รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - tawattt005

หน้า: 1 [2]
16

เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือมีผลยังไงต่อเซลล์ต่อมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต เบาหวาน โรคความดันสูง แล้วก็โรคอื่นๆอันแสนเพลียที่จะรักษา ติดตามผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยรับรองสรรพคุณได้ในบทความนี้ค่ะ
สมุนไพร บทความพวกนี้อ้างอิงสรรพคุณของเห็ดหลินจือจากผลการศึกษาเรียนรู้และค้นคว้ารวมทั้งการวิจัยยืนยันจากที่ต่างๆเพื่อให้สหายได้พิเคราะห์ด้วยตัวเองว่ารักษาโรคก้าวหน้าแค่ไหนและน่าไว้วางใจเท่าใด ถ้าเพื่อนฝูงๆเคยอ่านบทความเกี่ยวกับสรรรพคุณหรืองานศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเห็ดหลินจือจากที่อื่นมาก่อน แล้วรู้สึกอ่านไม่ง่ายมากแค่ไหนไหมรู้เรื่อง บทความในเว็บไซต์แห่งนี้ผู้เขียนได้คัดเลือกแล้วก็สะสมจากหลายที่และเขียนในภาษาที่อ่านง่ายที่สุดเท่าที่จะทำเป็น
สหายๆถูกใจบทความนี้ก็จะเป็นอันมากใจให้ผู้เขียนได้บทความดีๆให้เพื่อนฝูงอ่านกันอีกต่อไปบทความเห็ดหลินจือรักษาโรคเด็ดๆที่เพื่อนพ้องๆจำเป็นต้องถูกใจ
เห็ดหลินจือยั้งมะเร็ง
ผลการวิจัยพบว่า เห็ดหลินจือ มีสารสามารถยับยั้งโรคมะเร็งไดและก็โดยไม่กระทบต่อเซลล์ธรรมดา สารดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นมีอยู่มากมายที่สปอร์ที่กะเทาะฝาผนังหุ้มสปอร์แล้วนอกนี้ผลที่เกิดจากงานวิจัยจากกรมพัฒนาการหมอแผนไทยพบว่าเห็ดหลินจือมีสารกรุ๊ป Polysaccharide ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูเขามิคุ้ม แล้วก็สารกลุ่ม Triterpenes (พบที่สปอร์ของเห็ดหลินจือ มากที่สุด ) ซึ่งกลุ่มข้างหลังสามารถยับยั้งเซลล์ของโรคมะเร็งได้ โดยสปอร์กะเทาะผนังห่อจะได้ผลดีมากกว่าแบบไม่กะเทาะมากมาย
อย่างไรก็ตามฤทธิ์ฆ่าเซลล์ของโรคมะเร็งของมะเร็งของสารสกัดเห็ดหลินจือที่กล่าวไปนั้น ยังคงเป็นเพียงผลของการทดสอบในหลอดทดสอบแค่นั้น ตอนนี้ภาควิชาแพทย์ศาสตร์ของมหาลัยจังหวัดเชียงใหม่กำลังศึกษาค้นคว้าผลที่มีต่อคนเจ็บโรคมะเร็วจริงๆแล้วก็คาดว่าผลการศึกษาเรียนรู้นี้คงเปิดเผยให้สหายๆได้รู้กันในเร็วๆนี้จ้ะ แม้กระนั้นในเวลานี้มีรายงานการศึกษาเล่าเรียนจากจีนพบว่า เห็ดหลินจือสามารถเสริมภูมิต้านทานได้จริงในผู้เจ็บป่วยมะเล็กลำไส้ใหญ่ ปอด รวมทั้งคนเจ็บที่เป็นโรคมะเร็งขั้นแพร่กระจาย โดยไม่เป็นผลข้างเคียงแล้วก็สามารถใช้ได้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆได้อย่างปลอดภัย แต่ในประเทศไทย การใช้เห็ดหลินจือในการรักษาโรคมะเร็งนั้นยังไม่ใช่หนทางหลักในการรักษา ย้ำเรื่องเสริมภูมิคุ้มกันมากยิ่งกว่า
ช่วงนี้มีผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือขายล้นหลามตามตลาด มีทั้งๆที่ผลิตในไทยแล้วก็นำเข้าจากต่างประเทศ ถ้าหากเพื่อนพ้องๆต้องการเลือกซื้อ จำต้องดูให้ดี ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนั้นมีที่มาและแหล่งผลิตน่าไว้ใจหรือเปล่า มีการยืนยันจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือเปล่า รวมทั้งสินค้าที่สามารถกันความชุ่มชื้นเจริญหรือป่าวประกาศ
ชาวจีนรู้จักการใช้เห็ดหลินจือรักษาโรคหัวใจมาตั้งแต่ยุคราชวงค์หมิง เดี๋ยวนี้แพทย์แผนจีนก็ยังคงใช้เห็ดหลินจือการรักษาโรคหัวใจมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าดึงดูดเพราะเหตุว่าหากไม่ดีจริงก็อาจจะเลิกใช้กันไปนานแล้วใช่ไหม จึงมีการทำการศึกษากันอย่างจริงๆจังเยอะแยะสำหรับหัวข้อนี้
ที่กรุงปักกิ่งได้มีการทดสอบจริงกับคนเจ็บที่มีอาการเจ็บอก จากเส้นโลหิตหัวใจตีบ พบว่าภายหลังจากการให้รับประทานเห็ดหลินจืออย่างตลอดเป็นเวลา 3 เดือน ผุ้เจ็บไข้ที่เข้ารับการทดสอบ 90% มีอาการที่ จากการสังเกตร่วมร่วมกับการประเมินคลื่นหัวใจ ECG
เมื่อ 50 ปีที่แล้ว มีนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งได้พบสารเคมีที่ช่วยลดระดับความดันเลือดในเห็ดหลินจือแล้วก็พบสารยั้งการจับตัวกันจนเป็นก้อนของเลือดอีกด้วย จากการทดสอบใช้เห็ดหลินจือกับคนไข้โรคหัวใจโรงหมอ พบว่าสามารถลดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะได้จริง
นักวิทยาศาสตร์รัสเชียยืนยันอีกเสียงว่าเห็ดหลินจือช่วยเรื่องเลือดรวมทั้งหัวใจได้จริง และก็พบว่าเห็ดหลินจือเป็นสมุนไพรที่ยอดเยี่ยมสำหรับโรคหัวใจ จากกลุ่มของตัวอย่างสมุนไพร 21 ชนิด ที่กรุ๊ปศึกษาค้นคว้าได้เลือกหยิบมาศึกษาทดลอง

สมุนไพร ธรรมดาในกระแสโลหิตพวกเราจะมีไขมันอยู่แล้วทุกคน จากมากมายน้อยสุดแล้วแต่คนไป แม้กระนั้นถ้าหากในกระแสเลือดของพวกเรามีปริมาณไขมันมากจนเกินความจำเป็นนี่มีปัญหาแน่ค่ะ เรียกสภาวะนี้ว่า โรคไขมันในเส้นเลืดสูง ซึ่งโรคนี้เกิดจากหลายกรณี จากของกิน สภาพจิตใจ สิ่งแวดล้อม พันธุรวมถึงบางทีอาจกำเนิดจาผลกระทบของยาบางจำพวกอีกด้วย(ไขมันที่พูดถึง คือ ตรีกลีเซอไรค์และคอลเรสเตอรอคอยล โรคไขมันในเลือดสูงสามารถนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆตามมาอีก อาทิเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันเลือดสูง เส้นเลือดหัวใจตีบ หัวใจขาดเลือด และเส้นเลือดสมองตีบ ฯลฯ
นักค้นคว้าได้ค้นพบสารหลายประเภทในเห็ดหลินจือที่ช่วยลดจำนวนไขมันในเส้นเลือดเป็นGanoderic Acid แล้วก็ Lucidenic Acid ซึ่งสาร 2 ชนิดที่กล่าวมาแล้ว เว้นแต่ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้แล้ว ยังปกป้องไม่ให้ไขมันอุดตันเส้นโลหิตได้โดยตรงอีกด้วย นอกจากนั้นยังมีสารกลุ่ม Nucleotide ซึ่งสามารถช่วยลดการอุดตันของลิ่มเลือดในเส้นโลหิต และก็ช่วยลดอัตราเสี่ยงที่จะเป็นอัมพาตได้อีกด้วย
ได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่ญี่ปุ่นทดสอบให้สารสกัดเห็ดหลินจือกับคนที่เป็นโรคไขมันเส้นเลือดสูง 70 ราย แล้วก็ทำเก็บผลการทดลองภายหลังผ่านไป 3 เดือน พบว่าโคเรสเตอรอลของผู้รับการทดลองลดน้อยลงไปถึง 74% ซึ่งก็สอดคล้องกับผลการวิจัยจากทั่วโลก และยังพบว่าเห็ดหลินจือ เว้นเสียแต่ช่วยลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือดแล้ว ยังเป็นเหตุให้เลือดไหลเวียนอีกด้วย
การที่[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ[/url]สามารถจัดแจงกับภาวะไขมันในเส้นโลหิตสูงได้นั้น ได้รับการยืนยันจากนักวิจัยอีกทั้งในประเทศญี่ปุ่น จีน รัสเชีย และก็ที่อื่นๆอีกทั้งโลกแล้วว่าเห็นผลจริงละไม่ได้เป็นเพาระความเชื่อถืออีกต่อไป สุดท้ายนี้ก็ขอฝากไว้ ภาวะไขมันในเส้นเลือดสูงเป็นภาวะที่อันตรายเพราะเหตุว่าสามารถเป็นเหตุให้เกิดโรคน่ากลัวอื่นๆตามมาได้ โดยเหตุนี้หากสหายๆตรวจเลือดแล้วเจอภาวะนี้ก็ควรรีบจัดการตั้งแต่เนิ่นๆไว้กิ่นจะดีมากยิ่งกว่า

17

ถั่งเช่า
การกินถั่งเช่าโดยสวัสดิภาพ
ถ้าเกิดรับประทานในช่วงเวลาสั้นแล้วก็ปริมาณที่เหมาะสม ถั่งเช่าออกจะมีความปลอดภัย แต่มีข้อควรระวังบางประการ ดังนี้
การเลือกรับประทานสมุนไพรถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมควรเลือกจากแหล่งผลิตที่ไว้ใจได้แล้วก็ผ่านแนวทางการที่ถูก เนื่องจากว่ามีความน่าจะเป็นไปได้ต่อการแปดเปื้อนสารพิษแล้วก็สารเคมีที่เป็นโทษต่อสภาพทางด้านร่างกาย
ถั่งเช่าอาจจะส่งผลให้กำเนิดอาการท้องเดิน คลื่นไส้ หรือปากแห้งในบางราย
การรับประทานถั่งเช่าพร้อมกันกับยาบางประเภท ดังเช่นว่า ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยายับยั้งแนวทางการทำงานของระบบภูมิต้านทาน ยาซัยวัวลฟอสฟาไมด์ หรือคาเฟอีน อาจจะเป็นผลให้ปฏิกิริยาระหว่างยา คนที่มีโรคประจำตัวหรือใช้ยาบางตัวเวลานี้ควรปรึกษาหมอก่อนทุกหน
ก่อนที่จะมีการกินถั่งเช่าในรูปแบบธรรมดาหรืออาหารเสริม ควรจะขอคำแนะนำแพทย์หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับจำนวนรวมทั้งช่วงเวลาสำหรับในการกิน เพื่อลดการเสี่ยงในการเป็นผลข้างๆหรือปฏิกิริยาระหว่างยาและก็ร่างกาย
สตรีตั้งท้องหรืออยู่ในช่วงให้นมบุตรควรจะหลีกเลี่ยงที่จะรับประทาน เนื่องด้วยยังไม่มีข้อมูลรับรองความปลอดภัยสำหรับในการรับประทานมากมายพอเพียง ถ้าอยากได้รับประทานควรจะขอคำแนะนำแพทย์ทุกครั้ง
ผู้ป่วยในกลุ่มโรคภูเขามิต่อต้านตนเอง เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งหรือโรคเอมเอส โรคลูปัส โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์  ไม่สมควรรับประทาน เนื่องมาจากถั่งเช่าอาจทำให้ระบบภูมิต้านทานร่างกายไวต่อการกระตุ้นเยอะขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่งผลให้ลักษณะของคนเจ็บแย่ลง
ถั่งเช่าอาจส่งผลให้เลือดแข็งตัวช้า คนเจ็บภาวการณ์เลือดออกเปลี่ยนไปจากปกติอาจมีความเสี่ยงสำหรับการเกิดเลือดออกได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น แล้วก็ผู้เข้ารับการผ่าตัดควรจะหลีกเลี่ยงที่จะรับประทานถั่งเช่าก่อนเข้ารับการผ่าตัดขั้นต่ำ 2 อาทิตย์ เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดเลือดออกมากในขณะผ่าตัด
การศึกษาทาวิทยา
จากการศึกษาเล่าเรียนข้างต้นนับว่ายังไม่มีหลักฐานเพียงพอต่อการสรุปข้อมูล เพราะว่ายังเป็นการตรวจสอบและลองใช้ถั่งเช่าในแบบอย่างการดูแลรักษาเสริมควบคู่กับยาหลักที่รักษาโรค ทั้งยังระยะเวลาสำหรับเพื่อการทดลองค่อนข้างสั้น กลุ่มผู้ป่วยเป็นเด็ก และไม่มีการติดตามผลในระยะยาว ก็เลยต้องศึกษาเล่าเรียนเพิ่มอีกในอนาคตด้านอื่นๆผู้ปกครองหรือคนเจ็บควรจะหารือแพทย์ก่อนที่จะมีการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรใดๆก็ตามแล้วก็ถั่งเช่าสำหรับเพื่อการรักษาโรค
ยืดอายุการเสียชีวิตของผู้เจ็บป่วย ถั่งเช่ายังใช้เป็นการรักษาลู่ทางจากธรรมชาติที่ช่วยต่ออายุผู้ป่วยโรคไตให้ยาวนานขึ้น โดยให้คนเจ็บโรคมะเร็งตับที่เกิดขึ้นมาจากต้นสายปลายเหตุต่างๆจำนวน 101 คน ทดลองรับประทานถั่งเช่ารวมทั้งสารจากธรรมชาติอื่น 11 จำพวก ในจำนวนที่แตกต่างกันเป็นระยะเวลาราว 13 เดือน หลังครบกำหนดก็เลยวัดผลด้วยการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ สารบ่งชี้โรคมะเร็ง และตรวจการปฏิบัติงานของตับ ผลพบว่า ผู้เจ็บป่วยที่รักษาด้วยการใช้ถั่งเช่ารวมทั้งสารจากธรรมชาติ 4 ประเภทหรือมากยิ่งกว่าขึ้นไป รอดชีวิตนานอย่างชัดเจนกว่าผู้เจ็บป่วยที่ได้รับสารจากธรรมชาติน้อยกว่า 3 จำพวก และก็ยังไม่เจอผลข้างเคียง ดังนี้ เป็นการวิจัยที่เก็บข้อมูลย้อนหลัง รวมทั้งเป็นการเล่าเรียนถั่งเช่าร่วมกับสารธรรมชาติตัวอื่น ก็เลยไม่อาจจะเอามาสรุปผลได้แจ้งชัด แต่ว่าบางทีอาจรอข้อเกื้อหนุนอื่นเพิ่ม เพื่อช่วยยืนยันสมรรถนะของถั่งเช่า
โรคไวรัสตับอักเสบ บี มีการใช้ถั่งเช่าสำหรับเพื่อการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคตับอยู่หลายโรค ซึ่งรวมทั้งโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี โดยมีการเรียนรู้สมรรถนะของการใช้ถั่งเช่าในผู้ป่วยโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เรื้อรังปริมาณ 25 คน ในระยะเวลา 3 เดือน เพื่อเปรียบผลก่อนรวมทั้งหลังการทดสอบ จากการทดลองพบว่าระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวคราวลิมโฟไซต์ที่ชี้ระดับภูมิต้านทานของร่างกายมากขึ้น บางทีอาจมีประโยชน์ต่อการดูแลรักษาพังผืดในตับของคนป่วยโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เรื้อรัง
ยิ่งไปกว่านี้ ยังมีการเรียนสมุนไพรผลจากการกินสารสกัดถั่งเช่าในคนเจ็บโรคไวรัสตับอักเสบ บี เรื้อรัง ปริมาณ 60 คน เป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยแบ่งได้ 2 กรุ๊ป กรุ๊ปแรกได้รับประทานสารสกัดถั่งเช่า ครั้งละ 8 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง และก็อีกกลุ่มได้รับยาสมุนไพรชนิดอื่น ครั้งละ 5 เม็ด วันละ 3 ครั้งอย่างเดียวกัน ผลพบว่า คนเจ็บที่กินสารสกัดจากถั่งเช่ามีการอักเสบของตับน้อยลงราวๆ 81% และการเกิดพังผืดน้อยลง 52% แต่ว่ายังมีผู้เจ็บป่วยอีก 33% ที่ไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของการเกิดพังผืดในตับ ก็เลยอาจเป็นหลักฐานที่มั่นใจว่าสมุนไพร ถั่งเช่าบางทีอาจช่วยเพิ่มหลักการทำงานของตับ ลดการอักเสบของตับลงและก็การเสี่ยงสำหรับในการเกิดพังผืดที่ตับ

ดูยังไงอันไหนถั่งเช่าเลียนแบบ
สำหรับถั่งเช่าประเทศทิเบตซึ่งเป็นถั่งเช่าที่มีราคาแพง จึงมีการทำปลอมกันมาก เอาเข้าจริงเป็นเรื่องยากมากๆที่จะรู้ว่าจะต้องมองหลายอย่าง แม้กระนั้นทางคร่าวๆก็จะเป็นไปตามนี้
1.ท่อนหัวของ ถั่งเช่านั้นควรจะเป็นแท่งทรงกลมเป็นเงาคล้ายๆทรงกระบอก
2.เนื่องมาจาก ถั่งเช่าเคยเป็นหนอนมาก่อน ของจริงต้องเป็นหยักๆเรียงกันสวยสดงดงามเสมือนตัวหนอน
3.ราคาต้องผิดกระทั่งเกินไป ถ้าเกิดมีคนไหนเสนอขาย ถั่งเช่าให้เราราคาถูกสันนิฐานไว้ก่อนเลยว่าปลอม
แต่ว่าถ้าเกิดว่าเป็นถั่งเช่าในแคปซูลพวกเราก็จำเป็นต้องมองว่าได้รับการยืนยันจากหน่วยราชการอย่างถูกต้องหรือเปล่า เพราะเหตุว่าถ้าเป็นของแท้จะมี ถ้าไม่มีแสดงว่ามีโอการเป็นของเลียนแบบสูงมากมาย หรือไม่ไม่เป็นอันตราย
แนวทางทานถั่งเช่าให้ได้ประโยชน์สูงสุด
การที่จะทานถั่งเช่าให้ได้ประโยชนสูงสุดนั้นพวกเราก็ต้องเลือกทานตามแบบของถั่งเช่าเป็นหลัก โดยที่มีสำคัญๆอยู่ 2 แบบก็คือ แบบธรรมชาติ รวมทั้งแบบ แคปซูล
1.ถั่งเช่าแบบธรรมชาติ-คนจำนวนไม่น้อยนิยมถั่งเช่าแบบธรรมชาติด้วยการเคี้ยว ซึ้งถือได้ว่าเป็นการเปลืองที่ไม่ค่อยถูกแนวทางมากแค่ไหน เนื่องจากคุณลักษณะในตัวถั่งเช่านั้น จะทำงานเจริญเมื่อถูกความร้อนฉะนั้นควรจะรับประทานแบบที่โนความร้อนดีมากยิ่งกว่าโดยวิธีที่ออกจะได้ผลดีที่สุดก็คือการนำถั่งเช่าราว 2-3 ตัว ไปแช่ลงไปภายในน้ำร้อน ทิ้งเอาไว้ซัก 5 นาทีแล้วจึงนำน้ำมาดื่มจนกระทั่งน้ำหมด ต่อจากนั้นให้เพิ่มเติมน้ำร้อน ได้อีก 2 ครั้ง ร่างกายก็จะได้สารคอร์ไดเซปินไปอย่างครบถ้วน
2.ถั่งเช่าแบบแคปซูล- ตัวถั่งเช่าแบบแคปซูลเวลาทานจะมองสิ่งที่ต้องการเป็นหลักว่า ต้องการทานเพื่อสุขภาพ หรือเจาะจงที่โรคอะไร และทานตามจำนวนที่สมควร อย่างหากพวกเราต้องการทารเพื่อสุขภาพ ให้ทาน เช้า-เย็น อย่างละ 1 แคปซูล ย้ำโรคภูมิแพ้และอื่นๆทาน ยามเช้า เย็น อย่างละ 2 แคปซูลเวลาทานจะทานต่อมาของกินหรือท้องว่างก็ได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอันตรายหรือกัดกระเพาะ

18

โรคคางทูม (Mumps)
โรคคางทูมเป็นอย่างไร  โรคคางทูม (mumps) เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการตำหนิดเชื้อไวรัสซึ่งนับได้ว่าเป็นโรคติดต่อฉับพลันทางระบบหายใจ อีกโรคหนึ่ง พบได้บ่อยในเด็กนักเรียนและก็วัยรุ่น ผู้เจ็บป่วยโดยมากมักมีลักษณะอาการบวมและกดเจ็บรอบๆต่อมน้ำลาย เหตุเพราะมีการอักเสบของต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ซึ่งอยู่รอบๆแก้มหน้าหู เหนือขากรรไกร ที่เรียกว่า ต่อมพาโรติด (Parotid glands) ซึ่งเป็นต่อมคู่ มีทั้งข้างซ้ายแล้วก็ข้างขวา ซึ่งโรคบางทีอาจเกิดกับต่อมน้ำลายเพียงด้านเดียวหรือทั้งสองข้างได้ นอกจากนั้นอาจกำเนิดกับต่อมน้ำ ลายอื่นได้ เป็นต้นว่า ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร หรือต่อมน้ำลายใต้คาง ซึ่งมักจำต้องกำเนิดร่วมกับการอักเสบของต่อมพาโรติดด้วยเสมอ เป็นโรคที่มีอาการไม่ร้ายแรงรวมทั้งสามารถหายเองได้
คางทูมเป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กอายุ 6-10 ปี พบได้ทั้งปวงศหญิงและก็ผู้ชายใกล้เคียงกัน  แม้กระนั้นในเด็กโต วัยเจริญพันธุ์และก็ผู้ใหญ่ชอบเจอความรุนแรงของโรคคางทูมมากยิ่งกว่าและก็กำเนิดอาการนอกต่อมน้ำลายมากยิ่งกว่าวัยเด็ก มักไม่ค่อยเจอในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี รวมทั้งในคนแก่ที่มีอายุมากยิ่งกว่า 40 ปี โรคนี้มีอุบัติการณ์การเกิดสูงในช่วงม.ค.ถึงเดือนเมษายน รวมทั้งในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน และก็บางทีอาจเจอการระบาดได้เป็นครั้งเป็นคราว ในอดีตจัดว่าเป็นโรคติดต่อที่พบได้มากในเด็ก แต่ว่าในตอนนี้มีลักษณะท่าทางลดน้อยลงจากการฉีดยาคุ้มครองป้องกันโรคนี้กันมากยิ่งขึ้น
เรื่องราวและภูมิหลังของโรคคางทูม ศตวรรษที่ห้าก่อนคริสต์ศักราช  Hippocrates ได้อธิบายโรคคางทูมว่าเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ ถัดมาปลายคริสต์ศักราชที่ 1700  Hamilton เน้นย้ำว่าการกำเนิดอัณฑะอักเสบเป็นอาการสำคัญของโรคคางทูม ในปี คริสต์ศักราช1934 Johnson รวมทั้ง Goodpasture สามารถทดลองเลียนแบบการเกิดโรคคางทูมในลิงได้สำเร็จ เป็นหลักฐานแสดงการเจอเชื้อไวรัสคางทูมผ่านมาสู่น้ำลายของผู้เจ็บป่วยโรคคางทูมได้ ในปี ค.ศ.1945 Habel รายงานการเพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสคางทูมในตัวอ่อนลูกไก่ได้สำเร็จ Enders และก็แผนก ชี้แจงการทดสอบทางผิวหนังแล้วก็การวิวัฒนาการของการเสริมตรึงแอนติบอดี  (complement-fixing antibodies) ตามหลังโรคคางทูมในมนุษย์ได้สำเร็จ
                รากศัพท์คำว่า  mumps มาจากภาษาใดไม่เคยรู้แน่ชัด อาจมาจากคำนามในภาษาอังกฤษ  mump ที่หมายความว่าก้อนเนื้อ หรือมาจากคำกิริยาในภาษาอังกฤษ  to mump ที่หมายความว่า อารมณ์เสีย ซึ่งเป็นลักษณะการแสดงออกทางสีหน้า  mumps ยังมีความหมายถึงลักษณะการพูดอู้อี้ ซึ่งเจอได้ในคนป่วยโรคคางทูม ในรายงานแต่ก่อนโรคคางทูมมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า  epidemic parotitis
ต้นเหตุของโรคคางทูม ที่มาของโรคคางทูมเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า มัมส์ (mumps Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ในอากาศสามารถแพร่กระจายได้โดยการไอ จาม เหมือนกันกับโรคไข้หวัด ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้เป็น
ไวรัสในกรุ๊ปพาราไม่กโซเชื้อไวรัส  (paramyxovirus) (ประกอบด้วย mumps virus, New Castle disease virus, human parainfluenza virus types 2, 4a, and 4b) เชื้อไวรัสคางทูมเป็น enveloped negative singlestranded RNA มีลักษณะรูปร่างทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 90-300 นาโนเมตร ขนาดเฉลี่ยประมาณ 200 นาโนเมตร nucelocapsid ถูกหุ้มห่อด้วย envelope 3 ชั้น
ลักษณะโรคคางทูม อาการของโรคคางทูม กำเนิดข้างหลังสัมผัสโรค               
ที่มา :  WIKIPEDIA
ซึ่งระยะฟักตัวทั่วๆไปประมาณ 14 - 18 วัน แต่ว่าบางทีอาจเร็วได้ถึง 7 วันหรือนานได้ถึง 25 วัน โดยจะก่อให้มีการอักเสบของต่อมน้ำลายพาโรติด อาการ ผู้เจ็บป่วยจะเริ่มมีอาการไม่สบาย หมดแรง ปวดศีรษะ เมื่อยตามตัว เบื่อข้าว  บางคนอาจมีอาการปวดในช่องหูหรือข้างหลังหูขณะเคี้ยวหรือกลืน ๑-๓ วันต่อมา พบว่าบริเวณข้าง
                      ที่มา :  Googleหรือขากรรไกร มีลักษณะอาการบวมรวมทั้งปวด  อาการปวดจะเป็นมากขึ้นเมื่อกินของเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาว คนเจ็บชอบรู้สึกปวดร้าวไปที่หู ขณะอ้าปากบดหรือกลืนของกิน บางบุคคลอาจมีอาการบวมที่ใต้คางร่วมด้วย (ถ้าเกิดมีการอักเสบของต่อมน้ำลายใต้คาง) โดยประมาณ ๒ ใน ๓ ของผู้ที่เป็นคางทูม จะเกิดอาการคางบวมทั้ง ๒ ข้าง โดยเริ่มขึ้นข้างหนึ่งก่อนแล้วอีก ๔-๕ วัน ถัดมาค่อยขึ้นตามมาอีกข้างอาการคางบวมจะเป็นมากในช่วง ๓ วันแรกแล้วจะค่อยๆยุบหายไปใน ๔-๘ วัน ในช่วงที่บวมมากมาย ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการบอกแล้วก็กลืนตรากตรำ บางคนอาจมีอาการคางบวม โดยไม่มีอาการอื่นๆเอามาก่อน หรือมีเพียงแต่อาการไข้ โดยไม่มีอาการคางบวมให้เห็นก็ได้ นอกจากนี้ พบว่าราวจำนวนร้อยละ ๓๐ ของคนที่ติดโรคคางทูม อาจไม่มีอาการแสดงของโรคคางทูมก็ได้
ส่วนภาวะแทรกซ้อน) ของโรคคางทูม มักจะเจอได้สูงขึ้นเมื่อกำเนิดโรคในวัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือในคนมีภูมิต้านทานขัดขวางโรคต่ำ อาทิเช่น

  • โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ พบได้ราว 10% ของผู้เจ็บป่วย และมักมีลักษณะอาการไม่รุนแรง
  • โรคสมองอักเสบ เจอได้แต่ว่าน้อยมาก แต่ถ้าเกิดร้ายแรงอาจก่อให้เสียชีวิต ได้ พบได้ประมาณ 1% และก็พบเกิดในผู้ชายมากยิ่งกว่าผู้หญิง
  • ในเพศชาย อาจเจอการอักเสบของอัณฑะ โดยช่องทางกำเนิดสูงมากขึ้นถ้าหากคางทูมเกิดในวัยรุ่นหรือวัยผู้ ใหญ่เจอได้ 20 - 30% ของผู้เจ็บป่วย อาการอัณฑะอักเสบมักกำเนิดประมาณ 1 - 2 อาทิตย์หลังจากต่อมน้ำลายอักเสบ โดยอัณฑะจะบวม เจ็บ รวมทั้งอาจกลับมาจับไข้ได้อีก อาการต่างๆจะเป็นอยู่ราวๆ 3 - 4 วัน หรือบางทีอาจนานได้ถึง 2 - 3 อาทิตย์ อัณฑะจะยุบบวม และขนาดอัณฑะจะเล็กลง ทั่วๆไปการอักเสบมักกำเนิดกับอัณฑะฝ่ายเดียว ซ้ายหรือขวามีโอกาสเกิดใกล้เคียงกัน แต่ว่าพบกำเนิด 2 ข้างได้ 10 - 30% หลังกำเนิดอัณฑะอักเสบประมาณ 13% ของผู้มีอัณฑะอักเสบด้านเดียว แล้วก็ 30 - 87% ของผู้มีอัณฑะอักเสบ 2 ข้างจะมีลูกยาก (Impaired fertility) บางคนบางทีอาจเป็นหมันได้
  • ในสตรี อาจมีการอักเสบของรังไข่ได้ราว 5% แต่ว่ามักไม่เป็นผลให้มีลูกยาก หรือเป็นหมัน
  • อื่นๆที่อาจพบได้บ้างแต่ว่าน้อยหมายถึงข้ออักเสบ ตับอ่อนอักเสบ รวมทั้ง หูอักเสบ


กรรมวิธีรักษาโรคคางทูม แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคคางทูมได้จากประวัติอาการแล้วก็การตรวจร่างกายของผู้ป่วยดังนี้

  • ตรวจเช็คประวัติการป่วยหนักของคนป่วย
  • ตรวจการบวมของต่อมน้ำลายที่ข้างหู และต่อมทอนซิลในปาก
  • วัดอุณหภูมิของคนป่วยว่าอยู่ในระดับที่สูงผิดปกติหรือเปล่า
  • ตรวจสารก่อภูมิคุ้มกัน (Antigen) ในเลือด
  • แต่เมื่อทำสอบประวัติแล้วพบว่ามีประวัตสัมผัสกับคนเจ็บโรคคางทูมด้านใน 2-3 สัปดาห์ ร่วมกันมีอาการต่อมพาโรติดอักเสบก็สามารถวินิจฉัยโรคได้ในทันที


ส่วนการตรวจทางห้องทดลองเพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสคางทูมนั้น มีความจำเป็นต่อการวิเคราะห์ในเรื่องที่ผู้เจ็บป่วยไม่มีต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบ ต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบเป็นซ้ำหลายหน หรือเพื่อรับรองการไต่สวนการระบาดของโรคคางทูม การตรวจทางห้องทดลองเพื่อรับรองการวินิจฉัยโรคคางทูม โดยการตรวจทางภูมิคุ้นกันวิทยา (serologic studies) มีหลายแนวทาง เช่น

  • ตรวจเลือดหาแทนตำหนิบอดีต่อเชื้อไวรัสคางทูม lgM โดยวิธี enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA)
  • การตรวจหาเชื้อไวรัสคางทูมจากน้ำลาย เยี่ยว น้ำไขสันหลัง เลือด แล้วก็สมอง โดยแนวทาง Reverse transcriptase (RT)–PCR assays แล้วก็
  • แนวทางการแยกเชื้อไวรัสคางทูมในเซลล์เพาะเลี้ยง


ด้วยเหตุว่าโรคคางทูมเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส การดูแลและรักษาโรคคางทูมก็เลยยังไม่มียารักษาโดยยิ่งไปกว่านั้น แม้กระนั้นสามารถทำเป็นโดยทุเลาอาการแล้วก็ทำให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกายแข็งแรงขึ้น โดยหมอจะรักษาตามอาการ ดังเช่นว่า เมื่อมีอาการปวดก็จะให้รับประทานพาราเซตามอลเพื่อทุเลาปวด ยิ่งกว่านั้นก็จะเสนอแนะกรรมวิธีการประพฤติตัวและให้พักฟื้นที่บ้าน
การดำเนินโรค  ดังนี้ส่วนมากโรคคางทูมจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนและก็สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ และก็ลักษณะของการมีไข้จะเป็นอยู่เพียงแค่ ๑-๖ วัน ส่วนอาการคางทูมจะยุบได้เองใน ๔-๘ วัน (ไม่เกิน ๑๐ วัน) รวมทั้งอาการโดยรวมจะหายสนิทด้านใน ๒ สัปดาห์
ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่ไม่รุนแรงที่เกิดกับอวัยวะต่างๆส่วนมากก็มักจะหายได้เป็นปกติส่วนน้อยมากมายที่อาจมีภาวะเป็นหมัน (จากรังไข่อักเสบแล้วก็อัณฑะอักเสบ) หูหนวก (จากประสาทหูอักเสบ)
การติดต่อของโรคคางทูม เชื้อไวรัสคางทูมสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสโดยตรง (direct contact) กับสารคัดหลั่งของทางเดินหายใจ (droplet nuclei) หรือ fomites ผ่านทางจมูกหรือปาก เช่นการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่คนเจ็บไอหรือจามรด การสัมผัสน้ำลายของคนเจ็บ หรือโดยการสัมผัสถูกมือ สิ่งของ
เครื่องใช้ เช่น ผ้าที่เอาไว้เช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ถ้วยน้ำ จาน ชาม เป็นต้น รวมไปถึงสภาพแวดล้อมอื่นๆที่มัวหมองเชื้อ ซึ่งจะต้องใช้การสัมผัสที่สนิทสนมสำหรับในการกระจายเชื้อไวรัสคางทูมมากยิ่งกว่าเชื้อฝึกฝน หรือเชื้ออีสุกอีใส ระยะที่แพร่ระบาดได้มากที่สุดหมายถึง1-2 วันก่อนเริ่มมีลักษณะอาการต่อมน้ำลายพาโรติดบวม จนกระทั่ง 5 คราวหลังจากต่อมน้ำลายพาโรติดเริ่มบวม (แม้กระนั้นมีกล่าวว่าสามารถแยกเชื้อไวรัสคางทูมจากน้ำลายของคนป่วยตั้งแต่ 7 วันก่อนมีลักษณะจนถึง 9 วันหน้าจากเริ่มมีลักษณะอาการต่อมน้ำลายพาโรติดบวม) ส่วนระยะฟักตัวของเชื้อไวรัสคางทูมโดยมาก 16-18 วัน (วิสัย 12-25 วัน)
การแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการคางบวมคล้ายกับโรคคางทูม การแยกโรค อาการคางบวม อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะโรครวมทั้งต้นสายปลายเหตุอื่น ได้อีกได้แก่

  • การเจ็บ อย่างเช่น ถูกต่อย
  • ต่อมทอนซิลอักเสบ ผู้ป่วยจะเป็นไข้ เจ็บคอ ต่อมทอนซิลบวมแดง และบางทีอาจเจอมีต่อมน้ำเหลืองใต้คางบวมร่วมด้วยข้างหนึ่ง
  • เหงือกอักเสบหรือรากฟันอักเสบ ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการปวดฟัน  หรือเหงือกบวม  รวมทั้งอาจมีอาการคางบวมร่วมด้วยข้างหนึ่ง
  • ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ คนเจ็บจะมีอาการต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอหรือใต้คางบวมและก็ปวด และก็อาจมีไข้ร่วมด้วย
  • เนื้องอกต่อมน้ำลายหรือท่อน้ำลายตัน (จากการตีบหรือมีก้อนนิ่วน้ำลาย) ผู้เจ็บป่วยจะมีก้อนบวมที่คางข้างหนึ่ง ซึ่งมักจะเป็นเรื้อรัง
  • ต่อมน้ำลายอักเสบเป็นหนอง จากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรีย คนไข้มีลักษณะอาการคล้ายคางทูม แต่ว่าผิวหนังรอบๆคางทูมจะมีลักษณะแดงและก็เจ็บมาก
  • โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (บางทีอาจกำเนิดที่ต่อมน้ำเหลืองโดยตรง หรือแพร่กระจายจากกล่องเสียงหรือโพรงหลังจมูก) คนป่วยจะมีก้อนบวมที่ข้างคอ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากยิ่งกว่า ๑ เซนติเมตร และไม่มีลักษณะเจ็บปวด อาจมีอาการเสียงแหบ (ถ้าเกิดเป็นโรคมะเร็งกล่องเสียง) หรือคัดจมูกหรือเลือดกำเดาไหล (ถ้าเกิดเป็นโรคมะเร็งโพรงข้างหลังจมูก)
การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคคางทูม เมื่อป่วยด้วยโรคคางทูมแพทย์ชอบให้คำปรึกษาสำหรับในการประพฤติตัวเพื่อบรรเทาลักษณะของโรคมากยิ่งกว่าการให้ยา ซึ่งแพทย์มักจะชี้แนะดังต่อไปนี้

  • เช็ดตัวเวลามีไข้แล้วก็ให้ยาลดไข้ (พาราเซตามอล) และให้ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมงเฉพาะเวลามีไข้สูง ห้ามใช้แอสไพริน สำหรับคนอายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะว่าอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม (Reye’s syndrome) ซึ่งมีการอักเสบของสมองและตับอย่างรุนแรง               ทำให้เป็นอันตรายได้
  • ใช้น้ำอุ่นจัดๆประคบตรงรอบๆที่เป็นคางทูมวันละ 2 ครั้ง แต่ถ้าหากปวด ให้ใช้ความเย็น (ได้แก่ น้ำเย็น น้ำแข็ง) ประคบบรรเทาปวด
  • หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่เคี้ยวยาก ในระยะเริ่มต้นๆควรจะกินอาหารอ่อน อาทิเช่น ข้าวต้ม ซุป
  • หลีกเลี่ยงการกินของกินรสเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาวคั้น เนื่องจากว่าอาจจะเป็นผลให้ปวดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • ควรจะหยุดเรียนหรือหยุดงาน พักรักษาตัวที่บ้านตราบจนกระทั่งจะหาย เพื่อปกป้องการแพร่เชื้อให้คนอื่นๆ
  • พักผ่อนให้พอเพียง
  • ดื่มน้ำมากๆเมื่อไม่ได้เป็นโรคที่จะต้องจำกัดน้ำ
  • บ้วนปากด้วยน้ำเกลือเสมอๆ
  • ควรจะรีบไปพบหมอเมื่อมีลักษณะอาการดังต่อไปนี้


o             ไข้สูง ตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียส ขึ้นไป และก็ไข้ไม่ลงข้างใน 2-3 ครั้งหน้าดูแลตัวเองในเบื้อง ต้น
o             ปวดต่อมน้ำลายมาก รวมทั้งอาการปวดไม่ดีขึ้นหลังกินยาที่ช่วยบรรเทาอาการ
o             รับประทานอาหาร และ/หรือกินน้ำได้น้อยหรือรับประทานมิได้เลย
o             ไข้สูงร่วมกับปวดหัวมาก คอแข็ง หรือปวดท้องมาก เพราะเป็นอาการกำเนิดจาผลข้างเคียง สอดแทรกดังที่กล่าวมาแล้ว
การป้องกันตนเองจากโรคคางทูม

  • วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการเกิดโรคคางทูมนั้นในชุมชนและในโรงพยาบาล ได้แก่ การส่งเสริมให้มีระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสคางทูมสูงโดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคางทูม (MMR) เด็กทุกคนต้องได้รับวัคซีน 2 โด๊ส โด๊สแรกที่อายุ 9-12 เดือน และโด๊สที่สองอายุ 4-6 ปี หากไม่มีประวัติการได้รับวัคซีนมาก่อนในกลุ่มเด็กโต นักศึกษา นักท่องเที่ยว บุคลากรทางการแพทย์ ควรได้รับวัคซีน 2 โด๊ส ในผู้ใหญ่ควรได้รับวัคซีนมาก่อน ควรได้รับวัคซีน 1 โด๊ส
  • หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคคางทูม ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัส และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก
  • ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ โทรศัพท์ จานชาม ของเล่น ฯลฯ ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือโดยตรงกับผู้ป่วยที่เป็นโรคคางทูม
  • ไม่เข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วยที่เป็นโรคคางทูม แต่ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดก็ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง และเพื่อลดโอกาสติดเชื้อต่างๆ รวมทั้งเชื้อไวรัสคางทูม
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคคางทูม

  • พิษนาศน์ ชื่ออื่น  แผ่นดินเย็น นมราชสีห์ น้ำนมราชสีห์ ปันสะเมา พิษหนาด สิบสองราศี  ชื่อวิทยาศาสตร์ Sophora exigua Craib , Fabaceae  สรรพคุณ:   ตำรายาไทย ราก รสจืดเฝื่อนซ่า ต้มเอาน้ำดื่ม ขับพิษภายใน ขับน้ำ แก้คางทูม
  • ตะลิงปลิง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Averrhoa bilimbi L. ชื่อสามัญ : Bilimbing  วงศ์ :   OXALIDACEAE สรรพคุณ : ยารักษาคางทูม วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้ใบสด 1 กำมือ ตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย พอกบริเวณที่บวม พอกวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เปลี่ยนยาใหม่ทุกครั้ง ชาวอินโดนีเซียนิยมใช้ยานี้มาก

    เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.คางทูม.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 321.คอลัมน์ สารานุภาพทันโรค.มกราคม .2549
  • Enders JF, Cohen S, Kane LW. Immunity in mumps. The development of complement fixing antibody and dermal hypersensitivity in human beings following mumps. J Exp Med. 1945;81:119-35.
  • พญ.ฐิติอร ฤาชาฤทธิ์.พอ.วีระชัย วัฒนวีราเดช.วัคซีนป้องกันโรคางทุม.ตำราวัคซีน.สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศทไย.หน้า173-183
  • สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรค ปี พ.ศ.2552.นนทบุรี:สำนักฯ;
  • Kleiman MB. Mumps virus. In: Lennette EH, editor. Laboratory Diagnosis of Viral Infections, 2nd ed. New York: Marcel Dekker;1992. p. 549-66. http://www.disthai.com/
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ “คางทูม (Mumps/Epidemic parotitis)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 407-410.
  • American Academy of Pediatrics. Mumps. In: Pickering LK, Baker CJ, Kimberlin DW, Long SS, editors. Red book.2009 Report of the Committee on Infectious Diseases. 28th ed. Elk Grove Village, IL: American Acedemy of Pediatric; 2009. p. 468-472.
  • Centers for Disease Control and Prevention(CDC). Updated recommendations for isolation of persons with mumps. MMWR Morb Mortal Wkly Rep. 2008;57:1103-5.
  • Johnson CD, Goodpasture EW. An investigation of the etiology of mumps. J Exp Med. 1934;59:1-19.
  • คางทูม-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.(ออนไลน์)เข้าถึงได้
  • กลุ่มเฝ้าระวังสอบสวนทางระบาดวิทยา สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.สรุปสถานการณ์และองค์ความรู้จากการเฝ้าระวังและสอบสวนโรค MMR ปี พ.ศ.2552. นนทบุรี : สำนักฯ ;
  • พิษนาศน์.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • Habel K. Cultivation of mumps virus in the developing chick embryo and its application to the studies of immunity to mumps in man. Public Health Rep. 1945;60:201-12.
  • Baum SG, Litman N. Mumps virus. In Mandell GL. Bennett JE, Dolin R, editors. Mandell, Douglas and Bennett’s principles and practice of infectious disease. 7th ed. New York: Churchill Livingstone; 2010. p. 2201-6.
  • ตะลิงปลิง.กลุ่มยารักษาตา คางทูม แก้ปวดหู.สรรพคุณสมุนไพร200ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี.
  • Travis LW, Hecht DW. Acute and chronic inflammatory diseases of the salivary glands, diagnosis and management. Otolaryng Clin North Am. 1977;10:329-88.
  • Gershon, A. (2001). Mumps. In Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D.,andJamesson, J. Harrrison’s: Principles of internal medicine. (p 1147-1148). New York. McGraw-Hill.



Tags : โรคคางทูม

19
อื่น ๆ / Re: และรักษาโรคของเห็ดหลินจือ
« เมื่อ: มิถุนายน 16, 2018, 01:47:02 AM »
ประโยชน์เห็ดหลินจือ ขายเห็ดหลินจือ

20

น้ำมันกานพลู (Clove Oil)
น้ำมันกานพลูคืออะไร น้ำมันกานพลูเป็นน้ำมันหอมระเหยชนิดหนึ่งที่สกัดได้จากการกลั่นโดยใช้ละอองน้ำจากพืชที่เราเรียกกันว่าต้นกานพลู ซึ่งประเภทของน้ำมันมีอยู่ 3 จำพวกคือ

  • น้ำมันจากดอกได้มาจากดอกตูมของต้นกานพลู ซึ่งประกอบไปด้วย 60% eugenol, acetyl eugenol, caryophyllene และส่วนประกอบย่อยอื่นๆ
  • น้ำมันจากใบที่ได้มาจากใบของต้นกานพลู มียูจินอล 82-88% ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอะซิเตตน้อยหรือเปล่ามีเลยและยังส่วนประกอบย่อยอื่นๆอีกด้วย
  • น้ำมันจากต้นมาจากกิ่งและเปลือกต้นของต้านทานกานพลู มียูจินอล 90 - 95% แล้วก็องค์ประกอบย่อยอื่นๆ


ส่วนรูปแบบของน้ำมันกานพลูนั้นจะเป็นของเหลว (น้ำมัน) มีกลิ่นเฉพาะบุคคลซึ่งจะฉุนบางส่วนมีสีใสถึงเหลืองอ่อน หรือสีเหลืองปนน้ำตาลอ่อน น้ำมันกานพลูชอบมีการนำไปใช้เป็นส่วนผสมของยานวด, น้ำหอม แล้วก็ผลิตภัณฑ์อื่นๆรวมถึงใช้เพื่อการแต่งรสของยาเพื่อลดความขมลง แต่ถ้าเป็นสมุนไพรจากส่วนต่างๆของกานพลูนั้น มีการใช้เป็นยาสมุนไพรกันอย่ากว้างใหญ่รวมทั้งนานาประการในด้านสรรพคุณทางยาในพืชชนิดนี้
สูตรทางเคมีแล้วก็สูตรองค์ประกอบ น้ำมันกานพลู (Clove oil) ได้จากการสกัด ดอก, ใบ เปลือกและกิ่ง ของต้นกานพลู โดยการกลั่นโดยใช้ไอน้ำมีน้ำหนักโมเลกุล 205.647 g/mal มีจุดเดือดอยู่ที่ 251 องศาเซลเซียส (Cº) มีจุดวาบไฟที่ > 250 องศาฟาเรนไฮท์ (Fº) มีความไวไฟพอควร
ที่มา/แหล่งที่เจอ น้ำมันกานพลู (Clove oil) เป็นน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากกรรมวิธีการกลั่นโดยใช้ละอองน้ำ (Stream distillation) ต่อจากนั้นสกัดแยกน้ำมันกานพลูกับน้ำด้วย dichloromethane แล้วระเหยเอา dichloromethane ออกมา ก็จะได้น้ำมันกานพลู ส่วนรูปแบบของต้นกานพลูที่เป็นที่มาของน้ำมันกานพลูนั้นมีลักษณะดังต่อไปนี้

ชื่อสมุนไพร กานพลู
ชื่อวิทยาศาสตร์ Syzygium aromaticum (L.) Merr. & Perry     
ชื่อตระกูล                        MYRTACEAE
ชื่อพ้อง                   Eugenia caryophyllata Thunb.
                Eugenia caryophyllus (Spreng.) Bullock & Harrison,
                Eugenia aromatica Kuntze
ชื่ออังกฤษ              Clove, Clove tree
ชื่อท้องถิ่น              จันย่าง (ภาคเหนือ)
ลักษณะทั่วไป

  • ลำต้น กานพลูเป็นไม้ยืนต้น ไม่ผลัดใบ สูง 5-20 เมตร เรือนยอดทึบ เป็นรูปกรวยคว่ำ แตกกิ่งต่ำ ลำต้นตั้งชัน เปลือกเรียบมีสีน้ำตาลอ่อน มีต่อมน้ามันมาก
  • ใบ ใบกานพลู เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้าม มีก้านใบเล็กเรียว ยาว 1-3 ซม. รูปใบขอบขนานแกมรูปไข่กลับ กว้าง 3-6 เซนติเมตร ยาว 6-13 เซนติเมตร ปลายใบแหลมหรือเรียวแหลม ขอบเรียบ โคนสอบเป็นรูปลิ่ม แผ่นใบข้างบนวาว ตอนล่างของใบมีต่อมมากมาย ใบมีเส้นใบจำนวนไม่น้อย
  • ดอก ดอกกานพลูออกเป็นช่อดอกสั้นๆแทงออกบริเวณปลายยอดหรือง่ามใบรอบๆยอด ดอกแตกแขนงออกเป็นกลุ่ม 3 ช่อ มีจำนวน 6-20 ดอก ดอกมีใบแต่งแต้มรูปสามเหลี่ยม ยาว 2-3 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยง 4 กลีบ สีเขียวอมเหลือง และก็มีสีแดงเรี่ยราย โคนชิดกันเป็นหลอดยาว 5-7 มิลลิเมตร กลีบดอก 4 กลีบ กลีบดอกมีสามเหลี่ยมปนรูปไข่ ยาว 7-8 มม. มีต่อมน้ำมันมากมาย กลีบดอกไม้มักร่วงง่าย ข้างในมีเกสรเพศผู้ ก้านยกเกสรยาว 3-7 มม. ก้านเกสรเพศเมียยาวราว 4 มิลลิเมตร ยอดเกสรตัวเมียแบ่งเป็น 2 พู มีรังไข่ 2-3 ห้อง แต่ละห้องมีไข่เยอะมาก
  • ผล ผลกานพลู ได้ผลสำเร็จคนเดียว มี 1 เมล็ด มีรูปไข่กลับแกมรูปรี ยาว 2-2.5 ซม. เมื่อแก่จะมีสีแดงเข้มออกคล้ำ


สารสำคัญที่เจอ

  • ดอก – Eugenol 72-90 % – Eugenyl acetate 2-27 % – β-caryophyllene 5-12 % – trans-β-caryophyllene 6.3-12.7 % – Vanillin
  • ใบ – Eugenol 94.4 % – β-caryophyllene 2.9 %


สารอื่นๆตัวอย่างเช่น methyl salicylate, methyl eugenol, benzaldehyde, methyl amyl ketone รวมทั้ง rhamnetin
ประโยชน์/คุณประโยชน์ น้ำมันกานพลูมีคุณประโยชน์ทางยาเป็นน้ำมันกานพลู (Clove oil) เป็นยาชาเฉพาะที่ แก้ปวดฟัน โดยใช้สำสีชุบนำมาอุดที่ฟัน ระงับการกระตุก ตะคริว ขับผายลม แก้ปวดท้อง แก้ท้องเฟ้อ ผสมยากลั้วคอ ขับลม แก้ท้องเฟ้อ ท้องเดิน แก้ไอ  ฆ่าเชื้อโรค แก้ชาปลายมือปลายเท้า ทุเลาอาการจากแมลงสัตว์กัดต่อย แก้โรคลมระงับปวด ใช้ผสมกับ เมนทอล เมทิลซาลิไซเลต เป็นยานวดแก้ปวดบวมช้ำ ส่วนคุณประโยช์จากน้ำมันกานพลูมีดังนี้   น้ำมันหอมระเหยจากดอกใช้เป็นส่วนผสมสารกำจัดแมลงไล่ยุง หรือใช้ฉีดพ่นกำจัดแมลงซึ่งตรง โดยมี สารยูจีนอล (Eugenol) เป็นตัวที่ออกฤทธิ์สำคัญสำหรับในการขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ทำให้โปรตีนอื่นๆเสียสภาพไป น้ำมันหอมระเหยของกานพลูใช้สำหรับทำให้ปลาสลบ โดยมีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญเป็นยูจีนอล (Eugenol) ใช้โดยการหยด  ใช้น้ำมันกานพลูใช้เป็นส่วนประกอบหรือใช้เป็นยาต้านทานเชื้อแบคทีเรียหลายประเภท น้ำมันจากก้านดอก และดอกกานพลูใช้สำหรับการจัดเตรียมสาร eugenol, isoeugenol แล้วก็vanillin รวมทั้งน้ำมันที่เหลือใช้สำหรับในการทำสบู่   น้ำมันหอมระเหยจากกานพลูใช้เป็นส่วนผสมของยาสีฟัน และก็น้ำยาบ้วนปาก น้ำมันหอมระเหยจากกานพลูใช้สำหรับแต่งกลิ่นรสของกิน และก็ใช้เป็นวัตถุกันเสีย

ส่วนคุณประโยชน์แล้วก็คุณประโยชน์ทางยาของส่วนต่างๆของต้นกานพลูนั้นมีดังนี้ 
  แบบเรียนยาไทย ดอก รสเผ็ด กระจัดกระจายเสมหะ แก้เสมหะเหนียว แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ปวดฟัน ดับกลิ่นปาก แก้หืด เป็นยาทำให้ร้อนเมื่อถูกผิวหนังทำให้ชา เป็นยาฆ่าเชื้อ แก้ปวดฟัน แก้โรครำมะนาด แก้ปวดท้อง มวนในไส้ แก้ลม แก้เหน็บชา แก้พิษเลือด พิษน้ำเหลือง ขับน้ำคาวปลา ทำอุจจาระให้ธรรมดา แก้ธาตุทั้ง 4 พิการ แก้เจ็บท้อง แก้ท้องอืด อาหารไม่
ย่อย คลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด แก้ท้องร่วง ขับผายลม กดลมให้ลงสู่เบื้องต่ำ แก้สะอึก แก้ซางต่างๆขับเมนส์ ใน ”พิกัดตรีพิษจักร” เป็นการจำกัดปริมาณตัวยาที่มีรสซึมซาบไวดังกงจักร  3 อย่าง มี ผลผักชีล้อม ผลจันทน์เทศ รวมทั้งกานพลู สรรพคุณแก้ลม แก้พิษเลือด แก้ธาตุทุพพลภาพ บำรุงเลือด ”พิกัดตรีคันธวาต” เป็นการจำกัดจำนวนตัวยาที่มีกลิ่นหอมสดชื่นแก้ลม  3 อย่าง มี ผลเร่วใหญ่ ผลจันทน์เทศ และก็กานพลู มีคุณประโยชน์ แก้ธาตุพิการ แก้ไข้อันเกิดแต่ดี แก้จุกเสียด บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา มีการใช้กานพลู ในยารักษากรุ๊ปอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) ปรากฏในตำรับ”ยาหอมเทพจิตร” และก็ตำรับ ”ยาหอมนวโกฐ” โดยมีส่วนประกอบของกานพลูร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณสำหรับเพื่อการแก้ลมตาลาย แก้อาการหน้ามืด ตาลาย ใจสั่น คลื่นไส้ อาเจียน แก้ลมจุกแน่นในท้อง ตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบของกิน มี “ยาธาตุบรรจบ” มีส่วนประกอบของกานพลูร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณทุเลาอาการท้องอืดเฟ้อ และอาการท้องร่วงที่ไม่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการต่อว่าดเชื้อ และตำรับ “ยาประสะกานพลู” มีกานพลูเป็นองค์ประกอบหลัก และก็มีสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อจากอาหารไม่ย่อย ด้วยเหตุว่าธาตุแตกต่างจากปกติ
การเรียนทางเภสัชวิทยา

  • ฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ กานพลูมีสาร eugenol ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ มีการใช้น้ำมันกานพลูเป็นส่วนประกอบในตำรับยาเพื่อลดอาการปวด  นอกเหนือจากนี้สาร eugenol ในน้ำมันกานพลูยังออกฤทธิ์เป็นยาสลบในปลาอีกหลายอย่าง
  • สารสกัดน้ำจากดอก จากผล  และก็จากเปลือกต้น  และก็น้ำมันกานพลู มีฤทธิ์ลดการอักเสบ โดยไปยับยั้งการสังเคราะห์ prostaglandin โดยยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี cyclooxygenase-1, cyclooxygenase-2 แล้วก็เพิ่มการสังเคราะห์ nitric oxide
  • ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุอาการแน่นจุกเสียดจากท้องเดิน และก็แผลในกระเพาะอาหาร สารสกัดด้วยเอทานอล สารสกัดด้วยเอทานอล:น้ำ ในอัตราส่วน 3:1  สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ เมทานอลแล้วก็น้ำจากดอก  สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากดอกที่กลั่นเอาน้ำมันหอมระเหยออกแล้ว  และก็น้ำมันกานพลู มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของอาการแน่นจุกเสียด ตัวอย่างเช่น  Escherichia coli , Salmonella typhi , S. typhosa, S. enteritidis, S. paratyphi, Shigella, Sh. paradysenteriae, Sh. dysenteriae, Sh. flexneri, Bacillus anthracis, B. subtilis, B. mesentericus, B. cereus, Proteus vulgaris, Rabbit Cholera, Vibrio comma, V. cholerae, V. parahemolyticus, Helicobacter pyroli และ Clostridium botulinum
  • ฤทธ์ต่อต้านการเกิดแผนในกระเพาะ มีการทดลองฤทธิ์สำหรับเพื่อการกระตุ้นรูปแบบการทำงานของลำไส้ในหลอดทดสอบ โดยใช้ลำไส้กระต่าย เทียบกับ acetylcholine 5.5 x 10(-5) M ซึ่งสารสกัดกานพลูด้วยการต้ม ความเข้มข้น 200-6400 μg/ml มีฤทธิ์กระตุ้นแนวทางการทำงานของไส้ได้น้อยกว่า acetylcholine และเมื่อมีการให้สารสกัดกานพลูร่วมกับ atropine sulphate พบว่าจะมีฤทธิ์ในกระตุ้นการเคลื่อนไหวของไส้ได้ลดลง
  • ฤทธิ์ต่อต้านการบีบตัวของลำไส้ การทดสอบฤทธิ์ต้านการบีบตัวของลำไส้สัตว์ทดสอบของน้ำมันกานพลู ทำในหลอดทดสอบ ลำไส้ถูกรั้งนำให้เกิดการบีบตัวโดยใช้สารหลายอย่าง อย่างเช่น acetylcholine (ใช้ลำไส้หนูแรทส่วน duodenum), barium chloride, histamine (ใช้ลำไส้ส่วน ileum ของหนูตะเภา) และ nicotine (ใช้ไส้กระต่ายส่วน jejunum)ซึ่งสามารถยั้งการบีบตัวของสำไส้ได้  20-40%, 40-60%, >60% แล้วก็ >60% ตามลำดับ
  • ฤทธิ์คุ้มครองป้องกันเยื่อบุกระเพาะ น้ำมันกานพลู รวมทั้งสาร eugenol ในกานพลู กระตุ้นให้เยื่อบุเซลล์กระเพาะอาหารมีการหลั่งสารเมือก (mucin) ออกมาเพื่อคุ้มครองเยื่อบุกระเพาะ
  • น้ำมันสกัดจากกานพลูความเข้มข้น 30 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรสามารถยับยั้งการก้าวหน้าของ Lactococcus garvieae ในของกินเลี้ยงเชื้อได้ เมื่อนำอาหารปลาที่ผสมน้ำมันกานพลูในอัตราส่วน 3% (w/w) มาเลี้ยงปลานิล ทำให้จำนวนการตายเนื่องด้วยการตำหนิดเชื้อ L. garvieae ในปลานิลลดน้อยลง
ในส่วนของการเรียนรู้ทางคลินิกมีดังนี้
      ฤทธิ์ทำให้ผิวหนังชา   การเรียนฤทธิ์ทำให้ผิวหนังชาของสารสกัดของกานพลูเทียบกับยาชา benzocaine ในอาสาสมัคร 73 คน โดยอาสาสมัครกรุ๊ปที่ 1ได้รับเจลที่มีส่วนผสมของสารสกัดกานพลู จำนวน 2 กรัม (40% ผงกานพลูผสมกับ 60% glycerine) กรุ๊ปที่ 2 ได้รับเจลที่มีส่วนผสมของ 20% benzocaine ปริมาณ 2 กรัม ทาบนเยื่อบุกระพุ้งแก้ม กรุ๊ปที่ 3 ได้รับยาหลอก เมื่อเวลาผ่านไป 5 นาที จึงกระทำทดสอบฤทธิ์ โดยการแทงเข็มรอบๆที่ทา แล้ววัดระดับความปวด (pain score) ผลของการเทียบระหว่างสารสกัดกานพลู แล้วก็ benzocaine พบว่าสามารถลดการปวดได้อย่างมีนัยสำคัญ (p=0.005) รวมทั้งให้ผลไม่มีความแตกต่างกัน นอกนั้น
พบว่า สารสกัดกานพลูสามารถที่จะเพิ่มความเสี่ยงสำหรับในการเกิดภาวะเลือดออกได้ ขณะใช้ร่วมกับยาต้านทานเกล็ดเลือด และก็อาจเพิ่มระดับของยากันชัก phenytoin ในเลือดได้
การเรียนรู้ทางพิษวิทยา
การทดลองพิษกระทันหันของสารสกัดดอกด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. (คิดเป็น 16,667 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ  แต่ว่าเมื่อให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู พบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายกึ่งหนึ่งเป็น 6.184 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
          การเรียนรู้การเกิดพิษรุนแรงของสารสกัด eugenol  จากดอกกานพลู  ศึกษาวิจัยในหนูแรท สายพันธุ์ Sprague-Dawley แบ่งตัวทดลองออกเป็น 4 กรุ๊ป  กลุ่ม 1,2,3 ได้รับสาร eugenol ความเข้มข้น 2.58, 1.37, 0.77 มก./ล. ตามลำดับ  กรุ๊ปที่ 4 เป็นกรุ๊ปควบคุม  ทำการทดสอบโดยการพ่นสารทดสอบให้ตัวทดลองดมเป็นเวลา 4 ชั่วโมง แล้วติดตามอาการของหนูเป็นเวลา 14 วัน  ผลของการทดสอบไม่พบการเสียชีวิตของหนู ส่วนอาการ และพฤติกรรม พบว่าตัวทดลองมีน้ำลายไหลระดับปานกลาง มีอาการกระวนกระวาย และหายใจลำบาก แม้กระนั้นอาการเหล่านี้หายเองได้ภายในเวลา 1 วัน  แต่เมื่อให้สารนี้ทางหลอดเลือดดำแก่หนูแรท ในขนาดเข้มข้น 6.25 โมล/ลิตร พบว่าหนูทดลองมีลักษณะหายใจล้มเหลวกระทันหัน อุทกภัยปอด และก็เลือดออกที่ปอด
การฉีด eugenol เข้าระบบไหลเวียนของเลือดโดยตรง จะก่อให้ความดันเลือดแล้วก็การเต้นของหัวใจลดน้อยลงชั่วครู่ โดยไม่ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเปลี่ยนแปลง   eugenol สามารถทำลายโปรตีนในเซลล์ของเนื้อเยื่ออ่อนในปาก การจับกุมตัวของเซลล์ลดน้อยลง บวม แล้วก็เกิดเป็นไต  ชั้นใต้ผิวหนังชั้นนอกบวมรวมทั้งกล้ามเนื้ออ่อนแอ เมื่อป้อนน้ำมันจากใบขนาด 40 มก./กิโล ให้หนูแรทเพศภรรยาที่ตั้งท้องได้ 1-10 วันพบว่ามีฤทธิ์ยั้งการฝังตัวของตัวอ่อนจำนวนร้อยละ 20
ขนาด/จำนวนที่ควรที่จะใช้ เนื่องจากน้ำมันกานพลู (Cove oil) นั้นส่วนมากแล้วนิยมใช้เป็นส่วนประกอบกับภัณฑ์อื่นด้วยเหตุผลดังกล่าวขนาดและจำนวนที่ควรใช้ของน้ำมันกานพลู (Cove oil) ดังต่อไปนี้ สำหรับการใช้ผสมยาสีฟันนั้นควรใช้ราวๆ0.1-0.5% ใช้ผสมยาดม ยาหม่อง ควรที่จะใช้ประมาณ 3-5% ส่วนในการใช้ทำยาสลบปลาควรที่จะใช้ 10-30% (กับเอทิลแอลกอฮอลส์)  ส่วนการใช้กานพลูรักษาลักษณะของการปวดฟันตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขนั้น ให้      กลั่นเอาเฉพาะส่วนน้ำมันใช้ใส่ฟัน หรือใช้ทั้งดอกบดแล้วอมไว้ตรงบริเวณฟันที่ปวด เพื่อยับยั้งอาการปวดฟัน        ตำกานพลูพอเพียงแหลก ผสมกับเหล้าขาวเพียงแค่เล็กๆน้อยๆพอเพียงเฉอะแฉะ ใช้สำลีจิ้มอุดฟันที่ปวดแล้วก็ใช้แก้โรครำมะนาด       เอาดอกกานพลูแช่สุราหยอดฟัน ส่วนการใช้น้ำมันหอมระเหย(น้ำมันกานพลู) ที่ใช้สำหรับขับลม และก็ทุเลาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ 0.05-0.2 ซีซี อนึ่ง การใช้กานพลูในปริมาณมากทำให้เลือดแข็งช้าลง จึงต้องระวังการใช้ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์ต้านทานการแข็งตัวของเลือด ดังเช่น  warfarin,  aspirin, heparin ฯลฯ และก็ระวังการใช้ร่วมกับยาต่อต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์  (NSAIDs; ตัวอย่างเช่น ibuprofen),  รวมทั้งระวังการใช้ร่วมกับสมุนไพรหรือยาที่ทำให้เกล็ดเลือดต่ำ  แล้วก็ยาลดน้ำตาลในเลือด ดังเช่นว่า  insulin,  metformin
ข้อเสนอ/ข้อควรปฏิบัติตาม

  • สาร eugenol จากน้ำมันกานพลูที่มีความเข้มข้นสูงอาจส่งผลให้เกิดการเคืองต่อผิวหนังได้ถ้าหากใช้ในจำนวนที่สูง รวมทั้งใช้ติดต่อกัน
  • การใช้น้ำมันกานพลูเพื่อรักษาอาการปวดฟันหรือใช้เพื่อหยุดกลิ่นปากโดยตรง รวมทั้งใช้ในจำนวนสูงหรือใช้ติดต่อกันบ่อยครั้ง อาจทำให้เคืองต่อเหงือก และเยื่อบุในโพรงปากได้
  • สาร eugenol สามารถออกฤทธิ์ต่อต้านลักษณะการทำงานของเกล็ดเลือดได้ จึงควรเลี่ยงการใช้ร่วมกับยาในกลุ่ม anticoagulant แล้วก็ยากลุ่ม NSADs
  • ไม่ควรใช้ดอกกานพลูในหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมลูก  เด็ก  คนเจ็บโรคตับไต  รวมทั้งคนป่วยเบาหวาน
เอกสารอ้างอิง

  • กันยารัตน์ ศึกษากิจ,2557.ฤทธิ์ทางชีวภาพของน้ำมันและสารสกัดจากดอกกานพลูในการบรรเทาอาการปวดไมเกรนและอาการข้างเคียงในสัตว์ทดลอง.
  • การพลู,ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. 2546. ประมวลผลงานวิจัยด้านพิษวิทยา ของสถาบันวิจัยสมุนไพร เล่ม 1.โรงพิมพ์การศาสนา:กรุงเทพมหานคร. http://www.disthai.com/
  • กานพลู.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • สุนีย์ จันทร์สกาวและวรรณนรี เจริญทรัพย์,2543.การตรวจสอบคุณภาพกานพลูและผลิตภัณฑ์ยาเตรียมสมุนไพรที่มีการพลูเป็นส่วน ประกอบ.รายงานการวิจัย ปี พ.ศ.2543.
  • นพมาศ สุนทรเจริญนนท์, นงลักษณ์ เรืองวิเศษ. วิเคราะห์ วิจัย คุณภาพเครื่องยาไทย. คอนเซ็พท์  เมดิคัส จำกัด: กรุงเทพมหานคร, 2551.
  • Kamatou GP, Vermaak I, Viljoen AM. Eugenol-From the Remote Maluku Islands to the International Market Place: A Review of a Remarkable and Versatile Molecule. Molecules 2012:17;6953-6981.
  • Clove oil. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.
  • Perry LM. Assessment report on Syzygium aromaticum (L.). European Medicines Agency;London. 2011.


21
ผักปลัง
ชื่อสมุนไพร ผักปลัง
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อเขตแดน ผักปั๋ง (ภาคเหนือ) , ผักปลังแดง , ผักปลังขาว , ผักปลังใหญ่ (ภาคกลาง) , ลั่วขุย (จีนแมนดาริน) , เหลาะขุ้ย โปแดงฉ้าย (จีนแต้จิ๋ว) , มั้งฉ่าว (ม้ง)
ชื่อสามัญ East Indian spinach, Malabar nightshade , Ceylon spinach ,Indian spinach
ชื่อวิทยาศาสตร์                     Basella alba L. (ผักปลังขาว)
                                         Basella rubra L.(ผักปลังแดง)
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์     B. lucida L., B. cordifolia Lam., B, nigra Lour., B. japonica Burm.f.,
วงศ์  Basellaceae
บ้านเกิดเมืองนอน ผักปลัง เป็นพืชที่มีบ้านเกิดเมืองนอนในแถบแอฟริกา แล้วก็มีการกระจัดกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชีย อย่างเช่น จีน ญี่ปุ่น ประเทศพม่า ลาว กัมพูชา เป็นต้น ในประเทศไทย เป็นพืชซึ่งพบบ่อย แทบทุกภาค ทั้งยังจำพวกที่มีลำต้นสีเขียวที่เรียกว่า ผักปลังขาว แล้วก็จำพวกลำต้นสีแดงซึ่งเรียกกันว่า ผักปลังแดง และมักพบในหมู่บ้านหรือตามนามากยิ่งกว่าในป่า พบบ่อยในภาคเหนือและก็อีสาน ส่วนภาคใต้ไม่ค่อยพบ เนื่องจากว่าไม่ได้รับความนิยมสำหรับเพื่อการรับประทานจึงไม่มีการปลูกไว้ตามบ้านที่พัก
ลักษณะทั่วไป   ไม้เถาเลื้อยล้มลุก ลำต้นอวบน้ำ เกลี้ยง กลม แตกกิ่งก้านสาขา ยาวราว 2-6 เมตร ถ้าลำต้นมีสีเขียว เรียกว่า “ผักปลังขาว” มีใบสีเขียวเข้ม ส่วนชนิดลำต้นสีม่วงแดง เรียกว่า “ผักปลังแดง” มีใบสีเขียวเข้ม ก้านใบสีม่วงแดง  ใบ เป็นใบโดดเดี่ยว ออกสลับ รูปไข่ หรือรูปหัวใจ ใบกว้าง 2-8 ซม. ยาว 2.5-12 ซม. ใบอวบน้ำ มีลักษณะเป็นเงาหนานุ่มมือ ฉีกจนขาดง่าย ข้างหลังใบและก็ท้องใบสะอาดไม่มีขน ขยี้จะเป็นมูกเหนียว ปลายใบแหลม โคนใบรูปหัวใจ ขอบของใบเรียบ ก้านใบยาว 1-3 ซม. ดอกเป็นดอกช่อเชิงลด ออกตรงซอกใบ ยาว 3-21 เซนติเมตร ดอกย่อยเยอะมากๆ ขนาดเล็ก ไม่มีก้านชูดอก แต่ละดอกมี 5 กลีบ ผักปลังขาวออกดอกสีขาว ผักปลังแดงมีดอกสีม่วงแดง ยาวราว 4 มม. มีใบประดับเล็ก 2 ใบ ติดที่โคนของกลีบรวม กลีบรวมรูประฆัง ยาว 0.1-3 มิลลิเมตร โคนเชื่อมชิดกันเป็นท่อ ปลายแยกเป็นห้าแฉกนิดหน่อย เกสรเพศผู้มีปริมาณ 5 อัน ติดที่ฐานของกลีบ อับเรณูรูปกลม ยาว 0.1-0.5 มม. ติดก้านยกเกสรที่ข้างหลัง ก้านยกเกสรเพศผู้ เป็นแท่งยาว 0.1-1 มม. เกสรเพศเมีย 1 อัน กลม ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 3 แฉก แต่ละแฉกเป็นรูปแท่งปลายแหลม ยาว 0.1-0.5 มิลลิเมตร รังไข่ 1 ช่อง รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ รูปค่อนข้างรี ยาว 0.1-0.5 มม. ก้านชูเกสรเพศเมีย ยาว 0.1-0.5 มม. ผลได้ผลสำเร็จสด รูปร่างกลมแป้น ฉ่ำน้ำ เส้นผ่าศูนย์กลาง 5-6 มม.  ผิวเรียบ ปลายผลมีร่องแบ่งเป็นลอน ไม่มีก้านผล ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่มีสีม่วงอมดำ เนื้อภายในนิ่ม ภายในผลมีน้ำสีม่วงดำ เม็ดเดี่ยว
การขยายพันธุ์ ผักปลังสามารถขยายได้ 2 แนวทาง คือ การเพาะเม็ดและก็ปักชำ สำหรับการเพาะเมล็ดนั้นขั้นตอนแรกต้องเตรียมหลุมก่อนแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยหยอดเมล็ดพันธุ์ (ที่ตากแห้งแล้ว) ลงไป หลุมละ 2 -3 เม็ด โดยให้ระยะห่างระหว่างต้น 30 ซม. รวมทั้งระหว่างแถว 40 เซนติเมตร แล้วก็เมื่อต้นอายุได้ 20 – 25 วันให้ทำค้างเพื่อให้เถาเลื้อยขึ้น ส่วนการปักชำนั้น ทำเป็นโดยนำกิ่งแก่ที่มีข้อ 3 – 4 ข้อ ยาวโดยประมาณ 15 – 20 เซนติเมตร เด็ดใบออกให้หมดแล้วปักชำในดินร่วนซุยหรือดินปนทรายที่มีความชื้น แล้วก็มีแสงอาทิตย์รำไรในระยะนี้ให้หมั่นรดน้ำอย่าให้ดินแห้ง โดยประมาณ 7 วัน จะแตกรากและเริ่มผลิใบใหม่ออกมาในระยะนี้ระวังอย่างให้น้ำมากมายเนื่องจากว่ารากจะเน่าหลังจากนั้นอีก 15 – 20 วัน ให้เถาเลื้อยเกาะขึ้นไป
การดูแลและทะนุบำรุง การให้ปุ๋ย ครั้งที่ 1,2 เมื่อต้นพืชอายุได้ 20-25 วัน , 40-45 วัน, ควรจะใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยธรรมชาติที่ผ่านการดองแล้ว ส่วนการให้น้ำ ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ให้เหมาะสมกับพืชไม่ควรให้แห้งหรือเฉอะแฉะมากจนเกินความจำเป็น ระยะเวลาสำหรับเพื่อการเก็บเกี่ยว   อายุการเก็บเกี่ยว 35-40 วัน ก็เก็บยอดได้แล้ว แล้วก็ผักปลังอายุ 90-100 วัน จะเริ่มมีดอก และถ้าเกิดมีอายุ 120 วัน ผลเริ่มแก่ (ดูผลจะเป็นสีดำ) ก็สามารถเก็บเม็ดภายในผลแก่ไว้แพร่พันธุ์ต่อไปได้
องค์ประกอบทางเคมี
ใบผักปลังมีกรดอะมิโน ที่ประกอบไปด้วย Lysine, Leucine, Isoleucine แล้วก็สารประเภท Glucan, Polysaccharide ประกอบไปด้วย D-galactose, L-arabinose, L-rhamnose, Uronic acid ทั้งต้นพบสาร Glucan, Glucolin, Saponin, โปรตีน, วิตามินเอ, วิตามินบี, วิตามินซี, แร่ธาตุ, แคลเซียม, ธาตุเหล็ก
ที่มา : wikipedia
ยิ่งกว่านั้นยังพบสารต่างๆอีกเยอะมาก ได้แก่ สารกลุ่มฟีนอลิก สารกลุ่มบีทาเลน (จากผลสุกสีม่วงดำ) อย่างเช่น บีทานิดินมอโนกลูโคไซด์, กอมเฟรนีน    สารคาโรทีนอยด์ เช่น นีออกแซนธิน, ไฟวโอลาแซนธิน, ลูเทอิน, ซีแซนธิน, แอลฟา และเบต้าแคโรทีน       สารมูก (mucilage) องค์ประกอบเป็นพอลีแซคติดอยู่ไรด์ที่ละลายน้ำ         สารกรุ๊ปซาโปนิน ดังเช่นว่า basellasaponin (เจอที่ลำต้น), betavulgaroside I, spinacoside C, momordin II B, momordin II C
ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของผักปลังมีดังนี้   ผักปลังสด 100 กรัม ให้พลังงานแก่ร่างกาย 21 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย น้ำ 93.4 กรัม คาร์โบไฮเดรต 2.7 กรัม โปรตีน 2.0 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม กาก(ใยอาหาร) 0.8 กรัม แคลเซียม 4 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 50 มก. เหล็ก 1.5 มก. วิตามินเอ 9,316 IU วิตามินบี 1 0.07 มก. วิตามินบี 2 0.20 มก. ไนอาสิน 1.1 มก. รวมทั้งวิตามินซี 26 มิลลิกรัม  ส่วนในใบผักปลังแห้ง 100 กรัม ให้พลังงาน 306.7 กิโลแคลอรี่ มีขี้เถ้า 15.9 กรัม โปรตีน 27.7 กรัม ไขมัน 3.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 42.1 กรัม เส้นใย 11.3 กรัม แคลเซียม 48.7 มก. ธาตุเหล็ก 21.5 มิลลิกรัม วิตามินซี 400 มิลลิกรัม
ประโยชน์/คุณประโยชน์
ใช้เป็นอาหาร  ผัก  ยอดผักปลัง ใบอ่อน รวมทั้งดอกอ่อน ใช้กินเป็นของกิน ยกตัวอย่างเช่น ต้มหรือลวกกินกับน้ำพริก หรือใช้ดอกผักปลังปรุงเป็นแกงส้ม อาหารท้องถิ่นล้านนาใช้เป็นส่วนผสมเพื่อเพิ่มความข้นหนืดในน้ำแกง ผักปลังนอกเหนือจากการที่จะนำมาใช้เป็นของกินแล้วในตอนนี้ยังมีการนำมาทำผลิตภัณฑ์ต่างๆอีกเพียบเลย ดังเช่น น้ำสมุนไพรผักปลัง รวมถึงมีการเรียนการใช้คุณประโยชน์จากสีของผลผักปลังเช่น ใช้แต่งสีของกินและของหวานต่างๆอีกด้วย ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของผักปลังนั้นมีดังนี้
หนังสือเรียนยาไทย ต้น รสเย็น ต้มดื่มแก้ขัดค่อย แก้ท้องผูก ลดไข้ ตำพอกแก้กลาก ผื่นคัน แก้พิษฝีดาษ แก้อักเสบ ใบ มีรสหวานเบื่อ ระบายท้อง ขับฉี่ แก้บิด แก้อักเสบ แก้โรคกระเพาะอักเสบ แก้กลาก แก้ผื่นคัน ฝี ดอก รสหวานเหม็นเบื่อ ใช้ทาแก้ขี้กลากเกลื้อน แก้โรคเรื้อน ดับพิษไข้ทรพิษ แก้เกลื้อน คั้นเอาน้ำทาแก้หัวนมแตกเจ็บ ต้น รสหวานเบื่อ แก้อึดอัดแน่นท้อง ระบายท้อง แก้พิษไข้ทรพิษ แก้พิษฝี แก้อักเสบบวม ต้มดื่มแก้ไส้ติ่งอักเสบ ราก รสหวานเหม็นเบื่อ แก้มือเท้าด่าง แก้รังแค แก้โรคผิวหนัง แก้ท้องผูก แก้พรรดึก ใช้ทาถูนวดให้ร้อนเพื่อให้เลือดมาหล่อเลี้ยงรอบๆที่ทาให้มากเพิ่มขึ้น น้ำคั้นรากเป็นยาช่วยหล่อลื่นด้านใน รวมทั้งขับดำของเดือนเยี่ยว อินเดีย ใช้ทั้งต้น แก้ผื่นคัน ผื่นคัน แผลไฟไหม้ ต้นและก็ใบ ใช้แก้มะเร็งเม็ดสีผิว มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งช่องปาก  ประเทศบังคลาเทศ ต้นใช้ตำพอกหน้า คุ้มครองปกป้องสิว และกระ
ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันนั้นมีผลการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยกล่าวว่าสารออกฤทธิ์ในผักปลังมีสรรพคุณตามกรุ๊ปของสารต่างๆดังต่อไปนี้
สารกลุ่มบีทาเลน เป็นกรุ๊ปสารประกอบสีม่วงดำของเนื้อผลผักปลังสุก ประกอบด้วยสารบีทานิดินมอโนกลูโคไซด์เป็นส่วนใหญ่ รองลงมาคือสารอนุชนิดต่างๆของกอมเฟรนีนซึ่งละลายน้ำได้ สารกลุ่มนี้มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ และก็ใช้เป็นสารแต่งสีอาหารที่มีความปลอดภัยกว่าการใช้สีสังเคราะห์
สารกรุ๊ปแคโรทีนอยด์ เช่น นีออกแซนธิน ไฟวโอลาแซนธิน ลูเทอิน (iutein) ซีแซนธิน (Zeaxanthin) แอลฟาแคโรทีน (α-carotene) รวมทั้งอนุภาคเบตาแคโรทีน (β-carotene) เนื่องจากร่างกายใช้สารแคโรทีนอยด์สำหรับในการสังเคราะห์วิตามินเอดังนั้นการกินผักปลังเป็นประจำจะเพิ่มปริมาณวิตามินเอภายในร่างกายได้ เหมาะสมกับผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการขาดวิตามินเอ นอกนั้นแคโรทีนอยด์ยังมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระอีกด้วย
กรุ๊ปกรดไขมัน น้ำมันจากเม็ดผักปลังมีกรดไขมันหลายประเภท เช่น กรดขว้างลมิติเตียนก รกดสเตรียริก กรดลังเลอีก แล้วก็กรดลิโนเลอิก
สารเมือก (mucilage) เจอในทุกๆส่วนของต้น สารเมือกมีส่วนประกอบของพอลีย์แซคาไรด์ที่ละลายน้ำ มีโภคทรัพย์เป็นยาระบายอ่อนๆในพืชบางชนิดพบว่าสารมูกมีฤทธิ์ immunomodulator  ฤทธิ์ปกป้องรักษาเซลล์ โดยการเคลือบเยื่อในกระเพาะรวมทั้งยั้งการหลั่งกรด ส่วนการใช้ในทางเวชสำอาง สารมูกมีคุณสมบัติช่วยลดอาการอักเสบลดการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวน้อยลง ช่วยสมาน รักษาไม่ถูกแห้งผื่นคัน และลดอาการเคือง
กรดอะมิโนและก็เพปไทด์ กรดอะมิโน ดังเช่นว่า อาร์จีนีน ลิวซีน (leucine) ไอโซลิวซีน ทรีโอนีน แล้วก็ทริโทแฟน ส่วนสารเพปไทด์ที่มีฤทธิ์ด้านชีววิทยา อาทิเช่น โปรตีนที่ยับยั้งหลักการทำงานของไรโบโซมในขั้นตอนการสังเคราะห์โปรตีนในเม็ดผักปลังซึ่งมีฤทธิ์ทำลายเชื้อเชื้อไวรัสประเภท  Artichoke-mottled crinkle virus (AMCV) ในต้นยาสูบโดยยั้งขั้นตอนการจำลองพันธุกรรมของไวรัส จึงอาจนำไปเป็นนวทางในการพัฒนายาต้านทานไวรัสถัดไปในอนาคต นอกจากนั้นยังมีสารแอลฟาบาสรูบริน  (α-basrubrins) และก็สารอนุภาคบีตาบาสรูบริน (β-basrubrins) ซึ่งเป็นเพปไทด์จากเมล็ดผักปลังมีฤทธิ์ต้านเชื้อราชนิด Botrytiscinerea, ชนิด Fusarium oxysporum, และก็ประเภท Mycosphaerella arachidicola โดยการหยุดยั้งขบวนการสร้างโปรตีนในเชื้อรา
สารกรุ๊ปไทรเทอร์พีนแซโพนิน อย่างเช่น สารบาเซลลาเซโพนิน (basellasaponins)  ซึ่งเจอในส่วนของก้านลำต้นของผักปลัง บีตาวุลการโรไซด์  (betavulgaroside I) มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด สไปนาวัวไซด์ซี  (spinacoside C), มอมอร์ดินทูบี (momordin IIb) และก็มอมอร์ดินทูซี (momordinIIc)
แบบอย่าง/ขนาดวิธีใช้ แก้อาการอึดอัดแน่นท้อง ด้วยการใช้ต้นสด 60 กรัม นำมาต้มกับน้ำให้ข้นแล้วกิน ช่วยแก้ท้องผูก รวมทั้งเป็นยาระบายอ่อนๆที่เหมาะสำหรับเด็กและก็สตรีตั้งท้อง โดยนำมาต้มรับประทานเป็นของกินจะช่วยแก้อาการท้องผูกได้ และก็เมือกที่อยู่ในผักปลังจะมีคุณสมบัติเป็นยาระบายอ่อนๆช่วยแก้ขัดเบา ด้วยการใช้ต้นสด 60 กรัม เอามาต้มกับน้ำกิน หรือใช้ใบสด 60 กรัมนำมาต้มกับน้ำกินแบบชาต่อหนึ่งครั้ง  หมอเมือง (ภาคเหนือ) จะใช้ใบผักปลังนำมาตำอาหารสารเจ้า ใช้เป็นยาพอกแก้โรคมะเร็งไข่ปลา  ใบรวมทั้งผลนำมาขยี้ทาบริเวณที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อยหรือแผลที่ มีลักษณะเป็นแผลไหม้ก็จะช่วยบรรเทาอาการและก็ทำให้เกิดความรู้สึกเย็นขึ้นได้ น้ำคั้นจากดอกใช้เป็นยาใช้ภายนอกแก้ขี้กลากโรคเกลื้อน แก้โรคเรื้อน แก้เกลื้อน รักษาฝี ด้วยการใช้ใบสดเอามาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็น โดยให้แปลงยาวันละ 1-2 ครั้ง แก้อาการปวดแขนขา ด้วยการกางใบสด ยอดอ่อน 30 กรัม เอามาต้มกับน้ำดื่ม
การศึกษาเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา สารสกัดผักปลังด้วยน้ำผสมกับสารสกัดจากใบของ Hi-biscus macranthus ส่งผลเพิ่มน้ำหนักตัวของหนู รวมทั้งเพิ่มน้ำหนักของถุงน้ำเชื้อสเปิร์ม  (seminal vesicle) ช่วยเพิ่มการสร้างและก็วิวัฒนาการของตัวอสุจิ และก็ทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ ซึ่งบางทีอาจก่อให้เกิดการพัฒนาเพื่อใช้สำหรับการรักษาผู้ป่วยในรายที่เป็นหมันเหตุเพราะการมีตัวอสุจิน้อย
                สารสกัดในผักปลังด้วยน้ำสามารถยั้งการก่อมะเร็งตับในหนูที่ถูกรั้งนำให้เกิดโรคมะเร็งด้วยสารเอ็น ไนโตรโซไดเอคราวลามีน (NDEA) และก็คาร์บอนเตตราคลอไรด์ (CCI) ได้โดยลดการทำลายของเซลล์ตับ ซึ่งวัดได้จากระดับเอนไซม์ในตับยกตัวอย่างเช่น แกมมา-กลูตามิลทรานสเปปทิเดส (GGT) ซีรัมกลูทามิกออกซาโลแอซีติเตียนกทรานสแอมิเนศ (SGOT) ซีรัมกลูทามิกไพรูวิกทรานสแอมิเนศ (SGPT) แล้วก็อัลค้างไลน์ ฟอสฟาเทส (ALP) ที่อยู่ในระดับใกล้เคียงค่าธรรมดา รวมทั้งยังส่งผลลดการเกิดปฏิกิริยาเพอคอยกสิเดชันของไขมัน (lipidperoxidation) โดยดูจากระดับของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีซุเปอร์ออกไซด์ดิสไม่วเทส (SOD) ค้างทาเลส กลูตาไทโอน เพอร์ออกซิเดส (GPX) ในร่างกายใกล้เคียงกับค่าปรกติ
                สารสกัดจากผักปลังในอาหารเพาะเลี้ยงเซลล์ม้ามของหนูถีบจักร (primary mouse splenocyte cultures) มีผลทำให้เพิ่มการหลั่ง IL-2 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และก็มีผลการเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาอีกชิ้นหนึ่งบอกว่า จากการวิเคราะห์รงควัตุของสารสกัด 80% เอทานอลจากผลผักปลัง พบ gomphrerin I รงควัตถุสีแดงเป็นรงควัตถุหลัก ในผลผักปลังสด 100 กรัมพบ gomphrerin I ถึง 3.6 กรัม นอกจากนั้นยังพบรงควัตถุสีแดงอื่นๆอาทิเช่น betanidin-dihexose และก็ isobetanidin-dihexose และเมื่อทำการศึกษาเรียนรู้ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระของ gomphrerin I ที่ความเข้มข้น 180, 23, 45 แล้วก็ 181 ไมโครโมลาร์ พบว่ามีค่าต้านอนุมูลอิสระเท่ากันกับโทรลอกซ์ ขนาด 534 ไมโครโมลาร์, butylated hydroxytoluene (BHT) 103 ไมโครโมลาร์, ascorbic acid 129 ไมโครโมลาร์รวมทั้ง BHT 68 ไมโครโมลาร์เป็นลำดับ รวมทั้งมีการเรียนฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยให้สารสกัด 80% เอทานอลขนาดความเข้มข้น 25, 50 รวมทั้ง 100 ไมโครโมลาร์แก่เซลล์ murine macrophage ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบด้วย lipopolysaccharide (LPS) พบว่าสามารถยั้งการผลิต nitric oxide ซึ่งการขัดขวางนี้จะเยอะขึ้นตามขนาดความเข้มข้นของสารสกัด และสารสกัดจากผลผักปลังที่ความเข้มข้น 100 ไมโคลโมลาร์ส่งผลลดการหลั่ง prostaglandin E2 และ interleukin-1β ของเซลล์ รวมทั้งยั้บยั้งการสังเคราะห์ยีนที่เกี่ยวพันกับการเกิดการอักเสบ ตัวอย่างเช่น nitric oxide synthase, cyclooxygenase-2, interleukin-1β, tumor necrosis factor-alpha แล้วก็ interleukin-6 จากการทดสอบทั้งสิ้นนี้แสดงให้ว่า gomphrerin I รงควัตถุสีแดงที่พบในผลผักปลังมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบที่มีความสามารถและสามารถนำผลผักปลังไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทางโภชนาการได้
ยิ่งกว่านั้นยังมีผลการศึกษาค้นคว้าวิจัยพบว่าสารมูกมีฤทธิ์กระตุ้นภูมิต้านทาน ฤทธิ์คุ้มครองปกป้องเซลล์ โดยการเคลือบเนื้อเยื่อกระเพาะอาหาร แล้วก็ยั้งการหลั่งกรด ลดการอักเสบที่ผิว ลดการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียที่ผิว ช่วยสมานรักษาผิวแห้ง ผื่นคัน ลดอาการระคายเคืองที่ผิวได้อีกด้วย
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา ในการศึกษาทางพิษวิทยาของผักปลังนั้นยังมีน้อยมากที่พอจะมีข้อมูลในหัวข้อนี้อยู่บ้างก็คือ มีการทำการศึกษาเรียนรู้ของนักค้นคว้าประเทศอินเดียที่ได้พิมพ์ผลที่เกิดขึ้นจากงานวิจัยเกี่ยวกับการทดลองผลของสารสกัดจากใบผักปลังด้วยเอทานอลและน้ำในหนูถีบจักรทดสอบ ด้วยการกรอกสารสกัดน้ำของใบในขนาด 100-200 มก.ต่อโลน้ำหนักตัวให้หนูทดลองตรงเวลา 2 สัปดาห์ ผลปรากฎว่าไม่พบว่ามีความผิดปกติของค่าทางเลือดวิทยา ส่วนการทดลองในหนูขาวที่กินสารสกัดจากใบผักปลังด้วยเอทานอล ,น้ำ และเฮกเซน ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ พบว่าหนูขาวที่ได้รับสารสกัดด้วยเอทานอลรวมทั้งเฮกเซนจากใบผักปลัง จะมีจำนวนน้ำย่อยอะไมเลสมากขึ้น ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งสำหรับการช่วยลดสภาวะเสี่ยงเป็นโรคโรคเบาหวานได้
คำแนะนำ/ข้อควรปฏิบัติตาม เนื่องจากว่าผักปลั่งเป็นผักที่เรารู้จักรวมทั้งเอามาทำเป็นอาหารกินกันอยู่เป็นประจำแล้ว สำหรับเพื่อการนำมากินเป็นอาหารนั้นอาจจะไม่เป็นผลกระทบอะไรกับสุขภาพ แต่ว่าถ้าเกิดใช้ผักปลังในรูปแบบสารสกัดหรือในรูปแบบอื่นๆนั้น เพื่อให้มีความปลอดภัยอาจต้องหารือหมอหรือผู้เชี่ยวชาญถึงขั้นรวมทั้งการใช้ก่อนใช้เสมอ
เอกสารอ้างอิง

  • โชติอนันต์ และคณะ ,รักษาโรคด้วยสมุนไพรใกล้ตัว. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์The Knowledge Center; 2550 หน้า 215-8
  • Bolognesi A, Polito L, Olivierif F, Valbonesi P, Barbieri L, Battelli MG et al. New ribosome-inactivating proteins with polynucleotide:adenosine glycosidase and antiviral activities from Basella rubra L. and Bougainvillea spectabilis Willd. Planta 1997;203:422-9
  • สำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน.ผักพื้นบ้าน ความหมายและภูมิปัญญาของสามัญชนไทย.กรุงเทพฯ โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก 2538 หน้า 168-9
  • ผักปลัง ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบราชธานีAkhter S, Abdul H, Shawkat IS, Swapan KS, Mohammad SHC Sanjay SS. A review on the use of non-timber forest products in beauty-care in Bangladesh. J Forestry Res 2008;19:72-8.
  • หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ “ผักปลัง”.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  หน้า 499-501.
  • หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม “ผักปลัง”.  (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  หน้า 179.
  • กรมส่งเสริมการเกษตร. (2550). ผักพื้นบ้าน. ค้นวันที่ 10 มิถุนายน 2550 http://www.disthai.com/
  • ชื่นนภา ชัชวาล.นาฎศรี นวลแก้ว.ผักปลัง ผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ.คอลัมน์บทปริทัศน์.วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทยืทางเลือก.ปีที่7.ฉบับที่2-3 พฤษภาคม – ธันวาคม 2552 . หน้า 197-200
  • Saikia AP, Ryakala VK Sharma P, Goswami P, Bora U. Ethnobotany of medicinal plants used by Assamese people for various skin ailments and cosmetics. J Ethnopharmacol 2006;106:149-57
  • กัญจนา ดีวิเศษและคณะ, ผู้รวบรวม. (2548). ผักพื้นบ้านภาคเหนือ. เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ บรรณาธิการ. พิมพ์ครั้งที่ 2. นนทบุรี: ศูนย์พัฒนาตำราการแพทย์แผนไทย.
  • Khare CP. Indian medicinal plants: an illustrated dictionary. New York: Springer Science Business Media; 2007. p. 84.
  • Jin YL, Ching YT. Total phenolic contents in selected fruit and vegetable juices exhibit a positive correlation with interferon-γ, interleukin-5, and interleukin-2 secretions using primary mouse splenocytes. J Food Compos Anal 2008;21:45-53.
  • Choi EM, Koo SJ, Hwang JK. Immune cell stimulating activity of mucopolysaccharide isolated from yam (Dioscorea batatas). J Ethnopharmacol 2004;91:1-6.
  • หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “ผักปลัง”.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  หน้า 350.
  • Maisuthisakul P, Pasuk S, Ritthiruangdej P. Relationship of antioxidant properties and chemical composition of some Thai plants. J Food Compos Anal 2008;21:229-40
  • Raju M, Varakumar S, Lakshminarayana R, Krishnakantha TP, Baskaran V. Carotenoid composition and vitamin A activity of medicinally important green leafy vegetables. Food Chem 2007;101:1598-1605
  • . Dweck AC. The internal and external use of medicinal plants. Clin Dermatol 2009;27:148-58
  • Reddy GD, Kartik R, Rao CV, Unnikrishnan MK, Pushpangadan P. Basella alba extract act as antitumour and antioxidant potential against N-nitrosodiethylamine induced hepatocellular carcinoma in rats. Int J Infectious Diseases 2008;12 Suppl 3:S68
  • Toshiyuki M, Kazuhiro H, Masayuki Y. Medicinal foodstuffs. XXIII. Structures of new oleanane-type triterpene oligoglycosides, basellasaponins A, B, C, and D, from the fresh aerial parts of Basella rubra L. Chem Pharm Bull 2001;49:776-9.
  • Jadhav RB, Sonawane DS, Surana SJ. Cytoprotective effects of crude polysaccharide fraction of Abelmoschus esculentus fruits in rats. Pharmacogn Mag 2008;4:130-2.
  • Glassgen WE, Metzger JW, Heuer S, Strack D. Betacyanins from fruits of Basella rubra. Phytochemistry 1993;33:1525-7
  • ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ผักปลัง”.  [26 เม.ย. 2014].
  • Draelos ZD. Botanicals as topical agents. Clin Dermatol 2001;19:474- 7
  • Shahid M,. Akhtar JM, Yamin M, Shafiq MM. Fatty acid composition of lipid classes of Basella rubra Linn. Pak Acad Sci 2004;41:109-12
  • Haskell MJ, Jamil KM, Hassan F, Peerson JM, Hossain MI, Fuchs GJ et al. Daily consumption of Indian spinach (Basella alba) or sweet potatoes has a positive effect on total-body vitamin A stores in Bangladeshi men. Am J Clin Nutr 2004;80:705-714
  • Moundipa FP, Kamtchouing P, Kouetan N, Tantchou J, Foyang NPR, Mbiapo FT. Effects of aqueous extracts of Hibiscus macranthus and Basella alba in mature rat testis function. J Ethnopharmacol 1999;65:133-9
  • Hexiang W, Tzi BN. Antifungal peptides, a heat shock protein-like peptide, and a serine-threonine kinase-like protein from Ceylon spinach seeds. Peptides 2004;25:1209-14
  • ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบของรงควัตถุสีแดงในผักปลัง,ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล


22
บอระเพ็ด
ชื่อสมุนไพร บอระเพ็ด
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน จุ้งจาลิง , จุ่งจิง , เถาวัลย์ฮอ (ภาคเหนือ) , เจตมูลหนาม (หนองคาย) , หางหนู (อุบลราชธานี) , เถาหัวขาด , ตัวเจตมูลยาน (จังหวัดสระบุรี)
ชื่อสามัญ Heart leaved moonseed
ชื่อวิทยาศาสตร์ Tinospora crispa (L.) Miers ex Hook.f. & Thomson
ชื่อพ้อง Tinospora tuberculata Miers, Tinospora rumphii Boerl.
วงศ์ Menispermaceae
ถิ่นเกิด บอระเพ็ดเป็นพืชที่มีบ้านเกิดในป่าดิบแล้งรวมทั้งป่าเบญจพรรณ ในแถบเอเซียอาคเนย์พบได้ทั่วไปในประเทศไทย เมียนมาร์ ลาว เขมร ฯลฯ รวมทั้งบางประเทศในทวีปเอเชียใต้ ดังเช่นว่า ประเทศอินเดีย รวมทั้งศรีลังกา สำหรับในประเทศไทยนั้นบอระเพ็ดนับเป็นพืชที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีมานานแล้ว เพราะคนไทยในแต่ก่อนได้นำบอระเพ็ดมาใช้เป็นสมุนไพรรักษาอาการป่วยต่างๆอย่างเช่น ใช้ลดไข้ บำรุงร่างกาย บำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร ฯลฯ แม้กระทั่งในขณะนี้ก็ยังนิยมใช้บอระเพ็ดเพื่อคุณประโยชน์ทางยากลุ่มนี้อยู่ ซึ่งในประเทศไทยนั้นสามารถเจอบอระเพ็ดได้ทุกภาคของประเทศแล้วก็ส่วนใหญ่พบในป่าดงดิบแล้งและก็ป่าเบญจพรรณทั่วไป
ลักษณะทั่วไป 
บอระเพ็ด จัดเป็น  ไม้เลื้อย เนื้อแข็ง ไม่มีขน ยาวถึง 15 เมตร เถากลม ตะปุ่มตะป่ำไม่เรียบ เป็นปุ่มเปลือกของเถาบางลอกออกได้ เป็นปุ่มกระจัดกระจายทั่วไป เมื่อแก่มองเห็นปุ่มปมพวกนี้หนาแน่น แล้วก็แจ้งชัดมาก เปลือกเถา คล้ายเยื่อกระดาษ มียางขาว ใส  เถามีรสขมจัด สีเทาปนเหลือง มีรากอากาศเหมือนเส้นด้ายยาว กลม ยาว สีน้ำตาลเข้ม ใบลำพัง เรียงเวียนสลับ มักเป็นรูปหัวใจ รูปไข่กว้าง หรือรูปกลม กว้าง 6-12ซม. ยาว 7-14 เซนติเมตร โคนเรียวแหลมยาว ปลายจะเป็นรูปหัวใจลึก หรือตื้น เนื้อเหมือนแผ่นกระดาษบาง มักมีต่อม ใบข้างล่างบางคราวเจอต่อมแบนตามโคนง่ามของเส้นใบ เส้นใบออกมาจากโคนใบรูปฝ่ามือมี 3-5 เส้น และก็มีเส้นกิ้งก้านใบอีก 1-3 คู่ ก้านใบยาว 5-15 เซนติเมตร บวมพอง และก็เป็นข้องอ ดอกออกเป็นช่อตามกิ่งแก่ๆที่ไม่มีใบ มักออกดอกเมื่อใบหลุดตกหมด มี 2-3 ช่อ เล็กเรียว ดอกมีขนาดเล็กสีเขียวอมเหลือง ดอกเพศผู้และเพศภรรยาแยกกันอยู่ต่างดอก ช่อดอกเพศผู้ ยาว 5-9 ซม. ดอกมี 1-3 ดอก ติดเป็นกระจุก ดอกเพศผู้ มีก้านดอกย่อยเล็กเรียว ยาว 2-4 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อน วงนอกมี 3 กลีบ รูปไข่ หนาที่โคน ยาว 1-1.5 มิลลิเมตร วงในมี 3 กลีบ รูปไข่กลับ มีก้านกลม หรือโคนแหลม ยาว 3-4 มม. กลีบมี 3 กลีบ กลีบวงนอกแค่นั้นที่รุ่งเรืองขึ้น รูปใบหอกกลับแคบ แบน ไม่มีตุ่ม ยาว 2 มิลลิเมตร ส่วนกลีบวงในลดรูป เกสรเพศผู้มี 6 อัน ยาว 2 มิลลิเมตร ช่อดอกเพศภรรยา ยาว 2-6 มิลลิเมตร ดอกโดยมากกำเนิดลำพังๆตามง่ามใบ ดอกเพศเมีย กลีบเลี้ยงแล้วก็กลีบดอกคล้ายดอกเพศผู้ เกสรเพศผู้ปลอมมี 6 อัน เป็นรูปลิ่มแคบ ยาวประมาณ 1 มม. เกสรเพศเมียมี 3 อัน ทรงรี ยาว 2 มิลลิเมตร ยอดเกสรเพศเมียเป็นพูสั้นมากมาย ผลออกเป็นช่อ มีก้านช่อยาว 1.5-2 เซนติเมตร มีก้านผลเป็นรูปครึ่งปิรามิด ยาว 2-3 มม. ใต้ลงมาเป็นกลีบเลี้ยงที่ติดแน่น รูปไข่ ยาว 2 มม. โค้งกลับ ผลสด เมื่อสุกมีสีเหลืองหรือสีส้ม ทรงรี ยาว 2 ซม. ฝาผนังผลชั้นในสีขาว ทรงรี กว้าง 7-9 มม. ยาว 11-13 มิลลิเมตร ผิวย่นย่อนิดหน่อย หรือแทบเรียบ มีสันที่ด้านบนชัด มีช่องเปิดรูปรีเล็กที่ข้างบน มีดอกปลายเดือนเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม ติดผลราวเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม
การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์บอระเพ็ดสามารถทำเป็น 2 แนวทางเป็นการเพาะเมล็ด แล้วก็การปักชำกิ่ง การเพาะเม็ดนั้นต้องใช้เมล็ดจากผลที่สุกจัด ผลมีสีเหลืองเข้ม ยิ่งเป็นผลที่หล่นแล้วยิ่งดี จากนั้น นำผลมาตากแดดให้แห้ง นาน 15-20 วัน รวมทั้งเก็บเอาไว้ภายในร่มก่อนจนถึงต้นฤดูฝนก็เลยนำออกมาเพาะในถุงเพาะชำหรือใช้หยอดปลูกตามจุดที่ต้องการ การปลูกด้วยเม็ดนี้ จะได้เครือบอระเพ็ดที่ใหญ่ยาวมากกว่าการปักชำ  การปักชำเถา เป็นวิธีหนึ่งที่สะดวกเร็ว ด้วยการตัดเถาบอระเพ็ดที่แก่จัด เถามีอายุตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป ตัดเถายาว 20-30 ซม. จากนั้น ค่อยนำลงปักชำในถุงหรือกระถาง แนวทางลักษณะนี้ จะได้ต้นที่แตกหน่อใหม่ด้านใน 15-30 วัน แม้กระนั้นลำต้นมักมีเครือไม่ยาวราวกับการเพาะเม็ด แต่ไม่แตกต่างกันมากสักเท่าไรนัก
ส่วนประกอบทางเคมี

  • สารขมชื่อ picroretin, columbin, picroretroside, tinosporide, tinosporidine
  • สารกลุ่มตรีเทอตะกายอยส์ ตัวอย่างเช่น Borapetoside A, Borapetoside B, Borapetol A, Tinocrisposide, tinosporan
  • สารกลุ่มอัลคาลอยด์ ดังเช่น N-formylannonaine, N-acetylnornuciferine เป็นต้น
  • สารชนิดอามีนที่พบ ตัวอย่างเช่น N-trans-feruloyl tyramine, N-cis-feruloyl tyramine
  • สารฟีนอสิคไกลโคไซด์ อย่างเช่น tinoluberide
  • สารอื่นๆยกตัวอย่างเช่น berberine, β-sitosterol


ที่มา : wikipedia
ผลดี/คุณประโยชน์ น้ำสกัดหรือน้ำต้มจากบอระเพ็ดสามารถใช้ฉีดพ่นกำจัด แล้วก็คุ้มครองปกป้องหนอนแมลงศัตรูพืช เป็นต้นว่า หนอนใยผัก และเพลี้ยต่างๆได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนลำต้น และใบของบอระเพ็ดสามารถใช้ผสมในอาหารสัตว์หรือให้สัตว์กินโดยตรง เพื่อสัตว์มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และรักษาโรคในสัตว์ ทั้งยังวัว กระบือ สุกร ไก่ แล้วก็อื่น ซึ่งชาวบ้านนิยมให้ไก่ชนกินในระยะก่อนออกชน ยิ่งกว่านั้นลำตัน และใบยังสามารถเอามาบด และใช้พอกศีรษะหรือสระผม สำหรับกำจัดเหาได้อีกด้วย ส่วนสรรพคุณทางยาของบอระเพ็ดนั้นมีดังนี้
ตำรายาไทย
ใช้  เถา ซึ่งมีรสขมจัดเย็น แก้ไข้ทุกชนิด แก้พิษไข้ทรพิษ เป็นยาขมเจริญอาหาร ต้มดื่มเพื่อให้เจริญอาหาร ช่วยในการย่อย บำรุงน้ำดี บำรุงไฟธาตุ แก้โรคกระเพาะอาหาร บำรุงร่างกาย แก้สะอึก แก้มาลาเรีย เป็นยาขับเหงื่อ ดับกระหาย แก้ร้อนในดีมาก แก้อหิวาต์ แก้ท้องร่วง ไข้มาลาเรีย ยับยั้งความร้อน ทำให้เนื้อเย็น แก้เลือดทุพพลภาพ ใช้ข้างนอกใช้ล้างตา ล้างแผลที่เกิดขึ้นมาจากโรคซิฟิลิส ใบ มีรสขมเมา เป็นยาพอกรอยแผล ทำให้เย็นรวมทั้งทุเลาอาการปวด ดับพิษปวดแสบปวดร้อน พอกฝี แก้ฟกช้ำ แก้คัน แก้รำมะนาด ปวดฟัน ฆ่าแมลงที่น่าฟัง ฆ่าพยาธิไส้เดือน แก้ไข้ แก้โรคผิวหนัง บำรุงน้ำดี  ราก มีรสขม เป็นยาช่วยให้เจริญอาหาร ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ รากอากาศ รสขมเย็น แก้ไข้ขึ้นสูงมีลักษณะอาการคลั่งเพ้อ ดับพิษร้อน ถอนพิษร้อน ถอนพิษไข้ เจริญอาหาร ผล รสขม แก้ไข้ แก้เสลดเป็นพิษ ทุกส่วนของพืช ใช้แก้ไข้ เป็นยาบำรุง โรคดีซ่าน ยาเจริญอาหาร แก้มาลาเรียใช้เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ร้อนในหิวน้ำ
นอกจากนี้บอระเพ็ดยังจัดอยู่ใน “พิกัดตรีญาณรส” เป็นการจำกัดจำนวนตัวยาที่ทำให้รู้รสของกิน 3 อย่าง มี ไส้หมาก รากสะเดา เถาบอระเพ็ด มีคุณประโยชน์ แก้ไข้ ดับพิษร้อน ขับเยี่ยว ขับเสลด บำรุงไฟธาตุ ชูกำลัง “พิกัดยาแก้ไข้ 5 ชนิด” เป็นการจำกัดจำนวนตัวยาแก้ไข้ 5 อย่าง มี รากย่านาง รากคนทา รากต้นกระโรกใหญ่ ขี้เหล็กทั้ง 5 แล้วก็เถาบอระเพ็ด คุณประโยชน์แก้ไข้พิษร้อน
หนังสือเรียนอายุรเวทของประเทศอินเดีย ใช้ เถา เป็นยาแก้ไข้ เหมือนกันกับชิงช้าชาลี กล่าวไว้ว่า แก้ไข้ดีเท่ากับซิงโคนา แก้ธาตุผิดปกติ โรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเท้าปัสสาวะ แก้อาการอักเสบ แก้อาการเกร็ง
แบบอย่าง/ขนาดวิธีใช้
รักษาลักษณะของการมีไข้ ใช้เถาบอระเพ็ดที่ไม่แก่หรืออ่อนจนกระทั่งเกินไป (เถาเพสลาก) โดยประมาณ  1- 1.5  ฟุต (2.5 คืบ) หรือเถา น้ำหนัก  30-40  กรัม  โดยตำ  เพิ่มเติมน้ำบางส่วน  คั้นเอาน้ำ  หรือต้มกับน้ำ  3  ส่วน  เคี่ยวให้เหลือ  1  ส่วน  หรือบดเป็นผุยผง  ทำให้เป็นลูกกลอนรับประทานวันละ  2  ครั้ง  ก่อนกินอาหาร  รุ่งเช้า  เย็น
           รักษาอาการเบื่ออาหาร: ใช้เถาที่โตเต็มที่   ราว  1- 1.5   ฟุต  (2.5 คืบ)  น้ำหนัก หรือเถา 30-40  กรัม  โดยตำ  เพิ่มน้ำน้อย  คั้นเอาน้ำ  หรือต้มกับน้ำ  3  ส่วน  ต้มให้เหลือ  1  ส่วน  หรือบดเป็นผง  ทำให้เป็นลูกกลอนกินวันละ  2  ครั้ง  ก่อนอาหาร  ตอนเช้า  เย็น  ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยการใช้บอระเพ็ด / เมล็ดข่อย / หัวหญ้าแห้วหมู / เม็ดพริกไทย / เปลือกต้นทิ้งถ่อน / เปลือกต้นตะโกนา ในรูปทรงเสมอกันเอามาบดเป็นผุยผง ปั้นเป็นยาลูกกลอนเท่าปลายนิ้วก้อย รับประทานก่อนนอนทีละ 2-3 เม็ด หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็อาจจะนำเถาบอระเพ็ดมาหั่นตากแห้งแล้วเอามาบดให้เป็นผุยผงปั้นเป็นลูกกลอนก็ได้  ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยการใช้เถาสดที่โตสุดกำลังตากแห้งแล้วบดเป็นผุยผง นำมาชงน้ำร้อนดื่มครั้งละ 1 ช้อน ตอนเช้าและก็เย็น แก้โรคกระเพาะอาหารด้วยการใช้บอระเพ็ด 5 ส่วน / มะขามแฉะ 7 ส่วน / เกลือ 3 ส่วน / น้ำผึ้งพอเหมาะ นำมาคลุกจนเข้ากันแล้วรับประทานก่อนกินอาหาร 3 เวลา นำทุกส่วนของบอระเพ็ด (เถา,ใบ,ราก) มาบดแล้วก็ใช้ประคบฝี เพื่อลดน้ำหนอง,ลดอาการปวดบวม หรือ แผล(สำหรับห้ามเลือด)
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ลดไข้    มีผู้ทำการศึกษาฤทธิ์ลดไข้ของบอระเพ็ด โดยทดสอบกับสัตว์ทดลองที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดไข้ด้วยสารต่างๆได้แก่ การทดสอบกรอกสารสกัดบอระเพ็ดด้วยอัลกอฮอล์แล้วก็น้ำ (1:1) ให้กระต่ายที่ถูกรั้งนำให้กำเนิดไข้ด้วยยีสต์ พบว่าสารสกัดไม่มีฤทธิ์ลดไข้ บุญเทียม และคณะ ได้ทดสอบให้สารสกัดบอระเพ็ดด้วยน้ำกับหนูเพศผู้ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดไข้ด้วยวัคซีนไทฟอยด์ในขนาด 100 มิลลิกรัม/กก. โดยการผสมกับน้ำ  พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ลดไข้ และก็ต่อมาได้ทำทดสอบโดยให้สารสกัดบอระเพ็ดกับกระต่ายและก็หนูขาวเพศผู้ที่รั้งนำให้เกิดไข้ด้วย LPS (Lipopolysaccharide) ในขนาด 200 มิลลิกรัม/กก. รวมทั้ง 600 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เป็นลำดับ พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ลดไข้ได้ด้วยเหมือนกัน จากการเรียนรู้มั่นใจว่ากลไกในการยั้งการเกิดไข้ของสารสกัดบอระเพ็ดคงจะมีต้นเหตุจากการไปยับยั้งการสร้าง interleukin-1 หรือ prostaglandins (PGs) ซึ่งกลไกนี้เป็นกลไกที่อยู่ในระบบ CNS ยิ่งกว่านั้นยังมีผู้พบว่าส่วนสกัดด้วยบิวทานอลมีฤทธิ์ลดไข้ ไม่มีการทดลองแยกสารออกฤทธิ์ลดไข้จากบอระเพ็ด แม้กระนั้นมีรายงานฤทธิ์ลดไข้ของสารที่เจอในบอระเพ็ดคือ berberine เมื่อป้อนให้หนูในขนาด 10 มก./กก. และก็ b-sitosterol ซึ่งออกฤทธิ์ในขนาด 160 มก./กก.
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ        มีผู้ทำการศึกษาฤทธิ์ลดการอักเสบของชาชงบอระเพ็ดโดยการกรอกให้แกะเพศผู้ (ตอน) ในขนาด 8 มิลลิลิตร/ตัว พบว่าชาชงบอระเพ็ดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบเทียบเท่ากับแอสไพริน 30 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 200 กรัม Higashino และก็ภาควิชา ได้ศึกษาฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบของสารสกัดเถาบอระเพ็ดด้วยเมทานอล (50%) กับหนูขาวที่ถูกเหนี่ยวนำให้มีการอักเสบที่อุ้งเท้าด้วย carrageenin โดยให้รับประทานสารสกัดในขนาด 10 มก./กิโลกรัม พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ โดยส่วนสกัดด้วยบิวทานอลออกฤทธิ์เจริญที่สุด ไม่ว่าจะให้โดยการกิน ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง หรือฉีดเข้าท้อง แล้วก็พบว่าส่วนสกัดในขนาด 3 มิลลิกรัม/กก. เมื่อให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังมีฤทธิ์เสมอกันกับ sulpyrine 250 มก./กิโลกรัม และ diphenhydramine 10 มก./กิโลกรัม
ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสาร borapetosides A การเล่าเรียนฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสาร borapetosides A สารสำคัญที่เจอในต้นบอระเพ็ด โดยการฉีด borapetosides A ให้แก่หนูเม้าส์ที่เป็นโรคโรคเบาหวาน ชนิดที่ 1 และก็ชนิดที่ 2 และหนูเม้าส์ธรรมดา วันละ 2 ครั้ง ต่อเนื่องกัน 7 วัน พบว่า borapetosides A จะช่วยเพิ่มระดับของไกลโคเจน และก็ลดน้ำตาลในเลือดได้หนูปกติ แล้วก็หนูที่เป็นเบาหวาน โดยฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของ borapetosides A เกี่ยวพันกับการเพิ่มจำนวนอินซูลินในหนูปกติและหนูที่เป็นโรคเบาหวานจำพวกที่ 2 แต่ว่าไม่เป็นผลต่อระดับอินซูลินในหนูที่เป็นเบาหวานจำพวกที่ 1 นอกเหนือจากนั้นยังพบว่าสาร borapetosides A กระตุ้นการสังเคราะห์ไกลวัวเจนในเซลล์เนื้อกล้ามเนื้อ รวมทั้งลดการแสดงออกของโปรตีน phosphoenolpyruvate carboxylase ที่มากขึ้นจากการเป็นเบาหวานได้ การศึกษาค้นคว้าวิจัยนี้ทำให้เห็นว่าสาร borapetosides A จากต้นบอระเพ็ดสามารถออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้จำพวกที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวเนื่องกับอินซูลิน โดยผ่านกลไกกระตุ้นการใช้กลูโคสของกล้ามเนื้อ ลดการสั่งสมน้ำตาลในเซลล์ รวมทั้งกระตุ้นการผลิตอินซูลิน
การทดสอบในสัตว์ทดสอบพบว่าบอระเพ็ดมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ ส่วนการเรียนในผู้ป่วยเบาหวานโดยให้ทานบอระเพ็ด วันละ 250 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 2 เดือน พบว่าช่วยลดระดับน้ำตาลได้ แต่ขณะที่กำลังทำการทดลองคนเจ็บหลายรายมีอาการตับอักเสบ และก็พบว่าการใช้บอระเพ็ดในขนาดสูงรวมทั้งติดต่อกันนานจะเป็นพิษต่อตับแล้วก็ไต มีรายงานการวิจัยของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุว่าเมื่อให้อาสาสมัครร่างกายแข็งแรง 12 ราย กินบอระเพ็ดขนาด 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง นาน 8 สัปดาห์ พบว่าแนวโน้มทำให้ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีในตับเพิ่มขึ้น หมายความว่ามีลัษณะทิศทางจะทำให้กำเนิดพิษต่อตับ
การศึกษาทางพิษวิทยา  การทดลองพิษทันควันของสารสกัดเถาด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. (คิดเป็น 1,786 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) แล้วก็ให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 โล ตรวจไม่เจออาการเป็นพิษ  เมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอทานอล ให้หนูถีบจักร ขนาด 4 กรัม/กก. เสมอกันผงยาแห้ง 28.95 กรัม/กิโลกรัม ไม่ทำให้มีการเกิดอาการพิษ การเรียนรู้พิษเรื้อรัง พบว่าเมื่อป้อนสารสกัดด้วยเอทานอล ให้หนูขาวประเภทวิสตาร์ทั้ง 2 เพศ ในขนาด 0.02, 0.16 และ 1.28 กรัม/กิโลกรัม/วัน หรือเท่ากันผงแห้ง 0.145, 1.16 และ 9.26 ก./กก. ตรงเวลา 6 เดือน พบว่าหนูขาวทั้งคู่เพศที่ได้รับสารสกัดในขนาด 1.28 กรัม/กิโลกรัม มีผลทำให้น้ำหนักหนูต่ำลงยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุมรวมทั้งเกิดอาการผิดปกติของแนวทางการทำงานของตับและไตได้          มีหมอผู้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ลดโรคเบาหวานของบอระเพ็ด พบว่าผู้ป่วยมีลักษณะอาการตับอักเสบหลายราย
ข้อแนะนำ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง

  • ส่วนที่นิยมนำเถาบอระเพ็ดมาใช้ทำเป็นยาจะเป็นส่วนของ “เถาเพสลาก” เพราะว่ามีลักษณะไม่แก่หรืออ่อนเหลือเกินนัก และมีรสชาติขมจัด แต่หากเป็นเถาแก่จะแตกแห้ง รสเฝื่อน ไม่ขม หรือถ้าหากอ่อนเกินไปก็จะมีรสไม่ขมมากมาย
  • การศึกษาในอาสาสมัครสุขภาพดี 12 คนที่กินบอระเพ็ดในขนาด 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง นาน 8 อาทิตย์ เจอแนวโน้มระดับเอนไซม์ในตับมากขึ้นมีความหมายว่าน่าจะนำไปสู่พิษต่อตับ
  • ถ้าเกิดนำบอระเพ็ดมาใช้และก็พบอาการแตกต่างจากปกติของการทำงานตับและไต ควรหยุดการใช้
  • ห้ามใช้ในคนที่มีภาวการณ์เอนไซม์ตับบกพร่อง หรือคนเจ็บที่มีประวัติเป็นโรคตับหรือโรคไต
  • สมุนไพรบอระเพ็ดสำหรับในการกินในส่วนของรากโดยตลอดเป็นเวลานานอาจมีผลต่อหัวจิตใจ ด้วยเหตุว่าเป็นยารสขม สิ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือไม่ควรใช้ติดกันต่อเนื่องเกิน 1 เดือน ถ้าหากจำเป็นต้องใช้ในเดือนถัดไปก็ควรเว้นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำเพื่อร่างกายสามารถปรับภาวะได้ก่อน ถ้าเกิดใช้ไปแล้วมีลักษณะอาการมือเท้าเย็น แขนขาหมดเรี่ยวแรงก็ควรจะหยุดกิน
เอกสารอ้างอิง

  • บอระเพ็ด.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • บุญเทียม คงศักดิ์ตระกูล  ยุวดี วงษ์กระจ่าง และคณะ.  รายงานฉบับสมบูรณ์ขององค์การเภสัชกรรม, 2541:18pp.
  • Higashino H, Suzuki A, Tanaka Y, Pootakham K.  Inhibitory effects of Siamese Tinospora crispa extracts on the carrageenin-induced foot pad edema in rats (the 1st report).  Nippon Yakurigaku Zasshi 1992;100(4):339-44.
  • บอระเพ็ด.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.disthai.com/
  • Kongsaktrakoon B, Temsiririrkkul R, Suvitayavat W, Nakornchai S, Wongkrajang Y.  The antipyretic effect of Tinospora crispa Mier ex Hook.f. & Thoms.  Mahidol Univ J Pharm Sci 1994;21(1):1-6.
  • บอระเพ็ด.ชาสมุนไพรบรรเทาอาการไข้.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.หน้า3-5
  • กัมปนาท รื่นรมย์.ประสิทธิภาพและการออกฤทธิ์ของสารสกัดจากบอระเพ็ดในการเป็นสารกำจัดแมลงต่อหนอนใยผัก(Plutella xylostella L.)
  • Sabir M, Akhter MH, Bhide NK.  Further studies on pharmacology of berberine.  Indian J Physiol Pharmacol 1978;22:9.
  • บอระเพ็ด ประโยชน์/สรรพคุณบอระเพ็ด.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อเกษตรไทยบุญส่ง คงคาทิพย์ และสมนึก วงศ์ทอง การแยกสารออกฤทธิ์ฆ่าหนอนเจาะเสมอฝ้ายจากต้นบอระเพ็ดและการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างของสารกับการออกฤทธิ์
  • บอระเพ็ด.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสาร borapetosides A จากต้นบอระเพ็ด.ข่าวความเคลื่อนไหนสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Rivai Y.  Antiinflammatory effects of Tinospora crispa (L) Miers ex Hook.f & Thoms stem infusion on rat.  MS Thesis, Dept Pharm, Fac Math & Sci, Univ Andalas, Indonesia, 1987.
  • บอระเพ็ดกับเบาหวาน.กระทู้ถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Gupta M, Nath R, Srivastava N, Shanker K, Kishor K, Bhargava KB.  Anti-inflammatory and antipyretic activities of b-sitosterol.  Planta Med 1980;39:157-63.
  • Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P.  Study on toxicity of Thai medicinal plants.  Bull Dept Med Sci 1971;12(2/4):36-65.
  • บอระเพ็ด.ฐานข้อมูลความปลอดภัยของสมุนไพรที่มีการขึ้นทะเบียนยาแผนโบราณ.สำนังานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Chavalittumrong P, Attawish A, Chuthaputti A, Chuntapet P.  Toxicological study of crude extract of Tinospora crispa Miers ex Hook.f. & Thoms.  Thai J Pharm Sci 1997;21(4):199-210.



Tags : บอระเพ็ด

23
บัวบก
ชื่อสมุนไพร บัวบก
ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น ใบบัวบก (ภาคกึ่งกลาง) ผักหนอก จำปาเครือ (ภาคเหนือ) ปะหะ เอขาเด๊าะ (กะเหรี่ยง) แว่นโคก (อีสาน) ผักแว่น (ภาคใต้) เดียกำเช่า ฮมคัก (จีน)
ชื่อสามัญ Asiatic pennywort , Gotu kola , Indian pennywort , Woter pennywort
ชื่อวิทยาศาสตร์  Centella asiatica (Linn.) Urban.
ตระกูล  UMBELLIFERAE (APIACEAE)
ถิ่นกำเนิด  บัวบกหรือใบบัวบก มีถิ่นเกิดเดิมในทวีปแอฟริกา ถัดมาก็เลยถูกนำเข้ามาปลูกไว้ในทวีปเอเชียที่อินเดียและก็ประเทศในแถบอเมริกาใต้ อเมริกากึ่งกลาง รวมทั้งประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทวีปเอเชียเหนือ เดี๋ยวนี้ บัวบกได้แพร่ไปทั่วโลก ในประเทศเขตร้อน และก็เขตอบอุ่น ซึ่งพบว่ามีการแพร่ขยายในประเทศแถบอเมริกา ยุโรป แอฟริกา และก็เรื่อยมาจนกระทั่งทุกประเทศในเอเชีย ส่วนประเทศไทยพบบัวบกขึ้นในทุกภาคของประเทศ  ทั้งนี้บัวบกได้ถูกนำมาใช้เป็นสมุนไพรในวิถีชีวิตของคนประเทศไทยมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว ซึ่งมีการเล่าขานรวมทั้งบันทึกในตำราเรียนยาของไทยไว้หลายฉบับร่วมกัน ยิ่งกว่านั้นคนประเทศไทยยังมีการนำบัวบกมาใช้สำหรับในการเตรียมอาหารทั้งยังคาวและก็หวานอีกด้วย ที่สามารถสะท้องถึงความสนิทสนมของบัวบกกับวิธีชีวิตของคนประเทศไทยตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงเดี๋ยวนี้ได้อย่างดีเยี่ยม
ลักษณะทั่วไป บัวบก เป็นไม้ล้มลุกอายุนับเป็นเวลาหลายปี มีลำต้นเป็นไหล(stolen) เลื้อยไปตามพื้นดินหรืออยู่ข้างล่างหน้าผิวดิน ไหลมีลักษณะทรงกลม ไหลอ่อนมีสีขาว ไหลแก่มีสีน้ำตาล ขนาดราว 0.2-0.4 มิลลิเมตร ยาวได้มากกว่า 1 เมตร ไหลมีลักษณะเป็นข้อบ้อง บริเวณข้อเป็นจุดแทงออกของก้านใบ ส่วนข้างล่างของข้อมีรากแขนงแทงลึกลงดิน และก็แต่ละข้อแตกกิ่งแยกไหลไปเรื่อยทำให้ต้นบัวบกขึ้นปกคลุมพื้นที่รอบๆได้อย่างดกทึบ ใบบัวบกออกเป็นใบลำพัง และก็ออกเป็นกระจุกปริมาณหลายใบบริเวณข้อ แต่ละข้อมีใบ 2-10 ใบ ใบประกอบด้วยก้านใบที่แทงตั้งตรงจากข้อ ก้านใบสูงโดยประมาณ 10-15 เซนติเมตร มีลักษณะทรงกลม สีเขียวอ่อน ต่อมาเป็นแผ่นใบที่เชื่อมใกล้กับก้านใบบริเวณกึ่งกลางของใบ ฐานใบโค้งเว้าเข้าหากัน แผ่นใบมีทรงกลมหรือมีรูปร่างเหมือนไต ขอบใบหยัก เส้นผ่าศูนย์กลางราว 2-4 เซนติเมตร แผ่นใบด้านใบเรียบ สีเขียวสด แผ่นใบข้างล่างมีขนสั้นๆปกคลุม รวมทั้งมีสีเขียวจางกว่าข้างบน ขอบของใบหยักเป็นคลื่น  ดอกบัวบกออกเป็นช่อที่ซอกใบของข้อ ช่อดอกมีทรงช่อเหมือนร่ม อาจมีช่อผู้เดียวหรือมีราว 2-5 ช่อ แต่ละช่อมีโดยประมาณ 3-4 ดอก มีก้านช่อดอกยาวทรงกลม ขนาดเล็ก ประมาณ 0.5-5 เซนติเมตร ส่วนกลีบดอกมีสีขาว กึ่งกลางมีเกสรตัวผู้ขนาดสั้น  ผลมีขนาดเล็ก มีลักษณะกลมแบน ยาวโดยประมาณ 3 มม. เปลือกเม็ดแข็ง มีสีเขียวหรือม่วงน้ำตาล
การขยายพันธุ์ การปลูกบัวบกตอนแรกใช้วิธีปลูกด้วยเมล็ด โดยเอามาเพาะในกระบะ เมื่อต้นกล้าแข็งแรงก็ดี หรือมีอายุ 15-25 วัน จึงย้ายกล้าลงปลูกลงในแปลงแล้ว กระทำการรักษา ใส่ปุ๋ย ให้น้ำ ต่อมาได้พัฒนาเป็นการปลูกให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ลำต้นของบัวบกที่แตกจากต้นแม่ ซึ่งจะกระทำการขุดไหลหรือลำต้นนั้นให้ติดดิน จากนั้นนำดินมาพอกที่รากให้เป็นก้อนแล้วเก็บพักไว้ภายในที่ร่ม แล้วพรมน้ำเล็กน้อย ก็เลยเก็บไว้อย่างน้อย 1 วัน พอวันที่ 2 สามารถจะนำแขนงนั้นไปปลูกได้เลย หรือถ้าหากไม่สะดวกที่จะเก็บพักไว้ก็สามารถจะขุดกิ่งก้านสาขามาแล้วปลูกโดยทันทีเลยก็ได้ สำหรับวิธีการปลูกนั้นมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
การเตรียมดิน ควรไถยกร่องเพื่อตากดินแล้วทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 15 วัน โดยไถกระพรวนดินให้ร่วนซุยแล้วหลังจากนั้นจึงขุดแต่งให้เป็นรูปแปลง ยกร่องเป็นแปลงปลูกกว้าง 3 เมตร ระหว่างแปลงปลูกจัดเป็นร่องน้ำหรือทางเดินกว้าง 50 เซนติเมตร ลึก 15 เซนติเมตร เพื่อมีการระบายน้ำทิ้งก้าวหน้า เมื่อทำแปลงเสร็จให้ใส่สารอินทรีย์หว่านลงบนแปลงให้ทั่ว แล้วรดน้ำให้เปียกแฉะ
                การปลูก ขุดหลุมลึก 3-4 ซม. แล้วนำต้นกล้าบัวบก ปลูกหลุมละ 1 ต้น โดยให้ระยะห่างระหว่างต้นและระยะระหว่างแถว 15 x 15 เซนติเมตร ซึ่งก็จะได้บัวบกปริมาณต้นต่อไร่โดยประมาณ 70000-72000 ต้น เมื่อปลูกเสร็จแล้วให้กระทำรดน้ำให้ชุ่ม
                การใส่ปุ๋ย ควรจะใส่ปุ๋ยหนแรกภายหลังจากปลูก 15 – 20 วัน โดยให้ปุ๋ยสูตร 16-20-0 อัตรา 5 กิโลกรัมต่อไร่ การใส่ปุ๋ยครั้งลำดับที่สองจะห่างจากการใส่คราวแรก 15 – 20 วันโดยกลายเป็นให้ปุ๋ยสูตร 46-0-0 อัตรา 3 โลต่อไร่ การใส่ปุ๋ยครั้งที่สามจะห่างจาการใส่ครั้งสอง 15 – 20 วัน โดยกลายเป็นให้ปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ในอัตรา 50  กก./ไร่ ทุกครั้งที่มีการใส่ปุ๋ยเสร็จแล้วจะต้องรดน้ำให้ชุ่ม
                การให้น้ำ สามารถให้น้ำได้ 2 แนวทางคือ ระบบไม่นิสปริงเกอร์ ซึ่งเปิดให้น้ำยามเช้าและก็เย็น ช่วงละ 10-15 นาที หากคือการใช้สายยางเดินฉีดน้ำให้รดตราบจนกระทั่งจะชุ่มเพราะว่าใบบัวบกจะเจริญเติบโตได้ดิบได้ดีเมื่อได้รับความชุ่มชื้นที่เหมาะสม
คุณค่าทางโภชนาการใบบัวบก (ใบสด 100 กรัม)
น้ำ                                                           86                                           กรัม
พลังงาน                                 54                                           กิโลแคลอรี่
โปรตีน                                                    1.8                                          กรัม
ไขมัน                                                       0.9                                          กรัม
คาร์โบไฮเดรต                                        9.6                                          กรัม
ใยอาหาร                                                2.6                                          กรัม
ขี้เถ้า                                                           1.7                                          กรัม
แคลเซียม                                               146                                         มก.
ธาตุฟอสฟอรัส                                              30                                           มิลลิกรัม
เหล็ก                                                       3.9                                          มิลลิกรัม
แอสคอบิด (วิตามิน C)                         15                                           มิลลิกรัม
ไทอะมีน (วิตามิน B1)                           0.24                                        มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน (วิตามิน B2)    0.09                                        มก.
ไนอะซีน (วืตามิน B3)                           0.8                                          มิลลิกรัม
เบต้า แคโรทีน                                        2,428                                      ไมโครกรัม
วิตามิน A                                               405                                         ไมโครกรัม
ผลดี / สรรพคุณ ประโยช์จากบัวบกที่เราประสบพบเห็นจนกระทั่งคุ้นตาก็คือ การนำใบของบัวบกมาทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรหรือเอามาทำเป็นชาชงรวมไปถึง การนำใบแล้วก็เถาบัวบกมารับประทานเป็นผักสดกับน้ำพริกกะปิคั่ว หมี่กรอบ ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ลาบ ก้อย แกงเผ็ด ยำใบบัวบก ซุปหน่อไม้ ฯลฯ
แต่ว่าในขณะนี้มีการนำสิ่งใหม่ใหม่ๆมาดัดแปลงให้บัวบก เป็นผลิตภัณฑ์ในแบบต่างๆอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น มีการทำสารสกัดจากใบบัวบกเพื่อนำมาใช้เป็นส่วนผสมสำหรับในการผลิตเครื่องสำอาง ใช้ทำเป็นสิ่งของปิดแผล รวมถึงเอามาผลิตเป็นสบู่ใบบัวบก ซึ่งผู้ผลิตบอกว่าช่วยรักษาสิว ทำให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใส ผิวหน้าเต่งตึงได้ อีกทั้งยังมีการนำมาผลิตเป็นแคปซูลวางจำหน่าย ซึ่งระบุถึงสรรพคุณว่าสำหรับการช่วยทำนุบำรุงสมองเป็นหลัก (Brain tonic) ส่วนสรรพคุณทางยาของบัวบกนั้นมีดังนี้ สรรพคุณตามตำรายาไทยใช้บัวบกแก้ไข้ แก้ร้อนใน แก้ช้ำใน ใช้เป็นยาด้านนอกรักษาแผล ทำให้แผลหายเร็ว เป็นยาบำรุงแล้วก็ยาอายุวัฒนะ ช่วยเสริมสร้างความจำ บรรเทาอาการปวดหัว แก้อาการมึนหัว ช่วยทำนุบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง ทุเลาอาการปวดตามข้อ ตามกล้าม แก้อาการท้องผูก กระตุ้นระบบขับถ่าย แก้อาการท้องอืด ของกินไม่ย่อย แก้โรคซาง แก้โรคดีซ่านในเด็ก ช่วยบำรุงตับ และไต แก้โรคตับอักเสบ ช่วยทำนุบำรุงสายตา แก้ตาพร่ามัว  เป็นยาขับเลือดเสีย แก้กระหายน้ำ ทุเลาอาการไอ อาการเจ็บคอ แก้อาการเจ็บคอ รักษาโรคหลอดลมอักเสบ รักษาอาการหืดหอบ แก้โรคลมชัก ช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน  รักษาโรคปากเปื่อยยุ่ย ช่วยขับปัสสาวะ แก้โรคนิ่วในระบบทางเท้าเยี่ยว ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยขับประจำเดือน กระตุ้นประจำเดือนให้มาธรรมดา และแก้ลักษณะของการปวดระดู รักษาฝี ช่วยให้ฝียุบ  ส่วนทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบันกล่าวว่า ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยในคนพบว่าบัวบกมีฤทธิ์รักษาความไม่ดีเหมือนปกติของเส้นเลือดดำ ช่วยทำให้คลายความกลุ้มใจ รักษาแผลที่ผิวหนัง และรักษาแผลในทางเดินของกิน ช่วยสร้างเสริมและก็กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนรวมทั้งอีลาสติน มีสารต้านทานอนุมูลอิสระ ช่วยต้านทานการเสื่อมของเซลล์ต่างๆภายในร่างกาย ช่วยบำรุงประสาทรวมทั้งสมองราวกับใบแปะก๊วย ช่วยเสริมลักษณะการทำงานของกาบา (GABA) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยรักษาสมดุลของจิตใจ ก็เลยช่วยบรรเทาและก็ทำให้หลับง่ายดายมากยิ่งขึ้น  ช่วยกระตุ้นการผลิตเนื้อเยื่อใหม่ ใบบัวบกมีสารยั้งหรือชะลอการขยายตัวของเซลล์ของโรคมะเร็ง
ต้นแบบ/ขนาดวิธีใช้
แก้ไข้ แก้ร้อนใน บอบช้ำใน  จำพวกแคปซูล (โรงพยาบาล), ชนิดชง(โรงพยาบาล) จำพวกชง รับประทานทีละ 2 – 4 กรัม ชงน้ำร้อนประมาณ 120 – 200 มล. วันละ 3 ครั้ง หลังรับประทานอาหาร ประเภทแคปซูล  รับประทานครั้งละ 400 มก. วันละ 3 ครั้ง หลังรับประทานอาหาร ใช้บัวบกรักษาแมลงกัดต่อย และรักษาแผล ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข                  ให้ใช้ใบขยี้ทาแก้แมลงกัดต่อย หรือใช้ส่วนใบสด พอกที่แผลสด วันละ 2 ครั้ง   ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ครีมใบบัวบก  ชำระล้างแผลด้วยยาฆ่าเชื้อก่อนทาครีมที่มีสารสกัดจากบัวบกสดปริมาณร้อยละ 7 โดยน้ำหนัก  ทาบริเวณที่เป็นแผลวันละ 1 – 3 ครั้ง หรือตามหมอสั่ง ถ้าเกิดใช้แล้วไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ ให้หยุดใช้   ควรที่จะเก็บครีมใบบัวบกในที่เย็น อุณหภูมิไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส แก้อาการเยี่ยวขัดข้อง ด้วยการใช้ใบบัวบกประมาณ 50 กรัม เอามาตำแล้วพอกบริเวณสะดือ เมื่อฉี่คล่องแคล่วก็ดีค่อยคัดออก  ใช้เป็นยาห้ามเลือด ใส่แผลสด ด้วยการกางใบสดประมาณ 20 ใบเอามาล้างให้สะอาด ตำพอกแผลสด  แก้อาการฟกช้ำดำเขียว ด้วยการใช้ใบบัวบกมาตีให้แหลกแล้วนำมาโปะบริเวณที่บวมช้ำ หรือจะใช้ใบบัวบกประมาณ 40 กรัม ต้มกับเหล้าแดงโดยประมาณ 250 cc. โดยประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วนำมาดื่ม
การเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย  สารสกัดเอทานอล (2-4) แล้วก็สารสกัดด้วยน้ำร้อน จากส่วนเหนือดิน มีฤทธิ์ยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus (2-5), b-Streptococcus group A รวมทั้ง Pseudomonas aeruginosa สารสกัดเฮกเซน สารสกัดไดคลอโรมีเทน สารสกัดเอทิลอะซีเตท สารสกัดอีเทอร์ และสารสกัดเมทานอลจากใบ มีฤทธิ์ยั้งเชื้อ S. aureus แม้กระนั้นไม่เป็นผลต่อเชื้อ P. aeruginosa        สารสกัดจากส่วนราก ใบรวมทั้งส่วนเหนือดิน แล้วก็น้ำมันหอมระเหยจากบัวบก มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียหลายอย่าง อาทิเช่น Bacillus subtilis, Escherichia coli, Proteus vulgaris รวมทั้ง Pseudomonas cichorii  มีรายงานว่าอนุพันธ์บางจำพวกของ asiaticoside สามารถยับยั้งการเติบโตของเชื้อวัณโรคในหลอดทดลอง แล้วก็ลดร่องรอยโรคที่มีต้นเหตุมากจากเชื้อวัณโรคในตับ ปอด ปมประสาทของหนูตะเภาที่ทำให้เป็นวัณโรคได้           
ฤทธิ์ลดการอักเสบ สารสกัดเอทานอลจากใบมีฤทธิ์ลดการอักเสบอย่างอ่อนในหนูขาว โดยไปยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี cyclooxygenase-1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ prostraglandin สาร saponin ขนาด 1 ไมโครโมล จะลดการอักเสบแล้วก็อาการบวมในหนูถีบจักรที่ถูกเหนี่ยวนำให้กำเนิดอาการบวมที่หูด้วย croton oil ขี้ผึ้ง Madecassol ซึ่งมีสาร asiatic acid, madecassic acid แล้วก็ asiaticoside สามารถลดการอักเสบ เมื่อใช้ทาที่ผิวหนังหนูซึ่งเกิดการอักเสบจากการฉายรังสี ผงแห้งจากส่วนเหนือดินของบัวบก ให้คนรับประทาน สามารถลดอาการอักเสบได้
ฤทธิ์สมานแผลสารสกัด 95% เอทานอลจากใบ ขนาด 1 มล./กิโลกรัม พบว่าส่งผลเพิ่มการเติบโตของเซลล์เยื่อบุผิว เพิ่มการสร้างคอลลาเจน เมื่อให้ทางปากรวมทั้งทาที่แผลของหนูขาว สารสกัดจากบัวบก (titrated extract) ซึ่งมีสาร asiatic acid, made cassic acid รวมทั้ง asiaticoside มีฤทธิ์รักษาแผลในหนูขาว โดยจะรีบการผลิต connective tissue เพิ่มปริมาณคอลลาเจน แล้วก็กรด uronic เมื่อนำสารสกัดมาใช้ทาด้านนอกเพื่อรักษาแผลในหนูขาว พบว่าทำให้แผลหายเร็วขึ้น โดยการทำให้มีการกระจายตัวของโรคหนองในบาดแผล และแผลมีขนาดเล็กลง แต่ว่าหากใช้รับประทานจะไม่เป็นผล  ในเวลาที่รายงานบางฉบับพบว่า เมื่อให้หนูขาวรับประทานสารสกัดในขนาดวันละ 100 มก./กิโลกรัม มีผลสำหรับการรักษาแผลโดยทำให้การสร้างหนังกำพร้าเร็วขึ้น และก็บาดแผลมีขนาดเล็กลง ครีม ขี้ผึ้งและก็เจลที่มีสารสกัดน้ำจากบัวบก 5% เมื่อใช้ทาที่แผลของหนูขาว 3 ครั้ง/วัน นาน 24 วัน พบว่าส่งผลเพิ่มการเติบโตของเยื่อบุผิว เพิ่มการสร้างคอลลาเจนและเพิ่ม tensile strength ซึ่งสูตรที่อยู่ในรูปเจลจะสำเร็จดียิ่งกว่าขี้ผึ้งแล้วก็ครีม
          สาร asiaticoside มีฤทธิ์รักษาแผล เร่งการหายของแผลเมื่อทดลองในหนูขาว หนูถีบจักร และในคน เมื่อให้สาร asiaticoside ขนาด 1 มิลลิกรัม/โล ทางปากแก่หนูตะเภารวมทั้งใช้ทาที่ผิวหนังในหนูตะเภาปกติและก็หนูขาวที่เป็นโรคเบาหวานซึ่งแผลหายช้า ที่ความเข้มข้น 0.2% และก็ 0.4% เป็นลำดับ พบว่ามีผลเพิ่ม tensile strength เพิ่มปริมาณของคอลลาเจน รวมทั้งลดขนาดของแผล tincture ที่มี asiaticoside เป็นองค์ประกอบ 89.5% จะรีบการหายของแผล เมื่อใช้ทาที่แผลของหนูตะเภา
          ในการทดสอบในคน มีกล่าววว่าครีมที่มีสารสกัดอัลกอฮอล์จากบัวบกเป็นองค์ประกอบ 0.25-1% สามารถช่วยรักษาและก็สร้างผิวหนังในคนสูงอายุ ครีมที่มีสารสกัดจากบัวบก 1% สามารถรักษาแผลอักเสบแล้วก็แผลแยกหลังผ่าตัดในผู้บาดเจ็บปริมาณ 14 ราย ด้านใน 2-8 อาทิตย์ โดยพบว่าได้ผลลัพธ์ที่ดี 28.6% ผลปานกลาง 28.6% และก็ผลพอได้ 35.7% ไม่เป็นผล 1 ราย  แล้วก็รักษาแผลเรื้อรังที่เกิดขึ้นมาจากอุบัติเหตุ ในคนไข้จำนวน 22 ราย ภายใน 21 วัน พบว่าขนาดของแผลจะต่ำลง มีแผลหายสนิท 17 ราย ยังไม่หายสนิท 5 ราย  tincture ที่อยู่ในรูป aerosol ซึ่งมี asiaticoside 89.5% เมื่อใช้ฉีดที่แผลของคนเจ็บซึ่งเป็นแผลประเภทต่างๆจำนวน 20 ราย พบว่าสามารถรักษาแผลหายได้ 16 ราย (64%) แล้วก็ทำให้อาการดีขึ้น 4 ราย (16%) โดยมีลักษณะใกล้กันเป็น การไหม้ของผิวหนัง (burning sensation)  เมื่อให้ผู้ป่วยที่เป็น post-phlebitic syndrome รับประทานสารสกัด triterpenoid ในขนาด 90 มก./วัน นาน 3 อาทิตย์ พบว่าจะลดการเพิ่มปริมาณของ circulating endothelial cell
ฤทธิ์แก้ปวดสารสกัด 60% เอทานอลจากใบ ขนาด 20 มิลลิกรัม/โล  รวมถึงสารสกัด 95% เอทานอลจากทั้งต้น ขนาด 100 มิลลิกรัม/กก.  มีฤทธิ์แก้ปวดในหนูขาวและก็หนูถีบจักร แต่สารสกัด 50% เอทานอลจากอีกทั้งต้นในขนาด 125 มิลลิกรัม/กก. ไม่มีฤทธิ์แก้ปวด เมื่อฉีดเข้าท้องหนูถีบจักร
ฤทธิ์ลดไข้  สารสกัด 95% เอทานอลสามารถลดไข้ได้ 1.20F เมื่อฉีดเข้าทางท้องของหนูขาว แต่ว่าถ้าเกิดฉีดสารสกัด 50% เอทานอล ขนาด 125 มิลลิกรัม/โล เข้าท้องหนูถีบจักรจะไม่ได้เรื่อง  สารสกัดเมทานอลจากส่วนเหนือดินรวมถึงใบ ขนาด 2 กรัม/กก. ไม่มีฤทธิ์ลดอุณหภูมิของร่างกาย เมื่อทดสอบในหนูถีบจักร
ฤทธิ์ยับยั้งฮีสตามีนสารสกัดใบบัวบกด้วยแอลกอฮอล์ผสมน้ำในอัตราส่วน 1:1 ใช้ทาข้างนอกจะสามารถลดการแพ้ได้ แล้วก็ช่วยทุเลาลักษณะของการเจ็บปวด หรืออักเสบเหตุเพราะแมลงกัดต่อย
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อราสารสกัดเอทานอลจากต้น มีผลต้านเชื้อราที่ทำให้มีการเกิดโรคกลาก ตัวอย่างเช่น Trichophyton mentagrophytes  แล้วก็ T. rubrum ในตอนที่สารสกัดด้วยน้ำร้อน ไม่พบว่ามีผลต้านทานเชื้อราอีกทั้ง 2 จำพวกนี้    ส่วนน้ำมันหอมระเหยจะมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา Aspergillus niger, Rhizopus oryzae, Fusarium solani, Candida albicans รวมทั้ง Colletotrichum musae
รักษาแผลในกระเพาะจากการทดลองในหนูแรทพบว่า สารสกัดด้วยเอทานอล และก็สารสกัดด้วยน้ำจากทั้งยังต้นและจากนั้นก็จากใบ มีฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะในหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้กำเนิดแผลในกระเพาะด้วยความเครียดและก็กรดเกลือในเอทานอล  โดยจะลดขนาดของแผล เพิ่มของเส้นโลหิตขนาดเล็กในเยื่อ เพิ่มรวมทั้งผู้กระทำระจายของเซลล์ที่บริเวณแผล  ซึ่งสอดคล้องกับการทดลองในคนที่รับประทานสารสกัดจากบัวบก (Madecassol) พบว่าช่วยรักษาแผลในกระเพาะแล้วก็ไส้ได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ     ไม่เจอความเป็นพิษของสารสกัดด้วย 50% เอทานอล เมื่อฉีดเข้าทางท้องของหนูถีบจักร ขนาด 250 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และก็ฉีดเข้าใต้ผิวหนังหรือให้ทางปากของหนูขาว ขนาด 10 กรัม/กิโลกรัม  สารสกัด 70% เอทานอลมีค่า LD50 พอๆกับ 675 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ในหนูขาวเพศผู้ (ไม่กำหนดขั้นตอนการให้) แม้กระนั้นมีรายงานการแพ้แล้วก็อักเสบต่อผิวหนังในคน เมื่อใช้ผงแห้ง  สารสกัดที่มีกลัยโคไซด์จากบัวบกจำนวนร้อยละ 2   สารสกัดด้วยน้ำ สารสกัดจากอีกทั้งต้นในความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 2 แล้วก็สารสกัด Madecassol ที่ประกอบด้วย asiatic acid, madecassic acid และ asiaticoside ทาด้านนอก 
พิษต่อเซลล์ น้ำคั้นจากบัวบกเป็นพิษต่อเซลล์ สารสกัด 50% เอทานอลเป็นพิษต่อเซลล์ 9KB  สารสกัดเมทานอลแล้วก็สารสกัดอะซีโตน มีความเป็นพิษต่อเซลล์ CA-Ehrich, Dalton’s lymphoma และ L929 แต่ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ human lymphocyte สารไทรเทอร์ตะกายส์จากต้น มีความเป็นพิษต่อเซลล์ fibroblast ของคน
 ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์สารสกัดอัลกอฮอล์มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ในแบบที่ต้องการเอนไซม์จากตับกระตุ้นการออกฤทธิ์ต่อเชื้อ Salmonella typhimurium TA98, TA100  โดยมีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์แบบ frameshift เพียงแค่นั้น ไม่พบแบบ base-pair substitution สารสกัดน้ำจากส่วนเหนือดิน ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ต่อเชื้อ S. typhimurium TA98, TA100
พิษต่อระบบสืบพันธุ์ น้ำคั้นจากทั้งยังต้น ขนาด 0.5 มิลลิลิตร มีผลคุมกำเนิดในหนูถีบจักร 55.60% สารสกัดจากบัวบกขนาด 0.2 มิลลิลิตร ฉีดเข้าใต้ผิวหนังของหนูถีบจักร พบว่าไม่มีผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อน  สาร saponin จากทั้งยังต้น ขนาด 2% ไม่เป็นผลทำลายเชื้อสเปิร์มของคน
ส่งผลให้เกิดอาการแพ้        สารสกัด 30% อีเทอร์ กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการระคายเคืองอย่างอ่อนต่อผิวหนังหนูตะเภา  ในคนมีรายงานการแพ้และอักเสบต่อผิวหนัง เมื่อใช้ผงแห้ง  สารสกัดกลัยวัวไซด์ 2% สารสกัดน้ำ สารสกัดจากทั้งยังต้น 2% (ไม่ระบุจำพวกสารสกัด) รวมทั้งสารสกัด Madecassol ที่มี asiatic acid, madecassic acid รวมทั้ง asiaticoside  oinment ที่มีบัวบกเป็นองค์ประกอบ 1% นำมาซึ่งการก่อให้เกิด acute erythemato-bullous การระคายเคืองต่อผิวหนังกำเนิดได้อีกทั้งการใช้พืชสดหรือแห้ง  อาการเคืองต่อผิวหนังของบัวบกส่งผลค่อนข้างต่ำ
ข้อเสนอ / สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง

  • บัวบกไม่เหมาะกับคนที่มีภาวการณ์เย็นพร่อง หรือขี้หนาว ท้องขึ้นบ่อยๆ
  • ไม่แนะนำให้ใช้ยาที่มีส่วนประกอบของบัวบกในคนที่สงสัยว่าจับไข้เลือดออกเหตุเพราะอาจบังอาการของไข้เลือดออกได้
  • พึงระวังการกางใบบัวบกร่วมกับยาที่มีผลต่อตับ ยาขับเยี่ยว และก็ยาที่ส่งผลใกล้กันทำให้ ง่วงหงาวหาวนอน เพราะอาจเสริมฤทธิ์กันได้
  • ควรระวังการใช้ร่วมกับยาที่มีแนวทางการเมแทบอลิซึมผ่าน Cytochrome P450 (CYP 450) เพราะว่าบัวบกมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ CYP 2C9 และ CYP 2C19
  • สำหรับในการทำเป็นสมุนไพรไม่ควรนำใบบักบกไปตากแดดเพื่อทำให้แห้ง เพราะจะมีผลให้สูญเสียตัวยาสมุนไพรซึ่งอยู่ในน้ำมันหอมระเหยได้ โดยให้ตากลมตากเอาไว้ในที่ร่มอากาศถ่ายเทสะดวก เมื่อแห้งแล้ว ให้เอามาใส่ขวดปิดฝาให้สนิทคุ้มครองปกป้องความชุ่มชื้น
  • การรับประทานบัวบกในจำนวนที่มากเกินไป จะมีผลให้ธาตุภายในร่างกายเสียสมดุลได้ ด้วยเหตุว่าเป็นยาเย็นจัด แต่หากกินในขนาดที่พอดิบพอดีแล้วจะไม่มีโทษต่อสุขภาพและก็ได้ประโยชน์สูงสุด
เอกสารอ้างอิง

  • อารีรัตน์ ลออปักษา สุรัตนา อำนวยผล วิเชียร จงบุญประเสริฐ. การศึกษาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ (ตอนที่ 1).  ไทยเภสัชสาร 2531;13(1):23-35.
  • จันทรพร ทองเอกแก้ว, 2556, บัวบก : สมุนไพรมากคุณประโยชน์.
  • พิมพร ลีลาพรพิสิฐ สุมาลี พฤกษากร ไชยวัฒน์ ไชยสุต และคณะ. การพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางรักษาสิวจากน้ำหมักชีวภาพที่ได้จากพืชไทย.  การประชุมวิชาการประจำปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 3, 30 สิงหาคม-3 กันยายน, นนทบุรี, หน้า 40.   
  • บัวบก.สมุนไพรที่มีการใช้ในสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Chen YJ, Dai YS, Chen BF, et al. The effect of tetradrine and extracts of Centella asiatica on acute radiation dermatitis in rats.  Biol Pharm Bull 1999;22(7):703-6.
  • บักบก/ใบบัวบก (Gotu kola) ประโยชน์และสรรพคุณใบบัวบก.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อเกษตรกรไทย
  • วีระสิงห์ เมืองมั่น.  รายงานผลการวิจัยเรื่องการใช้ครีมบัวบกรักษาแผลอักเสบ.  การประชุมโครงการการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาตำรับยาสมุนไพรที่ใช้ในโรงพยาบาล, กรุงเทพฯ, 30 พค. 2526.
  • กองโภชนาการ กรมอนามัย, 2544, ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย. http://www.disthai.com/
  • บัวบก.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • นันทวัน บุณยะประภัศร และอรนุช โชคชัยเจริญพร,2547, สมุนไพรไม้พื้นบ้าน(2).
  • Dabral PK, Sharma RK.  Evaluation of the role of rumalaya and geriforte in chronic arthritis-a preliminary study.  Probe 1983;22(2):120-7.
  • แก้ว กังสดาลอำไพ วรรณี โรจนโพธิ์ ชนิพรรณ บุตรยี่. การประเมินฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสมุนไพรไทยในรูปของยาตำรับ  สามัญประจำบ้านแผนโบราณตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขและสมุนไพรบางชนิด โดยวิธีเอมส์เทสต์.  การประชุมวิชาการ  กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 3, 3-4 สิงหาคม 2533:47-9.
  • Maquart FX, Chastang F, Simeon A, Birembaut P, Gillery P, Wegrowski Y. Triterpenes from Centella asia

24

น้ำมันระกำ (Methyl Salicylate)
น้ำมันระกำเป็นอย่างไร  น้ำมันระกำ เมทิลซาลิไซเลต (Methyl salicylate หรือ Wintergreen oil หรือ Oil of wintergreen) เป็นสารอินทรีย์ในธรรมชาติเจอได้จากพืชหลายอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชในกรุ๊ปวินเทอร์กรีน (Wintergreen) รวมทั้งพืชอีกหลายประเภทที่ผลิต เมทิลซาลิไซเลต ในปริมาณน้อย อย่างเช่น

  • สปีชี่ส่วนใหญ่ของตระกูล Pyrolaceae โดยยิ่งไปกว่านั้นในสกุล Pyrola
  • บางสปีชี่ของสกุล Gaultheria ในตระกูล Ericaceae
  • บางสปีชี่ของสกุล Betula ในวงศ์ Betulaceae โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสกุลย่อย Betulenta


แต่ว่าในขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ สามารถสังเคราะห์สารเมทิลซาลิไซเลตแบบที่เจอในน้ำมันระกำได้เช่นเดียวกัน รวมทั้งถูกประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตน้ำหอม อาหาร เครื่องดื่ม และก็ยาในบ้านพวกเรา น้ำมันระกำมักถูกเอามาเป็นส่วนผสมของ ครีม ขี้ผึ้ง น้ำมันทาถูนวด สำหรับลดลักษณะของการปวดของกล้ามเนื้อและปวดข้อ ซึ่งสารเมทิลซาลิไซเลตในน้ำมันระกำมักใช้ได้ผลในด้านดีกับอาการปวดจำพวกกะทันหันไม่ร้ายแรง แต่อาการปวดจำพวกเรื้อรังจะได้ผลน้อย
สูตรเคมีและก็สูตรส่วนประกอบ น้ำมันระกำ (Methyl Salicylate) เป็นสารอินทรีย์ในสูตรโครงสร้างมีหมู่ เอสเทอร์ (Esters) วงแหวนเบนซินซึ่งสามารถกลืนรังสีอุลตร้าไวโอเลตได้ เป็นองค์ประกอบหลักแล้วก็มีชื่อทางเคมีตาม IUPACหมายถึงmetyl 2-hydroxybenzoate มีสูตรเคมี C6H4(HD)COOCH3 มีน้ำหนักโมเลกุล 152.1494g/mal มีจุดหลอมเหลวที่ -9 องศาเซลเซียส (ºC) จุดเดือดอยู่ที่ 220-224 องศาเซลเซียส  (ºC) สามารถติดไฟได้ รวมทั้งสามารถละลายได้ดีในแอลกอฮอลล์ กรดอะสิตำหนิก อีเทอร์ ส่วนในน้ำละลายได้เล็กน้อย
 
 
 
 
                สูตรองค์ประกอบทางเคมีของเมทิลซาลิไซเลท
                           ที่มา : Wikipedia                                   ที่มา : Brahmachari (2009)                                                 
 
 
แหล่งที่มา/แหล่งที่พบ น้ำมันระกำ หรือ เมทิลซาลิไซเลต ในอดีตนั้นสามารถสกัดได้จากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่ในปัจจุบัน เมื่อแวดวงวิทยาศาสตร์เจริญขึ้น นักวิทยาศาสตร์ก็เลยสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้ ซึ่งสามารถแยกที่มาของน้ำมันระกำได้คือ

  • ได้มากจากธรรมชาติ จะได้มาจากการกลั่นใบของต้นไม้ชนิดหนึ่งที่มี ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gaultheria procumbens Linn. ชื่ออังกฤษ wintergreen, Checkerberry, Teaberry Tree, อยู่ในวงศ์ ERICAEAE ลักษณะ เป็นไม้พุ่มเล็กๆแผ่ไปตามดิน ยอดจะชูขึ้นสูงโดยประมาณ10-15 ซม. มีอายุเกิน 1 ปี ใบ โดดเดี่ยวออกสลับกัน ใบสีเขียวแก่ รูปไข่ ยาว 1-2 ซม. ใบมีกลิ่นหอมสดชื่นหวานรสฝาด ดอก สีขาวเป็นรูประฆัง ยาว 5 มม. ออกที่ข้อด้านข้างใบ ผล เป็น capsule สีม่วง มีส่วนของกลีบรองกสีบดอก สีแดงสดติดอยู่ ซึ่งในใบจะมีสาร methyl Salicylate อยู่ถึง 99% เลยทีเดียว โดยพืชประเภทนี้เป็นพืชพื้นบ้านของทวีปอเมริกาเหนือและ
  • ได้มาจากการสังเคราะห์สารเคมี โดยการสร้าง น้ำมันระกำทางวิทยาศาสตร์ได้จากการสังเคราะห์สารมีชื่อทางเคมีว่า Salicylyl acetate เป็นอนุพันธ์เอสเธอร์ ของ Salicylic acid และก็ methyl salicylate โดยใช้ปฏิกิริยาคอนเดนเซซั่น ของกรดซาลิไซลิก กับ เมทานอล โดยทำให้กรดซัลฟิวริกผ่าน esterification กรด Salicylic จะละลายในเมทานอลเพิ่มกรดกำมะถันแล้วก็ความร้อน เวลาสำหรับการทำปฏิกิริยาคือ 3 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิ 90-100 ℃ เมื่อปลดปล่อยให้เย็นถึง 30 ℃ แล้วใช้น้ำมันล้างด้วยสารละลายโซเดียมคาร์บอเนตที่มีค่า pH 8 ด้านบนแล้วล้างด้วยน้ำ 1 ครั้ง น้ำ. ส่วนการกลั่นด้วยเครื่องสุญญากาศ 95-110 ℃ (1.33-2.0kPa) กลั่นให้ได้เมทิลซาลิไซเลต 80% หรือปริมาณเมทิลเซลิเซียลในอุตสาหกรรมทั่วไปเท่ากับ 99.5%
ประโยชน์รวมทั้งสรรพคุณ
ผลดีรวมทั้งสรรพคุณของน้ำมันระกำ (Methyl Salicylate) คือ ใช้เป็นยายับยั้งปวดชนิดใช้เฉพาะที่สำหรับทุเลาลักษณะของการปวดต่างๆที่ไม่ร้ายแรง เช่น ปวดข้อ ปวดกล้ามจากสภาวะตึงหรือเคล็ด ข้อต่ออักเสบ บอบช้ำ หรือปวดหลัง เป็นต้น โดยยานี้จะช่วยทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเย็นบริเวณผิวหนังในตอนแรก หลังจากนั้นจะค่อยๆอุ่นขึ้น ซึ่งช่วยเบี่ยงเบนความพึงพอใจจากการรู้สึกถึงลักษณะของการปวด ยิ่งไปกว่านี้ ยังอาจใช้รักษาโรคอื่นๆตามดุลยพินิจของแพทย์ด้วย  น้ำมันระกำมีกลไกการออกฤทธิ์ โดยตัวยาจะเป็นตัวกระตุ้นปลายประสาทที่รับความรู้สึกถึงความร้อน - อบอุ่น ทำให้ร่างกายมีการสนองตอบถึงการบรรเทาอาการปวดต่ำลง ก็เลยทำให้มีความรู้สึกถึงฤทธิ์การรักษาตามสรรพคุณ ในการศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชยังพบอีกว่าน้ำมันระกำสามารถปรับปรุง ต้านการปวดบวมแล้วก็อักเสบ แถมมีฤทธิ์เป็นยาชาแบบอ่อนๆรวมทั้งมี pH เป็นกรด ออกจะแรง และก็มีโมเลกุลแบบ BHA ด้วย มีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะแบบอ่อนๆทำให้ทำลายแบคทีเรียที่ผิวหน้าได้มักใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยา แอสไพริน ซาลิโซเลต แล้วก็ยาฆ่าเชื้อ
                นอกเหนือจากนี้ยังคงใช้เมทิลซาลีไซเลตในอุตสาหกรรมอื่นๆอีกยกตัวอย่างเช่น เป็นส่วนผสมในสินค้าต่างๆดังเช่น ยาสีฟัน แป้งฝุ่น ยาหม่อง อุตสาหกรรมย้อม น้ำหอม เป็นต้น
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา รายงานทางเภสัชวิทยาของน้ำมันระกำนั้นไม่ค่อยรายงานมาก ผู้เขียนสามารถเก็บมาได้เพียงนิดหน่อยเพียงแค่นั้น เช่น กรดซาลิไซลิก มีฤทธิ์สำหรับการต้านทานเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส ต้านสะเก็ดเงิน โดยสมุนไพรที่เจอกรดซาลิไซลิก จะพบได้ทั่วไปในพืชสกุล Salix ดังเช่นว่า สนุ่น willow ยิ่งกว่านั้นยังเจอในต้น wintergreen (Gaultheria procumbens) ที่นำมาทำน้ำมันระกำเป็นต้น แล้วก็การใช้น้ำมันระกำ(เมทิลซาลิไซเลต)ทาร่วมกับการรับประทานยาต้านทานการแข็งตัวของเลือดดังเช่นว่า Warfarin, Dicumarol สามารถทำให้เลือดออกตามร่างกายได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น โดยเหตุนี้ถ้าหากแจ้งให้หมอทราบก่อนใช้ยา หมอจะปรับขนาดรับประทานของ Warfarin และ Dicumarol ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นกรณีๆไป

การเรียนทางพิษวิทยา
มีรายงานการเรียนความเป็นพิษเฉียบพลันในน้ำมันระกำ (Methyl Salicylate) โดยให้ทางปากแก่ตัวทดลอง พบว่าค่า LD50=1110 มก./น้ำหนักตัว (กิโล) และก็เมื่อฉีดเข้ากล้ามตัวทดลองพบว่า ค่า LD50=887 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว (โล) สารเมทิลซาลิไซเลตหรือน้ำมันระกำบริสุทธิ์จัดเป็นสารเคมีที่มีพิษ ร่างกายมนุษย์ไม่สมควรได้รับเมทิลซาลิไซเลต เกิน 101 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กก. ในปี ค.ศ. 2007 (พุทธศักราช 2550) มีรายงานของนักกีฬาที่วิ่งข้ามประเทศเสียชีวิตเหตุเพราะร่างกายของเขามีการซับเมทิลซาลิไซเลตมากเกินความจำเป็นด้วยการใช้ยาทา แก้ปวด ด้วยเหตุผลดังกล่าวควรต้องทำความเข้าใจกับคนซื้อ/คนป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยาทาเมทิลซาลิไซเลตกับเด็กเล็กซึ่งจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นมากยิ่งกว่าผู้ป่วยในกลุ่มอื่นๆซึ่งก่อนจะมีการเลือกใช้เภสัชภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของยานี้จำเป็นต้องขอคำแนะนำหมอหรือเภสัชกรก่อนที่จะมีการใช้ยาทุกคราว
ขนาด/จำนวนที่ควรจะใช้ น้ำมันระกำตามตลาดในบ้านเราโดยมากนั้นมักจะเห็นเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆที่มีส่วนผสมของน้ำมันระกำ หรือ เป็นส่วนผสมของยาเช็ดนวดที่ใช้ทาข้างนอกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็มีเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) บอกว่าร่างกายมนุษย์ไม่สมควรได้รับเมทิลยาลิไซเลตเกิน 101 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว (โล) โดยถ้าหากใช้เป็นยาใช้ภายนอกก็บางครั้งก็อาจจะใช้ทาได้ในรอบๆที่ปวดวันละ 3-4 ครั้ง ก็คงจะพอเพียงแล้ว
ข้อเสนอ/ข้อพึงระวัง

  • เหตุเพราะน้ำมันระกำมีฤทธิ์คล้ายแอสไพรินด้วยเหตุนี้จำเป็นที่จะต้องแจ้งให้แพทย์รู้ก่อนใช้ยาถ้าหากมีประวัติแพ้ยาหรือองค์ประกอบของยาประเภทนี้ แพ้ยาแอสไพรินหรือยาในกลุ่มซาลิไซเลต แล้วก็ยาจำพวกอื่น ของกิน หรือสารอะไรก็ตาม
  • คนที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรควรจะหลบหลีกการใช้ทาบริเวณเต้านม
  • ห้ามให้เด็กอายุต่ำลงยิ่งกว่า 12 ปี ใช้โดยมิได้หารือหมอ
  • ห้ามป้ายยานี้ในบริเวณที่เป็นแผลเปิด แผลไหม้
  • ถ้าป้ายยานี้แล้วมีลักษณะอาการแสบร้อนมากขึ้นให้ล้างออกด้วยน้ำสบู่แล้วถูเบาๆเพื่อทำความสะ อาดกำจัดยาออกไป
  • ห้ามป้ายยานี้บริเวณ ตา ของลับ โพรงปาก ด้วยเหตุว่ายาจะมีผลให้เกิดอาการระคายเคืองอย่างมากต่อเนื้อเยื่อพวกนั้น
  • หลีกเลี่ยงการใช้เพื่อสูด เพราะว่าบางทีอาจก่อการระคายเยื่อเมือกบุทางเท้าหายใจได้
  • ถ้าใช้ยาประเภทครีม เจล โลชั่น ออยล์ ขี้ผึ้ง หรือสเปรย์ ให้ทาบางๆในรอบๆที่มีอาการปวด รวมทั้งนวดเบาๆให้ยาซึมเข้าสู่ผิวหนัง
  • การใช้ยาชนิดน้ำหรือแท่ง ให้ป้ายยารอบๆที่มีลักษณะปวด จากนั้นนวดช้าๆจนกระทั่งยาซึมลงผิวหนัง
  • การใช้ยาชนิดแผ่นติด ให้ลอกแผ่นฟิล์มออก ต่อจากนั้นติดบริเวณที่มีลักษณะปวดให้แนบสนิทไปกับผิวหนัง โดยใช้วันละ 1-2 ครั้ง ตามต้องการ
ส่วนผลกระทบจากการใช้น้ำมันระกำ Methyl Salicylate
อาจจะก่อให้เป็นผลใกล้กัน เช่น ผิวระคาย แสบ แดง มีลักษณะชา รู้สึกปวดเหมือนเข็มทิ่มตามผิวหนัง เกิดภาวะภูไม่ไวเกิน เป็นต้น
อย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าเกิดเจอผลกระทบร้ายแรงจากการใช้น้ำมันระกำ (Methyl Salicylate) ดังต่อไปนี้ ควรจะหยุดใช้ยาแล้วก็ไปพบหมอทันที เป็นต้นว่า

  • มีลักษณะแพ้ยา อาทิเช่น เป็นลมพิษ หายใจติดขัด หน้าบวม ริมฝีปากบวม ลิ้นบวม คอบวม เป็นต้น
  • มีลักษณะแสบอย่างหนัก เจ็บ บวม หรือพุพองในรอบๆที่ใช้ยา แม้เจออาการดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วให้รีบล้างยาออกก่อนรวมทั้งไปพบแพทย์โดยทันที
เอกสารอ้างอิง

  • สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.สอบถามเกี่ยวกับสมุนไพร.กระดานถาม-ตอบ
  • Brahmachari, G. 2009. Natural products: chemistry, biochemistry and pharmacology. Alpha Science International Ltd, Oxford. http://www.disthai.com/
  • ต้นน้ำมันระกำมีประโยชน์อย่างไร.ไทยเกษตรศาสตร์.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • Methyt Salicylate (เมทิลซาสิไซเลต)-รายละเอียดของยา.พบแพทย์ดอทคอม(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • เมทิลซาสิไซเลต.วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • Yü-Liang Chou 1952. Floral morphology of three species of Gaultheria: Contributions from the Hull Botanical Laboratory. Botanical Gazette 114:198–221 First page free
  • Gibbons, Euell. "Stalking the Healthful Herbs." New York: David McKay Company. 1966. pg. 92.



Tags : น้ำมันระกำ

25

โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
โรคธาลัสซีเมีย เป็นอย่างไร โรคโลหิตจางธาลัสซีภรรยา (thalassemia) เป็นโรคโลหิตจาง จากกรรมพันธุ์สาเหตุจากความแปลกของการสร้างฮีโมโกลบิน ทําให้สร้างน้อยลง (thalassemia) แล้วก็หรือสร้างฮีโมโกลบินแตกต่างจากปกติ (hemoglobinopathy) ได้ผลสำเร็จให้เม็ดเลือดแดงมีลักษณะเปลี่ยนไปจากปกติรวมทั้งแก่สั้น (hemolytic anemia) และแตกง่าย โรคธาลัสซีเมียมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ autosomal กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทั้งยังพ่อและก็มารดาของผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียจะมีธาลัสซีภรรยาแอบแฝง หรือเรียกว่าเป็นพาหะของธาลัสซีภรรยา (thalassemia trait, carrier, heterozygote) หรือเป็นโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งจะส่งผลทำให้คนป่วยเกิดอาการซีดเซียวเหลืองเรื้อรังและมีภาวะแทรกซ้อนต่างๆตามมา  ทั้งนี้โรคธาลัสซีภรรยาจัดเป็นโรคโลหิตจางทางกรรมพันธุ์ที่มักพบที่สุดในโลก สามารถพบได้ทั้งโลก แม้กระนั้นพบได้สูงในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และก็คนภายในถิ่นสมุทรเมดิเตอร์เรเนียน ในประเทศไทย ในประเทศไทย เจอคนป่วยโรคนี้ปริมาณร้อยละ 1 และก็เจอผู้เป็นพาหะของโรค หรือคนที่มียีนซ่อนเร้นราวๆร้อยละ 30-40 สุดแต่ภูมิภาค ในจังหวัดพิษณุโลกพบผู้เป็นพาหะร้อยละ 30.5
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคธาลัสซีภรรยา เกิดขึ้นจากความแปลกด้านกรรมพันธุ์ ซึ่งสามารถถ่ายทอดต่อๆกันมาจากบรรพบุรุษในลักษณะยีนด้อย (autosomal recessive) พูดอีกนัยหนึ่งคนป่วย (ผู้ที่มีอาการแสดงของโรคนี้) ต้องรับคู่ยีนที่ไม่ปกติมาจากฝ่ายพ่อและแม่ทั้งสองยีน ส่วนคนที่รับยีนไม่ปกติมาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงแค่ฝ่ายเดียว จะไม่มีอาการป่วยด้วยโรคนี้และมีสุขภาพปกติดี แต่ว่าจะมียีนเปลี่ยนไปจากปกติซ่อนเร้นอยู่ในตัวแล้วก็สามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานต่อไป เรียกว่า พาหะธาลัสซีภรรยา  เนื่องจากว่าความแปลกด้านกรรมพันธุ์มีได้มากมายลักษณะ โรคนี้จึงแบ่งออกเป็น 2 กรุ๊ป เป็นต้นว่า แอลฟาทาลัสซีเมีย (alpha-thalassemia) รวมทั้งเบตาทาลัสซีเมีย (beta-thalassemia) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความไม่ปกติของยีนในการควบคุมการผลิตโปรตีนโกลบินจำพวกแอลฟาและอนุภาคเบตาเป็นลำดับทั้ง 2 กลุ่มนี้ ยังสามารถแบ่งเป็นจำพวกย่อยๆได้อีกหลายแบบ ซึ่งมีความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันไป ซึ่งได้ผลสำเร็จจากการจับคู่ระหว่างยีนไม่ปกติชนิดต่างๆยกตัวอย่างเช่น หากใครกันแน่รับการถ่ายทอดสารพัดธุบาปชนิด อัลฟา - ธาลัสซีภรรยา หรือ เบต้า - ธาลัสซีภรรยา มาจากบิดาหรือมารดาเพียงแต่ฝ่ายเดียว ก็ถือว่าผู้นั้นเป็นพาหะอัลฟาธาลัสซีเมีย พาหะฮีโมโกลบินคอนแสตนสปริงค์ พาหะเบต้าธาลัสซีภรรยา หรือพาหะฮีโมโกลบินอี แต่ถ้าเกิดใครกันแน่ได้รับการถ่ายทอดสารพันธุบาปชนิด อัลฟา - ธาลัสซีเมีย หรือประเภท เบต้า - ธาลัสซีภรรยา มากจากทั้งยังพ่อและคุณแม่ ก็ถือว่าผู้นั้นเป็น
โรคธาลัสซีเมีย อาทิเช่น โรคฮีโมโกลบินเฮช โรคฮีโมโกลบินบาร์ท โรคเบต้าธาลัสซีเมีย หรือ โรคเบต้าธาลัสซีภรรยาฮีโมโกลบิน ฯลฯ
                สรุปได้ว่าเพราะเหตุว่าธาลัสซีเมียเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม จึงมีความหมายว่า บิดาหรือแม่ของคนเจ็บอาจเป็นโรคธาลัสซีเมียหรือเป็นพาหะและส่งต่อกรรมพันธุ์เหล่านี้มายังลูก ผู้ที่ได้รับกรรมพันธุ์หรือยีนจากพ่อหรือแม่เพียงแต่ฝ่ายเดียวเรียกว่าธาลัสซีภรรยาซ่อนเร้น ไม่นับว่าเป็นโรค โดยคนที่เป็นธาลัสซีภรรยาแอบแฝงจะไม่เกิดอาการอะไรก็แล้วแต่แต่สามารถเป็นพาหะและส่งต่อยีนนี้ไปสู่รุ่นต่อไปได้
โอกาสเสี่ยงที่ลูกจะเป็นโรคธาลัสซีเมียจากพันธุกรรม

  • ถ้าหากบิดาหรือแม่ฝ้ายข้างใดข้างหนึ่งเป็นพาหะของโรค ส่วนอีกข้างธรรมดาบริบูรณ์ดี จังหวะที่ลูกจะเป็นพาหะเท่ากับ 50% และก็จังหวะที่บุตรจะเป็นปกติสมบูรณ์เท่ากับ 50%
  • ถ้าเกิดอีกทั้งบิดาและแม่ต่างฝ่ายต่างเป็นพาหะของโรค โอกาสที่ลูกจะเป็นพาหะเท่ากับ 50%, ช่องทางที่ลูกจะเป็นโรคธาลัสซีเมียเท่ากับ 25% และช่องทางที่ลูกจะเป็นปกติสมบูรณ์พอๆกับ 25%
  • ถ้าเกิดพ่อหรือแม่ฝ้ายข้างใดข้างหนึ่งเป็นพาหะของโรค ส่วนอีกฝ่ายเป็นโรคธาลัสซีเมีย จังหวะที่ลูกจะเป็นพาหะพอๆกับ 50% แล้วก็จังหวะที่ลูกจะเป็นโรคธาลัสซีเมียพอๆกับ 50%
  • หากบิดาและแม่ต่างฝ่ายต่างเป็นโรคธาลัสซีภรรยา ช่องทางที่ลูกจะมีอาการป่วยด้วยโรคธาลัสซีเมียเท่ากับ 100%


นอกเหนือจากนี้ธาลัสซีภรรยาแต่ละชนิดยังปรากฏลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์อีกหลายประการ ซึ่งก่อเกิดความร้ายแรงของอาการในระดับที่แตกต่างกันอีกด้วย
ลักษณะโรคธาลัสซีเมีย
โรคทาลัสซีเมียชนิดที่รุนแรงที่สุด ดังเช่นว่า โรคฮีโมโกลบินบาร์ตไฮดรอปส์ฟีทัลลิส (haemoglobin Bart’s hydrops fetalis) เป็นผลมาจากยีนที่สร้างโกลบินประเภทแอลฟาหายไปทั้งหมด ทำให้ไม่สามารถสร้างโกลบินจำพวกแอลฟา ซึ่งเป็นโกลบินที่สำคัญที่สุดได้เลย แม้กระนั้นจะสร้างเฮโมโกลบินบาร์ตแทนทั้งผอง ซึ่งจะจับออกซิเจนไว้เอง ไม่ปล่อยให้แก่เนื้อเยื่อ ทำให้คนที่เป็นโรคนี้มีความผิดปกติตั้งแต่เป็นลูกในท้องมารดา โดยเด็กแรกเกิดมีลักษณะอาการบวมน้ำจากภาวการณ์ซีดเผือดรุนแรง ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตตั้งแต่ในท้อง ส่วนน้อยเสียชีวิตขณะคลอดหรือข้างหลังคลอด
เพียงแค่เล็กๆน้อยๆ เด็กแรกเกิดจะมีลักษณะซีด บวม ท้องป่อง ตับแล้วก็ม้ามโต มารดาที่ตั้งท้องทารกที่เป็นโรคนี้ มักจะมีภาวการณ์ครรภ์เป็นพิษแทรกซ้อน มักจะมีการคลอดแตกต่างจากปกติ และก็แท้งลูกก่อนหลังคลอด
โรคทาลัสซีเมียที่มีอาการรุนแรงปานกลางถึงร้ายแรงมาก  ส่วนใหญ่เป็นเบตาทาลัสซีเมียประเภทโฮโมไซกัส (homozygous beta-thalassemia) และเล็กน้อยของบีตาทาลัสซีเมียประเภทเฮโมโกลบินอี (beta-thalassemia/heamoglobim E) เป็นผลมาจากความเปลี่ยนไปจากปกติของยีนที่สร้างโกลบินจำพวกบีตา ผู้ป่วยกลุ่มนี้เมื่อทารกมีลักษณะปกติ ไม่ซีด จะซีดเผือดตั้งแต่อายุ 2-3 เดือน (ในกรุ๊ปอาการรุนแรงมากมาย) หรือเมื่ออายุเป็นปีไปแล้ว (ในกรุ๊ปร้ายแรงปานกลาง) อาการสำคัญคือ ซีดเซียว เหลือง ตับโต ม้ามโต ตัวเล็กแคระ น้ำหนักน้อยไม่สมอายุ เป็นหนุ่มเป็นสาวช้า บริเวณใบหน้าแปลก (ดังที่เรียกว่า หน้าทาลัสซีเมีย) กลุ่มที่มีลักษณะร้ายแรงมากมาย แม้ไม่ได้รับการดูแลและรักษาจะแก่สั้น (50%  เสียชีวิตภายในช่วงระยะเวลา 10 ปี และก็ 70% เสียชีวิตข้างใน 25 ปี)  ส่วนกรุ๊ปที่อาการร้ายแรงปานกลางอาจมีอายุยืนยาวกระทั่งเป็นผู้ใหญ่สามารถสมรสมีลูกหลานได้
โรคทาลัสซีเมียที่มีลักษณะอาการน้อย โดยมากเป็น โรคฮีโมโกลบินเอช (haemoglobin H disease ซึ่งอยู่ในกลุ่มแอลฟาทาลัสซีเมีย) และก็นิดหน่อยของบีตาทาลัสซีเมียจำพวกมีฮีโมโกลบินอี คนป่วยมีภาวการณ์ซีดเซียวนิดหน่อยเหลืองบางส่วน ม้ามไม่โตหรือโตเพียงนิดหน่อย การเจริญเติบโตออกจะปกติ ลักษณะบริเวณใบหน้าปกติ (ไม่เป็นทาลัสซีเมีย) สุขภาพออกจะแข็งแรงและก็อายุยืนยาวดังเช่นคนปกติ
โดยธรรมดามักไม่ต้องมาเจอหมอและไม่จะต้องได้รับเลือดรักษา คนไข้จำนวนมากไม่เคยรู้ว่าตนเองเป็นโรคนี้ และก็อาจได้รับการวิเคราะห์เมื่อมาเจอหมอด้วยต้นสายปลายเหตุอื่น หรือเมื่อมีภาวะแทรกซ้อน ผู้เจ็บป่วยฮีโมโกลบินเอชบางครั้งบางคราวบางทีอาจเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลัน (acute hemolysis) ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเป็นไข้จากการติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการซีดลงอย่างเร็วและรุนแรงจนกระทั่งจำเป็นต้องได้รับเลือด
กลุ่มบุคคลที่เสี่ยงที่จะเป็นโรคธาลัสซีเมีย ประชาชนไทยเป็นพาหะสูงถึงร้อยละ 35 ถ้าเกิดมีเครือญาติเป็นธาลัสซีภรรยา อัตราเสี่ยงที่จะเป็นพาหะจะยิ่งเยอะขึ้น ผัวเมียที่เป็นพาหะทั้งคู่อาจมีบุตรเป็นโรคธาลัสซีเมียได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้โอกาสเป็นโรคธาลัสซีภรรยา หรือพาหะธาลัสซีเมียจะมีประวัติและก็อากาต่างๆดังนี้
คนที่ได้โอกาสเป็นโรคหรือพาหะเป็น

  • ตัวซีดเผือด แล้วก็บางทีอาจตรวจพบตับม้ามโตร่วมด้วย
  • ตัวซีดเซียวลงอย่างเร็วเมื่อมีการเจ็บไข้อย่างหนัก
  • มีประวัติคนในครอบครัวตัวซีดเซียว ตับม้ามโต
  • เคยมีบุตรเป็นพาหะ หรือโรคธาลัสซีภรรยา
  • เคยมีลูกเสียชีวิตในครรภ์ด้วยเหตุว่าภาวะทารกบวมน้ำ
  • ตรวจเจอขนาดเม็ดเลือดแดงเล็กกว่าปกติ (MCV < 80 fL.)
  • ตรวจเลือด Osmotic fragility test (OF) ให้ผลบวกแล้วก็ Dichlorophenolindolphenol precipitation test (DCIP) ให้ ผลจากการบวก


           หากท่านมีข้อบ่งชี้อาการข้อใดข้อหนึ่งดังที่กล่าวมา ก็ควรตรวจวิเคราะห์ยืนยันว่าเป็นโรคหรือพาหะโรคธาลัสซีภรรยาไหม รวมถึงคู่ที่กำลังจะแต่งงาน และก็วางแผนเพื่อมีบุตรหรือกำลังมีท้องอ่อนๆก็ควรได้รับการตรวจด้วยเช่นกัน เพื่อประเมินตนเองแล้วก็โอกาสเสี่ยงต่อโรคหรือพาหะของลูกในครรภ์
กรรมวิธีการรักษาโรคธาลัสซีภรรยา การวิเคราะห์หมอจะวิเคราะห์เบื้องต้นจากเรื่องราวผู้ป่วยมีอาการซีดเผือดเหลืองมาตั้งแต่เล็ก รวมทั้งอาจพบว่ามีพ่อแม่พี่น้องประชาชนผู้ใดผู้หนึ่งเป็นโรคนี้ด้วย
นอกเหนือจากนั้น ยังจำเป็นต้องตรวจร่างกายของคนเจ็บว่าผู้ป่วยมีตับโต ม้ามโต พุงป่อง รูปร่างผอมรวมทั้งเล็กไม่สมอายุ กล้ามเนื้อลีบและก็แขนเล็ก ผิวหนังคล้ำออกเป็นสีเทาอมเขียว เค้าหน้าแปลก ดังเช่นว่า กะโหลกศีรษะนูนเป็นพู หน้าผากโหนก ตาห่าง ดั้งแบน โหนกแก้มสูง คางแล้วก็ขากรรไกรกว้าง ฟันบนยื่น ฟันไม่สบกัน ฟันเรียงหน้าผิดปกติ ดังที่เรียกว่า “หน้าทาลัสซีเมีย” ไหม อาการและก็ลักษณะทางสถานพยาบาลของผู้ป่วยเป็นข้อมูลที่สําคัญสำหรับการวินิจฉัยโรคแต่มีผู้เจ็บป่วยโรคธาลัสซีเมียบางประเภท อาการบางทีอาจไม่ร้ายแรงการตรวจทางห้องปฏิบัติการก็เลยมีความจําเป็นและก็สามารถช่วยแยกชนิดต่างๆของโรคได้ ซึ่งการตรวจทางห้องทดลอง ตัวอย่างเช่น การตรวจเลือด (complete blood count, CBC) เพื่อมองภาวการณ์ซีดค่าดัชนีเม็ดเลือดแดง (red cell indices) แล้วก็ลักษณะ เม็ดเลือดแดง (morphology) เป็นสิ่งที่ช่วยในการวินิจฉัยโรคได้เม็ดเลือดแดงบนสเมียร์เลือดของคนป่วย homozygous β-thalassemia, β-thalassemia/Hb E และ Hb H disease มีลักษณะติดสีจาง (hypochromia) ขนาดเล็ก(microcytic) รวมทั้งรูปร่างไม่ปกติ(poikilocytosis) เป็นต้น ค่าดัชนีเม็ดเลือดแดง MCV และก็ MCH มีขนาดเล็กกว่า ธรรมดาและการตรวจพบ inclusion body ในเม็ดเลือดแดง สามารถให้การวินิจฉัยโรคธาลัสซีภรรยาได้

การวิเคราะห์ธาลัสซีภรรยา (definite diagnosis) จำเป็นต้องทําโดยการตรวจพินิจพิจารณาจำพวกของฮีโมโกลบิน (Hemoglobin analysis) โดยเครื่องตรวจอัตโนมัติประเภท high performance liquid chromatography (HPLC), low -pressure liquid chromatography (LPLC), หรือ hemoglobin electrophoresis เพื่อจําแนกชนิดของโรคธาลัสซีภรรยารวมทั้งฮีโมโกลบินเปลี่ยนไปจากปกติให้แน่ๆ
การรักษาโรคโลหิตจางธาลัสซีภรรยาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค สามารถจัดตามความรุนแรงได้ดังนี้

  • โรคธาลัสซีเมียจำพวกรุนแรง (severe beta-thalassemia) คือมีระดับ baseline Hb ต่ำกว่า 7.0 g/dl


(Hct<20%) ได่แก่ β-thal/ β-thal และก็ของ β-thal/Hb E disease ส่วนน้อย มีทางเลือกในการรักษาดังนี้

  • การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก(stem cell transplantation)
  • การให้เลือดมากพอที่จะหยุดการสร้างเลือด (high transfusion) รวมทั้งให้ยาขับธาตุเหล็ก (iron chelation) เมื่อมีการให้เลือดหลายครั้งจนเกิดภาวะเหล็กเกิน
  • ให้เลือดแบบเกื้อกูล (low transfusion) ให้ยาขับธาตุเหล็กและก็ตัดม้ามเมื่อม้ามโตจนแทรกอวัยวะอื่นในช่องท้องหรือมีสภาวะม้ามทำงานมากเกินไป
  • โรคธาลัสซีภรรยาจำพวกรุนแรงปานกลาง (moderately severe thalassemia) เป็นมีระดับ baseline Hb ระหว่าง 7-9 g/dl (Hct 20- 27 %) ดังเช่นผู้เจ็บป่วย β-thal/ Hb E จำนวนมาก, คนไข้ β-thal/ β-thal บางราย และ Hb H diseaseบางราย มีทางเลือกสำหรับการรักษา ดังต่อไปนี้
  • ให้เลือดมากพอที่จะระงับการสร้างเลือดแล้วก็ให้ยาขับธาตุเหล็ก (high transfusion + iron chelation)
  • ใหเลือดแบบจุนเจือ (low transfusion) หรือเมื่อมี acute hemolysis รวมทั้งการตัดม้ามเมื่อมีลักษณะตามข้อ 1
  • โรคธาลัสซีภรรยาชนิดร้ายแรงน้อย (mild thalassemia) มีระดับ baseline Hb > 9 g/dl (Hct > 27 %) เป็นต้นว่า Hb H disease จำนวนมาก Hb A-E-Bart’s disease, Homozygous Hb CS,  β-thal/ Hb E ควรให้การรักษาโดยให้เลือดต่อเมื่อมีacute hemolysis อย่างเช่น ซีดเซียวมากมายเนื่องตกมีเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลัน ซึ่งพบได้ทั่วไปเมื่อมีการติดเชื้อ
  • โรคธาลัสซีเมียจำพวกไม่มีอาการหรือธาลัสซีภรรยาแฝง (Asymptomatic) เป็นต้นว่า Homozygous α-thal 2, Homozygous Hb E, และธาลัสซีภรรยาซ่อนเร้น ไม่จําเป็นจะต้องตรวจรักษาเป็นพิเศษ ไม่จําเป็นจะต้องได้ทานยา ควรได้รับคําแนะนําปรึกษาด้านพันธุศาสตร์ ควรจะได้รับการตรวจสุขภาพตามระบบปกติ


การติดต่อของโรคธาลัสซีภรรยา เนื่องจากโรคธาลัสซีเมียเป็นโรคโบหิตจางที่เกิดขึ้นมาจากการถ่ายทอดทางประเภทบาปหรือกรรมพันธุ์ซึ่งไม่มีการติดต่อของโรคนี้ จากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคธาลัสซีภรรยา คนที่ตรวจเจอว่าเป็นพาหะโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย สามารถดำเนินชีวิตเหมือนคนธรรมดา ไม่มีความจำเป็นที่ต้องรับประทานยาอะไรก็ตามแต่ว่าผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีภรรยาจะมีลักษณะอาการของโรคแตกต่าง บางบุคคลตัวซีดเซียวมากมาย ตับม้ามโตมาก บางครั้งก็อาจจะจำเป็นต้องได้รับการให้เลือดรวมทั้งยาขับธาตุเหล็กส่วนเกินออกมาจากร่างกายเป็นระยะๆหรือผ่าตัดม้ามออกเพื่อลดการทำลายเม็ดเลือดแดง ส่วนบางบุคคลจะมีอาการซีดเซียวไม่มากมาย จะรักษาตามอาการ สามารถให้รับประทานกรดโฟลิก แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ยาบำรุงเลือด (ธาตุเหล็ก) เนื่องมาจากมีธาตุเหล็กใน ร่างกายเกินปกติอยู่แล้ว ส่วนการปฏิบัติตนของผู้ป่วยรวมทั้งการดูแลผู้เจ็บป่วยโรคธาลัสซีภรรยาควรปฏิบัติอย่างแม่นยำ แล้วก็เหมาะสมกับภาวะลักษณะโรคดังต่อไปนี้

  • รักษาความสะอาดของร่างกาย ปาก ฟัน เพราะผู้ป่วยจะมีร่างกายอ่อนแอติดโรคได้ง่าย และควรจะไปตรวจฟันกับทันตแพทย์ ทุก 6 เดือน เพราะว่าฟันจะผุง่ายดายยิ่งกว่าคนธรรมดา
  • ไปพบหมอตามนัดหมายทุกหน ปฏิบัติตามที่แพทย์เสนอแนะ หากมีคำถามควรจะขอคำแนะนำแพทย์
  • ไม่ควรแปลงสถานที่รักษาบ่อยๆเพราะว่าจะมีผลให้การรักษาไม่ตลอด
  • เมื่อเป็นไข้ ควรจะเช็ดตัวลดไข้ รวมทั้งให้กินน้ำมากๆถ้าไข้สูงมากมายควรจะกินยาลดไข้พาราเซตามอลรวมทั้งรีบไปพบแพทย์แม้จะไม่ใช่วันนัด เพราะเหตุว่าไข้อาจเกิดจากการต่อว่าดเชื้อ ซึ่งจะทำให้ซีดเซียวลงมากหรือก่อปัญหารุนแรงได้
  • คุ้มครองอุบัติเหตุที่จะทำให้เสียเลือด หรือกระดูกหัก เพราะผู้เป็นโรคธาลัสซีเมียมีสภาวะซีดเผือดและกระดูกจะเปราะหักง่าย ควรจะบริหารร่างกายตามสมควรกับสภาพร่างกาย รวมทั้งควรจะระวังการเช็ดกกระแทกที่บริเวณท้องด้วยเหตุว่าจะเกิดอันตรายต่อตับแล้วก็ม้ามที่โตได้
  • ควรพักอย่างเพียงพอ ในภาวะป่วยไข้ควรดูแลให้ได้พักผ่อนมากกว่าเดิม
  • ไม่ควรซื้อยาบำรุงเลือดมากินเอง ด้วยเหตุว่าบางทีอาจเป็นยาที่มีธาตุเหล็กซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก แม้กระนั้นเป็นโทษต่อผู้ป่วยทาลัสซีเมียที่มีภาวะเหล็กเกินอยู่แล้ว
  • ไม่สมควรกินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ดังเช่น เลือดหมูเลือดไก่ เครื่องในสัตว์ตับ
  • กินยาเสริมโฟเลท วันละ 1 เม็ด เพราะโฟเลทเป็นสารที่จําเป็นสำหรับเพื่อการสร้างเม็ดเลือดแดง ด้วยเหตุว่าร่างกายมีการสร้างเม็ดเลือดแดงมากยิ่งกว่าธรรมดาเพื่อมาทดแทนเม็ดเลือดแดงที่อายุสั้นลง
  • เลี่ยงการทำงานหนัก หรือการเล่นกีฬาที่รุนแรง


o             ให้ความรักเอาใจใส่ ให้กำลังใจ เพราะเหตุว่าโรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง ควรผลักดันให้คนป่วยได้ดำรงชีพตามธรรมดา ไม่หดหู่ต่อการเจ็บป่วย
o             กินอาหารให้ครบ ๕ กลุ่ม มีโปรตีนสูง (เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ เต้าหู้ ถั่วต่างๆ) และมีสารโฟเลตสูง (พืชผักต่างๆ) เพื่อใช้สำหรับในการสร้างเม็ดเลือดแดงโดย
อาหารที่เหมาะสมสำหรับคนป่วยโรคธาลัสซีภรรยามีลักษณะดังต่อไปนี้ คนเจ็บโรคธาลัสซีภรรยาโดยปกติมักจะมีการเติบโตของร่างกายน้อยกว่าธรรมดา มีภูมิคุ้มกันต่ำและความหนาแน่นของมวลกระดูกน้อย ด้วยเหตุนั้นอาหารที่เหมาะสมกับคนป่วยธาลัสซีเมีย เป็นของกินที่มีโปรตีนสูง ยกตัวอย่างเช่น เนื้อปลาสมุทร เนื้อไก่ ธัญพืชต่างๆเป็นต้นว่า ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ข้าวซ้อมมือ ข้าวบาเลย์ เป็นต้น อาหารทีมีกรดโฟลิก (Folic acid) สูง เพื่อช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ดังเช่น ตำลึง กะหล่ำ มะเขือเทศ คะน้า ถั่วงอก เป็นต้น ของกินที่มีแคลเซียม แมกนีเซียม รวมทั้งวิตามินดีสูงเพื่อคุ้มครองภาวะกระดูกพรุน ได้แก่ สินค้านม ใบย่านาง ใบชะพลู ใบแค ใบยอ ผักโขม ใบสะระแหน่ ผักหวาน ฟักอ่อน ใบตำลึง ผักกวางตุ้ง ผลไม้ ได้แก่ ส้มเขียวหวาน มะขามหวาน มะม่วงแก้วสุก ยิ่งไปกว่านี้ควรกินอาหารที่มีวิตามินเอ วิตามินอีแล้วก็วิตามินซีสูง เพื่อช่วยลดภาวการณ์การเกิดอนุมูลอิสระภายในร่างกายจากการที่เม็ดเลือดแดงแตกง่าย อาทิเช่น มะละกอ ฟักทอง เสาวรส ฝรั่ง มะยม ผักหวาน เป็นต้น
การคุ้มครองตัวเองจากโรคธาลัสซีภรรยา โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม วิธีคุ้มครองปกป้องที่เหมาะสมที่สุดคือ

  • หารือหมอเพื่อตรวจเลือดก่อนสมรส หรืออย่างช้าก่อนมีบุตร ว่าตนเป็นพาหะหรือเปล่า
  • สำหรับคนที่เป็นพาหะที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการมีบุตรเป็นโรคทาลัสซีเมียร้ายแรง ควรชี้แนะทางเลือกในการปกป้องไม่ให้มีบุตรเป็นโรคนี้ ดังนี้ ผู้ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ช่องทางคือ เลือกคู่แต่งงานที่ไม่เป็นพาหะมีโอกาสเสี่ยงต่อการมีบุตรเป็นโรคนี้ ถ้าเกิดคู่ครองเป็นพาหะร่วมกันและเสี่ยงต่อการมีลูกเป็นโรคนี้ ลู่ทางคือ การคุมกำเนิดไม่ให้มีลูก การรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง ใช้การผสมเทียม หรือเทคโนโลยีการเจริญวัยอื่นๆ
  • ฝากครรภ์ทันทีที่ทราบดีว่าตั้งครรภ์ เพื่อหมอจะได้ตรวจวิเคราะห์ลูกในท้องว่าธรรมดาหรือเปล่า
  • ควรจะแนะนำให้พี่น้อง ลูกพี่ลูกน้อง ไปตรวจเลือด โดยวิธีพิเศษว่าเป็นพาหะไหม รวมทั้งขอคำแนะนำแพทย์ก่อนแต่งงาน เพื่อวางแผนครอบครัวอย่างเหมาะสมต่อไป
  • รณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องทาลัสซีเมียแก่ประชากร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชายหญิงวัยเจริญพันธุ์


สมุนไพรที่สามารถรักษา/ทุเลาอาการของโรคธาลัสซีเมีย โรคธาลัสซีเมียเป็นโรคที่มีภาวะเลือดจากเรื้อรังจากความไม่ปกติทางกรรมพันธุ์ ซึ่ง ณ.ตอนนี้ไม่มีรายงานว่ามีสมุนไพรชนิดใดที่ใช้รักษาโรคธาลัสซีภรรยาที่เห็นผลอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่ว่ามีรายงานการค้นคว้าวิจัยแล้วก็ทดลองที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ขมิ้นชัน กับโรคธาลัสซีเมีย ดังนี้
ในการทดสอบทางสถานพยาบาลของขมิ้นชัน ในคนเจ็บธาลัสซีภรรยา เริ่มจาก จากคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ได้ทดสอบให้ผู้เจ็บป่วยเบต้าธาลัสซีภรรยา/ ฮีโมโกลบินอีรับประทานแคปซูลสารสกัดขมิ้นชัน วันละ 2 แคปซูล ติดต่อกัน นาน 3 เดือน พบว่าช่วยลดภาวะที่มีอนุมูลอิสระสูง(oxidative stress) ลงได้แล้วก็มีอีกการทดสอบสำนักงานทดสอบจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงแขนณ์มหาวิทยาลัย พบว่าเมื่อให้แคปซูลสารสกัดขมิ้นชันวันละ 2 แคปซูลแก่คนป่วยธาลัสซีเมียเด็กจำพวกเบต้าธาลัสซีเมีย/ฮีโมโกลบินอี พบว่าคนไข้ 5 คนใน 8 คน มีอายุของเม็ดเลือดแดงนานขึ้น ซึ่งสำหรับในการทดลองทั้งสองครั้งไม่พบอาการใกล้กันใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นจากแคปซูลสารสกัดขมิ้นชัน นอกเหนือจากนี้ผลวิจัยในหลอดทดลองของแผนกแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แสดงให้เห็นว่าเคอร์คูไม่นอยด์สามารถลดระดับของเหล็กรูปที่ไม่ได้จับกับทรานสิเฟอร์ริน (non-transferrin bound iron, NTBI) ในพลาสม่าของผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียประเภทเบต้าธาลัสซีเมีย แล้วก็ยังเสริมฤทธิ์ของยาขับเหล็กในการลดเหล็กรูป NTBI ได้อีกด้วยและก็ตอนนี้ยังมีการทำการศึกษาเรียนรู้ทางคลินิกประเด็นการใช้แคปซูลสารสกัดขมิ้นชันในผู้เจ็บป่วยธาลัสซีเมีย อีกหลายโรงพยาบาล  ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสมุนไพรนี้ จะได้รับการศึกษาค้นคว้าวิจัยต่อยอดให้เป็นสมุนไพรที่ใช้ป้องกัน/รักษาโรคธาลัสซีเมียได้อย่างมีประสิทธิภาพถัดไป
เอกสารอ้างอิง

  • แนวทางการวินิจฉัยและการรักษาโรคโลหิตจากธาลัสซีเมีย พ.ศ.2549.มูลนิธิโรคโลหิตจากธาลัสซีเมียแห่งประเทศไทย.แก้ไขครั้งที่2/7 กันยายน 2548.หน้า1-16
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ทาลัสซีเมีย.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่397.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.พฤษภาคม.2555
  • ผศ.นพ.อนุวัฒน์ สุตัณฑวิบูลย์.เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมีย.ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Fung EB, Xu Y, Trachtenberg F, Odame I, Kwiatkowski JL, Neufeld EJ, et al. Inadequate dietary intake in patients with thalassemia. Journal of the Academy of Nutrition and Dietetics. 2012;112(7):980-90.
  • Fung EB, Xu Y, Trachtenberg F, Odame I, Kwiatkowski JL, Neufeld EJ, et al. Inadequate dietary intake in patients with thalassemia. Journal of the Academy of Nutrition and Dietetics. 2012;112(7):980-90.
  • Fung EB, Xu Y, Trachtenberg F, Odame I, Kwiatkowski JL, Neufeld EJ, et al. Inadequate dietary intake in patients with thalassemia. Journal of the Academy of Nutrition and Dietetics. 2012;112(7):980-90.
  • Fung EB, Xu Y, Trachtenberg F, Odame I, Kwiatkowski JL, Neufeld EJ, et al. Inadequate dietary intake in patients with thalassemia. Journal of the Academy of Nutrition and Dietetics. 2012;112(7):980-90.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป “ทาลัสซีเมีย (Thalassemia)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 728-734.
  • พีระพล วอง.ความรู้เกี่ยวกับโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย:ข้อแตกต่างระหว่าคนที่เป็นพาหนะและคนที่เป็นโรค.กรกฎาคม.2548
  • ธาลัสซีเมีย-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.disthai.com/
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.วรวรรณ ตันไพจิตร.โรคธาลัสซีเมีย.สาขาวิชาโลหิตวิทยา ภาควิชา กุมารเวชศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป “ทาลัสซีเมีย (Thalassemia)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 728-734.
  • พีระพล วอง, พิริยา ถนอมรัตน์, สุชิลา ศรีทิพยวรรณ, ประวิทย์เตติวัฒน, แน่งน้อย เจิมนิ่ม, หนึ่งฤทัย นิ่มนุช, สุขุมาล นิยมธรรม, ต่อพงศ์สงวนเสริมศรี. ความชุกของธาลัสซีเมียเทรตจากการตรวจคัดกรองใน หญิงตั้งครรภ์ของจังหวัดพิษณุโลก. วารสารโลหิตวิทยาและเวชศาสตร์บริการโลหิต 2547; 14 (3): 181-6.
  • Fung EB. Nutritional deficiencies in patients with thalassemia. Annals of the New York Academy of Sciences. 2010;1202:188-96.


ดร.ชฎก พิศาลพงศ์.แคปซูลสารสกัดขมิ้นชัน.มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแห่งประเทศไทย.

26

สมุนไพรฟันปลา
ฟันปลา Litsea umbellate Merr.
บางถิ่นเรียกว่า ฟันปลา เสียใจ (ปราจีนบุรี) เมนตรือ (เขมร-จันทบุรี) สะเตื้อ (จังหวัดตราด)
       ต้นไม้ ขนาดเล็ก หรือไม้พุ่ม สูง 3-10 มัธยม ตามกิ่งมีขนสีน้ำตาล ใบ เดี่ยวออกเรียงสลับ หรือเรียงเวียนห่างๆรูปรี หรือ มีขนาดค่อนข้างจะเล็ก กว้าง 4-10 ซม. ยาว 7.5-23 เซนติเมตร ปลายใบแหลม หรือมน โคนใบแหลมขอบใบเรียบ หรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ข้างบนสีเขียวเข้มเป็นมัน มีขนเฉพาะตามเส้นกลางใบและก็เส้นกิ้งก้านใบ ข้างล่างเป็นรอยเปื้อนขาว มีขน เส้นใบมี 6-10 คู่ ข้างล่างแลเห็นชัดกว่าด้านบน ก้านใบยาว 6-12 มิลลิเมตร มี ดอก ออกเป็นช่อ เป็นกระจุกตามง่ามใบ ก้านช่อยาว 2-5 มิลลิเมตร ช่อดอกมีขนปกคลุมหนาแน่น [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] กลีบรวมเชื่อมชิดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 4-6 กลีบ ทั้งถ้วยแล้วก็กลีบติดทนจนกระทั่งได้ผล ผล รูปไข่หรือค่อนข้างกลม ปลายมีติ่งแหลม โคนมีชั้นของกลีบรวมรองรับอยู่ ขอบกลีบรวมมีขน

นิเวศน์วิทยา
: ขึ้นในป่าดิบ พบทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ และก็ทางภาคใต้ของไทย
คุณประโยชน์ : ต้น เปลือกต้นพบ alkaloid ใบ ตำเป็นยาพอกฝี

27

โรคมือเท้าปาก  (Hand Foot and Mouth  disease – HFMD)
โรคมือเท้าปาก เป็นยังไง โรคมือ-เท้า-ปาก ไม่สบายเป็นผื่นที่ต่อเนื่องกันง่าย แต่มักไม่รุนแรงแล้วก็หายได้เองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ซึ่งโรค มือเท้าปาก เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในเด็กเล็ก โดยเฉพาะตอนหน้าฝน มักเกิดจากไวรัสกรุ๊ป Enterovirus  แม้กระนั้นในแถบร้อนชื้น พบได้มากได้ตลอดปีโดยส่วนมากแล้ว มักพบในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีแต่ว่าอาจเจอในเด็กอายุมากกว่านี้ก็ได้ และก็แม้มีการกำเนิดโรคในสถานเลี้ยงเด็กหรือในโรงเรียนสำหรับสอนเด็กอนุบาล ก็จะพบผู้เจ็บป่วยเยอะมากๆขึ้นเพราะว่าโรคนี้ระบาดได้ง่าย
                อนึ่งโรคนี้เป็นโรคคนละชนิดกับโรคปากยุ่ยเท้ายุ่ยที่เจอได้ในสัตว์กีบคู่ ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่ติดต่อมาสู่คน นอกจากในกรณีที่คนไปสัมผัสคลุกคลีอยู่กับสัตว์ที่ป่วยหรือผู้ที่ปฏิบัติงานในห้องทดลองเกี่ยวกับโรคในสัตว์กลุ่มนี้ ที่อาจมีรายงานการติดเชื้อได้บ้าง
                ในความเป็นจริงแล้ว โรคมือ เท้า ปาก ว่าไม่ใช่โรคใหม่ แต่รู้จักกันมานานมากกว่า 50 ปีแล้ว  โดยมีประวัติภูมิหลังของโรค ดังนี้

  • พ.ศ. 2500 มีรายงานการระบาดของกรุ๊ปลักษณะของการมีไข้ซึ่งพบร่วมกับตุ่มน้ำใสในโพรงปาก มือแล้วก็เท้าในคนเจ็บเด็กที่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา โดยพบสาเหตุจากเชื้อ Coxsackie virus A16(Cox A16)1
  • พุทธศักราช 2502 พบการระบาดของกรุ๊ปอาการด้วยเหมือนกันในเมือง Bermingham ประเทศอังกฤษ แล้วก็ได้มีการเรียกกรุ๊ปอาการนี้ว่า Hand-Foot-and Mouth Disease (HFMD)


ต่อจากนั้นก็มีรายงานการระบาดจากประเทศต่างๆทั่วโลก ซึ่งเชื้อไวรัสที่นำไปสู่กรุ๊ปอาการมือ เท้า ปาก มิได้เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากไวรัสชนิดเดียวแต่มีมากกว่า 10 สายพันธุ์
สำหรับเพื่อการระบาดใหญ่ของกลุ่มอาการของโรคมือ เท้า ปาก พบว่ามีรายงานตั้งแต่ พ.ศ.2540-2555 มีดังนี้

  • พ.ศ.2540 มาเลเซีย (เสียชีวิต 31 ราย) พ.ศ.2541 ไต้หวัน (ผู้เจ็บป่วย 1.5 ล้านราย เสียชีวิต 78 ราย)
  • พ.ศ.2550 ประเทศอินเดีย (คนป่วย 38 ราย) และก็ พ.ศ.2551 อินเดีย (คนเจ็บ 25,000 ราย เสียชีวิต 42 ราย) สิงคโปร์ (คนไข้มากกว่า 2,600 ราย) เวียดนาม (คนป่วย 2,300 ราย เสียชีวิต 11 ราย) ดูโกเลีย (คนเจ็บ 2,600 ราย) แล้วก็บรูไน (คนป่วย 1,053 ราย)
  • พ.ศ.2552 จีน (คนป่วย 115,000 ราย เสียชีวิต 85 ราย) แล้วก็ พ.ศ.2553 จีน (ผู้ป่วย 1.6 ล้านราย เสียชีวิต 537 ราย)
  • พ.ศ.2554 เวียดนาม (คนป่วย 42,000 ราย เสียชีวิต 98 ราย) รวมทั้งจีน (ผู้ป่วย 1.3 ล้านราย เสียชีวิต 437 ราย)
  • พุทธศักราช2555 เขมร (เสียชีวิต 52 ราย) จีน (คนเจ็บ 460,000 ราย เสียชีวิต 112 ราย) ไทย (คนเจ็บ 168,60 ราย เสียชีวิต 1 ราย)


สำหรับเหตุการณ์โรคมือเท้าปากในประเทศไทย อ้างอิงข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในปี 2558 มีคนเจ็บทั้งปวง 40,417 ราย คิดเป็นอัตราส่วน 62.21 ต่อพลเมือง 1 แสนคน และก็มีคนป่วยเสียชีวิต 3 ราย ส่วนในปี 2559 ข้อมูลปัจจุบัน ณ วันที่ 28 เดือนมีนาคม 2559 มีผู้ป่วย 8,973 ราย คิดเป็นอัตราส่วน 13.78 ต่อประชากร 1 แสนคน และยังไม่มีคนเสียชีวิต
ตั้งแต่เริ่มมีการตรวจเจอเชื้อ EV71 ในผู้ป่วยโรค HFMD ในปี2541 ในประเทศไทยก็เริ่มมีการเฝ้าระวังรายงานแล้วก็สืบสวนคนป่วยสงสัยติดโรค EV71 รวมทั้งคุ้มครองปกป้องควบคุมโรคจากนั้นเป็นต้นมา พบว่าผู้ป่วยส่วนมากเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีรวมทั้งราวกึ่งหนึ่งติดโรค EV71 ที่มีลักษณะอาการไม่ร้ายแรง
ส่วนในด้านรายงานการแพร่ระบาดของโรคมือเท้าปากจากสำนักระบาดวิทยา พบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 เดือนมกราคม ถึง 1 เมษายน 2559 มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนทั้งยังตามสถานที่เรียนแล้วก็ในชุมชน 8 เรื่อง จากปริมาณคนเจ็บ 22 ราย ดังนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ชี้แนะให้โรงเรียนทำตามมาตรการที่กรมควบคุมโรคระบุ เพื่อปกป้องการเกิดโรครวมทั้งการแพร่ระบาดของโรค
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคมือเท้าปาก โรคมือเท้าปากมีเหตุมาจากการติดเชื้อกรุ๊ปไวรัสเอนเทอโร (Enterovirus) ซึ่งมีอยู่ด้วยกันมากมายสาย เป็นต้นว่า ค็อกแซคกีเอและบี (Coxsackie A, B), เชื้อไวรัสเอนเทอโรชนิด 71 (Enterovirus 71 – EV71) ต้นสายปลายเหตุที่พบได้ทั่วไปที่สุดก็คือการระบาดจากการติดเชื้อไวรัสค็อกแซคกีเอชนิด 16 (Coxsackievirus A 16) ซึ่งอาการชอบไม่รุนแรง และก็คนเจ็บชอบหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนสาเหตุที่พบได้น้อยและมีลักษณะอาการรุนแรง คือ การติดเชื้อไวรัสเอนเทอโรจำพวก 71 ซึ่งอาจจะทำให้คนป่วยเกิดภาวะแทรกร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ นอกเหนือจากนั้นโรคมือเท้าปากยังอาจกำเนิดได้จากเชื้อไวรัสค็อกแซคกีเอชนิด 5, 7, 9, 10 และเชื้อไวรัสค็อกแซคกีบีประเภท 2 และ 5 ได้บ้าง
                ซึ่งโรคนี้โดยมากชอบต่อเนื่องกันที่เกิดขึ้นจากด้านการกินอาหาร น้ำกิน การดูดเลียนิ้วมือ หรือของเล่นเด็กที่ปนเปื้อนเชื้อที่ออกมากับอุจจาระ น้ำเหลืองจากตุ่มน้ำที่ผิวหนัง หรือละอองน้ำมูก น้ำลายของคนเจ็บ ส่วนน้อยที่ติดต่อโดยการดมเอาฝอยละอองน้ำมูก น้ำลายที่คนเจ็บไอหรือจามรด  ซึ่งเมื่อเชื้อไปสู่ร่างกายแล้ว ประมาณ 3-6 วัน ผู้ป่วยจึงจะมีอาการ
ลักษณะของโรคมือเท้าปาก  ภายหลังจากติดเชื้อ 3-7 วัน ผู้เจ็บป่วยจะเริ่มแสดงอาการเริ่ม คือ เป็นไข้ตํ่าๆโดยประมาณ 38-39o C และก็มีลักษณะอาการปวดเหมื่อยตามตัวเวลานี้จะมีช่วงเวลา ราวๆ 1-2 วัน แล้วต่อจากนั้นจะเริ่มมีลักษณะอาการเจ็บปาก ตรวจร่างกายจะเจอมีรอยโรคในรอบๆปาก มือและเท้าได้ดังนี้

  • รอยโรครอบๆปาก พบในคนไข้ปริมาณร้อยละ 100 มีรอยโรคจํานวน 5-10 แห้ง เจอได้ทุกรอบๆในปากแต่ที่พบบ่อยหมายถึงเพดานปาก ลิ้น รวมทั้งเยื่อบุกระพุ้งแก้ม รอยโรคระยะเริ่มต้น ลักษณะเป็นรอยสีแดงบางทีอาจนูนเล็กน้อยขนาด 2-8 มม.แล้วต่อจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นตุ่มนํ้าสีเทาขนาดเล็กขอบแดงตอนที่รอยโรคเป็นตุ่มนํ้าจะสั้น ก็เลยมักตรวจไม่เจอ  รอยโรคในเวลานี้แต่ก็พบบ่อยลักษณะเป็นแผลตื้นๆสีเหลืองถึงเทาของแดงซึ่งบางครั้งอาจจะมารวมกันเป็นรอยโรคใหญ่ได้


ปริมาณร้อยละ 80 ของคนป่วยลักษณะของการเจ็บปากจะไม่รุนแรงและก็หายได้เองโดยไม่ต้องรักษาข้างใน 5-10 วัน

  • รอยโรคที่ผิวหนัง


อาจเกิดขึ้นพร้อมรอยโรคที่ปาก หรือหลังจากนั้นนิดหน่อยจํานวนตั้งแต่ 2-3 แห้งไปจนกระทั่ง 100 แห่ง เจอ ที่มือหลายครั้งกว่าเท่า ลักษณะเป็นรอยแดงๆบางทีอาจนูนน้อยขนาด 2-10 มิลลิเมตร กึ่งกลางสีเทา บางรอยโรคมี ลักษณะเป็นตุ่มนํ้าใสขอบแดง มีกระจายขนานไปกับแนวของผิวหนังอาจเจ็บหรือไม่ก็ได้หลังจากนั้น 2-3 วัน จะ เริ่มตกสะเก็ด แล้วก็ค่อยๆหายไปด้านใน 7-10 วัน โดยไม่มีรอยแผลเป็นหลงเหลือ
บริเวณอื่นๆที่บางทีอาจพบรอยโรคได้เหมือนกันเป็นก้น แขน ขา และก็อวัยวะสืบพันธุ์ในเด็กแรกเกิดบางทีอาจเจอ กระจายทั่วตัวได้
โดยปกติโรคมือเท้า ปากตลาดว่ามีลักษณะน้อยส่วนมากมักมีเพียงแต่ไข้ครั่นเนื้อครั่นตัวและเจ็บปาก แต่ว่า ในคนไข้บางรายอาจพบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการตำหนิดเชื้อ enterovirus 71 ปัจจัยเสี่ยงต่อ การพบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เป็น

  • อายุในกรุ๊ปคนไข้อายุน้อยจะเจออาการแทรกซ้อนร้ายแรงแล้วก็เสียชีวิตมากยิ่งกว่าในกลุ่มผู้เจ็บป่วยที่แก่ ตัวอย่างเช่นการระบาดในปีพุทธศักราช2541 ที่ประเทศไต้หวัน พบว่าอัตราการเสียชีวิตโดยรวมเป็น44.4/100,000 รายแต่กลุ่มที่อัตราการตายสูงสุดเป็น6-11 เดือนเท่ากับ 96.96/100,000 ราย
  • เป็นไข้สูงมากเกินกว่า 39o C รวมทั้งนานเกิน 3 วัน
  • มีลักษณะอาการอาเจียนมากมายรับประทานอาหารไม่ได้


ซึ่งปัจจัยเสี่ยงในข้อ 2 และก็ 3 จากการศึกษาวิจัยที่โรงพยาบาลเด็ก Chang Gung ประเทศไต้หวัน พบว่า ชมรมกับการตำหนิดเชื้อ EV มากยิ่งกว่า Cox A  โดยมักจะทำให้เกิดภาวะแทรก/ทางระบบประสาท ระบบหัวใจ และปอดได้สูง ทำให้คนเจ็บเสียชีวิตอย่างรวดเร็วจากภาวการณ์ปอดบวมน้ำ เลือดออกในปอด รวมทั้งภาวการณ์ช็อก
แต่เชื้อคอกแซคก็เชื้อไวรัส เอ 16 ก็อาจจะเป็นผลให้เกิดภาวะเข้าแทรกเป็น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มห่อหัวใจอักเสบ และก็ภาวการณ์ช็อกได้ แม้กระนั้นพบได้น้อยกว่าจากเชื้อ เอนเทอโรไวรัส 71 มากมาย
ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคมือเท้าปาก

  • เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี เป็นกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคมากที่สุด เพราะมักพบการติดเชื้อและการระบาดของโรคใน สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือศูนย์เด็กเล็กเป็นส่วนใหญ่
  • การที่ผู้ดูแลเด็กไม่ได้ให้เด็กล้างมือบ่อยๆ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการติดเชื้อของโรคมือเท้าปาก
  • สภาพที่อยู่อาศัย หรือโรงเรียน/ศูนย์เด็กเล็กไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น มีลักษณะอับ ทึบ แสงแดดส่องไม่ถึง
  • การใช้ข้าวของเครื่องใช้ เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ช้อน ร่วมกัน
  • การไอ จาม รดกัน หรือการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว
แนวทางการรักษาโรคมือ เท้าปาก การวินิจฉัยโรคมือเท้าปากโดยทั่วไปใช่อาการและอาการแสดงเป็นสําคัญ (clinical diagnosis) โดยแพทย์จะตรวจร่างกายหารอยโรคจําเพาะที่บริเวณมือเท้า ปากร่วมกับมีไข้ ได้แก่  ผู้ป่วยมีไข้ 38 – 39 องศาเซลเซียส  พบจุดนูนแดง ตุ่มน้ำใส หรือ แผลที่เยื่อบุปาก ลิ้น และเหงือก พบจุดแดงราบ ตุ่มนูน หรือตุ่มน้ำที่มือ เท้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และแก้มก้น
การตรวจรอยโรคที่ผิวหนัง (cutaneous lesion) ทางพยาธิวิทยา(histology) จะพบเม็ดเลือดขาวชนิด neutrophil และ lymphocyte เพิ่มขึ้น แต่จะไม้พบmultinucleated giant cell หรือ inclusion body 11 สําหรับในกรณีที่ต้องการทราบชนิดของเชื้อไวรัสที่ก้อโรค สามารถทําได้โดยการแยกเชื้อไวรัส หรือตรวจ ร่องรอยการติดเชื้อจากนํ้าเหลือง สําหรับประเทศไทยใช้วิธี micro-neutralization หากพบผู้ป่วยในข่ายสงสัยให้ เก็บตัวอย่างดังนี้

  • อุจจาระภายใน 14 วันของการป่วยโดยเก็บประมาณ 8 กรัม ใส่กล่องพลาสติกสะอาด
  • สวอบลําคอ (throat swab) โดยจุ่มปลายสวอบลงใน viral transport media ให้จมปลาย ตัวอย่างในข้อ 1 และ 2 ให้เก็บส่งโดยแช่เย็นในกระติกนํ้าแข็งอุณหภูมิ 4-8o C และส่งห้องปฏิบัติ การโดยเร็วที่สุด
  • เก็บเลือด 2 ครั้งประมาณ 3-5 มล.ต่อครั้ง ครั้งแรกที่สุดภายใน 3-5 วันหลังป่วยและครั้งที่ 2 หลัง จากครั้งแรก 14วัน โดยใส่ในหลอดแก้วปราศจากเชื้อพันพลาสเตอร์ให้แน่น เก็บตัวอย่างในตู้เย็น เพื่อรอส่งตรวจพร้อมกัน


โรคมือเท้าปากไม่มีวัคซีนหรือยาสำหรับรักษาโรคโดยตรง การรักษาจะเป็นการรักษาตามอาการ เช่นการให้ยาลดไข้ paracetamol หรือให้ยาบ้วนปากเพื่อช่วยลดอาการเจ็บของแผลในช่องปาก ถ้าตุ่มกลายเป็นหนองหรือพุพองก็จะให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลินวี อะม็อกซีซิลลิน อีริโทรไมซิน เป็นต้น ถ้ามีภาวะขาดน้ำเนื่องจากกินและดื่มไม่ได้ ก็จะให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ก็จำเป็นต้องรับเด็กไว้รักษาในโรงพยาบาลหรือส่งต่อให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ.2539 มีการศึกษาที่ Medical College of Ohio ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีการทดลองใช้ acyclovir ในการรักษาผู้ป่วยโรคมือเท้า ปาก 13 รายซึ่ง 12 รายเป็นเด็กอายุ 1-5 ปีและอีก 1 รายเป็นผู้ใหญ่ โดยเริ่มใช้ยา acyclovir ภายใน 1-2 วัน หลังเริ่มมีรอยโรคพบว่าอาการของผู้ป่วยดีขึ้น และรอยโรคเปลี่ยนแปลงดี ขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังเริ่มรักษา ได้ให้ acyclovir ต่ออีก 5 วันจนรอยโรคหายไปหมด ผู้ศึกษาเชื่อว่า acyclovir อาจไปยับยั้งเอนไซม์ thymidine kinase ของ Cox A16แต่ก็อาจมีประโยชน์ ด้านอื่นด้วยเช่น อาจทําให้ผู้ป่วยสร้าง interferon เพื่อยับยั้งไวรัสมากขึ้น15 อย่างไรก็ดียังไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้ acyclovir ในการ ลดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
และหลังจากการติดเชื้อผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสที่ก่อโรค แต่อาจเกิดโรคมือเท้า ปากซํ้าได้จาก enterovirus ตัวอื่นๆ
การติดต่อของโรค มือ เท้า ปาก  โรคมือเท้าปากสามารถติดต่อได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่งจากตุ่มน้ำใส หรือสารคัดหลั่งจากจมูกและปากอันได้แก่ น้ำมูก เสมหะ หรือน้ำลาย นอกจากนี้แล้วไวรัสยังสามารถพบได้ในอุจจาระ โดยไวรัสสามารถแพร่กระจายได้ตั้งแต่ในระยะแรกที่แสดงอาการโดยช่วงที่มีการแพร่กระจายมากที่สุด คือ สัปดาห์แรกที่ผู้ป่วยมีอาการและอาจจะยังพบได้อีกหลายสัปดาห์ในอุจจาระของผู้ป่วยที่หายจากอาการของโรคแล้ว นอกจากนี้แล้วในผู้ใหญ่อาจจะสามารถแพร่กระจายเชื้อไวรัสได้โดยไม่แสดงอาการใดๆ ซึ่งการได้รับไวรัสอาจเป็นการได้รับโดยตรงเช่นจากการไอหรือจาม หรืออาจจะได้รับไวรัสโดยอ้อมโดยการสัมผัสกับพื้นผิวหรือสิ่งของที่มีเชื้อไวรัสอยู่ เช่นในสถานรับเลี้ยงเด็กซึ่งอาจมีของเล่นหรือของใช้เด็กที่ปนเปื้อนน้ำลายเนื่องจากเด็กเล็กมักชอบนำสิ่งของเข้าปาก  ดูดเลียนิ้วมือ รวมถึงจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ มือของผู้เลี้ยงดูเด็กที่ไม่สะอาด เป็นต้น  เนื่องจากโรคมือเท้าปากมักพบในเด็กเล็ก ดังนั้นการระบาดมักพบในสถานรับเลี้ยงเด็กหรือตามโรงเรียนอนุบาล  เชื้อเอนเทอโรไวรัสสามารถทนสภาวะกรดในทางเดินอาหารมนุษย์ได้ และมีชีวิตอยู่ในอุณหภูมิห้องได้ 2-3วัน
โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างเย็นหรือชื้นแฉะเชื้ออาจอยู่ได้เป็นเดือน  นอกจากนี้ การทำลายเชื้อต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสม น้ำยาฆ่าเชื้อทั่วๆ ไปบางชนิด เช่น แอลกอฮอล์ ๗๐ เปอร์เซ็นต์และแอลกอฮอล์เจลใช้ป้องกันไวรัสไข้หวัดได้ แต่สำหรับเชื้อไวรัสเอนเทอโร แอลกอฮอล์ไม่มีผลโดยตรง
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคมือ เท้า ปาก เนื่องจากโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส ไม่จำเป็นต้องให้ยารักษาจำเพาะ เพียงแต่ให้การดูแลตามอาการ และเฝ้าติดตามอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด โดยมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้

  • ทานยาลดไข้ พาราเซตามอล เป็นครั้งคราวเวลา มีไข้สูง
  • ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยสังเกตดูว่ามีปัสสาวะออกมากและใส จึงนับว่าได้น้ำพอเพียง
  • ในช่วงที่มีอาการเจ็บแผลในปาก ให้กินอาหารเหลวหรือของน้ำๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด นม น้ำเต้าหู้ น้ำหวาน เพื่อบรรเทาอาการเจ็บในปาก อาจใช้วิธีอมน้ำแข็งก้อนเล็กๆ ดื่มน้ำหรือนมเย็นๆ กินไอศกรีม หรือบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ (ผสมเกลือป่นครึ่งช้อนชาในน้ำอุ่น ๑ แก้ว) วันละหลายๆ ครั้ง เพื่อบรรเทาอาการเจ็บแผลในปาก
  • แยกของใช้ไม่ใช้ร่วมกับคนอื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูด ช้อน-ส้อม ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดมือ ขับถ่ายอุจจาระลงในในโถส้วม
  • ควรทำความสะอาดพื้นห้องและพื้นผิวอื่นๆ ที่สัมผัสบ่อยๆ รวมถึงห้องสุขาและห้องน้ำ โดยล้างด้วยน้ำและผงซักฟอก แล้วตามด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของคลอรีน เช่น ไฮเตอร์ ไฮยีน คลอร็อกซ์ โดยผสมตามฉลากปิดข้างขวด ทิ้งไว้ ๑๐ นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำให้สะอาดเพื่อป้องกันสารเคมีตกค้าง
  • แยกเด็กที่ป่วยไม่ให้คลุกคลีกับเด็กคนอื่นๆ ทั้งเพื่อนบ้าน และพี่น้องที่อยู่ในบ้านเดียวกัน เช่น การกอดรัด การเล่นของเล่นที่เปื้อนน้ำลายหรือน้ำมูกของผู้ป่วย โดยเฉพาะในกรณีที่มีน้องเล็กๆ อายุ ๑-๒ ปีหรือน้อยกว่า เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดอาการรุนแรง ไม่นำเด็กไปในที่ที่มีคนอยู่จำนวนมาก เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาด สระว่ายน้ำ ควรให้เด็กอยู่ในที่ที่มีการระบายอากาศที่ดี
  • ขอให้เด็กหยุดเรียนเป็นเวลา ๗ วันนับจากวันเริ่มมีอาการ (ถึงแม้ว่าเด็กอาจมีอาการดีขึ้นก่อนครบ ๗ วัน) หากเด็กมีอาการป่วยรุนแรงขึ้น เช่น ไข้สูง อาเจียน หอบเหนื่อย ซึม ชัก หรืออาการแย่ลง ต้องรีบพาไปรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้านทันที ในกรณีผู้ป่วยเป็นผู้ใหญ่ให้หยุดงานเป็นเวลา 7 วันเช่นกัน
  • ควรปรึกษาแพทย์ เมื่อมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
  • ตุ่มน้ำ กลายเป็นตุ่มหนองหรือพุพองจากการเกาให้แพทย์พิจารณาใช้ยาปฏิชีวนะรักษา
  • มีอาการเจ็บแผลในปาก จนกินอาหารและดื่มน้ำไม่ได้ มีภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ปัสสาวะออกน้อย
  • มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนรุนแรง ไม่ค่อยรู้ตัว ชัก แขนขาอ่อนแรง หรือหายใจหอบเหนื่อย ควรส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
  • อาการไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์

การป้องกันตนเองจากโรคมือเท้าปาก

  • สำหรับเด็ก ให้ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ทุกหนข้างหลังการขับถ่าย ก่อนที่จะรับประทานอาหาร หรือเมื่อสัมผัสกับน้ำมูก น้ำลาย
  • สำหรับผู้ที่คอยดูแลเด็ก ให้ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ทุกคราวก่อนการเตรียมอาหาร ก่อนกินอาหาร และข้างหลังการขับถ่าย และข้างหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก หลังการช่วยล้างตูดให้แก่เด็กเล็กที่พึ่งขับถ่าย หรือสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งของเด็ก ได้แก่ น้ำมูก น้ำลาย
  • ให้ลูกหลานหลีกเลี่ยงการเล่น หรือคลุกคลีกับเด็กที่ป่วยเป็นโรคมือ เท้า ปาก
  • ไม่นำเด็กตัวเล็กๆไปในที่ที่มีคนอยู่จำนวนหลายชิ้น ดังเช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาด สระว่ายน้ำ และก็ควรจะให้อยู่ในที่ที่มีการระบายอากาศที่ดี ในช่วงที่มีการระบาดของโรคมือเท้าปากในพื้นที่
  • หลีกเลี่ยงการใช้ข้าวของ เช่น ถ้วยน้ำ หลอดดูด ขวดนม ช้อนชาม เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ของเล่นเด็ก ฯลฯ  ร่วมกับคนอื่นโดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้
  • ฝึกหัดเด็กให้มีสุขนิสัยที่ดี รวมทั้งหลีกเลี่ยงการใส่นิ้วมือหรือของเล่นเข้าปาก
  • ทําความสะอาดพื้น เครื่องใช้เสื้อผ้าที่อาจปนเปื้อนเชื้อ ด้วยนํ้ายาฆ่าเชื้อที่ใช้ทั่วไปด้านในภาย
  • พ่อแม่ผู้ดูแลช่วยตรวจดูลักษณะของบุตรหลานทุกเมื่อเชื่อวัน ถ้ามีแผลในปากหลายแผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากเจ็บมากมายจนกระทั่งทำให้ไม่ค่อยทานอาหาร ให้ช่วยแจ้งแก่โรงเรียนเพื่อมีการปฏิบัติงานควบคุมโรคที่สมควร
  • สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะพาบุตรหลานที่เป็นเด็กเล็กไปที่ต่างประเทศที่มีการระบาด สามารถเดินทางได้ตามเดิม โดยให้กระทำตัวตามความถูกอนามัยที่ดี หลบหลีกพาลูกหลานไปสถานที่แออัดคับแคบ และก็ถ้าเกิดลูกหลานมีอาการเจ็บไข้ที่สงสัยโรคมือ เท้า ปาก ให้พาไปพบแพทย์


สมุนไพรที่ใช้รักษา/ทุเลาลักษณะโรคมือเท้าปาก สมุนไพรที่สามารถประยุกต์ใช้ทุเลาลักษณะโรคมือเท้าปากนั้นมีดังนี้ แม้มีแผลในปากก็สามารถใช้กลีเซอรีนพญายอหยอดบริเวณแผลได้ เพราะเหตุว่าในใบพญายอมีสารฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ ทำให้แผลหายเร็วขึ้นรวมทั้งไม่มีอันตราย ไม่เป็นผลใกล้กัน
            สมุนไพรในโรค มือ-เท้า-ปาก คือ ฟ้าทลายมิจฉาชีพ (Andrographis paniculata (Burm.F.) Nees.) เป็นงานศึกษาวิจัยที่ทำในประเทศจีน โดยนักวิจัยได้สกัดสารสำคัญของฟ้าทลายขโมยและก็ทำให้อยู่ในรูปแบบของยาฉีดเป็นAndrographolide Sulfonate injection
งานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยนี้ทำในเด็กที่เป็นโรค มือ-เท้า-ปาก อายุ 1-13 ปี จำนวน 230 คน โดยแบ่งเป็น 2 กรุ๊ป กรุ๊ปแรกจะได้รับการดูแลและรักษาแบบแผนเดิมร่วมกับ สารสกัดฟ้าทะลายโจรในต้นแบบบาฉีด (Andrographolide Sulfonate injection) อีกกลุ่มจะได้รับการดูแลและรักษาแบบแผนเดิม โดยติดตามผล 7-10 วัน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มแรกจะเจออาการเข้าแทรกแบบร้ายแรงน้อยกว่ากรุ๊ปที่สองอย่างเป็นจริงเป็นจัง นอกจากนั้นยังทำให้ไข้ต่ำลงได้เร็วขึ้น ทำให้แผลที่ผิวหนังและแผลในปากหายมากยิ่งกว่ากรุ๊ปหวานใจษาแบบแผนเดิม และไม่เจอการเสียชีวิตและก็ผลกระทบที่ร้ายแรงในกลุ่มทดลองอีกด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • ดร.ภก.ปิยทิพย์ ขันตยาภรณ์.โรคมือเท้าปากในเด็ก.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาจุลชีววิทยาคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Chang L, Lin T, Huang Y, et al. Comparison of enterovirus 71 and coxsackie-virus A16 clinical illnesses during the Taiwan enterovirus epidemic, 1998. Pediatr Infect Dis J 1999;18(12): 1092-6.
  • Abzug MJ. Hand-Foot-and-Mouth Disease. Kliegman: Nelson Textbook of Pediatrics, 19th ed.
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคมือ-เท้า-ปาก.นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 326.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.มิถุนายน.2549
  • โรคมือ-เท้า-ปาก (Hand-Food-and-Mouth Disease; HEMD) และโรคจากเชื้อ Enterovirus 71 (EV-71) .หน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป “โรคมือ-เท้า-ปาก (Hand-foot-and-mouth-disease)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1121-1123. http://www.disthai.com/
  • Alsop J. Hand-foot-and-mouth disease in Birmingham in 1959. Br Med J 1960;2:1708.
  • Shelley WB, Hashin M, Shelley ED. Acyclovir in the treatment of hand-foot-and-mouth disease.Cutis 1996;57:232-4.
  • โรคมือ เท้า ปาก พ.ศ.2555. หมอชาวบ้าน(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
  • Ho M, Chen E, Hsu K, et al. An epidemic of enterovirus 71 infection in Taiwan. N Engl J Med 1999; 341(13): 929-35.
  • Jennifer CH, Antoinette FH. Hand-food-and-mouth disease. In: Freedberg IM, Eisen AZ, editors. Fitzpatrick’s Dermatology in General Medicine. 5th ed. New York: McGraw-Hill; 1999. p. 2403-7.
  • สมุนไพรที่เคยมีการทำวิจัยในโรคมือเท้าปาก.อภัยภูเบศสาร.ปีที่ 12 .ฉบับที่133.กรกฎาคม.2557
  • Luan YC, Tzou YL, Yhu CH, Kou CT, Shin RS, Ming LK, et al. Comparison of enterovirus 71 and coxsackie virus A16 clinical illnesses during the Taiwan enterovirus epidemic, 1998.Pediatr Infect Dis J 1999;18:1092-6.
  • Robinson CR. Report on an outbreak of febrile illness with pharyngeal lesions and examthem. Toronto, Summer 1957-isolation group A Coxsackie virus. Can Med Assoc J 1958;79:615.
  • Theokiss Z, Joel DK. Enterovirus infection. Pediatrics in Review 1998;19:183-91.
  • พญ.ชนิกานต์ คีรีวิเชียร,พญ.ธันยวีร์ ภูธนกิจ.โรคมือเท้าปาก (Hand-Food-and-Mouth-Disease).คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.กันยายน 2545.หน้า 1- 9
  • โรคมือเท้าปาก-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก

หน้า: 1 [2]