รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - Tawatchai1212

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 7
31

โรคของกินเป็นพิษ (Food poisoning)

  • โรคอาหารเป็นพิษ เป็นยังไง โรคของกินเป็นพิษเป็นคำกว้างๆที่ใช้ชี้แจงถึงลักษณะของการป่วยที่เกิดจากการทานอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อน ต้นสายปลายเหตุอาจเกิดขึ้นเนื่องจากการแปดเปื้อนเชื้อโรคสารเคมี หรือโลหะหนัก อาทิเช่น ตะกั่ว เป็นต้น   ทำให้เกิดอาการอ้วก คลื่นไส้ ท้องเสีย เจ็บท้อง ซึ่งอาการโดยมากมักไม่ร้ายแรง แต่หากเกิดอาการร้ายแรงขึ้นอาจจะทำให้ร่างกายเกิดภาวะเสียน้ำและก็เกลือแร่จนเป็นอันตรายได้ อาหารเป็นพิษเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงคนชรา โดยยิ่งไปกว่านั้นในประเทศเขตร้อน  โรคอาหารเป็นพิษ เป็นโรคที่พบบ่อยในประเทศที่กำลังปรับปรุง แต่พบได้กระจายในประเทศที่ปรับปรุงแล้ว จังหวะการเกิดโรคในสตรีแล้วก็เพศชายเท่ากัน แม้กระนั้นบางทีอาจเจอในเด็กได้สูงขึ้นมากยิ่งกว่าวัยอื่นๆเนื่องจากว่าแหล่งอาหารเป็นพิษที่สำคัญ คือ อาหารในโรงเรียน ทั้งนี้ในประเทศที่กำลังปรับปรุงบางประเทศ มีรายงานเด็กกำเนิดอาหารเป็นพิษได้สูงถึงประมาณ 5 ครั้งต่อปีเลยที่เดียว
  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคของกินเป็นพิษ โรคของกินเป็นพิษโดยมากมีเหตุมาจากทานอาหาร และก็/หรือ กินน้ำ/เครื่องดื่มที่ปนเปื้อน แบคทีเรีย รองลงไปเป็นเชื้อไวรัส นอกจากนั้นที่พบได้บ้างเป็นการปนเปื้อนปรสิต (Parasite) ยกตัวอย่างเช่น บิดมีตัว(Amoeba) ส่วนการแปดเปื้อนของพิษ ที่พบมากหมายถึงจากเห็ดพิษ สารพิษปนเปื้อนในอาหารทะเล สารหนู รวมทั้งสารโลหะหนัก มีเชื้อโรคหลายอย่างซึ่งสามารถปล่อยสารพิษ (toxin) ออกมาปนเปื้อนในของกินต่างๆอย่างเช่น น้ำกิน เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ นม อาหารทะเล แล้วก็สินค้าจากนม เนยแข็ง ข้าว ขนมปัง สลัด ผัก ผลไม้ ฯลฯ  เมื่อมนุษย์เราทานอาหารที่แปดเปื้อนพิษดังกล่าว ก็จะก่อให้เกิดลักษณะของการปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องร่วง  พิษหลากหลายประเภททนต่อความร้อน ถึงแม้ว่าจะทำอาหารให้สุกแล้ว พิษก็ยังคงอยู่และก็ส่งผลให้เกิดโรคได้  ระยะฟักตัวขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อโรค บางชนิดมีระยะฟักตัว 1-8 ชั่วโมง บางประเภท 8-16 ชั่วโมง บางชนิด 8-48 ชั่วโมง  โดยเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคอาหารเป็นพิษที่มักพบในอาหาร คือ
Clostridium botulinum เป็นแบคทีเรีย anaerobic ที่เป็น gram positive ที่พบได้ในดินและก็น้ำในสิ่งแวดล้อมทั่วไป ประเภทซึ่งสามารถก่อโรคในคนแบ่งได้เป็น

  • Proteolytic strain ประกอบด้วย type A ทั้งผอง แล้วก็บางส่วนของ type B แล้วก็ F แบคทีเรียกลุ่มนี้ย่อยของกินได้ และทำให้ของกินมีลักษณะถูกปนเปื้อน
  • Non-proteolytic strain ประกอบด้วย type E ทั้งปวง และก็บางส่วนของ type B และ F แบคทีเรียกลุ่มนี้ไม่ทำให้ของกินมีลักษณะเปลี่ยนแปลง


เชื้อนี้เจริญเติบโตได้ดิบได้ดีในสภาพการณ์ห้อมล้อมที่มีออกสิเจนน้อย จึงพบได้ทั่วไปในอาหารบรรจุในภาชนะที่ปิดสนิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าบรรจุกระป๋องที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตไม่ถูกสุขลักษณะ ตัวอย่างเช่น หน่อไม้ปีบ หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง และก็สินค้าเนื้อสัตว์ดัดแปลง พิษที่สร้างขึ้นมาจากเชื้อชนิดนี้ส่งผลให้เกิดอาการอาเจียน ถ่ายท้อง ตามัวมัว เห็นภาพซ้อน กล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย และบางเวลารุนแรงกระทั่งอาจเกิดภาวะหายใจล้มเหลวและก็เสียชีวิตได้
Vibrio parahaemolyticus ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ถูกใจเกลือเข้มข้นสูงสำหรับเพื่อการเจริญเติบโต (halophilic vibrio) มีแอนติเจนโอ ("O" antigen) ต่างกัน 12 ชนิด แล้วก็มีแอนติเจนเค ("K" antigen) ที่ตรวจได้แล้วในตอนนี้มี 60 จำพวก พบมากในอาหารทะเลที่ดิบหรือปรุงไม่สุกเพียงพอ
Bacillus cereus เป็นเชื้อที่ไม่ต้องการออกซิเจน สร้างสปอร์ได้ มีสารพิษ 2 จำพวกคือ ประเภทที่ทนต่อความร้อนได้ นำไปสู่คลื่นไส้ รวมทั้งประเภทที่ทนไฟมิได้ทำให้มีการเกิดอาการ อุจจาระหล่นส่วนใหญ่เจอเกี่ยวอาหาร (ดังเช่นว่า ข้าวผัดในร้านค้าแบบบริการตนเอง) ผักรวมทั้งอาหารและเนื้อที่เก็บรักษาผิดจำต้อง ณ.อุณหภูมิปกติภายหลังปรุงแล้ว
S.aureus หลายชนิดที่สร้างพิษ (enterotoxin) ซึ่งคงทนถาวรต่ออุณหภูมิที่จุดเดือด เชื้อชอบแบ่งตัวเพิ่มในอาหารและก็สร้าง toxin ขึ้น ของกินที่มี enterotoxin โดยมากเป็นอาหารที่ปรุงแล้วก็สัมผัสกับมือของผู้ปรุงอาหาร และไม่ได้กระทำการอุ่นอาหารด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมก่อนที่จะรับประทานอาหาร หรือแช่ตู้เย็น ยกตัวอย่างเช่น ขนมจีน ของหวานเอ แคลร์ เนื้อ เมื่ออาหารพวกนี้ถูกทิ้งในอุณหภูมิปกติหลายชั่วโมงติดต่อกันก่อนนำไปบริโภค ทำให้เชื้อสามารถแบ่งตัวและสร้างพิษที่ทนต่อความร้อนออกมา
ซาลโมเนลลา (Salmonella) พบได้ทั่วไปในเนื้อสัตว์ดิบ ไข่ดิบ นม และสินค้าที่ทำจากนม นำมาซึ่งอาการท้องเดิน ถ่ายมีมูก อาเจียน อาเจียน จับไข้ ข้างใน 4-7 วัน
เอสเชอริเชีย วัวไล (Escherichia coli) หรือเรียกสั้นๆว่า อีโคไล (E. coli) อี.โคไลเป็นแบคทีเรียรูปแท่งย้อมติดสีกรัมลบ มันมีพิษกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการท้องเดิน  อี.โคไลมีพิษ 2 ชนิด ชนิดหนึ่งเป็นสารที่มีโมเลกุลใหญ่แล้วก็ถูกทำลายให้หมดไปด้วยกระบวนการทำให้อาหารสุก แต่อีกที่มันผลิตออกมาพร้อมเพียงกันนั้น มีโมเลกุลที่เล็กมากยิ่งกว่า และก็เป็นสารทนไฟที่ไม่สามารถที่จะทำลายได้ด้วยความร้อน สารพิษทั้งสองชนิดส่งผลทำให้ท้องเสียด้วยเหมือนกัน ด้วยเหตุผลดังกล่าวถ้าเกิดอาหารแปดเปื้อนสารพิษนี้แล้วไม่ว่าจะมีผลให้สุกก่อนไหม ก็จะเป็นไปไม่ได้ทำลายสารพิษของมันให้หมดไปได้ มีทางเดียวที่จะคุ้มครองป้องกันได้ก็คือทิ้งของกินนั้นไปเสีย
ชิเกลล่า (Shigella) พบการแปดเปื้อนทั้งยังในผลิตภัณฑ์อาหารสดแล้วก็น้ำกินที่ไม่สะอาด รวมไปถึงอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง เพราะเชื้อชนิดนี้สามารถกระจายจากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลหนึ่งได้ กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดมวนท้อง วันหลังการรับประทานอาหารด้านใน 7 วัน
ไวรัสก่อโรคผ่านทางเดินอาหาร (Enteric Viruses) ประกอบด้วยเชื้อไวรัสหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น ไวรัสโนโร (Norovirus) ที่มักจะปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์อาหารสด สัตว์น้ำจำพวกมีเปลือก และก็น้ำที่ไม่สะอาด ออกอาการภายใน 1-2 วัน หรือเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A) ที่สามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่สัมผัสกับบุคคลที่มีเชื้อโดยตรง ภายใน 2-3 อาทิตย์

  • อาการของโรคของกินเป็นพิษ อาหารเป็นพิษจากเชื้อโรคต่างๆจะมีลักษณะคล้ายกันหมายถึงปวดท้องในลักษณะปวดบิดเป็นตอนๆอาเจียน (ซึ่งมักมีเศษอาหารที่เป็นสาเหตุออกมาด้วย) รวมทั้งถ่ายเป็นน้ำหลายครั้ง บางรายอาจมีไข้รวมทั้งหมดแรงร่วมด้วย โดยปกติ 80 – 90 % ของโรคของกินเป็นพิษชอบไม่ร้ายแรง อาการต่างๆมักจะหายได้เองภายใน ๒๔-๔๘ ชั่วโมง บางชนิดอาจนานถึงอาทิตย์ ในรายที่เป็นร้ายแรง บางทีอาจอาเจียนและก็ท้องร่วงรุนแรง จนร่างกายขาดน้ำแล้วก็เกลือแร่อย่างหนักได้  บางทีอาจพบว่า คนที่ทานอาหารด้วยกันกับผู้ป่วย (ตัวอย่างเช่น งานสังสรรค์ คนภายในบ้านที่ทานอาหารชุดเดียวกัน) ก็มีอาการแบบเดียวกับผู้ป่วยในเวลาไล่เลี่ยกัน

ซึ่งเมื่อเชื้อโรค หรือ พิษเข้าสู่ร่างกาย จะก่ออาการ เร็ว หรือ ช้า  ขึ้นอยู่กับชนิด และก็จำนวนของเชื้อ หรือ ของสารพิษ ซึ่งเจอเกิดอาการได้ตั้งแต่ 2-6 ชั่วโมงหลังกินอาหาร/ดื่มน้ำ ไปจนเป็นวัน หรือ สัปดาห์ หรือ เป็นเดือน (เช่น ในไวรัสตับอักเสบ เอ) แม้กระนั้นโดยธรรมดา พบได้บ่อยเกิดอาการด้านใน 2-6 ชั่วโมง หรือ 2-3วัน  อาการโดยธรรมดาที่พบมาก จากโรคอาหารเป็นพิษ ยกตัวอย่างเช่น ท้องร่วง อาจเป็นน้ำ มูก หรือ มูกเลือด ปวดท้อง อาจมาก หรือ น้อย สังกัดความร้ายแรงของโรค มักเป็นการปวดบิด เนื่องจากการบีบตัวของลำไส้ คลื่นไส้ อ้วก ในบางรายอาจมีอ้วกเป็นเลือดได้  เป็นไข้สูง อาจหนาวสั่น แต่ว่าบางครั้งมีไข้ต่ำได้  ปวดหัว เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเนื้อตัว บางทีอาจปวดข้อ ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อหรือ พิษดังที่กล่าวถึงมาแล้วแล้ว  อาจมีผื่นขึ้นตามเนื้อตัว  อาจมีกล้ามเมื่อยล้า ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้วด้วยเหมือนกัน  มีลักษณะของการสูญเสียน้ำในร่างกาย  อาทิเช่น หมดแรง  เหนื่อยง่าย  ปากแห้ง ตาโบ๋  ปัสสาวะบ่อยครั้ง

  • ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคของกินเป็นพิษ
  • มีความประพฤติปฏิบัติการรักษาสุขลักษณะผิดจะต้อง เช่น ก่อนอาหารให้ล้างมือให้สะอาด
  • การบริโภคของกินที่ผิดถูกหลักอนามัย อาทิเช่น บริโภคอาหารครึ่งดิบครึ่งสุกบริโภคของกินที่ไม่มีการปิดบังจากแมลงต่างๆให้มิดชิดการรับประทานอาหารที่ค้างคืนและไม่มีการอุ่นโดยผ่านความร้อนที่สมควร
  • การจัดเก็บและเตรียมอาหารเพื่อปรุงไม่สะอาด ดังเช่นว่าการเก็บเนื้อสัตว์แล้วก็ผักไว้ในที่เดียวกันโดยไม่แยกเก็บ ล้างทำความสะอาดผักไม่สะอาดทำให้มีสารเคมีหรือยากำจัดแมลงเหลืออยู่ที่ผัก
  • การรักษาอาหารที่บูดเสียง่ายไม่ดีพอ อย่างเช่น อาหารประเภทแกงกะทิ อาหารทะเล  อาหารสด  ควรเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิที่เหมาะสม มีความเย็นทั่วถึงเป็นต้น
  • การเลือดซื้ออาหารบรรจุกระป๋องที่ไม่ได้มาตรฐาน ดังเช่นว่า อาหารบรรจุกระป๋องที่มีรอยบุ๋ม รอยบุบ  อาหารกระป๋องที่มีรอยเปื้อนสนิมรอบๆฝาเปิดหรือขอบกระป๋อง เป็นต้น
  • ขั้นตอนการรักษาโรคอาหารเป็นพิษ หมอจะวิเคราะห์จากอาการแสดงของคนเจ็บเป็นหลัก ดังเช่น ลักษณะของการปวดท้อง อาเจียน ถ่ายเป็นน้ำ ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลัน อาจมีประวัติความเป็นมาว่าคนที่ทานอาหารด้วยกันบางคนหรือหลายท่าน (ตัวอย่างเช่น งานกินเลี้ยง คนในบ้าน) มีอาการท้องเดินในเวลาไล่เลี่ยกัน  ในรายที่มีลักษณะร้ายแรง มีไข้สูง หรือสงสัยว่าเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากต้นสายปลายเหตุอื่น หมออาจกระทำการตรวจพิเศษเพิ่มดังเช่น  การวิเคราะห์เลือด ใช้ในกรณีที่คนเจ็บมีอาการรุนแรงมากยิ่งกว่าอาการอาเจียนรวมทั้งท้องเสีย หรือมีภาวการณ์การขาดน้ำและก็เกลือแร่ เพื่อตรวจค้นจำนวนเกลือแร่ (หรืออิเล็กโทรไลต์) ในเลือดและก็หลักการทำงานของไต หรือในกรณีมีความเสี่ยงต่อการติดต่อของไวรัสตับอักเสบ อาจมีการตรวจการทำงานของตับเพิ่ม  การตรวจอุจจาระเพื่อค้นหาประเภทของเชื้อโรคด้วยการส่องกล้องกล้องจุลทรรศน์เมื่อผู้เจ็บป่วยมีการติดโรคในระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา หรือเชื้อปรสิตที่ก่อกำเนิดอาการถ่ายเป็นเลือด


ทั้งนี้การตรวจในห้องทดลองเพื่อค้นหาสิ่งที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษยังทำได้ด้วยแนวทางการตรวจปริมาณแอนติบอดีในเลือด (Immunological tests) หรือวิธีอื่นๆได้อีก ซึ่งขึ้นกับอาการของคนป่วยและดุลยพินิจของหมอ เพื่อจัดการรักษาอย่างแม่นยำในลำดับต่อไป   
กรรมวิธีการรักษาโรคของกินเป็นพิษ ที่สำคัญที่สุดเป็นรักษาประคับ ประคับประคองตามอาการ ยกตัวอย่างเช่น ปกป้องสภาวะขาดน้ำและขาดสมดุลของเกลือแร่ซึ่งการรักษาโดยให้น้ำเกลือทางเส้นโลหิตเมื่อท้องเสียมากมาย ยาพารา ยาที่ช่วยบรรเทาอาการอ้วก อ้วก และก็ยาลดไข้ นอกเหนือจากนี้ คือ การรักษาตามปัจจัย เช่นพิจารณาให้ยายาปฏิชีวนะ เมื่อเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ ให้ยาต้านพิษถ้าเป็นประเภทมียาต้านทาน แม้กระนั้นคนป่วยโดยมากมักมีลักษณะอาการที่ได้ด้วยการดูแลตัวเองที่บ้าน สิ่งสำคัญที่สุดหมายถึงจะต้องบากบั่นอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ ควรกินน้ำไม่มากๆหรือจิบน้ำเสมอๆเพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำจากอาการท้องร่วงรวมทั้งคลื่นไส้มากเกินความจำเป็น

  • การติดต่อของโรคอาหารเป็นพิษ โรคของกินเป็นพิษ เป็นโรคที่มีการรับเชื่อมาจากการทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรคหรือ สารเคมี หรือโลหะหนัก ซึ่งอาจจะมีเชื้อไวรัสบางจำพวกแค่นั้น ซึ่งสามารถเป็นสาเหตุของการติดต่อของโรคอาหารเป็นพิษได้ ยกตัวอย่างเช่น ไวรัสตับอักเสบ A (Hepatitis A)  ที่สามารถติดต่อด้วยการได้รับเชื้อจากอาหารสดที่มีการสัมผัสโดยตรงกับบุคคลที่มีเชื้อ ซึ่งมีระยะฟักตัว ราวๆ 2 – 3 สัปดาห์ แล้วอาการโรคจะปรากฏขึ้น
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคของกินเป็นพิษในคนแก่และก็เด็กโต
  • ถ้าเกิดปวดท้องร้ายแรง ถ่ายท้องร้ายแรง (อุจจาระเป็นน้ำครั้งละมากๆ) อ้วกร้ายแรง (กระทั่งดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่หรือน้ำข้าวต้มไม่ได้) เมื่อลุกขึ้นนั่งมีลักษณะหน้ามืดเป็นลมเป็นแล้ง หรือมีสภาวะขาดน้ำร้ายแรง (ปากแห้ง คอแห้งผาก ตาโบ๋ ฉี่ออกน้อย ชีพจรเต้นเร็ว) จำต้องไปพบแพทย์อย่างเร็วที่สุด
  • ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ อาจใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ จำพวกสำเร็จรูปที่มีขายในตลาด หรือบางทีอาจผสมเองโดยใช้น้ำสุก 1 ขวดกลมใหญ่ (750 มล.) ใส่น้ำตาล 30 มล. (พอๆกับช้อนยาเด็ก 6 ช้อน หรือช้อนกินข้าวจำพวกสั้น 3 ช้อน) และเกลือป่น 2.5 มิลลิลิตร (พอๆกับช้อนยาครึ่งช้อน หรือช้อนยาวที่ใช้คู่กับซ่อมแซมครึ่งช้อน)พากเพียรดื่มเสมอๆทีละ 1 ใน 3 หรือครึ่งแก้ว (อย่าดื่มมากจนคลื่นไส้) ให้ได้มากเท่ากับที่ถ่ายออกไป โดยสังเกตปัสสาวะให้ออกมากและใส
  • ถ้าเป็นไข้ ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล
  • ให้ทานอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก งดเว้นของกินรสเผ็ดรวมทั้งย่อยยาก งดเว้นผักแล้วก็ผลไม้ จนกว่าอาการจะหายก็ดี
  • ห้ามกินยาเพื่อให้หยุดถ่ายอุจจาระ ด้วยเหตุว่าอาการท้องเดินจะช่วยขับเชื้อหรือสารพิษออกจากร่างกาย


ในขณะเจ็บท้อง หรือ คลื่นไส้อ้วก ไม่สมควรกินอาหาร หรือ กินน้ำเนื่องจากว่าอาการจะรุนแรงขึ้น   ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละมากๆขั้นต่ำ 8-10 แก้ว เมื่อแพทย์ไม่สั่งให้ จำกัดน้ำ  พักผ่อนให้มากๆรักษาสุขลักษณะรากฐาน เพื่อคุ้มครองการแพร่ระบาดเชื้อสู่ผู้อื่น ที่สำคัญเป็นการล้างมือให้สะอาดเสมอ โดยยิ่งไปกว่านั้นข้างหลังการขับ ถ่าย และก็ก่อนที่จะกินอาหาร

  • ควรรีบไปหาแพทย์ ถ้าหากมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งต่อแต่นี้ไป                อาเจียนมากมาย ถ่ายท้องมาก รับประทานมิได้ หรือดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ไม่ได้ หรือได้น้อย จนถึงมีภาวการณ์ขาดน้ำค่อนข้างจะร้ายแรง                มีลักษณะถ่ายเป็นมูก หรือมูกคละเคล้าเลือดตามมา             มีลักษณะอาการหนังตาตก ชารอบปาก แขนขาเมื่อยล้า หรือหายใจติดขัด          อาการไม่ทุเลาด้านใน ๔๘ ชั่วโมง   มีลักษณะอาการเรื้อรัง หรือน้ำหนักลดฮวบฮาบ                สงสัยมีเหตุมาจากพิษ ตัวอย่างเช่น สารเคมี พืชพิษ สัตว์พิษ        สงสัยเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากอหิวาตกโรค ดังเช่นว่า สัมผัสผู้ที่เป็นอหิวาตกโรค หรืออยู่ในถิ่นที่กำลังมีการระบาดของโรคนี้ ในเด็กเล็ก (อายุต่ำยิ่งกว่า ๕ ขวบ)
  • ถ้าหากดื่มนมแม่อยู่ ให้ดื่มนมแม่ถัดไป (ถ้าเกิดดื่มนมผสมอยู่ ให้ชงเจือจางเท่าตัวและก็ดื่มต่อไป) รวมทั้งดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือน้ำข้าวต้มใส่เกลือเพิ่ม เมื่อมีลักษณะดีขึ้น ให้กินอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย (อาทิเช่น ข่าวต้ม) ไม่ต้องให้ยาที่ใช้แก้ท้องเสียจำพวกใดทั้งหมดทั้งปวง
  • หากถ่ายท้องร้ายแรง อ้วกร้ายแรง ดื่มนมหรือน้ำไม่ได้ ซึม กระสับกระส่าย ตาโบ๋ กระหม่อมบุบมากมาย (ในเด็กเล็ก) หายใจหอบแรง หรืออาการเกิดขึ้นอีกใน ๒๔ ชั่วโมง ต้องไปหาแพทย์อย่างรวดเร็ว
  • การคุ้มครองป้องกันตนเองจากโรคอาการเป็นพิษ วิธีการป้องกัน การปกป้องและควบคุมโรคอาหารเป็นพิษทุกต้นสายปลายเหตุมีมาตรการป้องกันโดยใช้กฎหลัก 10 ประการสำหรับเพื่อการเตรียมอาหารที่ปลอดภัย ดังนี้
  • เลือกอาหารที่ผ่านการเตรียมอย่างดีเยี่ยม
  • ทำอาหารที่สุก
  • ควรทานอาหารที่สุกใหม่ๆ
  • รอบคอบของกินที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการปนเปื้อน
  • ของกินที่ค้างมื้อจะต้องทำให้สุกใหม่ก่อนรับประทาน
  • แยกอาหารดิบและก็อาหารสุก ให้ระมัดระวังการปนเปื้อน
  • ล้างมือก่อนสัมผัสของกินเข้าสู่ปาก
  • ให้พิถีพิถันเรื่องความสะอาดของห้องครัว
  • เก็บอาหารให้ไม่มีอันตรายแล้วยังปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ
  • ใช้น้ำที่สะอาด
  • ไม่กินกึ่งสุกกึ่งดิบระวังการกินเห็ดต่างๆโดยยิ่งไปกว่านั้นชนิดที่ไม่รู้ ระมัดระวังการกินอาหารทะเลเสมอ ระวังความสะอาดของน้ำแข็ง
  • เมื่อทานอาหารนอกบ้าน เลือกร้านค้าที่สะอาด ไว้ใจได้
  • เนื้อสัตว์ ปลาสด ในตู้เย็น จะต้องเก็บแยกจากของกินอื่นๆทุกชนิด รวมทั้งจำต้องอยู่ในภาชนะปิดมิดชิด เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียส่วนมาก จะอยู่ในอาหารสดพวกนี้
  • ไม่ละลายอาหารสดแช่แข็งด้วยการตั้งทิ้งไว้ หรือ แช่น้ำ ด้วยเหตุว่าเป็นการเพิ่มปริมาณเชื้อโรคจากอุณหภูมิที่สมควรต่อการเติบโตของเชื้อโรค ควรจะละลายด้วยไมโครเวฟ
  • รักษาความสะอาดของผักสด ดังเช่น ถั่วงอก สลัด รวมทั้งอาหารสำเร็จรูปต่างๆ
  • การถนอมอาหารอย่างถูกต้อง ทำให้ของกินเป็นกรดที่มี pH < 4.5 หรือให้ความร้อนสูงและก็นานเพียงพอเพื่อทำลาย toxin รวมทั้งการแช่แข็งเพื่อถนอมอาหารเป็นระยะเวลานาน
  • ถ้าหากอาหารมีลักษณะไม่ดีเหมือนปกติเป็นต้นว่า กระป๋องโป่ง หรือเสียหาย หรือมีรสไม่ดีเหมือนปกติ อาจมี fermentation เป็นความมีความเสี่ยงต่อการนำโรค
  • บริโภคอาหารบรรจุกระป๋องที่ผ่านความร้อนเพียงพอที่จะทำลาย toxin ทุกครั้ง
  • สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/บรรเทาอาการของโรคอาหารเป็นพิษ
ขิง  ในขิงนั้นจะมีสาระสำคัญที่ออกฤทธิ์ ชื่อ “Gingerol” (จิงเจอรอล) มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องเฟ้อ ท้องอืดท้องเฟ้อ สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยในแม่ที่ให้นมลูกได้ดีแล้วก็ไม่เป็นอันตรายกว่ายาขับลมอื่นๆอีก    ยิ่งไปกว่านั้นในกรณีที่ท้องเดิน การดื่มน้ำขิงจะช่วยให้การอักเสบที่เกิดจากพิษของเชื้อโรคลดลง รวมทั้งยังช่วยขับเชื้อโรคอีกด้วย แต่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าว่าอาการท้องเสียมีความรุนแรงก็ควรรีบไปพบแพทย์
กระชาย  สรรพคุณ  เหง้าใต้ดิน – มีรสเผ็ดร้อนขม แก้ปวดท้อง  เหง้าและราก – แก้บิดมูกเลือด เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ฉี่พิการ
มังคุด  คุณประโยชน์  รักษาโรคท้องร่วงเรื้อรัง และก็โรคไส้  ยาแก้ท้องเดิน ท้องเดินยาแก้บิด (ปวดเบ่งและมีมูก รวมทั้งอาจมีเลือดด้วย) เป็นยาคุมกำเนิดธาตุ  ยาแก้อาการท้องร่วง ท้องร่วง  ใช้เปลือกผลมังคุดตากแห้งต้มกับน้ำปูนใส หรือฝนกับน้ำกิน ใช้เปลือกต้มน้ำให้เด็กรับประทานทีละ 1-2 ช้อนชา ทุก 4 ชั่วโมง คนแก่ทีละ 1 ช้อนโต๊ะ ทุก 4 ชั่วโมง  ยาแก้บิด (ปวดเบ่งแล้วก็มีมูกแล้วก็อาจมีเลือดด้วย)
ใช้เปลือกผลแห้งประมาณ ½ ผล (4 กรัม) ย่างไฟให้เกรียม ฝนกับน้ำปูนใสประมาณครึ่งแก้ว หรือบดเป็นผง ละลายน้ำสุก รับประทานทุก 2 ชั่วโมง
เอกสารอ้างอิง

  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.อาหารเป็นพิษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 390.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.ตุลาคม.2554
  • สุวรรณา เทพสุนทร.ความรู้เรื่องโรคอาหารเป็นพิษ.กลุ่มระบาดวิทยาโรคติดต่อ.สำนักระบาดวิทยา.กรมควบคุมโรค.กระทรวงสาธารณสุข
  • อาหารเป็นพิษ,อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Goldfrank LR, Flomenbaum NE, Weisman RS. Botulism. In: Goldfrank LR, Flomenbaum NE, Lewin NA, et al (eds). Goldfrank’s Toxicologic Emergencies. 5th ed. Connecticut: Appleton&Lasge, 1994:937-948.
  • พญ.สลิล ธีระศิริ.อาหารเป็นพิษ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่85.คอลัมน์กลไกการเกิดโรค.พฤษภาคม.2529
  • Lond BM. Food-borne illness. Lancet 1990;336:982-6. http://www.disthai.com/
  • Critchley ER, Michel JD. Human botulism. Br J Hosp Med 1990;93:290-2.
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.อาหารเป็นพิษ (Food poisoning).หาหมอ.
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.อาหารเป็นพิษ(Food poisoning).หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.หน้า490-492



Tags : โรคอาหารเป็นพิษ

32

โรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ (Viral hepatitis)

  • โรคไวรัสตับอักเสบคืออะไร ตับนับเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีน้ำหนักราวๆ 1.5 กิโล อยู่หลังเครื่องบังลมรวมทั้งมีบทบาทที่สำคัญต่างๆดังต่อไปนี้ เป็นคลังสะสมของกิน ตัวอย่างเช่น แป้ง ไขมัน โปรตีน เอาไว้ใช้ แล้วก็ปล่อยเมื่อร่างกายอยาก สังเคราะห์สารต่างๆได้แก่ น้ำดี สารควบคุมการแข็งตัวของเลือด ฮอร์โมน กำจัดสารพิษ รวมทั้งสิ่งแปลกปลอม ได้แก่เชื้อโรค หรือยา แต่ว่าในปัจจุบันชาวไทยมีอัตราการตายด้วยโรคที่เกี่ยวกับตับสูงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคโรคตับแข็ง โรคมะเร็งตับ สภาวะไขมันสะสมในตับ รวมทั้งโรคตับอักเสบ ผู้ที่เจ็บป่วยจากโรคตับอักเสบเจอได้ทุกวัย ทั้งชายรวมทั้งหญิง ส่วนมากเป็นโรคตับอักเสบฉับพลัน ส่วนน้อยเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังรวมทั้งอาจมีภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง ตับวาย มะเร็งตับ

    ตับอักเสบ เป็นภาวการณ์ทางด้านการแพทย์ที่มีการอักเสบของตับแล้วก็มีการทำลายของเซลล์ตับ ทำให้กระบวนการทำหน้าที่ต่างๆของตับไม่ดีเหมือนปกติ ร่างกายอาจแสดงอาการป่วยหนักนิดหน่อยหรือไม่แสดงอาการเลยแต่ชอบทำให้เกิดอาการโรคดีซ่าน อาการไม่อยากอาหาร และก็อาการไข้ 
    สิ่งที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบ ที่พบบ่อยที่สุดเป็น การตำหนิซนไวรัส รองลงมาเกิดขึ้นได้เนื่องมาจาก พิษสุรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อโปรโตซัวเลปโตสไปโสสิส พยาธิ ยาบางประเภท สารเคมี โดยส่วนมากจะมีเหตุที่เกิดจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสชนิดต่างๆซึ่งมีอยู่หลายแบบร่วมกันหมายถึงเชื้อไวรัสตับอักเสบจำพวก อี ซึ่งแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันในเนื้อหาโดยธรรมดาเมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัสตับอับเสบ ระบบภูมิคุ้มกันจะสามารถกำจัดเชื้อแล้วก็จะหายเองได้ แม้กระนั้นมีบางรายร่างกายไม่อาจจะกำจัดเชื้อได้หมด แปลงเป็นตับอักเสบเรื้อรัง รวมทั้งส่งผลให้เกิดภาวะตับแข็งรวมทั้งมะเร็งตับถัดไป
    ยิ่งไปกว่านี้โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส (Viral Hepatitis) เป็นโรคติดโรคที่มีความรุ่นแรงสูงและก็คือปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญปัญหาหนึ่ง หน่วยงานอนามันโลก หรือ WHO จัดว่าโรคนี้เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของโลกทีเดียว เพื่อให้ประชาชนโลกตระหนักถึงภัยจากโรคตับอักเสบ องค์การอนามัยโลกจึงประกาศให้วัน ที่ 28 เดือนกรกฎาคมของทุกปีเป็น “วันโรคตับอักเสบโลก (World hepatitis day)”

  • สาเหตุของโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ โรคเชื้อไวรัสตับอักเสบนั้นนับยอดเยี่ยมในกลุ่มโรคตับอักเสบ ที่มีมูลเหตุมมาจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งมีเหตุที่เกิดจากเชื้อไวรัส 5 ชนิดเป็นHepatitis A virus (HAV), Hepatitis B virus (HBV), Hepatitis C virus (HCV), Hepatitis D virus (HDV) Hepatitis E virus (HEV) นอกจากนี้อาจเป็นเพราะเนื่องจากปัจจัยอื่นหรือไวรัสตัวอื่นอีก ซึ่งยังไม่สามารถตรวจพบได้ เชื้อไวรัสตับอักเสบ ดังที่กล่าวมาแล้วสามารถแบ่งได้ 2 กรุ๊ป เป็น
  • กรุ๊ปที่ติดต่อทางการกิน ตัวอย่างเช่น HAV รวมทั้ง HEV โดยธรรมดาอาการไม่รุนแรงเท่าไรนัก และไม่ส่งผลข้างเคียงตามมา คนเจ็บที่หายจากการติดเชื้อกลุ่มนี้ในระยะกะทันหันแล้วจะไม่มีอาการตับอักเสบเรื้อรัง โรคตับแข็ง รวมทั้งโรคมะเร็ง
  • กลุ่มที่ติดต่อทางเลือด และเซ็กซ์ ดังเช่น HBV และ HCV ไวรัสกลุ่มนี้มีลักษณะอาการแทรกตามมาได้สูง เหตุเพราะคนป่วยจำนวนมากมีอาการติดเชื้อโรคเรื้อรัง และก็บางทีอาจเปลี่ยนเป็นโรคตับแข็ง หรือ โรคมะเร็งตับได้
  • ลักษณะโรคไวรัสตับอักเสบ อาการ ที่แจ้งชัด คือ เมื่อยล้า ดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะเหลืองเหมือนขมิ้น) โดยมักไม่มีลักษณะของการมีไข้ (ตัวร้อน) ร่วมด้วย บางคนอาจมีอาการปวดเสียด หรือจุกแน่น แถวลิ้นปี่ หรือชายโครงขวา (ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ) ในบางบุคคลอาจดูได้ว่า ก่อนมีลักษณะโรคดีซ่าน จะมีลักษณะอาการดีซ่าน จะมีลักษณะไม่สบาย อ่อนแรง เบื่ออาหาร คล้ายไข้หวัดใหญ่ อาจมีอาการอ้วก อาเจียน ถ่าย เหลว หรือท้องเดินร่วมด้วย เมื่อไข้ลด (อาจมีไข้อยู่ 4-5วัน) ก็สังเกตเห็นปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้ม แล้วมองเห็นอาการตาเหลือง ตัวเหลืองตามมา


นอกเหนือจากนี้ ถ้าเกิดคนป่วยได้รับการเจาะเลือดตรวจจะพบว่า ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีทรานซามิเนส ดังเช่น เอสจีโอที (SGOT) และเอสจีพีที (SGPT) ขึ้นสูงกว่าคนธรรมดา ทำให้วินิจฉัยได้แน่ๆว่า อาการโรคดีซ่านที่เกิดจากโรคตับนั้น เป็นโรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส คนไข้จะรู้สึกสบายขึ้น หายเหน็ดเหนื่อย หายเบื่อข้าว คนที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง จะมีลักษณะอาการอ่อนแรง เหนื่อยง่าย บางครั้งบางคราวมีลักษณะอาการตาเหลืองเล็กน้อย นานเป็นปีฯ ถึงสิบๆปี ก่อนที่จะเกิดภาวะเข้าแทรกอื่นๆตามมา ส่วนผู้ที่เป็นพาหะของไวรัสตับอับเสบบีหรือซี จะไม่มีอาการผิดปกติอะไรก็ตามให้เห็นจะทราบต่อเมื่อตรวจเลือดเจอเชื้อแค่นั้น ซึ่งถ้าจะแยกอาการตามจำพวกของไวรัสที่ทำให้มีการเกิดโรคตับอักเสบนั้นสามารถแยกได้ดังนี้
ไวรัสตับอักเสบเอ จะเกิดอาการตับอักเสบทันควันเป็น อ่อนแรง เบื่อข้าว โรคดีซ่าน โดยในผู้ใหญ่จะมีอาการมากยิ่งกว่าในเด็ก ไวรัสตับอักเสบเอเป็นเชื้อไวรัสที่เป็นรุนแรง หายแล้วหายขาดในมีภูมิต้านทานแล้วจะไม่เป็นซ้ำอีก
เชื้อไวรัสตับอักเสบบี การตำหนิดเชื้อจากไวรัสประเภทนี้มักจะทำให้เกิดการแอบเป็นไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง โดยผลที่เกิดในระยะยาวของการติดเชื้อไวรัสบีนั้นคือ ผู้เจ็บป่วยมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะโรคตับแข็ง แล้วก็โรคมะเร็งตับได้ในระยะยาว ถ้าหากมิได้รับการตำหนิดตามรักษาที่สมควร
ไวรัสตับอักเสบ ซี ไวรัสจำพวกนี้มักไม่ทำให้เกิดอาการไม่ดีเหมือนปกติอะไรก็ตามจากภาวการณ์ตับอักเสบเฉียบพลัน แต่จะทำให้มีการอักเสบเรื้อรังของตับ เมื่อมีการอักเสบไปนานๆก็จะกำเนิดพังผืดสะสมในตับจนถึงแปลงเป็นตับแข็งสุดท้าย
เชื้อไวรัสตับอักเสบ ดี อาการของเชื้อไวรัสจำพวกนี้จะก่อให้กำเนิดตับอักเสบซ้ำซ้อนขึ้นมา เหมือนกันกับคนป่วยเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
ไวรัสตับอักเสบ อี การเกิดโรคของเชื้อไวรัสประเภทนี้จะทำให้กำเนิดตับอักเสบกะทันหัน ตัวเหลืองตาเหลือง คนไข้หลายๆรายอาจมีอาการเหลืองนานเป็นต้นตย์ หรือ สองสามเดือนได้

  • กรุ๊ปบุคคลที่เสี่ยงจะเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ


เชื้อไวรัสตับอักเสบประเภทเอ กลุ่มชนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอสูงคือ กรุ๊ปที่มีสุขอนามัยหรือการสุขาภิบาลไม่ดี ได้แก่ รับประทานอาหารดิบๆสุกๆกินอาการหรือน้ำกินที่ไม่สะอาดและคนที่อยู่ในสถานที่คับแคบ
ไวรัสตับอักเสบชนิดบี เพราะว่า เชื้อไวรัสชนิดนี้พบมากในสารคัดหลั่งของคนเรา ดังเช่นว่า เลือด น้ำนม อสุจิ น้ำลาย ดังนั้นกลุ่มเสี่ยงสำหรับเพื่อการติดเชื้อโรคไวรัสจำพวกนี้ ก็เลยได้แก้ผู้ที่จำเป็นต้องสัมผัสกับสารคัดหลั่งพวกนี้ นอกจากนี้ยังสามารถติดเชื้อจากแม่สู่ลูกได้อีกด้วย
เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซี กรุ๊ปบุคคลที่มีการเสี่ยงสำหรับการติดเชื้อโรค เป็นต้นว่า บุคคลที่ใช้เข็มหรือของมีคมร่วมกัน เช่น ผู้ติดเฮโรอีน กรุ๊ปผู้ที่ชอบสักตามร่างกาย เป็นต้น
ไวรัสตับอักเสบชนิดดี ไวรัสชนิดนี้เป็นเชื้อไวรัสที่ชอบพบว่าเกิดขึ้นพร้อมกับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ฉะนั้นกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อเชื้อไวรัสตับอักเสบดีจึงเป็นกลุ่มที่มีความประพฤติเสี่ยง เช่นเดียวกับคนที่เสี่ยงจะติดเชื้อโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
ไวรัสตับอักเสบประเภทอี เชื้อไวรัสจำพวกนี้สามารถพบได้ในคนและสัตว์ ดังเช่น หมูรวมทั้งสัตว์อื่นๆและกรุ๊ปบุคคลที่เสี่ยงจุติดเชื้อไวรัสจำพวกนี้ดังเช่นว่าบุคคลที่กินอาหารสุบๆดิบๆหรือคนที่สีสุขภาวะไม่สะอาดฯลฯ

  • กรรมวิธีการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ แพทย์วินิจฉัยโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบได้จาก ประวัติลักษณะของคนป่วย เรื่องราวสัมผัสโรค (อาทิเช่น การกินอาหาร การได้รับเลือด การระบาดของโรคในสถานที่สำหรับทำงาน การมีเซ็กส์สำส่อน หรือการใช้สิ่งเสพติด) การตรวจร่างกาย ถ้าเกิดมีลักษณะอาการแจ่มแจ้ง คือ มีลักษณะเมื่อยล้า ดีซ่าน โดยมีอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่นำมาก่อน ไม่มีเรื่องราวดื่มสุราจัด น้ำหนักลดบางส่วน (เพียงแต่ 1-2 กิโลกรัม) ยังรับประทานอาหารได้ กินน้ำได้ ไม่อาเจียน หมอจะวินิจฉัยโดยการตรวจร่างกายเพิ่มอีก ดังเช่นว่า ตรวจพบตับโตบางส่วน ลักษณะนุ่ม ไม่เจ็บมากมาย โดยไม่เจอสิ่งผิดปกติอื่นๆรวมทั้งไม่เจอลักษณะของการมีไข้ (ตัวร้อน) ก็บางทีอาจวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับอักเสบจากไวรัส และก็ให้การดูแลขั้นต้นได้ แม้กระนั้นถ้าหากมีอาการไม่ชัดแจ้ง หรือเป็นเรื้อรัง หรือสงสัยมีสาเหตุมาจากต้นสายปลายเหตุอื่น แพทย์จะกระทำการตรวจการดำเนินการของตับ โดยการหาระดับ SGOTAST,SGPT ALTค่าธรรมดาน้อยกว่า 40 IU/L ถ้าเกิดค่ามากยิ่งกว่า 1.5-2 เท่าให้สงสัยว่าตับอักเสบ แม้พบว่าผิดปกติหมอจะขอตรวจเดือนละครั้งต่อเนื่องกันอย่างน้อย 3 เดือน การตรวจหาตัวเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ ตรวจค้น Ig M Anti HAV เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ตรวจหา HBsAg ถ้าบวกมีความหมายว่ามีเชื้ออยู่   Anti HBs ถ้าหากบวกแปลว่ามีภูมิต่อเชื้อ  HBeAg หากบวกมีความหมายว่าเชื้อมีการแบ่งตัว HBV-DNA เป็นการตรวจเพื่อหาจำนวนเชื้อ เชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี Anti-HCV เป็นการพูดว่ามีภูเขาไม่ต่อเชื้อ  HCV-RNA มองจำนวนของเชื้อ การตรวจสอบส่วนประกอบของตับ ดังเช่นการตรวจคลื่นเสียงเพื่อดูว่ามีตับแข็งหรือมะเร็งตับไหม การตรวจชิ้นเนื้อตับ แพทย์ผู้ที่มีความชำนาญจะนำชิ้นเนื้อตับเพื่อวิเคราะห์ความรุนแรงของโรค    เมื่อตรวจเจอว่าเป็นโรคตับอักเสบจากไวรัส แพทย์จะเสนอแนะการปฏิบัติตัวต่างๆถ้าเกิดว่าไม่มีอาการอะไรมากมายก่ายกองก็จะไม่ให้ยา เนื่องเพราะโรคนี้ไม่มียารักษาเจาะจง รวมทั้งนัดหมายคนไข้มาตรวจตราอาการทุก 1-2สัปดาห์ ตราบจนกระทั่งจะแน่ใจว่าหายดี  คนเจ็บโรคตับอักเสบไวรัสส่วนใหญ่มักมีลักษณะอาการไม่รุนแรง หากแม้ไม่ได้รับการดูแลและรักษาเป็นพิเศษก็หายได้เอง ผู้ป่วยที่ควรต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ คือ คนที่มีลักษณะหมดแรงมากมาย รับประทานอาหารไม่ได้ คลื่นไส้คลื่นไส้มาก เจ็บท้องมากมาย ตัวเหลืองจัด ปวดมึนศีรษะรุนแรง พูดไม่เข้าใจ หรือไม่รู้สึกตัว รวมทั้งหญิงตั้งครรภ์และก็คนป่วยที่เป็นโรคอื่นอยู่เดิม  บางคราวอาจให้ยาทุเลาตามอาการ ตัวอย่างเช่น ยาแก้อ้วก วิตามินบำรุง (ถ้าหากเบื่ออาหารมากมาย) ฉีดเดกซ์โทรสหรือให้น้ำเกลือ (ถ้ากินได้น้อย หรือคลื่นไส้มากมาย) เป็นต้น ถ้าตรวจเจอว่าเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง (ซึ่ง มักมีสาเหตุจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี) ซึ่งจะมีลักษณะอักเสบนานเกิน 6 เดือน แพทย์อาจจำเป็นต้องกระทำตรวจพิเศษ ดังเช่น เจาะเนื้อตับออกมาพิสูจน์ ตรวจเลือดเพื่อดูสาเหตุของความร้ายแรงแล้วก็ภาวะแทรกซ้อนเป็นระยะการดูแลและรักษาบางทีอาจฉีดยาอินเตอร์เฟียรอน (interferon) สัปดาห์ละ 3 ครั้ง นาน 4-6 เดือน ยานี้จะช่วยลดปริมาณเชื้อไวรัส และก็ลดการอักเสบของตับ ส่วนคนที่ตรวจเจอว่าเป็นพาหะ ของไวรัสตับอักเสบบีหรือซี หมอจะแนะนำการกระทำตัว แล้วก็นัดหมายตรวจทุก 3-6 เดือน ไปเรื่อยเพื่อสอดส่องอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด
  • การติดต่อของโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ
  • เชื้อไวรัสตับอักเสบเอ (hepatitis A virus ย่อว่า HAV) สามารถติดต่อทางระบบทางเดินอาหาร โดยการกินของกิน ดื่มนมหรือน้ำที่แปดเปื้อนอุจจาระของผู้ที่มีเชื้อโรคนี้ (เหมือนกันกับโรคบิด อหิวาตกโรค ไข้รากสาดน้อย) เพราะฉะนั้นจึงสามารถแพร่ไปได้ง่าย บางครั้งบางคราวอาจเจอการระบาดในค่ายทหาร สถานที่เรียน หรือ หมู่บ้าน

ระยะฟักตัวของโรคตับอักเสบจากไวรัสเอ 15-45 วัน (เฉลี่ย 30 วัน)

  • เชื้อไวรัสตับอักเสบบี (hepatitis B virus ย่อว่า HBV) เชื้อนี้จะมีอยู่ในเลือด และยังบางทีอาจเจอมีอยู่ในน้ำลาย น้ำตา นม ปัสสาวะ น้ำอสุจิ น้ำเมือกในช่องคลอด เชื้อสามารถไปสู่ร่างกายโดยทางเพศสมาคม หรือถ่ายทอดจากแม่ที่มีเชื้อนี้ไปยังทารกขณะคลอด นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อโดยทางเลือด ยกตัวอย่างเช่น การให้เลือด การฉีดยา การฝังเข็ม การสักตามร่างกาย วิธีการทำฟัน การใช้งานเครื่องมือหมอที่ปนเปื้อนเลือดของผู้ที่มีเชื้อโรคจำพวกนี้ ฯลฯ
ระยะฟักตัวของโรคตับอักเสบจำพวกบี 30-180 วัน (เฉลี่ย 60-90 วัน)

  • เชื้อไวรัสตับอักเสบซี (hepatitis C virus ย่อว่า HCV) เชื้อนี้สามารถติดต่อลักษณะเดียวกันกับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีทุกประการ รวมทั้งมีการดำเนินของโรคแบบเดียวกับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี กล่าวอีกนัยหนึ่ง อาจทำให้เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง หรือคนที่ติดเชื้อบางทีอาจไม่มีอาการไม่ปกติ แต่ว่ามีเชื้ออยู่ภายในร่างกายสามารถแพร่โรคให้บุคคลอื่นได้ เรียกว่าเป็นพาหะของโรค (carrier) ในที่สุดบางทีอาจเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรง คือ โรคตับแข็งกับโรคมะเร็งตับ ลักษณะของการเกิดอาการกลุ่มนี้ชอบไม่พบในผู้ที่ติดเชื้อโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ
  • ไวรัสตับอักเสบ ดี เป็นไวรัสที่แอบแฝงมากับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี พบมากในกลุ่มประเทศยุโรป โดยเชื้อไวรัสตัวนี้ ต้องอาศัยองค์ประกอบของไวรัสตับอักเสบบี สำหรับในการแบ่งตัว ด้วยเหตุนั้นการตำหนิดเชื้อจะเกิดขึ้นพร้อมด้วยไวรัสตับอักเสบบีหรือกำเนิดในคนไข้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแอบแฝงอยู่ ภายในร่างกาย ด้วยเหตุดังกล่าวการติดต่อจึงมีลักษณะราวกับไวรัสตับอักเสบชนิดบี
  • เชื้อไวรัสตับอักเสบอี การเกิดโรคในคนนั้นคนป่วยหลายๆรายมีประวัติสัมผัสหรือรับประทานอาหารดิบๆสุกๆซึ่งเป็นเหตุของการต่อว่าดเชื้อได้ ด้วยเหตุดังกล่าวการติดต่อของไวรัสชนิดนี้ก็เลยมีลักษณะเหมือนกับไวรัสตับอักเสบประเภทเอ
  • การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ
  • ปฏิบัติตามหมอแล้วก็พยาบาลที่ดูแลชี้แนะ
  • พักเต็มที่ ควรหยุดงาน หยุดโรงเรียนตามหมอเสนอแนะ
  • ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆอย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้วเมื่อไม่มีโรคจำต้องจำกัดน้ำดื่ม
  • รับประทานอาหารมีคุณประโยชน์ 5 หมู่ แต่ควรเป็นของกินอ่อนย่อยง่าย เพิ่มผัก ผลไม้ให้มากมายๆ
  • รับประทานยาบรรเทาอาการต่างๆตามแพทย์เสนอแนะ
  • ไม่ซื้อยารับประทานเองเนื่องจากอาจจะก่อให้ตับอักเสบเพิ่มขึ้น หรืออาจมีผลข้างเคียงจากยามากขึ้น เพราะว่าตับไม่สามารถกำจัดยาส่วนเกินออกจากร่างกายได้ตามเดิม
  • งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกประเภทเพราะจะเพิ่มการทำลายเซลล์ตับ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขข้อบังคับแห่งชาติ) เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง ลดความรุนแรงของโรค และลดการแพร่ระบาดสู่คนอื่น
  • ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆโดยยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่จะกินอาหารและก็หลังการขับถ่าย
  • แยกของใช้ ของใช้ส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้วยน้ำแล้วก็ช้อน
  • พบหมอตามนัดเสมอ แล้วก็รีบเจอแพทย์ก่อนนัดหมายเมื่อมีอาการเปลี่ยนไปจากปกติไปจากเดิม และ/หรือ เมื่ออาการต่างๆหยาบช้าลง แล้วก็/หรือเมื่อตื่นตระหนกในอาการ
  • ควรรีบเจอแพทย์ก่อนนัดหรือเป็นการฉุกเฉินเมื่อรับประทาน/ดื่มมิได้ หรือเกิดอาการงงงัน และ/หรือซึมลง เนื่องจากบางทีอาจเป็นอาการของตับวาย
  • การปกป้องตัวเองจากโรคไวรัสตับอักเสบ
  • รักษาสุขอนามัยรากฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อลดโอกาสติดโรคต่างๆ
  • ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนกินอาหารและก็หลังการขับถ่าย
  • กินแม้กระนั้นของกินที่ปรุงสุกอย่างทั่วถึง สะอาด ดื่มแม้กระนั้นน้ำที่สะอาด ระวังการกินน้ำแข็ง และอาหารสุกๆดิบๆ
  • รักษาความสะอาดแก้วน้ำแล้วก็ช้อนเสมอ
  • ระมัดระวังการสัมผัสเลือดและสารคัดเลือกหลั่งของบุคคลอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เครื่องมือบาง อย่างร่วมกันยกตัวอย่างเช่น เข็มฉีดยา เครื่องไม้เครื่องมือสักตามร่างกาย และกรรไกรตัดเล็บ
  • ใช้ถุงยางชายเสมอเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • ฉีดยาปกป้องโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบจำพวกมีวัคซีน
  • การฉีดวัคซีนคุ้มครองป้องกัน เชื้อไวรัสตับอักเสบบเอ


o          ทารกแรกคลอดทุกราย โดยเฉพาะถ้าหากคุณแม่เป็นพาหะของเชื้อ
o          เด็กทั่วไป เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน
o          เด็กโต วัยรุ่น คนแก่ อาจเคยติดเชื้อเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ แล้ว
o         ผู้ที่จะเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรค

  • การฉีดวัคซีนปกป้อง ไวรัสตับอักเสบบี


o       ทารกแรกคลอดทุกราย โดยเฉพาะถ้าเกิดแม่เป็นพาหะของเชื้อ
o         เด็กทั่วไป เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน
o         เด็กโต วัยรุ่น ผู้ใหญ่ บางทีอาจเคยติดโรคไวรัสตับอักเสบ บี แล้ว ให้ตรวจเลือดก่อนตรึกตรองฉีด วัคซีน

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคไวรัสตับอักเสบ[/url]

    ลูกใต้ใบ หรือ จูเกี๋ยเช่า เป็นหนึ่งสมุนไพรบำบัดตับ ต้นของลูกใต้ใบสามารถแก้ตับอักเสบ ต้นลูกใต้ใบประกอบด้วย สารไกลโคไซด์( Glycosides) ซาโพนิน (Saponin) แทนนิน (tannins) สารฟลาโวนอยด์ (flavonoid) ซึ่งเป็นกลุ่มสารพฤกษเคมี เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพืชนั้น ลูกใต้ใบช่วยบำรุงตับ ลดอาการตับอักเสบ มีผลการวิจัยในสัตว์พบว่า สามารถป้องกันความเป็นพิษของยาพาราเซตตามอลต่อตับได้ และยังมีผลการวิจัยพบสารสกัดจากลูกใต้ใบสามารถป้องกันไม่ให้ตับถูกทำลายจากสารพิษ อย่าง เหล้า ช่วยรักษาการอักเสบของตับทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง เช่น โรคไวรัสตับอักเสบบี และยังพบว่าทำให้การตับฟื้นตัวและยับยั้งเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ( HBV) ได้อีกด้วย
    โดยมีการทดลองและศึกษาวิจัยระหว่างคณะแพทย์จากสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา และคณะแพทย์อินเดียแห่งเมืองมีคราสได้ศึกษาวิจัยพืชสมุนไพรชนิดต่างๆ ที่มีการใช้รักษาอาการดีซ่านมาตั้งแต่โบราณ โดยได้นำพืชสมุนไพรกว่า 1,000 ชนิดที่ใช้กันทั่วโลกมาทดสอบ
    จากการทดลองพบว่า พืชสมุนไพรหลายชนิดมีฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์ดีเอ็นเอของไวรัสชนิดนี้ และสารสกัดของ ลูกใต้ใบ มีฤทธิ์สูงสุด การทดลองทางคลินิกในเมืองมีคราสทำโดยให้แคปซูลยาสมุนไพร 200 มิลลิกรัมน้ำหนักแห้งแก่ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ บี 37 คน วันละครั้ง 30 วันติดต่อกันพร้อมกับให้ยาหลอกซึ่งภายในแคปซูลบรรจุน้ำตาลแล็กโทสแทน 23 คน หลังจากนั้นเจาะเลือดผู้ป่วยมาตรวจหาเชื้อไวรัส พบว่าผู้ป่วย 22 คน (ร้อยละ 59) ไม่มีเชื้อไวรัสในกระแสเลือด ในขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกเพียง 1 คนที่ไม่พบเชื้อไวรัสในกระแสเลือด และภายหลังการติดตามผลการรักษาต่อไปอีก 9 เดือน พบว่า ผู้ป่วยทั้ง 22 คน ยังคงตรวจไม่พบเชื้อไวรัสในกระแสเลือดต่อไป
    เห็ดหลินจือ มีสารโพลีแซกคาไรด์ (polysaccharides) ออกฤทธิ์ยับยั้งสารพิษต่อตับ ไม่ให้ทำลายเซลล์ตับ เช่นสาร คาร์บอนเตตราคลอไรด์ ปรับปรุงการทำงานของตับ และยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีสารกลุ่มไตรเทอร์ปินนอยด์ (triterpenoids) ซึ่งมีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งตับ และสารเยอร์มาเนียม(germanium )ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายและยังมีกรดกาโนเดอลิก (ganoderic acid) กรดลูซิเดนิก (luci denic acid) เป็นสารต่อต้านสารพิษที่มีต่อตับ ยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ผิดปกติในตับ
    เอกสารอ้างอิง

  • โรคตับอักเสบ สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรคประจำปี 2555.สำนักระบาดวิทยา.กรมควบคุมโรค.กระทรวงสาธารณสุข.
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.ไวรัสตับอักเสบ(Viral hepatitis) .หาหมอดอทคอม.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • รศ.พญ.จันทพงษ์ วะสี. โรคตับอักเสบ จากเชื้อไวรัส.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่81.คอลัมน์โรคน่ารู้.มกราคม.2529
  • มารู้จักไวรัสตับอักเสบกันเถอะ.โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน.คณะเวชศาสตร์เขตร้อน.มหาวิทยาลัยมหิดล.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • รศ.นพ.สุรเกียรต์ อาชานานุภาพ.ตับอักเสบจากไวรัส.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่291.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กรกฏาคม.2546
  • รศ.จันทร์เพ็ญ วิวัฒน์.การทดลองใช้ยาสมุนไพรรักษาไวรัสตับอักเสบ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่121.คอลัมน์โลกกว้างและการแพทย์.พฤษภาคม.2541 http://www.disthai.com/
  • ศูนย์ข้อมูลโรคติดเชื้อและพาหนะนำโรค กรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • Dienstag,J., and Isselbacher, K. (2001). Acute viral hepatitis. In Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D., and Jamesson, J. Harrrison’s: Principles of internal medicine. (p1721-1737). New York. McGraw-Hill.
  • สมพนธ์ บุณยคุปต์.(2538).ตับอักเสบ. งานการพยาบาลป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี.แผ่นพับ.
  • ทวีศักดิ์ แทนวันดี.(ม.ป.ป.).โรคตับอักเสบจากไวรัสซี. เชอริง-พราว จำกัด.
  • ชมรมตับอักเสบแห่งประเทศไทย (ม.ป.ป.).ไวรัสตับอักเสบมฤตยูเงียบ.เชอริง-พราว จำกัด.
  • ยง ภู่วรรณ.(2539).ไวรัสตับอักเสบและการป้องกัน. กรุงเทพฯ : ชัยเจริญ.



Tags : โรคไวรัสตับอักเสบ

33

โรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)

  • โรคไข้เลือดออกคืออะไร โรคไข้เลือดออกหมายถึงโรคติดเชื้อซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจาก ไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) โดยมียุงลายเป็นยานพาหนะนำโรคอาการของโรคนี้มีความคล้ายกับโรคไข้หวัดในตอนแรก (แต่จะไม่มีอาการน้ำมูลไหล คัดจมูก หรือไอ) ก็เลยทำให้คนไข้รู้เรื่องคลาดเคลื่อนได้ว่าตนเป็นเพียงโรคไข้หวัด รวมทั้งทำให้มิได้รับการดูแลรักษาที่ถูกในทันทีทันใด โรคไข้เลือดออกมีอาการแล้วก็ความรุนแรงของโรคหลายระดับตั้งแต่ไม่มีอาการหรือมีอาการบางส่วนไปจนกระทั่งเกิดภาวะช็อกซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้เจ็บป่วยเสียชีวิต สถิติในปี พ.ศ. 2554 รายงานโดย กรุ๊ปโรคไข้เลือดออก สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีอัตราเจ็บป่วย 107.02 แล้วก็อัตราป่วยไข้ตาย 0.10 ซึ่งมีความหมายว่า ในประชากรทุก 100,000 คน จะมีบุคคลที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกได้ถึง 107.02 คน และก็มีผู้ตายจากโรคนี้ 0.1 คน อย่างยิ่งจริงๆ ดังนี้โรคไข้เลือดออกยังเป็นโรคระบาดที่มักพบแถบบ้านพวกเรารวมทั้งประเทศใกล้เคียง มีการระบาดเป็นระยะๆทั่วในจังหวัดกรุงเทพมหานคร และก็ชนบท พบมากการระบาดในฤดูฝนซึ่งเป็นช่วงๆที่มียุงลายชุม จากสถิติในปี พุทธศักราช 2556 ของสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีคนไข้จำนวน 154,444 ราย (คิดเป็นอัตราป่วยไข้ 241.03 ต่อประชาชน 100,000 ราย) และมีปริมาณคนป่วยเสียชีวิตจำนวน 136 ราย (คิดเป็นอัตราเสียชีวิต 0.21 ต่อพลเมือง 100,000 ราย)
  • ต้นเหตุของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่าเชื้อไวรัสเดงกี Dengue 4 ประเภทคือ Dengue 1, 2, 3 และ 4 โดยปกติไข้เลือดออกที่เจอกันทั่วๆไปทุกปีมักจะมีต้นเหตุมาจากเชื้อไวรัสDengue ชนิดที่ 3 หรือ 4 แต่ที่มีข่าวสารมาในเวลานี้จะเป็นการติดเชื้อโรคในสายพันธ์2เป็นสายพันธ์ที่เจอได้เรี่ยรายแต่อาการชอบรุนแรงกว่าสายพันธ์ที่ 3, 4 และก็ควรเป็นการติดเชื้อซ้ำครั้งที่ 2 (Secondaryinfection) เชื้อไวรัสเดงกี่ เป็น single strandcd RNA เชื้อไวรัส อยู่ใน familyflavivirida มี4 serotypes (DEN1, DEN2, DEN3, DEN4) ซึ่งมีantigen ของกลุ่มบางชนิดร่วมกัน จึงทำให้มีcross reaction พูดอีกนัยหนึ่ง เมื่อมีการติดโรคชนิดใดแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสชนิดนั้นอย่างถาวรชั่วชีวิต รวมทั้งจะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสเดงกี่อีก 3 ชนิด ในตอนระยะสั้นๆโดยประมาณ 6 - 12 เดือน (หรืออาจสั้นกว่านี้) เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ภายในเขตพื้นที่ที่มีเชื้อไวรัสเดงกี่ชุมอาจมีการต่อว่าดเชื้อ 3หรือ 4 ครั้งได้  การตำหนิดเชื้อไวรัสเดงกีมีลักษณะแสดงได้ 3 แบบหมายถึงไข้เดงกี (Denque Fever – DF),ชอบเกิดกับเด็กโตหรือคนแก่อาจจะมีอาการไม่ร้ายแรงและไม่สามารถจะวินัจฉัยได้การอาการทางสถานพยาบาลได้แน่นอนจะต้องอาศัยการตรวจทางทะเลเหลืองแล้วก็แยกเชื้อไวรัส ไข้เลือดออก หรือ ไข้เลือดออกเดงกี (Dengue hemorrhagic fever – DHF) รวมทั้งไข้เลือดออกเดงกีที่ช็อก (Denque Shock Syndrome – DSS) เป็นกรุ๊ปอาการที่เกิดขึ้นต่อจากระยะ DHF เป็นมีการรั่วของพลาสมาออกไปๆมาๆกทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะช็อก แล้วก็สามารถตรวจเจอรระดับอีมาโตคริต    (Hct)  สูงมากขึ้นรวมทั้งมีน้ำในเยื่อหุ้มช่วงปอดและท้องอีกด้วย
  • ลักษณะของโรคไข้เลือดออก ระยะที่ 1 (ระยะไข้สูง) ผู้เจ็บป่วยจะจับไข้สูงลอย (กินยาลดไข้ไข้ก็จะไม่ลด) ไข้39 - 41 องศาเซลเซียส ประมาณ 2 - 7 วัน ทุกรายจะมีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ส่วนมากไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส ไข้บางทีอาจสูงถึง 40 - 41 องศาเซลเซียสได้ซึ่งบางรายอาจมี อาการชักเกิดขึ้น คนเจ็บชอบมีหน้าแดง (Flushed face) อาจตรวจ เจอคอแดง (Injected pharynx) ได้แต่ว่าส่วนใหญ่คนเจ็บจะไม่มีอาการ น้ำมูกไหล หรืออาการไอ ซึ่งช่วยสำหรับการวิเคราะห์แยกโรคจากหัดใน ช่วงแรก และก็โรคระบบทางเดินหายใจได้ เด็กโตบางทีอาจบ่นปวดหัว ปวดรอบกระบอกตา ในระยะไข้นี้อาการทางระบบทางเดินอาหารที่พบได้มากเป็นไม่อยากอาหาร อ้วก บางรายอาจมีลักษณะของการปวดท้องร่วมด้วย ซึ่งใน ระยะเริ่มต้นจะปวดโดยธรรมดา และบางทีอาจปวดที่ชายโครงขวาในระยะ ที่มีตับโต ปวดศีรษะ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเรียกตัว อยากดื่มน้ำ ซึม ในบางรายอาจมีอาการปวดท้องในบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงทางด้านขวา หรืออาจมีอาการท้องผูกหรือถ่ายเหลว ส่วนในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี อาจเจออาการไข้สูงร่วมกับอาการชักได้ ระยะที่ 2 (ระยะช็อกรวมทั้งมีเลือดออก หรือ ระยะวิกฤติ) มักจะเจอในไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อเดงกีที่มีความร้ายแรงขั้นที่ 3 และ 4 อาการจะเกิดขึ้นในตอนระหว่างวันที่ 3-7 ของโรค ซึ่งนับได้ว่าเป็นช่วงที่วิกฤติของโรค โดยลักษณะของการมีไข้จะเริ่มต่ำลง แม้กระนั้นคนป่วยกลับมีลักษณะอาการทรุดหนัก มีลักษณะเลือดออก : อาการเลือดออกที่พบได้มากที่สุดที่ผิวหนัง โดยจะตรวจเจอว่าเส้นโลหิตเปราะ แตกง่าย กระบวนการทำ torniquet test ได้ผลบวกได้ตั้งแต่ 2 - 3 วันแรกของโรค ร่วมกับมีจุดเลือดออกเล็กๆกระจัดกระจายอยู่ตามแขน ขาลำตัว จั๊กกะแร้อาจมีเลือดกำเดา หรือเลือดออก ตามไรฟัน ในรายที่ร้ายแรงอาจมีอ้วก เจ็บท้อง และขี้เป็นเลือด ซึ่งชอบเป็นสีดำ (Malena) อาการเลือดออกในทางเดินของกิน มีความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด หรือช็อก:ชอบกำเนิด ตอนไข้จะลดเป็นระยะที่มีการรั่วของพลาสมาซึ่งจะพบทุกรายในคนไข้ ไข้เลือดออกเดงกี่ โดยระยะรั่วจะมีโดยประมาณ 24 - 28 ชั่วโมง ราวๆ 1 ใน 3 ของคนป่วยจะมีอาการร้ายแรงมีสภาวะการไหล เวียนล้มเหลวเกิดขึ้น เนื่องด้วยมีการรั่วของพลาสมาออกไปยังช่องปอด/ ท้องมาก กำเนิด hypovolemic shock ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการ เร่าร้อนใจ มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นค่อยเร็ว(อาจมากกว่า 120 ครั้ง/นาที) ปัสสาวะน้อย ความดันเลือดเปลี่ยน ตรวจเจอ pulse pressure แคบ พอๆกับหรือน้อยกว่า 20 มม.ปรอท (ค่าปกติ30-40มม.ปรอท) ภาวการณ์ช็อกที่เกิดขึ้นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลง อย่างเร็วหากไม่ได้รับการดูแลและรักษาคนไข้จะมีลักษณะชั่วลงรอบปากเขียว ผิวสีม่วงๆตัวเย็นชืด เช็คชีพจรแล้วก็/หรือวัดความดันมิได้ (Profound shock) สภาวะทราบสติแปรไป และจะเสียชีวิตข้างใน 12-24ชั่วโมงข้างหลังเริ่มมีสภาวะช็อกแม้ว่าคนเจ็บได้รับการดูแลและรักษาอาการช็อก อย่างทันเวลาและก็ถูกก่อนที่จะเข้าสู่ระยะ profound shock โดยมากก็จะฟื้นได้อย่างเร็ว ระยะที่ 3 (ระยะฟื้นตัว) ในรายที่มีภาวการณ์ช็อกไม่รุนแรง เมื่อผ่านวิกฤติตอนระยะที่ 2 ไปแล้ว อาการก็จะดีขึ้นอย่างเร็ว หรือแม้กระทั้งคนไข้ที่มีสภาวะช็อกรุนแรง เมื่อได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องแล้วก็ทันทีทันควันก็จะฟื้นไปสู่สภาพปกติ โดยอาการที่หมายความว่าดียิ่งขึ้นนั้นหมายถึงผู้เจ็บป่วยจะเริ่มต้องการทานอาหาร แล้วอาการต่างๆก็จะกลับคืนสู่สภาพธรรมดา ชีพจรเต้นช้าลง ความดันเลือดกลับมาสู่ปกติ ฉี่ออกมากขึ้น
  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคไข้เลือดออก เนื่องแต่โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่มียุงลายเป็นยานพาหนะนำโรคโดยเหตุนั้น สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้มีการเกิดโรคไข้เลือดออกนั้น บางครั้งก็อาจจะแบ่งได้เป็น 2 กรณี 1.การเช็ดกยุงลายกัด ด้วยความที่พวกเราไม่สามารถที่จะทราบได้เลยว่ายุงตัวไหนมีเชื้อไหมมีเชื้อด้วยเหตุผลดังกล่าว เมื่อถูกยุงลายกัด จึงมีความเป็นไปได้เสมอว่าพวกเราบางครั้งก็อาจจะได้รับเชื้อไวรัสเดงกีที่ส่งผลให้เกิดโรคไข้เลือดออก โดยเฉพาะเมื่อเราถูกยุงลายกัดในพื้นที่ที่การระบายของโรคไข้เลือดออก หรือ อยู่ภายในเขตพื้นที่ที่มีความมากมายของยุงลายสูง 2.แหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย ในเมื่อยุงลายเป็นยานพาหนะนำโรคไข้เลือดออกแล้วนั้น จึงพอๆกับว่าถ้าเกิดยุงลายมีเยอะแยะก็จะก่อให้กำเนิดการเสี่ยงสำหรับการกำเนิดโรคไข้เลือดออกมากมายตามมา รวมทั้งถ้าหากยุงลายมีจำนวนน้องลง การเสี่ยงที่จะกำเนิดโรคไข้เลือดออกก็น่าจะน้อยลงตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้การควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ก็เลยน่าจะเป็นการลดการเสี่ยงสำหรับในการกำเนิดโรคไข้เลือดออกได้ และก็หากชุมชนสามารถช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้ก็จะมีผลให้ชุมดูนั้น ปราศจากจากโรคไข้เลือดออกได้
  • แนวทางการรักษาโรคไข้เลือดออก การวิเคราะห์โรคไข้เลือดออก แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกได้จากอาการทางคลินิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการไข้สูง 39-41 องศาเซลเซียส หน้าแดง เปลือกตาแดง อาจคลำได้ตับโต กดเจ็บ มีผื่นแดง หรือจุดแดงจ้ำเขียว โดยไม่มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ หรือเจ็บคอ ร่วมกับการมีประวัติโรคไข้เลือดออกของผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณเดียวกัน หรือมีการระบาดของโรคในตอนนั้นๆแล้วก็การทดลองทูร์นิเคต์ได้ผลบวก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์โรคนี้ได้ นอกจากนั้น การส่งไปตรวจเลือด ซีบีซี (CBC) จะตรวจเจอเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวค่อนข้างต่ำรวมทั้งความเข้มข้นของเลือดสูง เพียงเท่านี้ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้เป็นส่วนมากแล้ว แม้กระนั้นในบางราย แม้อาการ ผลของการตรวจร่างกาย แล้วก็ผลเลือดในเบื้องต้นยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ ในตอนนี้ก็มีวิธีการส่งเลือดไปตรวจหาภูมิต้านทานขัดขวางต่อเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งจะช่วยทำให้การวิเคราะห์โรคนี้ได้อย่างแม่นยำเยอะขึ้น

เนื่องจากว่ายังไม่มีการพัฒนายาฆ่าเชื้อเชื้อไวรัสเดงกี่การดูแลและรักษาโรคนี้ ก็เลยเป็นการรักษาตามอาการเป็นหลัก กล่าวคือ มีการใช้ยาลดไข้ เช็ดตัว แล้วก็การปกป้องคุ้มครองสภาวะช็อก ยาลดไข้ที่ใช้มีเพียงแค่ประเภทเดียว คือ ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ขนาดยาที่ใช้ในคนแก่คือ พาราเซตามอลแบบเป็นเม็ดละ500มิลลิกรัมรับประทานครั้งละ1-2เม็ด ทุก 4 - 6 ชั่วโมง โดยไม่ควรกินเกินวันละ 8 เม็ด (4 กรัม) ส่วนปริมาณยาที่ใช้ในเด็กคือ พาราเซตามอลแบบเป็นน้ำ 10-15มิลลิกรัมต่อ น้ำหนักตัว 1 โลต่อครั้ง ทุก 4 - 6 ชั่วโมง โดยไม่สมควรรับประทาน เกินวันละ5ครั้ง หรือ2.6กรัม สินค้าพาราเซตามอลชนิดน้ำสำหรับเด็กมีจำหน่ายในหลายความแรงเช่น 120 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา (1 ช้อนชา พอๆกับ 5 มล.), 250 มก.ต่อ 1 ช้อนชา, และ 60 มิลลิกรัมต่อ 0.6 มิลลิลิตร ส่วนใหญ่เป็นยาน้ำเชื่อมที่จำต้องรินใส่ช้อนเพื่อป้อนเด็ก ในกรณีเด็กทารก การป้อนยาทำเป็นค่อนข้างยากก็เลยมีผลิตภัณฑ์ยาที่ทำขายโดยบรรจุในขวดพร้อมหลอดหยด เวลาใช้ก็เพียงใช้หลอดหยดดูดยาออกจากขวดแล้วก็นำไปป้อนเด็กได้เลย ด้วยสาเหตุอันเกิดจากที่สินค้าพาราเซตามอลรูปแบบน้ำสำหรับเด็กมีหลายความแรง จำเป็นจะต้องอ่านฉลากแล้วก็การใช้ให้ดีก่อนนำไปป้อนเด็ก กล่าวคือ ถ้าเด็กหนัก 10 โล รวมทั้งมียาน้ำความแรง 120 มก.ต่อ 1 ช้อนชา ก็ควรจะป้อนยาเด็กครั้งละ 1 ช้อนชาหรือ 5 มิลลิลิตร และป้อนซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมงแม้กระนั้นไม่สมควรป้อนยาเกินวันละ 5 ครั้ง ถ้าหากว่าไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ทันที ยาพาราเซตามอลนี้เป็นยารับประทาน ตามอาการ ด้วยเหตุนี้ถ้าเกิดว่าไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ในทันทีส่วนยา แอสไพรินแล้วก็ไอบูโปรเฟนเป็นยาลดไข้ด้วยเหมือนกัน แต่ยาทั้งสองแบบนี้ ห้ามนำมาใช้ในโรคไข้เลือดออก เนื่องจากว่าจะยิ่งผลักดันการเกิดภาวะ เลือดออกเปลี่ยนไปจากปกติกระทั่งอาจเกิดอันตรายต่อคนป่วยได้ ในส่วนการปกป้องภาวะช็อกนั้น กระทำได้โดยการทดแทนน้ำ ให้ร่างกายเพื่อไม่ให้ปริมาตรเลือดลดลดลงกระทั่งทำให้ความดันโลหิตตก แพทย์จะใคร่ครวญให้สารน้ำตามความร้ายแรงของอาการ โดยอาจให้ คนเจ็บดื่มเพียงแค่สารละลายเกลือแร่ โออาร์เอส หรือคนไข้บางราย บางทีอาจได้รับน้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดดำ  ในกรณีที่คนเจ็บเกิดภาวะเลือด ออกผิดปกติกระทั่งเกิดภาวะเสียเลือดอาจจำต้องได้รับเลือดเพิ่มเติมอีก แม้กระนั้น จะต้องเฝ้าระวังสภาวะช็อกตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น เนื่องจากว่าภาวการณ์นี้มีความอันตรายต่อชีวิตของคนไข้อย่างยิ่ง

  • การติดต่อของโรคไข้เลือดออก การติดต่อของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออก มักติดต่อจากคนไปสู่คน ซึ่งมียุงลายตัวเมีย (Aedes aegypt)  เป็นตัวพาหะที่สำคัญ โดยยุงตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกี แล้วต่อจากนั้นเชื้อจะเข้าไปฟักตัวและก็เพิ่มในตัวยุงลาย ทำให้มีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวของยุงตลอดระยะเวลาอายุขัยของมันโดยประมาณ 1 - 2 เดือน แล้วถ่ายทอดเชื้อไปสู่คนที่ถูกกัดได้ในรัศมี 100 เมตร ยุงลายเป็นยุงที่อาศัยอยู่ในรอบๆบ้าน มักออกกัดกลางวัน มีแหล่งเพาะพันธุ์เป็นน้ำนิ่งที่ขังอยู่ในภาชนะเก็บน้ำต่างๆอาทิเช่น ตุ่ม แจกันดอกไม้ ถ้วยรองขาตู้ จาน จานชาม กระป๋อง หม้อ ยางรถยนต์ หรือกระถาง เป็นต้น  โรคไข้เลือดออก พบส่วนมากในช่วงฤดูฝน เนื่องจากว่าในฤดูนี้เด็กๆชอบอยู่กับบ้านมากยิ่งกว่าฤดูอื่นๆทั้งยุงลายยังมีการขยายพันธุ์มากมายในช่วงฤดูฝน ซึ่งในเมืองใหญ่ๆที่มีประชากรหนาแน่น รวมทั้งมีปัญหาทางด้านกายภาพเกี่ยวกับขยะ อย่าง กรุงเทพฯ อาจเจอโรคไข้เลือดออกนี้ได้ตลอดทั้งปี


ทราบได้เช่นไรว่าพวกเราจับไข้เลือดออก ข้อคิดเห็นบางประการที่บางครั้งอาจจะช่วยให้สงสัยว่าอาจจะจับไข้เลือดออก เป็นต้นว่า  เป็นไข้สูง เหน็ดเหนื่อยเป็นเกิน 2 วัน  ถ้ามีปวดหัวมากมายหรือคลื่นไส้มากร่วมด้วย  หลังเป็นไข้ 2 ถึง 7 วัน แล้วไข้ต่ำลงเอง เมื่อไข้ลดแล้วมีลักษณะอาการเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งบางครั้งก็อาจจะเจ็บป่วยเลือดออกได้ ปวดศีรษะมากมาย อ่อนล้ามาก คลื่นไส้มากมาย รับประทานอาหารไม่ได้ ปวดท้อง มีจ้ำเลือดเล็กๆบริเวณแขน ขา หรือลำตัว มีเลือดออกตามอวัยวะได้แก่ เลือดกำเดา ถ่ายเป็นเลือด เมนส์มาก่อนกำทีด ฯลฯ

  • การกระทำตนเมื่อเป็นไข้เลือดออก ในระยะ 2 - 3 วันแรกของการจับไข้หากยังทานอาหารแล้วก็ดื่มน้ำได้ ไม่คลื่นไส้ ไม่เจ็บท้อง ไม่มีจ้ำเลือดขึ้นและก็ยังไม่มีอาการเลือดออกหรือสภาวะช็อกเกิดขึ้น ควรปฏิบัติดังนี้ ให้คนไข้พักมากๆหากเป็นไข้สูงให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเป็นประจำและก็ให้ยาลดไข้พาราเซตามอล ผู้ใหญ่รับประทาน 1-2 เม็ด เด็กโต ½ - 1 เม็ด เด็กตัวเล็กๆใช้รูปแบบน้ำเชื่อม 1- 2 ช้อนชา ถ้าหากยังมีไข้รับประทานซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง ห้ามให้ยาแอสไพริน โดยเด็ดขาด เพราะเหตุว่าอาจจะเป็นผลให้มีเลือดออกได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น ถ้าหากเป็นผู้เจ็บป่วยเด็กรวมทั้งเคยชัก ควรให้รับประทานยากันชักไว้ก่อน รับประทานอาหารอ่อนๆเช่น ข้าวต้ม โจ๊ก และดื่มน้ำมากๆเฝ้าดูอาการคนเจ็บอย่างใกล้ชิด หมั่นกินน้ำ หรือเกลือแร โออาร์เอส ให้มากมายๆเพื่อคุ้มครองการช็อกจากการขาดน้ำ และถ้าหากมีลักษณะดังนี้ควรจะไปพบแพทย์โดยด่วน  ซึมลงอย่างเร็ว เมื่อยล้าอย่างมาก มีจ้ำเลือดตามร่างกายมากมาย อาเจียนมากมาย รับประทานอาหารและก็กินน้ำมิได้ มีเลือดออกตามร่างกายตัวอย่างเช่น เลือดกำเดา อาเจียนเป็นเลือดถ่ายอุจจาระเป็นเลือด หรือเลือดออก ช่องคลอด เจ็บท้องมาก
  • การปกป้องตัวเองจากโรคไข้เลือดออก แม้ว่าในขณะนี้เริ่มจะมีการพัฒนาวัคซีนคุ้มครองการต่อว่าดเชื้อไวรัสเดงกี่ แต่ก็ยังไม่มียาซึ่งสามารถฆ่าเชื้อเชื้อไวรัสเดงกี่ได้ โดยเหตุนี้คำตอบที่ดีเยี่ยมที่สุดของโรคไข้เลือดออกในขณะนี้ คือ การปกป้องคุ้มครองไม่ให้เป็นโรคโดยการควบคุมยุงลายให้มีจำนวนน้อยลงซึ่งทำเป็นโดยการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายและการกำจัดยุงลายลูกน้ำรวมทั้งตัวสมบูรณ์เต็มวัย และก็คุ้มครองไม่ให้ยุงลายกัด ทั้งนี้การปกป้องทำเป็น 3 ลักษณะ คือ


การคุ้มครองป้องกันทางกายภาพ อย่างเช่น ปิดภาชนะเก็บน้ำด้วยฝาปิด อาทิเช่น มีผาปิดปากตุ่ม ตุ่มน้ำ ถังเก็บน้ำ หรือถ้าเกิดไม่มีฝาปิด ก็วางคว่ำลงแม้ยังไม่ต้องการที่จะอยากใช้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กลายเป็นที่ออกไข่ของยุงลาย เปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้สดเป็นประจำอย่างน้อยทุกๆ7 วัน ปล่อยปลารับประทานลูกน้ำลงในภาชนะเก็บน้ำ ยกตัวอย่างเช่น โอ่ง ตุ่ม ภาชนะละ 2-4 ตัว รวมทั้งอ่างบัวแล้วก็ตู้สำหรับเลี้ยงปลาก็ควรมีปลารับประทานลูกน้ำเพื่อรอควบคุมปริมาณลูกน้ำยุงลายเช่นกัน ใส่เกลือลงน้ำในจานสำหรับเพื่อรองขาตู้อาหาร เพื่อควบคุมรวมทั้งกำจัดลูกน้ำยุงลาย โดยใส่เกลือ 2 ช้อนชา ต่อความจุ 250 มิลลิลิตร พบว่าสามารถควบคุมลูกน้ำได้นานกว่า 7 วัน
การปกป้องทางเคมี เป็นต้นว่า เพิ่มเติมทรายทีมีฟอส ซึ่งเป็นสารเคมีที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใช้และรับรองความปลอดภัย เหมาะสมกับภาชนะที่ไม่สามารถที่จะใส่ปลารับประทานลูกน้ำได้  การพ่นสารเคมีหรือยากันยุงเพื่อกำจัดยุงตัวเต็มวัย มีจุดแข็งก็คือ ประสิทธิภาพสูง แต่ว่าจุดอ่อนคือ ราคาแพงแพง และเป็นพิษต่อคนและก็สัตว์เลี้ยง จึงจะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญสำหรับการฉีดพ่นและก็ฉีดเฉพาะเมื่อจำเป็นจะต้องเท่านั้น เพื่อคุ้มครองปกป้องความเป็นพิษต่อคนและก็สัตว์เลี้ยง ควรจะเลือกฉีดในตอนที่มีคนอยู่น้อยที่สุดและฉีดพ่นลงในแหล่งที่คาดว่าเป็นแหล่งเกาะพักของ อย่างเช่น ท่อสำหรับเพื่อระบายน้ำ ฯลฯ การใช้สารเคมีเพื่อกำจัดยุงในบ้านเรือน ที่ใช้กันมี 2 จำพวก คือ ยาจุดกันยุง แล้วก็สเปรย์ฉีดไล่ยุง ขึ้นรถออกฤทธิ์อาจเป็นยาในกรุ๊ปไพรีทรอยด์ (Pyrethroids), ดีท (DEET, diethyltoluamide) เป็นต้น ครั้งก่อนมียาฆ่ายุงด้วย มีชื่อว่า สารฆ่าแมลงดีดีที แต่สารนี้ถูกยกเลิกการใช้ไปแล้วด้วยเหตุว่าเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตและหลงเหลือในสภาพแวดล้อมเป็นเวลานานมากมาย แต่ สารเคมีไม่ว่าจากยาจุดกันยุงหรือสเปรย์ฉีดไล่ยุง ก็มีความเป็นพิษต่อคนแล้วก็สัตว์ ด้วยเหตุนั้นเพื่อลดความเป็นพิษดังที่กล่าวมาข้างต้นควรจุดยากันยุงในรอบๆที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ล้างมือทุกครั้งภายหลังสัมผัส ส่วนยาฉีดไล่ยุงจะมีความเป็นพิษมากกว่า โดยเหตุนี้ห้ามฉีดลงบนผิวหนัง แล้วก็ควรปฏิบัติตามวิธีการใช้ที่กำหนดข้างกระป๋องอย่างเคร่งครัด
การกระทำตัว เช่น นอนในมุ้ง หรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด โดยต้องปฏิบัติแบบเดียวกันตอนกลางวันแล้วก็ตอนกลางคืน ถ้าเกิดไม่อาจจะนอนในมุ้งหรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดได้ ควรที่จะใช้ยากันยุงจำพวกทาผิวซึ่งมีสารสำคัญที่สกัดจากธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น น้ำมันตะไคร้หอม (oil of citronella), น้ำมันยูคาลิปตัส (oil of eucalyptus) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงขึ้นยิ่งกว่ามาทาหรือหยดใส่ผิวหนังใช้เป็นยากันยุง แต่ว่าคุณภาพจะต่ำลงยิ่งกว่า DEET

  • สมุนไพรชนิดไหนที่ช่วยรักษาป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ โดยจากการศึกษาเล่าเรียนข้อมูล พบว่า สามารำใช้ใบมะละกอสดมาคันน้ำกินควบคู่กับการดูแลและรักษาแผนปัจจุบัน จะทำให้เกล็ดเลือดของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมากขึ้นได้ภายใน 24 – 48 ชม. ช่วยลดอัตราการตายลงได้ มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยรอบรับในหลายประเทศ มีการทดลองในคนใช้แล้วเห็นผล ตัวอย่างเช่น อินเดีย ประเทศปากีสถาน มาเลเซีย นอกนั้นยังมีการจดสิทธิบัตรน้ำใบมะละกอในต่างแดนด้วย ไม่ได้ใช้เฉพาะผู้เจ็บป่วยเกล็ดเลือดต่ำจากไข้เลือดออกเพียงอย่างเดียว แต่ว่าใช้ในกรณีอื่นด้วย กรรมวิธีการรักษาโรคไข้เลือดออกด้วยใบมะละกอสด คือ ใช้ใบมะละกอสดจำพวกใดก็ได้ราว 50 กรัม จากต้นมะละกอ แล้วล้างให้สะอาด รวมทั้งทำบทให้ละเอียด ไม่ต้องเพิ่มน้ำ กรองเอากากออก กินน้ำใบมะละกอสดแยกกาก วันละ ครั้งแก้ว หรือ 30 ซีซี ต่อเนื่องกัน 3 วัน โดยวิธีนี้มีการวิจัยมาแล้วว่าปลอดภัย


สมุนไพรซึ่งสามารถไล่ยุงได้ ตะไคร้หอม ช่วยสำหรับในการไล่ยุงเพราะเหตุว่ากลิ่นฉุนๆของมันไม่เป็นมิตรกับยุงร้าย ในตอนนี้มีการทำออกมาในรูปของสารสกัดชนิดต่างๆไว้สำหรับคุ้มครองป้องกันยุงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แต่ถ้าอยากให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีสุดๆควรใช้ตะไคร้หอมไล่ยุงชนิดที่สกัดน้ำมันเพียวๆจากต้นตะไคร้หอมจะเยี่ยมที่สุด เว้นเสียแต่กลิ่นจะช่วยขับไสยุงแล้ว ยังช่วยไล่แมลงอื่นๆได้อีกด้วยล่ะ เปลือกส้ม ยังมีคุณประโยชน์เป็นสมุนไพรไล่ยุงได้อีกด้วย กรรมวิธีการไล่ยุงด้วยเปลือกส้มนั้น เพียงแต่ใช้เปลือกส้มที่แกะออกจากผลส้มแล้วมาผึ่งจนแห้ง ต่อจากนั้นนำมาเผาไฟ ควันที่เกิดขึ้นและน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในเปลือกส้มมีสรรพคุณเป็นอย่างดีสำหรับเพื่อการไล่ยุง  มะกรูด นับได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มากมายไปด้วยผลดี และก็ยังสามารถเอามาเป็นสมุนไพรไล่ยุงได้อย่างดีเยี่ยม แนวทางการคือ นำผิวมะกรูดสดมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆมาตำกับน้ำเท่าตัวจนแหลกละเอียด หลังจากนั้นให้กรองเอาเฉพาะน้ำ สามารถเอามาทาผิวหรือใส่กระบอกสำหรับฉีดเพื่อฉีดตามจุดต่างๆของบ้านได้ โหระพา กลิ่นหอมแรงของโหระพายังเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวที่ช่วยสำหรับในการไล่ยุงและแมลง ทำให้มันไม่สามารถที่จะคงทนกับกลิ่นแรงของโหระพาได้ สะระแหน่ นับว่าเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่ให้กลิ่นหอมหวน แต่กลิ่นหอมสดชื่นๆของมันไม่ค่อยถูกกันกับยุงนัก กรรมวิธีไล่ยุงแค่เพียงนำใบสะระแหน่มาบดขยี้ให้กลิ่นออกมา ต่อจากนั้นนำไปวางตามจุดต่างๆที่มียุงจำนวนมากหรือสามารถนำใบสะระแหน่มาบดแล้วทาลงบนผิวหนังจะก่อให้ผิวหนังกระชุ่มกระชวยและยังช่วยกันยุงได้อีกด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • กลุ่มโรคไข้เลือดออก สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการประเมินผลตามตัวชิ้วัดงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกระดับจังหวัด ปี 2553. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: 2543.1-12.
  • (ภกญ.วิภารักษ์ บุญมาก).”โรคไข้เลือดออก”ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • สิวิกา แสงธาราทิพย์ ศิริชัย พรรณธนะ(2543).โรคไข้เลือดออก.(พิมพ์ครั้งที่2).พิมพ์ที่บริษัท เรดิเอชั่น จำกัด สำนักงานควบคุมโรคไข้เลือดออก กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข http://www.disthai.com/
  • สำนักพัฒนาวิชาการแพทย์ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการวินิจฉัยและรักษาไข้เลือดออกในระดับโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด; 2548.8-33.
  • แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคไข้เลือดออกเดงกี กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวจสาธารณสุข.(2544).กระทรวจสาธารณสุข
  • Sunthornsaj N, Fun LW, Evangelista LF, et al. MIMS Thailand. 105th ed. Bangkok: TIMS Thailand Ltd; 2006.118-33.
  • นพ.สมชาญ เจียรนัยศิลป์.ไข้เลือดออก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่267.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2544
  • คู่มือวิชาการโรคติดเชื้อเดงกีและโรคไข้เลือดออกเดงกีด้านการแพทย์และสาธารณสุข.สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลงกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข.2558
  • กันยา ห่านณรงค์.โรคไข้เลือดออก.จดหมายข่าว R&D NEWSLETTER.ปีที่23.ฉบับที่1 ประจำเดือนมกราคม-มีนาคม2559.หน้า 14-16
  • รักษา”ไข้เลือดออก”แนวใหม่ใช้ใบมะละกอคั้นน้ำกินเพิ่มเกล็ดเลือด.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.dailinews.co.th*politics/232509
  • World Health Organization Regional Office for South-East Asia. Guidelines for treatment of Dengue Fever/Dengue Hemorrhagic Fever in Small Hospitals,1999:28. Available from: http://www.searo.who.int/linkfiles/dengue_guideline-dengue.pdf Accessed May 10, 2012.
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.”ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever/DHF)” หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.
  • สถานการณ์โรคไข้เลือดออก พ.ศ.2554.กลุ่มโรคไข้เลือดออก สำนักงานโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทร

34

โรคปอดอักเสบ / ปอดบวม (Pneumonia)

  • โรคปอดอักเสบ / ปอดอักเสบ เป็นยังไง ปอด (Lung) เป็นอวัยวะในระบบการหายใจที่อยู่ด้านในหน้าอกทั้ง 2 ข้าง มีลักษณะเป็นเนื้อหยุ่นๆมีสีออกชมพูมีบทบาทเปลี่ยนก๊าสจากอากาศที่เราหายใจเข้าไป คือ ในตอนที่เราหายใจเข้าปอดจะปฏิบัติภารกิจนำแก๊สออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงร่างกายและก็ในขณะเดียวกันปอดก็จะขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ออกมากับลมหายใจ ธรรมดาเนื้อปอดนี้จะเป็นอวัยวะที่ปราศจากเชื้อโรค เมื่อมีเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆเข้าไปถึงเนื้อปอด จะนำมาซึ่งการทำให้การอักเสบแล้วก็มีการบวมเกิดขึ้น ซึ่งโรคปอดอักเสบ (Pneumonitis – นิวโมนิว่ากล่าวส) เป็นคำทั่วไปจุดหมายถึงการอักเสบของเนื้อเยื่อปอด ในระหว่างที่ปอดอักเสบ (Pneumonia – นิวโมเนีย) เป็นจำพวกของการต่อว่าดเชื้อที่ทำให้มีการเกิดการอักเสบของปอด โรคปอดอักเสบรวมทั้งปอดอักเสบก็เลยสื่อความหมายคล้ายกันมากกระทั่งใช้เรียกแทนกันได้ แต่ในตอนนี้นิยมเรียกโรคปอดอักเสบมากกว่าเนื่องจากว่ามีความหมายตรงกว่า โรคปอดอักเสบ (Pneumonia) เป็นโรคติดเชื้อโรคในระบบทางเท้าหายใจ ซึ่งระยะฟักตัวขึ้นกับเชื้อที่ก่อโรคโดยบางทีอาจใช้เวลาฟักตัว 1-3 วัน หรือบางครั้งอาจจะนาน 1-4 อาทิตย์ เลยทีเดียว ซึ่งจะทำให้กำเนิด การอักเสบของเนื้อปอด*ซึ่งประกอบไปด้วยถุงลมปอดรวมทั้งเยื่อรอบๆทำให้ปอดปฏิบัติหน้าที่ได้น้อยลง และก็เกิดอาการหายใจหอบเมื่อยล้า หายใจลำบาก ซึ่งจัดเป็นภาวะรุนแรงทำให้ผู้ป่วยอาจมีอาการร้ายแรงจนกระทั่งขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กตัวเล็กๆ คนชรา ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่อต้านโรคต่ำ เป็นต้น
  • ที่มาของโรคปอดอักเสบ/ปอดบวม ปอดอักเสบมีต้นเหตุมาจากหลายสาเหตุ แต่ที่มักพบหมายถึงการตำหนิดเชื้อ ยกตัวอย่างเช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย โปโตซัว หรือ เชื้อวัณโรค อย่างเช่น การต่อว่าดเชื้อแบคทีเรีย ชนิดหนึ่งที่เป็นต้นเหตุของปอดอักเสบที่พบมากที่สุดในคนทุกวัย ดังเช่นว่า เชื้อปอดอักเสบ ที่มีชื่อว่า “สเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus pheumoniae) หรือมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า “นิวโมค็อกคัส” (Pneumococcus) ซึ่งเป็นเชื้อที่นำมาซึ่งอาการปอดอักเสบรุนแรงและก็ร้ายแรง โดยแต่ละคนมีการ ติดเชื้อโรคยากง่ายต่างกัน ถ้าหาก เป็นคนที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่อง ติดเชื้อโรคภูมิคุมกันบกพร่อง ได้ยากดภูมิคุ้มกันก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการต่อว่าดเชื้อได้ง่ายยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไป เช่นเดียวกับผู้สูงวัยสุขภาพไม่ดีเสมือนวัยรุ่น ถ้าติดเชื้อตัวเดียวกัน คนชราอาจมีอาการร้ายแรงกว่า นอกจากนั้นคนวัยชราอาจเป็นโรคอันอื่นร่วมด้วย ได้แก่ เบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจ หากมีภาวการณ์เหล่านี้ เพียงพอมีปอดอักเสบร่างกายก็จะทรุดเร็วภาวะแทรกซ้อนก็เกิดได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ขาดออกซิเจนได้ง่ายขึ้น
  • อาการของโรคปอดอักเสบ/ปอดอักเสบ ลักษณะโรคปอดอักเสบ/ปอดอักเสบ ผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการไอ มักมีเสมหะ มีไข้ เจ็บอก อ่อนล้าง่าย อาการไข้ มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน หรือมีไข้ตัวร้อนตลอดเวลา อาการไอ ในระยะแรกอาจมีอาการไอแห้งๆไม่มีเสมหะ แล้วถัดมาจะมีเสมหะขาวหรือขุ่นข้นออกเป็นสีเหลือง สีเขียว หรือบางรายอาจะเป็นสีสนิมเหล็กหรือมีเลือดคละเคล้า ลักษณะของการเจ็บทรวงอก บางรายอาจมีลักษณะการเจ็บอก แบบเจ็บแปลบเวลาหายใจเข้าหรือตอนที่ไอแรงๆตรงจุดที่มีการอักเสบของปอด ซึ่งบางโอกาสอาจเจ็บปวดรวดร้าวไปที่ศีรษะไหล่ สีข้าง หรือท้อง แล้วต่อมาจะมีอาการหายใจหอบเร็ว อาการหอบเมื่อยล้าคนไข้มักมีลักษณะหอบเหน็ดเหนื่อย หายใจเร็ว หากเป็นมากอาจมีอาการปากเขียว ตัวเขียว ส่วนในรายที่เป็นไม่มากอาจไม่มีอาการหอบอ่อนเพลียชัดเจน อาการพวกนี้อาจมีไม่ครบทุกๆอย่าง โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็กตัวเล็กๆๆผู้สูงอายุ คนเจ็บพิกลพิการทุพพลภาพที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองแล้วก็ติดต่อสื่อสารได้จำกัด ควรสนใจและสงสัยมากยิ่งกว่าธรรมดา เพราะว่าอาการบางทีอาจคลุมเครือ อาทิเช่น ในคนวัยแก่ อาจจะมีเพียงแค่จับไข้ หรือตัวอุ่นๆและก็ซึมลงเท่า นั้น บางทีก็อาจจะไอเพียงนิดหน่อย หรือบางทีก็อาจจะไม่ไอให้มองเห็นก็ได้ เนื่องมาจากมีความจำกัดสำหรับการเขยื้อน ไหว รวมทั้ง/หรือกล้ามไม่มีแรงพอที่จะไอได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนอาการแทรกฝึกที่อาจเกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น กำเนิดฝีในปอด หรือเกิดโรคหนองในเยื่อหุ้มห่อปอด โดยแม้เป็นไม่มากมายก็ใช้วิธีใส่ท่อระบายหนองออก หากเป็นมากอาจถึงขั้นต้องผ่าตัดเพื่อเอาหนองออก เจาะเยื่อหุ้มปอดออก เวลาที่ผู้เจ็บป่วยบางรายอาจมีอาการไอเป็นเลือด ถุงลมรั่ว แต่ว่าพบได้น้อย
  • ปัจจัยเสี่ยงที่จะกำเนิดโรคปอดอักเสบ/ปอดบวม อาทิเช่น
  • อายุ ในเด็กตัวเล็กๆๆและก็ในผู้สูงอายุ เพราะร่างกายมีความบกพร่องในการคุ้มครองป้องกันและกำจัดเชื้อโรค
  • การดื่มสุรา ดูดบุหรี่ รวมทั้ง/หรือรับประทานยาบางจำพวก ยกตัวอย่างเช่น ยากดภูมิต้านทาน ยารักษาโรคมะ เร็ง (ยาเคมีบำบัดรักษา) ซึ่งจะมีผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกันต่อต้านโรค แล้วก็การกำจัดเชื้อโรค
  • การมีโรคประจำตัวบางสิ่งยกตัวอย่างเช่น โรคถุงลมโป่งพอง โรคมะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ  โรคไตเรื้อรัง ฯลฯ
  • การไม่รักษาสุขภาพรวมทั้งอนามัย ตัวอย่างเช่น การได้รับอาหารน้อย สุขภาพเสื่อมโทรม พักอาศัยในสถานที่ที่ไม่มีการถ่ายเทอากาศที่ดีพอเพียง ในที่ที่มีมลภาวะที่ต้องหายใจแล้วก็สูดมลพิษเข้าไปในปอด
  • กรรมวิธีการรักษาโรคปอดอักเสบ/ปวดบวม การตรวจหาเชื้อสิ่งที่ทำให้เกิดโรคปอดอักเสบจำเป็นต้องใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการแล้วก็จำต้องใช้เวลาสำหรับเพื่อการตรวจทางห้องทดลอง ซึ่งประกอบด้วย
  • การตรวจ เพื่อวินิจฉัยโรคปอดบวม
  • การตรวจเพื่อประเมิน site of care,
  • การตรวจเพื่อหาเชื้อมูลเหตุ,
  • การตรวจเพื่อ ประเมินโรคประจำตัวของคนไข้, รวมทั้ง
  • การตรวจเพื่อหา ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น

ส่วนในด้านการลดอัตราการเสียชีวิต ของผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ สิ่งที่จำเป็นที่สุดหมายถึงการให้ยา ยาปฏิชีวนะที่สมควรรวมทั้งให้อย่างรวดเร็วข้างใน 4 ถึง 6 ชั่วโมง ภายหลังจากให้การวินิจฉัยแล้วก็ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งขั้นตอนการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะ จะตรึกตรองตาม site of care เพราะว่ามีข้อมูลทางระบาดวิทยาว่า เจอเชื้อสาเหตุอะไรได้บ่อยในคนป่วยแต่ละกลุ่ม ซึ่งข้อมูลเชื้อก่อโรคในประเทศไทย จะดังทางประเทศอเมริกา ซึ่งกรรมวิธีรักษาปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ประกอบด้วย การให้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน อย่างเช่น เพนิซิลลินวี (Penicillin V.) อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin) หรืออิริโทรมัยซิน (Erythromycin) เป็นต้น (สำหรับกลุ่มวัยรุ่นแล้วก็วัยเอ๊าะๆ ควรที่จะใช้ยาอิริดทรมัยซิน เพื่อครอบคลุมเชื้อไมโคพลาสมานิวโมเนียอี และก็เชื้อคลามัยเดีย นิวโมเนียอี) หรืออาจให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดแบบผู้ป่วยใน การดูแลรักษาทะนุถนอมตามอาการปกติยกตัวอย่างเช่น การให้ยาลดไข้ การให้สารน้ำทางหลอดเลือด การให้ออกสิเจน การให้อาการเหลวทางสายให้อาหารลงกระเพาะอาหารในรายที่รับประทานอาหารเองน้อยเกินไป อื่นๆอีกมากมาย

  • การติดต่อของโรคปอดอักเสบ/ปอดบวม ระยะติดต่อ สามารถกระจายเชื้อได้ตลอดระยะเวลาที่เป็นโรคตราบจนกระทั่งเสลดจากปากและก็จมูกจะมีเชื้อไม่รุนแรงแล้วก็มีจำนวนไม่มากพอ ส่วนเด็กที่เป็นพาหะของเชื้อโดยไม่ออกอาการซึ่งพบได้ในสถานที่เลี้ยงเด็กก่อนวัยศึกษาก็สามารถแพร่ระบาดได้เหมือนกัน  โดยเชื้อโรคและก็สารก่อโรคสามารถไปสู่ปอดได้โดยทางใดทางหนึ่ง ดังต่อไปนี้  การหายใจนำเชื้อไปสู่ปอดโดยตรง โดยการดมเอาเชื้อโรคที่แพร่ขยายอยู่ในอากาศในรูปละออกฝอยขนาดเล็ก (จาการไอหรือจามใส่) หรือเชื้อที่อยู่ปกติวิสัย (Normal flora) ในโพรงปากและก็คอหอยลงไปในปอด ดังเช่นว่า สเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus pneumonia)  ฮีสูดดมฟิลัส อินฟลูเอนเซ (Haemophilus influenzae) กลุ่มแบคทีเรียที่ไม่พึ่งออกสิเจน – แอนแอโรบส์ (Anaerobes) การสำลัก เป็นกรณีครั้งมีเหตุมาจากการสำลักเอาน้ำรวมทั้งสิ่งปนเปื้อน (ในผู้ป่วยจมน้ำ) น้ำย่อยในผู้เจ็บป่วยโรคกรดไหลย้อน สารเคมี (ตัวอย่างเช่น น้ำมันก๊าด เบนซิน) หรือเศษอาหารเข้าไปในปอด ซึ่งพบบ่อยได้ในเด็กเล็ก คนชรา คนป่วยอัมพาต ลมชัก หมดสติ หรือผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด ก็เลยทำให้ปอดอักเสบจากการระคายเคืองของสารเคมีหรือการติดเชื้อ เรียกว่า “ปอดอักเสบจากการสำลัก” (Aspiration Pneumonia) ซึ่งการอักเสบนอกจากจะเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากสารระคายเคืองแล้ว ยงอาจมีสาเหตุมาจากเชื้อโรคที่มีอยู่ในโพรงปากรวมทั้งคอหอยที่ถูกสำลักลงไปในปอดด้วย (ปอดอักเสบที่เกิดขึ้นจากการสำลักมักเป็นที่ปอดข้างขวามากยิ่งกว่าข้างซ้ายเพราะว่าหลอดลมข้างขวาหักมุมน้อยกว่าข้างซ้าย)


ในปี พ.ศ.2558 (ค.ศ.2015) สำนักระบาดวิทยา ได้รับรายงานคนเจ็บโรคปอดอักเสบ 215,951ราย อัตราเจ็บไข้ 330.06 ต่อมวลชนแสนคน เสียชีวิต 486 ราย อัตราตาย 0.74 ต่อพลเมืองแสนคน และก็อัตราป่วยตายร้อยละ 0.23 จากข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 – 2558 (คริสต์ศักราช2006 – 2015) อัตราเจ็บไข้ มีลัษณะทิศทางสูงขึ้นโดยตลอด แต่อัตราเจ็บไข้ตายมีทิศทางลดน้อยลง โดยคนป่วยเป็นเพศชาย 117,531 ราย ผู้หญิง 98,420 ราย อัตราส่วนเพศหญิงต่อเพศชาย เท่ากับ 1 : 1.2 และก็กลุ่มอายุ 0 – 4 ปี มีอัตราเจ็บป่วยสูงสุด รองลงมา คือ กลุ่มวัย 65 ปีขึ้นไป ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออัตราป่วยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคกึ่งกลาง

  • การกระทำตนเมื่อเป็นโรคปอดอักเสบ/ปอดบวม วิธีดูกล้วยๆว่าตนเองเป็นโรคปอดอักเสบ/ปอดอักเสบหรือเปล่าเป็นเมื่อใดที่เกิดอาการอ่อนล้า รู้สึกเริ่มหายใจขัด ไม่ทั่วท้อง จะต้องฉุกคิดแล้ว หรือถ้ามีลักษณะอาการไข้ ไอ มีเสมหะ เหมือนเป็นหวัด เกิน 3 วันไปแล้วไข้ยังสูงอยู่ เพราะเหตุว่าโดยปกติคนเป็นหวัดธรรมดาไม่เกิน 3 วันไข้ก็ลดแล้ว แต่ว่าถ้าหากเกิน 3 วันไข้ยังสูง คิดว่าไม่ดีขึ้น แล้วก็มีลักษณะอาการอ่อนเพลียร่วมด้วย อยู่ในข่ายต้องสงสัยเป็นปอดอักเสบ ควรจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจวิเคราะห์ อีกอาการหนึ่งที่ทำให้สงสัยว่ามีลักษณะอาการปอดอักเสบ คือ มีอาการเจ็บหน้าอกร่วมด้วย ซึ่งเรียกว่าเจ็บแบบเยื่อห่อหุ้มปอดอักเสบ คือ เจ็บตอนหายใจเข้าลึกๆแล้วก็เมื่อไปพบแพทย์แล้ว ปรากฏว่าแพทย์วิเคราะห์ว่ามีลักษณะอาการ ปอดบวมนิดหน่อย ที่แพทย์ตรึกตรองให้รักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ หรือกรณีที่เป็นปอดอักเสบเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว และแพทย์ใคร่ครวญให้กลับบ้านเพื่อรักษา และก็พักฟื้นต่อที่บ้าน ควรปฏิบัติตนดังนี้ ควรกินยาต่อตามแพทย์สั่งอย่างถูกต้อง ครบถ้วน โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ ซึ่งไม่สมควรหยุดยาเอง กินอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ด้วยเหตุว่าเป็นช่วงที่ร่างกายอยากพลังงานสำหรับเพื่อการต่อสู้กับโรค รวมทั้งซ่อมร่างกายให้ฟื้น ควรที่จะเอาใจใส่สังเกตอาการแทรกซ้อนที่อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีเกิดขึ้น
  • การป้องดันตนเองจากโรคปอดอักเสบ/ปอดอักเสบ รักษาสุขภาพและก็อนามัยให้แข็งแรงบริบูรณ์อยู่เสมอยกตัวอย่างเช่น การทานอาหาร พักผ่อน ออกกำลังกาย ให้เหมาะสมกับภาวะรวมทั้งวัยของท่าน หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆอย่างเช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การใช้ยาเสพติด สภาวะทุพโภชนา ควันไฟ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ หรืออากาศที่หนาวเย็นการงดแล้วก็เลิก บุหรี่ เหล้า แล้วก็สารเสพติด การคุ้มครองการรับเชื้อโดยการปิดปากรวมทั้งจมูกเมื่อจำต้องสัมผัสคนไข้ที่ไอหรือจาม  และคนป่วยที่มีอาการไอหรือจาม ควรจะปกป้องการแพร่ขยายฝอยละอองไปยังคนอื่นๆ ด้วยการปิดปากและจมูกด้วยกระดาษหรือผ้าที่เอาไว้เช็ดหน้าหรือหน้ากากอนามัย คนที่มีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง ได้แก่ คนชรา ผู้มีโรคประจำตัว ตัวอย่างเช่น โรคถุงลมโป่งพอง เบาหวาน โรคหัวใจ  ผู้ได้ยากดภูมิต้านทานต้านทานโรค ยกตัวอย่างเช่น ยารักษาโรคโรคมะเร็ง/ยาเคมีบำบัด


ฯลฯ ควรจะพินิจฉีดยาคุ้มครองโรคไข้หวัดใหญ่ หากมีโรคประจำตัว หรือเมื่อเป็นโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ ฝึกฝน อีสุกอีใส เป็นต้น ควรรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ

  • สมุนไพรประเภทไหนซึ่งสามารถช่วยทุเลา/รักษาโรคปอดอักเสบ/ปอดอักเสบได้ ฟ้าทะลายโจร  รสขม เป็นยาครอบจักรวาล คุณประโยชน์รับประทานแก้อาการอักเสบต่างๆแก้ไข้ แก้หวัด แก้ปอดอักเสบ แก้ไอ แก้เจ็บคอ ไม่สมควรกินติดต่อนานเกินเจ็ดวัน ทำให้ตับเย็น  กระเทียม  เป็นยาบำรุงร่างกาย กินเป็นยาแก้อักเสบในอก ในปอด แก้เสมหะ กระเทียมเจ็ดกลีบตำอย่างรอบคอบ ลายน้ำผึ้งกินติดต่อกันเจ็ดวัน เพื่อขับเสมหะในระบบทางเท้าหายใจ แก้หืดหอบ แก้ไอให้เสลดแห้ง บำรุงปอด แก้ปอดพิการ แก้ปอดบวม แก้วัณโรคปอด แก้เสลด แก้น้ำลาบเหนียว แก้ริดสีดวงแตกหน่อ เหง้าขิง  รสเผ็ดมีนำมันหอมระเหยที่มีคุณประโยชน์ต่อหัวหัวใจ ปอด ไล่เสมหะ ไล่ลม ให้ความอบอุ่นยามที่หนาวชื้น กลิ่นหอมสดชื่นทำให้หายใจสบาย ดื่มน้ำขิงอุ่นๆผสมนมร้อนบำรุงร่างกายบำรุงปอด  ขมิ้น  เป็นสมุนไพรเบื้องต้นที่ใช้รักษาอาการอักเสบกับอวัยวะต่างๆมาหลายร้อยพันปี เป็นยาบำรุงปอด รักษาแผลอักเสบในปอด
เอกสารอ้างอิง

  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ “ปอดอักเสบ/ปอดบวม (Pneumonia)” หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 441-445
  • “ปอดอักเสบ”เป็นไข้ ไอ มีเสมหะ เหนื่อยเจ็บหน้าอก.สถานีรามาแชนแนล ขับเคลื่อนสังคมไทยให้สุขภาพดี (ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://wed.mahidol.ac.th/ramanel/old/index.php/kniwforhealth-20140910-31
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานุภาพ “โรคปอดอักเสบ ในโรคระบบการหายใจ” http://www.disthai.com/
  • การรักษาโรคปอดบวม.บทความฟื้นฟูวิชาการ.วารสารอายุรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.ปีที่ 1.ฉบับที่ 4.ตุลาคม-ธันวาคม 2558.หน้า 17-29
  • Mandell LA, Wunderink RG, Anzueto A, et al. Infectious Diseases Society of America/American Thoracic Society consensus guidelines on the management of community-acquired pneumonia in adults. Clin Infect Dis 2007; 44 Suppl 2: S27-72.
  • Watkins RR, Lemonovich TL. Diagnosis and management of community-acquired pneumonia in adults. Am Fam Physician 2011; 83: 1299-306.
  • Liapikou A, Torres A. Current treatment of community-acquired pneumonia. Expert Opin Pharmacother 2013; 14: 1319-32.
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ) “ปอดอักเสบ” นิตยสารหมอชาวบ้าน คอลัมน์:สารานุกรมทันโรค เล่มที่306
  • Lim WS, Baudouin SV, George RC, et al. British Thoracic Society guidelines for the management of community acquired pneumonia in adults: update 2009. Thorax 2009; 64 (Suppl 3): iii1-55.
  • Managing CAP: An evidence – based algorithm. The Journal of Family Practice. 2007;56:722-726.
  • Reechaipichitkul W, Lulitanond V, Tantiwong P, Saelee R, Pisprasert V. Etiologies and treatment outcomes in patients hospitalized with community-acquired pneumonia (CAP) at Srinagarind Hospital, Khon Kaen, Thailand. Southeast Asian J Trop Med Public Health 2005; 36: 156-61.
  • Reechaipichitkul W, Lulitanond V, Sawanyawisuth, Lulitanond A, Limpawattana P. Etiologies and treatment outcomes for out-patients with community-acquired pneumonia (CAP) at Srinagarind Hospital, Khon Kaen, Thailand. Southeast Asian J Trop Med Public Health 2005; 36: 1261-7.
  • . Wattanathum A, Chaoprasong C, Nunthapisud P, et al. Community-acquired pneumonia in Southeast-Asia: the microbial different between ambulatory and hospitalized patients. Chest 2003; 123: 1512-9.
  • โรคปอดอักเสบ.สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรคประจำปี 2558.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวจสาธารณสุข.หน้า 101-103
  • สมุนไพรบำรุงปอด.สยามรัฐ.



Tags : โรคปอดอักเสบ

35

โรความดันเลือดสูง (Hypertension)

  • โรคความคันโลหิตสูง เป็นยังไง ความดันเลือดสูง ความดันโลหิตเป็นแรงดันเลือด ที่เกิดขึ้นจากหัวใจ สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย การวัดความดันเลือดสามารถทำโดยใช้อุปกรณ์หลายอย่าง แต่ว่าจำพวกที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วๆไป อาทิเช่น เครื่องวัดความดันเลือดมาตรฐานชนิดปรอท เครื่องวัดความดันเลือดดิจิตอลประเภทอัตโนมัติ ค่าของความดันเลือดมีหน่วยเป็น มิลลิเมตรปรอท จะมี ๒ ค่า ๑ ความดันตัวบน (ซีสโตลิก) เป็นแรงดันเลือด ขณะหัวใจห้องล่างซ้ายบีบตัว  ๒ ความดันตัวล่าง (ไดแอสโตลิก) เป็นแรงกดดันเลือดขณะหัวใจห้องล่างซ้ายคลายตัว  ระดับความดันเลือดที่นับว่าสูงนั้น จะมีค่าความดันเลือดตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอท

    ด้วยเหตุนี้โรคความดันโลหิตสูง ก็เลยคือโรคหรือสภาวะที่แรงดันเลือดในเส้นโลหิตแดงมีค่าสูงขึ้นมากยิ่งกว่าค่ามาตรฐานขึ้นอยู่กับขั้นตอนการวัด โดยถ้าเกิดวัดที่สถานพยาบาล ค่าความดันโลหิตตัวบนสูงยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 140 มิลลิเมตร ปรอท(มม.ปรอท, MMhg) และก็/หรือความดันโลหิตตัวด้านล่างสูงยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 90 มม.ปรอท อย่างต่ำ 2 ครั้ง แม้กระนั้นถ้าเกิดเป็นการวัดความดันเองที่บ้านค่าความดันเลือดตัวบนสูงขึ้นยิ่งกว่าหรือเท่ากับ 135 มม.ปรอทและ/หรือความดันเลือดตัวล่างสูงยิ่งกว่าหรือพอๆกับ 85 มม.ปรอทฯลฯ ดังตารางที่ 1




     


    SBP


    DBP




    Office or clinic
    24-hour
    Day
    Night
    Home


    140
    125-130
    130-135
    120
    130-135


    90
    80
    85
    70
    85




    หมายเหตุ SBP=systolic blood pressure, DBP=diastolic blood pressure
    ปี 2556คนประเทศไทยป่วยด้วยโรคความดันโลหิตแทบ 11 ล้านคน เสียชีวิต 5,165 คน และเจอป่วยไข้ราย ใหม่เพิ่มเกือบจะ 1 แสนคน จำนวนร้อยละ 50 ไม่รู้ตัวเพราะว่าไม่เคยตรวจสุขภาพ ในกรุ๊ปที่เจ็บไข้แล้วพบว่ามีเพียง 1 ใน 4 ที่ควบคุมความดันได้ ที่เหลือยังมีความประพฤติปฏิบัติน่าห่วงองค์การอนามัยโลกกล่าวว่า โรคความดันโลหิตสูงเป็น 1 ในต้นสายปลายเหตุสำคัญ ที่ทำให้ประชากรอายุสั้น ทั่วโลกมีคนที่เป็นโรคความดันเลือดสูงถึง 1,000 ล้านคน เสียชีวิตปี ละเกือบ 8 ล้านคน เฉลี่ยราวๆนาทีละ 15 คน โดย 1 ใน 3 พบในวัย คนแก่แล้วก็คาดว่า ในปีพ.ศ.2568 ประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลกจะมีอาการป่วยเป็นโรคนี้เพิ่ม 1,560 ล้านคน

  • ที่มาของโรคความดันโลหิตสูง ความดันเลือดสูงแบ่งประเภทและชนิดตามต้นเหตุการเกิด แบ่งได้เป็น 2 จำพวก คือ
  • ความดันเลือดสูงชนิดไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ (primary or essential hypertension) เจอได้ราวๆร้อยละ95 ของปริมาณคนแก่โรคความดันโลหิตสูงทั้งสิ้นโดยมากพบในผู้ที่แก่ 60 ปีขึ้นไปและเจอในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ปัจจุบันยังไม่รู้จักสาเหตุที่กระจ่างแจ้งแม้กระนั้นยังไง ตามคณะกรรมการร่วมแห่งชาติด้านการคาดคะเนและก็รักษาโรคความดันเลือดสูง ของอเมริกา พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่เกี่ยวรวมทั้งช่วยเหลือให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้นว่า กรรมพันธุ์ความอ้วน การมีไขมันในเลือดสูงการกินอาหารที่มีรสเค็มจัดการไม่ออกกำลังกาย การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์การสูบบุหรี่ความเครียดอายุแล้วก็มีประวัติครอบครัวเสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคหัวใจรวมทั้งหลอดเลือดซึ่งความดันเลือดสูงชนิดไม่เคยรู้มูลเหตุนี้เป็นปัญหาสำคัญที่จำเป็นต้องให้การวิเคราะห์รักษาและก็ควบคุมโรคให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ความดันโลหิตสูงจำพวกรู้มูลเหตุ(secondary hypertension) ได้น้อยโดยประมาณปริมาณร้อยละ5-10 ส่วนใหญ่มีมูลเหตุเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการมีพยาธิภาวะของอวัยวะต่างๆภายในร่างกายโดยจะมีผลนำมาซึ่งการก่อให้เกิดแรงกดดันเลือดสูงจำนวนมาก บางทีอาจกำเนิดพยาธิสภาพที่ไตต่อมหมวกไตโรคหรือความเปลี่ยนไปจากปกติของระบบประสาทความแปลกของฮอร์โมนโรคของต่อมไร้ท่อร่วมโรคครรภ์เป็นพิษการเจ็บของหัวยา แล้วก็สารเคมีเป็นต้น เพราะฉะนั้นเมื่อได้รับการดูแลรักษาที่ปัจจัยระดับความดันเลือดจะต่ำลงเป็นปกติรวมทั้งสามารถรักษาให้หายได้


ฉะนั้นก็เลยสรุปได้ว่า โรคความดันเลือดสูงส่วนมากจะไม่มีมูลเหตุ การควบคุมระดับความดันเลือดเจริญ จะสามารถช่วยลดภาวะแทรกซ้อน และการเสียชีวิตจากโรคระบบหัวใจ รวมทั้งเส้นเลือดลงได้

  • อาการของโรคความดันเลือดสูง ความสำคัญของโรคความดันเลือดสูงเป็น เป็นโรคที่มักไม่มีอาการ แล้วก็ที่เป็นโรคเรื้อรังที่รุนแรง (ถ้าหากไม่อาจจะควบคุมโรคได้) แต่มักไม่มีอาการ หมอบางท่านก็เลยเรียกโรคความดันโลหิตสูงว่า “เพชฌฆาตเงียบ (Silent killer)” ดังนี้ส่วนมากของอาการจากโรคความดันโลหิตสูง เป็นอาการจากผลกระทบ ดังเช่นว่า จากโรคหัวใจ แล้วก็จากโรคหลอดเลือดในสมอง หรือ เป็นอาการจากโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ อาการจากเบาหวาน หรือ จากโรคอ้วน หรือเป็นอาการจากโรคที่เป็นสาเหตุ ยกตัวอย่างเช่น โรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง


อาการและอาการแสดงที่พบมาก คนเจ็บที่มีความดันเลือดสูงเล็กน้อยหรือปานกลางไม่เจออาการแสดงเฉพาะเจาะจงที่บ่งบอกว่ามีสภาวะความดันเลือดสูงโดยมาก การวิเคราะห์พบได้มากได้จากการที่คนเจ็บมาตรวจตามนัดหรือพบได้บ่อยร่วมกับต้นเหตุของอาการอื่นซึ่งไม่ใช่ความดันเลือดสูง สำหรับคนป่วยที่มีระดับความดันโลหิตสูงมากมายหรือสูงในระดับร้ายแรงและเป็นมานานโดยเฉพาะในรายที่ยังไม่เคยได้รับการดูแลรักษาหรือรักษาแต่ไม่สม่ำเสมอหรือเปล่าได้รับการรักษาที่ถูกเหมาะสมมักพบมีอาการ ดังต่อไปนี้

  • ปวดศีรษะมักพบในผู้ป่วยที่มีระดับความดันโลหิตสูงร้ายแรง โดยลักษณะของการเกิดอาการปวดหัวมักปวด ที่บริเวณท้ายทอยโดยยิ่งไปกว่านั้นขณะที่ตื่นนอนในตอนเช้าถัดมาอาการจะค่อยๆจนถึงหายไปเองภายในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็อาจเจอมีอาการคลื่นไส้อ้วกตาพร่ามัวด้วยโดยพบว่าอาการปวดหัวเกิด จากมีการเพิ่มแรงกดดันในกะโหลกศีรษะมากมายในช่วงระยะเวลาหลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วเนื่องมาจากในช่วงเวลาค่ำคืนขณะกำลังนอนหลับศูนย์ควบคุมการหายใจในสมองจะลดการกระตุ้น จึงทำให้มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ส่งผลทำให้เส้นเลือดทั่ว ร่างกายโดยเฉพาะในสมองขยายขนาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจึงเพิ่มแรงดันในกะโหลกศีรษะ
  • เวียนศีรษะ (dizziness) พบกำเนิดร่วมกับอาการปวดศีรษะ
  • เลือดกา ทายใจไหล(epistaxis)
  • เหนื่อยขณะทา งานหรืออาการหอบนอนราบไม่ได้แสดงถึงการมีสภาวะหัวใจห้องข้างล่างซ้ายล้มเหลว
  • อาการอื่นๆที่บางทีอาจเจอร่วมเป็นต้นว่าลักษณะของการเจ็บหน้าอกสัมพันธ์กับภาวการณ์กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จากการมีเส้นเลือดหัวใจตีบหรือจากการมีกล้ามเนื้อหัวใจหนามากจากสภาวะความดันเลือดสูงที่เป็นมานานๆ


ด้วยเหตุนี้ถ้ามีภาวการณ์ความดันเลือดสูงอยู่เป็นระยะเวลานานๆจึงอาจมีผลต่ออวัยวะที่สำคัญต่างๆของร่างกายกระตุ้นให้เกิดความเสื่อมถอยสภาพถูกทำลายรวมทั้งอาจเกิดภาวะแทรกตามมาได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันเลือดสูง ในคนเจ็บโรคความดันเลือดสูงบางรายบางทีอาจไม่พบมีอาการหรืออาการแสดงใดๆก็ตามและบางรายอาจ เจออาการแสดงจากภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูงต่ออวัยวะต่างๆได้ดังต่อไปนี้

  • สมองความดัน เลือดสูงจะทา ให้ผนังเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีลักษณะหนาตัวและแข็งตัวด้านในหลอดเลือดตีบแคบรูของเส้นเลือดแดงแคบลงทา ให้การไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงสมองลดลงและก็ขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นเหตุให้เกิดภาวการณ์สมองขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วครั้งชั่วคราวคนป่วยที่มีสภาวะความดันเลือดสูงจึงมีโอกาสเกิดโรคเส้นโลหิตสมอง (stroke) ได้มากกว่า บุคคลปกติ


นอกเหนือจากนั้นยังส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ฝาผนังเซลล์สมองทา ให้เซลล์สมองบวมผู้ป่วยจะมีอาการผิดปกติของระบบประสาทการรับรู้ความจำน้อยลงและอาจรุนแรงเสียชีวิตได้ ซึ่งเป็นสาเหตุการตายถึงจำนวนร้อยละ50 และก็ส่งผลทำให้คนที่รอดชีวิตเกิดความพิกลพิการตามมา

  • หัวใจ ระดับความดันเลือดสูงเรื้อรังจะส่งผลทา ให้ผนังเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงหัวใจดกตัวขึ้นปริมาณเลือดเลี้ยงหัวใจต่ำลงหัวใจห้องข้างล่างซ้ายทำงานมากมาขึ้น จำเป็นต้องบีบตัวมากขึ้นเพื่อต้านแรงดันเลือดในเส้นเลือดแดงที่เพิ่มขึ้นเพราะฉะนั้น ในระยะต้นกล้ามเนื้อหัวใจจะปรับตัวจากภาวะความดันเลือดสูงโดยหัวใจบีบตัวเพิ่มขึ้น เพื่อสามารถต่อต้านกับความต้านทานที่เยอะขึ้นรวมทั้งมีการขยายตัวทำให้เพิ่มความดกของผนังหัวใจห้องล่างซ้ายทำให้เกิดสภาวะหัวใจห้องด้านล่างซ้ายโต (left ventricular hypertrophy) ถ้าเกิดยังมิได้รับการดูแลรักษาและก็เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจไม่สามารถที่จะขยายตัวได้อีก จะก่อให้หลักการทำงานของหัวใจไม่มี
ความสามารถเกิดภาวะหัวใจวายกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวรวมทั้งเสียชีวิตได้

  • ไต ระดับความดันโลหิตเรื้อรังมีผลกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการเปลี่ยนแปลงของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงไตหนาตัวแล้วก็แข็งตัวขึ้น หลอดเลือดตีบแคบลงนำมาซึ่งการทำให้เส้นเลือดแดงเสื่อมจากการไหลเวียนของจำนวนเลือดไปเลี้ยงไตลดน้อยลงประสิทธิภาพการกรองของเสียน้อยลงและก็ทา ให้มีการคั่งของเสียไตสลายตัว แล้วก็อับอายที่เกิดภาวการณ์ไตวายและก็ได้โอกาสเสียชีวิตได้ มีการศึกษาเล่าเรียนพบว่าคนไข้โรคความดันเลือดสูงราวๆร้อยละ10 มักเสียชีวิตด้วยภาวการณ์ไตวาย
  • ตา คนไข้ที่มีภาวะความดันเลือดสูงร้ายแรงและเรื้อรังจะมีผลให้ส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของผนังเส้นเลือดที่ตาดกตัวขึ้นมีแรงดัน ในหลอดเลือดสูงมากขึ้นมีการเปลี่ยนของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงตาตีบลงหลอดเลือดฝอยตีบแคบอย่างรวดเร็วมีการหดเกร็งเฉพาะที่อาจมีเลือดออกที่เรตินาทำให้มีการบวมของจอภาพนัตย์ตา หรือจอประสาทตาบวม (papilledema) ทำให้การมองมองเห็นลดลงมีจุดบอดบางจุดที่ลานสายตา (scotomata) ตามัวรวมทั้งมีโอกาสตาบอดได้
  • หลอดเลือดในร่างกาย ความดันเลือดสูงจากแรงต่อต้านหลอดเลือดส่วนปลายเพิ่มขึ้นฝาผนังเส้นโลหิตดกตัวจากเซลล์กล้ามเนื้อเรียบถูกกระตุ้น ให้รุ่งโรจน์มากขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากมีไขมัน ไปเกาะฝาผนังเส้นเลือดทำให้หลอดเลือดแดงแข็ง (artherosclerosis) มีการเปลี่ยนแปลงของฝาผนังหลอดเลือดหนาและตีบแคบการไหลเวียนของโลหิตไป เลี้ยงสมองหัวใจไตแล้วก็ตาลดลงทา ให้เกิดภาวะสอดแทรกของอวัยวะดังกล่าวตามมาไดแก้โรคหัวใจรวมทั้ง
หลอดเลือดโรคเส้นเลือดสมองและก็ไตวายเป็นต้น

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งโรคความดันเลือด สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคความดันเลือดสูง ได้แก่ พันธุกรรม ช่องทางมีความดันเลือดสูง จะสูงขึ้นเมื่อมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ โรคเบาหวาน ด้วยเหตุว่าก่อเกิดการอักเสบ ตีบแคบของเส้นเลือดต่างๆแล้วก็หลอดเลือดไต โรคอ้วน และน้ำหนักตัวเกิน เนื่องจากว่าเป็นต้นเหตุสำคัญของเบาหวาน รวมทั้งโรคเส้นโลหิตต่างๆตีบจากภาวะไขมันเกาะฝาผนังหลอดเลือด โรคไตเรื้อรัง เนื่องจากจะมีผลถึงการผลิตเอ็นไซม์และก็ฮอร์โมนที่ควบคุมความดันเลือดดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว โรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ (Sleep apnea) สูบบุหรี่ เพราะพิษในควันของบุหรี่ทำให้เกิดการอักเสบ ตีบตันของหลอดเลือดต่าง รวมถึงเส้นเลือดไต และก็หลอดเลือดหัวใจ การติดสุรา ซึ่งยังไม่รู้จักชัดเจนถึงกลไกว่าเพราะเหตุไรดื่มสุราแล้วจึงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดความดันเลือดสูง แต่การเล่าเรียนต่างๆให้ผลตรงกันว่า ติดสุรา จะนำมาซึ่งการทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าธรรมดา แล้วก็ได้โอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูง ถึงประมาณ 50%ของผู้ติดสุราทั้งปวง ทานอาหารเค็มเป็นประจำ ต่อเนื่อง ดังเหตุผลดังได้กล่าวแล้ว ขาดการออกกำลังกาย เนื่องจากเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอ้วนรวมทั้งโรคเบาหวาน ผลกระทบจากยาบางประเภท ดังเช่นว่า ยาในกลุ่มสเตียรอยด์
  • วิธีการรักษาโรคความดันเลือดสูง การวิเคราะห์โรคความดันโลหิตสูง โรคความดันเลือดสูงวิเคราะห์จากการที่มีความดันโลหิตสูงตลอดเวลา ซึ่งตรวจเจอต่อเนื่องกัน 3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งควรจะห่างกัน 1 เดือน อย่างไรก็ตามถ้าหากตรวจเจอว่าความดันเลือดสูงมาก (ความดันตัวบนสูงขึ้นยิ่งกว่า 180 mmHg หรือ ความดันตัวล่างสูงยิ่งกว่า 110 mmHg) หรือมีความผิดปกติของลักษณะการทำงานของอวัยวะจากผลของ   ความดันเลือดสูงร่วมด้วย ก็ถือว่าวิเคราะห์เป็นโรคความดันโลหิตสูง และจำเป็นต้องรีบได้รับการดูแลและรักษา แพทย์วินิจฉัยโรค   ความดันโลหิตสูงได้จาก ความเป็นมาอาการ ประวัติความเป็นมาป่วยอีกทั้งในอดีตกาลและก็เดี๋ยวนี้ ประวัติการกิน/ใช้ยา การตรวจวัดความดันโลหิต (ควรจะวัดที่บ้านร่วมด้วยถ้าหากมีเครื่องมือ เนื่องจากครั้งคราวค่าที่วัดได้ที่โรงหมอสูงขึ้นมากยิ่งกว่าค่าที่วัดถึงที่เหมาะบ้าน) เมื่อวินิจฉัยว่าเป็นความดันโลหิตสูง ควรตรวจร่างกาย และก็ส่งไปทำการตรวจอื่นๆเพิ่มอีกเพื่อหาสาเหตุ หรือสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง นอกจากนั้น จำเป็นที่จะต้องตรวจหาผลกระทบของความดันเลือดสูงต่ออวัยวะต่างๆเช่น หัวใจ ตา และไต อย่างเช่น ตรวจเลือดดูค่าน้ำตาลและก็ไขมันในเลือด ดูหลักการทำงานของไต และก็ค่าเกลือแร่ภายในร่างกาย ตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าหัวใจมองลักษณะการทำงานของหัวใจ แล้วก็เอกซเรย์ปอด ดังนี้การตรวจเสริมเติมต่างๆจะขึ้นกับอาการคนไข้ และก็ดุลยพินิจของแพทย์เพียงแค่นั้น
สมาคมความดันเลือดสูงที่เมืองไทย ได้แบ่งระดับความรุนแรงของความดันเลือดสูง ดังต่อไปนี้




ระดับความรุนแรง


ความดันโลหิตตัวบน


ความดันโลหิตตัวล่าง




ความดันโลหิตปกติ
ระยะก่อนความดันโลหิต
ความดันโลหิตสูงระยะที่ 1
ความดันโลหิตสูงระยะที่ 2


น้อยกว่า 120 และ
120 – 139/หรือ
140 – 159/หรือ
มากกว่า 160/หรือ


น้อยกว่า 80
80 – 89
90 – 99
มากกว่า 100




หมายเหตุ : หน่วยวัดความดันโลหิตเป็น มิลลิเมตรปรอท
ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรควบคุมระดับความดันโลหิตให้ต่ำลงยิ่งกว่า 140/90 มม.ปรอทและก็ใน ผู้ที่มีภาวะเสี่ยงควรควบคุมระดับความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท และก็ลดสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงสำหรับการกำเนิดโรคหัวใจรวมทั้งหลอดเลือดคุ้มครองป้องกันความพิการรวมทั้งลดการเกิดสภาวะแทรกฝึกซ้อมต่ออวัยวะแผนการที่สำคัญของร่างกายดังเช่นสมองหัวใจไตและตารวมถึงอวัยวะสำคัญอื่นๆซึ่งสำหรับการรักษาและก็ควบคุมระดับความดันเลือดให้เข้าขั้นปกติประกอบด้วย 2 แนวทางเป็นการดูแลรักษาใช้ยารวมทั้งการรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำรงชีวิต
การดูแลและรักษาโดยวิธีการใช้ยา  (pharmacologic treatment) เป้าหมายสำหรับเพื่อการลดความดันโลหิตโดยการใช้ยาคือการควบคุมระดับความดันเลือดให้ลดต่ำลงมากยิ่งกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท โดยลดแรงต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลายและก็เพิ่มปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจการเลือกใช้ยา ในผู้ป่วยโรคความดันเลือดสูงก็เลยขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละรายรวมทั้งควรไตร่ตรองต้นเหตุต่างๆได้แก่ความร้ายแรงของระดับความดันโลหิตปัจจัยเสี่ยงต่ออวัยวะสำคัญ โรคที่มีอยู่เดิมสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอื่นๆซึ่งยาที่ใช้เพื่อการรักษาภาวะความดันเลือดสูงสามารถแบ่งได้ 7 กลุ่มดังต่อไปนี้
ยาขับฉี่  (diuretics) เป็นกลุ่มยาที่นิยมใช้ในคนป่วยที่มีการปฏิบัติงานของไตและหัวใจเปลี่ยนไปจากปกติ ยากลุ่มนี้ดังเช่นว่า ฟูโรซีมายด์ (furosemide) สไปโรโนแลคโตน(spironolactone) มันข้นลาโซน (metolazone)
ยาต้านเบต้า (beta adrenergic receptor blockers) ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยรวมกับเบต้าอดรีเนอร์จิกรีเซฟเตอร์  (beta adrenergic receptors) อยู่ที่ศีรษะดวงใจแล้วก็เส้นโลหิตแดงเพื่อยั้งการโต้ตอบต่อประสาทซิมพาธิว่ากล่าวกลดอัตราการเต้นของหัวใจทำให้หัวใจเต้นช้าลงและความดันเลือดต่ำลง ยาในกลุ่มนี้ ดังเช่นว่า โพรพาโนลอล (propanolol)หรืออะหนโนลอล (atenolol)
ยาที่ออกฤทธิ์ขัดขวางตัวรับแองจิโอเทนซินทู (angiotensin II receptorblockersARBs) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ขยายเส้นเลือดโดยไม่ทำให้ระดับของเบรดดีไคนินเพิ่มขึ้นยากลุ่มนี้ เป็นต้นว่า แคนเดซาแทน  (candesartan), โลซาแทน (losartan) ฯลฯ
ยาต้านทานแคลเซียม (calcium antagonists) ยากลุ่มนี้ยั้งการเขยื้อนเข้าของประจุแคลเซียมในเซลล์ทำให้กล้ามฝาผนังเส้นโลหิตคลายตัวอาจก่อให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง ดังเช่น ยาเวอราปาไม่วล์   (verapamil) หรือเนฟเฟดิตะกาย (nifedipine)
ยาต้านอัลฟาวันอดรีเนอร์จิก (alpha I-adrenergic blockers) ยามีฤทธิ์ต่อต้านโพสไซแนปติกอัลฟาวันรีเซฟเตอร์ (postsynaptic alpha 1-receptors) และก็ออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือดส่วนปลายทำให้เส้นโลหิตขยายตัว ยาในกลุ่มนี้เช่น พราโซซีน prazosin) หรือดอกซาโซซีน (doxazosin)
ยาที่ยั้งไม่ให้มีการสร้างแองจิโอเทนซินทู (angiotensin II convertingenzyme ACE inhibitors)ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยการยังยั้งแองจิโอเทนสินสำหรับการแปลงแองจิโอเทนซินวันเป็นแองจิโอเทนซินทูซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่ทำให้เส้นเลือดหดตัว ยาในกลุ่มนี้อย่างเช่นอีทุ่งนาลาพริล (enalapril)
ยาขยายหลอดเลือด (vasodilators) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยตรงต่อกล้ามเรียบที่อยู่รอบๆเส้นเลือดแดงทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวแล้วก็ยาต่อต้านทางในฝาผนังเส้นโลหิตส่วนปลาย ยาในกลุ่มนี้เช่นไฮดราลาซีน (hydralazine), ไฮโดรคลอไรด์ (hydrochloride), ลาเบลทาลอล (labetalol)
การดูแลและรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือการปรับเปลี่ยนแบบแผนการดำรงชีวิต (lifestylemodification)  เป็นความประพฤติปฏิบัติสุขภาพที่ต้องปฏิบัติเป็นประจำเป็นประจำเพื่อลดระดับความดันโลหิต รวมทั้งคุ้มครองภาวะแทรกซ้อนกับอวัยวะสำคัญผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงทุกราย ควรได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำเนินชีวิตพร้อมกันไปกับการรักษาด้วยยา ผู้เจ็บป่วยควรมีพฤติกรรมสนับสนุนร่างกายที่แข็งแรง ดังต่อไปนี้ การควบคุมของกินและควบคุมน้ำหนักตัว  การจำกัดอาหารที่มีเกลือโซเดียม  การบริหารร่างกาย การงดดูดบุหรี่ การลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  การจัดการกับความเคร่งเครียด

  • การติดต่อของโรคความดันโลหิตสูง โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจาก ภาวการณ์แรงดันเลือดในเส้นโลหิตสูงยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน ฉะนั้นโรคความดันโลหิตสูงก็เลยเป็นโรคที่ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คน
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคความดันเลือดสูง เปลี่ยนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค
  • การลดความอ้วนในคนที่มีน้ำหนักเกิน องค์การอนามัยโลกเสนอแนะว่าในขั้นต้นควรจะลดความอ้วน อย่างต่ำ 5 กิโลกรัม ในผู้เจ็บป่วยความดันโลหิตสูง ที่มีน้ำหนักเกิน
  • การลดจำนวนโซเดียม (เกลือ) ในของกิน ลดโซเดียมในของกิน เหลือวันละ 0.5 – 2.3 กรัม หรือ เกลือโซเดียมคลอไรด์ 1.2 – 5.8 กรัม
  • ลดจำนวนแอลกอฮอล์ หรือจำกัดจำนวนแอลกอฮอล์ไม่กำเนิด 20 – 30 กรัมต่อวันในเพศชาย หรือ 10 – 20 กรัม ในผู้หญิง


จากการศึกษาอาหารสำหรับผู้เป็นโรคความดันเลือดสูงพวกเรามักจะได้ยินชื่อ DASH (Dietary Approaches to stop Hypertension) เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยผัก ผลไม้ และก็สินค้านมไขมันต่ำ ร่วมกับการลดจำนวนไขมัน แล้วก็ไขมันอิ่มตัวในอาหาร
ตารางแสดงตัวอย่างของกิน DASH diet/ต่อวัน ได้พลังงาน 2100 กิโลแคลอรี่




หมวดอาหาร


ตัวอย่างอาหารในแต่ละส่วน




ผัก


ผักดิบประมาณ 1 ถ้วยตวง
ผักสุกประมาณ ½ ถ้วยตวง




ผลไม้


มะม่วง ½ ผล ส้ม 1 ลูก เงาะ 6 ผล กล้วยน้ำว้า 1 ผล แตงโม 10 ชิ้น
ฝรั่ง 1 ผลเล็ก มังคุด 1 ผลเล็ก




นม

  • นมพร่องมันเนย
  • นมครบส่วน




 
1 กล่อง (240 ซีซี)
1 กล่อง (240 ซีซี)




ไขมัน
ปลาและสัตว์ปีก


น้ำมัน 5 ซีซี เนย/มาการีน 5 กรัม
ปริมาณ 30 กรัม (ปริมาณ 2 ช้อนโต๊ะ)




แป้ง,ข้าว,ธัญพืช


ขนมปัง 1 แผ่น ข้าวสวย 1 ทัพพี




 
 
ออกกำลังกาย การออกกำลังกายสำหรับคนที่มีความดันเลือดสูง ควรจะออกกำลังกายแบบแอโรบิค (แบบใช้ออกซิเจน) คือ การออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนอย่างต่อเนื่องในตอนระยะเวลาหนึ่งของกล้ามผูกใหญ่ๆซึ่งคือการใช้ออกซิเจนสำหรับการให้พลังงาน จะได้ประโยชน์ต่อระบบหัวใจแบะเส้นเลือด อย่างเช่น เดิน วิ่ง ว่าย ปั่นรถจักรยาน เป็นต้น ซึ่งการออกกกำลังกายควรปฏิบัติทุกๆวัน อย่างน้อยวันละ 30 นาที ถ้าเกิดว่าไม่มีสิ่งที่ไม่อนุญาต
                บริหารคลายความเครียด การจัดการความเครียดน้อยลงในชีวิตประจำวัน ตามหลักเหตุผลและหลักจิตวิทยามีอยู่ 2 วิธี
-              พยายามเลี่ยงเรื่องราวหรือภาวะที่จะส่งผลให้เกิดความเคร่งเครียดมากมาย
-              ควบคุมปฏิกิริยาของตนเอง ต่อสิ่งที่รู้สึกทำให้พวกเราเครียด
รับประทานยาแล้วก็รับการรักษาสม่ำเสมอ รับประทานยาตามแพทย์สั่งสม่ำเสมอไม่ขาดยา รวมทั้งเจอหมอตามนัดหมายทุกครั้ง ไม่สมควรหยุดยาหรือปรับเปลี่ยนยาด้วยตัวเอง สำหรับผู้เจ็บป่วยที่ทานยาขับปัสสาวะ ควรจะกินส้มหรือกล้วยบ่อยๆ เพื่อทดแทนโปตัสเซียมที่สูญเสียไปในฉี่รีบเจอแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง หรือ เร่งด่วน มีลักษณะอาการดังต่อไปนี้  ปวดศีรษะมาก อ่อนเพลียเป็นอย่างมากกว่าปกติมากมาย เท้าบวม (อาการโรคหัวใจล้มเหลว) เจ็บแน่นหน้าอก ใจสั่น เหงื่อออกมาก จะเป็นลมเป็นแล้ง (อาการจากโรคเส้นโลหิตหัวใจ ซึ่งจะต้องพบหมอรีบด่วน) แขน โคนขาแรง กล่าวไม่ชัด ปากเบี้ยว อ้วก อ้วก (อาการจากโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งจะต้องเจอแพทย์เร่งด่วน)

  • การปกป้องคุ้มครองตัวเองจากโรคความดันเลือดสูง สิ่งสำคัญที่สุดที่จะป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูง คือการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเรื่องการรับประทาน การออกกำลังกายโดย


-              ควรจะควบคุมน้ำหนัก
-              กินอาหารที่มีสาระ ครบอีกทั้ง 5 หมู่ ในจำนวนที่เหมาะสม เพิ่มผักผลไม้ในมื้อของกินจำพวกไม่หวานมากให้มากๆ
-              บริหารร่างกาย โดยออกยาวนานกว่า 30 นาที และออกแทบทุกวัน
-              ลดปริมาณเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์
-              พักให้พอเพียง
-              รักษาสุขภาพจิต รวมทั้งอารมณ์
-              ตรวจสุขภาพรายปี ซึ่งรวมทั้งวัดความดันโลหิต เริ่มได้ตั้งแต่อายุ 18-20 ปี ต่อจากนั้นตรวจสุขภาพบ่อยมากตามหมอ และก็พยาบาลชี้แนะ
-              ลดอาหารเค็ม หรือเกลือแกง น้อยกว่า 6 กรัม ต่อวัน) รับประทานอาหารจำพวกผัก รวมทั้งผลไม้มากขึ้นเรื่อยๆ
ข้อเสนอแนะในการลดการบริโภคเกลือและโซเดียม :-
เลือกซื้อผัก ผลไม้แล้วก็เนื้อสัตว์ที่สดใหม่แทนแนวทางในการเลือกซื้ออาหารกระป๋อง ผักดองและอาหารสำเร็จรูป
แม้จำต้องเลือกซื้ออาหารบรรจุกระป๋องหรืออาหารสำเร็จรูปควรจะอ่านฉลากอาหารทุกครั้ง แล้วก็เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีจำนวนโซเดียมต่ำหรือน้อย (สำหรับพสกนิกรทั่วไปควรบริโภคเกลือไม่เกินวันละ 1 ช้อนชา หรือน้อยกว่า 6 กรัมต่อวัน) ล้างผักแล้วก็เนื้อสัตว์ที่ใช้ประกอบอาหารให้สะอาด เพื่อล้างเกลือออก ลดการใช้เกลือและเครื่องปรุงรส หันมาใช้เครื่องเทศแล้วก็สมุนไพรที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ ตัวอย่างเช่น หัวหอม กระเทียม ขิง พริกไทย มะนาว ผงกระหรี่ แทนไม่วางภาชนะหรือขวดใส่เกลือและเครื่องปรุงรสต่างๆดังเช่น ซอส  ซีอิ๊วขาวและก็น้ำปลาไว้บนโต๊ะอาหารทุกมื้อชิมของกินก่อนรับประทาน ฝึกหัดการทานอาหารที่มีรสชาติเหมาะเจาะ ไม่เค็มจัดหรือหวานจัด ปรุงอาหารรับประทานอาหารเองแทนการกินอาหารนอกบ้าน    หรือการซื้ออาหารสำเร็จรูป
ของกินที่มีเกลือโซเดียมสูง ดังเช่นว่า อาหารที่ใช้เกลือแต่งรส เช่น  ซอสรสเค็ม (เช่น น้ำปลา ซี้อิ๊ว ซอสหอยนางรม เต้าเจี้ยว), ซอสหลายรส  (อาทิเช่น ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ซี้อิ๊ว

36

สมุนไพรยับยั้งพิษ
ยับยั้งพิษ Breynia glauca Craib
ชื่อพ้อง B. subterblanca Fischer
บางถิ่นเรียกว่า ยับยั้งพิษ ดับพิษ (จังหวัดเชียงใหม่) แรงสีเสียด (จังหวัดลำพูน) ปริก (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์).
ไม้พุ่ม สูงได้ถึง 7.5 มัธยม ไม่มีขน กิ่งอ่อนค่อนข้างจะแบน ถัดมาจะกลม. ใบ คนเดียว เรียงสลับกัน รูปไข่แกมรูปหอก โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ; ปลายใบแหลม หรือ มน ปลายสุดเป็นติ่งแข็งเล็กๆกว้าง 1.5-3.0 เซนติเมตร ยาว 2.5-7.0 ซม. เนื้อใบดกและก็แข็ง ข้างบนสีน้ำตาลเข้ม ข้างล่างสีขาวนวล เส้นใบเล็กมาก มี 5-6 คู่ เห็นไม่ชัดเจน ก้านใบยาว 2-3 มม. ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ และก็แยกเพศ. สมุนไพร ดอกเพศผู้ ก้านดอกยาวราว 4 มม. กลีบรองกลีบเชื่อมชิดกันเหมือนลูกข่าง ยาว 2 มม. เกสรผู้ 3 อัน ก้านเกสรเชื่อมชิดกัน. ดอกเพศเมีย ก้านดอกสั้น กลีบรองกลีบเชื่อมชิดกันเป็นปราศจาก ยาว 2 มม. เป็น 3 เหลี่ยม ปลายแยกเป็น 6 แฉก ท่อรังไข่ 3 อัน ตั้งชัน แต่ละอันปลายแยกเป็น 2 แฉก. ผล รูปกลม แบน กว้างราวๆ 8 มม. ยาว 5 มิลลิเมตร แก่จัดสีดำ.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นดังที่ลุ่มในป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณ และที่รกร้างทั่วไป.
สรรพคุณ : แก้ไข้ กระแทกพิษ (ในประมวลคุณประโยชน์ยาไทยของสัมพันธ์แพทย์แผนโบราณ มิได้บอกว่าใช้ส่วนไหนของพืช).

37

สมุนไพรทองหลางฝรั่ง
ทองหลางฝรั่ง Hura crepitans Linn.
บางถิ่นเรียก ทองหลางฝรั่ง (กรุงเทพฯ) โพทะเล โพฝรั่ง โพศรี (บุรีรัมย์) โพศรีมหาโพ (กึ่งกลาง).
ไม้พุ่ม หรือ ไม้ต้น สูงได้ถึง 13 มัธยม ใบ ผู้เดียว เรียงแบบบันไดเวียน รูปไข่ กว้าง 5-12 เซนติเมตร ยาว 5-15 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ขอบของใบเรียบ หรือ จะตื้นๆโคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ มีเส้นแขนงใบจำนวนไม่ใช่น้อย สีอ่อน ข้างบนสะอาด ข้างล่างตามเส้นกึ่งกลางใบมีขนยาว ก้านใบยาว 4-20 ซม. ปลายใบมีก้านใบมีต่อม 2 ต่อม หูใบ รูปไข่ ยาว 9-15 มิลลิเมตร ดอก แยกเพศแต่ผู้อยู่บนต้นเดียวกัน. ดอกเพศผู้ ออกเป็นช่อที่ยอด ก้านช่อยาว 2.5-8 ซม. ช่อดอกยาว 2.5-6 เซนติเมตร สมุนไพร  มีดอกเยอะแยะ   กลีบรองกลีบดอก รูปถ้วย ยาว 2-3 มิลลิเมตร ขอบเรียบ หรือ หยักบางส่วน เกสรผู้ 11-30 อัน ติดกันเป็นแท่งสีแดง โดยเรียงเป็นวง 2-3 วง. ดอกเพศเมีย ออกผู้เดียวๆใกล้กับช่อดอกเพศผู้ ก้านดอกยาว 1.25-1.75 ซม. ต่อมาจะยาวได้ถึง 6 เซนติเมตร กลีบรองกลีบรูปครึ่งวงกลม ล้อมรังไข่ ยาว 4-6 มม. ขอบกลีบเรียบ รังไข่ข้างในมี 11-14 ช่อง มีไข่อ่อนช่องละ 1 หน่วย ท่อรังไข่เป็นแท่ง ปลายท่อเป็นรูปใบบัวเล็กๆหรือ รูปกรวย สีม่วงเข้ม มีหยักมนๆ11-14 หยัก กว้าง 1.5-2.5 เซนติเมตร ผล กลมแป้น แขวนลง ปลายแหลมเป็นควรอย มีสันตามทางยาว แข็ง เส้นผ่าศูนย์กลาง 8-9 เซนติเมตร ยาว 4-5 เซนติเมตร เมล็ด แบน.

นิเวศน์วิทยา
: มีถิ่นเกิดในอเมริกา ปลูกเป็นไม้ประดับ.
คุณประโยชน์ : ใบ น้ำสุกใบกินแก้ปวดเรื้อรัง เม็ด ใช้เป็นยาถ่ายและทำให้อาเจียน

38

สมุนไพรกระดอหดใบขน
กระดอหดใบขน  Croton caudatus Geisel.
กระดอหดใบขน (เมืองจันท์).
ไม้เถา ครึ่งหนึ่ง ไม้พุ่ม ตามกิ่ง ใบ และดอก มีขนรูปดาว รวมทั้งสากคาย. ใบ ผู้เดียว เรียงสลับกัน แผ่นใบมีรูปร่างและขนาดต่างๆกัน ตั้งแต่ รูปหอก รูปไข่ กระทั่งกลมปนรูปหัวใจ; มีขนาดกว้าง 2.5-10 ซม. ยาว 4-12 เซนติเมตร โคนใบมน หรือ เว้านิดหน่อยเป็นรูปหัวใจ มีต่อม 2 ต่อมที่โคนซึ่งชิดกับก้านใบ ค่อนข้างมีลักษณะคล้ายรูปกรวย มีก้านยาว 0.5-1 มม. ขอบของใบหยักไม่บ่อยนัก ปลายใบแหลมถึงเรียวแหลม มีเส้นกิ้งก้านใบออกมาจากโคนใบ 1 คู่ และก็ออกจากเส้นกลางใบ 2-3 คู่ ข้างบนเกลี้ยง หรือ สาก ด้านล่างสาก หรือ มีขนหนาแน่น ก้านใบยาว 1-4 ซม. สาก. สมุนไพร  ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ยาว 7-25 ซม. ใบเสริมแต่งรูปเรียวปลายแหลม หรือ อาจไม่มี ก้านดอกยาว 1-5 มม. มีขนเป็นรูปดาว ดอกเพศผู้ รวมทั้งดอกเพศเมียอยู่บนต้นเดียวกัน. ดอกเพศผู้ ดอกตูมมีลักษณะกลม กลีบรองกลีบ 5 กลีบ รูปไข่ปนสามเหลี่ยม ยาว 2.5 มิลลิเมตร มีขน กลีบรูปไข่กลับ ยาว 2.5 มม. เกสรผู้มี 18-40 อัน ก้านเกสรมีขนที่ฐาน อับเรณูรูปรี. ดอกเพศภรรยา มีกลีบรองกลีบ 5 กลีบ รูปไข่กลับ ยาวประมาณ 4 มม. ข้างนอกมีขนรูปดาว ด้านในเกลี้ยง กลีบดอกไม้มีขนาดเล็กมาก รูปยาวปลายแหลม ขอบมีขน ท่อรังไข่ 3 อัน แต่ละอันแยกเป็น 2 แฉก มีขนรูปดาว. ผล กลม หรือ รูปไข่ เรียบ หรือ เป็นสัน 6 สัน มีขนาดกว้างประมาณ 10-15 มิลลิเมตร เมล็ด รูปรี ยาวโดยประมาณ 8 มิลลิเมตร มีขนรูปดาว.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นกลาดเกลื่อนในป่าผลัดใบ เหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 100 ม.
คุณประโยชน์ : ราก น้ำสุกราก รับประทานเป็นยาระบาย แล้วก็ลดไข้  ใบ ตำเป็นยาพอกข้างนอก ลดไข้ แก้ปวดข้อ รวมทั้งเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวกล้าม ยอดอ่อนบดรวมกับใบฝาง (Caesalpinia sappan Linn.) รับประทานแก้โรคตับอักเสบ

39

สมุนไพรคริสต์มาส
คริสต์มาสEuphorbia pulcherrima Willd.
บางถิ่นเรียกว่า คริสต์มาส (ทั่วๆไป) บานใบ (เหนือ) โพผัน สองประจำเดือน (จังหวัดกรุงเทพ).
       ไม้พุ่ม สูง 1-3  ม.ใบ รูปไข่ปนรูปหอก กว้าง 6-9 เซนติเมตร ยาว 9-12 เซนติเมตร โคนใบเป็นครีบ ปลายใบแหลม ขอบใบมี 2-3 หยัก มีเส้นใบ 6-8 คู่ ข้างล่างมีขนสั้นๆปกคลุม; ก้านใบยาวราว 3 เซนติเมตร หูใบเป็นต่อม. ดอก ออกเป็นช่อที่ยอด มีดอกเพศผู้รวมทั้งดอกสมบูรณ์เพศในช่อเดียวกัน บริเวณช่อดอกมีใบตกแต่งสีแดงรูปหอก หรือ รูปไข่ปลายแหลม ขอบเรียบ กว้าง 1.5-6 เซนติเมตร ยาว 4-15 ซม. ก้านใบแต่งแต้มยาว 1-4 เซนติเมตร ดอกยาวราวๆ 5 มม. สีเหลืองมีเกสรผู้จำนวนหลายชิ้น สมุนไพร เกสรเมียทรงกระบอกแกมรูปไข่ มีขน. ผล ไม่เคยเห็น.

นิเวศน์วิทยา
: มีถิ่นเดิมอยู่แถบทวีปอเมริกากึ่งกลาง นิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป.
สรรพคุณ : ต้น ยางเป็นพิษ ทำให้รอยแผล หรือ ตากำเนิดอาการเคืองอย่างรุนแรง ใบ ชาวชวาใช้อ่อนแต่งรสในของกิน ตำเป็นยาพอก แก้โรคผิวหนังบางประเภท ได้แก่ ไฟลามทุ่ง (Erysepalus) ดอก ชงรับประทานเป็นยาขับน้ำนม

Tags : สมุนไพร

40

สมุนไพรตาตุ่มทะเล
ตาตุ่มทะเลExcoecaria agallocha Linn.
บางถิ่นเรียก ตาตุ่มทะเล} ตาตุ่ม (กึ่งกลาง); บูตอ (มลายู-จังหวัดปัตตานี).
ไม้ต้น ขนาดกลาง สูง 8-15 มัธยม เปลือกสีเทาเป็นมัน. ใบ ลำพัง เรียงสลับกัน รูปไข่ หรือ รี กว้าง 2-5 ซม. ยาว 3-9 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบสอบ หรือ มน; ขอบใบเรียบ หรือ หยักเล็กน้อย; ก้านใบยาว 1-2 ซม. ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ดอกเพศผู้ รวมทั้งดอกเพศภรรยาอยู่ต่างต้นกัน. ดอกเพศผู้ ออกเป็นช่อยาว 3-7 ซม.; กลีบรองกลีบดอก 3 กลีบ; เกสรผู้ 3 อัน ไม่ติดกัน อับเรณูมี 2 ช่อง กลม. สมุนไพร ดอกเพศภรรยา ออกเป็นช่อยาว 1.5-3.5 ซม. กลีบรองกลีบดอกโคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 3 แฉก; รังไข่มี 3 ช่อง แต่ละช่องมีไข่อ่อน 1 หน่วย. ผล รูปกลมแป้น มี 3 พู กว้างราว 6 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 4 มิลลิเมตร เมล็ด ออกจะกลม.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามป่าชายเลน.
คุณประโยชน์ : ราก ตำ หรือ ฝน ผสมกับขิง เป็นยาพอก หรือ ทา แก้อาการบวมตามมือและเท้า ต้น ยางมีฤทธิ์กัดทำลาย นำไปสู่อาการอักเสบ ถ้าหากเข้าตาจะมีผลให้ปวดอักเสบมากมาย ถึงทำให้ตาบอดได้ แก่นเรียกว่ากระลำพัก (ตาตุ่มสมุทร) เมื่อเผาไฟจะมีกลิ่นหอมาก ใช้เข้าเครื่องยา เป็นยาขับลม ฟอกโลหิต ขับระดู ระบาย รวมทั้งขับเสลด ถ้าเอาไม้จำพวกนี้ไปปักเลี้ยงหอยแมลงภู่ ผู้ที่กินหอยที่เกาะไม้นี้ จะมีผลให้ท้องร่วงได้  ควันที่เกิดขึ้นมาจากการเผาต้น ใช้รมแก้โรคเรื้อน  ยางต้นต้มรวมกับน้ำมัน ใช้ทาแก้โรคเรื้อน กัดแผลอักเสบเรื้อรัง ทาเช็ดนวดแก้ปวดตามข้อ รวมทั้งอัมพาต ถ้าหากกินยางต้นในขนาดต่ำๆเป็นยาถ่าย แม้กระนั้นหากกินมากอาจก่อให้สตรีแท้งบุตรได้ ใบ เป็นพิษ น้ำต้มเปลือก กินเป็นยาทำให้อาเจียน เป็นยาถ่าย แก้โรคลมชัก และเป็นยาฝาดสมาน

Tags : สมุนไพร

41

สมุนไพรผักหวานบ้าน
ผักหวานบ้าน Sauropus androgynous (Linn.) Merr.
ชื่อพ้อง albicans. Bl.
บางถิ่นเรียกว่า ผักหวานบ้าน ผักหวาน (ทั่วไป) ก้านตง จ๊าผักหวาน (เหนือ) โถหลุ่ยกะนีเด๊าะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) นานาเซียม (มลายู-สตูล) ผักหวานใต้ใบ (จังหวัดสตูล) มะยมป่า (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์).
       ไม้พุ่ม หรือ ไม้ล้มลุก ที่มีโคนต้นค่อนข้างจะแข็ง สูง 0.5-2 ม.ลำต้นอ่อน กลม หรือ เป็นเหลี่ยม หมดจด กิ่งอ่อนหักงอไปมาเป็นรูปซิกแซกน้อย. ใบ ผู้เดียว เรียงสลับกัน รูปไข่ หรือ รูปหอก กว้าง 1.3-3 เซนติเมตร ยาว 2.5-11 ซม. ปลายใบแหลม หรือ มน ขอบใบเรียบ โคนใบแหลม หรือ มน เส้นกิ้งก้านใบมีข้างละ 5-7 เส้น โค้งน้อย ใบหมดจดทั้งสองด้าน; เมื่อทำให้แห้งจะมีสีเขียวอมเหลือง; สมุนไพร ก้านใบสั้น ราว 2-4 มม. หูใบสามเหลี่ยม ยาว 1.7-3 มม. ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ดอกเพศผู้ แล้วก็ดอกเพศเมียอยู่บนต้นเดียวกัน บางโอกาสกำเนิดบนช่อเดียวกัน. ดอกเพศผู้ ก้านดอกยาว 4-5 มม. ดอกรูปจาน กลีบรองกลีบดอกไม้สีเหลือง หรือ มีจุดๆสีแดง ดอกบนกว้างราวๆ 5-12 มิลลิเมตร ขอบกลีบเป็นคลื่นเล็กน้อย หรือ แยกเป็นกลีบ 6 กลีบ ปลายกลีบกลม หรือตัดตรง เกสรผู้มี 3 อัน ก้านเกสรเชื่อมติดกันเป็นท่อสั้นๆปลายแยกออกมาจากกัน ฐานดอกมีต่อม 6 ต่อม. ดอกเพศเมีย ก้านดอกยาวถึง 8 มิลลิเมตร กลีบรองกลีบสีเหลือง หรือ สีแดงเข้ม ยาว 5-7 มม. แยกเป็น 6 กลีบ กลีบรูปไข่ หรือ ออกจะกลม ปลายกลีบแหลมสั้นๆ; รังไข่รูปไข่ ข้างในมี 3 ช่อง มีไข่อ่อนช่องละ 2 หน่วย ท่อรังไข่ 3 อัน สั้น แต่ละอันปลายแยกเป็นสอง แล้วก็ม้วน. ผล รูปกลมแป้น สีขาวอมชมพู เส้นผ่าศูนย์กลาง 15-18 มิลลิเมตร ยาว 10-13 มม. กลีบรองกลีบดอกไม้มีขนาดโตขึ้นเมื่อได้ผลสำเร็จ. เมล็ด สามเหลี่ยม กว้างราว 5 มิลลิเมตร ยาว 8 มิลลิเมตร สีออกดำ.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นทั่วๆไปในป่าดงดิบ ป่าละเมาะ ดังที่รกร้าง แล้วก็ข้างถนน.
สรรพคุณ : ราก น้ำสุกรากรับประทานเป็นยาลดไข้ รวมทั้งเยี่ยวขัด ต้น และก็ ใบ น้ำยางต้นและก็ยางใบ ใช้หยอดตาแก้อักเสบ นำมาตำเป็นยาพอกผสมกับรากแล้วก็ cinnamon รักษาแผลในจมูก ตำผสมกับ arsenic ใช้ทาแก้โรคผิวหนังที่ติดเชื้อ spirochete ประเภทหนึ่งได้

42

สมุนไพรโลดทะนง
โลดทะนง Trigonostemon reidioides (Kurz) Craib
ชื่อพ้อง Baliospermum reedioides Kurz.
บางถิ่นเรียกว่า โลดทะนง (จังหวัดราชบุรี ปราจีนบุรี จังหวัดตราด) ข้าวเย็นเนิน (จังหวัดราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์) ดู่เบี้ย ดู่เตี้ย (เพชรบุรี) ทะนง รักทะนง (จังหวัดโคราช) ทะนงแดง (ประจวบคีรีขันธ์) นางแซง (อุบลราชธานี) โลดทะนงแดง (จังหวัดบุรีรัมย์) หนาดคำ (เหนือ) หัวยาข้าวเย็นเนิน (ราชบุรี).
  ไม้พุ่ม ขนาดเล็ก สูง 0.5-1.5 มัธยม มีขนปกคลุมดกนแน่นทั่วไป. ใบ คนเดียว เรียงสลับกน รูปขอบขนาน แคบบ้างกว้างบ้าง หรือ กว้าง 2-4 เซนติเมตร ยาว 7-12 เซนติเมตร; ปลายใบแหลม ขอบของใบเรียบ โคนใบกลม หรือ มน เส้นใบมี 5-7 คู่ ข้างล่างนูน มีขนอีกทั้ง 2 ด้าน ด้านบนค่อนข้างจะสาก ข้างล่างขนยาว นุ่มและหนาแน่นกว่าข้างบน ที่ฐานใบมีต่อมเล็กๆ2 ต่อม ก้านใบยาว 10-15 มม. มีขน. ดอก สีขาว ชมพู ม่วงเข้ม หรือ แทบดำ ออกเป็นช่อตามง่ามใบ แล้วก็ตามกิ่ง ดอกเพศผู้ แล้วก็ดอกเพศเมียเกิดบนต้นเดียวกัน. ดอกเพศผู้ ดอกตูมกลม กลีบรองกลีบดอก 5 กลีบ รูปไข่กลับ ข้างนอกมีขน กลีบ 5 กลีบ รูปไข่กลับ ไม่มีขน เกสรผู้ 3 อัน ก้านเกสรติดกัน อับเรณูรูปกลม ฐานดอกขอบเป็นคลื่น. ดอกเพศภรรยา สมุนไพร ดอกตูมรูปไข่ กลีบรองกลีบดอก 5 กลีบ รูปไข่ปลายมน กว้างราวๆ 1.5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 3 มม. ข้างนอกมีขน กลีบดอกรูปไข่ กว้างราวๆ 2 มิลลิเมตร ยาว 3 มิลลิเมตร รังไข่รูปไข่ มีขน ท่อรังไข่สั้น มี 3 อัน ปลายท่อใหญ่ ปลายสุดหยักเว้าบางส่วน ฐานดอกขอบไม่เป็นคลื่น. ผล มี 3 พู เส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 12 มม. มีขนปกคลุมดกนแน่น ก้านผลยาวโดยประมาณ 15 มม. เม็ด รูปค่อนข้างกลม หรือ รูปไข่ปนสามเหลี่ยม ยาวโดยประมาณ 5-6 มม. สีออกเหลือง ผิวเรียบ.

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นทั่วไปในที่ดินผสมทราย ในป่าสัก และมีเกลื่อนกลาดในป่าเบญจพรรณแล้ง เหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 450 ม.
คุณประโยชน์ : ราก รสร้อน ฝนกินเพื่อทำให้อาเจียน ทำให้ท้องร่วง ใช้ถอนพิษรับประทานยาเบื่อเมา แก้โรคหืด ใช้ภายนอกฝนทาเป็นยาเกลื่อนฝี แก้บวมช้ำ เคล็ดลับบวม กินเป็นยาคุม

43

สมุนไพรกระเบาใหญ่
กระเบาใหญ่ Hydnocarpus anthelminthica Pierre
บางถิ่เรียก กระเบาใหญ่ กระเบาน้ำ กระเบาแข็ง กาหลง (ภาคกึ่งกลาง) กระเบา (ทั่วไป) กระเบาตึก (เขมร-ตะวันอก) ตัวโฮ่งจี๊ (จีน) เบา (จังหวัดสุราษฎร์ธานี)
  ไม้ต้น ขนาดกึ่งกลาง สูง 15-20 มัธยม ลำต้นตรง. ใบ ผู้เดียว ออกเวียนสลับ รูปขอบขนานแกมรูปหอก กว้าง 4-6 เซนติเมตร ยาว 15-20 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนเบี้ยว ขอบใบเรียบ เนื้อใบดก หมดจด เส้นใบมี 8-10 คู่ เส้นใบย่อยสานกันเป็นร่างแหเห็นชัด ใบแห้งสีน้ำตาลแดง สมุนไพร ดอก ออกตามง่ามใบ เป็นดอกแยกเพศ กลีบเลี้ยงและก็กลีบมีอย่างละ 5 กลีบ ดอกเพศผู้ สีชมพู มีกลิ่นหอมหวน ออกโดดเดี่ยวๆก้านดอกยาว เกสรเพศผู้มี 5 อัน ดอกเพศเมีย ออกเป็นช่อสั้นๆผล กลมใหญ่ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8-10 เซนติเมตร สีขาว ผิวเรียบ มีขน หรือ เกล็ดสีน้ำตาลแดงคลุม

นิเววิทยาศน์
: ขึ้นตามป่าดิบใกล้ชายน้ำ ทางภาคใต้และภาคอีสาน ระดับความสูงจากน้ำทะเล 50-200 มัธยม
สรรพคุณ : ต้น น้ำต้มเปลือก กินเป็นยาขับฉี่ เมล็ด เป็นยาขับพยาธิ เมื่อกระทำการบีบเม็ดจะได้นำมันกระค่อย ใช้ทาแก้โรคเรื้อน หรือ โรคชันนะตุ ใช้ทาถูนวดแก้เจ็บท้อง รูมาว่ากล่าวซึม และโรคเก๊าท์

44

[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/i]แขม[/url][/b]
แขม Saccharum arundinaceum Retz.
บางถิ่นเรียก แขม (ทั่วไป) ตะโป (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) แตร๊ง (เขมร-สุรินทร์) ปง (ภาคเหนือ)
ไม้ล้มลุก จำพวกหญ้า ขึ้นเป็นกอขนาดใหญ่ ลำต้นสูงได้ถึง 3 มัธยม กว่า เส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 2.5 ซม. ใบ รูปยาว ปลายเรียว กว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ยาวโดยประมาณ 1.5 ม. ขอบใบหยาบ เส้นกลางใบสีขาว กาบใบยาวถึง 40 เซนติเมตร ผิวเรียบ หมดจด ลิ้นใบขอบเป็นเยื่อตื้นๆขอบเป็นขนแข็ง หมดจด ดอก ออกเป็นช่อใหญ่ ยาว 0.3-1 ม. แตกกิ่งก้านสาขามากมาย ไม่มีขน หรือตามกิ่งเล็กๆอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีขนเป็นมันเหมือนเส้นไหม ช่อดอกย่อย (spikelet) มีขนยาวสีขาวเป็นมันปกคลุมช่อดอกย่อยออกเป็นคู่ ช่อหนึ่งมีก้าน อีกช่อหนึ่งไม่มีก้าน กาบช่อดอกย่อยยาวเท่ากับช่อดอกย่อย กาบดอกสั้นกว่า บาง สมุนไพร เกสรเพศผู้มี 3 อัน รังไข่สะอาด ก้านเกสรเพศเมียมี 2 เส้น ยอดเกสรเพศเมียเป็นขน โผล่ข้างๆ สีม่วงแดง

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นตามริมฝั่งน้ำทั่วๆไป
คุณประโยชน์ : ราก น้ำต้มกินเป็นยาเย็น ขับเยี่ยว แล้วก็แก้โรคผิวหนังบางชนิด ต้น ต้มน้ำกินแกฝี หนอง

Tags : สมุนไพร

45

สมุนไพรเลี่ยน
ชื่อพื้นบ้านอื่น เกรียน เฮี่ยน (ภาคเหนือ) เคี่ยน เลี่ยน เลีี่ยนใบใหญ่ (ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์  Melia azedarach L.
ชื่อพ้อง Melia dubia Cav.. Melia toosendan Siebola & Zucc..
ชื่อตระกูล  MELIACEAE
ชื่อสามัญ Bead tree, Bastard cedar , Perisian lilac , White cedar.
ลักษณะทั่วไปทางวิชาพฤกษศาสตร์
ไม้ใหญ่ (T/ST) ขนาดกึ่งกลาง สูง 10-20 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดรูปกรวยหรือทรงกระบอก ออกจะโปร่ง เปลือกต้นสีน้ำตาลแตกเป็นร่อง โตเร็ว เจริญเติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุย แสงแดดจัด
ใบ ใบประกอบแบบขนสองชั้น ปลายคี่ เรียงสลลับที่ปลายกิ่ง แกนกลางใบประกอบยาว 30-60 ซม. ใบย่อยจำนวนไม่น้อย รูปรีปนรูปขอบขนาน เรียงตรงข้าม กว้าง 1.5-2.5 ซม. ยาว 3-6 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบแหลมหรือสอบรวมทั้งมักเบี้ยว ขอบใบจักฟันเลื่อยห่างๆ
สมุนไพร ดอก มีดอกเป็นช่อที่ซอกบริเวณปลายกิ่ง กลีบดอก 5-6 กลีบ สีชมพูหรือขาวอมม่วงอ่อนๆเส้นผ่านศูนย์กลางดอกโดยประมาณ 2 ซม. เกสรเพศผู้ 10 อัน สีม่วง อยู่ติดกันเป็นหลอด ดอกมีกลิ่นหอมสดชื่น มีดอก ธันวาคม-มีนาคม
ผล รูปกลมหรือรี กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ยาว 2.5 ซม. เมื่อแก่เป็นสีเหลือง เม็ดต่อเมล็ด

นิเวศวิทยา
มีบ้านเกิดในเอเชียเขตร้อน จีน ทางภาคเหนือของอินเดียรวมทั้งประเทศออสเตรเลีย เจอตามป่าเขาดิบและป่าเบญจพรรณทั่วภาคทุกภาคไทย
การปลูกแล้วก็ขยายพันธุ์
เป็นไม่ที่ปลูกได้ไม่ยาก เจริญเติบโตก้าวหน้าในดินปกติ ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเม็ดหรือปักขำราก
ส่วนที่ใช้ รส และสรรพคุณ
ทั้งต้น รสขม แก้โรคผิวหนัง แก้โรคเรื้อน เป็นยาอายุวัฒนะ
เม็ด ให้น้ำมัน ใช้ทาแก้ปวดข้อ
ใบ ให้สีเขียวใช้ย้อมผ้า
วิธีการใช้รวมทั้งปริมาณที่ใช้

  • แก้โรคผิวหนัง แก้โรคเรื้อน โดยใช้ต้นสด 10-20 กรัม หรือยาวราวๆ 1 ฝ่ามือ สับเป็นชิ้น ต้มในน้ำสะอาด 1 ลิตร ต้มให้เหลือ 3 ใน 4 ส่วน กรองเอาน้ำกิน วันละ 2-3 เวลา



Tags : สมุนไพร

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 7