่มีลักษณะด้านกายภาพที่แตกต่างจากเด็กคนทั่วไปจะมีแนวโน้มเสี่ยงในการกำเนิดหูชั้นกึ่งกลางอักเสบได้มากขึ้น
  • การดื่มนมแม่ เด็กที่ไม่ได้ดื่มนมแม่ตั้งแต่กำเนิดจะก่อให้มีภูมิต้านทานในขั้นแรกเกิดน้อยกว่าเด็กที่ดื่มนมแม่ ด้วยเหตุว่าในน้ำนมแม่มีภูมิคุ้มกันที่ดีและช่วยคุ้มครองการต่อว่าดเชื้อต่างๆได้
  • ความเคลื่อนไหวของฤดู ไข้หวัดมักเป็นกันมากในช่วงฤดูฝน และก็หน้าหนาว ซึ่งอาจทำให้คนป่วยติดโรคที่หูได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้นเมื่อเจ็บป่วยหวัด นอกจากนั้น ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้อากาศก็ยังมีการเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อได้อีกด้วย
  • การดูแลเด็ก เด็กที่ต้องได้รับการดูแลในสถานรับเลี้ยงมีการเสี่ยงที่จะเป็นไข้หวัดรวมทั้งมีการติดเชื้อโรคที่หูได้ง่าย เนื่องจากภูมิต้านทานของเด็กยังไม่พัฒนา และก็สถานที่รับเลี้ยงเด็กมักเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคที่ทำให้เด็กป่วยได้มากที่สุด
  • มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละอองควันในอากาศรวมทั้งควันที่เกิดจากบุหรี่ บางทีอาจกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งหูได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น
  • การสั่งน้ำมูกแรงๆการดำน้ำ การว่ายน้ำ ในระหว่างที่มีการอักเสบในโพรงข้างหลังจมูกจะก่อให้มีการอักเสบติดโรคในหูชั้นกลางได้ง่ายมากยิ่งขึ้น


การติดต่อของโรงหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง โรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้องรังหรือหูน้ำหนวกนี้ เป็นโรคที่เกิดจากาการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส ในบริเวณหูชั้นกึ่งกลางซึ่งมิได้เป็นโรคติดต่อและไม่ได้มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้อรัง (หูน้ำหนวก)

  • ไม่แคะ ปั่น เขี่ย หรือเช็ดถูขี้หูออก หรือชำระล้างหูโดยใช้ไม้พันสำลี นิ้วมือ หรือวัตถุอะไรก็แล้วแต่ใส่เข้าไปในรูหู โดยไม่ได้รับคำชี้แนะจากแพทย์และพยาบาล
  • ป้องกันไม่ให้น้ำไพเราะ โดยใช้สำลีหรืออุปกรณ์อุดรูหู (Ear plug) ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านค้ากีฬา (เป็นที่อุดหูสำหรับในการว่ายหรือดำน้ำ) แล้วก็ทุกครั้งขณะอาบน้ำ เพื่อเป็นการป้องกันและไม่ให้น้ำน่าฟัง
  • ในขณะมีหูน้ำหนวกไหลหรือเป็นโรคหูน้ำหนวกเรื้อรัง ควรจะไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาที่ถูกต้องและก็สม่ำเสมอ เลี่ยงการดำน้ำหรือเล่นน้ำในสระหรือแม่น้ำลำคลอง
  • ไม่ควรล้างหูด้วยสบู่ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรคบ่อยๆหรือซื้อยาหยอดหูมาใช้เอง
  • ไม่ไอแบบปิดปากแน่น หรือสั่งขี้มูก จามรุนแรงแบบปิดจมูกแน่น
  • ป้องกันตนเองไม่ให้เป็นหวัด หรือโรคทางเท้าหายใจอักเสบ
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอ รับประทานยาตามที่หมอสั่งให้ถูก ครบ ไม่หยุดยาเอง แม้ว่าอาการจะทุเลาลงและก็ตาม เนื่องจากว่าอาจจะก่อให้การดูแลรักษาได้ผลไม่สุดกำลัง หรือเกิดภาวะเข้าแทรกได้
  • เมื่อมีอาการน่าสงสัย หรือเป็นหวัดช้านาน หรือ เป็นหูชั้นกึ่งกลางอักเสบฉับพลัน (มีลักษณะอาการไข้ หูอื้อ ปวดหู มีน้ำหนองซึ่งมีกลิ่นเหม็นไหลออกมาจากหู) ควรรีบไปพบแพทย์/หมอหู คอ จมูก
การปกป้องตนเองจากโรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง (หูน้ำหนวก)

  • การป้องกันในเด็กอาจทำเป็นโดยการลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น สนับสนุนให้เด็กอ่อนกินนมคุณแม่ หลีกเลี่ยงการส่งเด็กไปเลี้ยงที่ศูนย์เลี้ยงเด็กที่มีการเขตสุขาภิบาลไม่ดี
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยหวัด รวมทั้งโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอื่นๆ
  • ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อนิวโมค็อกคัส (pneumococcal vaccine) ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบแล้วก็ปอดอักเสบ
  • หลบหลีกการอยู่ในที่ๆมีควันของบุหรี่
  • ระมัดระวังอย่าให้มีอันตรายหรืออุบัติเหตุกับหู หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนรอบๆหูแล้วก็รอบๆใกล้เคียง เพราะเหตุว่าอาจจะส่งผลให้แก้วหูทะลุแล้วก็ฉีกขาดได้
  • ถ้าหากป่วยด้วยโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบกะทันหันควรรีบกระทำการรักษาก่อนที่จะแปลงเป็น ระยะหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง
  • เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆด้วยการกินอาหารที่มีสาระให้ครบสมบูรณ์ 5 หมู่ และหมั่นบริหารร่างกาย
  • เมื่อมีอาการน่าสงสัย หรือเป็นหวัดนาน หรือ เป็นหูชั้นกึ่งกลางอักเสบฉับพลัน ควรรีบไปพบหมอ
สมุนไพรที่ใช้คุ้มครองปกป้อง / รักษาโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบเรื้อรัง (หูน้ำหนวก)

  • หูเสือหรือเนียมหูเสือ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Plectranthus amboinicus คุณประโยชน์ทางยาไทยพบว่า น้ำคั้นจากใบสามารถแก้ปวดหู พิษฝีในหู หูน้ำหนวก ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ยั้งยีสต์ ยั้งเชื้อรา ฆ่าแมลง ยับยั้งการงอกของพืชอื่น ยับยั้งเอนไซม์ protease จากเชื้อ HIV และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ    สารสำคัญที่เจอในใบ ดังเช่น น้ำมันหอมระเหย thymol, carvacrol, γ-terpinene, cyperene ฯลฯ
  • [url=http://www.disthai.com/16484907/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%

38

โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)

  • โรคพาร์กินสัน คืออะไร ทุกท่านคงเคยพบเห็นผู้สูงอายุ ซึ่งอาจเป็นคนในครอบครัว หรืออื่นๆที่พบเห็นทั่วไป มีอาการ แขนและมือสั่นข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจ ๒ ข้าง ซึ่งมักสั่นในท่าพักที่ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร มีอาการเคลื่อนไหวเชื่องช้า และมีอาการทรงตัวผิดปกติ  โดยปกติร่างกายคนเราเมื่อเข้าสู่วัยชราก็เป็นธรรมดาที่โรคภัยไข้เจ็บจะมาเยือนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งหนึ่งในจำนวนหลาย ๆ โรคที่เกิดได้แก่ "โรคพาร์กินสัน" ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางที่จะส่งผลให้เกิดอาการสั่น เกร็ง และเคลื่อนไหวช้า

    โรคพาร์กินสันมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคสันนิบาต หรือโรคสั่นสันนิบาต (Parkinson’s disease) หรือโรคที่คนไทยสมัยโบราณรู้จักกันในชื่อ “โรคสันนิบาตลูกนก” เป็นโรคทางสมองที่เกิดจากเซลล์สมองในบางตำแหน่งเกิดมีการตายโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงทำให้สารสื่อประสาทในสมองที่มีชื่อว่า “โดพามีน” (Dopamine) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีการตายและลดจำนวนลง จึงทำให้ร่างกายของผู้ป่วยเกิดอาการสั่น แขนขาเกร็ง เคลื่อนไหวร่างกายช้า และสูญเสียการทรงตัว ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างช้า ๆ และในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้  ชื่อโรคพาร์กินสัน ได้มาจากชื่อของแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ นายแพทย์เจมส์ พาร์กินสัน ซึ่งเป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายถึงลักษณะอาการของโรคนี้ในปี พ.ศ.๒๓๖๐ โรคพาร์กินสันมักพบในผู้ป่วยสูงอายุ โดยมากจะพบตั้งแต่อายุ ๖๐ ปีขึ้นไป โดยพบในผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อย
    ในอดีตคนไทยน้อยคนที่จะรู้จักโรคนี้ ในยุคปัจจุบัน (ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๐เป็นต้นมา) คนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าเดิมมาก คือ ผู้ชายอายุเฉลี่ยถึง ๖๗.๔ ปี ส่วนผู้หญิงอายุเฉลี่ย ๗๑.๗ ปี (อดีตคนไทยเราอายุเฉลี่ยเพียง ๔๕ ปี) ดังนั้นโรคในผู้สูงอายุจึงพบบ่อยขึ้นมากในคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางระบบประสาทอย่างโรค  โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)
    เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีปัญหาต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก จึงได้มีการจัดตั้ง “วันโรคพาร์กินสัน” ขึ้น ซึ่งตรงกับวันที่ 11 เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของนายแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ “เจมส์ พาร์กินสัน” (James Parkinson; เป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายลักษณะของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในปี พ.ศ.2360 ในบทความที่ชื่อว่า “Shaking Palsy”) และมีการใช้ดอกทิวลิปสีแดงเป็นสัญลักษณ์

  • สาเหตุของโรคพาร์กินสัน สาเหตุของการเกิดพาร์กินสันในผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบชัดเจน มีส่วนน้อยที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม โรคนี้ยังไม่มีวิธีสำหรับป้องกัน และมียารักษาอาการต่างๆ แต่ยังไม่มียาที่จะรักษาให้โรคหายขาดได้ ประมาณ 5% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสันมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทราบตำแหน่งบนโครโมโซม (Chromosome) ชัดเจน และสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะปรากฏอาการของโรคพาร์กินสันก่อนอายุ 45 ปี ซึ่งแตกต่างจากผู้ป่วยที่ไม่ได้มีสาเหตุจากพันธุกรรมเป็นหลัก ที่จะปรากฏอาการเมื่ออายุมากกว่า 60 ปีไปแล้ว  สำหรับสาเหตุการเกิดโรคที่เหลือไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่สัญนิษฐานได้ว่าเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้
  • ความชราภาพของสมอง มีผลทำให้เซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีน (เกิดจากกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีสีดำที่อยู่บริเวณก้านสมอง โดยทำหน้าที่สำคัญในการสั่งร่างกายให้เคลื่อนไหว) มีจำนวนลดลง โดยมากพบในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและหญิง และจัดว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีสาเหตุจำเพาะแน่นอน นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่พบบ่อยที่สุด
  • ยากล่อมประสาทหลัก หรือยานอนหลับที่ออกฤทธิ์กดหรือต้านการสร้างสารโดปามีน โดยมากพบในผู้ป่วยโรคทางจิตเวชที่ต้องได้รับยากลุ่มนี้เพื่อป้องกันการคลุ้มคลั่ง รวมถึงอาการอื่น ๆ ทางประสาท แต่ปัจจุบันยากลุ่มนี้ลดความนิยมในการใช้ลง แต่ปลอดภัยสูงกว่าและไม่มีผลต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน
  • ยาลดความดันโลหิตสูง ในอดีตมียาลดความดันโลหิตที่มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง จึงทำให้สมองลดการสร้างสารโดปามีน แต่ในระยะหลัง ๆ ยาควบคุมความดันโลหิตส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์นอกระบบประสาทส่วนกลาง แต่มีผลทำให้ขยายหลอดเลือดส่วนปลาย จึงไม่ส่งต่อสมองที่จะทำให้เกิดโรคพาร์กินสันต่อไป
  • หลอดเลือดในสมองอุดตัน ทำให้เซลล์สมองที่สร้างโดปามีนมีจำนวนน้อย หรือหมดไป
  • สารพิษทำลายสมอง ได้แก่ สารแมงกานีสในโรงงานถ่านไฟฉาย พิษจากสารคาร์บอนมอนนอกไซด์
  • สมองขาดออกซิเจน ในกรณีที่จมน้ำ ถูกบีบคอ เกิดการอุดตันในทางเดินหายใจจากเสมหะหรืออาหาร เป็นต้น
  • ศีรษะถูกกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ หรือโรคเมาหมัดในนักมวย
  • การอักเสบของสมอง
  • โรคทางพันธุกรรม เช่น โรควิลสัน ซึ่งเกิดจากการที่มีอาการของโรคตับพิการร่วมกับโรคสมอง สาเหตุมาจากธาตุทองแดงไปเกาะในตับและสมองมากจนเป็นอันตรายขึ้นมา
  • ยากลุ่มต้านแคลเซียมที่ใช้ในโรคหัวใจ โรคสมอง ยาแก้เวียนศีรษะ และยาแก้อาเจียนบางชนิด
  • อาการของโรคพาร์กินสัน ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันอาจมีอาการและอาการแสดงของโรคมากน้อยแตกต่างกันได้มาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุผู้ป่วย ระยะเวลาการเป็นโรค และภาวะแทรกซ้อนที่ตามมา โรคพาร์กินสันนั้นนอกจากจะมีอาการเด่น ๔ อย่าง ดังกล่าวแล้วอาจเกิดมีอาการอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกดังในรายละเอียด ดังนี้
  • อาการสั่น ประมาณร้อยละ ๖๐-๗๐ ของผู้ป่วยจะมีอาการสั่น เป็นอาการเริ่มต้นของโรค อาการสั่นนี้จะมีลักษณะเฉพาะ คือ สั่นมากเวลาอยู่นิ่งๆ แต่ถ้าเคลื่อนไหวหรือยื่นมือทำอะไรอาการสั่นจะลดลงหรือหายไป (ผิดจากอาการสั่นอีกแบบที่พบบ่อยในผู้สูงอายุทั่วๆไปที่จะสั่นมากเวลาทำงาน เมื่ออยู่เฉยๆ ไม่สั่น) อาการสั่นในโรคพาร์กินสันนี้ ถ้านับอัตราเร็วจะพบว่า สั่นประมาณ ๔-๘ ครั้งต่อวินาที และอาจสั่นของนิ้วหัวแม่มือ-นิ้วมืออื่นๆ คล้ายแบบปั้นลูกกลอน อาการสั่นของโรคอาจเริ่มเกิดขึ้นที่มือ แขน ขา คาง ศีรษะ หรือลำตัวก็ได้ ระยะแรกของโรคอาจเกิดข้างเดียวก่อนและต่อมาจึงมีอาการทั้งสองข้างก็ได้
  • อาการเกร็ง จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของร่างกาย โดยเฉพาะแขน ขา และลำตัว โดยที่ผู้ป่วยไม่ได้เคลื่อนไหว หรือทำงานหนักแต่อย่างใด กล้ามเนื้อของร่างกาย จะมีความดึงตัวสูงและเกร็งแข็งอยู่ตลอดเวลา จนผู้ป่วยบางรายต้องกินยาแก้ปวดเมื่อย หรือหายามาทา บรรเทาตามร่างกายส่วนต่างๆ หรือหาหมอนวดมาบีบคลายเส้นเป็นประจำ
  • อาการเคลื่อนไหวช้า ผู้ป่วยในระยะแรกๆ จะรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรช้าลงไปจากเดิมมาก ไม่กระฉับกระเฉงว่องไวแบบเดิม เดินช้า และงุ่มง่าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นๆ ของการเคลื่อนไหวในรายที่เป็นมากขึ้นอาจพบว่า อาจหกล้มบ่อยๆ จนบางรายกระดูกต้นขาหัก สะโพกหัก หลังเดาะ แขนหัก ศีรษะแตก เป็นต้น ในรายที่เป็นมากอาจเดินเองไม่ได้ต้องใช้ไม้เท้าหรือคนคอยพยุง
  • ท่าเดินผิดปกติ ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจะมีลักษณะท่าเดินจำเพาะตัวที่ผิดจากโรคอื่น คือ จะเดินก้าวสั้น ๆ แบบซอยเท้าในช่วงแรกๆ และต่อมาจะก้าวยาวขึ้นเรื่อยๆ จนเร็วมากและหยุดทันทีทันใดไม่ได้จะล้มหน้าคว่ำเลย นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเดินหลังค่อม ตัวงอโค้งและแขนไม่แกว่งตามเท้าที่ก้าวออกไป มือจะชิดแนบตัวเดินแข็งทื่อแบบหุ่นยนต์
  • การแสดงสีหน้า ผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีใบหน้าแบบเฉยเมย ไม่มีอารมณ์เหมือนคนใส่หน้ากาก ไม่ยิ้มหัวเราะ หน้าตาทื่อเวลาพูดก็จะมีมุมปากขยับเพียงเล็กน้อย เหมือนคนไม่มีอารมณ์
  • เสียงพูด ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะพูดเสียงเครือๆ และเบามากฟังไม่ชัดเจน และยิ่งพูดนานไปๆ เสียงจะค่อยๆ หายไปในลำคอ บางรายที่เป็นไม่มากเสียงพูดจะค่อนข้างเรียบ รัวและอยู่ในระดับเดียวกันตลอด ไม่มีพูดเสียงหนักเบาแต่อย่างใด
  • การเขียนของผู้ป่วยกลุ่มนี้ จะทำได้ลำบากและตัวเขียนจะค่อยๆ เขียนเล็กลงๆ จนอ่านไม่ออก
  • การกลอกตา ในผู้ป่วยโรคนี้ จะทำได้ลำบาก ช้า และไม่คล่องแคล่วในการมองซ้ายหรือขวาบนหรือล่าง ลูกตาจะเคลื่อนไหวแบบกระตุกไม่เรียบ
  • น้ำลายไหล เป็นอาการที่พบได้บ่อยอันหนึ่ง คือ มีน้ำลายมาสอยอยู่ที่มุมปากสองข้าง และไหลเยิ้มลงมาที่บริเวณคาง ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีลักษณะแบบมีน้ำลายมากอยู่ตลอดเวลา


นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น   คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำไปสู่โรคพาร์กินสัน
  • อายุ ถ้าเกิดแก่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเยอะขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่แก่ 60 ปีขึ้นไป
  • พันธุกรรม โดยพบว่าผู้ป่วยโดยประมาณ 15-20% จะมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคพาร์กินสัน (หากมีเครือญาติสายตรงเป็นโรคนี้ 1 คนจะเพิ่มจังหวะเสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคนี้ 3 เท่า และก็ถ้ามี 2 คนก็จะเพิ่มการเสี่ยงเป็น 10 เท่าตามลำดับ)
  • เป็นผู้ที่สัมผัสกับยากำจัดแมลงหรือยาฆ่าวัชพืช กินน้ำจากบ่อรวมทั้งอาศัยอยู่ในเขตทุรกันดาร เพราะมีรายงานว่าเจอโรคนี้ได้มากในชาวนาชาวไร่ที่ดื่มน้ำจากบ่อ
  • เป็นผู้ที่หรูหราฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ เป็นต้นว่า ในหญิงที่ตัดรังไข่และก็มดลูก หญิงวัยทองก่อน ซึ่งคนพวกนี้จะได้โอกาสเป็นโรคนี้ได้สูง แต่หากได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนตอบแทนก็บางครั้งอาจจะช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้
  • เคยได้รับอุบัติเหตุที่กระเทือนทางสมอง
  • นอกนั้นยังมีกล่าวว่า ผู้ที่ขาดกรดโฟลิกจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันเช่นกัน
  • กรรมวิธีการรักษาโรคพาร์กินสัน โดยทั่วไปหากคนเจ็บปรากฏอาการชัดเจน สามารถวิเคราะห์ได้จากลักษณะของการเกิดอาการและการตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างละเอียดลออ ระยะต้นเริ่ม อาจวินิจฉัยยาก จำเป็นจะต้องวิเคราะห์แยกโรคก่อนเสมอคนที่สงสัยว่าจะป่วยด้วยโรคพาร์คินสัน ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยจากอายุรแพทย์ผู้ที่มีความชำนาญทางด้านประสาทวิทยา หรือที่เรียกว่าประสาทแพทย์


การวิเคราะห์โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จึงจำต้องแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการของพาร์กินสัน รวมทั้งแยกอาการ หรือสภาวะพาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เหตุเพราะการรักษาจะแตกต่างโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีลักษณะบางสิ่งคล้ายคลึงกันก็ตาม
การวิเคราะห์โรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการผู้เจ็บป่วย และก็ความแตกต่างจากปกติที่หมอตรวจเจอเป็นหลัก แล้วก็ลักษณะอาการที่ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป อายุที่เริ่มเป็น และประวัติความเป็นมาในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องทดลองใดที่ตรวจแล้วพูดได้ว่าคนไข้กำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องทดลองจะใช้เพื่อรับรองการวินิจฉัยโรคอื่นๆบางโรคที่มีลักษณะอาการของโรคพาร์กินสันและก็มีลักษณะเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมด้วย เพื่อซึ่งจำต้องได้รับการรักษาที่ผิดแผกแตกต่างออกไปเพียงแค่นั้น ตัวอย่างเช่น การตรวจหาระดับพิษในกระแสโลหิต การตรวจค้นระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวิเคราะห์ โรค Normal pressure hydrocephalus เป็นต้น
ในอดีตแพทย์รู้เรื่องว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดธรรมดาที่ไขสันหลัง แต่ว่าในขณะนี้เป็นที่รู้กันแน่ๆแล้วว่า พยาธิสภาพของโรคนี้เกิดที่บริเวณตัวสมองเองในส่วนลึกๆบริเวณก้านสมอง ซึ่งมีกรุ๊ปเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีจำนวนเซลล์ลดลง หรือผิดพลาดในหน้าที่สำหรับเพื่อการปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) จึงทำให้มีการเกิดอาการขยับเขยื้อนช้า เกร็งแล้วก็สั่นเกิดขึ้นเป็นลำดับ ด้วยเหตุนี้ในขณะนี้การดูแลรักษาโรคนี้จึงหวังมุ่งให้สมองหรูหราสารโดพามีนกลับสู่ค่าธรรมดา ซึ่งบางทีอาจทำเป็นโดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง
การดูแลและรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 แนวทาง เป็น

  • รักษาด้วยยา ซึ่งหากว่ายาจะไม่สามารถทำให้เซลล์สมองที่ตายไปแล้วฟื้นตัวหรือกลับมาแตกออกตอบแทนเซลล์เดิมได้ แม้กระนั้นก็จะก่อให้สารเคมีโดปามีนในสมองมีจำนวนพอเพียงกับความจำเป็นของร่างกายได้ สำหรับยาที่ใช้ในตอนนี้หมายถึงยากลุ่ม LEVODOPA และยากลุ่ม DOPAMINE AGONIST เป็นหลัก (การใช้ยาแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์จากหมอ ตามความเหมาะสม)
  • ทำกายภาพบำบัด จุดมุ่งหมายของการรักษาก็คือ ให้คนเจ็บคืนกลับสู่ภาวะชีวิตที่ใกล้เคียงคนปกติที่สุด สามารถเข้าสังคมได้อย่างดี มีความสุขทั้งทางด้านร่างกายและทางด้านจิตใจ ซึ่งมีหลักวิธีปฏิบัติง่ายๆเป็น


ก) ฝึกฝนการเดินให้เบาๆก้าวขาแต่ว่าพอดี โดยการเอาส้นเท้าลงเต็มฝ่าตีน รวมทั้งแกว่งไกวแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยสำหรับเพื่อการทรงตัวดี นอกเหนือจากนั้นควรจะหมั่นจัดท่าทางในท่าทางต่างๆให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรจะเป็นแบบส้นเตี้ย และพื้นจะต้องไม่ทำจากยาง หรืออุปกรณ์ที่เหนียวติดพื้นง่าย
ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่สมควรให้นอนเตียงที่สูงเกินความจำเป็น เวลาจะขึ้นเตียงจะต้องค่อยๆเอนตัวลงนอนเอียงข้างโดยใช้ศอกจนถึงก่อนชูเท้าขึ้นเตียง
ค) ฝึกหัดการพูด โดยญาติจะต้องให้ความเข้าอกรู้เรื่องค่อยๆฝึกฝนคนป่วย แล้วก็ควรทำในสถานที่ที่สงบเงียบ

  • การผ่าตัด โดยมากจะได้ผลดีในคนป่วยที่แก่น้อย และมีลักษณะอาการไม่มากนัก หรือในผู้ที่มีอาการแทรกซ้อนจากยาที่ใช้มาเป็นเวลานานๆอาทิเช่น อาการสั่นที่รุนแรง หรือมีการขยับเขยื้อนแขน ขา มากไม่ปกติจากยา เดี๋ยวนี้มีการใช้แนวทางกระตุ้นไฟฟ้าที่สมองส่วนลึกโดยผ่าตัดฝังไว้ภายในร่างกาย พบว่ามีผลดี แต่ค่าครองชีพสูงมากมาย คนป่วยโรคพาร์กินสัน จึงควรได้รับการดูแลใส่ใจจากคนรอบข้างในการพัฒนาฟื้นฟูด้านร่างกาย รวมทั้งจิตใจ ด้วยเหตุผลดังกล่าวถ้าเกิดท่านมีคนสนิทที่เป็นโรคชนิดนี้ จำเป็นที่จะต้องรีบนำมาเจอแพทย์เพื่อรับการวิเคราะห์โรคอันจะส่งผลให้เกิดการรักษาที่ถูกต้องและสมควรถัดไป
  • การติดต่อของโรคพาร์กินสัน ด้วยเหตุว่าโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดจากเซลล์สมองเกิดการตาย แล้วก็ทำให้สารสื่อประสาทที่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีจำนวนต่ำลง จึงกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการต่างๆของโรค ซึ่งไม่สามารถติดต่อจากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนได้ (แต่ว่าสามารถถ่ายทอดทางประเภทบาปไปสู่ลูกหลานได้)
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน คนป่วยและก็เครือญาติสามารถดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอแล้วก็ต่อเนื่อง ดังนี้
  • ติดตามรักษากับแพทย์เสมอๆ
  • กินยาควบคุมอาการดังที่หมอแนะนำให้ใช้
  • รับประทานอาหารประเภทที่มีกากใยเพื่อช่วยลดท้องผูก
  • หมั่นฝึกบริหารร่างกาย โดยการเคลื่อนไหวร่างกายให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำเป็น อย่านอนหรือนั่งนิ่งๆแล้วก็แนวทางการทำงานประจำวัน ออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ลดเกร็งแล้วก็ปรับการเลี้ยงตัวให้ เช่น การเดิน วิ่งเหยาะๆรำไท้เก๊ก หรือเต้นแอโรบิก    ฝึกเดิน ยืนยืดตัวตรง วางเท้าห่างกัน ๘-๑๐ นิ้ว นับจังหวะก้าวเท้าแกว่งแขน เสมือนเดินสวนสนามหรือเดินก้าวผ่านเส้นที่ขีดไว้ เมื่อใดที่ก้าวไม่ออกให้จังหวะกับตนเองกระดกข้อเท้าแล้วก้าวเดิน    ฝึกกล่าวโดยให้คนเจ็บเป็นฝ่ายบอกก่อน หายใจลึกๆแล้วเปล่งเสียงให้ดังกว่าที่ตั้งจิตใจไว้
  • รอบๆทางเท้าหรือในห้องน้ำควรจะมีราวเกาะและไม่วางของขวางทางเดิน
  • การแต่งตัว ควรใส่เสื้อผ้าที่ถอดใส่ง่าย เช่น กางเกงเอวยางยืด เสื้อติดแถบกาวแทนกระดุม
  • วงศ์ญาติ ควรที่จะเอาใจใส่ดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด รอบคอบการเกิดอุบัติเหตุ อาทิเช่น การเดินหกล้ม เป็นต้น


สิ่งสำคัญก็คือ คนใกล้ชิดของผู้ป่วยและก็พี่น้อง ควรศึกษารวมทั้งทำความเข้าใจคนไข้พาร์กินสัน  แม้ว่าจะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบยาสูบ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในเพศหญิงวัยหมดระดู) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แต่ว่าก็ไม่ชี้แนะ เนื่องจากมีโทษนำมาซึ่งโรคอื่นๆที่น่าสยองเป็นโทษต่อชีวิตได้มากกว่า

  • การปกป้องตนเองจากโรคพาร์กินสัน เนื่องมาจากมูลเหตุที่จริงจริงของการเกิดโรคพาร์กินสันยังไม่เคยทราบแจ้งชัด ด้วยเหตุดังกล่าวการปกป้องคุ้มครองเต็มที่ก็เลยเป็นไปไม่ได้ แต่บางการศึกษาเล่าเรียนพบว่า การกินอาหารเป็นประโยชน์ 5 กลุ่มในจำนวนที่เหมาะสม โดยจำกัดอาหารกรุ๊ปไขมันและก็เนื้อแดง (เนื้อของสัตว์กินนม) จำกัดอาหารในกรุ๊ปสินค้าจากนม รับประทานผัก ผลไม้มากขึ้นให้มากมายๆเพราะเหตุว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระสูง บางทีอาจช่วยลดจังหวะเกิดอาการ หรือ ลดความร้ายแรงจากลักษณะของโรคนี้ลงได้บ้าง นักวิจัยแห่งภาควิชาแพทยศาสตร์ Chapel Hill มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโลไรทุ่งนาได้คิดแนวทางทดลองแบบง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้ และก็ทำเสร็จภายในช่วงเวลาเพียงแต่ ๑ นาที

วิธีทดสอบดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมี 3 ขั้นตอนง่ายๆคือ

  • ให้คนเจ็บยิ้มให้ดู
  • ให้ยกแขนขึ้นทั้งยัง 2 ข้างแล้วก็ให้ค้างเอาไว้
  • ในที่สุดให้ผู้ป่วยบอกประโยคกล้วยๆให้ฟังสักประโยค


นักวิจัยทดสอบ ด้วยการให้คนที่เคยมีอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนธรรมดาคนอื่นๆรวมแล้ว ๑๐๐ คน หลังจากนั้นให้อาสาสมัครสมมติตัวเป็นคนผ่านมาเจอเรื่องที่มีคนเจ็บกำเนิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครทดลองทดสอบด้วยคำบัญชาข้างต้นกับผู้แสดงทั้ง ๓ ข้อ เวลาเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลของการทดสอบให้ผู้วิจัยทราบ โดยนักวิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งมองไม่เห็นอิริยาบถหรือการแสดงออกของคนที่สงสัยจะมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักวิจัยสามารถแยกคนป่วยออกจากคนปกติได้อย่างแม่นยำถึงปริมาณร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามใบหน้าเมื่อยล้า (facial weakness) ได้ปริมาณร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามเนื้อแขนอ่อนแรงได้ถึง ปริมาณร้อยละ ๙๕ และแยก  ประสาทกลางที่ทำงานไม่ดีเหมือนปกติทางคำกล่าวได้จำนวนร้อยละ ๘๘ ซึ่งถือได้ว่าแม่นยำมากภายในเหตุการณ์ที่พยาบาลไม่อยู่ในจุดเกิดเหตุ

  • สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/รักษาโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากบอระเพ็ด ชื่อ columbamine เป็นสารกลุ่มอัลคาลอยด์ ที่มีงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยพบว่า สามารถยั้งฤทธิ์ของเอ็นไซม์ชื่อ acetyl cholinesterase ได้สูงมาก ซึ่งการหยุดยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี acetyl cholinesterase เป็นเป้าหมายสำคัญของการเป็นยารักษาผู้เจ็บป่วยสมองเสื่อม (Senile dementia), ผู้ป่วยสูญเสียความจำ (Alzheimer’s diseases), โรคพาร์กินสันที่มีภาวะสมองเสื่อมร่วมด้วย (Parkinson’s disease with dementia, PDD) อาการเซ หรือ สภาวะกล้ามเสียการร่วมมือ (Ataxia) รวมทั้งโรคกล้ามเมื่อยล้า (myasthenia gravis)


               ผลของการรักษาด้วยบอระเพ็ดในคนป่วยพาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการค้นพบในงานศึกษาวิจัย โดยเห็นผลสำหรับในการรักษาแจ่มกระจ่างในด้านภาวการณ์รู้คิด     ความประพฤติโดยรวมแล้วก็ อาการทางประสาทดียิ่งขึ้นในภาวการณ์โรคสมองเสื่อมที่เจอในคนป่วยพาร์กินสัน เนื่องจากว่าโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะกำเนิดความเสื่อมโทรมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา ก่อให้เกิดความไม่ดีเหมือนปกตินอกเหนือจากการเคลื่อน อาทิเช่น การนอน ความผิดปกติทางด้านอารมณ์แล้วก็จิตใจ ภาวะย้ำคิดย้ำทำ อาการซึมเซา วิตกกังวล เป็นต้น
                แต่ยังไม่มีข้อมูลในทางสถานพยาบาล หรือการเล่าเรียนในคนเจ็บกรุ๊ปโรคดังที่กล่าวผ่านมาแล้วอย่างเป็นระบบ แนะนำแม้พึงพอใจใช้บอระเพ็ด ควรใช้ในด้านเสริมการดูแลและรักษาควบคู่กับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก แล้วก็ต้องมีช่วงที่หยุดยาบ้าง ดังเช่นว่า แนะนำใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน
นอกเหนือจากนี้ข้อควรไตร่ตรอง คือ ห้ามใช้บอระเพ็ดในคนที่มีสภาวะโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับผิดพลาด หรือผู้เจ็บป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง ผู้ที่มีแนวโน้มความดันโลหิตต่ำเกินไป หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีท้อง สตรีให้นมลูก
หมามุ่ยอินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของประเทศอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นเวลานาน ผลการค้นคว้าพบว่าเมล็ดหมามุ่ยอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดขว้าง (L-dopa)พบ 3.1-6.1% รวมทั้งอาจเจอมากถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารเริ่มของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดขว้างในหมามุ่ยอินเดียมีจุดเด่นกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงในการออกฤทธิ์มากกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบในขนาดเทียบเท่ากับ Levodapa ผู้เดียว
โดยมีการตั้งสมมติฐานว่าในสารสกัดเม็ดหมามุ่ยประเทศอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าเหมือน Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่จะต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะมีผลให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa น้อยลง นอกจากนั้นยังพบว่าเม็ดหมามุ่ยอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า แล้วก็มีระยะเวลาการออกฤทธิ์นานกว่า  Levodopa/Carbidopa
แต่ยังไม่มีข้อมูลในการศึกษาเรียนรู้ทางสถานพยาบาลแล้วก็การเล่าเรียนในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ฉะนั้นจึงควรรอให้มีการทำการวิจัยเสริมเติม และก็มีผลการศึกษาเรียนรู้รับรองว่าไม่มีอันตรายก่อนจะใช้
เอกสารอ้างอิง

  • นพ.อัครวุฒิ วิริยเวชกุล.โรคพาร์กินสัน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่382.คอลัมน์ โรคน่ารู้.กุมภาพันธ์.2554
  • ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์.โรคพาร์กินสันกับผู้สูงอายุ.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kedar, NP. (2003). Can we prevent Parkinson,s and Alzheimer,s disease?. Journal of Postgraduate Medicine. 49, 236-245.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 641-645.
  • Parkinson’s disease, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 17th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2008 (electronic book). http://www.disthai.com/
  • โรคพาร์กินสัน.วิกิพีเดียสารานุกรม
  • โรคพาร์กินสัน-โรคสั่นสันนิบาต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่219.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2540
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) .หาหมอ.com
  • รศ.นพ.สุรเ

39

โรคบาดทะยัก (Tetanus)

  • โรคบาดทะยักเป็นอย่างไร โรคบาดทะยักเป็นโรคติดเชื้อโรคที่จัดอยู่ในกรุ๊ปของโรคทางประสาทรวมทั้งกล้ามเนื้อ เป็นโรคติดเชื้อโรคแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดอันตรายรุนแรง สามารถพบได้ในคนทุกวัย ส่วนมากคนเจ็บจะมีประวัติมีบาดแผลตามร่างกาย ที่มีบาดแผลสกปรก หรือขาดการดูแลแผลอย่างถูกต้อง ซึ่งความสำคัญของโรคนี้คือ ผู้ป่วยจะมีโอกาสเสียชีวิต ส่วนผู้ที่เคยเป็นโรคนี้ครั้งหนึ่งและก็ยังสามารถเป็นซ้ำได้อีก แม้กระนั้นตอนนี้โรคนี้สามารถคุ้มครองป้องกันได้ด้วยการฉีดยา

    โรคบาดทะยัก (Tetanus) คำว่า Tetanus มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกเป็น Teinein ซึ่งแสดงว่า ‘ยืดออก’ ที่เรียกเช่นนี้ เพราะว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีการหดตัวและก็แข็งเกร็งตัวของกล้ามเกิดขึ้นทั่วตัว โดยที่ทำให้แผ่นข้างหลังมีการยืดตัวออก ซึ่งเป็นท่าทางที่เป็นต้นแบบเฉพาะโรค   คนป่วยจะมีลักษณะเด่นคืออาการกล้ามเนื้อเกร็ง โดยมากการเกร็งจะเริ่มต้นที่กล้ามกราม แล้วก็แผ่ขยายไปยังกล้ามส่วนอื่นๆการเกร็งแต่ละครั้งมักเป็นอยู่ไม่กี่นาที แล้วก็เกิดขึ้นซ้ำๆตรงเวลา 3-4 สัปดาห์ รวมถึงอาจมีอาการอื่นที่อาจเจอร่วม อย่างเช่น ไข้ เหงื่อออก ปวดหัว กลืนตรากตรำ ความดันเลือดสูง และก็หัวใจเต้นเร็ว  โรคบาดทะยักเป็นโรคที่เจอได้ทั่วทั้งโลก แต่ว่าพบได้ทั่วไปหลายครั้งในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศแบบร้อนชื้น ซึ่งมีดินรวมทั้งสารอินทรีย์อยู่มากในปี พุทธศักราช 2558 มีแถลงการณ์ว่ามีผู้ป่วยโรคบาดทะยักราว 209,000 คนรวมทั้งเสียชีวิตโดยประมาณ 59,000 คนทั้งโลก  การบรรยายถึงโรคนี้เอาไว้เก่าแก่ตั้งแต่ยุคแพทย์กรีกชื่อฮิปโปโปเตมัสกราเตสเมื่อ 500 ปีกลายคริสตกาล ที่มาของโรคถูกศึกษาและทำการค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2427 โดย Antonio Carle และก็ Giorgio Rattone แห่งมหาวิทยาลัยทูริน ส่วนวัคซีนถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อ พุทธศักราช 2467

  • ที่มาของโรคบาดทะยัก เกิดขึ้นจากเชื้อ Clostridium tetani  ตัวเชื้อมีลักษณะเป็นรูปแท่งที่ปลายมีสปอร์ (Spore) ซึ่งเป็น anaerobic bacteria ย้อมติดสีมึงรมบวก มีคุณลักษณะที่จะอยู่ในรูปแบบของสปอร์ (spore) ที่ทนต่อความร้อนรวมทั้งยาฆ่าเชื้อหลายสิ่งหลายอย่างสามารถสามารถสร้าง exotoxin ที่ไปจับรวมทั้งมีพิษต่อระบบประสาท  ที่ควบคุมลักษณะการทำงานของกล้าม ทำให้มีการหดเกร็งตัวอยู่ตลอดระยะเวลา เริ่มต้นกล้ามเนื้อขากรรไกรจะเกร็ง ทำให้อ้าปากมิได้โรคนี้ก็เลยมีชื่อเรียกหนึ่งว่า โรคขากรรไกรแข็ง (lockjaw) ผู้ป่วยจะมีคอแข็ง ข้างหลังแข็ง ต่อไปจะมีลักษณะอาการเกร็งของกล้ามเนื้อทั่วตัว รวมทั้งมีลักษณะชักได้  เชื้อนี้จะอยู่ตามดินปนทรายและมูลสัตว์ สามารถมีชีวิตอยู่นานเป็นปีๆแล้วก็เจริญรุ่งเรืองเจริญในที่ที่ไม่มีออกซิเจน โดยจะสร้างสปอร์ห่อหุ้มตนเอง มีคงทนถาวรต่อน้ำเดือด 100 องศา ได้นานถึง 1 ชั่วโมง อยู่ในภาวะที่ไม่มีแสงสว่างได้นานถึง 10 ปี เมื่อคนเราเกิดบาดแผลที่แปดเปื้อนถูกเชื้อโรคนี้ ยกตัวอย่างเช่น สกปรกถูกดินทรายหรือมูลสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาดแผลที่ปากแผลแคบแต่ลึก ได้แก่ ตะปูตำ ลวดหรือหนามตำเกี่ยว ไม้เสียบแทง ฯลฯ (ซึ่งมีออกซิเจนน้อย เหมาะกับการก้าวหน้าของเชื้อบากทะยัก) เชื้อโรคก็จะกระจายเข้าสู่ร่างกายแล้วปลดปล่อยพิษที่มีชื่อว่า เตตาโนสปาสมิน (Tetanospasmin) ออกมาทำลายระบบประสาท นำไปสู่ลักษณะโรคที่กล้ามทั่วร่างกาย
  • ลักษณะของโรคบาดทะยัก ภายหลังได้รับเชื้อ Clostridium tetani สปอร์ที่เข้าไปตามบาดแผลจะแตกตัวออกเป็น vegetative form ซึ่งจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและก็ผลิต exotoxin ซึ่งจะกระจัดกระจายจากแผลไปยังปลายประสาทที่แผ่กระจายอยู่ในกล้ามเนื้อ กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดความแตกต่างจากปกติสำหรับเพื่อการควบคุมการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ระยะจากที่เชื้อเข้าสู่ร่างกายจนกำเนิดอาการเริ่มแรก คือ มีลักษณะอาการขากรรไกรแข็ง ที่เรียกว่าระยะฟักตัวของโรคราว 3-28 วัน แต่ว่าโดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่โดยประมาณ 8 วัน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรุ๊ปเป็น
  • โรคบาดทะยักในทารกแรกเกิดอาการมักจะเริ่มเมื่อเด็กอ่อนอายุราว 3-10 วัน อาการแรกที่จะพิจารณาได้คือ เด็กดูดนมทุกข์ยากลำบาก หรือไม่ค่อยดูดนม ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะมีขากรรไกรแข็ง อ้าปากมิได้ ถัดมาเด็กจะดูดมิได้เลย หน้ายิ้มแสยะ (Risus sardonicus หรือ Sardonic grin) เด็กบางทีอาจร้องคร่ำครวญต่อมาจะมีมือ แขน รวมทั้งขาเกร็ง ข้างหลังแข็งแล้วก็แอ่น ถ้าหากเป็นมากจะมีลักษณะชักกระดุกรวมทั้งหน้าเขียวอาการเกร็งหลังแข็งและข้างหลังแอ่นนี้จะเป็นมากขึ้น ถ้าหากมีเสียงดังหรือเมื่อจับต้องตัวเด็ก อาการเกร็งชักกระดุกหากเป็นถี่ๆมากเพิ่มขึ้น จะมีผลให้เด็กหน้าเขียวมากขึ้น ก่อให้เกิดอันตรายถึงตายได้ไพเราะขาดออกซิเจน
  • โรคบาดทะยักในเด็กโตหรือคนแก่ เมื่อเชื้อเข้าทางบาดแผล ระยะฟักตัวของโรคก่อนที่จะมีลักษณะราว 5-14 วัน บางรายอาจนานถึง 1 เดือน หรือเป็นเวลานานกว่านั้นได้ กระทั่งบางทีบาดแผลที่เป็นทางเข้าของเชื้อบาดทะยักหายไปแล้ว อาการเริ่มแรกที่จะดูเจอเป็น ขากรรไกรแข็ง อ้าปากมิได้ มีคอแข็ง หลังจากนี้ 1-2 วัน ก็จะเริ่มมีลักษณะเกร็งแข็งในส่วนอื่นๆของร่างกายเป็น ข้างหลัง แขน ขา เด็กจะยืนรวมทั้งเดินข้างหลังแข็ง แขนเหยียดหยามเกร็งให้ก้มข้างหลังจะทำไม่ได้ หน้าจะมีลักษณะเฉพาะคล้ายยิ้มแสยะแล้วก็ระยะต่อไปก็อาจจะมีอาการกระตุกเช่นเดียวกับในทารกแรกคลอด ถ้ามีเสียงดังหรือจับต้องตัวจะเกร็ง และกระดุกมากเพิ่มขึ้น มีข้างหลังแอ่น แล้วก็หน้าเขียว บางโอกาสมีอาการรุนแรงมากมายอาจส่งผลให้มีการหายใจไม่สะดวกจนตายได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคบาดทะยัก  อาการชักกระตุกของกล้ามเนื้ออย่างหนักของโรคบาดทะยักที่เกิดขึ้นอาจจะก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่อแต่นี้ไปตามมา

  • จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ
  • สมองเสียหายจากการขาดออกซิเจน
  • กระดูกสันหลังแล้วก็กระดูกส่วนอื่นๆหักจากกล้ามที่เกร็งมากเปลี่ยนไปจากปกติ
  • เกิดการติดเชื้อที่ปอดจนกระทั่งกำเนิดปอดบวม
  • ไม่สามารถที่จะหายใจได้ เหตุเพราะการชักเกร็งของเส้นเสียงแล้วก็กล้ามที่ใช้หายใจ
  • การต่อว่าดเชื้ออื่นๆเข้าแทรกที่บางทีอาจเกิดขึ้นระหว่างการพักฟื้นหรือรักษาตัวจากโรคบาดทะยักในโรงหมอเป็นเวลายาวนานหลายสัปดาห์ถึงยาวนานหลายเดือน


การตำหนิดเชื้อโรคโรคบาดทะยักอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต โดยที่มาของการเสียชีวิตจากโรคนี้โดยมากเกิดจากภาวการณ์หายใจล้มเหลว ส่วนมูลเหตุอื่นที่ก่อให้เกิดการตายได้ด้วยเหมือนกัน ได้แก่ สภาวะปอดอักเสบ การขาดออกสิเจน และภาวะหัวใจหยุดเต้น

  • ปัจจัยเสี่ยงที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักมีเหตุที่เกิดจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรีย Clostridium tetani ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่เข้าไปสู่รอยแผล โดยยิ่งไปกว่านั้นบาดแผลที่ไม่สะอาดหรือบาดแผลที่ขาดการดูแลที่ถูก ซึ่งบาดแผลที่เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อโรคบาดทะยักได้ เป็นต้นว่า แผลถลอกปอกเปิก รอยขูด หรือแผลจากการโดนบาด แผลจากการเช็ดกสัตว์กัด ยกตัวอย่างเช่น สุนัข เป็นต้น  แผลที่มีการฉีกให้ขาดของผิวหนังเกิดขึ้น แผลไฟเผา แผลถูกทิ่มจากตะปูหรือข้าวของอื่นๆแผลจากการเจาะร่างกาย การสัก หรือการใช้เข็มฉีดยาที่ปนเปื้อนสิ่งสกปรก แผลจากลูกกระสุนปืน กระดูกหักที่ทิ่มแทงผิวหนังออกมาภายนอก  แผลติดเชื้อโรคที่เท้าในผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวาน  แผลบาดเจ็บที่ดวงตา  แผลจากการผ่าตัดที่ปนเปื้อนเชื้อ  การต่อว่าดเชื้อที่ฟัน  การติดเชื้อทางสายสะดือในเด็กอ่อน เนื่องจากว่าการทำคลอดที่ใช้ของมีคมที่ไม่สะอาดตัดสายสะดือ และก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูงเมื่อคุณแม่ไม่ได้ฉีดยาคุ้มครองโรคบาดทะยักอย่างครบถ้วน  แผลเรื้อรัง  เป็นต้นว่า  แผลโรคเบาหวาน  และก็รอยแผลฝี  แผลจาการเป็นโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบ
  • แนวทางการรักษาโรคบาดทะยัก แพทย์จะวินิจฉัยโรคบาดทะยักได้จากอาการเป็นหลัก รวมทั้งประวัติการมีบาดแผลตามร่าง กาย การตรวจร่างกาย รวมทั้งเรื่องราวได้รับวัคซีนโรคบาดทะยัก ซึ่งในบุคคลที่เคยได้รับวัคซีนครบและได้รับวัคซีนกระตุ้นตามที่ได้มีการกำหนด ก็จะไม่มีจังหวะเป็นโรคบาดทะยักในการตรวจทางห้อง กระทำการ ไม่มีการตรวจที่เฉพาะเจาะจงกับโรคนี้ การตรวจจะเป็นเพียงเพื่อแยกโรคอื่นๆที่อาจมีอา การคล้ายคลึงกัน เท่านั้น เช่น การตรวจค้นสารพิษสตริกนีน (Strychnine) ผู้เจ็บป่วยที่ได้รับพิษ Strychnine ซึ่งอยู่ในยากำจัดศัตรูพืช จะมีลักษณะหดตัวรวมทั้งแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อคล้ายกับผู้เจ็บป่วยที่เป็นบาดทะยัก ถ้าเกิดเรื่องราวได้รับสารพิษของผู้ป่วยคลุมเครือ ก็ต้องเจาะตรวจค้นสารพิษชนิดนี้ด้วย การตรวจเม็ดเลือดขาวจากเลือด (การตรวจCBC) จำนวนมากจะพบว่าอยู่ในเกณฑ์ธรรมดา ไม่เสมือนโรคติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆที่มักมีจำนวนเม็ดเลือดขาวขึ้นสูง การตรวจน้ำไขสันหลังจะพบว่าธรรมดา ซึ่งไม่เหมือนกับโรคติดเชื้ออื่นๆที่ทำให้มีไขสันหลังแล้วก็สมองอักเสบ ที่ทำให้มีลักษณะอาการชักเกร็งคล้ายกัน


หลังการตรวจวิเคราะห์ ถ้าแพทย์ใคร่ครวญว่ามีการเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดเชื้อโรคบาดทะยักแม้กระนั้นผู้ป่วยยังไม่มีอาการอะไรก็แล้วแต่ปรากฏให้มองเห็น กรณีนี้จะรักษาโดยการทำความสะอาดแผลแล้วก็ฉีด Tetanus Immunoglobulin ซึ่งเป็นยาที่ประกอบด้วยแอนติบอดี้ ช่วยฆ่าแบคทีเรียจากโรคบาดทะยักและก็สามารถคุ้มครองปกป้องโรคบาดทะยักได้ในตอนระยะสั้นๆถึงปานกลาง นอกเหนือจากนั้นอาจฉีดวัคซีนปกป้องบาดทะยักร่วมด้วยแม้ผู้ป่วยยังมิได้รับวัคซีนจำพวกนี้ถึงกำหนด สำหรับคนเจ็บที่เริ่มออกอาการของโรคบาดทะยักแล้ว  หมอจะรับตัวไว้รักษาในโรงหมอโดยชอบรับไว้ภายในห้องบำบัดรักษาพิเศษหรือไอซียู เพื่อแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด แล้วก็ผู้เจ็บป่วยชอบจำต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงหมอนานเป็นอาทิตย์ๆหรือเป็นนานเป็นเดือนๆ   ซึ่งหลักของการดูแลรักษาคนเจ็บโรคบาดทะยักที่ปรากฏลักษณะโรคแล้ว คือ เพื่อกำจัดเชื้อโรคบาดทะยักที่ผลิตสารพิษ เพื่อทำลายสารพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว แล้วก็การดูแลและรักษาเกื้อกูลตามอาการ และก็การให้วัคซีนเพื่อปกป้องการเกิดโรคอีกโดยมีเนื้อหาดังนี้

  • การกำจัดเชื้อบาดทะยักที่ผลิตสารพิษ โดยการให้ยายาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อโรคแล้วก็สปอร์ของเชื้อที่กำลังแตกออก ดังเช่นว่า เพนิซิลิน ยาต้านทานพิษบาดทะยัก (human tetanus immune globulin ) ถ้าเกิดผู้ป่วยมีบาดแผลที่ยังไม่หายดี ก็จะปริปากแผลให้กว้าง ล้างชำระล้างแผลให้สะอาด และตัดเนื้อเยื่อที่ตายแล้วออก เพื่อเป็นการลดจำนวนเชื้อโรคที่อยู่ในรอยแผล
  • การทำลายสารพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว ซึ่งจะช่วยลดอัตราการตายได้มาก โดยการให้สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี (Antibody) ไปทำลายสารพิษ ซึ่งสารภูมิคุ้มกัน อาจได้จากน้ำเหลืองของม้าหรือของคน (Equine tetanus antitoxin หรือ Human tetanus immunoglobulin) ซึ่งแอนติบอดีที่ไปทำลายสารพิษนี้จะทำลายเฉพาะพิษที่อยู่ในกระแสเลือดเพียงแค่นั้น ไม่อาจจะทำลายพิษที่ไปสู่เส้นประสาทไปแล้วได้
  • การดูแลรักษาจุนเจือตามอาการ ดังเช่น การให้ยาเพื่อลดการหดตัวและแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อ ซึ่งมียาอยู่หลายกลุ่ม ในกรณีที่ใช้ยาไม่ได้ผล ผู้เจ็บป่วยยังมีลักษณะอาการหดเกร็งมาก เสี่ยงต่อสภาวะหายใจล้มเหลว บางทีก็อาจจะไตร่ตรองให้ยาที่ทำให้เป็นอัมพาตตลอดตัว แล้วใส่เครื่องช่วยหายใจไว้หายใจแทน
  • ผู้ป่วยที่มีลักษณะไม่ดีเหมือนปกติจากระบบประสาทอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น ความดันโลหิตขึ้นสูงมากก็ให้ยาควบคุมความดันเลือด ถ้ามีอาการหัวใจเต้นช้าหรือหยุดเต้นก็บางทีอาจจะต้องใส่สิ่งกระตุ้นหัวใจ
  • การให้วัคซีน คนไข้ทุกรายที่หายจากโรคแล้ว จะต้องให้วัคซีนตามที่กำหนดทุกราย ด้วยเหตุว่าการตำหนิดเชื้อโรคบาดทะยักไม่สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้
  • การติดต่อของโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียที่บริเวณรอยแผลต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยแผลที่แคบแล้วก็ลึกที่ไม่สามารถที่จะล้างชำระล้างบาดแผลได้หรือเป็นรอยแผลที่ไม่สะอาด ด้วยเหตุนี้โรคบาดทะยักนี้ก็เลยไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคโรคบาดทะยัก ถ้าหากหมอวินิจฉัยแล้วว่ามีการเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดโรคโรคบาดทะยักแม้กระนั้นยังไม่มีอาการปรากฏ แพทย์จะกระทำการรักษาและฉีดวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคบาดทะยักให้ แล้วให้กลับไปอยู่บ้าน เพราะฉะนั้นข้อควรปฏิบัติตนเมื่ออยู่ที่บ้านคือ
  • รักษาความสะอาดของรอยแผล
  • รักษาสุขลักษณะของร่างกายตามสุขข้อกำหนด
  • ทานอาหารที่เป็นประโยชน์แล้วก็ครบอีกทั้ง 5 หมู่
  • กินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • มาตรวจตามที่แพทย์นัด

ส่วนในกรณีผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะอาการของโรคปรากฏแล้วนั้น หมอก็จะรับเข้ารักษาในโรงหมอห้องห้องดูแลผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาล เพื่อดูแลเอาใจใส่ด้วยความใกล้ชิดถัดไป

  • การคุ้มครองตนเองจากโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักเป็นโรคที่เกิดอันตรายรุนแรง แล้วก็อาจถึงแก่ความตายข้างในไม่กี่วันแม้กระนั้นสามารถป้องกันได้ ฉะนั้นการคุ้มครองก็เลยเป็นหัวใจของการรักษาโรคบาดทะยัก ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ โรคบาดทะยักมีวัคซีนคุ้มครอง วัคซีนปกป้องโรคบาดทะยักถูกผลิตและใช้ได้ผลสำเร็จสำเร็จในทหารตั้งแต่การรบโรคครั้งที่ 2 ต่อมาวัคซีนจำพวกนี้ได้ถูกปรับปรุงให้อยู่ในรูปของวัคซีนรวม คอตีบ ไอกรน โรคบาดทะยัก (DTP) และก็บางทีอาจเป็นแบบวัคซีนรวมอื่นๆการฉีดวัคซีน วัคซีนปกป้องบาดทะยักมักนิยมให้ดังต่อไปนี้


เข็มแรก อายุ 2 เดือน  เข็มที่ 2 อายุ 4 เดือน  เข็มที่ 3 อายุ 6 เดือน  เข็มที่ 4 อายุ 1 ปี 6 เดือนเข็มที่ 5 อายุ 4-6 ปีอีกครั้งหนึ่ง  ถัดไปจะต้องมีการฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี  ในกรณีที่มีรอยแผลเกิดขึ้น ถ้าหากเคยฉีดวัคซีนครบ 3 ครั้ง มาด้านใน 5 ปี ไม่ต้องฉีดกระตุ้น แม้กระนั้นถ้าเกิดเกินกว่า 5 ปี จะต้องฉีดกระตุ้น 1 ครั้ง หญิงตั้งท้องที่ไม่เคยได้รับวัคซีนคุ้มครองบาดทะยักมาก่อน ควรจะฉีดวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคนี้รวม 3 ครั้ง โดยเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่อฝากครรภ์ครั้งแรก เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรกขั้นต่ำ 1 เดือน รวมทั้งเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 อย่างต่ำ 6 เดือน (ถ้าเกิดฉีดไม่ทันขณะตั้งท้อง ก็ฉีดข้างหลังคลอด)  ถ้าหากหญิงท้องเคยได้รับวัคซีนปกป้องโรคนี้มาแล้ว 1 ครั้ง ควรให้อีก 2 ครั้ง ห่างกันขั้นต่ำ 1 เดือน ในระหว่างท้อง  หากหญิงท้องเคยได้รับวัคซีนคุ้มครองโรคนี้ครบชุด (3 ครั้ง) มาแล้วเกิน 5 ปี ให้ฉีดกระตุ้นอีกเพียงแค่ 1 ครั้ง แต่ว่าถ้าเคยฉีดครบชุดมาแล้วไม่เกิน 5 ปี ก็ไม่ต้องฉีดกระตุ้น  สำหรับในเด็กที่อายุมากกว่า 7 ปีขึ้นไปและก็ในผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน หรือได้รับวัคซีนในวัยเด็กไม่ครบ หรือได้รับมาเกิน 10 ปีแล้ว ให้ฉีดวัคซีนโรคบาดทะยัก - คอตีบ 3 เข็ม โดยฉีดเข็มที่ 2 ให้ห่างจากเข็มแรก 4 สัปดาห์ เข็มที่ 3 ให้ห่างจากเข็มที่ 2 ราว 6 -12 เดือน และก็ฉีดกระตุ้นๆทุกๆ10 ปีตลอดไป
เมื่อมีรอยแผลต้องทำแผลให้สะอาดโดยทันที โดยการขัดด้วยสบู่ล้างด้วยน้ำที่สะอาดถูด้วยยาฆ่าเชื้อ อย่างเช่น แอลกอฮอล์ 70% หรือทิงเจอร์ใส่แผลสด พร้อมด้วยให้ยารักษาการติดเชื้อถ้าหากแผลลึกจำต้องใส่ drain ด้วย
ใช้ผ้าปิดรอยแผลเพื่อให้แผลสะอาดรวมทั้งปกป้องจากการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียของแผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผลพุพองที่กำลังแห้งจะยิ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จึงควรปิดแผลไว้กระทั่งแผลเริ่มก่อตัวเป็นสะเก็ด นอกจากนี้ควรเปลี่ยนผ้าทำแผลทุกวี่วัน อย่างต่ำวันละ 1 ครั้งหรือเมื่อใดก็ตามที่ผ้าปิดแผลเปียกน้ำหรือเริ่มเลอะเทอะ เพื่อเลี่ยงจากการตำหนิดเชื้อ

  • สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้อง/รักษาโรคบาดทะยัก เนื่องจากว่าโรคบาดทะยักเป็นโรคที่เป็นการติดเชื้อโรคแบคทีเรียที่ร้ายแรงรวมทั้งมีระยะฟักตัวของโรคที่ค่อนข้างสั้น แต่มีลักษณะแสดงของโรคที่ร้ายแรงและมีความอันตรายถึงชีวิต ซึ่งหลักการใช้สมุนไพรนั้นได้กล่าวเอาไว้ดังต่อไปนี้


  • ถ้าเป็นโรคที่ยังพิสูจน์ไม่ได้แจ่มกระจ่างว่ารักษาด้วยสมุนไพรได้ผลดี ก็ไม่สมควรรักษาด้วยสมุนไพร อาทิเช่น งูพิษกัด หมาบ้ากัด โรคบาดทะยัก กระดูกหัก ฯลฯ
  • กรุ๊ปอาการบางสิ่งบางอย่างที่ระบุว่า อาจจะเป็นโรคร้ายแรงที่จำต้องรักษาอย่างรีบด่วนอาทิเช่น ไข้สูง ซึม  ไม่รู้สึกตัว ปวดอย่างหนัก  คลื่นไส้เป็นเลือด  ตกเลือดจากช่องคลอด  ท้องร่วงอย่างหนัก  หรือคนป่วยเป็นเด็กแล้วก็สตรีมีท้อง ควรจะรีบนำขอคำแนะนำหมอ  แทนที่จะรักษาโดยใช้สมุนไพร
  • การใช้ยาสมุนไพรนั้น ควรจะค้นคว้าจากตำราเรียน หรือขอคำแนะนำท่านผู้ทรงความรู้  โดยใช้ให้สมส่วน ใช้ให้ถูกแนวทาง  ใช้ให้ถูกโรค  ใช้ให้ถูกคน
  • ไม่ควรใช้สมุนไพรติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆๆเพราะพิษบางครั้งอาจจะสะสมได้
เอกสารอ้างอิง

  • โรคบาดทะยัก (Tetanus). สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.บาดทะยัก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 294.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.ตุลาคม.2547
  • บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคณะ. (2527). โรคบาดทะยัก.ใน บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคนอื่นๆ (บรรณาธิการ), โรคติดต่อระหว่างคนและสัตว์ (หน้า 80-82). บัณฑิตการพิมพ์ : กรุงเทพมหานคร.
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.บาดทะยัก (Tetanus).หาหมอ.com.( ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.”บาดทะยัก (Tetanus).(นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).หน้า 590-593.
  • Elias Abrutyn, tetanus, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 15th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2001
  • "Tetanus Symptoms and Complications". cdc.gov. January 9, http://www.disthai.com/
  • สมจิต หนุเจริญกุล. (2535). การพยาบาลผู้ป่วยบาดทะยัก.ในการพยาบาลอายุรศาสตร์ เล่ม 1 (หน้า 57-59). วี.เจ.พริ้นติ้ง : กรุงเทพมหานคร.
  • Atkinson, William (May 2012). Tetanus Epidemiology and Prevention of Vaccine-Preventable Diseases (12 ). Public Health Foundation. pp. 291–300. ISBN 9780983263135. สืบค้นเมื่อ 12 February 2015.
  • สุรเกียรติ อาชานานุภาพ. บาดทะยัก หมอชาวบ้าน ปีที่ 17 ฉบับที่ 194 มิถุนายน 2538. หน้า 25-27
  • บาดทะยัก-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.com(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • สมุนไพร.ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี.คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี.มหาวิทยาลัยมหิดล.


40

โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
1.โรคไข้หวัดใหญ่ คืออะไร  ไข้หวัดใหญ่ หรือ ฟลู (Influenza , Flu) เป็นโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสที่ระบบทางเท้าหายใจเหมือนกันกับโรคไข้หวัด แต่ว่ามีเหตุที่เกิดจากไวรัสคนละชนิดรวมทั้งมีความรุนแรงสูงขึ้นมากยิ่งกว่าโรคไข้หวัดปกติมาก และก็เป็นอีกโรคหนึ่งมักพบในทุกกลุ่มอายุทั้งในเด็กจนถึง ถึงคนชรา รวมทั้งมีโอกาสเกิดโรคใกล้เคียงกันในสตรีและก็ในผู้ชาย  โดยมีลักษณะทางสถานพยาบาลที่สำคัญคือ มีไข้สูงแบบทันที ปวดหัว เมื่อยกล้าม อ่อนแรง ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่สำคัญที่สุดโรคหนึ่งในกรุ๊ปโรคติดเชื้ออุบัติใหม่และก็โรคติดเชื้ออุบัติซ้ำ ด้วยเหตุว่าเกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลก (pandemic) มาแล้วบ่อย แต่ละครั้งเกิดขึ้นอย่างมากมายแทบทุกทวีป ทำให้มีผู้ป่วยรวมทั้งเสียชีวิตนับล้านคน

  • สาเหตุของโรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้หวัดใหญ่มีเหตุที่เกิดจากการตำหนิดเชื้อ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ที่มีชื่อเรียกว่า อินฟลูเอนซาไวรัส (Influenza virus) เป็น RNA ไวรัส อยู่ในเชื้อสาย Orthomyxoviridae ที่พบอยู่ในสารคัดหลั่งของคนไข้ ดังเช่น น้ำมูก น้ำลาย และก็เสลด ฯลฯ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ มีทั้งผอง 3 ประเภทหมายถึงเชื้อ influenza A, B และก็ C รวมทั้ง เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ประเภท A เป็นชนิดที่ท้าทายให้มีการระบาดอย่าง กว้างขวางทั่วทั้งโลก ประเภท B ท้าให้มีการระบาดในพื้นที่ระดับภูมิภาค ส่วนชนิด C มักเป็นการติดเชื้อโรคที่ออกอาการ น้อยหรือไม่แสดงอาการ และไม่ท้าให้มีการระบาด เชื้อไวรัสประเภท A แบ่งเป็นชนิดย่อย (subtype) ตามความไม่เหมือนของโปรตีนของเชื้อไวรัสที่เรียกว่า hemagglutinin (H) แล้วก็ neuraminidase (N) ประเภทย่อยของเชื้อไวรัส A ที่ค้นพบว่าเป็นต้นเหตุของการต่อว่าดเชื้อในเจอในขณะนี้เป็นต้นว่า A(H1N1), A(H1N2), A(H3N2), A(H5N1) และ A(H9N2) ส่วนเชื้อไวรัสประเภท B แล้วก็ C ไม่มีแบ่งเป็นจำพวกย่อย
  • ลักษณะโรคไข้หวัดใหญ่ อาการจะเริ่มหลังได้รับเชื้อ 1-4 วัน ผู้เจ็บป่วยจะจับไข้สูงแบบทันทีทันควัน ( 38 ซ ในผู้ใหญ่ ส่วนในเด็กชอบสูงขึ้นมากยิ่งกว่านี้) ปวดหัว หนาวสั่น เมื่อยกล้าม หมดแรงมาก ปวดกระบอกตาเวลาตาเคลื่อนไหว มีน้ำตาไหลเมื่อมีแสงสว่าง แล้วก็บางทีอาจเจออาการคัดจมูก เจ็บคอ ถ้าเกิดมีอาการป่วยเป็นช่วงเวลานานอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอาการไอจากหลอดลมอักเสบ (post viral bronchitis) อาการจะร้ายแรงและป่วยเป็นเวลายาวนานกว่าหวัดธรรมดา (common cold) คนป่วยโดยมากจะหายปกติภายใน 1-2 อาทิตย์ แม้กระนั้นมีบางรายที่มีลักษณะรุนแรง เหตุเพราะมีภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญเป็น ปอดบวม ซึ่งอาจจะส่งผลให้เสียชีวิตได้
  • กลุ่มบุคคลเป้าหมายที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคไข้หวัดใหญ่


           บุคลากรทางด้านการแพทย์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวกับคนไข้โรคไข้หวัดใหญ่
           คนที่มีโรคเรื้อรังหมายถึงปอดอุดกันเรื้อรัง อาการหอบหืด หัวใจ เส้นโลหิตสมอง ไตวาย โรคมะเร็งที่กำลังให้เคมี บำบัด เบาหวาน ธาลัสซีเมีย ภูมิคุ้มกันขาดตกบกพร่อง (รวมทั้งผู้ติดเชื้อโรคเอชไอวีที่มีลักษณะ)
           บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
           หญิงมีครรภ์ อายุครรภ์ 4 ข้างขึ้นไป
           ผู้ที่มีน้ำหนักมากกว่า 100 โลขึ้นไป
           ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
           เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี

  • หนทางอาการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ การวินิจฉัยโรคโดยอาการทางสถานพยาบาลยังมีข้อจำกัด เนื่องจากอาการเหมือนโรคติดเชื้อฟุตบาท หายใจจากเชื้อไวรัสจำพวกอื่น การวิเคราะห์ควรที่จะใช้ การตรวจทางห้องทดลองเพื่อยืนยันการวิเคราะห์โรค เช่นตรวจพบเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในเสมหะที่ป้ายหรือดูดจากจมูกหรือลำคอ หรือ ตรวจเจอแอนติเจนของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ใน epithelial cell จาก nasopharyngeal secretion โดยแนวทาง fluorescent antibody หรือ ตรวจเจอว่ามีการมากขึ้นของระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อในซีรั่มอปิ้งน้อย 4 เท่าในระยะเฉียบพลันแล้วก็ระยะพักฟื้น โดยแนวทาง haemaglutination inhibition (HI) ซึ่งเป็นแนวทางมาตรฐาน หรือ complement fixation (CF) หรือ Enzyme - linked immunosorbent assay (ELISA)แล้วก็การใช้ข้อมูลทางระบาดวิทยาช่วย ดังเช่นว่า ช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดของโรค ไข้หวัดใหญ่ ผู้เจ็บป่วยที่มีอาการน้อย ให้การรักษาตามอาการ อย่างเช่น ยาลดไข้พาราเซตามอล ยาละลายเสลด ฯลฯ การให้ยาต่อต้านเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่โดยทันทีหลังจากที่มีอาการช่วยลดความรุนแรงและอัตราตายในคนป่วย ยาต่อต้านไวรัส ไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ ยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) และซานาไม่เวียร์ (Zanamivir) การไตร่ตรองเลือกใช้ตัวไหน ขึ้นอยู่กับข้อมูลความไวของยาต่อเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในแต่ละประเทศส่วนการให้ยาต้านเชื้อไวรัส amantadine hydrochloride หรือยา rimantidine hydrochloride ภายใน 48 ชั่วโมง นาน 3-5 วัน จะช่วยลดอาการรวมทั้งจำนวนเชื้อไวรัสจำพวก A ในสารคัดหลั่งพื้นที่เดินหายใจได้ ขนาดยาที่ใช้ในเด็กอายุ 1-9 ปี ให้ขนาด 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน แบ่งให้ 2 ครั้ง สำหรับคนป่วยอายุ 9 ปีขึ้นไปให้ขนาด 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง (แต่ว่าหากคนป่วยน้ำหนักน้อยกว่า 45 กก. ให้ใช้ขนาดเดียวกับเด็กอายุ 1-9 ปี) นาน 2-5 วัน สำหรับคนไข้อายุ 65 ปีขึ้นไป หรือคนที่ลักษณะการทำงานของตับและไตไม่ปกติ จะต้องลดปริมาณยาลง ในตอนหลังๆของการดูแลรักษาด้วยยาต้านทานไวรัส บางทีอาจพบการดื้อยาและก็ตามด้วยการแพร่โรคไปยังคนอื่นๆได้ กรณีนี้อาจจำเป็นต้องให้ยาต้านทานไวรัสแก่ผู้เสี่ยงโรคสูงที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ถ้ามีอาการเข้าแทรกจากเชื้อแบคทีเรียต้องให้ยาปฏิชีวนะด้วย แล้วก็ควรเลี่ยงยาลดไข้พวก salicylates เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค Reye's syndrome

6.การติดต่อของโรคไข้หวัดใหญ่ ระยะฟักตัวของโรค ระยะฟักตัวของโรคชอบสั้น 1 - 4 วัน แต่ว่าโดยเฉลี่ยแล้วราวๆ เฉลี่ย 2 วัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปริมาณของเชื้อไวรัสที่ ได้รับ การติดต่อ เชื้อไวรัสที่อยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้เจ็บป่วยแพร่ติดต่อไปยังผู้อื่นโดยการไอจามรดกันโดยตรง หรือหายใจเอาฝอยละอองเข้าไปถ้าหากอยู่ใกล้ผู้ป่วยในระยะ 1 เมตร บางรายได้รับเชื้อทางอ้อมผ่านทางมือหรือ สิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูก ตา ปาก  และคนเจ็บสามารถแพร่เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่ 1 วันก่อนมีลักษณะอาการและก็จะแพร่เชื้อถัดไปอีก 3-5 ครั้งหน้ามีลักษณะในคนแก่ ส่วนในเด็กบางทีอาจแพร่ระบาดได้ยาวนานกว่า 7 วัน ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แม้กระนั้นไม่มีอาการก็สามารถแพร่ระบาดในขณะนั้นได้เหมือนกัน ในตอนศตวรรษที่ผ่านมามีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ทั่วทั้งโลก 4 ครั้งเป็น

  • พ.ศ. 2461 - 2462 Spanish flu จากไวรัส A(H1N1) เป็นครั้งที่ร้ายแรงที่สุด ประชากรทั่วทั้งโลกป่วยปริมาณร้อยละ 50 รวมทั้งตายสูงถึง 20 ล้านคน
  • พ.ศ. 2500 - 2501 Asian flu จากไวรัส A(H2N2) โดยเริ่มตรวจเจอในประเทศจีน
  • พ.ศ. 2511 - 2512 Hong Kong flu จากเชื้อไวรัส A(H3N2) เริ่มตรวจพบในประเทศฮ่องกง
  • พ.ศ. 2520 - 2521 Influenza A (H1N1) กลับมาระบาดใหญ่อีกครั้ง แยกได้จากผู้ป่วยในสหภาพโซเวียต จึงเรียก Russian flu แต่ว่ามีบ้านเกิดจากประเทศจีน


7.การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ การดูแลตนเอง เมื่อเจ็บป่วยหวัดใหญ่เป็นเมื่อจับไข้ ควรจะหยุดโรงเรียนหรือหยุดงาน แยกตัวและของใช้จากผู้อื่น เพื่อพักและปกป้องการแพร่ระบาดสู่คนอื่นๆ พักให้มากมายๆรักษาสุขอนามัยฐานราก  เพื่อสุขภาพดี ลดจังหวะกำเนิดโรคข้างเคียงหรือแทรกซ้อน เพียรพยายามรับประทานอาหารมีคุณประโยชน์ห้าหมู่ในทุกๆวันกินน้ำสะอาดให้มากๆอย่างต่ำวันละ 6 - 8 แก้วเมื่อไม่มีโรคจำเป็นต้องจำกัดน้ำดื่ม กินยาลดไข้พาราเซตามอล หรือตามแพทย์แนะนำ ไม่สมควรกินยาแอสไพรินเนื่องจากว่าอาจมีการแพ้ ดังที่กล่าวมาแล้ว ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆรวมทั้งทุกครั้งก่อนที่จะรับประทานอาหารรวมทั้งข้างหลังเข้าส้วม  ใช้ทิชชู่สำหรับเพื่อการสั่งขี้มูกหรือเช็ดถูปาก ไม่ควรใช้ผ้าที่มีไว้สำหรับเช็ดหน้า ต่อไปทิ้งทิชชู่ให้ถูกสุขอนามัย  รู้จักใช้หน้ากากอนามัย งดยาสูบ หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ เพราะว่าเป็นต้นเหตุให้อาการรุนแรงขึ้น ควรรีบเจอหมอเมื่อ ไข้สูงเกิน 39 - 40 องศาเซียลเซียส รวมทั้งไข้ไม่น้อยลงหลังได้ยาลดไข้ภายใน 1 - 2 วัน  กินน้ำได้น้อยหรือกินอาหารได้น้อย ไอมากมาย มีเสลด และก็/หรือ เสมหะมีสีเหลืองหรือเขียว ซึ่งแปลว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียสอดแทรก เป็นโรคโรคหืด เนื่องจากโรคหืดมักกำเริบและควบคุมเองมิได้ อาการต่างๆชั่วช้าสารเลวลง หอบอ่อนเพลียร่วมกับไอมาก อาจร่วมกับนอนราบไม่ได้ เพราะเป็นอาการแทรกซ้อนจากปอดบวม เจ็บหน้าอกมากมายร่วมกับหายใจขัด อ่อนแรง เนื่องจากว่าเป็นอาการจากอาการสอดแทรกจากเยื่อห่อหัวใจ หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ชัก ซึม สับสน แขน/ขาอ่อนแรง อาจร่วมกับปวดหัวร้ายแรง และคอแข็ง เพราะเป็นอาการแทรกซ้อนจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ  หรือ สมองอักเสบ

  • การป้องกันเองจากไข้หวัดใหญ่ รักษาร่างกายให้แข็งแรง เพื่อร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ดี โดยการบริหารร่างกาย สม่ำเสมอรวมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก เลี่ยงความตึงเครียด บุหรี่ เหล้ารวมทั้งสารเสพติด และระวังรักษาร่างกายให้อบอุ่นในช่วงอากาศหนาวเย็น หรืออากาศเปลี่ยนแปลง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ผัก และก็ผลไม้ เพื่อร่างกายได้รับสารอาหารและวิตามินพอเพียง ในตอนที่มีการระบาดของโรค ควรเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัดคับแคบ ดังเช่นว่า ห้าง สถานเริงรมย์ งานมหรสพ รวมทั้งการใช้โทรศัพท์สาธารณะหรือลูกบิดประตู เป็นต้น แต่ว่าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรจะสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่หรือทามือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสมหะของคนป่วย และก็อย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกแม้ยังมิได้ล้างมือให้สะอาด คนไข้ควรปลีกตัวออกห่างจากคนอื่น อย่านอนปนเปหรือคลุกคลีสนิทสนมกับผู้อื่น เวลาไอหรือจามควรที่จะใช้ผ้าปิดปากแล้วก็จมูกเสมอ เวลาเข้าไปในที่ที่มีคนอยู่กันมากๆควรจะสวมหน้ากากอนามัยด้วยทุกคราว ส่วนการฉีดวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคไข้หวัดใหญ่นั้น โดยธรรมดาถ้าไม่มีการระบาดโรค แพทย์จะไม่แนะนำให้ฉีดยาแก่พสกนิกรทั่วๆไป เว้นเสียแต่ในผู้ที่อยู่ในกรุ๊ปมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงดังกล่าวมาแล้วข้างต้น คนวัยชรา (แก่กว่า 65 ปี) ผู้ที่แก่ต่ำลงยิ่งกว่า 19 ปีที่จำต้องรับประทานยาแอสไพรินเป็นประจำ สตรีท้องที่คาดว่าอายุครรภ์ย่างเข้าไตรมาสที่ 2 ขึ้นไปในช่วงที่มีการระบาดของโรค คนที่เป็นบุคลากรทางด้านการแพทย์ ผู้ที่จำเป็นต้องเดินไปในถิ่นที่มีการระบาดของโรค คนที่มีกิจกรรมต้องที่ไม่สามารถที่จะหยุดงานได้ (เป็นต้นว่า นักแสดง นักกีฬา นักเดินทาง ตำรวจ เจ้าหน้าที่บริการสังคม ผู้เรียนหรือนิสิตที่อยู่รวมกัน รวมทั้งคนที่อาศัยอยู่ในสถานพักฟื้น สถานสงเคราะห์ผู้สูงวัย) คนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (ดังเช่นว่า ผู้ป่วยโรคภูมิคุมกันบกพร่อง คนไข้ที่ได้รับยาสเตียรอยด์ คนไข้รังสีรักษาหรือเคมีบำบัดรักษา) คนป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง (อาทิเช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด โรคหอบหืด โรคตับ โรคไต โรคเลือด) ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ควรได้รับการฉีดยาคุ้มครองป้องกันไข้หวัดใหญ่
  • สมุนไพรจำพวกไหนซึ่งสามารถช่วยทุเลา/รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ได้
สมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Herbs with anti-influenza activity) มีสมุนไพร        
                พลูคาว / ผักคาวโคนง (Houttuynia cordata) จากการเรียนรู้ในหลอดทดสอบ น้ำมันระเหยผู้กระทำลั่นพลูคาวสดมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อไวรัส ไข้หวัดใหญ่ เริม (Herpes simplex virus type 1) ไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง (HIV-1) ขึ้นรถสำคัญในน้ำมันระเหยจากพลูคาวที่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสดังที่กล่าวถึงแล้ว ดังเช่นว่า methyl n-nonyl ketone, laurly aldehyde, capryl aldehyde
                Epigallocatechin (EGCG) ในชาเขียว EGCG เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีเยอะที่สุดในชาเขียว EGCG ขนาดต่ำในหลอดทดสอบมีฤทธิ์ ยับยั้งไม่ให้ไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั้งยังประเภท A รวมทั้ง B เข้าเซลล์& ลดการติดเชื้อของเซลล์เพาะเลี้ยงจากไตสุนัขได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง
                ใบเตย (Pandanus amaryllifolius) ใบเตยมีสารพวกเลกติน (lectin) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นโปรตีน ชื่อ Pandanin ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อ ไข้หวัดใหญ่ชนิด A (H1N1) อย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยมีค่าความเข้มข้นที่ยั้งเชื้อได้ 50% (EC50) พอๆกับ15.63 microM
                สาร Aloe emodin Aloe emodin = สารแอนทราควิโนน (anthraquinone) ที่พบได้ในยางว่านหางจระเข้ เมื่อนำสาร Aloe emodin มาผสมกับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในหลอดทดสอบนาน 15 นาที ที่ 37 องศาเซลเซียส สามารถยั้งเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ ยิ่งไปกว่านี้ สาร aloe emodin ยังยับยั้งไวรัสที่ก่อโรคเริม แล้วก็งูสวัดได้อีกด้วย
สมุนไพรกระตุ้นภูมิต้านทาน (Immunomodulator / Immunostimulant)
                กระเทียม  Aged Garlic Extract (AGE) มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน AGEเป็นผลิตภัณฑ์กระเทียมจัดเตรียมโดยการแช่กระเทียมที่หั่นหรือสับใน 15-20% แอลกอฮอล์แล้วทิ้งไว้ยาวนานมากกว่า 10 เดือน ที่อุณหภูมิปกติแล้วนำมาทำให้เข้มข้น เมื่อให้ AGE ทางปากแก่หนูถีบจักร 10 วันก่อนให้เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แก่หนูโดยการหยอดทางจมูก มีประสิทธิผลสำหรับเพื่อการคุ้มครองไข้หวัดใหญ่เจริญเท่าการให้วัคซีน
                สินค้าเสริมของกินกระเทียมที่มีสาร allicin มีการศึกษาค้นคว้าในอาสาสมัคร 146 คน โดยให้กรุ๊ปควบคุมได้รับยาหลอก รวมทั้งกลุ่มทดลองได้รับกระเทียมกินวันละ 1 แคปซูล นาน 12 อาทิตย์ ระหว่างฤดูหนาว (เดือนพฤศจิกายน - ก.พ.) แล้วก็ให้คะแนนสุขภาพ และอาการหวัดทุกวี่วัน พบว่า กลุ่มที่ได้รับกระเทียมได้โอกาสเป็นหวัดน้อยกว่ากรุ๊ปยาหลอก และเมื่อเป็นหวัดแล้วหายเร็วกว่า
                โสม (Ginseng)    สารสกัดโสมอเมริกันที่จดสิทธิบัตรแล้ว (CVT-E002) โดยทดลองให้สารสกัดนี้ ขนาด 200 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้งหรือยาหลอกแก่คนแก่ที่อาศัยอยู่รวมกันหลายคน (institutional setting) ปริมาณรวม 198 คน ระหว่างฤดูการระบาดของไข้หวัดใหญ่ (ฤดูหนาวปี 2543 -44) เพื่อเล่าเรียนประสิทธิผลสำหรับในการปกป้องการป่วยด้วยโรคทางเท้าหายใจอย่างเฉียบพลัน (Acute Respiratory Illness, ARI) พบว่า อุบัติการณ์ของไข้หวัดใหญ่ที่ได้รับการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการของกรุ๊ป ยาหลอกสูงกว่ากรุ๊ปที่ได้รับสารสกัดโสมอย่างเป็นจริงเป็นจัง (7/101 แล้วก็ 1/97) และก็การต่ำลงของความเสี่ยงจากการป่วยด้วยโรค ARI ในกลุ่มที่ได้รับยา CVT-E002 เท่ากับ 89%
เอกสารอ้างอิง

  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D., and Jamesson, J.(2001). Harrrison’ s:Principles of internal medicine. New York. McGraw-Hill. http://www.disthai.com/
  • ”สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่-H1n1 (1 มกราคม – 26 ธันวาคม 2558)” สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข
  • ดร.ภก.อัญชลี จูฑะพุทธิ.สรุปการบรรยายประชุมวิชาการกรมพัฒน์เรื่อง”สมุนไพร:ไข้หวัดใหญ่-ไข้หวัดนก.”ณ.ห้องประชุมเบญจกูล กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก.วันที่ 28 ธันวาคม 2548
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).”ไข้หวัดใหญ่(lnfluenza/Flu).หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป2.หน้า 393-396
  • “ไข้หวัดใหญ่”คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล.(ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก
  • ไข้หวัดใหญ่.กลุ่มระบาดวิทยา/โรคติดต่อ.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข
  • โรคไข้หวัดใหญ่แนวทางการดำเนินการให้บริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลปี2559.แนวทางการเฝ้าระวังโรคติดต่อในสถานศึกษา 2559 กองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร


41

โรคอัมพฤกษ์อัมพาต

  • โรคอัมพฤกษ์อัมพาต เป็นอย่างไร โรคอัมพฤกษ์อัมพาตเป็นลักษณะของ โรคหลอดเลือดสมองเป็นเยี่ยมในกรุ๊ปโรคหัวใจและเส้นเลือดที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ในแต่ละปีประชาชนโลกโดยประมาณ 15 ล้านผู้ที่มีอาการป่วยด้วยโรคเส้นโลหิตสมอง และคนตายจากโรคนี้จำนวน 5.5 ล้านคนต่อปี แล้วก็ พิการอีกหลายล้านคน นอกจากนั้นยังทำให้เกิดผลกระทบถึงชุมชนแล้วก็สังคมที่จำต้องแบกรับภาระการรักษาทั้งคนดูแลและก็ค่าใช้จ่าย ทำให้สูญเสียเศรษฐกิจเงินตราของชาติ ในประเทศไทยคนที่เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมองมีจำนวนมากถึง 40,000 คนต่อปีรวมทั้งมีทิศทางเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆโดยอายุเฉลี่ยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 55-65 ปี โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นลักษณะของแขน ขาหรือหน้า ส่วนใดส่วนหนึ่งชา เหน็ดเหนื่อยหรือขยับเขยื้อนตรากตรำ หรือเคลื่อนมิได้เลย อย่างทันทีทันควัน  ซึ่งมีสาเหตุมาจากเส้นโลหิตแดงที่ไปเลี้ยงสมองตีบตันหรือแตก ทำให้เนื้อสมองไม่ได้รับอาหาร และก็ออกซิเจนทำให้เนื้อสมองเกิดการเสียหาย ถ้าหากไม่รีบรักษาเนื้อสมองจะตาย กำเนิดความเสื่อมโทรมถาวรในที่สุด แล้วก็เพราะเหตุว่าสมองเป็นศูนย์รวมสำหรับเพื่อการสั่งการของอวัยวะภายใต้อำนาจบังคับของสมองส่วนนั้น เมื่อเนื้อสมองส่วนใดเสียหายหรือตาย ก็จะทำให้เกิดผลเสียต่อการทำงานของอวัยวะภายใต้การควบคุมของสมองส่วนนั้น

    โรคอัมพาต ในความหมายทั่วๆไปจึงหมายถึงอาการแขนแล้วก็/หรือ ขาขยับเขยื้อนไม่ได้ เหนื่อย ใช้งานไม่ได้  ส่วนโรคอัมพฤกษ์ คืออาการแขนและก็/หรือโคนขาแรงกว่าเดิม ยังพอใช้ได้งานได้ แต่ใช้ได้น้อยกว่าปกติอย่างเช่น บางทีอาจชา จับจับของหนัก หรือแต่งหนังสือตามเดิมมิได้ ซึ่งอัมพฤกษ์จะมีความร้ายแรงน้อยกว่าอัมพาต
    สำหรับในประเทศไทยสถิติจากกระทรวงสาธารณสุขในปี 2552 พบว่า โรคเส้นเลือดสมองเป็นต้นเหตุการเสียชีวิต หรือทุพพลภาพสูงเป็นชั้น 3  ในเพศชาย รองจากโรคภูมิคุมกันบกพร่องแล้วก็อุบัติเหตุ และสูงเป็นชั้น 2 ในผู้หญิงรองจากโรคเอดส์  จากข้อมูลดังที่กล่าวมาข้างต้นจะมีความคิดเห็นว่าโรคเส้นเลือดสมองเป็นโรคที่รุกรามต่อชีวิตและก็ความเป็นอยู่ของราษฎรทั้งโลก

  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคอัมพฤกษ์อัมพาต โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต มีต้นเหตุที่เกิดจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยงเนื่องจากเส้นโลหิตตีบ หลอดเลือดอุดตัน หรือหลอดเลือดแตก ทำให้เนื้อเยื่อในสมองถูกทำลาย นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการต่างๆขึ้น โดยความไม่ดีเหมือนปกติของโรคเส้นโลหิตสมองสามารถแบ่งออกได้เป็นจำพวกต่างๆดังนี้คือ โรคหลอดเลือดสมองประเภทสมองขาดเลือด (Ischemic Stroke) เป็นจำพวกของเส้นเลือดสมองที่เจอได้กว่า 80% ของโรคหลอดเลือดสมองทั้งสิ้น มีต้นเหตุที่เกิดจากอุดตันของเส้นโลหิตกระทั่งทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นผลจากการที่คนป่วยมีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆดังเช่น โรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง  การสูบยาสูบ   ภาวการณ์หัวใจวายหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิด การขาดการบริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ  โรคเลือดบางสิ่งบางอย่าง ดังเช่น ภาวการณ์เลือดข้นผิดปกติ   เกร็ดเลือดสูง  เม็ดเลือดขาวสูงเปลี่ยนไปจากปกติ ส่วนมาก แล้วมักกำเนิดร่วมกับภาวการณ์เส้นโลหิตแดงแข็ง ซึ่งมีเหตุที่เกิดจากไขมันที่เกาะตามผนังเส้นโลหิตจนถึงทำให้มีการเกิดเส้นเลือดตีบแข็ง โรคเส้นเลือดสมองประเภทนี้ยังแบ่งออกได้อีก 2 ชนิดย่อย เป็นต้นว่า  โรคหลอดเลือดขาดเลือดจากสภาวะเส้นเลือดสมองตีบ (Thrombotic Stroke) มีต้นเหตุที่เกิดจากเส้นโลหิตแดงแข็ง (Atherosclerosis) มีเหตุมาจากภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันเลือดสูง โรคเบาหวาน ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปยังสมองได้ โรคหลอดเลือดขาดเลือดจากการอุดตัน (Embolic Stroke) เกิดขึ้นจากการอุดตันของเส้นโลหิตจนกระทั่งทำให้เลือดไม่อาจจะไหลเวียนไปที่สมองได้อย่างพอเพียง โรคเส้นเลือดสมองประเภทเลือดออกในสมอง (Hemorrhagic Stroke) มีต้นเหตุจากภาวการณ์เส้นเลือดสมองแตก เมื่อเกิดการแตกของเส้นโลหิตสมอง ก้อนเลือดจะเบียดดันเนื้อสมองส่วนที่ดีทำให้ขายหน้าขายตาที่เซลล์สมองดำเนินงานไม่ดีเหมือนปกติ  กำเนิดอัมพฤกษ์อัมพาตตามมา หรือฉีกขาด ทำให้เลือดรั่วไหลเข้าไปในเนื้อเยื่อสมองแต่ว่าพบได้น้อยกว่าชนิดแรก เป็นราวๆ 20%โดยภาวะนี้มักสัมพันธ์กับโรความดันเลือดสูงที่มิได้รับการดูแลรักษาลาภาวะเครียด การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์รวมถึงยาบางนิดด้วย โรคเส้นโลหิตสมองชนิดนี้ยัง สามารถแบ่งได้อีก 2 ประเภทย่อยๆยกตัวอย่างเช่น  โรคเส้นโลหิตสมองโป่งพอง (Aneurysm) เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากความอ่อนแอของเส้นเลือด โรคเส้นโลหิตสมองไม่ปกติ(Arteriovenous Malformation) ที่เกิดจากความไม่ดีเหมือนปกติของเส้นเลือดสมองตั้งแต่เกิด
  • อาการโรค อัมพฤกษ์ อัมพาต ลักษณะของโรคเส้นเลือดสมอง สามารถพบอาการได้หลายแบบอย่าง ขึ้นกับตำแหน่งของสมองที่เกิดการขาดเลือดหรือถูกทำลาย โดยอาการซึ่งสามารถพบได้มาก เช่น อาการเมื่อยล้า หรือมีลักษณะอาการอัมพฤกษ์ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย โดยมากมักเกิดกับร่างกายข้างใดข้างหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ครึ่งซีกด้านซ้ายฯลฯ อาการชา หรือสูญเสียความรู้สึกของร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่นเดียวกันกับอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงที่มักกำเนิดกับร่างกายครึ่งซีกใดครึ่งซีกหนึ่ง มีปัญหาเกี่ยวกับการพูด ดังเช่น ไม่สามารถพูดได้กล่าวติด เสียงไม่ชัดเจน หรือไม่เข้าใจคำกล่าว มีปัญหาเกี่ยวกับการเลี้ยงตัว ดังเช่นเดินเซ หรือมีลักษณะเวียนหัวเฉียบพลัน การสูญเสียการมองเห็นเล็กน้อย หรือเห็นภาพซ้อน


อาการกลุ่มนี้มักเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ในบางครั้งบางคราวอาจเกิดเป็นอาการเตือนเกิดขึ้นชั้วขณะหนึ่งแล้วหายไปเอง หรือเกิดขึ้นได้หลายคราวก่อนมีลักษณะสมองขาดเลือดแบบถาวร เรียกว่าภาวการณ์มีสมองขาดเลือดชั่วครั้งชั่วคราว(transient ischemic attack) ซึ่งพบได้ราวๆ 15%

  • ปัจจัยเสี่ยงที่จะกระตุ้นให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดสมอง สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงมีหลายสาเหตุ โดยบางทีอาจแบ่งได้ สาเหตุที่ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้และเหตุที่สามารถเปลี่ยนได้{คือ|เป็น



    เหตุที่เปลี่ยนแปลงมิได้


    อายุ : ในผู้ที่แก่มากกว่า 65 ปีเนื่องมาจากอายุมากขึ้นเส้นโลหิตจะมีการแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ และมีไขมันเกาะครึ้มตัวทำให้เลือดไหลผ่านได้ลำบากเยอะขึ้นเพศ : เพศชาย มีการเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง
    ประวัติครอบครัว : เป็นโรคเส้นโลหิตสมองหรือโรคเส้นเลือดหัวใจ โดยยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่มีอายุยังน้อย
    สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่สามารถเปลี่ยนได้ โรคความดันเลือดสูง คนที่มีความดันโลหิตสูงเป็นระยะเวลานานๆทำให้เส้นเลือดแข็งตัว จะก่อให้สมองดำเนินการเปลี่ยนไปจากปกติ เกิดการตีบแตกของเส้นโลหิตสมอง ช่องทางเป็นอัมพาตมากกว่าคนธรรมดามากถึง ๓–๑๗ เท่า เพราะเหตุว่าไปทำให้ฝาผนังเส้นโลหิตอ่อนแอ จึงเกิดการแตกง่ายระดับความดันเลือดที่จัดว่าสูง ต้องพอๆกับหรือมากกว่า 140/90 มม.ปรอท เบาหวาน กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดภาวการณ์เส้นเลือดตีบแข็งทั่วร่างกาย เส้นโลหิตไปเลี้ยงสมองอุดตัน นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอัมพาตได้ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงสำหรับเพื่อการกำเนิดโรคอัมพฤกษ์อัมพาต 3 เท่า ไขมันในเลือดสูง ไขมันไปเกาะฝาผนังเส้นเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็ง เกิดการอุดตัน เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอัมพาตได้ ซึ่งจะเพิ่มจังหวะเสี่ยงการเกิดโรคอัมพฤกษ์อัมพาตถึง 1.5 เท่า การสูบบุหรี่ เพราะเหตุว่าสารคาร์บอนมอนอกไซด์ เป็นตัวเร่งทำให้ฝาผนังเส้นเลือดเกิดการตีบตันขึ้นและบุหรี่จะลดปริมาณออกซิเจนในหลอดเลือด เพิ่มความหนืดของเลือด ทำให้โลหิตไหลเวียนไม่ดี ไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายไม่เพียงพอ จังหวะเป็นอัมพาตได้มากกว่าผู้ที่ไม่ดูด ๓ เท่า ขาดการบริหารร่างกาย การบริหารร่างกายช่วยเผาผลาญน้ำตาลและก็ไขมัน ไม่ทำให้เกิดสภาวะสารอาหารเกิน ช่วยเพิ่มปริมาณการไหลเวียนของเลือดและก็ออกซิเจนภายในร่างกาย ช่วยลดความดันเลือด ลดความตึงเครียดแล้วก็ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจรวมทั้งกระดูกแข็งแรง นิสัยการบริโภคที่ผิดจำเป็นต้อง ดังเช่นว่า การทานอาหารในจำนวนมากเกินความจำเป็น กระทั่งทำให้อ้วน (ธรรมดารอบเอว ชายไม่เกิน 90 ซม. หญิง ไม่เกิน 80 เซนติเมตร) ของกินที่มีเกลือ (ธรรมดา ไม่เกิน 1 ช้อนชา/วัน) และก็ไขมันสูง (การทอด น้ำมันสัตว์ เครื่องในสัตว์ กุ้ง ปลาหมึก หนังไก่ ขาหมู กินอาหารพวกผัก ผลไม้ไม่พอ (น้อยกว่า 5 ส่วนต่อวัน เป็นต้นว่าผักสดน้อยกว่า 5 ทัพพีต่อวัน/ผักสุกน้อยกว่า 9 ช้อนโต๊ะต่อวัน) ดื่มแอลกอฮอล์ในจำนวนมากเสมอๆ (ปกติชาย ไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน หญิง ไม่เกิน 1 แก้วต่อวัน) ก่อปัญหาความดันเลือดสูง ไขมันแล้วก็น้ำตาลในเลือดสูง

  • กรรมวิธีรักษา โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต การวิเคราะห์โรคหลอดเลือดสมอง สำหรับในการตรวจเพื่อยืนยันโรคเส้นเลือดสมอง มีขั้นตอนดังนี้ การซักเรื่องราวรวมทั้งตรวจร่างกาย แพทย์จะซักเรื่องราวรักษา อาการ รวมทั้งสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่างๆตรวจ ร่างกายทั่วไป และตรวจร่างกายทางระบบประสาท  การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่การตรวจเลือดต่างๆการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT Scan) เพื่อดูว่าสมองมีลักษณะของการขาดเลือดหรือเกิด เลือดออกในสมองหรือเปล่า


                สำหรับในการรักษาโรคเส้นโลหิตสมอง ที่เกิดขึ้นจากการตีบหรืออุดตันของเส้นเลือดในระยะกะทันหันที่มีการศึกษาเล่าเรียนรับรองแล้วว่าได้ผลดีแจ่มแจ้ง ดังเช่นว่า

  • การให้ยาสลายลิ่มเลือด (Tissue plasminogen activator, tPA) ทางเส้นเลือดดำแก่ผู้เจ็บป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือตันภายในช่วงระยะเวลา 3 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ จะเพิ่มโอกาสของการฟื้นฟูสภาพจากความพิกลพิการให้อาการกลับมาใกล้เคียงปกติได้ถึง 1.5 – 3  เท่า  เมื่อเทียบกับคนไข้กรุ๊ปที่มิได้รับยา อย่างไรก็ตามการใช้ยานี้มีความเสี่ยงของเลือดออกในสมองได้โดยประมาณ 6%
  • การให้ยาต้านเกล็ดเลือด เป็นยาที่ช่วยคุ้มครองปกป้องการก่อตัวของเกล็ดเลือด ทำให้การอุดตันลดน้อยลง ยาในกลุ่มนี้ที่ นิยมใช้ได้แก่ยาแอสไพริน การให้รับประทานยาแอสไพรินขั้นต่ำ 160 mg ต่อวันภายใน  48  ชั่วโมงหลังกำเนิดอาการ จะช่วยลดโอกาสกำเนิดโรคเส้นโลหิตสมองตีบตันซ้ำแล้วก็เสียชีวิตลง
  • การรับเพศผู้ป่วยไข้ไว้ภายในหอผู้เจ็บป่วยโรคเส้นโลหิตสมองทันควัน (acute stroke unit)นับเป็นการรักษาที่ช่วยลดอัตราการตายหรือทุพพลภาพอีกวิธีหนึ่ง
  • การผ่าตัดเปิดกะโหลก (Hemicraniectomy) จะไตร่ตรองทำเฉพาะกรณีที่มีอาการ


ร้ายแรงและก็มีการตีบหรือตันของเส้นเลือดแดงใหญ่ Middle cerebral atery ในสมองเพียงแค่นั้น โดยมีหลักฐานการศึกษาว่าการผ่าตัดดังที่กล่าวมาข้างต้นสามารถลดอัตราการตายของผู้เจ็บป่วยได้

  • การติดต่อของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นโรคที่เกี่ยวกับหลายเลือดสมอง จึงไม่มีการติดต่อระหว่าง คนสู่คน หรือสัตว์สู่คน
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยด้วยโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต อาการเตือนของอัมพาต แขนขาอ่อนเปลี้ยเพลียแรง หรือชาครึ่งด้าน ปากเบี้ยว กล่าวลำบาก ไหมรู้เรื่องภาษา เวียนศีรษะ หัวหมุน อ้วก เสียการทรงตัว ตามองมองไม่เห็นครึ่งด้าน หรือสองซีก ประสาทตาอัมพาต กลอกตาไม่ได้ ตาเข เห็นภาพซ้อน กล้าม บริเวณใบหน้าเป็นอัมพาต ปากเบี้ยว ปิดตาไม่สนิท กลืนลำบาก บอกไม่ชัด เสียงแหบ ซึมหรือหมดสติ ถ้าหากมีหลอดเลือดแตกจะมีก้อนกดทับสมอง สมองบวม ความดันในกะโหลกมากขึ้น ทำให้มีลักษณะต่างๆร่วมด้วย เป็นต้นว่า ปวดศีรษะมาก อ้วก อาเจียน ก้านคอแข็งเกร็ง หมดความรู้สึก เมื่อมีอาการเตือนของอัมพาตเกิดขึ้น คนใกล้ชิดหมั่นพินิจ หากมีอะไรไม่ดีเหมือนปกติรีบเจอหมอ กระทำการรักษาโดยทันที บางรายถ้ามีการเปลี่ยนแปลงสลบไป บางครั้งอาจจะต้องรีบทำการผ่าตัดด่วน


ส่วนเมื่อได้รับการดูแลรักษาแล้วรวมทั้งแพทย์อนุญาตให้กลับมาดูแลตนเองที่บ้าน การดูแลตน เอง/การเจอหมอที่สำคัญคือ ประพฤติตัวตามแพทย์/พยาบาลเสนอแนะ บากบั่นเคลื่อนร่างกายเท่าที่ทำได้เสมอ ได้แก่ ทำกายภาพบำบัดตามคำแนะนำของแพทย์ หรือ นักกายภาพบำบัดเป็นประจำ อย่าท้อแท้ เนื่องจากว่าอาการต่างๆจะค่อยๆช้าๆรับประทานยาต่างๆให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ถูก ไม่ขาดยา เพื่อคุ้มครองป้องกันโรคเกิดเป็นซ้ำ และโรคแทรกต่างๆรักษาสุขอนามัยรากฐาน  เพื่อลดช่องทางติดโรค เข้าใจในธรรมชาติของโรค เห็นด้วยความจริง ปรับนิสัยให้กับสภาพ จัดบ้าน ห้องพัก และห้องอาบน้ำเพื่อช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด ควบคุมโรคต่างๆที่เป็นต้นเหตุ/สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง พบหมอตามนัดเสมอรวมทั้งรีบพบก่อนนัดเมื่ออาการต่างๆเลวลง

  • การคุ้มครองตนเองจากโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต การปกป้องคุ้มครองโรคหลอดเลือดสมอง โรคเส้นเลือดสมองสามารถปกป้องได้ด้วยการลดความเสี่ยงโรคเส้นโลหิต ซึ่งการลดความเสี่ยงทำได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงการกระทำการใช้ชีวิต การทานอาหาร แล้วก็การบริหารร่างกาย ดังต่อไปนี้ กินอาหารที่มีประโยชน์ และก็ควรหลบหลีกของกินที่มีไขมันสูง เพราะว่าจะก่อให้เกิดภาวการณ์คอเลสเตอรอลในเลือดสูง รวมทั้งของกินที่มีรสเค็มจัด ที่เป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง ควบคุมน้ำหนัก โรคอ้วนเป็นต้นเหตุของโรครุนแรงต่างๆรวมถึงโรคเส้นเลือดสมอง การควบคุมน้ำหนักจะช่วยลดการเสี่ยงลงได้ บริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ โดยช่วงเวลาสำหรับการบริหารร่างกายที่เหมาะสมคือ 2.5 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ โดยควรเป็นการบริหารร่างกายแบบแอโรบิก งดสูบบุหรี่นอกจากนั้นควรรับการตรวจรักษาตลอดกับหมออย่างสม่ำเสมอเพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆโดยการใช้ ยาร่วมกัน ได้แก่ การให้ยาควบคุมระดับคอเลสเตอรอล โดยควรจะได้รับการวัดระดับไขมันในเลือดอย่างน้อยทุก 6-12 เดือน ถ้าหากเป็นผู้ที่มีความเสี่ยง หรือมีภาวะคอเลสเตอรอลสูงอยู่แล้ว ควรจะไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามอาการ- ควบคุมระดับความดันเลือดให้เข้าขั้นธรรมดาโดยความดันเลือดที่สมควร คือ ต่ำลงมากยิ่งกว่า 140/90 มม.ปรอท- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ปรับเปลี่ยนการกระทำการกินอาหาร และการใช้ชีวิต นอกเหนือจากนั้น ควรจะกินยาอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยควบคุมอาการได้รวมทั้งทำให้ความเสี่ยงโรคเส้นโลหิตสมองลดลง กรณีเป็นโรคหัวใจ ควรจะรับการดูแลรักษาโรคหัวใจอย่างสม่ำเสมอเหมือนกัน โดยกรณีเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะควรจะได้รับยาคุ้มครองเลือดแข็งตัว
  • สมุนไพรที่สามารถช่วยคุ้มครองโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
  • สมุนไพรซึ่งสามารถช่วยคุ้มครองปกป้องโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต (หลอดเลือดสมอง) เช่น กระเทียม กระชาย ขมิ้น ข่า ตะไคร้ ขิง ใบกะเพรา ใบโหระพา ใบสะระแหน่ พริกไทยดำ โดยส่วนมากแล้วในสมุนไพรที่ประกอบไปด้วยน้ำมันหอมระเหยจะมีส่วนช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย บำรุงเลือด ทำลายเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย รวมทั้งทำให้หลอดเลือดแข็งแรง
  • สมุนไพรพื้นบ้านแก้เบาหวานลดความดันที่เป็นต้นเหตุของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต มะระขี้นก เป็นไม้เลื้อยรวมทั้งเป็นผักประจำถิ่นของไทย มีวิตามิน เอ รวมทั้ง ซี สูง มีคุณประโยชน์สำหรับการลดน้ำตาลในเลือด รวมทั้งชะลอการเกิดต้อกระจกได้ กระเทียม มีคุณลักษณะช่วยลดระดับความดันเลือดลงได้ ควรจะรับประทานกระเทียมหัวแก่ แม้รับประทานสดจะได้รับคุณประโยชน์มากกว่ากระเทียมที่ปรุงสุกแล้ว ตะไคร้ เป็นสมุนไพรแก้โรคเบาหวานและก็ความดันที่พวกเรารู้จักกันดี เนื่องจากนิยมเอามาทำกับข้าว ซึ่งตะไคร้จะมีคุณประโยชน์สำหรับในการขับฉี่ ขับลม รวมทั้งยังช่วยลดระดับความดันเลือดได้อีกด้วย ใบชะพลู เป็นผักท้องถิ่นของไทยรวมทั้งเป็นสมุนไพรแก้โรคเบาหวานรวมทั้งความดัน  นิยมเอามากินสด ในตำรับยาสมุนไพรพื้นบ้านสามารถนำใบชะพลูมาต้มเพื่อลดเบาหวานได้ เหตุเพราะใบชะพลูมีสรรพคุณในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี ทั้งยังยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง
เอกสารอ้างอิง

  • พญ.พรรณวลัย ผดุงวณิชย์กุล.โรคหลอดเลือดสมอง.สาขาวิชาประสาทวิทยา.ภาควิชาอายุรศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์.มหาวิทยาลัยนเรศวร.
  • อ.นพ.ยงชัย นิละนนท์.อัมพฤกษ์อัมพาต โรคเรื้อรังที่ต้องดูแล.สาขาวิชาประสาทวิทยา.ภาควิชาอายุรศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ทำไมต้องรู้จัก”โรคหลอดเลือดสมอง”.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่350.คอลัมน์อื่นๆ.มิถุนายน 2551.
  • โรคอัมพาต โรคอัมพฤกษ์ โรคหลอดเลือดสมอง(Stroke)
  • อรุณี เจษฎาวิสุทธิ์.อัมพฤกษ์ อัมพาต มหันตภัยใกล้ตัว.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่320.คอลัมน์ บทความพิเศษ.ธันวาคม 2548
  • Poungvarin, N. et al. (2011). Prevalence of stroke and stroke risk factors in Thailands: Thai Epidemiologic Stroke (TES) Study. J Med Assoc Thai. 94, 427-436.
  • สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์. สถิติสธารณสุข พ.ศ. 2554 (Public Health Statistics A.D. 2011). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก; 2554. 234 p.http://www.disthai.com/
  • สมศักดิ์ เทียมเก่า,กาญจนศรี สิงห์ภู่,พัชรินทร์ อัวนไตร,และณัฐภรณ์ หาดี.(2557).คู่มือการดูแลสุขภาพสำหรับประชาชน เรื่อง โรคหลอดเลือดสมอง.โรคพยาบาลศรีนครินทร์และภาควิชาอายุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์.
  • Lambert, M. (2011).AHA/ASA guidelines on prevention of recurrent stroke. Am Fam Physician. 83, 993-1001.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.

42

สมุนไพรสลอด
สลอด Croton tiglium. Linn.
บางถิ่นเรียกว่า สลอด สลอดต้น ลูกผลาญศัตรู หมากหลอด (กึ่งกลาง) มะข่าง มะคัง มะตอด หมากทาง หัสคืน (เหนือ) หมากยอง (งู-แม่ฮ่องสอน).
     ไม้พุ่ม สูง 3-6 ม. เกลี้ยง. ใบ ผู้เดียว เรียงสลับกัน รูปไข่ กว้าง 2-7 เซนติเมตร ยาว 5-14 ซม. ปลายใบแหลม ฐานใบกลม ขอบของใบหยักแบบซี่ฟัน มีเส้นใบ 3-5 เส้น ที่ฐานใบมีต่อม 2 ต่อม เนื้อใบบาง ก้านใบเรียวเล็ก ยาวโดยประมาณ 4 เซนติเมตร ดอก เล็ก ออกเดี่ยวๆหรือ ออกเป็นช่อที่ยอด ยาว 8-11 ซม. ใบตกแต่งมีขนาดเล็ก ดอกเพศผู้ แล้วก็ดอกเพศภรรยาอยู่บนต้นเดียวกัน หรือ อยู่ต่างต้นกัน. ดอกเพศผู้ มีขนรูปดาว กลีบรองกลีบดอกไม้ 4-6 กลีบ ปลายกลีบมีขน กลีบดอกไม้ 4-6 กลีบ ขอบกลีบมีขน; ฐานดอกมีขนรวมทั้งมีต่อมเป็นจำนวนมากเท่ากันรวมทั้งอยู่ตรงกันข้ามกันกับกลีบรองกลีบดอก [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/b][/url]  เกสรผู้มีเยอะแยะ ก้านเกสรไม่ชิดกัน เมื่อดอกยังอ่อนอยู่ ก้านเกสรจะโค้งเข้าข้างใน. ดอกเพศภรรยา กลีบรองกลีบดอกไม้รูปไข่ มีขนที่โคนกลีบ ไม่มีกลีบ หรือ ถ้าหากมีก็เล็กมา รังไข่มี 2-4 ช่อง แต่ละช่องมีไข่อ่อน 1 หน่วย ท่อรังไข่ยาว. ผล แก่จัดแห้ง รวมทั้งแตก รูปขอบขนาน หรือ รี; กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาวราว 2 ซม. หน้าตัดรูปสามเหลี่ยมมนๆ. เม็ด รูปขอบขนานแกมรูปไข่ กว้าง 0.6-0.7 ซม. ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร สีน้ำตาลอ่อน.

นิเวศน์วิทยา
: ปลูกทั่วไปในเขตร้อน.
คุณประโยชน์ : ต้น ทุกส่วนของต้นเป็นพิษ น้ำต้มเนื้อไม้ใช้ในปริมาณน้อยๆกินเป็นยาขับเยี่ยว ทำให้อ้วก รวมทั้งขับเหงื่อ ยางจากทุกส่วนของต้น รวมทั้งเม็ด เป็นพิษ (3). เม็ด เมื่อพิจารณาถึงด้านความเป็นพิษกันและจากนั้นก็มีมากยิ่งกว่าผลดีที่ในทางยา จึงไม่รอนิยมเอาใช้กันแล้วก็จำเป็นต้องใช้ด้วยความระวัง เพราะว่าเป็นยาถ่ายอย่างแรง และเป็นพิษ; การจำกัดสารพิษนั้น ใช้ทุบเมล็ดแยกเอาเปลือก และก็จุดงอดในเม็ดออก แล้วต้มในนมอีก 2-3 ครั้ง ก็เลยเอามารับประทาน แก้อาการแตกต่างจากปกติของจิตและประสาท โรคลมชักบางประเภท แก้ท้องผูกที่ใช้ยาชนิดอื่นๆไม่ได้เรื่อง. ขับพยาธิในลำไส้ แก้ท้องมาน บวมน้ำ ขับลม แก้เจ็บท้อง โรคเก๊าท์ และใช้ในจำนวนต่ำๆผสมกับน้ำขิงสดให้เด็กกินแก้ไอ  เม็ดสกัดได้น้ำมันสลอด ซึ่งเป็นยาถ่ายอย่างแรง รวมทั้งมีพิษ ก็เลยจำต้องใช้ด้วยความระแวดระวัง และก็ใช้เพื่อการขนาดต่ำๆสำหรับคนไข้บางรายเพียงแค่นั้น ตัวอย่างเช่นใช้กับคนป่วยเป็นลมหมดสติ คนบ้าคลั่ง อาการไม่ดีเหมือนปกติของระบบประสาทบางจำพวก อาการเป็นพิษจากสารตะกั่วเป็นต้น และห้ามใช้ในผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะไส้อักเสบอยู่ก่อน. วิธีรับประทาน หยดน้ำมันสลอดลงบนน้ำตาลก้อนเล็กๆเพียง 1-2 หยดแค่นั้น หากอาการถ่ายอย่างหนักเกินความจำเป็น หรือ ปวดท้อง อ้วก ก็ให้กินน้ำมะนาวแก้พิษ  ประสมน้ำมันสลอด 1 ส่วนกับน้ำมันที่สกัดจากมะพร้าวอีก 7-10 ส่วน ตามอยาก ใช้เป็นยาสำหรับทาเช็ดนวดแก้หลอดลมอักเสบ อัมพาต โรคเก๊าท์ และก็อาการปวดตามปลายประสาทฯลฯ ราก น้ำสุกรากกินเป็นยาขับเยี่ยว แก้อาการบวมน้ำ ถ้ากินมากเกินความจำเป็นอาจจะส่งผลให้สตรีแท้งลูกได้

43

สมุนไพรไคร้น้ำ
ไคร้น้ำ Homonoia riparia Lour.
บางถิ่นเรียก ไคร้น้ำ แร่ (จังหวัดตรัง) กะแลแร (มลายู-ยะลา)  (มลายู-นราธิวาส) ไคร้ (กึ่งกลาง เหนือ) ไคร้หิน (จังหวัดชุมพร) สี่คราวโค่ เหี่ยที้ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน).
ไม้พุ่ม สูงโดยประมาณ 4 มัธยม เปลือกสีเทา หมดจด กิ่งไม้เป็นเหลี่ยม มีขนสั้นๆ. ใบ ลำพัง เรียงสลับกัน รูปยาวแคบ หรือ ยาวแคบปนรูปหอก กว้าง 1-2.5 ซม. ยาว 7-18 เซนติเมตร ปลายใบและโคนใบแหลม ขอบใบเรียบ หรือ หยักแบบซี่ฟันเล็กๆก้านใบยาว 4-11 มม.  สมุนไพร ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ช่อดอกตั้ง ยาว 3-11 เซนติเมตร ดอกแยกเพศ. ดอกเพศผู้ กลีบรองกลีบดอกกลม แยกเป็น 3 แฉก ไม่มีกลีบ เกสรผู้มากไม่น้อยเลยทีเดียว โคนก้านเกสรเชื่อมชิดกัน ปลายแยกเป็นกิ่งก้านสาขาเยอะมาก มีอับเรณูติดอยู่เป็นกลุ่มกลม. ดอกเพศเมีย ออกเป็นช่อ ยาวราว 1 เซนติเมตร ดอกติดห่างๆกลีบรองกลีบดอกไม้ 5 กลีบ รูปไข่ปลายแหลม ยาว 1.5-2 ซม. ด้านนอกมีขน ไม่มีกลีบ รังไข่กลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 2 มม. ท่อรังไข่ 3 อัน ไม่แยกกัน ยาวราวๆ 5 มม. ภายในมี 3 ช่อง. ผล กลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 3-4 มม. มีขน. เมล็ด ออกจะเป็นรูปไข่ กว้างโดยประมาณ 1.5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 2 มม.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในที่ลุ่ม ริมน้ำ.
คุณประโยชน์ : ราก น้ำต้มรากรับประทานเป็นยาขับเยี่ยว แก้น้ำเหลืองเสีย ขับนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ระบาย แต่ถ้าเกิดใช้มากเกินความจำเป็นจะทำให้อ้วก ต้น น้ำต้มต้นรับประทานเป็นยาขับเหงื่อ ยางต้นรับประทานแก้ไข้มาเลเรีย ใบ และ ผล ตำพอกแก้โรคผิวหนังผื่นคันบางประเภท และให้กินน้ำต้มใบ และก็ผลไปด้วย

44

สมุนไพรผักฮ้าน
ผักฮ้าน Mosla dianthera (Roxb.) Maxim. ผักฮ้าน (จังหวัดเชียงใหม่)
  ไม้ล้มลุก สูง 30-100 ซม. มีกลิ่นหอมหวน ลำต้นเป็นสี่เหลี่ยม ตั้งชัน ตอนโคนหักชอบแข็ง แตกกิ่งก้านสาขามากมีขนกระจัดกระจายทั่วๆไป ใบ คนเดียว ออกตรงกันข้าม รูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด หรือรูปไข่ กว้าง 0.5-1 เซนติเมตร ยาว 1-2 ซม. ปลายแหลม โคนแหลมหรือสอบ ขอบจะแบบฟันเลื่อยห่างๆเนื้อใบบาง ด้านบนหมดจด ข้างล่างมีต่อมกระจายทั่วๆไป ก้านใบยาว 0.2-0.5 เซนติเมตร มีขน ดอก ออกเป็นช่อที่ยอด และที่ปลายกิ่ง ดอกเรียงเป็นคู่ห่างๆกัน ริ้วตกแต่งรูปใบหอก ยาว 1-2 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยงเชื่อมชิดกันเป็นรูประฆังยาว 2-2.5 มิลลิเมตร (เมื่อเป็นผลยาว 4-5 มิลลิเมตร) มีขนเรียงเป็นวงอยู่รอบปากหลอดภายใน ปลายแยกเป็นปาก ปากบนมีหยักตื้นๆแบบซี่ฟัน 3 หยัก ปากข้างล่างมีหยักแหลมยาว 2 หยัก กลีบดอกไม้เชื่อมชิดกันเป็นหลอดยาว 3-3.5 มม. ปลายแยกเป็นหยักกลมๆตื้นๆ4 หยัก หยักบนใหญ่กว่าหยักอื่นน้อย เกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์มีเพียงแต่ 2 อัน ยาวเกือบจะเสมอปลายหลอด ส่วนอีก 2 อันที่ฝ่อชอบหายไป อับเรณูมี 2 ลอนกางออก สมุนไพร ก้านเกสรเพศเมียปลายแยกเป็น 2 แฉกค่อนข้างลึก จานดอกมีต่อม ผล รูปรี ยาวประมาณ 1 มม. สีน้ำตาล ผิวเป็นตาข่าย

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นจากที่รกร้าง พบทางภาคเหนือของไทย
สรรพคุณ : ต้น น้ำสุกใช้เป็นยาข้างนอก ทาแก้โรคผิวหนังบางประเภท ใช้ภายในรับประทานเป็นยาลม แล้วก็แก้ปวดหัว

45

สมุนไพรครำ
ครำ Glochidion obscurum (Roxb. Ex Willd.) Bl.
บางถิ่นเรียกว่า ครำ (จังหวัดสตูล) มรัว (นครศรีธรรราช) รวด (จังหวัดพังงา).
ไม้พุ่ม ครึ่ง ไม้ใหญ่ สูง 3-10 มัธยม กิ่งเรียวยาว กิ่งอ่อนมีขน. ใบ โดดเดี่ยว เรียงสลับและก็อยู่ในแนวเดียวกัน รูปขอบขนาน หรือรูปหอกเบี้ยวๆกว้าง 12-15 มิลลิเมตร ยาว 4-6 ซม. ปลายใบมน หรือ แหลม มีติ่งแหลมเล็กๆยื่นยาวออกมา ขอบใบเรียบ โคนใบกลม (ตอนบน) หรือ แหลม (ตอนล่าง) มีเส้นใบ 6-7 คู่ ข้างล่างสีขาวนวล มีขน ก้านใบยาว 2-3. ดอก ออกตามง่ามใบ ดอกเพศผู้ รวมทั้งดอกเพศเมียอยู่ในช่อเดียวกัน. ดอกเพศผู้ ออกเป็นกระจุก ก้านดอกยาวโดยประมาณ 4 มม. มีขน กลีบรองกลีบโคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 6 กลีบ รูปไข่ปลายแหลม ขอบกลีบใส ภายนอกมีขน เกสรผู้ 3 อัน อับเรณูกลม. [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] ดอกเพศภรรยา มักจะออกผู้เดียวๆก้านดอกอ้วนกว่าดอกเพศผู้ ยาวโดยประมาณ 1 มิลลิเมตร กลีบรองกลีบ โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 7-8 แฉก แฉกรูปไข่ปนรูปหอก มีขนทั้งสองด้าน; รังไข่กลม ข้างในมี 6-8 ช่อง. ผล กลม แป้น เส้นผ่าศูนย์กลาง 5-6 มิลลิเมตร ยาว 10 มม. มีสัน หรือ เหลี่ยม 12-14 เหลี่ยม มีขน ก้านผลเล็ก มีขน. เมล็ด สามเหลี่ยม ออกจะแบน.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นทั่วไปในป่าละเมาะ ที่มีความสูงใกล้ระดับน้ำทะเล.
คุณประโยชน์ : ราก น้ำสุกราก กินแก้ปวดกระเพาะอาหาร ใบ น้ำต้มใบกินแก้อาการท้องร่วง

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 7