รับซ่อมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
การค้นหาขั้นสูง  

ข่าว:

SMF - Just Installed!

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - billcudror1122

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7
16

มะนาว
ชื่อสมุนไพร มะนาว
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ส้มมะนาว (ภาคกลาง),ส้มนาว (ภาคใต้) ,สีมานีปีห์ (มลายู) ,หมากฟ้า (ไทยใหญ่) , โกรยชะม้า (เขมร) , มะเน้าเลย์ , มะนอเกละ , ปะนอเกล (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน) , ปะโหน่ละโมบลยาน (กะเหรี่ยง จังหวัดกาญจนบุรี)
ชื่อสามัญ  Common lime, Lime , Sour lime
ชื่อวิทยาศาสตร์  Citrus aurantifolia (Christm. et Panz.) Swing.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์  Limonia aurantifolia Christm. & Panzer.
วงศ์  Rutaceae
บ้านเกิดเมืองนอน เช้าใจกันว่ามะนาวเป็นพืชพื้นเมืองในภูมิภาคเอเซียอาคเนย์ด้วยเหตุว่าผู้ที่อยู่ในภูมิภาคนี้ รู้จักการใช้คุณประโยชน์จากมะนาวกันเป็นอย่างดีมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ซึ่งหนึ่งในซึ่งก็คือเมืองไทย แต่ว่ามีการศึกษาและทำการค้นพบอีกชิ้นหนึ่งที่เชื่อว่ามะนาวมีแหล่งเกิดในอินเดียภาคเหนือ แล้วก็เขตเชื่อมต่อกับเมียนมาร์ รวมทั้งทางภาคเหนือของมาเลเซีย (แม้กระนั้นน่าแปลกที่ไม่พบมะนาวในป่าของไทย) เดี๋ยวนี้มีการปลูกมะนาวทั่วไปในเขตร้อน แล้วก็เขตอบอุ่นครึ่งร้อนทั้งโลกด้วยเหตุว่ามะนาวสามารถขึ้นได้ในที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำ และทนต่อดินเนื้อละเอียดได้ดีมากว่าส้ม
ลักษณะทั่วไป มะนาวเป็นไม้ผลยืนต้นขนาดเล็กมีลักษณะเป็นพุ่มมีความสูงเฉลี่ย 2-5 เมตร ลำต้นมีลักษณะโค้งงอไม่ค่อยแข็งแรง เปลือกของลำต้นมีสีน้ำตาลปนเทา กิ่งอ่อนของมะนาวมีสีเขียวอ่อน เมื่อแก่ สีจะเข้มขึ้นกระทั่งเป็นสีน้ำตาลส่วนกิ่งที่แก่มากจะเป็นสีเทา การออกของกิ่งก้านไม่ค่อยเป็นระเบียบ บนลำต้นและกิ่งไม้จะมีหนาม หนามมีลักษณะแหลมมีหนามสั้นและก็หนามยาวมีสีเขียวเข้มแล้วก็สีเขียวอมเหลือง ส่วนบริเวณปลายหนามีสีน้ำตาล เมื่อแก่ขึ้นหนามจะแห้งตามไป
                ใบของมะนาวมีลักษณะเป็นใบโดดเดี่ยว เป็นมีแผ่นใบอันเดียว ใบมีขนาดเล็กกว้างประมาณ 3-6 ซม. ยาวโดยประมาณ 6-12 ซม.รูปร่างเป็นแบบรีหรือทรงไข่ ฐานใบมีลักษณะกลม ปลายใบมีรูปแหลม ป้าน ขอบของใบเป็นคลื่น หรือเป็นหยักละเอียด ก้านใบสั้นรวมทั้งมีปีกใบแคบหรือบางทีอาจไม่มีปีกใบก็ได้ ดังนี้ขึ้นกับจำพวกมะนาว ใบอ่อนมีสีเขียวจางเกือบเป็นสีขาว ใบแก่มีสีเขียวเข้ม ผิวใบด้านบนละเอียดเป็นเงาส่วนผิวใบด้านล่างค่อนข้างจะหยาบคายและก็มีสีจางกว่า เมื่อกระทำขยี้ใบจะมีกลิ่นฉุน
                ดอกมะนาวอาจกำเนิดเป็นดอกผู้เดียวหรือช่อก็ได้ มีทั้งๆที่เป็นดอกสมบูรณ์และไม่สมบูรณ์ ดอกจะออกบริเวณซอกใบและก็ปลายกิ่ง ดอกมะนาวมีขนาดเล็ก ดอกที่ตูมจะมีขนาดความยาว 1-2 ซม. กลีบเลี้ยงมีสีเขียวเป็นรูปถ้วยมี 4-6 หยัก ส่วนกลีบดอกไม้มีสีขาว และก็ด้านท้องกลีบดอกไม้อาจมีสีม่วงอมแดงเจืออยู่ด้วย กลีบดอกไม้มีลักษณะเป็นรูปถ้วย มีปริมาณ 4-5 อัน ปริมาณกลีบในและกลีบนอกมีจำนวนเท่าๆกัน แต่ละกลีบมีขนาด 0.8-1.2 ซม. ดอกมะนาวมีเกสรตัวผู้มากมายถึง 20-40 อัน เชื่อมชิดกันเป็นกรุ๊ป กลุ่มละ 4-8 อัน เกสรตัวเมียมีรังไข่รูปร่างเป็นทรงกระบอก ใน 1 ดอก จะมีรังไข่ราวๆ 9-12 อัน
                ผลมะนาวมีรูปร่างนานับประการตามประเภทของชนิด มีอีกทั้งรูปร่างยาวรี รูปไข่ และก็รูปร่างกลม ที่ก้นผลมีลักษณะเป็นจุกหรือปุ่มเล็กๆผลโดยทั่วไปมีขนาดความยาว 3-12 เซนติเมตร เปลือกมักษณะตะปุ่มตะป่ำ และมีต่อมน้ำมันเปลือกผิว ผิวเปลือกเมื่อแหลม บรรจุอยู่เป็นจำนวนมาก เนื้อมะนาวมีสีเหลืองอ่อน มีรสเปรี้ยวและก็มีกลิ่นหอมเมล็ด ขนาดเล็กคล้ายรูปไข่ ด้านปลายหัวจะแหลม ภายในเม็ดมีเยื่อสีขาว
การขยายพันธุ์  มะนาวเป็นพืชซึ่งสามารถปลูกเจริญในดินดูเหมือนจะทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ดินเหนียว ดินปนทราย แต่ถ้าต้องการจะปลูกมะนาว ให้เติบโตดี มี ผลดก แล้วก็คุณภาพดี ก็น่าจะปลูกเอาไว้ในพื้นที่ที่เป็นดินที่ร่วนซุย มีการระบาย น้ำดี มีอินทรียวัตถุผสม อยู่มากมาย รวมทั้งควรเลือกพื้นที่ที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ
ส่วนการขยายพันธุ์มะนาวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ดังเช่นว่า การตอนกิ่ง การทาบกิ่ง แล้วก็การติดตา แต่ว่าแนวทางที่เป็นที่นิยมสำหรับการขยายพันธุ์มะนาวมากที่สุดคือ การตอนกิ่ง โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้

  • เลือกกิ่งที่ไม่แก่หรืออ่อนเกินไปและไม่เป็นโรคหรือมีแมลงกัดรับประทาน ยาวราว 30-50 เซนติเมตร แล้วก็มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 0.5 ซม.ขึ้นไป
  • ตัดหนามและใบในรอบๆที่จะควั่นกิ่งออกประมาณ 5 เซนติเมตร
  • ควั่นกิ่งออกเป็น 2 รอยให้ลึกถึงแก่นไม้ห่างกัน 1-2 ซม.
  • ขูดเนื้อเยื่อรุ่งโรจน์ออกให้หมด
  • หุ้มด้วยขุยมะพร้าวที่มีความชื้นหรือใช้ตุ้มตอนสำเร็จ ผูกเปาะหัวด้านหลังให้แน่น แล้วทิ้งเอาไว้โดยประมาณ 30-45 วัน เมื่อรากออกมาแล้วก็ใช้กรรไกรตัดกิ่งตัดเพื่อนำไปแช่น้ำจนถึงอิ่มตัว
  • นำไปชำต่อในถุงดำขนาด 5x8 นิ้ว ที่ผสมดิน 1 ส่วน แกลบ 1 ส่วน และเมื่อกิ่งที่ชำเดินรากได้ดิบได้ดีในถุงสีดำรวมทั้งแข็งแรงแล้วจากนั้นจึงค่อยนำไปปลูกถัดไป
การเตรียมพื้นที่ปลูก

  • พื้นที่ลุ่ม จัดแจงพื้นที่โดยทำคันนาให้มีความกว้างประมาณ 6-8 เมตร ความสูงให้พิจารณาจากจำนวนน้ำที่เคยท่วมสูงโดยให้อยู่สูงกว่า แนวระดับน้ำหลาก 50 ซม. แทงร่องหรือซอกซอยร่องทำแต้มน้ำเพื่อ ระบายน้ำเข้าออก ขนาดร่องน้ำกว้าง 1.5 เมตร ลึก 1 เมตร พื้นที่ร่องกว้าง 0.5-0.7 เมตร ใช้ระยะปลูก 5X5 เมตร
  • พื้นที่ดอน ควรจะไถกระพรวนเพื่อกำจัดวัชพืช รวมทั้งทำให้ดินร่วนซุย ใช้ระยะปลูก 4 x 4 – 6 x 6 เมตร ทั้งนี้ขึ้นกับความอุดมสมบูรณ์ของดิน
กรรมวิธีการปลูก
ควรปลูกเอาไว้ภายในช่วงต้นฤดูฝน ควรขุดหลุมปลูก ให้มีขนาดกว้างรวมทั้งลึกราวๆ 50 ซม. ผสมดิน ปุ๋ยคอก และก็ปุ๋ยร็อคฟอสเฟตเข้าด้วยกัน ในหลุมให้ สูงโดยประมาณ 2 ใน 3 ของหลุม ยกถุงกล้า ต้นไม้วางในหลุม โดยให้ระดับของดินในถุงสูงกว่า ระดับดินปากหลุมบางส่วน ใช้มีดที่คม กรีดถุง จากก้นถุงขึ้นมาถึงปากถุง 2 ด้าน (ช้ายรวมทั้งขวา) ดึงถุงพลาสติกออก โดยระวังไม่ให้ดินแตก กลบดินที่เหลือลงในหลุม กดดินรอบๆโคนต้นให้แน่น ปักไม้หลักแล้วก็ผูกเชือกยึด เพื่อปกป้องลมพัดโยก หาวัสดุคลุมดินรอบๆโคนต้น เช่น ฟางข้าว ต้นหญ้าแห้ง รดน้ำให้โชก ทำร่มเงา เพื่อช่วยอำพรางแสงแดด
การปฏิบัติดูแล การให้น้ำ ควรมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอน ที่ปลูกใหม่ๆควรให้น้ำวันละครั้งเป็นอย่างน้อย (กรณีฝนไม่ตก) ภายหลังปลูกราว 15 วัน มะนาวสามารถตั้งตัวได้แล้ว ให้น้ำเดือนละ 2-3 ครั้ง แล้วก็ควรหา สิ่งของมาหุ้มดินบริเวณโคนต้น เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้น                ควรจะเริ่มงดให้น้ำ ตั้งแต่ตอนมี.ค. เป็นต้นไป จนกระทั่งช่วงออกดอก เพื่อมะนาวสะสม ของกินให้มากถึงระดับที่สามารถสร้างตาดอกได้ ปกติมะนาวจะออกดอก เมษายน-พฤษภาคม หลังจากมะนาวออกดอก และก็กำลังติดผลอ่อน เป็นตอนๆที่มะนาวอยากน้ำมาก เพื่อใช้สำหรับในการเจริญวัย ของผล

     ส่วนชนิดมะนาวที่มีการปลูกกันมากมายในไทย เช่น

  • มะนาวไข่ ผลกลม หัวท้ายยาวคล้ายมะนาวหนัง เมื่อโตเต็มที่ผลมีลักษณะกลมมน เปลือกบางผลโต กว่ามะนาวหนัง
  • มะนาวแป้น ผลใหญ่ ค่อนข้างจะกลมแป้น เปลือกบาง มีน้ำมาก นิยมใช้บริโภคมากกว่าประเภทอื่นๆเชิงการค้าจะปลูกมะนาวพันธุ์แป้นดกพิเศษ สามารถบังคับให้ออกฤดูแล้งได้ง่าย
  • มะนาวหนัง ผลอ่อนกลมยาวหัวด้านหลังแหลม เมื่อโตเต็มที่ผลจะมีลักษณะกลมค่อนข้างยาว มีเปลือกหนา ทำให้เก็บรักษาผลประโยชน์นาน


ส่วนประกอบทางเคมี น้ำจากผลมีกรด citric acid, malic acid, ascorbic acid,  ผิวมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยที่มาจากการกลั่นผิวผล ร้อยละ 0.3-0.4 มีสารต่างๆอาทิเช่น  d-limonene (42-64%), alpha-berpineol (6.81%), bergamotene ผสมกับ terpinen-4-ol (3%),  alpha-pinene          citric acid       
(1.69%), geraniol (0.31%), linalool,  terpineol, camphene, bergapten (furanocoumarin)    ใบมะนาวเมื่อนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการ    camphene
ต้มกลั่น (hydrodistillation) ได้น้ำมันหอมระเหยปริมาณร้อยละ 0.27  ส่วนประกอบทางเคมีของน้ำมันประกอบด้วยสารต่างๆยกตัวอย่างเช่น  6-methyl-5-hepten-2-one (3.19), limonene (44.82), neral (4.95), geranial (7.66) , geranyl acetate (8.98), caryophyllene oxide (2.31) ส่วนข้อมูลทางโภชนาการของมะนาวมีดังนี้

  • พลังงาน 30 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 10.5 กรัม
  • น้ำตาล 1.7 กรัม
  • เส้นใย 2.8 กรัม terpineol
  • ไขมัน 0.2 กรัม
  • โปรตีน 0.7 กรัม
  • วิตามินบี 1 0.03 มก.
  • วิตามินบี 2 0.02 มก.
  • วิตามินบี 3 0.2 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 5 0.217 มก.
  • วิตามินบี 6 0.046 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 9 8 ไมโครกรัม
  • วิตามินซี 29.1 มก.
  • แคลเซียม 33 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 0.6 มิลลิกรัม
  • แมกนีเซียม 6 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 18 มิลลิกรัม
  • โพแทสเซียม 102 มิลลิกรัม
  • โซเดียม 2 มิลลิกรัม ที่มา : Wikipedia
คุณประโยชน์/สรรพคุณ
น้ำมะนาวมีคุณค่าสำหรับการเป็นสารให้ความเปรี้ยว ผิวมะนาวมีกลิ่นหอมหวนจากน้ำมันหอมระเหย มะนาวเป็นเครื่องปรุงรสของกินไทยที่ขาดเสียมิได้ เป็นส่วนประกอบรสเปรี้ยวหลักของน้ำพริก ส้มตำ ยำทุกชนิด ลาบรวมทั้งอาหารไทยอีกอีกเยอะมาก ต่างประเทศใช้มะนาวทั้งในอาหารคาวหวาน ดังเช่น ในพายมะนาวของรัฐฟลอริด้า อเมริกา
น้ำมะนาวนอกเหนือจากใช้แต่งรสเปรี้ยวในอาหารหลาย จำพวกแล้ว ยังนำมาใช้เป็นเครื่องดื่ม ผสมเกลือ แล้วก็น้ำตาล เป็นน้ำมะนาว ซึ่งมีชื่อเสียงกันดีในประเทศไทย และต่างประเทศทั้งโลก นอกเหนือจากนั้นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์บางจำพวกยังนิยมฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆแทงไว้กับขอบแก้ว เพื่อใช้แต่งรส
โดยภายในผลมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยถึงปริมาณร้อยละ 7 น้ำมะนาวจึงมีคุณประโยชน์สำหรับใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาทำความสะอาด เครื่องหอม การบำบัดด้วยกลิ่น (aromatherapy) หรือน้ำยาสำหรับล้างจาน
นอกนั้นยังมีการใช้ประโยชน์จากมะนาวด้านอื่นๆอีกอาทิเช่น หุงข้าวให้ขาวและก็อร่อยขึ้น ด้วยการใช้น้ำมะนาวราวๆ 2-3 ช้อนนำไปซาวข้าว  ทอดไข่ให้ฟูและก็นุ่ม มะนาว 4-5 หยดจะช่วยได้  มะนาวช่วยลดเหม็นคาวจากปลาเมื่อประกอบอาหารแล้วก็ทำให้ปลาอาจรูปไม่เละ เมื่อใช้มีดผ่าปลี มีดจะมีสีม่วงหมู่ ล้างออกทุกข์ยากลำบาก นำมาท้องนาวที่ผ่าแล้วมาเช็ดตามใบมีด จะช่วยให้มีดสะอาดเหมือนเดิม  การเชื่อมกล้วยหักมุกให้น่ากิน เมื่อน้ำตาลเดือดเป็นยางมะตูมแล้ว ให้บีบมะนาวครึ่งซีกลงไป จะช่วยให้กล้วยใส น่ารับประทานมากขึ้นเรื่อยๆ  มะนาว 2-3 ลูกใส่ในถังข้าวสารช่วยคุ้มครองป้องกันมอดได้  ส่วนการเปลี่ยนแปลงรูปมะนาว มะนาวดัดแปลงได้ ดังเช่น น้ำมะนาวประกอบอาหาร มะนาวแช่อิ่มตากแห้ง น้ำมะนาวเข้มข้น มะนาว ผง เครื่องดื่มผสมน้ำมะนาว แยมมะนาว เยลลีมะนาว แยมเปลือกของมะนาว แยมนะท้องนาวดอง มะนาวดองเค็ม มะนาวหวาน กิมจ้อมะนาว เปลือกของมะนาวสามรส เปลือกของมะนาวเส้นปรุงรส เปลือกของมะนาวเชื่อม เปลือกของมะนาวแช่อิ่ม มาร์มาเลดมะนาว เป็นต้น
ส่วนคุณประโยชน์ทางยานั้นระบุว่า แบบเรียนยาไทยผิวมะนาวจัดอยู่ใน “เปลือกส้ม 8 ประการ” ประกอบด้วย ผิวส้มเขียวหวาน ผิวส้มจีน ผิวส้มซ่า ผิวส้มโอ ผิวส้มจังหวัดตรังกานู ผิวมะงั่ว ผิวมะกรูด และก็ผิวมะนาว (หรือผิวส้มโอมือ) มีคุณประโยชน์แก้ลมกองละเอียด กองหยาบคาย แก้เสลดโลหะ ใช้ปรุงยาหอม แก้ทางลม
           นอกเหนือจากนั้นบัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้เริ่มแรก ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา ปรากฏการใช้ผิวมะนาว ในยารักษาอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) ปรากฏตำรับ”ยาหอมเทพจิตร” มีส่วนประกอบของผิวมะนาว อยู่ใน ”เปลือกส้ม 8 ประการ” ร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์ในการแก้ลมตาลาย แก้อาการหน้ามืด ลายตา ใจสั่น คลื่นเหียนอาเจียน คลื่นไส้ แก้ลมจุกแน่นในท้อง
                ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันเจาะจงถึงสรรพคุณของมะนาวว่า สารดี-ลิโมนิน (d-limonin) เป็นสารที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดความขมในน้ำมะนาว น้ำมันผิวมะนาว (lime oil) พบได้ทั่วไปบริเวณผิวเปลือกของมะนาวมีสารดี-ลิโมนิน เป็นองค์ประกอบหลักเกินกว่าปริมาณร้อยละ 90 พบว่าน้ำมันผิวมะนาว มีคุณลักษณะปกป้องรวมทั้งรักษามะเร็งหลายอย่าง
คนตะวันตกทั่วไปมักกินน้ำส้ม หรือน้ำจากผลพืชตระกูลส้ม ดังเช่น ส้มโอ หรือมะนาว ประกอบกับอาหารเช้า น้ำผลไม้กลุ่มนี้มีวิตามินซี และมีสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoid) มีสารเฮสเพอริดิน (hesperidin) รูทิน (rutin) และก็ท้องนาริงจิน (naringin) และก็ลิโมนิน เป็นฟลาโวนอยด์หลักของพืชเครือญาติส้ม จากนี้จะเรียกสารกลุ่มนี้ว่าฟลาโวนอยด์ส้ม (citrus bioflavonoid)
สารกลุ่มฟลาโวนอย์ส้มนี้มีรายงานทางการแพทย์ตะวันตกว่าใช้เพื่อการรักษามาลาเรีย โรครูมาติเตียนสม์เรื้อรังรวมทั้งโรคเกาต์ ใช้เพื่อการคุ้มครองปกป้องโรคเลือดออกตามไรฟัน คุ้มครองปกป้องการตกเลือดหลังคลอด แล้วก็ช่วยทุเลาอาการระคายคอจากการตำหนิดเชื้อรวมถึงโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งโรคที่มีต้นเหตุมากจากการได้รับวิตามินซีในของกินไม่เพียงพอ ซึ่งอาจจะส่งผลให้มีลักษณะของโรคเกิดขึ้นด้านใน 8-12 อาทิตย์ ผู้ป่วยมักมีลักษณะคล้ายเจ็บป่วย เหน็ดเหนื่อย ง่วงซึม โลหิตจาง ปวดกล้าม เจ็บกระดูก มีแผลฟกช้ำดำเขียวหรือบวมง่าย มีจุดเลือดออกแดงๆตามผิวหนัง กำเนิดโรคทางปริฟัน เป็นแผลแล้วหายยาก อารมณ์แปรปรวน หรือมีสภาวะหม่นหมอง สำหรับประโยชน์ที่ได้รับมาจากน้ำมะนาวต่อโรคนี้ มีการวิจัยเมื่อก่อนที่ให้ผู้ป่วยโรคนี้กินส้มกับมะนาวเหลือง พบว่าคนเจ็บสามารถฟื้นได้อย่างสมบูรณ์และก็รวดเร็วทันใจ เมื่อเทียบกับผู้ป่วยอีกกลุ่มที่รับประทานอาหารจำพวกอื่น นอกเหนือจากนั้นในน้ำมะนาวยังมีกรด citric ซึ่งมีรสเปรี้ยว จะเป็นตัวกระตุ้นให้มีการขับน้ำลายออกมาทำให้ชุ่มคอ ก็เลยช่วยทุเลาลักษณะการเจ็บคอได้
แบบอย่าง/ขนาดการใช้
อาการไอ  ระคายคอจากเสลดใช้น้ำจากผลที่โตเต็มที่  เพิ่มเติมเกลือนิดหน่อย  จิบบ่อยๆหรือ จะทำน้ำมะนาวเพิ่มเติมเกลือและก็น้ำตาลนิดหน่อย           อาการท้องอืดท้องอืด แน่นจุกเสียด   ใช้เปลือกผลสด 1/2-1 ผล ฝานเป็นชิ้นเล็กๆบางๆชงด้วยน้ำเดือด ปิดฝาทิ้งเอาไว้ 5-10 นาที ดื่มแต่ว่าน้ำขณะมีอาการ หรือหลังรับประทานอาหาร 3 เวลาใช้มะนาว 1 ผล บีบเอาน้ำมะนาวมาชงกับน้ำร้อนดื่มหรือใช้มะนาวฝานบางๆจิ้มเกลือกินจะช่วยขับเสลดได้รุ่งเช้าหลังตื่นนอน ดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว บีบมะนาว 1/4 ผล (หรือใส่เกลือนิดหน่อย) จะช่วยบรรเทาอาการท้องผูก และช่วยกำจัดสารพิษออกมาจากร่างกายน้ำมะนาวผสมผงกำมะถันใช้ทาก่อนนอน แก้อาการขี้กลาก โรคเกลื้อน หิดใช้น้ำมะนาวทาที่ตุ่มคัน ทิ้งไว้ให้แห้ง ล้างน้ำสบู่แล้วขัดถูให้แห้ง แล้วใช้แป้งทาตุ่มคัน แก้น้ำกัดเท้าในด้านความสวยงาม ผลัดเซลล์ผิว ลดรอยด่างดำ ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ คนจนเข้ากัน ทาให้ทั่วบริเวณใบหน้า ทิ้งเอาไว้สักประเดี๋ยว ล้างออกด้วยน้ำสะอาดแล้วซึมซับให้แห้ง ทำอาทิตย์ละครั้ง ผิวหน้าจะมองสดใส หรือใช้น้ำมะนาวผสมน้ำแช่อาบใช้สำหรับการแก้ไข้ทับประจำเดือน ด้วยการเอาใบมะนาวราวๆ 100 ใบมาต้มรับประทานช่วยแก้ลิ้นเป็นฝ้า ด้วยการใช้สำลีชุบน้ำมะนาวขัดถูที่ลิ้นวันละ 2-3 ครั้ง
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา การศึกษาสัตว์ทดสอบในหนู พบว่าเมื่อให้สารเฮสเพอริดินซึ่งเป็นฟลาโวนอยด์หลักจากเปลือกในพืชเครือญาติส้มกับหนูไขมันสูง มีผลเพิ่มไขมันที่ดี (เอชดีแอล-คอเลสเตอรอล) ลดไขมันไม่ดี (แอลดีแอล-คอเลสเตอรอล) ลดปริมาณไขมันรวมรวมทั้งไตรกลีเซอไรด์ ในหนูดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แล้วก็ส่งผลลดระดับความดันเลือดแล้วก็ขับปัสสาวะในหนูความดันสูง การทดลองในห้องปฏิบัติในแคนทุ่งนาดาการพบว่า ฤทธิ์ดังที่กล่าวผ่านมาแล้วของฟลาโวนอยด์ส้มมีสาเหตุมาจากผลการกระตุ้นการทำงานของยีนรีเซปเตอร์ไขมันไม่ดี (แอลดีแอล) ในตับในตำแหน่งที่ควบคุมโดยสเตอรอล (sterol regulatory element, SRE)
ในสหรัฐฯ งานค้นคว้าในสัตว์ทดลองพบว่า ฟลาโวนอยด์ส้มสองกลุ่ม ยกตัวอย่างเช่นกลุ่มเฮสเพอริดิน แล้วก็กลุ่มโพลีเมททอกซิเลตฟลาโวน (PMFs) มีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอลในพลาสม่าของสัตว์ทดสอบ ซึ่งสนับสนุนผลงานวิจัยในหนูถีบจักรของแคนาดา
ประเทศจีน งานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่า ทุ่งนาริงจิน และเฮสเพอริดินซึ่งเป็นฟลาโวนอยด์ส้มมีฤทธิ์กระตุ้นแนวทางการทำงานของยีนอะดีโพเนกทิน (adiponectin) ซึ่งเป็นยีนสำคัญในเมตาบอลิซึมของกลูโคสและก็ไขมันที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพลัคตันของเส้นเลือดและก็ขั้นตอนการอักเสบ ผลการศึกษาเรียนรู้พูดว่าฟลาโวนอยด์ส้มอีกทั้ง 2 ชนิดแสดงผลต้านการเกิดพลัคโดยกระตุ้น perovisome proliferator-activated receptor (PPAR) และก็ยีนอะดีโพเนกทินในเซลล์ไขมันอะดีโพไซต์
นอกเหนือจากนี้ สารทั้งสองยังมีฤทธิ์เอสโทรเจนอย่างอ่อน ส่งผลต่อการสร้างไนตริกออกไซด์ในเซลล์ฝาผนังเส้นโลหิตผ่านการกระตุ้นรีเซปเตอร์ของเอสโทรเจน ก็เลยมีฤทธิ์คุ้มครองป้องกันการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจ ส่งผลให้เกื้อหนุนการกินมะนาว และก็ฟลาโวนอยด์ส้มเพื่อลดจำนวนคอเลสเตอรอลในเลือด ปกป้องโรคเส้นเลือดหัวใจ โดยเฉพาะในหญิงวัยทอง
งานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยหนึ่งพบว่า น้ำมะนาวเข้มข้น (concentrated lime juice, CLJ) มีฤทธิ์กระตุ้นเซลล์โมโนนิวเคลียร์ในระบบภูมิคุ้มกัน รวมทั้งโปรตีนในน้ำมะนาวเข้มข้นมีฤทธิ์ต่อต้านการแบ่งตัวของเซลล์ของโรคมะเร็ง การศึกษาในห้องแลปในมลรัฐเท็กซัสรวมทั้งแคลิฟอเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ส้มมีฤทธิ์ต้านทานออกซิเดชั่นพอสมควร แม้กระนั้นน้อยกว่าฟลาโวนอยด์ในพืชเครือญาติขิง มีบทความทางการแพทย์กล่าวว่า ฟลาโวนอยด์ส้มยั้งการเจริญของเซลล์ของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ปอด ช่องปาก กระเพาะอาหาร แล้วก็โรคมะเร็งเต้านมจากการทดลองในห้องทดลองรวมทั้งในสัตว์ทดลองหลายแบบ แต่ว่ายังไม่พบผลการศึกษาเรียนรู้ทางสถานพยาบาล
ส่วนฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของมะนาวที่เกี่ยวกับแก้เจ็บคอมีดังนี้  ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย มีการศึกษาวิจัยผลของอีกทั้งน้ำมันหอมระเหยและก็สารสกัด พบว่า น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ Bacillus cereus รวมทั้ง E. coli สารสกัด 80% เอทานอลจากเปลือกผิว มีฤทธิ์ยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus และก็ Bacillus cereus สารสกัดจากเมล็ดมีฤทธิ์ยั้งเชื้อ Bacillus subtilis, E. coli. Pseudomanas cichorii และ Salmonella typhimurium สารสกัดเอทานอลจากส่วนกิ่ง (branches) ความเข้มข้น 20 มิลลิกรัม/มล. ไม่มีฤทธิ์ยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus, Bacillus subtilis และ Streptococcus faecalis
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา การทดสอบความเป็นพิษ  เมื่อให้น้ำสกัดจากใบมะนาวทางปาก หรือฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนูเม้าส์ ด้วยขนาด 10 กรัม/กก.น้ำหนักตัว (เท่ากันกับ 1,852 เท่าของขนาดที่ใช้ในคน) ไม่เจอความไม่ดีเหมือนปกติอะไรก็ตามเมื่อป้อนสารสกัดรากมะนาวด้วยน้ำครั้งเดียวทางปาก ในขนาด 5 กรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว ให้หนูแรทไม่พบว่าเป็นพิษทั้งแบบกระทันหันแล้วก็กึ่งเรื้อรัง แม้กระนั้นพบว่าในหนูที่ได้รับสารสกัด 1.2 กรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว/วัน  มีเอ็นไซม์ในตับเพิ่มขึ้นแม้กระนั้นยังอยู่ในตอนธรรมดา และไม่เจอความแปลกของอวัยวะภายใน  ส่วนสารสกัดจากเปลือกผิวมะนาวส่งผลยับยั้งฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์  รวมทั้งการทดลองฤทธิ์ระคายเคืองโดยกรรมวิธี Patch test พบว่าสารสกัดจากมะนาวให้ผล positive
คำแนะนำ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง

  • การทาน้ำมันมะนาวลงบนผิวหนังโดยตรงบางทีอาจไม่ปลอดภัยในมีผิวหนังแพ้ง่าย ที่สามารถส่งผลให้ผิวหนังไวต่อแสงแดดอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวค่อนข้างขาว หลังจากการใช้น้ำมันมะนาวทาลงผิวหนังจำเป็นจะต้องทาโลชั่นที่เอาไว้สำหรับกันแสงแดดและก็สวมเสื้อผ้ามิดชิดเพื่อคุ้มครองปกป้องก่อนออกไปพบเจอกับแดด
  • รสเปรี้ยวของมะนาวอาจจะทำให้เกิดท้องเดินหรือท้องเสียได้ถ้าเกิดรับประทานมากเกินความจำเป็น
  • ภายหลังจากดื่มน้ำมะนาวแล้วไม่สมควรแปรงฟันในทันทีเนื่องจากว่าอาจจะเป็นผลให้สารเคลือบฟันตามธรรมชาติหลุดได้
  • แม้ดื่มหรือรับประทานมะนาวบ่อยๆรวมทั้งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานต่อเนื่องกันอาจก่อให้ฟันผุร่อนได้
  • คนที่มีภาวะโลหิตจางไม่สมควรกินมะนาว เนื่องจากรสเปรี้ยวจะไปกัดฟอกโลหิตก่อให้เกิดอันตรายได้
  • ยาบางจำพวกที่จะถูกเปลี่ยนแปลงด้านในตับ โดยมะนาวอาจส่งให้ช่วงเวลาสำหรับในการเปลี่ยนรูปของยากลุ่มนี้น้อยลง การดื่มน้ำมะนาวขณะกินยาบางชนิดที่เปลี่ยนรูปในตับก็เลยอาจทำให้ส่งผลข้างเคียงมากขึ้น อย่างเช่น ยาคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) เฟกโซเฟนาดีน (Fexofenadine) ตรีอาโซแลม (Triazolam) เพราะฉะนั้น ก่อนรับประทานมะนาวควรขอความเห็นแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่ด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม. 2536. พจนานุกรมสมุนไพรไทย. กรุงเทพ ฯ : พิมพ์ครั้งที่ 2, สำนักพิมพ์สุริยบรรณ.
  • รวี เสรฐภักดี.2553.คู่มือประกอบการฝึกอบรมโครงการปลูกมะนาวและการผลิตมะนาวนอกฤดู:การสร้างสวนไม้ผลยุคใหม่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน.นครปฐม
  • Sethpakdee, R. 1992. Citrus aurantifolia (Christm. & Panzer) Swingle . In: L.P.A. Oyen and Nguyen Xuan Dung (Editors): Plant Resourses of South-East Asia No 2. Edible fruits and nuts. Prosea Foundation, Bogor, Indonesia. pp. 126-128.
  • รศ.สุธาทิพ ภมรประวัติ.มะนาว ลดคลอเรสเตอรอลป้องกันโรคหลอดเลือด.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่354.คอลัมน์บทความพิเศษ.ตุลาคม.2551.
  • มะนาว.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีธิราภา แสนเสนา นพดล กิตติวราฤทธิ์ มาลิน จุลศิริ รุ่งระวี เติมศิริฤกษ์กุล. ฤทธิ์ต้านเชื้อและฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดจากผิวผลพืชตระกูลส้ม. โครงการพิเศษ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, 2536.
  • มะนาว.สมุนไพรที่ใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล http://www.disthai.com/
  • อรรถศิษฐ์  วงศ์มณีโรจน์.2553.คู่มือประกอบการฝึกอบรมโครงการปลูกมะนาวและการผลิตมะนาวนอกฤดู ดินและปุ๋ยสำหรับการปลูกมะนาวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน.นครปฐม.ไม้ผลเศรษฐกิจ.ฉบับที่102(251)/2552.วารสารเมืองไม้ผล.เทคนิคการปลูกมะนาวพันธุ์แป้นเกษตรดกพิเศษให้ออกในช่วงฤดูแล้ง.88-93 น.
  • Prabuseenivasan, S. et al. 2006. Invitro antibacterial activity of some plant essential oils. BMC Complement Altern Med 30(6):39
  • ประโยชน์ของมะนาวต่อการรักษาโรคได้ผลชัวร์หรือไม่.พบแพทย์ดอทคอม
  • อาจินต์ ปัญจพรรค์.

17

เห็ดหลินจือ
เรื่องเล่าประสบการณ์ตรงจากที่ลงภาคสนาม
คุณยายคนหนึ่ง อายุประมาณ 67 ปี ทำอาชีพขายเห็ดในตลาด อาการป่วยเป็นโรค ดังนี้
1.สมุนพร เบาหวาน เป็นทุนเดิม เป็นโรคนี้มาราว 1x ปี
2.โรคความดันเลือด เป็นมาพร้อมๆกับโรคเบาหวาน จำต้องรับประทานยาแผนปัจจุบันตลอด มีลักษณะมึนหัว
3.โรคไขมัน มาพร้อมๆกับเบาหวาน จำต้องกินยาแผนปัจจุบันตลอด
4.โรคไตเสื่อม ภายหลังเป็นโรคเบาหวานมาราว 10 ปี หมอตรวจเจอว่า ไตเสื่อม ระยะ 2 มีอาการขาบวม หมดแรงเดิน เห็ดหลินจือ
5.โรคกระเพาะฉี่ อักเสบ มาตอนเป็น ไตเสื่อม นำไปสู่อาการปัสสาวะขับ ฉี่ไม่สุด เจ็บแปล็บๆ
6.โรคเก๊า มาตรวจพบทีหลัง ว่าค่ายูริก เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ
======================
ความประพฤติของผู้เจ็บป่วยรวมทั้งเรื่องราวก่อนรับประทานเห็ดหลินจือสกัดเข้มข้น
1.สมุนไพร ตอนเจ็บป่วยตอนเริ่มต้น จะมีลักษณะน้ำตาลในเลือดสูง เกือบ 200 มก. แต่ว่าพอผ่านมาเกือบจะ 10 ปี รู้สึกว่าดูแลตนเองได้ดิบได้ดี ผลที่ได้กลายเป็นแบบนี้ สักครู่น้ำตาลสูง ประเดี๋ยวน้ำตาลต่ำ กระตุ้นให้เกิดอาการงุนงงได้ทั้งวัน หน้าที่ไม่ต้องทำแล้ว นอนดีกว่า
2.พอเพียงมีน้ำตาลในเลือดสูง ความดันจะตามมาเลย นำมาซึ่งอาการโลกหมุน ตาลาย ต้องนอนอีกดังที่เคยเห็ดหลินจือ
3.พอเพียงช่วงหลังเริ่มกินของมันน้อยลง สามารถที่จะคุมไขมันได้ แต่พอนานวันเข้า ไขมันคุมได้ แม้กระนั้นเจอไตรกีซาลายสูงซะงั้น
4.สมุนไพร ภายหลังจากเจ็บมา 1x ปี ร่างกายก็ไม่ค่อยได้พัก ทำให้เกิดช่วงอาการน็อคน้ำตาล ไป 2 ครั้ง ในรอบ 1 ปีที่ล่วงเลยไป จำเป็นต้องเข้า รพ. เพื่อให้กลูโคส ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
5.พอผ่านมาอีก 6 เดือน แพทย์ตรวจพบเป็นไตเสื่อมขั้นที่ 2 แถมมีโรคกระเพาะเยี่ยวอักเสบ เพราะเหตุว่ามีไข่ขาวรั่วมาทางเยี่ยวเยอะแยะ ทำให้เรี่ยวแรงสำหรับเพื่อการเดินไม่มี (แทบจะเดินไม่ไหว ก้าวขาไม่ออก) แถมพบโรคเก๊าต์ สอบถามหาอีก
6.ตอนหลังจากที่รู้ว่าเป็นหลายโรค ชีวิต มันช่างมืดมนอย่างมาก ทำให้เบื่อข้าว กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ถึงหลับก็ไม่สนิท ขาบวม ใจสั่น โมโหง่าย
7.พอถึงเวลานี้ คุณยายคนนี้ พฤติกรรมเปลี่ยนไป จากที่เคยต้องออกไปเปิดร้านขายเห็ดในตลาดทุกๆวัน ไม่เคยหยุด กลับทำให้เขาไม่ต้องการที่จะอยากขายสินค้า ขอหยุดนอนอยู่ในบ้าน กระทำตนเสมือนไร้ค่า จำต้องให้ลูกๆมารอมอง ทำให้เป็นภาระหน้าที่ของลูก
======================
ปัญหา สำหรับลูกที่ดูแล และจุดเปลี่ยนแนวคิด
1.เห็ดหลินจือ ลูกคนนั้น มีความคิด ทำอย่างยังไงก้อได้ ให้แม่หายจากโรคทั้งผองนี้
2.ทำอย่างยังไงก็ได้ให้คุณแม่กลับมาดำเนินงานได้เหมือนเดิม
3.ทำอย่างยังไงก็ได้ให้ท่านแม่กินข้าวได้ราวกับอดีตเป็นโรคเบาหวาน
4.เหล็ดหลินจือ ทำอย่างยังไงก็ได้ให้ท่านแม่นอนหลับก้าวหน้า
=======================
ท้ายที่สุดลูกคนนั้นได้มาคุยกับผม ผมเลยชี้แนะเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้ม และก็ลูกคนนั้นได้เอาไปให้คุณแม่ทาน
เริ่มที่คุณแม่ไม่เชื่อว่าเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้มข้น จะช่วยให้ชีวิตเขาดียิ่งขึ้นได้ เพราะว่าม่าม้าทานสมุนไพร อาหารเสริมมาเยอะแล้ว
=======================
เริ่มกับการทานเห็ดหลินจือแดงสกัดเข้มข้น (ผลบางทีอาจต่างๆนาๆในแต่ละบุคคล)
1.ผมแนะนำให้ทาน 1 วัน 2 เวลาหมายถึงเช้า-เย็น ในกรณีของม่าม้าคนนี้ มีโรคประจำตัวมาก จะให้ทานอย่างงี้ หลังจากทานอาหารแล้ว ให้ทานยาแผนปัจจุบัน รวมทั้งรอคอย 30 นาที ค่อยทานเห็ดหลินจือสกัดเข้มข้น
2.พอหลังจากทานได้ตอนแรก อาการมึนๆสับสนๆเริ่ม นอนหลับได้ดีขึ้นมาก ธรรมดาจะดูจนถึงเที่ยงคืนและก็หลังจากนั้นจึงค่อยหลับ แล้วตื่น 6-7 โมงรุ่งเช้า มาจัดร้านขายของ เปลี่ยนเป็น นอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม ตื่น 6 โมงรุ่งเช้า
3.[url=http://www.disthai.com/16484916/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD]เห็ดหลินจือ[/url]ภายหลังจากนอนได้ดิบได้ดี  ทำให้อาการขาบวมดีขึ้น ฉี่ดีขึ้นมากมาย ไม่ขัดและก็ฉี่ได้สุด ค่าน้ำตาล ไม่สวิงต่ำ-สูง แล้วก็ผลไตดียิ่งขึ้นด้วย
4.ผู้ป่วยเริ่มทานข้าวได้ปกติ (แม่ไม่เชื่อว่าเห็ดหลินจือช่วยได้จริงไหม เลยทดลองด้วย รับประทานทุเรียน2เม็ด แล้วพรุ่งนี้ไปตรวจเลือด ผลเลือดที่ออกมาม่าม้าตกอกตกใจ ว่าเพราะเหตุใดน้ำตาลปกติ ^_^)
5.เพียงพอร่างกายได้ นอนหลับได้เต็มที่ หน้าใส(มีคนทักว่าไปทำอะไรมา) แข็งแรงสามารถชูของหนักๆได้ ซึ่งถ้าหากเป็นก่อนหน้า เพียงแค่เดินยังต้องหาที่นั่งพักเลย

สรรพคุณเห็ดหลินจือที่มีงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยรับรอง....มีอะไรบ้าง
เห็ดหลินจือ มีความเชื่อมานานแล้วว่าเห็ดหลินจือแดงสามารถทำให้หัวใจแข็งแรง เลือดลมดี ผิวพรรณแจ่มใส ช่วยทำให้แก่ช้าลง ความจำ แล้วก็ช่วยอายุยืนนาน
ส่วนสรรพคุณในทางการรักษาโรคถูกกล่าวไว้อย่างล้นหลามเหมือนกัน ได้แก่ แก้ตับแข็ง รักษามะเร็ง รักษาโรคความดัน และก็ภูมิแพ้เป็นต้น
แต่ว่าทีเด็ดเป็น......
มีงานค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเห็ดหลินจือรักษาโรคจากคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งในการทดสอบศึกษาทางคลีนิครวมทั้งรับรองว่าเห็ดหลินจือมีคุณประโยชน์ดังนี้จริง ไม่ใช่แค่ความเชื่อถืออีกต่อไป อันเช่น
-เห็ดหลินจือ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
-ต้านทานเนื้องอกและมะเร็ง
-รักษาโรคทางเดินฉี่
-รักษาโรคหัวใจ
-เห็ดหลินจือ ช่วยให้การนอน
-ลดไขมันในเลือด
-ต่อต้านอนุมูลอิสระ
-สมุนไพร ต้านทานการอักเสบ

18

ถั่งเช่า
คุณหรือแฟน.......มีลักษณะ/เป็นโรค เหล่านี้อยู่หรือไม่?
-ถั่งเช่า น้ำตาลในเลือดสูง เบาหวาน ความดันโลหิต ไขมันเกิน หรือ โคเลสเตอคอยเกิน
-เหนื่อยทำงาน เหนื่องาย หรือมีปัญหาการนอนหลับภูมิแพ้ หอบหืด ภูมิแพ้ หรือภูมิต้านทานอ่อน
-คิดว่าร่างกายเสื่มไว แก่เร็ว หรือผิวเสียเร็ว
-โรคไต มะเร็ง ได้รับทำเคมีบรรเทา/ฉายรังสี(รวมทั้งผู้ที่ไม่ได้อยากต้องการเป็น)
-โรคหัวใจ
ถั่งเช่า ทั้งปวงนี้มีสาเหตุจาก การไม่ดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย การใช้ชีวิตไม่ถูกวิธี พันธุกรมม หรือเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากความเสื่อมของร่างกาย
ในนี้ เราจะมาดูกันว่า..........
งานศึกษาเรียนรู้วิจัยจากทั้งโลกชี้ว่า ถั่งเช่าสมารถยนต์ช่วยโรคหรืออาการเหล่านี้ได้ใช่หรือปล่าว?
รวมถึงท่านที่ยาก.....
-แก่ยืนแข็งแร็ง
-อยากบำรุงสุขภาพและความจำ รวมทั้งบำรุงเลือด ร่างกายรวมทั้งอวัยวะภายใน
-ไม่อยากป่วย และก็ต้องการสมุนไพร ไกลห่างจากโรคภัยน่าสยดสยอง ที่เป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆของไทย
ถั่งเช่าช่วยโรคความดัน
-การค้นคว้าทดลองที่แคลิฟอร์เนีย พบว่าถั่งเช่าสามารถปรับสมดุลความดันโลหิตได้ด้วยหลายกลไก โดยมีอีกทั้งกลไกลทางตรงรวมทั้งทางอ้อม
ถั่งเช่าช่วยลดโคเลสเตอรอคอยลไขมันในเส้นโลหิต
-ที่สถาบันวิจัย NEL Biotech ประเทศเกาหลี พบว่าถั่งเช่าสกัดสามารถลดปริมาณวัวเลสเตอคอยลในเลือดของตัวทดลองได้
ถั่งเช่าแก้เหน็ดเหนื่อยง่าย เพลียเพลีย ช่วยให้ชื่นบาน ดำเนินการได้นานขึ้น สู้งานได้มากขึ้น
-ได้มีการทดสอบในกรุ๊ปคนที่มีลักษณะอาการอ่อนแรงได้ง่าย 53 คนให้26คนทานถั่งเช่า 3 กรัมต่อวัน อีก 27 คนทานยาที่ไม่มีสารออกฤทธ์(กลุ่มควบคุม)หลังจากผ่านไป 3 เดือน กรุ๊ปที่ทานถั่งเช่าหายจากอาการเหนื่อยล้าง่ายได้ถึง 92% ส่วนกรุ๊ปควบคุมหายเพียงแค่14%(5)
ถั่งเช่าช่วยทำให้หลับดี/หลับลึกขึ้น
-จากการให้หนูรับประทานสาร coydcepin ที่เจอในถั่งเช่า 4 ชั่วโมงก่อนนอน รวมทั้งกระทำวัดคลื่นสมอง ชี้ให้เห็นว่าหนูหลับลึกขึ้น รวมทั้งเป็นหลักฐานขึ้นรากฐานว่า Cordycepin สามารถช่วยผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนได้
ถั่งเช่าลดภูมิแพ้/โรคหอบหืด/ไซนัสปักเสบ
-ถั่งเช่าช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนไข้โรคหอบหืดเรื้อรัง จากการทดลองจากกรุ๊ปผู้เจ็บป่วยโรคหอบหืด 120 คน 60 คนทานถั่งเช่าเป็นระยะเวลา 3 เดือน อีกกรุ๊ปได้ทานยาหลอก พบว่าหลุ่มได้รับถั่งเช่ามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น(จากการทดลอง AQLQ)อย่างเป็นจริงเป็นจัง เทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ผลสรุปเป็นถั่งเช่าช่วยโรคหอบหืด ปอด และลดการอักเสบในกลุ่มคนป่วยโรคหอบหืดระดับกลางถึงร้ายแรงได้จริง
-จากการทดสอบในหนู พบว่าถั่งเช่าสกัดช่วยลดอาการอักเสบในระบบทางเดินหายใจได้
สมุนไพร ถั่งเช่าช่วยเสริมภูมิต้านทานให้แข็งแรง
-การทดสอบที่แคนดาพบว่าถั่งเช่าช่วยเสริมรูปแบบการทำงานของเม็ดเลือดขาวและกระตุ้นระบบภูมิต้านทานในหนูได้จริง
ถั่งเช่าช่วยทำนุบำรุงระบบแพร่พันธุ์
-ในจีนได้มีการทดสอบกับคนที่ประสบเจอกับปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ 189 คน โดยให้ทานถั่งเช่า 3 กรัม ต่อวัน เป็นเวลาติดกัน 40 วัน พบว่าสามารถฟื้นฟูสมรรถภาพคนรับการทดสอบได้ถึง 66%
ถั่งเช่าเป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยชะลอวัย ทำให้แก่ช้าลง ผิวพรรณสดใส ไม่ให้ผิวหนังเสื่อมเร็ว
-ได้มีการนำสาร Cordycepi ที่เจอในถั่งเช่า มาทดลองการยับยั้งผลกระทบจากแสงแดดที่มีต่อผิว ผลปรากฎว่าสารดังกล่าวข้างต้นสามารถคุ้มครองปกป้องการเหนียวนำการสร้าง MMP เมื่อผิวโดนรังสี UVB ได้ ซึ่งหมายถึงสามารถป้องกันการเสื่อมของผิวหนังเมื่อโดนแสงแดดได้

ถั่งเช่าช่วยการดูแลรักษาโรคไตเรื้อรัง บำรุงไตแล้วก็ฟื้นฟูแนวทางการทำงานของไตได้
-ได้มีการทดสอบให้คนไข้ไตวายเรื้อรัง 37 คน ทานถั่งเช่า 5 กรัมต่อวันตรงเวลา 1 เดือน ผลปรากฏว่าค่าไตดีขึ้นมาก ยกตัวอย่างเช่น (creatinine,urinary proteins
-ถั่งเช่าช่วยให้ร่างกายสารภาพการปลูกถ่ายไต ได้มีการทดลองเปรียบเทียบในคนป่วยที่ทำการเปลี่ยนถ่ายไต โดยให้ถั่งเช่า 3 กรัม ต่อวันควบคู่ไปกับยาแผนปัจจุบัน ส่วนอีกกลุ่มได้รับเพียงยาแผนปัจจุบันเพียงแค่นั้น ผลคือสาร Cyclosporing ในเลือด รวมทั้งโปรตีนในปัสสาวะของกรุ๊ปที่ได้ทานถั่งเช่า ต่ำกว่ากรุ๊ปไม่ได้ทาน แสดงให้เห็นว่าถั่งเช่าช่วยทำให้ร่างกายคนเจ็บสารภาพการปลูกถ่ายไตก้าวหน้าขึ้นมาก
-ยิ่งไปกว่านี้มีกล่าวว่าการให้คนเจ็บที่หลักการทำงานของไตบกบิดางจากการใช้ยา gentamicin รับประทานถั่งเช่า4.5 กรัม/วัน ส่งผลทำให้ระบบรูปแบบการทำงานของไตดียิ่งขึ้นปกติ 89% เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมภายหลังจากกินถั่งเช่าเพียงแต่ 6 วัน
สมุนไพร ถั่งเช่าฆ่าเนื้องอก ยับยั้งโรคมะเร็ง
-ในปี 2011 ได้มีการนำสาร cordycepin จากถั่งเช่ามาทดลองกับเซลล์ของมะเร็งเต้านมของคนเรา cordycepin สามารถฆ่าเซลล์ของโรคมะเร็งเต้านมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-ที่เกาหลีใต้ได้ทำทดสอบกระตุ้นตัวทดลองให้เกิดมะเร็ง หลังจากนั้นให้หนูกลุ่มหนึ่งทานสารสกัดถั่งเช่า ส่วนอีกกรุ๊ปมิได้รับสารสกัดถั่งเช่า ข้างหลังผ่านไป 21 วัน เจอมะเร็งในกลุ่มตัวทดลองที่ได้รับสารสกัดถั่งเช่ามีขนาดเล็กกว่ากรุ๊ปที่มิได้รับสารสกัดถั่งเช่า
ถั่งเช่าแก้พิษจากการฉายรังสี และแนวทางการทำคีโม
-การทดสอบใน University of Louisville อเมริกา พบว่าสารเบต้ากลูแคน(ซึ้งพบได้ในกลุ่มถั่งเช่า)ช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับฉายเคมีหรือเคมีบำบัดรักษาฟื้นได้เร็ว เพราะกระตุ้นการผลิตเม็ดเลือดขาวให้มีปริมาณเพิ่มสู่สภาวะธรรมดาได้เร็วขึ้น
ถั่งเช่าป้องกันอัมพฤกษ์ อัมพาต ด้วยการคุ้มครองการแข็งตัวของเกล็ดเลือด
-จากการทดสอบในหลอดเลือดทดลอง พบว่าสารโพลีแซคค้างไรค์ในถั่งเช่า สามารถช่วยปกกันการจับตัวของเกล็ดเลือดได้
ถั่งเช่าป้องกันความจำเสื่อม
-ลดการตายของ cell สมอง
ถั่งเช่าช่วยคนไข้โรคหัวใจ
-สมุนไพร ได้มีการทดลองให้คนป่วยโรคหัวใจล้มเหลวเรื้อรังทานถั่งเช่าพร้อมกันไปกับยาแผนปัจจุบัน3-4 กรัมต่อวัน เป็นเวลา 23-29 เดือน พบว่ากรุ๊ปผู้เจ็บป่วยที่ได้รับถั่งเช่าพร้อมกันไปด้วยมีอาการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เทียบกับกรุ๊ปที่ได้รับแม้กระนั้นยาแผนปัจจุบันสิ่งเดียวโดยกรุ๊ปที่ได้รับถั่งเช่ามอาการหายใจถี่ลดน้อยลง ไม่เหน็ดเหนื่อยง่าย สภาพร่างกายและก็จิตใจสมบูรณ์แข็งแร็งขึ้น รวมถึงมีสรรมภาพทางเพศดีขึ้นอีกด้วย

Tags : สมุนไพรถั่งเช่า

19

ถั่งเช่า
ถั่งเช่าถือเป็นสมุนไพรลำดับที่หนึ่งของโลกยุคปัจจุบัน ด้วยสรรพคุณมากไม่น้อยเลยทีเดียวที่ได้จากถั่งเช่า จึงทำให้ไม่ว่าใครก็ต่างเชิดชูให้ ถั่งเช่านั้นเป็นสมุนไพรที่เหมาะสมที่สุด ก่อนหน้าหากเอ่ยถึง ถั่งเช่าคงมีไม่ค่อยเป็นที่รู้จักสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะคนไทยอย่างพวกเราๆแม้กระนั้นลองมาถามขณะนี้สิจะมีคนใดกันแน่บ้างที่ไม่เคยทราบสุดยอดสมุนไพรประเภทนี้ เพราะเหตุว่าในตอนนี้ถั่งเช่านั้นเป็นที่นิยมเป็นอย่างยิ่ง และแพร่หลายด้วยสรรพคุณมากมายก่ายกองอย่างเช่น ช่วยบำรุงรักษาร่ากาย บำรุงเกี่ยวกับทางเดินหายใจรวมไปถึงยังสามารถช่วยเพิ่มสามารถทางเพศได้อีกด้วย ไม่หนำซ้าผู้คนมากยังมั่นใจว่าเจ้าตัว ถั่งเช่านั้นสามารถรักษาโรคมะเร็งก้าวหน้าอีกด้วย
เพราะเหตุไร....ทานถั่งเช่าแล้วบางเจ้าไม่เห็นผล
เพราะอะไรถั่งเช่าถึงแพง
เนื่องจากว่าสมุนไพรถั่งเช่านั้นได้รับความนิยมมากในตอนนี้ทำให้ราคาของสมุนไพรประเภทนี้สูงมากขั้นต่ำเกรดปกติก็ตกอยู่ที่กิโลละ 2-3 แสนบาท แม้กระนั้นถ้าเป็นแบบอย่างดีราคาแพงสุดอยู่ที่2-3 ล้านบาทอย่างยิ่งจริงๆ ต้นสายปลายเหตุที่ทำให้ราคาของ ถั่งเช่าแพงได้ขนาดนี้ก็เพราะถั่งเช่ามิได้หากันกล้วยๆมีเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น แตกต่างจากสมุนไพรจำพวกอื่นๆที่สามารถหากันง่ายดายยิ่งกว่านี้ ถั่งเช่าจะหาได้จากพื้นที่สูงเข้าถึงยาก และมีสภาพภูมิอากาศที่คนปกติทั่วไปไม่สามารถที่จะเข้าไปหาถึงได้อย่างง่ายๆจำเป็นต้องให้คนทื้นที่เป็นผู้เข้าไปหาในป่าแค่นั้น ทั้งยังถั่งเช่ายังมีสรรพคุณยังมีสรรพคุณต่างๆอีกมากมาย อีกทั้งช่วยรักษโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับฟุตบาทหายใจ โรคภูมิแพ้ หรือช่วยบำรุงรักษาของกินลดน้าตาลในเลือด ฯลฯ แถมยังช่วยชะลอความแก่ และช่วยเพิ่มสมรรถทางเพศ ได้ดีอีกด้วย ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานั้นก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ถั่งเช่าราคาแพงแพง แต่ในช่วงเวลานี้มีโรงงานในไทยสามารถเพาะถั่งเช่าได้ โดยไม่ต้องเดินไปเก็บตามเทือกเขาทำให้ราคาต้นทุนถั่งเช่าลดลดลงไปๆมาๆกกว่าครั้งก่อน สามารถควบคุมจำนวนสาระสำคัญได้เป็นเพาะในสภาพควบคุม และก็ยังขจัดปัญหาสารโลหะหนักปนที่ไม่สามารถที่จะควบคุมได้ในธรรมชาติได้อีกด้วย
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย ได้ทำการศึกษาสรรพคุณของถั่งเช่า ด้วยกัน มีการทดลองกับหนูทดลองแล้วก็กรุ๊ปผูรับการทดสอบแบบอย่าง จึงทำให้เราสามารถกล่าวได้ว่าถั่งเช่ามีสรรพคุณดีจังดังที่คนโดยมากหล่าวอ้าง
-ถั่งเช่า ช่วยลด รวมทั้งรักษาสมดุลของน้ำตาลในเลือด
-ช่วยลด และรักษาความสมมองลของระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
-ช่วยแก้อาการเหน็ดเหนื่อยเหน็ดเหนื่อยของร่างกายช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันต่างๆรวมถึงช่วยบำรุงให้กระปรี้กกระไม่ด้วย
-แก้ภูมิแพ้ หอบหืด ไซนัสอักเสบ หรือภูมิคุ้มกันอ่อน
-ช่วยคุ้มครองปกป้องการเกาะบริเวณด้านในเส้นเลือดของไขมันชั่วช้าสารเลว(LDL)
-ช่วยบำรุงรวมทั้งช่วยทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นของแนวทางการทำงานของตับและไต

มองยังไงอันไหนถั่งเช่าเลียนแบบ
สำหรับสมุนไพรถั่งเช่าประเทศทิเบตซึ่งเป็นถั่งเช่าที่มีราคาแพง จึงมีการทำเลียนแบบกันมาก เอาเข้าจริงเกิดเรื่องยากมากๆที่จะดูออกจำเป็นต้องมองหลายอย่าง อย่างไรก็ดีวิถีทางอย่างคร่าวๆก็จะเป็นไปตามนี้
1.ส่วนหัวของ ถั่งเช่านั้นควรจะเป็นแท่งทรงกลมขึ้นเงาคล้ายๆทรงกระบอก
2.เนื่องมาจาก ถั่งเช่าเคยเป็นหนอนมาก่อน ของจริงควรเป็นหยักๆเรียงกันสวยงามเหมือนตัวหนอน
3.ถั่งเช่า ราคาจำเป็นต้องไม่ถูกจนเกินไป ถ้าหากมีคนใดกันเสนอขาย ถั่งเช่าให้พวกเราราคาถูกสันนิฐานไว้ก่อนเลยว่าปลอม
แม้กระนั้นถ้าว่าเป็นถั่งเช่าในแคปซูลเราก็จะต้องดูว่าได้รับการรับรองจากหน่วยงานราชการอย่างถูกต้องหรือเปล่า เพราะเหตุว่าหากเป็นของแท้จะมี ถ้าหากไม่มีแปลว่ามีโอการเป็นของสมุนไพรปลอมสูงมากมาย หรือไม่ไม่เป็นอันตราย
แนวทางทานถั่งเช่าให้ได้ประโยชน์สูงสุด
การที่จะทานถั่งเช่าให้ได้ประโยชนสูงสุดนั้นพวกเราก็ต้องเลือกทานตามแบบของถั่งเช่าเป็นหลัก โดยที่มีหลักๆอยู่ 2 แบบก็คือ แบบธรรมชาติ และก็แบบ แคปซูล
1.ถั่งเช่าแบบธรรมชาติ-หลายๆคนนิยมถั่งเช่าแบบธรรมชาติด้วยการเคี้ยว ซึ้งถือว่าเป็นการกินที่ไม่ค่อยถูกแนวทางเยอะแค่ไหน เนื่องจากว่าคุณลักษณะในตัวถั่งเช่านั้น จะทำงานได้ดิบได้ดีเมื่อถูกความร้อนฉะนั้นควรจะกินแบบที่โนความร้อนดียิ่งกว่าโดยแนวทางที่ออกจะได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดก็คือการนำถั่งเช่าประมาณ 2-3 ตัว ไปแช่ลงไปในน้ำร้อน ทิ้งเอาไว้ซัก 5 นาทีและหลังจากนั้นก็ค่อยนำน้ำมาดื่มจนถึงน้ำหมด จากนั้นให้เพิ่มเติมน้ำร้อน ได้อีก 2 ครั้ง ร่างกายก็จะได้สารคอร์ไดเซปินไปอย่างสมบูรณ์
2.ถั่งเช่าแบบแคปซูล- ตัวสมุนไพรถั่งเช่าแบบแคปซูลเวลาทานจะมองความต้องการเป็นหลักว่า อยากทานเพื่อสุขภาพ หรือเฉพาะเจาะจงที่โรคอะไร และก็ทานตามจำนวนที่เหมาะสม อย่างถ้าหากเราอยากได้ทารเพื่อสุขภาพ ให้ทาน รุ่งเช้า-เย็น อย่างละ 1 แคปซูล เน้นโรคภูมิแพ้แล้วก็อื่นๆทาน ตอนเช้า เย็น อย่างละ 2 แคปซูลเวลาทานจะทานหลังจากนั้นอาหารหรือท้องว่างก็ได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอันตรายหรือกัดกระเพาะ

20
ถั่งเช่ามีประโยชน์ ขายถั่งเช่า

21
ขายถั่งเช่า ประโยชน์ถั่งเช่่า

22
ประโยชน์ถั่งเช่น ขายถั่งเช่า

23

โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
โรคกระดูกรุน เป็นอย่างไร โรคกระดูกพรุนโดยทั่วไปแล้ว เป็นสภาวะที่ปริมาณธาตุ (ที่สำคัญคือแคลเซียม) ในกระดูกลดน้อยลง ร่วมกับความเสื่อมโทรมของเยื่อที่ประกอบเป็นส่วนประกอบภายในกระดูก ทำให้เนื้อหรือมวลกระดูกลดความหนาแน่น จึงเปราะบางแตกหักง่าย รอบๆที่เจอการหักของกระดูกได้บ่อยครั้ง อาทิเช่น ข้อมือ สะโพก แล้วก็สันหลัง  ส่วนความหมายของภาวะกระดูกพรุนหรือโรคกระดูกพรุน คือ ภาวการณ์ที่ความหนาแน่นของมวลกระดูก (bone mineral density : BMD) ลดน้อยลงซึ่งมีผลให้กระดูกเปราะบาง รวมทั้งมีการเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักได้ง่าย โดยใช้ความหนาแน่นของมวลกระดูก เป็นกฏเกณฑ์สำหรับเพื่อการวิเคราะห์สภาวะกระดูกพรุนที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี คริสต์ศักราช1994 โดยเปรียบเทียงค่า BMD ของคนเจ็บกับของวัยหนุ่มสาวที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงโดยใช้ค่า T-score เป็นหลักเกณฑ์ คนที่มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation : SD) ต่ำยิ่งกว่า -2.5 วิเคราะห์ว่ามีภาวการณ์กระดูกพรุน เวลาที่ค่า -1.0 ถึง -2.5 นับว่ามีภาวะกระดูกบาง (osteopenia) และ ค่ามากกว่า -1.0 ถือว่ากระดูกปกติ
โรคกระดูกพรุนเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้มากในคนสูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเพศหญิงวัยหมดประจำเดือน (มักไม่ค่อยพบในเด็กแล้วก็คนวัยหนุ่มวัยสาว นอกจากในกรณีที่มีภาวะปัจจัยเสี่ยง) โดยสตรีมีโอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนสูงถึงปริมาณร้อยละ 30-40 ในขณะที่เพศชายได้โอกาสร้อยละ 13 โดย หญิงช่วงอายุ 10 ปีแรกหลังหมดรอบเดือน กระดูกจะบางลงเร็วมาก ชี้แจงได้ว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการที่ขาดฮอร์โมนเพศหญิงที่มีชื่อว่าเอสโตรเจน นอกเหนือจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้ว ยังมีเหตุที่เกิดจากความเสื่อมโทรมตามวัยซึ่งเจอได้ในเพศชายและเพศหญิง  รวมทั้งเป็นโรคที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามเหตุเพราะจะไม่แสดงอาการตราบจนกระทั่งจะเกิดภาวะแทรกซ้อน(การหักของกระดูกต่างๆเป็นต้นว่า กระดูกข้อมือ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง) ทำให้คนส่วนใหญ่มิได้รับการตรวจหรือรักษา อย่างทันการจนกระทั่งเป็นเหตุให้เกิดการหักของกระดูกตามอวัยวะต่างๆตามที่กล่าวมา (โดยยิ่งไปกว่านั้นกระดูกบั้นท้าย)
                จากการคาดคะเนราวขององค์การอนามัยโลก คาดว่าใน ค.ศ.2050 จะมีคนป่วยเนื่องด้วยกระดูกสะโพกหักมากถึง 6.25 ล้านคน ซึ่งมากขึ้นจากการกล่าวในปี คริสต์ศักราช 1990 ที่มีจำนวนคนเจ็บเพียงแค่ 1.33 ล้านคน เพราะว่าภาวการณ์กระดูกพรุนมีความข้องเกี่ยวกับกระดูกสันหลังสถิติดังที่ได้กล่าวมาแล้วจึงสะท้อนถึงจำนวนผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุนที่จะมากขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มทวีปเอเชียซึ่งพบว่าในจำนวนประชาชน
กระดูกสะโพกหักทั้งโลกในปี ค.ศ.1990 จำนวนร้อยละ 30 เป็นชาวเอเชียและในปี 2050 คาดว่าชาวเอเชียจะประชากรคนเจ็บกระดูกบั้นท้ายหักถึงจำนวนร้อยละ 50 ของประชากรโลกทั้งปวง
สำหรับเมืองไทย (ข้อมูลเมื่อปี 2555) ยังไม่มีคุณวุฒิถึงสถิติโรคกระดูกพรุนเป็นรายปี แต่ว่าจากสถิติปริมาณประชากรคนสูงอายุของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็เลยทำให้ความชุกของโรคกระดูกพรุนเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะในคนที่แก่ตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปจะพบโรคกระดูกพรุนได้มากกว่า 50% โดยพบภาวะกระดูกพรุนรอบๆสันหลังส่วนเอว 15.7-24.7% รอบๆกระดูกบั้นท้าย 9.5-19.3% อุบัติการณ์ของกระดูกสะโพกหักในสตรีวัยหมดระดูที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปได้จำนวน 289 ครั้งต่อราษฎร 1 แสนรายต่อปี
ที่มาของโรคกระดูกพรุน เนื่องด้วยกระดูกประกอบด้วย โปรตีน คอลลาเจน แล้วก็แคลเซียม โดยมีแคลเซียมฟอสเฟตเป็นตัวทำให้กระดูกแข็งแรง ทนต่อแรงดึงรั้ง กระดูกมีการสร้างรวมทั้งสลายตัวอยู่ตลอดระยะเวลา กล่าวคือ ช่วงเวลาที่มีการสร้างกระดูกใหม่โดยใช้แคลเซียมจากอาหารที่กินเข้าไป ก็มีการสลายแคลเซียมในเนื้อกระดูกเก่าออกมาในเลือดแล้วก็ถูกขับออกมาทางฉี่รวมทั้งอุจจาระ ธรรมดาในเด็กจะมีการสร้างกระดูกมากยิ่งกว่าการสลาย ทำให้กระดูกมีการเจริญวัย มวลกระดูกจะค่อยๆมากขึ้นกระทั่งมีความหนาแน่นสูงสุด เมื่ออายุราวๆ ๓๐-๓๕ ปี หลังจากนั้นจะเริ่มมีการสลายกระดูกมากกว่าการสร้าง ทำให้กระดูกค่อยๆบางตัวลงตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสตรีระยะหลังวัยหมดประจำเดือน ซึ่งมีการต่ำลงของฮอร์โมนเอสโทรเจนอย่างรวดเร็ว ฮอร์โมนจำพวกนี้ช่วยการดูดซึมแคลเซียมไปสู่ร่างกายและชะลอการสลายของแคลเซียมในเนื้อกระดูก เมื่อพร่องฮอร์โมนประเภทนี้ก็จะก่อให้กระดูกบางตัวลงอย่างรวดเร็ว กระทั่งเกิดภาวะกระดูกพรุน
ส่วนกลไกการเกิดกระดูกพรุนที่แน่นอนยังไม่รู้ แต่ว่าในพื้นฐานพบว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการเสียสมดุลระหว่างเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) แล้วก็เซลล์ดูดซึมทำลายกระดูก (Osteoclast) ซึ่งการมีกระดูกที่แข็งแรงควรจะมีสมดุลระหว่างเซลล์ทั้งสองแบบนี้เสมอ ซึ่งการเสียสมดุลเกิดได้จากหลายกรณีเป็น

  • อายุ: อายุที่มากขึ้น เซลล์ต่างๆจึงเสื่อมลงและก็เซลล์สร้างกระดูก การผลิตกระดูกก็เลยน้อยลง แต่ว่าเซลล์ทำลายกระดูกยังดำเนินการได้ตามเดิมหรือบางทีอาจทำงานมากขึ้น
  • ฮอร์โมน - การลดระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ในผู้หญิง อย่างการเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กระดูกพรุนรวมทั้งเปราะบางลง ส่วนในเพศชายจะมีความเสี่ยงกำเนิดโรคกระดูกพรุนเมื่อมีการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) ลดลง
  • กรรมพันธุ์ - ผู้ที่มีเครือญาติใกล้ชิดทางเชื้อสายที่มีประวัติมีอาการป่วยด้วยโรคกระดูกพรุน ก็มีความเสี่ยงที่กำลังจะได้รับพันธุกรรมโรคดังที่กล่าวผ่านมาแล้วไปด้วย
  • ความแตกต่างจากปกติสำหรับการทำงานของต่อมแล้วก็อวัยวะต่างๆ- ยกตัวอย่างเช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมพาราต่อมไทรอยด์ ต่อมหมวกไต ไตและก็ตับดำเนินงานไม่ดีเหมือนปกติ
  • โรครวมทั้งการเจ็บป่วย - คนป่วยที่มีสภาวะกระดูกพรุนอาจเป็นเพราะการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆดังเช่น โรคที่เกี่ยวโยงกับตับ ไต กระเพาะ ลำไส้อักเสบ โรคทางเดินอาหาร กรดไหลย้อน โรคความผิดปกติทางการกิน โรคภูมิแพ้ตนเอง โรคแพ้กลูเตน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งกระดูก
  • การบริโภค - ทานอาหารที่มีแคลเซียมไม่พอต่อสิ่งที่ต้องการของร่างกายในการสร้างกระดูกและก็การเจริญเติบโต ทานอาหารที่ทำให้แคลเซียมเสียสมดุล อย่างของกินพวกโปรตีนจากเนื้อสัตว์ซึ่งมีความเป็นกรดสูง น้ำอัดลม ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์ แล้วก็สูบบุหรี่
  • การใช้ยา - คนที่ป่วยและก็จำต้องรักษาด้วยยาบางชนิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน อาทิเช่น กรุ๊ปยาสเตียรอยด์ ก็มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนเช่นกัน เนื่องจากว่าตัวยาบางประเภทจะออกฤทธิ์ไปรบกวนขั้นตอนสร้างกระดูก ยกตัวอย่างเช่น ยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone)
  • การใช้ชีวิตประจำวัน - การนั่งหรืออยู่ในท่าทางท่าใดท่าเดิมเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน หรือการขาดการออกกำลังกายอย่างพอเพียง


อาการของโรคกระดูกพรุน จำนวนมากชอบไม่มีอาการแสดง จนกระทั่งกำเนิดไม่ปกติของส่วนประกอบกระดูก ดังเช่นว่า ปวดข้อมือ บั้นท้าย หรือข้างหลัง (เนื่องจากกระดูกข้อมือ บั้นท้าย หรือสันหลังแตกหัก) ความสูงลดน้อยลงจากเดิม (เพราะเหตุว่าการหักและยุบของกระดูกสันหลัง ซึ่งบางทีอาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เป็นต้น) ถ้าเกิดเป็นโรคกระดูกพรุนประเภททุติยภูมิก็อาจมีอาการแสดงของโรคที่เป็นสาเหตุ
ทั้งยังคนที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะเสี่ยงต่อการหักของกระดูกซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้มากชองสภาวะกระดูกพรุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง รวมทั้งกระดูกข้อมือ ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่อการ
สูญเสียทั้งยังเศรษฐกิจของประเทศชาติและก็คุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และก็โดยส่วนใหญ่จะมีต้นเหตุที่เกิดจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรงหรือมีแรงกระแทกต่ำ ตัวอย่างเช่น กระดูกหักจากการเปลี่ยนท่ายืนหรือนั่ง, กระดูกหักขณะก้มจับของหรือยกของหนัก, กระดูกซี่โครงหักเพียงแค่ไอหรือจาม, กระดูกข้อมือหักจากการใช้มือยันตัวเอาไว้จากการลื่นหรือหกล้ม, กระดูกบั้นท้ายหักจากก้นกระแทกกับพื้น ฯลฯ
กรรมวิธีการรักษาของโรคกระดูกพรุน เนื่องด้วยสภาวะกระดูกพรุนส่วนใหญ่ไม่ปรากฏอาการแสดงที่เปลี่ยนไปจากปกติจนกระทั่งจะเกิดการหักของกระดูก และมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆตัวอย่างเช่น ลักษณะของการปวดเกิดขึ้น การตรวจรวมทั้งวินิจฉัยการสูญเสียมวลกระดูกให้ได้ก่อนที่จะเกิดการหักของกระดูกจึงเป็นหัวข้อสำคัญ โดยหมอจะวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน จากประวัติความเป็นมาอาการ ความเป็นมาเจ็บป่วยต่างๆเรื่องราวออกกำ ลังกาย อายุ การตรวจร่างกาย และจะกระทำวิเคราะห์ด้วยการเอกซเรย์กระดูก ตรวจความหนาแน่นของกระดูก (bone mineral density)  แล้วนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับค่าธรรมดาในเพศรวมทั้งอายุตอนเดียวกัน ถ้าหากกระดูกมีค่ามวลกระดูกน้อยกว่า 1.00 gm/cm2 จะได้โอกาสกระดูกหักได้ง่าย ซึ่งการแบ่งกระดูกตามค่ามวลกระดูกจะแบ่งได้เป็น 4 จำพวก ดังต่อไปนี้

  • กระดูกปกติ (Normal bone) คือ กระดูกมีค่ามวลกระดูกอยู่ในตอน 1 ความเบี่ยงเบนมาตรฐานจากค่าถัวเฉลี่ย (-1 SD)
  • กระดูกบาง (Osteopenia)หมายถึงกระดูกมีค่ามวลกระดูกอยู่ระหว่างตอน -2.5 ความเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (-1 ถึง -2.5 SD )
  • กระดูกพรุน (Osteoporosis)หมายถึงกระดูกที่มีค่ามวลกระดูกอยู่ต่ำลงมากยิ่งกว่าค่าเฉลี่ยเกินกว่า 2.5 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (ต่ำกว่า -2.5 SD)
  • กระดูกพรุนอย่างรุนแรง (Severe or Established osteoporosis)หมายถึงกระดูกที่มีค่ามวลกระดูกอยู่ต่ำลงมากยิ่งกว่าค่าถัวเฉลี่ยมากยิ่งกว่า 2.5 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานร่วมกับการมีกระดูกหัก


การตรวจด้วย dual-energy x-ray absorptiometry (DEXA) ได้รับการยินยอมรับว่าเป็นกรรมวิธีตรวจที่เป็นมาตรฐาน (gold standard) มีความถูกต้องแม่นยำที่สุดสำหรับการวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกแม้จะสูญเสียมวลกระดูกไปเพียงจำนวนร้อยละ  1 ก็ตาม กระบวนการรักษาโรคกระดูกพรุนเป็น เพิ่มหลักการทำงานของเซลล์สร้างกระดูกและหยุดหรือลดการทำงานของเซลล์ทำลายกระดูก
โดยหมอจะมีแนวทางการรักษาคนที่มีสภาวะกระดุพรุน ดังต่อไปนี้

  • สำหรับคนเจ็บที่มีกระดูกพรุน โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะให้รับประทานแคลเซียม เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต ครั้งละ ๖๐๐-๑,๒๕๐ มก. วันละ ๒ ครั้ง และอาจให้วิตามินดีวันละ ๔๐๐-๘๐๐ มิลลิกรัม ร่วมด้วยในรายที่อยู่แต่ว่าในร่ม (ไม่ได้รับแสงแดด) ตลอดเวลา
  • สำหรับหญิงข้างหลังวัยหมดระดู หมอบางทีอาจตรึกตรองให้ฮอร์โมนเอสโทรเจนชดเชย ยกตัวอย่างเช่น conjugated equine estrogen (ชื่อทางด้านการค้า อย่างเช่น Premalin) ๐.๓-๐.๖๒๕ มิลลิกรัม หรือ micronized estradiol ๐.๕-๑ มิลลิกรัม วันละครั้ง ในรายที่มีข้อกำหนดใช้หรือมีผลใกล้กันมากมาย บางทีอาจให้ราล็อกสิฟิน (raloxifene) แทนในขนาดวันละ ๖๐-๑๒๐ มก. ยานี้ออกฤทธิ์คล้ายเอสโทรเจน แต่ว่าส่งผลข้างๆน้อยกว่า
  • สำหรับเพศชายสูงอายุที่มีสภาวะฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนร่วมด้วย อาจจะต้องให้ฮอร์โมนประเภทนี้เสริม
ยิ่งไปกว่านี้ บางทีอาจตรึกตรองให้ยากระตุ้นการดูดซึมแคลเซียม และ/หรือยาลดการสลายกระดูกเสริมเติมแก่ผู้เจ็บป่วยบางราย ยกตัวอย่างเช่น

  • ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนต (bisphosphonate) ที่นิยมใช้ได้แก่ อะเลนโดรเนต (alendronate) ๑๐ มก. ให้กินวันละ ๑ ครั้ง หรือ ๗๐ มก. สัปดาห์ละ ๑ ครั้ง ยานี้ช่วยลดการสลายกระดูก รวมทั้งเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก ป้องกันการแตกหักของกระดูกสันหลังแล้วก็สะโพก เหมาะกับผู้ป่วยชาย คนป่วยหญิงที่มิได้รับฮอร์โมนตอบแทน และก็ใช้ปกป้องภาวะกระดูกพรุนในคนที่จำต้องกินยาสตีรอยด์นานๆ
  • แคลซิโทนิน (calcitonin) มีประเภทพ่นจมูกแล้วก็ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ยานี้ช่วยลดการสลายกระดูก แล้วก็มีคุณประโยชน์สำหรับการใช้ลดลักษณะของการปวด เพราะเหตุว่าการแตกหักรวมทั้งยุบตัวของกระดูกสันหลังอีกด้วย


คนไข้ควรต้องใช้ยาเป็นประจำ หมอจะนัดมาตรวจเป็นระยะ อาจต้องทำตรวจกรองมะเร็งเต้านมและปากมดลูก (สำหรับคนที่กินเอสโทรเจน) ปีละ ๑ ครั้ง ตรวจความหนาแน่นของกระดูกทุก ๒-๓ ปี เอกซเรย์ในรายที่สงสัยมีกระดูกหัก เป็นต้น
ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น กระดูกหัก ก็ให้การรักษา เป็นต้นว่า การเข้าเฝือก การผ่าตัด การทำกายภาพบำบัด ฯลฯ
ในรายที่มีโรคหรือภาวการณ์ที่เป็นต้นเหตุของโรคกระดูกพรุนจำพวกทุติยภูมิ ก็ให้การรักษาไปพร้อมๆกัน
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำไปสู่โรคกระดูกพรุนนั้น ปัจจัยเสี่ยงอยู่ 2 จำพวกหมายถึงปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงได้ และ สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ (ตารางที่ 1) ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหลายต้นเหตุก็จะมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน และก็จะได้โอกาสสูงที่จะกำเนิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน

สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของการเกิดสภาวะกระดูกพรุน
ปัจจัยที่แก้ไขไม่ได้            ต้นเหตุที่ปรับปรุงแก้ไขได้

  • อายุ(คนชรา 65 ปีขึ้นไป)
  • เพศ (หญิง)
  • เชื้อชาติ (ชาวผิวขาวหรือชาวเอเชีย)
  • กรรมพันธุ์ (เรื่องราวคนในครอบคัวโดยยิ่งไปกว่านั้นมารดา)
  • รูปร่างเล็ก ซูบผอม บาง
  • หมดประจำเดือน ก่อนอายุ 45
  • มีพยาธิภาวะที่ต้องผ่าตัดเอารับไข 2 ข้างออกก่อนหมดรอบเดือน
  • เคยกระดูกหักจากภาวการณ์กระดูกเปราะบาง •             ขาดฮอร์โมนเพศ : estrogen
  • หมดประจำเดือน
  • กินแคลเซียมน้อย บริโภคเกลือทะเลแล้วก็เนื้อสัตว์สูง
  • สูบบุหรี่ กินเหล้า ดื่มกาแฟ
  • ขาดการออกกำลังกาย
  • ได้รับยาบางจำพวก ยกตัวอย่างเช่น glucocorticosteroids แล้วก็ thyroid hormone เป็นต้น
  • เป็นโรคบางจำพวก ตัวอย่างเช่น chronic illness, kidney disease , hyperthyroidism , และ Cushing’s syndrome ฯลฯ
  • มี BMI (ดัชนีมวลกาย)ต่ำกว่า 19 กก./ตารางเมตร


การติดต่อของโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่ร่างกายมีสภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดต่ำลงมากยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน ซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากกลไกการสลายตัวของเซลล์สร้างกระดูก ทำให้ความสมดุลของเซลล์สร้างกระดูกและก็เซลล์ดูดซึมทำลายกระดูกสูญเสียไป ซึ่งมีมากหลายสาเหตุ แต่โรคกระดูกพรุนนี้ไม่ใช่โรคติดต่อเพราะไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคกระดูกพรุน

  • รับประทานวิตามินเกลือแร่เสริมอาหาร หรือยาต่างๆตามหมอแนะนำ
  • การกินของกินมีคุณประโยชน์ 5 กลุ่มครบบริบรูณ์ทุกวันในจำนวนพอดีที่
  • บริหารร่างกายบ่อยพอควรกับสุขภาพ
  • เลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่เลี่ยงได้
  • ไปพบหมอจากที่แพทย์นัดหมายเสมอๆ
  • หมั่นดูแลความเป็นระเบียบในบ้าน รวมถึงไม่วางของเกะกะตามทางเดินที่อาจจะก่อให้ลื่นล้มหรือมีการชนจนกระทั่งทำให้กระดูกหักได้
การปกป้องตัวเองจากโรคกระดูกพรุน

  • ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนจากที่กล่าวมา ควรขอความเห็นแพทย์เพื่อตรวจกรองโรคกระดูกพรุน ได้แก่ หญิงวัยหมดระดู, ผู้สูงวัย, ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานานๆ, ผู้ที่มีโรคที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวการณ์กระดูกพรุน ฯลฯ
  • กินแคลเซียมให้พอเพียงแต่ละวันให้พอเพียงต่อความจำเป็นของร่างกาย(ดังตารางดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว)


อายุปริมาณแคลเซียมที่อยาก (mg/day)
ทารก – 6 เดือน
6 เดือน – 1 ปี
1 ปี – 5 ปี
6 ปี – 10 ปี
11 ปี – 24 ปี
ผู้ชาย
25 ปี – 65 ปี
มากกว่า 65 ปี
ผู้หญิง
25 ปี – 50 ปี
มากกว่า 50 ปี (ข้างหลังวัยหมดประจำเดือน)
 
อายุ        400
600
800
800-1200
1200-1500
1000
1500 
1000
 
 
ปริมาณแคลเซียมที่อยาก (mg/day)
  -ได้รับการดูแลรักษาด้วย estrogen
  - ไม่ได้รับการรักษาด้วย estrogen
อายุมากกว่า 65 ปี
ระหว่าท้อง หรือให้นมลูก            1000
1500
1500
1200-1500
โดยอาหารที่มีแคลเซียมสูง ยกตัวอย่างเช่น นม เนยแข็ง ปลาที่กินได้กระดูก (ดังเช่น ปลาไส้ตัน) กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง ผักสีเขียวเข้ม (ยกตัวอย่างเช่น คะน้า ใบชะพู) งาดำคั่ว
แนวทางปฏิบัติ สำหรับเด็กและวัยรุ่นควรจะดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว ผู้ใหญ่แล้วก็คนแก่ดื่มนมวันละ 1-2 แก้วบ่อยๆ จะมีผลให้ได้รับแคลเซียมจำนวนร้อยละ 50 ของปริมาณที่ต้องการ ส่วนแคลเซียมที่ยังขาดให้รับประทานจากของกินแหล่งอื่นๆประกอบ
คนแก่บางคนที่มีความจำกัดสำหรับในการดื่มนม (ตัวอย่างเช่น มีภาวะไขมันในเลือดสูง อ้วน เป็นโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด) ให้เลือกกินเนยแข็ง นมเปรี้ยว นมพร่องมันเนย แทน หรือบริโภคของกินที่มีแคลเซียมสูงในแต่ละมื้อให้มากยิ่งขึ้น

  • ออกกำลังกายเสมอๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังที่มีการถ่วงหรือต้านน้ำหนัก (weight bearing) เช่น การเดิน การวิ่ง เต้นแอโรบิก กระโดดเชือก รำมวยจีน เต้นรำ ฯลฯ ร่วมกับการยกน้ำหนัก จะช่วยทำให้มีมวลกระดูกมากยิ่งขึ้น และก็กระดูกมีความแข็งแรง ทั้งยังแขน ขา และกระดูกสันหลัง
  • รักษาน้ำหนักตัวอย่าให้ต่ำกว่ามาตรฐาน (ผอมบางเกินไป) เพราะคนผอมบางจะมีมวลกระดูกน้อย มีความเสี่ยงต่อกระดูกพรุนได้
  • รับแดด ช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี ซึ่งเป็นฮอร็ความนิ่งกระตุ้นการสร้างกระดูก ในบ้านเราคนโดยมากจะได้รับแสงแดดเพียงพออยู่แล้ว เว้นแต่ในรายที่อยู่แต่ในบ้านตลอดระยะเวลา ก็ควรออกไปรับแดดอ่อนๆรุ่งเช้าหรือยามเย็น วันละ 10-15 นาที อาทิตย์ละ 3 วัน ถ้าเกิดอยู่แต่ว่าในที่ร่ม ไม่ถูกแสงอาทิตย์ บางทีอาจจะต้องกินวิตามินดีเสริมวันละ 400-800 มก.
  • หลบหลีกพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดสภาวะกระดูกพรุน ได้แก่
  • อดอาหารจำพวกโปรตีนหรือเนื้อสัตว์มากเกินความจำเป็น เพราะว่าอาหารเหล่านี้จะทำการกระตุ้นให้ไตขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะมากเกินปกติ
  • อดอาหารเค็มจัดหรืออาหารที่มีโซเดียมสูง เพราะเหตุว่าเกลือโซเดียมจะก่อให้ไส้ซึมซับแคลเซียมได้ลดลง แล้วก็เพิ่มการขับแคลเซียมทางไตเพิ่มมากขึ้น
  • ไม่ดื่มน้ำอัดลมจำนวนมาก เนื่องจากกรดฟอสฟอริกในน้ำอัดลมกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการสลายแคลเซียมออกมาจากกระดูกเพิ่มมากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ ช็อกโกแลต ในปริมาณมาก ด้วยเหตุว่าแอลกอฮอล์รวมทั้งคาเฟอีนในเครื่องดื่มเหล่านี้จะขวางการดูดซึมแคลเซียมของลำไส้เล็ก (กาแฟไม่สมควรดื่มเกินวันละ ๓ แก้ว แอลกอฮอล์ไม่เกินวันละ ๒ หน่วยดื่ม ซึ่งเสมอกันแอลกอฮอล์สุทธิ ๓๐ มิลลิลิตร)
  • งดการสูบยาสูบ เนื่องจากว่ายาสูบทำให้มีการเกิดการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกเยอะขึ้น (เพราะลดระดับเอสโทรเจนในเลือด)
  • ระวังการใช้ยาบางจำพวก ดังเช่นว่า ยาสตีรอยด์ ซึ่งจะเร่งการขับแคลเซียมออกมาจากร่างกาย
  • รักษาโรคหรือภาวะที่ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน ดังเช่นว่า ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน โรคคุชชิง
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน / รักษาโรคกระดูกพรุน
เพชรสังฆาต ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus guadrangu laris L. สกุล Vitaceae "เพชรสังฆาต" เป็นสมุนไพรที่ใช้บำรุงกระดูกมาตั้งแต่อดีตกาล ในพระคู่มือสรรพลักษณะ เอ๋ยถึงคุณประโยชน์ของ "เพชรสังฆาต" ไว้ว่า "เพชรสังฆาต แก้จุกเสียด แก้บิด แก้ปวดในข้อในกระดูก ชอบแก้ลมทั้งหมดแล" ในตำราเรียนแพทย์แผนโบราณทั่วๆไป สาขาเภสัชกรรม ของกองประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข พูดว่า "เพชรสังฆาต" มีคุณประโยชน์ แก้กระดูกแตก หัก ซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก ส่วนแพทย์พื้นบ้านนั้นใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกบริเวณกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบได้
ตอนนี้ได้มีงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งรับรองสรรพคุณรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน อุดมด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีส่วนประกอบของแคลเซียมสูงมาก แล้วก็สารอทุ่งนาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic  Steroids) มีฤทธิ์เร่งปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการผลิตเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่สร้างกระดูกแล้วก็ยังช่วยทำให้มีการสร้างสารมิวโคโพลีแซกติดอยู่ไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในกรรมวิธีสมานกระดูก ยิ่งกว่านั้นสารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีนที่มาจับกุมกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตจนถึงเปลี่ยนเป็นกระดูกแข็งซึ่งสามารถรับน้ำหนักรวมทั้งมีความยืดหยุ่นในตนเอง
ผลของการทดสอบการใช้เถาเพชรสังฆาตในสตรีวัยทองซึ่งเป็นกรุ๊ปเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน พบว่าช่วยเพิ่มมวลกระดูกแล้วก็รักษากระดูกแตก กระดูกหักได้
ฝอยทองคำ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuscuta chinensis Lam. ตระกูล Convlvulaceae ในประเทศจีนและบางประเทศในแถบเอเชีย ได้มีการใช้เม็ดฝอยทองคำสำหรับในการรักษาโรคกระดูกพรุน จากการวิเคราะห์ทางเคมีพบว่า สารประกอบที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลเป็นสารในกรุ๊ป astragalin, flavonoids, quercetin, hyperoside isorhamnetin รวมทั้ง kaempferol เมื่อเอามาทดลองฤทธิ์พบว่าสาร kaempferol และก็ hyperoside สามารถเพิ่มฤทธิ์ของ alkaline phosphatase (ALP) ในเซลล์ osteoblast-like UMR-106 โดยที่ ALP เป็นตัวชี้สำหรับเพื่อการเพิ่มการผลิตเซลล์กระดูกของเซลล์ตั้งต้น แล้วก็สาร astragalin ยังกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ UMR-106
ด้วย ส่วนสารอื่นๆไม่พบว่ามีฤทธิ์ดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว นอกเหนือจากนั้นยังพบว่าสารที่แยกได้มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน โดยสาร quercetin, kaempferol แล้วก็ isorhamnetin ออกฤทธิ์กระตุ้น ERβ (estrogen receptor agonist) แต่เมื่อเปรียบเทียบกันในทางของการกระตุ้น ER จะมีเพียงแต่สาร quercetin แล้วก็ kaempferol ที่ออกฤทธิ์แรงสำหรับการยับยั้งตัวรับ estrogen ประเภท ERα/β โดยที่กลไกดังที่ได้กล่าวมาแล้วคาดว่าจะเทียบกับยา raloxifene ที่ออกฤทธิ์กระตุ้น ER ที่บริเวณกระดูก ไขมัน หัวใจแล้วก็เส้นเลือด แต่ว่าออกฤทธิ์ยับยั้ง ER ที่บริเวณเต้านมและมดลูก
นอกเหนือจากนี้สาร quercetin และ kaempferol ยังกระตุ้นการแสดงออกของ ERα/β-mediated AP-1 reporter (activator protein) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูก เช่นเดียวกับยา raloxifene จากการทดลองทั้งสิ้นทำให้สรุปได้ว่าเม็ดฝอยทองคำมีประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการรักษาโรคกระดูกพรุน แล้วก็สารสำคัญที่มีฤทธิ์สำหรับเพื่อการสร้างเซลล์กระดูกเป็น kaempferol แล้วก็ hyperoside
เอกสารอ้างอิง

  • สุภาพ อารีเอื้อ,สินจง โปธิบาล .ภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ : ทำไมต้องรอจนกระดูกหัก? .รามาธิบดีพยาบาลสาร.ปีที่7.ฉบับที่3.กันยายน-ธันวาคม.2544 หน้า 208-218
  • Liscum B. Osteoprosis : The silent disease. Orthopaedic Nursing 1992; 11:21-5.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Gaisworthy TD & Wilson PL. Osteoporo

24
มะกรูด
ชื่อสมุนไพร  มะกรูด
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น มะขูด , มะขุน (ภาคเหนือ) , ส้มมั่วผี , ส้มกรูด (ภาคใต้) , โกร้ยเชีด (เขมร) , มะขู (แม่ฮ่องสอน)
ชื่อสามัญ    Kaffir lime , Mauritius papeda , Leech lime
ชื่อวิทยาศาสตร์  Citrus hystrix DC.
สกุล  RUTACEAE
ถิ่นกำเนิด เป็นพืชเครือญาติส้ม และก็มะนาว เป็นพืชท้องถิ่นในเขตร้อนชื้นแถบประเทศเอเซียอาคเนย์ ตัวอย่างเช่น ไทย เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา ฯลฯ  ซึ่งถูกจัดเป็นไม้ผล สำหรับมะกรูดในประเทศไทยนั้น  ชาวไทยคงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เนื่องจากว่าเป็นสมุนไพรคู่ห้องครัวไทยมาอย่างยาวนาน เพราะเหตุว่านิยมใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องแกงที่ต้องอย่างห้ามให้ขาดเลยเด็ดขาดเลย (ซึ่งปกติแล้วเรามักจะนิยมใช้ใบมะกรูดรวมทั้งผิวมะกรูดมาเป็นส่วนประกอบของพริกแกง) นอกเหนือจากนี้มะกรูดก็ยังมีคุณประโยชน์ในด้านอื่นๆอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในด้านของความงดงามและก็ในด้านของยาสมุนไพร ทั้งยังยังนับว่าเป็นไม้มงคลที่นิยมนำมาปลูกไว้บริเวณบ้านอีกด้วย เพราะเหตุว่าเชื่อว่าจะทำให้ผู้อาศัยสุขสบาย โดยชอบปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวบ้าน
ลักษณะทั่วไป
มะกรูด เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เนื้อไม้เป็นเนื้อแข็ง เปลือกเรียบมีสีน้ำตาลอ่อน ลำต้นแตกกิ่งก้านจำนวนไม่ใช่น้อยตั้งแต่ระดับล่างของลำต้นทำให้มีลักษณะเป็นพุ่มไม้ ตามลำต้น แล้วก็กิ่งมีหนามแหลมยาว ใบมะกรูด เป็นใบประกอบ ออกเป็นใบโดดเดี่ยว มีก้านใบแบออกเป็นครีบเหมือนแผ่นใบ ใบมีลักษณะดก เรียบ มีผิวมัน สีเขียว แล้วก็เขียวเข้มตามอายุของใบ ใบมีคอดกิ่วที่กึ่งกลางใบทำให้ใบแบ่งออกเป็น 2 ตอน หรือ คล้ายใบไม้ 2 ใบ ต่อกัน ขนาดใบกว้างประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร ยาวราวๆ 5-12 ซม. ใบมีกลิ่นหอมมากมายเพราะว่ามีต่อมน้ำมันอยู่  ดอกมะกรูดเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ดอกออกเป็นช่อมีสีขาว แทงออกรอบๆส่วนยอดหรือตามซอกใบ แต่ละช่อมีดอกโดยประมาณ 1-5 ดอก หลีบดอกมีสีขาวครีม 5 กลีบ มีขนปกคลุม ด้านในดอกมีเกสรมีสีเหลือง ดอกมีกลิ่นหอมหวนนิดหน่อย และเมื่อแก่จะหล่นง่าย  ผลมะกรูดหรือลูกมะกรูด มีลักษณะค่อนข้างกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5-7 ซม. ผลเหมือนผลส้มซ่า ผลมีขนาดใหญ่กว่ามะนาวน้อย รูปแบบของผลมีรูปร่างนาๆประการแล้วแต่ประเภท เปลือกผลค่อนข้างหนา ผิวเปลือกมีสีเขียวเข้ม ผิวตะปุ่มตะป่ำเป็นลูกคลื่นหรือเป็นปุ่มนูน ข้างในเปลือกมีต่อมน้ำมันหอมระเหยจำนวนมาก มีจุกที่หัว แล้วก็ด้านหลังของผล เมื่อสุก ผลจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง  ข้างในผลประกอบด้วยเนื้อฉ่ำน้ำ มีเมล็ดแทรกบริเวณกึ่งกลางผล 5-10 เมล็ด เนื้อผลมีรสเปรี้ยวผสมขมบางส่วน
การขยายพันธุ์   การขยายพันธุ์มะกรูดสามารถทำได้ด้วยหลายแนวทาง ยกตัวอย่างเช่น การทำหมันกิ่ง การทาบกิ่ง การต่อว่าดตา การต่อยอด รวมทั้งการเพาะเม็ด แม้กระนั้นวิธีที่ได้รับความนิยม ดังเช่น การทำหมันกิ่ง การต่อยอด และการเพาะด้วยเม็ด เมื่อได้ต้นกล้าที่จะนำไปปลูกแล้ว ลำดับต่อไป ให้ขุดหลุม ให้ขนาดหลุมกว้าง x ยาว x ลึก ราวๆ 50 x 50 x 50 ซม. รองก้นหลุมด้วยขี้วัวผสมดิน กรีดถุงสีดำออก น้ำต้นกล้าลงปลูก กลบดิน รดน้ำ ปกคลุมฟาง และทำหลักปักกับต้นเพื่อกันโยกเวลาลมพัด  โดยปกตินิยมนำมาปลูกมะกรูดระยะติด คือ 2×2 เมตร 1 ไร่จะได้มะกรูด 400 ต้น แม้ปลูกระยะ 1.5 x 1.5 เมตร 1 ไร่จะได้ 1067 ต้น สำหรับเพื่อการปลูกระยะติดนี้จะเป็นการปลูกมะกรูดเพื่อใบ เนื่องมาจากมีการตัดใบจำหน่ายทุกๆ3 – 4 เดือน พุ่มมะกรูดก็จะไม่ชิดกันมาก  ถ้าหากอยากได้ปลูกเพื่อขายเป็นลูกมะกรูด ผู้ปลูกอาจปลูกระยะห่าง 4 x 4 เมตร 1 ไร่จะได้ 200 ต้น หรือ 5 x 5 เมตร 1 ไร่จะได้ 65 ต้น เป็นต้น
สำหรับมะกรูดปลูกได้ดีในดินทุกประเภทแล้วก็ระยะปลูกมะกรูดนั้น ปลูกได้หลายระยะขึ้นกับจุดหมายแล้วก็พื้นที่ของผู้ปลูกดังกล่าว
องค์ประกอบทางเคมี นํ้ามันหอมระเหยมะกรูดมี 2 ส่วนมากๆเป็น สารในกรุ๊ปเทอร์พีน ( terpenes) รวมทั้งสารที่ไม่ใช่กลุ่มเทอร์พีน ( non-terpene) หรือ oxygenated compounds เป็นต้นว่า ในผิวมะกรูดมีน้ำมันระเหยง่ายร้อยละ 4 มีองค์ประกอบหลักเป็น “เบตาไพนีน” (beta-pinene) ราวๆจำนวนร้อยละ 30 , “ลิโมนีน” (limonene)  ราวๆปริมาณร้อยละ 29 , beta-phellandrene, citronellal นอกเหนือจากนี้ยังพบ linalool, borneol, camphor, sabinene, germacrene D, aviprin   
ที่มา :  Wikipedia
       สารกลุ่มคูมาริน เป็นต้นว่า umbelliferone, bergamottin,  oxypeucedanin, psoralen, N-(iminoethyl)-L-ornithine (L-NIO)       น้ำจากผลเจอกรด citric
ส่วนในใบมะกรูดเมื่อกลั่นด้วยไอน้ำ จะได้น้ำมันระเหยง่ายประมาณปริมาณร้อยละ 0.08 มีองค์ประกอบหลักเป็น “แอล-ซิโตรเนลลาล”(l-citronellal) ราวๆร้อยละ 65, citronellol, citronellol acetate ยิ่งไปกว่านี้ยังพบ sabinene, alpha-pinene, beta-pinene, alpha –phellandrene, limonene, terpinene, cymene, linalool รวมทั้งสารอื่นที่เจอเป็นต้นว่า indole alkaloids, rutin, hesperidin, diosmin, alpha-tocopherol ส่วนค่าทางโภชนาการของมะกรูดนั้นสามารถแยกได้ดังนี้
ค่าทางโภชนาการของใบมะกรูด (100 กรัม)

  • พลังงาน 171 กิโลแคลอรี่
  • โปรตีน 6.8 กรัม
  • ไขมัน 3.1 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 29.0 กรัม
  • เส้นใย 8.2 กรัม
  • แคลเซียม 1672 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 20 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 3.8 มก.
  • วิตามินเอ 303 ไมโครกรัม
  • ไทอามีน 0.20 มิลลิกรัม
  • ไรโบฟลาวิน 0.35 มก.
  • ไนอาสิน 1.0 มก.
  • วิตามินซี 20 มิลลิกรัม
  • ขี้เถ้า 4.0 กรัม


คุณค่าทางโภชนาการของผิวลูกมะกรูด (100 กรัม)

  • คาร์โบไฮเดรต 21.3 กรัม
  • โปรตีน 2.8 กรัม
  • ไขมัน 1.1 กรัม
  • ใยอาหาร 3.4 กรัม
  • แคลเซียม 322 มก.
  • ฟอสฟอรัส 62 มก.
  • เหล็ก 1.7 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 1 0 มก.
  • วิตามินบี 2 0.13 มก.
  • วิตามินซี 115 มิลลิกรัม


คุณค่าทางโภชนาการของน้ำมะกรูด (100 กรัม)

  • คาร์โบไฮเดรต 10.8 กรัม
  • โปรตีน 0.6 กรัม
  • ไขมัน 0 กรัม
  • ใยอาหาร 0 กรัม
  • แคลเซียม 20 มก.
  • ธาตุฟอสฟอรัส 20 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 0.6 มก.
  • วิตามินบี 1 0.02 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 58 มก.
  • วิตามินซี 55 มก.
ประโยชน์/คุณประโยชน์
ใบมะกรูดและก็น้ำมะกรูดสามารถใช้กำจัดกลิ่นคาวในของกินแล้วก็ใช้สำหรับการเตรียมอาหารรวมทั้งแต่งกลิ่นคาวหวานของอาหาร ตัวอย่างเช่น ต้มยำ แกงเผ็ด ผัดเผ็ด ฉู่ฉี่ ห่อหมก อื่นๆอีกมากมาย มีการนำเปลือกของมะกรูดมาใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องแต่งตัวบางจำพวก ตัวอย่างเช่น สบู่ แชมพูมะกรูดหรือแชมพูมะกรูด สินค้าคุ้มครองยุงรวมทั้งแมลง เป็นต้น ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของมะกรูดนั้นมีดังนี้
แบบเรียนยาไทย: ใบมะกรูด มีรสปร่า หอม แก้ไอ แก้คลื่นไส้เป็นโลหิต แก้ช้ำใน กัดเสลดในคอ แก้น้ำลายเหนียว กัดเถาดานในท้อง แก้เมนส์เสียฟอกโลหิตเมนส์ ขับรอบเดือน ขับลมในไส้ แก้จุกเสียด ผิว มีรสปร่าหอม ร้อน เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้แน่น ขับประจำเดือน ขับผายลม เป็นยาบำรุงหัวใจ ผล ดองเป็นยาฟอกโลหิตในสตรี ช่วยขับประจำเดือน ขับลมในไส้ แก้จุกเสียด ลักปิดลักเปิด น้ำมันจากผิวช่วยคุ้มครองป้องกันรังแค แล้วก็ทำให้เส้นผมดกดำเป็นเงาสวย ผล รสเปรี้ยว กัดเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว กัดเถาดานในท้อง แก้รอบเดือนเสีย ฟอกโลหิตประจำเดือน ขับเมนส์ ขับลมในไส้ ทำลายพิษผิดสำแดง ผล ปิ้งไฟให้สุก ผ่าครึ่งลูก เอาเช็ดฟอกสระผม ทำให้ผมดกดำเป็นเงางาม นุ่มสลวย แก้คัน แก้รังแค แก้ชันนะตุ ทำให้ผมสะอาดแพทย์ตามต่างจังหวัดใช้ผลเอาไส้ออก ใส่มหาหิงคุ์แทน สุมไฟให้ไหม้เกรียม บดปัดกวาดปากลิ้นเด็กทารก ขับขี้เทา ขับลม แก้ปวดท้องในเด็ก หรือใช้ผลสดนำมาผิงไฟให้เกรียม แล้วละลายให้เข้ากับน้ำผึ้ง ใช้ทาลิ้นให้เด็กที่เกิดใหม่ ยาท้องถิ่นบางถิ่นใช้น้ำมันมะกรูดดองยาที่เรียกว่า “ยาดองเปรี้ยวเค็ม” ที่ใช้รับประทานเป็นยาฟอกเลือดในสตรี น้ำผลมะกรูด มีรสเปรี้ยว แก้เสลดในคอ แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิตประจำเดือน ขับลมในไส้ และใช้ถนอมยาไม่ให้บูดเน่า แก้อาการท้องอืด ช่วยเจริญอาหาร ใช้สระผมกันรังแค  เนื้อของผล แก้ปวดหัว
หนังสือเรียนยาไทย: ผิวมะกรูดจัดอยู่ใน “เปลือกส้ม 8 ประการ” ประกอบด้วย ผิวส้มเขียวหวาน ผิวส้มจีน ผิวส้มซ่า ผิวส้มโอ ผิวส้มตรังกานู ผิวมะงั่ว ผิวมะนาว หรือผิวส้มโอมือ แล้วก็ผิวมะกรูด มีคุณประโยชน์แก้ลมกองละเอียด กองหยาบ แก้เสลดโลหะ ใช้ปรุงยาหอม แก้ทางลม
           ในตำราเรียนพระยารักษาโรคพระนารายณ์: เจาะจงตำรับ “น้ำมันมหาจักร” ตระเตรียมได้ง่าย ใช้เครื่องยาน้อยสิ่ง หาซื้อได้ง่าย ในตำรับให้ใช้น้ำมันงา 1 ทะนาน (ขนาดทะนาน 600) มะกรูดสด 30 ลูก ปอกมัวแต่ผิว ตระเตรียมโดยการเอาน้ำมันงาตั้งไฟให้ร้อน เอาผิวมะกรูดใส่ลง ทอดจนถึงเหลืองเกรียมก็ดีแล้วให้ชูน้ำมันลง กรองเอากากออก ทิ้งเอาไว้ให้เย็น แล้วเอาเครื่องยาอีก 7 สิ่ง บดให้เป็นผงละเอียด ใส่ลงในน้ำมันที่ได้ เครื่องยาที่ใช้มี เทียนทั้ง 5 (เทียนตาตั๊กแตน เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนแดง รวมทั้งเทียนดำ) หนักสิ่งละ 2 สลึง ดีปลีหนัก 1 บาท แล้วก็การบูรหนัก 2 บาท สรรพคุณ ใช้ยอนหู แก้ลม แก้ริดสีดวง แก้ยุ่ยคันก็ได้ ทาแก้เมื่อยขบ รวมทั้งใส่บาดแผล ที่มีอาการปวด ที่เกิดจากเศษไม้ จากหนาม จากหอกดาบ ระวังไม่ให้แผลถูกน้ำ จะไม่เป็นหนอง
           นอกเหนือจากนั้นบัญชียาจากสมุนไพร ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา ปรากฏการใช้ผิวมะกรูด ในยารักษาอาการโรคในระบบต่างๆของร่างกาย เช่น ตำรับ”ยาหอมเทพจิตร” มีส่วนประกอบของผิวมะกรูด อยู่ใน ”เปลือกส้ม 8 ประการ” ร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ มีสรรพคุณในการแก้ลมเวียนหัว แก้อาการหน้ามืด ลายตา ใจสั่น คลื่นเหียน คลื่นไส้ แก้ลมจุกแน่นในท้อง  ตำรับ “ยาประสะไพล” มีส่วนประกอบของผิวมะกรูด ร่วมกับสมุนไพรประเภทอื่นๆในตำรับ ใช้ในสตรีที่รอบเดือนมาไม่บ่อยนัก หรือมาน้อยกว่าปกติ แล้วก็ขับน้ำคาวปลาในสตรีข้างหลังคลอด
แบบอย่าง/ขนาดการใช้ ใช้ขับลมในลำไส้ แก้แน่น แก้เสมหะ ฝานผิวมะกรูดสดเป็นชิ้นเล็กๆ1 ช้อนแกง เติมการบูร หรือพิมเสน 1 จับมือ ชงด้วยน้ำเดือดแช่ทิ้งเอาไว้ ดื่มแต่ว่าน้ำรับประทาน 1-2 ครั้ง หากยังไม่ดีขึ้นกว่าเดิมกินติดต่อกัน 2-3 วัน ใช้สระผม ให้ดกดำ เงางาม รักษาชันนะตุ  ให้ผ่ามะกรูดเป็น 2 ชิ้น เมื่อสระผมเสร็จแล้ว เอามะกรูดมาสระซ้ำโดยยีไปบนผม น้ำมะกรูดเป็นกรดจะก่อให้ผมสะอาด แล้วล้างเอาสมุนไพรออกให้หมด หรือใช้ผลเผาไฟ นำมาผ่าซีกใช้สระผม  ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ด้วยการใช้ผิวมะกรูด รากชะเอม ไพล เฉียงมีดพร้า ขมิ้นอ้อย ในจำนวนเสมอกัน นำมาบดเป็นผง นำมาชงละลายน้ำร้อนหรือต้มเป็นน้ำดื่ม  ช่วยฟอกโลหิต ด้วยการนำผลมะกรูดสดมาผ่าเป็น 2 ด้านแล้วนำไปดองกับเกลือหรือน้ำผึ้งราวๆ 1 เดือน แล้วรินเอาแต่น้ำดื่ม จะช่วยฟอกเลือดได้อย่างดีเยี่ยม
การเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ สาร coumarins 2 ชนิดที่ได้จากผลมะกรูด เช่น bergamottin และก็ N-(iminoethyl)-L-ornithine (L-NIO) มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งไนตริกออกไซด์ (NO) ในหลอดทดสอบ ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการอักเสบ ซึ่งหลั่งจาก macrophage ของหนูที่ถูกกระตุ้นด้วย lipopolysaccharide (LPS) และ interferon-g (IFN- g)  โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 14.0 µM แล้วก็ 7.9 µM เป็นลำดับ
      สารคูมาริน 3 ประเภท ยกตัวอย่างเช่น bergamottin, oxypeucedanin รวมทั้ง psoralen สามารถยับยั้งการผลิตไนตริกออกไซด์ เมื่อทดลองในเซลล์แมคโครฟาจ RAW 264.7 ของหนู ที่ถูกกระตุ้นด้วยลิโปพอลิแซ็กคาร์ไรด์ (LPS) รวมทั้งอินเตอร์เฟอรอน (interferon)
ฤทธิ์คุ้มครองตับ    ศึกษาฤทธิ์คุ้มครองตับของใบมะกรูดในหนูขาว โดยให้สารสกัด 80% เมทานอล จากใบมะกรูด ขนาด 200 mg/kg ตรงเวลา 7 วัน ก่อนให้ยา paracetamol ขนาด 2 g/kg เป็นเวลา 5 วัน เพื่อกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดพิษต่อตับ ซึ่งยา paracetamol จะทำการกระตุ้นให้ตับของหนูกำเนิดพิษในวันที่ 5 ใช้สาร Silymarin ขนาด 100 mg/kg เป็นสารมาตรฐาน ในวันที่ 7 จะมีการตรวจประเมินลักษณะการทำงานของตับ ดังเช่น ระดับเอนไซม์ตับ (ALT, AST, ALP), total bilirubin, total protein,blood serums แล้วก็ hepatic antioxidants (SOD, CAT, GSH and GPx) จากการทดสอบพบว่าสารสกัดใบมะกรูดจะช่วยฟื้นฟูตับ โดยทำให้ระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ และเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระของตับกลับมาอยู่ในระดับธรรมดาได้อย่งมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) ซึ่งการศึกษาชิ้นนี้สรุปได้ว่าสารสกัดใบมะกรูดมีฤทธิ์คุ้มครองป้องกันตับไม่ให้เกิดพิษจากยา paracetamol ได้
การทดลองพิษกะทันหันของสารสกัดใบด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโล (คิดเป็น 357 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) และให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 โล ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ
มีการทดสอบความเป็นพิษอีกฉบับหนึ่งบอกว่า สารสกัดผิวมะกรูดด้วยเอทานอล (95%) เมื่อป้อนให้หนูกินเพื่อเรียนรู้ความเป็นพิษทันควัน พบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายเป็นจำนวนครึ่งเดียว (LD50) มีค่ามากกว่า 100  ก./กก.
ฤทธิ์เสริมการเกิดโรคมะเร็งตับ    จากการทบทวนงานค้นคว้าพบว่ามะกรูดมีฤทธิ์ต่อต้านฤทธิ์ของสารเสริมการเกิดโรคมะเร็ง (tumor promoter) สำหรับในการทดสอบแบบ tumor promoter-induced Epstein-Barr virus activation ได้ งานศึกษาเรียนรู้วิจัยนี้มีจุดประสงค์ที่จะเรียนฤทธิ์ของมะกรูดต่อการเกิดโรคมะเร็งตับของหนูขาว สายพันธุ์ F344 ที่ได้รับสารก่อมะเร็ง 2-amino-3,8-dimethylimidazo 4,5-ƒ quinoxaline (MeIQx) สำหรับในการทดลองแบบ medium-term bioassay ผลการวิจัยพบว่ามะกรูดมีฤทธิ์เสริมฤทธิ์ของ MelQx ในการทําให้เกิดโรคมะเร็งตับ (preneoplastic liver foci) อย่างมีความนัยสําคัญทางสถิติ
พิษต่อระบบสืบพันธุ์   เมื่อป้อนสารสกัดผิวมะกรูดด้วยเอทานอล (95%) ให้กับหนูขาวที่ตั้งครรภ์ขนาด 1 และ 2.5 กรัม/กก. ทางสายยางให้อาหารวันละ 2 ครั้ง พบว่าสามารถต้านการฝังตัวของตัวอ่อนได้ 42.5 ±14.8 แล้วก็ 86.1±8.1% ตามลำดับ รวมทั้งมีผลทำให้แท้งได้ 86.3±9.6 และ 96.9±3.1% ตามลำดับ และสารสกัดผิวมะกรูดด้วยคลอโรฟอร์มเมื่อป้อนให้กับหนูที่ตั้งครรภ์ในขนาด 0.5 และ 1.0 กรัม/กก. ทางสายยางให้อาหารวันละ 2 ครั้ง เช่นเดียวกัน พบว่าสามารถต่อต้านการฝังตัวของตัวอ่อนได้ 34.4±14.3 และก็ 62.2±14.5% เป็นลำดับ และส่งผลทำให้แท้งได้ 62.2±14.5 รวมทั้ง 91.9± 5.5%
พิษต่อเซลล์สารสกัดใบด้วยเมทานอล กระทำทดลองกับเซลล์ ด้วยความเข้มข้น 20 มคก./มิลลิลิตร พบว่ามีพิษต่อ Cells-Raji (9) น้ำมันหอมระเหย (ไม่กำหนดส่วนที่ใช้และก็ขนาด) เป็นพิษต่อเซลล์ CEM-SS
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์     สารสกัดใบด้วยน้ำ และน้ำร้อน กระทำการทดสอบในจานเพาะเลี้ยงเชื้อ ด้วยความเข้มข้น 0.5 มล./จาน พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ต่อเชื้อ Bacillus subtilis H-17 (Rec+) รวมทั้ง B. subtilis M-45 (Rec-)
ข้อเสนอแนะ/ข้อควรระวัง การใช้น้ำมันหอมระเหยกับผิวหนังในปริมาณที่มาก  จำต้องเลี่ยงการสัมผัสแสงสว่างเนื่องมาจากน้ำมันที่ได้จากการบีบผิวผล อาจจะทำให้เกิดพิษเมื่อสัมผัสกับแสงได้ แล้วก็เกิดมีสารสีเกินที่ผิวหนัง ใบหน้า แล้วก็ลำคอ เนื่องจากว่ามีสารกรุ๊ปคูมาริน แม้กระนั้นน้ำมันจากผิวผลที่ได้จากการกลั่นจะไม่มีสารนี้  น้ำมะกรูดมีความเป็นกรดสูง จึงควรระมัดระวังการรับประทานขณะท้องว่าง เพราะว่าอาจจะก่อให้มีการเคืองต่อระบบทางเดินอาหารได้
เอกสารอ้างอิง

  • ดนัย ทิวาเวช, Hirose M, Futakuchi M, วิทยา ธรรมวิทย์, Ito N, Shirai T.  ฤทธิ์เสริมการเกิดมะเร็งตับของข่า กระชาย และมะกรูด ในหนูที่ได้รับสารก่อมะเร็ง 2-amino-3,8-dimethylimidazo(4,5-ƒ)quinoxaline (MeIQx).  การประชุมวิชาการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 11 “ วิทยาศาสตร์การแพทย์ไทยกับกติกาใหม่ของโลก ” กรุงเทพฯ, 9-11 ตุลาคม 2543:33
  • มะกรูด (ผิวผล).ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.2546.ประมวลผลผลงานวิจัยด้านพิษวิทยา ของสถาบันวิจัยสมุนไพร เล่ม 1.โรงพิมพ์การศาสนา:กรุงเทพมหานคร. http://www.disthai.com/
  • Murakami A, Gao G, Kim OK, Omura M, Yano M, Ito C, et al. Identification of coumarins from the fruit of Citrus hystrix DC as inhibitors of nitric oxide generation in mouse macrophage RAW 264.7 cells. J Agric food chem. 1999;47:333-339.
  • กอบกุล เฉลิมพันธ์ชัย ดวงชัย บำเพ็ญบุญ ธิดา โตจิราการ และคณะ.  ตำรับยาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำลายจุลินทรีย์.  รวมบทคัดย่องานวิจัยการแพทย์แผนไทยและทิศทางการวิจัยในอนาคต สถาบันการแพทย์แผนไทย, 2543.
  • คุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย.กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.2544.
  • มะกรูด/ใบมะกรูดประโยชน์และสรรพคุณมะกรูด.พืชเกษตรดอทคอม
  • Tangyuenyongwatana P, Gritsanapan W. Prasaplai: An essential Thai traditional formulation for primary dysmenorrhea treatment. TANG. 2014;4(2):10-11.
  • ชนิพรรณ บุตรยี่. การศึกษาชีวภาพความพร้อมและคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของฟลาโวนอยด์จากใบมะกรูดในหลอดทดลองและศักยภาพในการป้องกันการแตกหักของโครโมโซมในหนูเม้าส์โดยวิธีการตรวจไมโครนิวเคลียสในเม็ดเลือดแดง [วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต]. กรุงเทพฯ. มหาวิทยาลัยมหิดล;2551.
  • มะกรูด(ใบ).ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี



Tags : มะกรูด

25
ส้มป่อย
ชื่อสมุนไพร ส้มป่อย
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น  ส้มขอน , ส้มคอน (ไทยใหญ่,แม่ฮ่องสอน) , ส้มพอดี (อีสาน) , ผ่อชิละ ผ่อชิบูทู (กะเหรี่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Acacia concinna (Willd.) DC.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Acacia rugata (Lam.) Merr., Mimosa concinna (Willd.) DC.
ตระกูล FABACEAE
ถิ่นกำเนิด ส้มป่อย เป็นพืชที่เป็นที่รู้จักดันดีในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคเหนือที่ถือว่าส้มป่อยเป็นพืชที่มีความมงคล โดยมีความคิดกันว่าถ้าบ้านใดมีต้นส้มป่อยในบ้าน จะช่วยคุ้มครองป้องกันเพศภัยแล้วก็เคราะห์ต่างๆให้ปล่อยออกไปจากบ้านดังชื่อของส้มป่อย รวมทั้งฝักของส้มป่อยก็ใช้แช่น้ำมั่นใจว่าจะก่อให้เป็นน้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์ใช้ขจัดสิ่งชั่วร้ายต่างๆได้ ซึ่งส้มป่อยนี้เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย ได้แก่ เอเซียอาคเนย์ อาทิเช่น ประเทศไทย , พม่า , ลาว , กัมพูชา , มาเลเซีย , และก็ประเทศในทวีปเอเชียใต้ ตัวอย่างเช่น ประเทศอินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ ฯลฯ  ส้มป่อยเป็นไม้ที่มีความคงทนต่อสภาพแห้งเจริญ พบได้มากขึ้นตามป่าคืนสภาพ ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ที่ราบเชิงเขา และก็ที่รกร้างว่างเปล่าทั่วไป  ในประเทศไทยสามารถเจอได้ทุกภาคของประเทศ
ลักษณะทั่วไป ส้มป่อยจัดเป็นไม้พุ่มรอเลื้อยซึ่งจะ พาดพันต้นไม้อื่นได้ราวๆ สูง 3-6 เมตร เถามีเนื้อแข็ง ผิวเรียบสีน้ำตาล ขนาดใหญ่ มีหนามเล็กแหลมตามลำต้น แขนงแล้วก็ใบ ไม่มีมือเกาะจะเลื้อยพิงพันต้นไม้อื่น เถาอ่อนสีน้ำตาลแดง มีขนกำมะหยี่หรือขนสั้นดกนุ่ม ใบเป็นใบประกอบแบบขนสองชั้น เรียงสลับ ช่อใบย่อย 5-10 คู่ ใบย่อย 10-35 คู่ ต่อช่อ ใบย่อยรูปขอบขนาน ขนาดเล็ก ออกเรียงตรงข้าม ปลายใบมนหรือแหลม ที่ปลายเป็นติ่งหนามแหลมอ่อนโค้ง โคนใบตัด ขอบของใบดกเรียบ แผ่นใบเรียบ ก้านใบยาว 3.6-5.0 เซนติเมตร มีขนสั้นนุ่มรวมทั้งหนาแน่น พบก้อนนูนสีน้ำตาลคล้ายต่อม 1 อัน อยู่ที่โคนก้านใบ ศูนย์กลางยาว 6.6-8.5 ซม. ก้านใบย่อยสั้นมากมาย ยาว 0.5 มิลลิเมตร หรือน้อยกว่า หมดจด รวมทั้งมีขนนุ่มหนาแน่น ดอกเป็นช่อกลุ่มกลม ออกตามซอกใบข้างลำต้น 1-3 ช่อดอกต่อข้อ ขนาด 0.7-1.3 ซม. มี 35-45 ดอก ก้านช่อดอกยาว 2.5-3.2 มม. มีขนนุ่มหนาแน่น ใบตกแต่งดอก 1 อัน รูปแถบ ยาวไม่เกิน 1 มม. โคนสอบเรียว สีแดง มีขนกระจายทั่วไป ดอกขนาดเล็กอัดแน่นอยู่เป็นแกนดอก กลีบดอกไม้เป็นหลอด สีขาวนวล กลีบเลี้ยงแล้วก็กลีบดอกไม้อย่างละ 5 กลีบ กลีบเลี้ยง หลอดกลีบกว้าง 1.0-1.5 มิลลิเมตรยาว 2.5-3.0 เซนติเมตร ปลายแหลม สีแดง อาจมีสีขาวผสมเล็กน้อย กลีบดอกไม้ หลอดกลีบกว้าง 1.0-1.5 มม. ยาว 3.5-4.0 มม. มีขนบางส่วนที่ปลายกลีบ เกสรเพศผู้ 200-250 อัน ยาว 4-6 มม. เกสรเพศเมีย รังไข่ยาว 1 มม. มี 10-12 ออวุล มีก้านรังไข่ยาว 1 มม. ก้านและก็ยอดเกสรเพศเมียยาว 2.5-3.5 มม. สีขาวอมเหลืองหรือสีเขียวอมเหลือง ผลเป็นฝักรูปขอบขนาน แบนยาว ครึ้ม ขนาด กว้าง 1.3-1.4 ซม. ยาว 7.0-9.3 ซม. ฝักอ่อนเปลือกสีเขียวอมแดง เมื่อแก่สีน้ำตาลเข้ม ผิวฝักเป็นลอนคลื่นเป็นข้อ ปลายฝักมีหางแหลม สันฝักดก ผิวร่นมากมายเมื่อแห้ง ก้านผลยาว 2.8-3.0 ซม. แต่ละผลมี 5-12 เมล็ด เม็ดสีดำ แบนรี ผิวมัน กว้าง 4-5 มิลลิเมตร ยาว 7-8 มม. ออกดอกราวมกราคมถึงพ.ค. ติดผลพฤษภาคมถึงต.ค.
การขยายพันธุ์ ส้มป่อยมักจะเจอได้ในป่าเบญจพรรณและก็ป่าดิบแล้วบริเวณที่ราบเชิงเขาส่วนการขยายพันธุ์  ส้มป่อยนั้นสามารถทำได้ด้วยขั้นตอนการเพาะเมล็ดรวมทั้งการปักชำ แต่ว่าวิธีที่เป็นที่นิยมกันมากเป็นการปักชำ โดยตัดกิ่งแก่ให้ยาวราวๆ 50 ซม.มาปักชำในกระถางหรือในรอบๆที่ต้องการจะเพาะชำ ซึ่งในกระถางหรือบริเวณดังกล่าต้องมีความชุ่มชื้นมาก แล้วก็รดน้ำทุกวี่ทุกวันจนกิ่งที่ชำกำเนิดรากแล้วจึงย้ายลงหลุมที่จะปลูกต่อไป สำหรับในการปลูกส้มป่อยนั้นควรจะปลูกเอาไว้ภายในที่โล่งหรือที่ๆมีแสงมาก สามารถปลูกได้ในดิน      Malic acid ที่มา : Wikipedia     ทุกจำพวกที่มีการระบายน้ำเจริญ ด้วยเหตุว่าส้มป่อยชอบความชุ่มชื้นปานกลางถึงน้อยและชอบแสงแดดมากมาย ส่วนการดูแลรักษานั้น ส้มป่อยไม่ค่อยมีโรครวมทั้งศัตรูพืชมากมาย แม้กระนั้นควรตัดแต่งกิ่งหรือทำค้างให้ลำต้นของส้มป่อยพันเลื้อยขึ้นไปเพื่อสบายในการเก็บเกี่ยวผลผลิตของส้มป่อย
องค์ประกอบทางเคมี ฝักมีสารซาโปนิน 20.8% อาทิเช่น acasinin       Tannin   ที่มา : Wikipedia
A, B, C, D รวมทั้ง E   azepin , tannin , malic  acid , concinnamide, lupeol , machaerinic acid , menthiafolic, sonuside, sitosterol ส่วนค่าทางโภชนาการของส้มป่อยมีดังนี้
ค่าทางโภชนาการ ส้มป่อย 100 กรัม ประกอบด้วย  น้ำ 85.6  กรัม  แคลเซียม 95 มิลลิกรัม ไทอะมีน 0.04 มิลลิกรัม เบต้าแคโรทีน 6568 ไมโครกรัม ไนอะซิน 1.1 มก. วิตามินเอรวม 1095 RE วิตามินซี 6 มก. วิตามินอี 6.7 มิลลิกรัม                                 
คุณประโยชน์/สรรพคุณ ยอดอ่อน แล้วก็ใบอ่อน ของส้มป่อย ใช้กินเป็นผักรวมทั้งเครื่องปรุงรส ช่วยให้อาหารมีรสเปรี้ยว แล้วก็ช่วยขจัดกลิ่น คาวปลา ยอดเอามาทำอาหารได้หลายอย่าง อาทิเช่น machaerinic acid ที่มา : Wikipedia  แกงส้ม ต้มปลา ต้มน้ำกะทิปลาเค็ม น้ำของฝักส้มป่อย ใช้ขัดเครื่องเงิน เครื่องทองให้เงาสวยได้ ฝักแก่แห้งเอามาต้มเอาน้ำใช้สระผมแก้รังแค แก้อาการคันหัว บำรุงเส้นผม ทำให้ผมชุ่มชื้นเป็นเงาสวย เป็นยาปลูกผม รวมทั้งคุ้มครองปกป้องผมหงอกก่อนวัย  ใบส้มป่อยสามารถนำมาสกัดทำเป็นสีย้อมเส้นไหมได้ โดยสีที่ได้คือสีเขียวอ่อน สีเหลืองอ่อน สีน้ำตาลอ่อน หรือสีครีม  ในด้านของความศรัทธาส้มป่อยนับว่าเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของชาวล้านนา โดยชาวบ้านจะใช้ฝักในพิธีการทำน้ำมนต์เพื่อสะเดาะเคราะห์ ใช้ในงานมงคล ทำน้ำมนต์รดน้ำดำหัวคนแก่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์  หรือใช้สรงน้ำพระพุทธปฏิมา  ทั้งส้มป่อยยังจัดเป็นไม้มงคลของชาวไทย โดยเชื่อว่าการปลูกส้มป่อยจะช่วยขับไล่ภูตผีปีศาจรวมทั้งเรื่องเลวร้ายไม่ให้มารบกวน ช่วยเสริมหรือคืนอำนาจให้ผู้มีถลาค้างเวทมนตร์คาถา โดยกำหนดให้ปลูกไว้ทางทิศเหนือ  ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของส้มป่อยนั้นมีดังนี้
ใบ แก้โรคตา จ่ายมูกมันในลำไส้ ยาถ่ายเสลด ถ่ายระดูขาว แก้บิด ถูล้างเลือดประจำเดือน ประคบให้เส้นเอ็นหย่อน ใบใช้ในสูตรยาอบสมุนไพร มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆช่วยชะล้างสิ่งสกปรก เพิ่มความต้านทานโรคให้กับผิวหนัง บำรุงผิวพรรณ แก้หวัด แก้เมื่อย สูตรยาลูกประคบสมุนไพร ช่วยทำนุบำรุงผิว แก้โรคผิวหนัง ลดความดัน  ใบตำห่อผ้าประคบเส้นให้เส้นอ่อน ใช้ใบอ่อน ต้มเอาน้ำผสมกับน้ำผึ้ง รับประทานเป็นยาขับฉี่ ฝัก มีรสเปรี้ยว เป็นยาถ่าย ขับเสลด แก้ไอ แก้บิด แก้ไข้จับสั่น ฝักปิ้งให้เหลือง ชงน้ำจิบแก้ไอ ขับเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว เป็นยาถ่ายทำให้อ้วก แก้ซางในเด็ก ใช้สระผม ทำให้ผมชุ่มชื้นเป็นเงางาม ไม่มีรังแค ต้มน้ำอาบข้างหลังคลอด ฝักตำพอกหรือชุบสำลีปิดแผลโรคผิวหนัง เปลือกฝัก รสขมเปรี้ยวเผ็ดปร่า เจริญอาหาร กัดเสลด แก้ไอ ต้น รสเปรี้ยวฝาด เป็นยาระบาย แก้โรคตาแดง แก้น้ำตาทุพพลภาพ  ยอดอ่อน เอามาต้มน้ำ และผสมกับน้ำผึ้งดื่มเป็นยาช่วยขับปัสสาวะ หรือเอามาตำรวมกับขมิ้นอ้อย แล้วใส่น้ำมันพืชน้อย หมกไฟพออุ่น นำไปพอกแก้ฝี ดอก รสเปรี้ยว ฝาด มัน แก้เอ็นที่ทุพพลภาพให้สมบูรณ์ ใบรวมทั้งฝัก ต้มอาบ ชำระล้าง บำรุงผิว ราก รสขม แก้ไข้
บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้เริ่มแรก ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5)    ปรากฏการกางใบและฝักส้มป่อย ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ เป็นยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร ตำรับ “ยาถ่ายดีเกลือฝรั่ง” มี ดีเกลือฝรั่ง ยาดำ ใบมะกา ใบมะขาม ใบส้มป่อย ฝักคูน รากขี้กาแดง รากขี้กาขาว รากตองแตก ฝักส้มป่อย สมอไทย สมอดีงู เถาวัลย์เปรียง ขี้เหล็ก หัวหอม ต้นหญ้าไทร ใบไผ่ป่า สรรพคุณ แก้ท้องผูก ในกรณีที่ใช้ยาอื่นแล้วไม่ได้ผล
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้   แก้ไอ ด้วยการใช้ฝักเอามาปิ้งให้เหลืองแล้วชงกับน้ำจิบกินเป็นยา หรือจะใช้เปลือกนำมาแช่กับน้ำดื่มทำให้เปียกแฉะคอแก้ไอได้  เม็ดเอามาคั่วให้ไหม้เกรียมแล้วบดให้ละเอียด ใช้เป่าจมูก ทำให้คันจมูกและทำให้จามได้  ยอดอ่อนหรือใบอ่อนนำมาต้มกับน้ำ รวมทั้งผสมกับน้ำผึ้งใช้ดื่มรับประทานเป็นยาช่วยขับฉี่  ยอดอ่อนนำมาตำผสมกับขมิ้นอ้อย แล้วใส่น้ำมันพืชน้อย หมกไฟพออุ่น แล้วค่อยนำไปพอกจะช่วยแก้ฝี แก้พิษฝี ทำให้ฝีแตกเร็วหรือยุบไป ส่วนอีกวิธีใช้รากส้มป่อยนำมาฝนใส่น้ำปูนใสทาบริเวณที่เป็นฝี  ใบใช้ตำประคบหรือตำห่อผ้าประคบเส้นช่วยทำให้เส้นเอ็นอ่อน แก้เส้นเอ็นทุพพลภาพ ปวดเมื่อย  ช่วยให้สตรีตั้งครรภ์คลอดได้ง่าย ด้วยการใช้ฝักส้มป่อยราวๆ 3-7 ข้อ นำมาต้มกับน้ำอาบตอนเวลาเย็น โดยให้อาบก่อนกำหนดคลอด 2-3 วัน แต่ว่าห้ามอาบมากมายด้วยเหตุว่าจะมีผลให้รู้สึกร้อน
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา

  • ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา สารสกัดน้ำจากผล ความเข้มข้น 20 มก./มล. มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา Epidermophyton floccosum ในหลอดทดสอบ แต่ไม่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา Trichophyton rubrum และ Microsporum gypseum เหมือนกับสารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 100 มิลลิกรัม/มล. ไม่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา T. rubrum, M. gypseum รวมทั้ง E. floccosum
  • ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อยีสต์ สารสกัดน้ำ และก็สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 100 แล้วก็ 200 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร เป็นลำดับ และสารสกัดน้ำจากส้มป่อย (ไม่กำหนดส่วนที่ใช้และความเข้มข้น) ไม่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อยีสต์ Candida albicans
  • ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรีย สารสกัดน้ำและก็สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 100 และ 200 มก./มิลลิลิตร เป็นลำดับ และก็สารสกัดน้ำจากส้มป่อย (ไม่กำหนดส่วนที่ใช้รวมทั้งความเข้มข้น) ไม่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus
  • เมื่อปี ค.ศ.2006 ที่ประเทศอินเดีย ได้กระทำทดลองสารสกัดจากดอกส้มป่อยกับหนูเพศผู้ โดยการให้สารสกัดในขนาด 50 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โดยใช้ช่วงเวลาการทดสอบนาน 3 สัปดาห์ ผลการทดสอบพบว่า ค่าคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูทดลองลดน้อยลง ไตรกลีเซอไรด์ลดลง อย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ แล้วก็สารสกัดจากส้มป่อยยังส่งผลลดน้ำเชื้อและ endometrial glands ในมดลูก มีการเปลี่ยนแปลงในชั้นเซลล์ในมดลูก สรุปว่าสมุนไพรส้มป่อยสามารถใช้เป็นยาคุมได้ด้วย
  • สารสกัดซาโปนินจากเปลือกส้มปอยและก็สารสกัดเอทานอลและน้ำ ในอัตราส่วน 1:1 มีฤทธิ์ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตก โดยค่าดัชนีการทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงพอๆกับ 1,350
การศึกษาทางพิษวิทยา  หลักฐานความเป็นพิษและก็การทดสอบความเป็นพิษ
          เมื่อให้สารสกัดจากใบและลำต้น (ไม่เจาะจงสารสกัดที่ใช้) แล้วก็สารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากใบและก็ลำต้น ขนาด 10 ก./กิโลกรัม ทางสายยางให้อาหารหนูถีบจักร ไม่เจอพิษ เมื่อฉีดสารสกัดจากใบรวมทั้งลำต้น (ไม่กำหนดสารสกัดที่ใช้) ขนาด 10 กรัม/กิโลกรัม เข้าใต้ผิวหนังหนูถีบจักร ไม่พบพิษเช่นเดียวกัน รวมทั้งเมื่อฉีดสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดินเข้าช่องท้องหนูถีบจักร มีค่า LD50พอๆกับ 125 มิลลิกรัม/กก.
          ส่วนสกัดซาโปนินจากเปลือก (ไม่เจาะจงความเข้มข้น) รวมทั้งสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) (ไม่ระบุส่วนที่ใช้) มีฤทธิ์ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตก ค่าดัชนีการทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงพอๆกับ 1,350
          สาร acacic acid จากเปลือก (ไม่ระบุความเข้มข้น) มีฤทธิ์ฆ่าสเปิร์ม แล้วก็ส่วนสกัดซาโปนินจากเปลือก ความเข้มข้น 0.004% มีฤทธิ์ฆ่าสเปิร์มในคนเพศชาย
          สารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากส่วนเหนือดิน ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ CA-9KB ขนาดของสารที่เป็นพิษต่อเซลล์กึ่งหนึ่ง มากกว่า 20 มคก./มิลลิลิตร สารสกัดเมทานอล 75% จากผลเป็นพิษต่อเซลล์ Fibrosarcoma HT-1080 ความเข้มข้นของสารที่เป็นพิษต่อเซลล์ครึ่งหนึ่งเท่ากับ 2.1 มคก./มล. โดยมีสารที่ออกฤทธิ์เป็น Kinmoonosides A, B รวมทั้ง C มีขนาดของสารที่เป็นพิษต่อเซลล์ครึ่งหนึ่งพอๆกับ  4.89,  1.43,  แล้วก็  1.87 มคก./มล. ตามลำดับ  ส่วนสารสกัดเมทานอล  ส่วนสกัดที่ละลายน้ำ  สารสกัดเมทานอล:เอทานอล (1:1) จากผล เป็นพิษต่อเซลล์ Fibrosarcoma HT-1080 อย่างอ่อน ความเข้มข้นของสารที่เป็นพิษต่อเซลล์ครึ่งหนึ่งพอๆกับ 10, 17.9 และก็ 21.5 มคกรัม/มล. ตามลำดับ สารสกัดคลอโรฟอร์ม สารสกัดอะซีโตน ส่วนสกัดที่ละลายน้ำ สารสกัดเมทานอลรวมทั้งสารสกัดเมทานอล:เอทานอล (1:1) จากผล เป็นพิษต่อเซลล์ CA-Colon-26-L5 อย่างอ่อน
ข้อเสนอแนะ/สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง ถึงแม้ในขณะนี้ไม่มีข้อมูลในด้านข้อควรพิจารณาสำหรับในการใช้ส้มป่อยแต่อย่างไรก็ดีส้มป่อยก็ยังเป็นราวกับสมุนไพรชนิดอื่นๆที่ต้องมีการระมัดระวังสำหรับเพื่อการกินถ้าเกิดกินเป็นอาหารหรือส่วนประกอบของอาหารอาจไม่มีอันตรายอะไร แต่ว่าถ้าเกิดจะใช้เพื่อคุณประโยชน์ทางยานั้นควรจะใช้แต่พอดี ไม่ใช้ในปริมาณที่มากและไม่ควรที่จะใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเพราะบางทีอาจเกิดโทษต่อสุขภาพได้
เอกสารอ้างอิง

  • มงคล โมกขะสมิต กมล สวัสดีมงคล ประยุทธ สาตราวาหะ.  การศึกษาพิษของสมุนไพรไทย.  วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 2514;13:36-66.
  • ส้มป่อย.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1.  (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  “ส้มป่อย (Som Poi)”.  หน้า 282.
  • วันดี อวิรุทธ์นันท์ แม้นสรวง วุฒิอุดมเลิศ.  ฤทธิ์ต้านเชื้อราของพืชสมุนไพร.  วารสารเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล 2536;10(3):87-9.
  • Banerji R, Prakash D, Misra G, et al.  Cardiovascular and hemolytic activity of saponins.  Indian Drugs 1981;18(4):121-4.
  • วไลพร พงวิรุฬห์ วีณา ถือวิเศษสิน วีณา จิรัจฉริยากูล และคณะ.  ดัชนีการทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงในมาตรฐานสมุนไพรไทย.  โครงการพิเศษ ม.มหิดล, 2531-2532.
  • ส้มป่อย.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. http://www.disthai.com/
  • หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.  (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  “ส้มป่อย”.  หน้า 33.
  • Avirutnant W, Pongpan A.  The antimicrobial activity of some Thai flowers and plants.  Mahidol Univ J Pharm Sci 1983;10(3):81-6.
  • ส้มป่อย.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด.  (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก).  “ส้มป่อย”  หน้า 178.
  • Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P.  Study on toxicity of Thai medicinal plants.  Bull Dept Med Sci 1971;12(2/4):36-65.
  • Banerji R, Nigam SK.  Chemistry of Acacia concinna and a Cassia bark.  J Indian Chem Soc 1980;57:1043-4.
  • Ikegami F, Sekine T, Hjima O, Fujii Y, Okonogi S, Murakoshi I.  Anti-dermatophyte activities of “tea seed cake” and “pegu – catechu”.  Thai J Pharm Sci 1993;17(2):57-9.
  • ส้มป่อย.ฐานข้อมูลความปลอดภัยของสมุนไพรที่มีการขึ้นทะเบียนยาแผนโบราณ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Tezuka Y, Honda K, Banskota AH, Thet MM, Kadota S.  Kinmoonosides A-C, three new cytotoxic saponins from the fruits of Acacia concinna, a medicinal plant collected in Myanmar.  J Nat Prod 2000;63:1658-64.
  • Banergi R, Srivastava AK, Misra G, Nigam SK, Singh S, Nigam SC, Saxena RC.  Steroid and triterpenoid saponins as spermicidal agents.  Indian Drugs 1979;17(1):6-8.
  • Bhakuni DS, Dhar ML, Dhar MM, Dhawan BN, Gupta B, Srimali RC.  Screening of Indian plants for biological activity. Part III.  Indian J Exp Biol 1971;9:91.


26
ตะไคร้
ชื่อสมุนไพร ตะไคร้
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อท้องถิ่น จะไคร (ภาคเหนือ) , ติดอยู่หอม (ไทใหญ่แม่ฮ่องสอน) , ไคร (ภาคใต้) , สิงไคร , หัวสิงไคร (อีสาน) , ห่อวอตะโป่ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน) , เชิดเกรย , เหลอะเกรย (เขมร)
ชื่อสามัญ Lemon grass, West Indian lemongrass , Sweet rush
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf
วงศ์   GRAMINEAE
บ้านเกิดเมืองนอน ตะไคร้เป็นพืชสมุนไพรประเภทหนึ่งที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนประเทศไทยเรามาตั้งแต่อดีตแล้ว ทั้งนี้เพราะตะไคร้เป็นพืชที่มีถิ่นเกิดในแถบเขตร้อนของทวีปเอเชีย เป็นต้นว่า ไทย , พม่า , ลาว , มาเลเซีย , อินโดนีเซีย , ประเทศอินเดียว , ศรีลังกา ฯลฯและยังสามารถพบได้ในประเทศเขตร้อนบางประเทศในแถบอเมริกาใต้ ด้วยเหมือนกัน โดยธรรมดา ตะไคร้จัดเป็นพืชล้มลุกเครือญาติหญ้าและก็สามารถแบ่งออกเป็น 6 ชนิด ดังเช่นว่า ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค และก็ตะไคร้หางสิงห์
ลักษณะทั่วไป ตะไคร้ เป็นไม้ล้มลุกตระกูลเดียวกับหญ้า มักแก่มากยิ่งกว่า 1 ปี (ขึ้นกับเหตุทางสภาพแวดล้อม)ลำต้นตะไคร้มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง ทรงกระบอก มีความสูงได้ถึง 1 เมตร (และก็ใบ) ส่วนของลำต้นที่พวกเราแลเห็นจะเป็นส่วนของกาบใบที่ออกเรียงช้อนกันแน่น โคนต้นมีลักษณะกาบใบหุ้มห่อครึ้ม ผิวเรียบ และมีขนอ่อนปกคลุม ส่วนโคนมีรูปร่างอ้วน มีสีม่วงอ่อนน้อย และก็เบาๆเรียวเล็กลงเปลี่ยนเป็นส่วนของใบ ศูนย์กลางเป็นปล้องแข็ง ส่วนนี้สูงราวๆ 20-30 ซม. ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และจำพวก แล้วก็เป็นส่วนที่ประยุกต์ใช้สำหรับเข้าครัว ใบตะไคร้ประกอบด้วย 3 ส่วนเป็นก้านใบ (ส่วนลำต้นที่กล่าวข้างต้น) หูใบ (ส่วนต่อระหว่างกาบใบ และใบ) และก็ใบ  ใบตะไคร้ เป็นใบลำพัง มีสีเขียว มีลักษณะเรียวยาว ปลายใบโค้งทางลงดิน โคนใบเชื่อมต่อกับหูใบ ใบมีรูปขอบขนาน ผิวใบสากมือ แล้วก็มีขนปกคลุม ปลายใบแหลม ขอบของใบเรียบ แต่คม กึ่งกลางใบมีเส้นกึ่งกลางเรือใบแข็ง สีขาวอมเทา เห็นต่างกับแผ่นใบกระจ่าง ใบกว้างราวๆ 2 เซนติเมตร ยาว 60-80 ซม.  ตะไคร้เป็นพืชที่มีดอกยาก ก็เลยไม่ค่อยประสบพบเห็น ดอกตะไคร้ดอกจะออกดอกเป็นช่อกระจัดกระจาย มีก้านช่อดอกยาว และมีก้านช่อดอกย่อยเรียงเป็นคู่ๆในแต่ละคู่จะมีใบตกแต่งรองรับ มีกลิ่นหอมสดชื่น ดอกมีขนาดใหญ่คล้ายดอกอ้อ
การขยายพันธุ์ ตะไคร้สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วย การปักชำต้นเหง้า โดยตัดใบออกให้เหลือตอนโคนโดยประมาณหนึ่งคืบ นำมาปักชำไว้สักหนึ่งสัปดาห์ก็จะมีรากแตกหน่อออกมา แล้วนำไปลงแปลงดินที่จัดแจงไว้  สำหรับวิธีการปลูกตะไคร้มีดังนี้

  • การเตรียมดิน ตะไคร้ชอบดินที่ร่วนซุย ให้ไถกลับดินรวมทั้งไถกระพรวนลึกราวๆ 0.5 เมตร แล้วทำหลุม แต่ละหลุมห่างกันราว 0.5 เมตร
  • ลงต้นจำพวกหลุมละ 3 ต้น กลบดินให้พอมิดรากตะไคร้ราว 10 เซนติเมตร
  • ตอนแรกรดน้ำทุกวี่วัน แม้กระนั้นระวังอย่าให้น้ำเข้าไส้ตะไคร้เวลารดน้ำให้รดครั้งโคนต้นตะไคร้เพียงแค่นั้น มิฉะนั้นต้นตะไคร้จะเน่าห้ามใช้สปริงเกอร์เป็นอันขาดจำต้องให้น้ำที่โคนเท่านั้น
  • ในช่วง 3 วันแรกที่ปลูกให้พรางแสงอาทิตย์ให้ตะไคร้ด้วย หลังจากตะไคร้ปรับตัวได้แล้วให้เอาสิ่งของบดบังแสงออกเพราะเหตุว่าธรรมชาติของตะไคร้ชอบแดด แล้วก็เติบโตเจริญในที่ที่มีแสงสว่างแรง
  • เมื่อผ่านไป 1 เดือนตะไคร้จะเริ่มตั้งกอ ให้พินิจที่ต้น ถ้าต้นเจริญเติบโตดี ลำต้นจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโดยประมาณ 1.5-2 เซนติเมตรก็สามารถตัดไปใช้หรือขายได้ การตัดตะไคร้ให้ตัดติดกก แต่อย่าให้กระเทือนรากที่อยู่ในดินเพราะว่าตะไคร้สามารถแตกขึ้นมาตั้งกอได้อีก ไม่จำเป็นต้องไปหาต้นประเภทมาปลูกใหม่แทน
  • เมื่อตัดควรตัดให้หมดกอ เพื่อต้นตะไคร้ที่แตกใหม่จะได้เติบโตได้เต็มกำลัง
  • หลัง จากตัดแล้วตะไคร้จะตั้งกอใหม่ภายในระยะเวลา 1-2 เดือนเมื่อตะไคร้โตสุดกำลังและสามารถตัดได้อีกอยู่ตลอดไปตราบจนกระทั่งต้นจะโทรม หรือ ตะไคร้ไม่แตกขึ้นมาอีก


ตะไคร้ชอบดินร่วนซุย แต่ก็สามารถเจริญได้ในดินดูเหมือนจะทุกจำพวกเป็นพืชที่ดูแลง่ายดายชอบน้ำชอบแดดจ้า เป็นพืชทนแล้งได้ดิบได้ดี รวมทั้งเป็นพืชที่มีโรคน้อย ศัตรูพืชก็ไม่ค่อยมี (น่าจะเกิดขึ้นจากการที่ตะไคร้มีน้ำมันหอมระเหยในทุกๆส่วนจึงสามารถคุ้มครองป้องกันจากแมลงต่างๆได้)
ส่วนประกอบทางเคมี
เจอสาร  citral 80% นอกจากนั้นยังเจอ trans – isocitral , geranial, nerol, geraniol, myrcene, limonene, eugenol, linalool, menthol, nerolidol, camphor, farnesol, citronellol,
ที่มา : wikipedia
citronellal, farnesol , caryophyllene oxide ส่วนในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้เป็นmenthol, cineole, camphor และ linalool ก็เลยลดอาการแน่นจุกเสียด  รวมทั้งช่วยขับลม  นอกจากนั้นมี citral, citronellol, geraneol และก็ cineole มีฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียยกตัวอย่างเช่น E. coli   ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้มีดังนี้
คุณประโยชน์ทางโภชนาการของตะไคร้ ( 100 กรัม)

  • พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่
  • โปรตีน 1.2 กรัม
  • ไขมัน 2.1 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม
  • เส้นใย 4.2 กรัม
  • แคลเซียม 35 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 2.6 มก.
  • วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม
  • ไทอามีน 0.05 มก.
  • ไรโบฟลาวิน 0.02 มก.
  • ไนอาสิน 2.2 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 1 มก.
  • เถ้า 1.4 กรัม


ที่มา: กองโภชนาการ (2544)
ประโยชน์ / คุณประโยชน์ ใช้ส่วนของเหง้า ลำต้นรวมทั้งใบของตะไคร้ เป็นส่วนประกอบของของกินที่สำคัญหลายชนิดได้แก่ ต้มยำ และอาหารไทยหลายประเภท และใช้เป็นเครื่องเทศทำกับข้าวสำหรับกำจัดกลิ่นคาว ช่วยทำให้อาหารมีกลิ่นหอมสดชื่น รวมทั้งปรับแต่งรสให้น่าอร่อยมากยิ่งขึ้น สามารถนำมาใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้ น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้หิวได้เป็นอย่างดี  สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายประเภท เป็นต้นว่า เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม เอามาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เป็นต้น
น้ำมันตะไคร้ (น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากการสกัดตะไคร้)
– ใช้เป็นส่วนผสมของน้ำหอม
– ใช้เป็นส่วนผสมสำหรับทำสบู่ ยาสระผม
– ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง
– ใช้ทานวด แก้เมื่อย
– ใช้ทาลำตัว แขน ขา เพื่อคุ้มครอง ยุง แล้วก็แมลง
– ใช้เป็นส่วนประกอบของสารป้องกัน และก็กำจัดแมลง
ส่วนคุณประโยชน์ของทางยาของตะไคร้นั้นมีดังนี้
หนังสือเรียนยาไทย: ต้น รสหอมปร่า ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องอืดแน่นจุกเสียด  แก้อาการเกร็ง ขับเหงื่อ แก้โรคฟุตบาทเยี่ยว แก้อาการขัดเบา แก้นิ่ว แก้ฉี่เป็นเลือด ทำให้เจริญอาหาร ลดระดับความดันโลหิต เหง้า แก้เบื่อข้าว บำรุงไฟธาตุ แก้กระษัย ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ฉี่ขัด แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ไข้หวัด ขับประจำเดือน ขับระดูขาว ใช้ด้านนอกทาแก้อาการปวดบวมตามข้อ
           ตำราเรียนยาประจำถิ่นอีสาน : ใช้อีกทั้งต้น ลดไข้ โดยนำมาต้มกระทั่งเดือดโดยประมาณ 10 นาที ยกลงดื่มครั้งละครึ่งแก้วสามเวลา ใช้ข้างนอกรักษาโรคผิวหนังโดยต้มกับน้ำและก็เอามาอาบ
           ตำรับยาสมุนไพรล้านนา: ใช้รักษาอาการบวมในเด็ก วัยกลางคน รวมทั้งผู้สูงอายุ โดยในตำรับมีตะไคร้ รวมทั้งสมุนไพรอื่นอีก 13 ชนิด นำไปต้มอาบ
           ทางสุคนธบำบัดน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้บ้าน ช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า ทำให้กระชุ่มกระชวย คลายความเครียด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยในการย่อยของกิน ช่วยเจริญอาหาร บรรเทาลักษณะของการปวดโรคข้ออักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ
ส่วนสรรพคุณด้านการแพทย์แผนปัจจุบันที่ได้มีการศึกษาวิจัยทางคลินิกผลปรากฏว่า น้ำยาบ้วนปากจากตะไคร้สามารถช่วยลดกลิ่นปากที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบางจำพวกลงได้รวมทั้งพบว่ามีความปลอดภัยจากการใช้งานในกลุ่มผู้ถูกทดสอบ ถึงแม้ยังคงจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขกลิ่นฉุนรวมทั้งรสจากตะไคร้เพิ่มอีกถัดไป แล้วก็ในน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากตะไคร้มีอัตราการดูแลและรักษาคนป่วยโรคเกลื้อนอยู่ที่ประมาณ 60% ในขณะตัวยาคีโตโคนาโซลมีประสิทธิผลทางการรักษาสูงยิ่งกว่าหมายถึงอยู่ที่ 80%  และก็มีการทดสอบคุณภาพของตะไคร้ด้วยการทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันตะไคร้ลงบนแขนของผู้อาสาสมัครทดลอง แล้วให้ผู้ทดลองอยู่ในบริเวณที่มีตัวริ้นจำพวก Culicoides Pachymerus อยู่อย่างเยอะมาก โดยทดสอบบ่อยๆ10 ครั้ง เพื่อทดสอบประสิทธิผลทางการคุ้มครองปกป้องด้านใน 3-6 ชั่วโมง ผลการทดสอบพบว่า โลชั่นที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีประสิทธิผลทางการป้องกันภัยริ้นจำพวกนี้ได้สูงสุดถึงราว 5 ชั่วโมง  ส่วนการทดสอบถึงคุณภาพของตะไคร้ในการป้องกันยุงก้นปล่องสายพันธุ์ Anopheles Arabiensis ในอาสาสมัครทดสอบเพศชาย 3 คน พบว่ายากันยุงที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีคุณภาพสำหรับการป้องกันยุงได้ช้านานที่ราว 3 ชั่วโมง  ส่วนในประเด็นการกำจัดรังแคนั้น มีงานทดลองหนึ่งในไทยที่นำเอาน้ำมันสกัดจากตะไคร้มาเป็นส่วนประกอบในสินค้าน้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่น 5, 10 และก็ 15% โดยมีอาสาสมัครทดลองเป็นคนประเทศไทยในวัย 20-60 ปี ปริมาณ 30 คน ผลของการทดสอบพบว่า สินค้าน้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่นตะไคร้มีประสิทธิผลต่อการลดปริมาณรังแคลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของตะไคร้ 10%
แบบอย่าง/ขนาดวิธีใช้
ใช้รักษาอาการขัดเบา    เหง้ารวมทั้งลำต้นสด   หรือแห้ง  1  กำมือ  หรือน้ำหนักสด  40-60  กรัม  แห้ง  20-30  กรัม  ตีต้มกับน้ำพอสมควร  แบ่งดื่ม  3  ครั้งๆละ  1  ถ้วยชา (75  มิลิลิตร) ก่อนที่จะรับประทานอาหาร  หรือจะหั่นตะไคร้  คั่วด้วยไฟอ่อนๆเพียงพอเหลือง  ชงด้วยน้ำเดือด  ปิดฝาทิ้งไว้  5-10  นาที  ดื่มแม้กระนั้นน้ำ 3 ครั้ง ทีละ  1  ถ้วยชา  ก่อนกินอาหาร                     
ใช้รักษาท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด   ใช้เหง้าและก็ลำต้นสด  1  กำมือ  น้ำหนัก  40-60  กรัม  ตีเพียงพอแตก  ต้มกับน้ำ  2  ถ้วยแก้ว  เดือด  5-10  นาที  ดื่มแต่น้ำ  ครั้งละ  1/2  แก้ว  วันละ  3  ครั้งหลังของกิน     
การใช้ตะไคร้รักษาอาการแน่นจุกเสียด ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขพื้นฐาน)

  • นำตะไคร้อีกทั้งต้นรวมทั้งรากจำนวน 5 ต้น สับเป็นท่อน ต้มกับเกลือ เพิ่มเติมน้ำต้ม 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มครั้งละ 1 ถ้วยแก้ว ติดต่อกัน 3 วัน จะหายเจ็บท้อง
  • นำลำต้นแก่ใหม่ๆทุบพอแหลกโดยประมาณ 1 กำมือ (40-60 กรัม) ต้มเอาน้ำ


                ใช้รักษาอาการเมาค้าง ใช้ต้นสดตำคั้นเอาน้ำกินแก้อาการเมาในกรณีผู้ที่เมามากๆช่วยทำให้หายเร็ว
การศึกษาทางเภสัชวิทยา

  • ฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ สารเคมีในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ช่วยขับลม น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ก็เลยลดอาการแน่นจุกเสียดได้
  • ฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียปัจจัยอาการแน่นจุกเสียดและก็ท้องร่วง เมื่อนำน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ (ความเข้มข้นร้อยละ 0.3) มาทดสอบ พบว่าสามารถต้านทานเชื้อแบคทีเรียที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการท้องเดินได้ปานกลาง   มีการพัฒนาสูตรตำรับเจล ล้างมือจากน้ำมันตะไคร้สำหรับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ส่งผลให้เกิดอาการท้องเสีย พบว่าตำรับที่มีคุณภาพในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียดังที่กล่าวผ่านมาแล้วได้ดีที่สุดหมายถึงตำรับที่มีความเข้มข้นของน้ำมันตะไคร้ร้อยละ 5 โดยน้ำหนัก และมีการจดสิทธิบัตรสำหรับสารสกัดตะไคร้ที่เป็นส่วนผสมในยา ของกิน หรือเครื่องสำอาง โดยบอกว่าสามารถยั้งเชื้อแบคทีเรีย E. coli ได้
  • ฤทธิ์ต้านเชื้อรา สารสกัดด้วยเอทานอล รวมทั้งน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สามารถต้านเชื้อราที่เป็นต้นเหตุของโรคผิวหนัง ดังเช่นว่า กลาก โรคเกลื้อน ได้  โดยน้ำมันตะไคร้ที่มีสาร citral รวมทั้ง myrcene เป็นส่วนประกอบหลักจะมีฤทธ์ยั้งเชื้อราดังกล่าว แล้วก็เมื่อนำน้ำมันตะไคร้ไปพัฒนาเป็นครีมต้านทานเชื้อราพบว่าที่ความเข้มข้นปริมาณร้อยละ 2.5 แล้วก็ 3.0 จะได้ผลต้านทานเชื้อราเจริญที่สุดและเหมาะที่จะปรับปรุงเป็นตำรับยาถัดไป


เมื่อนำน้ำมันหอมระเหย และสารสกัดด้วยเฮกเซน, คลอโรฟอร์ม, เอทานอล และก็น้ำ มาทดสอบฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา พบว่าน้ำมันหอมระเหยรวมทั้งสารสกัดตะไคร้ด้วยเฮกเซนสามารถต่อต้านเชื้อราได้ทุกประเภท  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์มมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราได้น้อย ตอนที่สารสกัดด้วยเอทานอลรวมทั้งน้ำไม่มีฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา รวมทั้งจากผลการทดสอบยังพบว่าสารประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหย และในสารสกัดด้วยเฮกเซนที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อราได้ดิบได้ดีหมายถึงสาร citral
                 มีการจดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ตะไคร้ในรูปของ emulsion และก็ nanocapsule ที่มีน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ ใช้สำหรับรักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา E.  floccosum, Microsporum canis และก็  T.  rubrum โดยไปยับยั้งการเจริญเติบโตหรือฆ่าเซลล์ของเชื้อราดังที่กล่าวถึงแล้ว

  • ฤทธิ์ต้านยีสต์ สารสกัดด้วยเอทานอล รวมทั้งน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้สามารถต่อต้านยีสต์ Candida albicans ได้
  • ฤทธิ์แก้ปวด พบว่าน้ำมันหอมระเหยสามารถทุเลาอาการปวดได้เมื่อฉีดเข้าทางท้องหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดความเจ็บด้วยความร้อน  หรือแม้ป้อนน้ำมันหอมระเหยในขนาดเท่าเดิมทางปากจะสามารถบรรเทาอาการปวดได้เมื่อเทียบกับยา meperidine


ชาชงตะไคร้ เมื่อป้อนให้หนูเม้าส์รับประทานตรงเวลา 30 นาที ก่อนจะเหนี่ยวนำหนูให้ปวดอุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน 100 ไมโครกรัม/อุ้งเท้า  หรือด้วยสาร prostaglandin E2  และ dibutyryl cyclic AMP พบว่าสามารถยับยั้งอาการปวดจากการที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยสารคาราจีแนน และก็ prostaglandin E2 ได้  แม้กระนั้นไม่ได้ผลถ้าเกิดเหนี่ยวนำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP  ยิ่งไปกว่านี้น้ำมันหอมระเหยตะไคร้  และก็สาร myrcene เมื่อป้อนให้หนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดลักษณะของการปวดด้วย prostaglandin E2  พบว่าสามารถยั้งอาการปวดได้

  • ฤทธิ์ลดไข้ เมื่อให้สารสกัดน้ำร้อนจากใบของตะไคร้ ทางสายยางแก่หนูขาวในขนาด 20 มิลลิลิตร/กก. ไม่มีฤทธิ์ลดอุณหภูมิของหนูขาว แต่เมื่อฉีดเข้าช่องท้องหนูขาวในขนาด 40.0 มล./กก. พบว่าลดอุณหภูมิของหนูขาวได้อย่างมีนัยสำคัญ (p< 0.05) (2) เมื่อให้สารสกัดน้ำร้อนจากใบของตะไคร้ ทางสายยางแก่หนูขาวในขนาด 20-40 มล./กิโลกรัม ทุกเมื่อเชื่อวันเป็นเวลา 8 อาทิตย์ พบว่าไม่มีฤทธิ์ลดอุณหภูมิกายของหนูขาว
  • ฤทธิ์ขับน้ำดี ตะไคร้มีสารช่วยในการขับน้ำดีมาช่วยในการย่อยหมายถึงborneol, fenchone และก็ cineole
  • ฤทธิ์ขับลม ยาชงตะไคร้เมื่อให้รับประทานไม่เป็นผลขับลม แต่ถ้าหากให้โดยฉีดทางท้องจะให้ผลดี


เมื่อกรอกน้ำมันหอมระเหยจากใบเข้ากระเพาะอาหาร หรือฉีดเข้าท้องหนูถีบจักรเพศผู้ ขนาด 10, 50, 100 มิลลิกรัม/กก. พบว่าสามารถบรรเทาลักษณะของการปวดได้ รวมทั้งเมื่อกรอก    น้ำมันหอมระเหยจากใบ เข้าด้านในกระเพาะหนูขาว ขนาด 20% พบว่ามีฤทธิ์บรรเทาลักษณะของการปวดที่เหนี่ยวนำด้วย carageenan หรือ PGE2 แม้กระนั้นไม่ได้เรื่องในหนูที่ทำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP ซึ่งสารออกฤทธิ์หมายถึงmyrcene (1) นอกจากนั้นเมื่อกรอกสารสกัดเอทานอล 95% จากใบสด เข้ากระเพาะอาหารหนูถีบจักร ขนาด 1 กรัม/กิโลกรัม พบว่าไม่สามารถบรรเทาอาการปวดได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา หลักฐานความเป็นพิษและก็การทดลองความเป็นพิษ
เมื่อให้น้ำมันหอมระเหยเข้าทางกระเพาะอาหารกระต่าย พบว่ามีค่า LD50 มากยิ่งกว่า 5 กรัม/กก. ส่วนพิษในหนูขาวไม่ชัดแจ้ง รวมทั้งเมื่อป้อนสารสกัดใบด้วยอัลกอฮอล์รวมทั้งน้ำ (1:1) ขนาด 460 มิลลิกรัม/กก. เข้ากระเพาะอาหารหนูถีบจักร พบว่าเป็นพิษ แต่สารสกัดใบด้วยน้ำ ขนาด 20-40 ซีซี/กิโลกรัม เมื่อให้ทางปากไม่เจอพิษ และไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน และไม่มีผลต่อน้ำหนักตัวของหนูขาว มีผู้เล่าเรียนพิษของน้ำมันหอมระเหย พบว่าอัตราส่วน LD50/TD พอๆกับ 6.9 การป้อนยาชงตะไคร้ให้หนูขาวในขนาด 20 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนตรงเวลา 2 เดือน ไม่พบความเป็นพิษ
          การศึกษาพิษทันควันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ขนาด 1,500 ppm ตรงเวลา 60 วัน พบว่าหนูขาวกรุ๊ปที่ได้ตะไคร้ โตเร็วกว่ากรุ๊ปควบคุม แม้กระนั้นค่าเคมีเลือดไม่เปลี่ยนแปลง
สารสกัดตะไคร้ด้วยเอทานอล (80%) ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน Staphylococcus typhimurium TA98 และก็ TA100 มีผู้ทดลองฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน mammalian cells ของ b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญในตะไคร้ พบว่าไม่พบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ มีผู้ทดลองใช้ตะไคร้แห้ง ขนาด 400 มคก./จานเพาะเชื้อ มาทดลองกับ S. typhimurium TA98 และเมื่อนำน้ำสุกใบตะไคร้กับเนื้อ (วัว ไก่ หมู) ขนาด 4, 8 และ 16 มิลลิกรัม/จานเพาะเชื้อ ทดลองกับ S. typhimurium TA98 รวมทั้ง TA100 ไม่พบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และสารสกัดด้วยน้ำขนาด 0.5 ซีซี/จานเพาะเชื้อ ไม่เป็นผลก่อกลายพันธุ์ใน Bacillus subtilis H-17 (Rec+) และ M-45 (Rec-) ตะไคร้สดในขนาด 1.23 มิลลิกรัม/ซีซี ไม่มีพิษต่อยีน (16) รวมทั้ง b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญก็ไม่เจอพิษเหมือนกัน
สาร citral ซึ่งเป็นสารที่ได้จากน้ำมันหอมระเหยจากใบ เป็นพิษต่อเซลล์ P388 mouse leukemia และก็น้ำมันหอมระเหย เป็นพิษต่อเซลล์ P388 leukemia โดยมีค่า IC50 5.7 มคก./มล. แต่เมื่อผสมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้กับโหระพาช้าง (1:1 vol./vol.) มีค่า IC50 10.2 มคกรัม/มล. ส่วนสกัด (partial purified fraction) ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ PS (murine lymphocytic leukemia P388),FA   ( murine ascites mammary carcinoma FM3A ) แต่สารสกัดหยาบคายแสดงฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเซลล์ FA สารสกัดใบด้วยเมทานอล ในขนาด 50 มคก./ มล. ออกฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเซลล์ของมะเร็ง CA-9KB แม้กระนั้นในขนาด 20 มคกรัม/ มิลลิลิตร ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ RAJI
มีผู้ทดลองพิษของชาที่จัดแจงจากตะไคร้พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครสุขภาพดีรับประทานเกิดไคร้ 1 ครั้ง หรือรับประทานวันละครั้งตรงเวลา 2 อาทิตย์ ไม่พบการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในเลือด เม็ดเลือดและก็ปัสสาวะ มีบางรายเท่านั้นที่มีปริมาณบิลลิรูบิน และ amylase สูงขึ้น จึงถือว่าปลอดภัย ส่วนน้ำมันตะไคร้เมื่อผสมในน้ำหอม โดยผสมน้ำมันตะไคร้ร้อยละ 0.8 พบว่ามีอาการแพ้ อย่างไรก็ตามการแพ้นี้อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะสารอื่นได้ รวมทั้งมีรายงานความเป็นพิษต่อถุงลมปอดเมื่อดมกลิ่นน้ำมันตะไคร้
ข้อเสนอ / ข้อควรระวัง

  • การบริโภคตะไคร้หรือการใช้ตะไคร้ทาบนผิวหนังเพื่อวัตถุประสงค์ทางการรักษาโรค บางทีก็อาจจะไม่เป็นอันตรายแม้ใช้ตะไคร้ในระยะเวลาสั้นๆภายใต้การดูแลและข้อเสนอจากแพทย์
  • การสูดดมสารที่มีส่วนประกอบของตะไคร้ อาจจะทำให้เป็นผลใกล้กันที่เป็นอันตรายและก็เป็นพิษต่อร่างกายได้ในคนเจ็บบางราย ดังเช่นว่า ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพปอด
  • ขอความเห็นหมอ เภสัชกร และเรียนรู้ข้อมูลบนฉลากอย่างรอบคอบก่อนใช้สินค้าใดๆก็ตามที่มีสารสกัดมาจากตะไคร้ก่อนเสมอ เพื่อเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียงที่บางทีอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพข้างหลังการบริโภค
  • ระวังการใช้ตะไคร้แล้วก็สินค้าจากตะไคร้ในผู้ที่เป็นต้อหิน (glaucoma) เนื่องด้วย citral จะมีผลให้ความดันในดวงตามากขึ้น
เอกสารอ้างอิง

  • ตะไคร้.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ฉบับประชาชนทั่วไป.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ตะไคร้แกง.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • Puatanachokchai R, Vinitketkumnuen U, Picha P.  Antimutagenic and cytotoxic effects of lemon grass.  The 11th   Asia Pacific Cancer Conference, Bangkok Thailand, 16-19 1993.
  • คุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย.กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.2544.
  • Carlini EA, Contar JDDP, Silva-Filho AR, Solveira-Filho NG, Frochtengarten ML, Bueno,OFA. Pharmacology of  lemongrass (Cymbopogon citratus Stapf).    Effects of teas prepared from the leaves on laboratory animals.  J  Ethnopharmacol 1986;17(1):37-64.
  • ตะไคร้สรรพคุณประโยชน์กับบทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/
  • Lemongrass oil West Indian.  Food Cosmet Toxicol 1976;14:457.
  • กาญจนา ขยัน,การอบแห้งตะไคร้ด้วยเทคนิคการให้ความร้อนแบบไดอิเล็กตริกโดยใช้เครื่องอบไมโครเวฟที่ควบคุมอุณหภูมิได้.
  • Vinitketkumnuen U, Puatanachokchai R, Kongtawelert P, Lertprasertsuke N, Matsushima T.  Antimutagenicity of   lemon grass (Cymbopogon citratus Stapf) to various known mutagens in Salmonella mutation assay.  Mutat Res   1994;341(1):71-5.
  • ตะไคร้ใบตะไคร้ประโยชน์และสรรพคุณตะไคร้.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อเกษตรไทย.
  • Souza Formigoni MLO, Lodder HM, Filho OG, Ferreira TMS, Carlini EA. Pharmacology of lemongrass  (Cymbopogon citratus Stapf).    Effects of daily two month administration in male and female rats and in  offspring exposed "in utero". J Ethnopharmacol 1986;17(1):65-74.
  • Parra AL, Yhebra RS, Sardinas IG, Buela LI.  Comparative study of the assay of Artemia salina L. and the  estimate of the medium lethal dose (LD50 value) in mice, to determine oral acute toxicity of plant extracts.   Phytomedicine 2001;8(5):395-400.
  • ตะไคร้.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kauderer B, Zamith H, Paumgartten FJ, Speit G. Evaluation of the mutagenicity of b-myrcene in mammalian cells   in vitro.  Environ Mol Mutagen 1991;18(1):28-34.
  • Lorenzetti BB, Souza GEP, Sarti SJ, et al. Myrcene mimics the peripheral analgesic activity of lemongrass tea.  J  Ethnopharmacol 1991;34(1):43-8.   
  • Skramlik EV. Toxicity and toleration of volatile oils.  Pharmazie 1959;14:435-45.
  • Ostraff M, Anitoni K, Nicholson A, Booth GM. Traditional Tongan cures for morning sickness and their   mutagenic/toxicological evaluations.  J Ethnopharmacol 2000;71(1/2):201-19.
  • Wohrl S, Hemmer W, Focke W, Gotz M, Jarisch R. The significance of fragrance mix, balsam of Peru, colophony   and propolis as screening tools in the detection of fragrance allergy.  Br J Dermatol 2001;145(2):268-73.
  • Onbunma S, Kangsadalampai K, Butryee B, Linna T. Mutagenicity of different juices of meat boiled with herbs   treated with nitrite.  Ann Res Abst, Mahidol Univ (Jan 1 – Dec 31, 2001) 2002;29:350.
  • Costa M, Di Stasi LC, Kirizawa M, et al. Screening in mice of some medicinal plants used for analgesic purposes  in the state of Sao Paulo.  J Ethnopharmacol 1989;27(1/2):25-33.
  • Mishra AK, Kishore N, Dubey NK, Chansouria JPN. An evaluation of the toxicity of the oils of Cymbopogon   citr

27
เหงือกปลาหมอ
ชื่อสมุนไพร  เหงือกปลาหมอ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น  แก้มแพทย์ (จังหวัดสตูล) , อีเกร็ง (ภาคกึ่งกลาง) , แก้มหมอเล (กระบี่) , นางเกร็ง,จะเกร็ง อื่นๆอีกมากมาย
ชื่อวิทยาศาสตร์     Acanthus ebracteatus Vahl. (เหงือกปลาหมอดอกสีขาว)
Acanthus ilicifolius L. var. ilicifolius (เหงือกปลาแพทย์ดอกสีม่วง)
ชื่อสามัญ  Sea Holly.
วงศ์  ACANTHACEAE
บ้านเกิด เหงือกปลาหมอนับว่าเป็นสมุนไพรพื้นถิ่นของไทยเราเพราะมีประวัติสำหรับเพื่อการประยุกต์ใช้เป็นยาสมุนไพรมาตั้งแต่โบราณแล้ว ซึ่ง[url=http://www.disthai.com/16910138/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD]เหงือกปลาหมอ[/url]นี้เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นกลางแจ้งและมักจะพบได้ทั่วไปในรอบๆป่าชายเลน หรือตามพื้นที่ชายน้ำริมฝั่งลำคลอง เติบโตเจริญในที่ร่มและก็มีความชื้นสูง หรือในแถบที่ดินเค็มและไม่ชอบที่ดอน แถบภาคอีสารก็มีรายงายว่าปลูกได้ด้วยเหมือนกัน เหงือกปลาแพทย์ เจออยู่ 2 ประเภท คือ ชนิดดอกสีขาว Acanthus ebracteatus Vahl พบมากในภาคกลางและก็ภาคตะวันออก ชนิดดอกสีม่วง  Acanthus ilicifolius L. เจอทางภาคใต้ ทั้งยังเหงือกปลาแพทย์ยังเป็นพันธุ์ไม่ลือชื่อของจังหวัดสมุทรปราการอีกด้วย
ลักษณะทั่วไป

  • ต้นเหงือกปลาแพทย์ เป็นไม้พุ่มขนาดกึ่งกลาง มีความสูงประมาณ 1-2 เมตร ลำต้นแข็ง มีหนามอยู่ตามข้อของลำต้น ข้อละ 4 หนาม ลำต้นกลม กลวง ตั้งชัน มีสีขาวอมเขียว ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 1.5 เซนติเมตร
  • ใบเหงือกปลาหมอ ใบเป็นใบลำพัง ลักษณะของใบมีหนามคมอยู่ริมขอบใบแล้วก็ปลายใบ ขอบของใบเว้าเป็นระยะๆผิวใบเรียบเป็นเงาลื่น แผ่นใบสีเขียว เส้นใบสีขาว มีชำเลืองสีขาวเป็นแถวก้างปลา เนื้อใบแข็งแล้วก็เหนียว ใบกว้างโดยประมาณ 4-7 เซนติเมตร และก็ยาวโดยประมาณ 10-20 เซนติเมตร ใบจะออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ก้านใบสั้น
  • ดอกเหงือกปลาแพทย์ มีดอกเป็นช่อตั้งตามปลายยอด ยาวประมาณ 4-6 นิ้ว ทั้งนี้สีของดอกขึ้นอยู่กับจำพวกของต้นเหงือกปลาแพทย์คือ ดอกมีอีกทั้งประเภทดอกสีม่วง หรือสีฟ้า และก็จำพวกดอกสีขาว แม้กระนั้นลักษณะอื่นๆเหมือกันคือ ที่ดอกมีกลีบรองดอกมี 4 กลีบ กลีบแยกจากกัน ส่วนกลีบดอกไม้เป็นท่อปลายบานโต ยาวราวๆ 2-4 เซนติเมตร รอบๆกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้รวมทั้งเกสรตัวเมียอยู่
  • ผลเหงือกปลาแพทย์ รูปแบบของผลเป็นฝักสีน้ำตาล รูปแบบของฝักเป็นทรงกระบอกกลมรี รูปไข่ ยาวราว 2-3 เซนติเมตร เปลือกฝักมีสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน ด้านในฝักมีเมล็ด 4 เม็ด


การขยายพันธุ์ เหงือกปลาแพทย์สามารถแพร่พันธุ์ได้ด้วยวิธีการเพาะเม็ดและก็การใช้กิ่งปักชำ แม้กระนั้นวิธีที่ได้รับความนิยมแล้วก็ได้ผลผลิตที่ดีหมายถึงการใช้กิ่งปักชำ นำกิ่งที่ไม่แก่และไม่อ่อนจนกระทั่งเกินความจำเป็น อายุ 1-2 ปี มาชำลงในดินโคลน คอยรดน้ำให้เปียกแฉะ โดยประมาณ 2 เดือน จะแตกหน่อราก จึงกระทำการย้ายปลูก ก่อนปลูกควรจะจัดเตรียมแปลงปลูก ระยะปลูก 80x80 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยมูลสัตว์หรือปุ๋ยคอก ใส่ปุ๋ยคอกหว่านรอบโคนต้นปีละ 2 ครั้งๆละ 1 กิโลกรัม/ต้น ใส่ปุ๋ยบ่อยมากขึ้นในกรณีที่เก็บเกี่ยวผลผลิตบ่อยมาก ทำให้ต้นโทรม ใบเป็นสีเหลือง กำจัดวัชพืชดูแลแปลงให้สะอาด
                หลังปลูก 1 ปี ก็เลยจะเก็บผลิตผล โดยตัดกิ่งให้หมอต้น (ตอ) ให้เหลือความยาวครึ่งเดียว เพื่อแตกใหม่ในปีถัดไป กิ่งที่ได้เอามาสับเป็นท่อนๆละ 6 นิ้ว นำไปตากแดดกระทั่งแห้งดี หรืออบแห้ง กิ่งและใบสด  3 กก. จะตากแห้งได้ 1 กิโลกรัม แล้วก็ผลผลิตจากต้นอายุ 1 ปี ปริมาณ 4 ต้น (กอ) จะมีน้ำหนักสด 1 กิโลกรัม
ส่วนประกอบทางเคมี ในใบพบสาร : alpha-amyrin, beta-amyrin, ursolic acid apigenin-7-O-beta-D-glucuronide, methyl apigenin-7-O-beta-glucuronate campesterol, 28-isofucosterol, beta-sitosterol ในรากพบสาร : benzoxazoline-2-one, daucosterol, octacosan-1-ol, stigmasterol อีกทั้งต้นเจอสาร : acanthicifoline, lupeol, oleanolic acid, quercetin, isoquercetin, trigonelline , dimeric oxazolinone
สรรพคุณ ยาสมุนไพรประจำถิ่น ใช้  ใบ ต้มกับน้ำกิน แก้นิ่วในไต ทั้งยังต้น 10 ส่วน กับพริกไทย 5 ส่วน ทำเป็นยาลูกกลอน แก้โรคกระเพาะ ขับเลือด เป็นยาอายุวัฒนะ ทั้งต้น ใช้รักษาแผลฝีหนอง ใช้  ใบแล้วก็ต้น แก้ตกขาว โดยตำเป็นผงละลายน้ำผึ้ง หรือน้ำมันงา ปั้นเป็นลูกกลอนรับประทาน
               ตำรายาไทย  ใช้  ใบ รสเค็มกร่อยร้อน ตัดรากฝีด้านใน และก็ภายนอกทุกประเภท แก้น้ำเหลืองเสีย ช่วยบำรุงรักษารากผม แก้ประป่าดง ใบเป็นยาอายุวัฒนะ รักษาตกขาว , ระดูขาวของสตรี ใบสด แก้ไข้ ผื่นคันฝี แก้ฝีทราง หรือใช้ใบสดนำมาตำอย่างรอบคอบ ใช้พอกบริเวณแผลที่ถูกงูกัด พอกฝี แล้วก็แผลอักเสบ ต้นและเมล็ด มีรสเผ็ดร้อน รักษาฝี แก้โรคน้ำเหลืองเสีย เมล็ด ใช้เป็นยาขับพยาธิ เป็นยาแก้ไอ ขับเลือด แก้ฝี ทั้งยังต้น มีรสเค็มกร่อย อีกทั้งต้นสด รักษาโรคผิวหนังชนิดพุพอง น้ำเหลืองเสีย รวมทั้งผื่นคันตามร่างกาย ต้มรับประทานแก้พิษโรคฝีดาษ พิษฝีภายใน ตัดรากฝีทั้งปวง แก้โรคผิวหนัง น้ำเหลืองเสีย เป็นยาอายุวัฒนะ ต้มอาบ แก้พิษไข้หัว แก้โรคผิวหนังผื่นคัน ตำพอก ปิดหัวฝี แผลเรื้อรัง คั้นเอาน้ำทาหัวบำรุงรากผม ใช้ยับยั้ง/ต่อต้านมะเร็ว ช่วยเจริญอาหาร ทุเลาอาการปวดหัว ราก ใช้รากสด นำมาต้มเอาน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคงูสวัด บำรุงประสาท แก้อาการหอบหืด ขับเสมหะ เหงือกปลาแพทย์ ทั้ง 5 (ราก,ต้น,ใบ,ผล,เมล็ด) มีคุณประโยชน์ช่วยแก้พิษฝี แก้มะเร็ง ช่วยสำหรับในการเจริญอาหาร ช่วยทำให้เลือดลดธรรมดา เป็นยาอายุวัฒนะ
แบบอย่าง/ขนาดการใช้

  • ยั้งโรคมะเร็งต้านทานโรคมะเร็ง นำเหงือกปลาหมออีกทั้ง 5 ส่วน (ราก,ต้น,ใบ,ผล,เม็ด) มาต้มกับน้ำ ดื่มกิน
  • รักษาเมนส์มาผิดปกติ นำต้นมาตำผสมกับน้ำมันงารวมทั้งน้ำผึ้งนำมารับประทาน
  • แก้ผื่นคัน นำใบและต้นสดประมาณ 3-4 กำมือนำมาสับต้นน้ำอาบบ่อยๆ 3-4 ครั้ง
  • แก้ไข้หนาวสั่น นำต้นมาตำผสมกับขิง
  • แก้ผิวแตกตลอดตัว นำทั้งต้นของเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน และดีปลี 1 ส่วน ใช้ผสมกันบดให้เป็นผงชงกับน้ำร้อนดื่มแก้อาการ
  • ขับเสมหะ บำรุงประสาท แก้ไอ แก้โรคหืด รักษามุตกิดตกขาว นำรากมาต้มกับน้ำ ดื่มกิน
  • รักษาโรคผิวหนัง ขับน้ำเหลืองเสียแก้แผลผุพอง เป็นฝีเป็นประจำนำต้น ใบแล้วก็เม็ดต้มกับน้ำอาบ
  • ปรับแก้ข้ออักเสบ แก้ปวดต่างๆนำใบมาต้มกับน้ำ ดื่มกิน
  • ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้อายุยืน สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง เลือดลมไหลเวียนดี เส้นเลือดไม่ตัน บำรุงผิวพรรณ ด้วยการใช้ทั้งยังต้นเหงือกปลาหมอนำมาตำผสมกับพริกไทยในอัตราส่วน 2:1 แล้วคลุกเคล้าผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอนไว้กิน
  • ช่วยแก้โรคกระษัย อาการซูบซีดเหลืองหมดทั้งตัว ด้วยการใช้ต้นของเหงือกปลาหมอนำมาตำเป็นผุยผงรับประทานวันแล้ววันเล่า
  • แก้อาการร้อนตลอดตัว เจ็บระบบตลอดตัว ตัวแห้ง เวียนหัว หน้ามืดตามัว มือตายตีนตาย ด้วยการใช้ทั้งยังต้นของเหงือกปลาแพทย์แล้วก็เปลือกมะรุมอย่างละเสมอกัน ใส่หม้อต้มผสมกับเกลือเล็กน้อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ แล้วใช้ฟืน 30 ดุ้น ต้มกับน้ำเดือดจนงวดแล้วยกลง เมื่อเสร็จให้อั้นลมหายใจรับประทานขณะอุ่นๆจนหมด อาการก็จะดีขึ้น
  • รากช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ หรือจะใช้เมล็ดนำมาต้มดื่มแก้อาการไอก็ได้เช่นกัน
  • แก้อาการไอ เมล็ดใช้ผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด นำมาต้มรวมกันแล้วเอาแต่น้ำมากินเป็นยาแก้ไอ
  • ช่วยแก้โรคกระเพาะ ด้วยการใช้ทั้งต้นและก็พริกไทย (10:5 ส่วน) ตำผสมปั้นเป็นยาลูกกลอน
  • ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ต้นเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อย เอามาตำละลายกับน้ำแล้วทาบริเวณที่เป็นริดสีดวง หรือจะใช้ปรุงกับฟ้าทะลายขโมย ใช้รมหัวริดสีดวงก็ได้


ในปัจจุบันเหงือกปลาแพทย์ มีการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ยาแคปซูลสมุนไพรเหงือกปลาแพทย์ ยาชงสมุนไพรและยาเม็ด มีสรรพคุณใช้รักษาโรคผิวหนังทั้งเหงือกปลาหมอยังเป็นสมุนไพรที่ใช้สำหรับการอบตัวเป็นการอบตัวด้วยไอน้ำที่ได้จากการต้มสมุนไพร รวมทั้งการอบแฉะแบบเข้ากระโจม โดยเหงือกปลาแพทย์มีสรรพคุณสำหรับรักษาโรคผิวหนัง
นอกจากนั้นเหงือกปลาหมอยังเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งหน้าต่างๆเป็นต้นว่า สินค้าเปลี่ยนสีผมและก็สบู่สมุนไพร ฯลฯ
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ลดการอักเสบ  ทดลองน้ำสกัดจากใบแห้ง ความเข้มข้น 500 มคก./มิลลิลิตร กับหนูขาว พบว่าสารสกัดดังที่กล่าวผ่านมาแล้วมีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ โดยไปยับยั้งการสร้าง leukotriene B-4 แต่สารสกัดนี้ไม่มีฤทธิ์เป็น serotonin antagonist  เมื่อเร็วๆนี้ มีงานศึกษาเรียนรู้และค้นคว้าและทำการวิจัยว่าสารสกัดด้วยเอทานอลจากทั้งต้น ขนาด 500 มคก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้ง 5-lipoxygenase activity ด้วยกลไกสำหรับเพื่อการลดการผลิต leukotriene B-4 ถึง 64% และสารสกัดด้วยน้ำ ขนาด 500 มคกรัม/มิลลิลิตร ลดได้ 44% และก็มีการพินิจพิจารณาสารสำคัญของเหงือกปลาหมอดอกม่วงที่มีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ พบว่าสารนั้นเป็นพวก dimeric oxazolinone ที่มีสูตรโครงสร้างเป็น 5,5¢-bis-benzoxazoline-2,2¢-dione
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย มีการทดลองสารสกัดเอทานอล (90%) จากทั้งยังต้นแห้ง (ไม่รู้จักความเข้มข้น) กับ Staphylococcus aureus พบว่าสารสกัดนี้ไม่มีฤทธิ์ แต่การทดลองเม็ดเหงือกปลาหมอ พบว่ามีฤทธิ์ต้านทานเชื้อ S. aureus
ฤทธิ์ต้านการเกิดออกซิเดชั่น          มีการทดลองสารสกัดอัลกอฮอล์จากใบของเหงือกปลาหมอดอกม่วง พบว่าสารสกัดนี้มีฤทธิ์ต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระหลากหลายประเภท ได้แก่ superoxide radical, hydroxyl radical, nitric oxide radical รวมทั้ง lipid peroxide ฯลฯ นอกจากนี้สารสกัดจากส่วนผลด้วยเมทานอล เมื่อทดลองในหนูถีบจักร พบฤทธิ์ต้านทานการเกิดอนุมูลอิสระ โดยมีขนาดที่ยั้งได้ 50% (IC50)หมายถึง79.67 มคล./มล. และพบฤทธิ์ยั้งการเกิด lipid peroxide โดยขนาดที่ยั้งได้ 50% (IC50) คือ 38.4 มคล./มิลลิลิตร
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เกี่ยวกับการเพิ่มภูมิต้านทาน  มีการนำสารสกัดน้ำอย่างหยาบจากรากของเหงือกปลาแพทย์มาทำให้ครึ่งหนึ่งบริสุทธิ์ โดยวิธี gel filtration (Sephadex G-25) เพื่อศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกันที่มีต่อ mononuclear cell (PMBC) ของคนธรรมดา 20 ราย โดยประเมินผลการศึกษาเล่าเรียนจาก H3-thymidine uptake พบว่าสารสกัดกึ่งบริสุทธิ์ของเหงือกปลาหมอดอกม่วง ที่ความเข้มข้นต่ำ (10 มคกรัม/มล.) สามารถกระตุ้นการแบ่งตัวของ lymphocytes ได้สูงขึ้นมากยิ่งกว่ากลุ่มควบคุมอย่างเป็นจริงเป็นจัง (P < 0.05)
การศึกษาทางพิษวิทยา หลักฐานความเป็นพิษรวมทั้งการทดสอบความเป็นพิษ
          เมื่อให้สารสกัดลำต้นแห้งด้วยปิโตรเลียมอีเทอร์ ขนาดความเข้มข้น 5 ซีซี/จานเพาะเชื้อ ไม่กระตุ้นให้เกิดการก่อกลายประเภท ใน Salmonella typhimurium TA98 รวมทั้ง TA100 แม้กระนั้นเมื่อให้สารสกัดด้วยน้ำจากส่วนรากกับหนูเพศเมียขนาด 2.7 และก็ 13.5 ก./กก. เป็นเวลา 12 เดือน พบความเป็นพิษต่อตับในหนูทดลอง
หลักฐานความเป็นพิษ และก็ยังมีการทำการศึกษาเกี่ยววกับการทดลองความเป็นพิษของเหงือกปลาแพทย์อีกจำนวนไม่น้อยกล่าวว่า เมื่อฉีดสารสกัดพืชทั้งยังต้นด้วยเอทานอล (90%) เข้าทางช่องท้องของหนูถีบจักร ขนาดที่ทำให้หนูตายเป็นจำนวนครึ่งเดียว (LD50) มีค่ามากยิ่งกว่า 1 กรัม/กิโลกรัม ส่วนสารสกัดใบด้วยเมทานอลแล้วก็น้ำ (1:1) ฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักรเพศผู้ ค่า LD50 มีค่ามากกว่า 1 ก./กิโลกรัม และก็สารสกัดจากใบร่วมกับต้นด้วยเมทานอลแล้วก็น้ำ (1:1) ฉีดเข้าท้องหนูถีบจักรเพศผู้เช่นเดียวกัน ค่า LD50 พอๆกับ 750 มิลลิกรัม/กก. สารสกัดจากต้นด้วยเมทานอลแล้วก็น้ำ (1:1) ค่า LD50 มีค่ามากกว่า 1 ก./กก. เมื่อกรอกสารสกัดใบร่วมกับก้านใบ ลำต้น รากแห้ง ด้วยน้ำหรือน้ำร้อน หรือฉีดเข้าช่องท้องของหนูถีบจักร (ไม่ระบุขนาด) ไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดพิษ และก็เมื่อกรอกสารสกัดรากแห้งด้วยน้ำให้หนูถีบจักร ในขนาด 0.013 มิลลิกรัม/สัตว์ทดสอบ ไม่เจอพิษ  อีกทั้งมีการเรียนถึงพิษของเหงือกปลาแพทย์ดอกม่วงแบบทันควันแล้วก็แบบครึ่งหนึ่งเฉียบพลันในหนูพันธุ์สวิส โดยใช้ส่วนสกัดจากใบและก็รากแยกกัน ในขนาดความเข้มข้นต่างๆพบว่า สารสกัดดังที่กล่าวผ่านมาแล้วไม่มีพิษอย่างฉับพลัน แม้กระนั้นการใช้เหงือกปลาหมอในขนาดสูงๆเป็นระยะเวลาที่ยาวนานอาจจะทำให้เป็นผลใกล้กันต่อระบบทางเท้าเยี่ยวได้ รวมทั้งมีการทดลองนำสารสกัดจากรากเหงือกปลาหมอกับ mononuclear cell (PMBC) ของคนภายในหลอดทดสอบโดยใช้สารสกัดอย่างหยาบ พบว่าสารสกัดดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว ขนาด 100 มคกรัม/มิลลิลิตร เป็นพิษต่อ PBMC (P< 0.05) แม้กระนั้นเมื่อนำสารสกัดหยาบมาทำให้กึ่งบริสุทธิ์โดยแนวทาง gel filtration (Sephadex G-25) พบว่าสารสกัดครึ่งบริสุทธิ์ที่ได้ไม่เป็นพิษต่อ PMBC ที่เลี้ยงไว้ในหลอดทดลองหากแม้จะใช้ในความเข้มข้น 1,000 มคกรัม/มิลลิลิตร
การต้านการฝังตัวของตัวอ่อน ให้สารสกัดเอทานอล (90%) ขนาด 100 มก./กิโลกรัม กับหนูขาวที่ท้อง พบว่าสารสกัดนี้ไม่มีฤทธิ์ต้านการฝังตัวของตัวอ่อน
ข้อเสนอ/ข้อพึงระวัง แม้ในการศึกษาทางด้านพิษวิทยาและก็การทดสอบความเป็นพิษของเหงือกปลาหมอชนิดดอกสีม่วงและก็ชนิดดอกสีขาว จะส่งผลการเรียนรู้ชี้ว่า ไม่มีพิษแต่ว่าอย่างไรก็ดี การใช้สมุนไพรเหงือกปลาหมอก็คล้ายกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นซึ่งก็คือ ไม่ควรใช้ในขนาดและก็ปริมาณที่สูง และใช้เป็นระยะเวลานาน เนื่องจากว่าอาจทำให้เกิดความผิดปกติหรือผลข้างเคียงต่อระบบต่างๆของร่างกายได้
เอกสารอ้างอิง

  • เอมอร โสมนะพันธุ์ 2543. สมุนไพรและผักพื้นบ้านกับโรคเอดส์และโรคฉวยโอกาส ในโครงการสัมมนาวิชาการ เรื่อง การดูแลผู้ติดเชื้อเอดส์ด้วยสมุนไพรและผักพื้นบ้าน, 19-21 เมษายน 2543 ณ. ห้องประชุมตะกั่วป่า โรงแรมเจ.บี. อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา หน้า 1-26.
  • Hoult JRS, Houghton PJ, Laupattarakesem P.  Investigation of four Thai medicinal plants for inhibition of pro-inflammatory eicosanoid synthesis in activated leukocytes.  J Pharm Pharmacol Suppl 1997;49(4):218.
  • Ghosh, A. et al. 1985. Phytochemistry, 24(8) : 1725-1727. http://www.disthai.com/
  • จงรัก วัจนคุปต์.  การตรวจหาสมุนไพรที่มีอำนาจทำลายเชื้อแบคทีเรีย.  Special Project Chulalongkorn Univ, 2495.
  • เหงือกปลาหมอ.ฐานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • Nair, A.G.R. and Pouchaname, V. 1987. J. Indian Chem Soc. 64(4) : 228-229.
  • Bhakuni DS, Dhawan BN, Garg HS, Goel AK, Mehrotra BN, Srimal RC, Srivastava MN.  Bioactivity of marine organisms:part VI-screening of some marine flora from Indian coasts.  Indian J Exp Biol 1992;30(6):512-7.
  • Laupattarakesem P, Houghton PJ, Hoult JRS.  An evaluation of the activity related to inflammation of four plants used in Thailand to treat arthritis.  J Ethnopharmacol 2003;85:207-15
  • Bunyapraphatsara N, Srisukh V, Jutiviboonsuk A, et al. Vegetables from the mangrove areas. Thai J Phytopharm 2002;9(1):1-12
  • Minocha, P.K. and Tiwari, K.P. 1981. Phytochemistry, 20: 135-137.
  • ชุลี มาเสถียร ผ่องพรรณ ศิริพงษ์ จงรักษ์ เพิ่มมงคล.  ฤทธิ์สร้างเสริมภูมิคุ้มกันของสารสกัดจากรากเหงือกปลาหมอที่มีต่อ lymphocytes ของคนในหลอดทดลอง.  Bull Fac Med Tech Mahidol Univ 1991;15(2):104.
  • D’Souza L, Wahidulla S, Mishra PD.  Bisoxazolinone from the mangrove Acanthus ilicifolius.  Indian J Chem, Sect B: Org Chem Incl Med Chem 1997;36B(11):1079-81.
  • เหงือกปลาหมอดอกขาว.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Babu BH, Shylesh BS, Padikkala J.  Antioxidant and hepatoprotective effect of Acanthus ilicifolius.  Fitoterapia 2001;72(3):272-7.
  • เหงือกปลาหมอดอกม่วง.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานสมุนไพรคณะเภสัชมหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Srivatanakul P, Naka L.  Effect of Acanthus ilicifolius Linn. in treatment of leukemic mice.  Cancer J (Thailand) 1981;27(3):89-93.
  • ปิยวรรณ ญาณภิรัต สุนันทา จริยาเลิศศักดิ์ จงรักษ์ เพิ่มมงคล และคณะ.  การศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับพิษของสมุนไพรเหงือกปลาหมอในหนูขาว.  วารสารโรคมะเร็ง 530;13(1):158-64.
  • Piyaviriyakul S, Kupradinun P, Senapeng B, et al. Chronic toxicity of Acanthus ebracteatus Vahl. in rat.  Poster Session 6th National Cancer Conference, Bangkok, Dec. 3-4, 2001.
  • Nakanishi K, Sasaki SI, Kiang AK, et al.  Phytochemical survey of Malaysian plants. Preliminary chemical and pharmacological screening.  Chem Pharm Bull 1965;13(7):882-90. 
  •    Jongsuwat Y.  Antileukemic activity of Acanthus ilicifolius.  Master Thesis, Chulalongkorn University, 1981:151pp.
  • Rojanapo W, Tepsuwan A, Siripong P.  Mutagenicity and antimutagenicity of Thai medicinal plants.  Basic Life Sci 1990;52:447-52.



Tags : เหงือกปลาหมอ

28

โรคไซนัสอักเสบ (Sinusitis)
โรคไซนัสอักเสบคืออะไร  ไซนัส คือ โพรงอากาศที่อยู่ภายในกระดูกบริเวณรอบๆหรือใกล้เคียงกับจมูก ซึ่งมีอยู่ 4 กลุ่มใหญ่ๆในแต่ละข้าง  ไซนัสที่ใหญ่ที่สุดอยู่ด้านในกระดูกโหนกแก้ม (maxillary sinus)  อีกกลุ่มหนึ่งมีอยู่หลายโพรง มีขนาดเล็ก และก็อยู่ระหว่างรอบๆโคนจมูก รวมทั้งหัวตาแต่ละข้าง (ethmoidal sinuses)  ในกระดูกหน้าผากก็มีไซนัสข้างใน (frontal sinus) นอกจากนั้นยังมีไซนัสที่อยู่ใต้ฐานกะโหลกศีรษะ (sphenoidal sinus) ด้วย  หน้าที่ของไซนัสนั้นไม่เคยรู้ชัดเจน  แต่มั่นใจว่าอาจช่วยทำให้เสียงที่เราส่งแสงออกมา กังวานขึ้น, ช่วยให้กะโหลกศีรษะค่อยขึ้น และก็ช่วยรักษาสมดุลของศีรษะ, ช่วยสำหรับการปรับความดันของอากาศด้านในโพรงจมูก  ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงของความดัน แล้วก็สร้างสารคัดหลั่งที่ปกป้องการต่อว่าดเชื้อของโพรงจมูกรวมทั้งไซนัส
ซึ่งในคนปกติทั่วไป มูกที่ทำขึ้นในโพรงไซนัสจะระบายลงตามทางเชื่อมมาออกที่รูเปิดในโพรงจมูก กลายเป็นน้ำมูก หรือเสมหะใส เพื่อความชุ่มชื้นและชะล้างโพรงจมูก แต่ว่าถ้าหากรูเปิดดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วถูกอุดกัน (อาทิเช่น ไม่สบายหวัด หรือโรคไข้หวัดภูมิแพ้) ทำให้มูกในโพรงไซนัสไม่สามารถ ระบายออกมาได้ มูกก็จะหมักหมมกลายเป็นของกินในการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่ขยายมาจากโพรงจมูกเข้าไปในไซนัส ทำให้เยื่อบุภูมิแพ้บวม ขนอ่อนในไซนัสสูญเสียหน้าที่สำหรับการขับมูก ทำให้มีการสะสมของมูกมากขึ้นเรื่อยๆแปลงเป็นหนองขังอยู่ในไซนัส เกิดลักษณะของโรคภูมิแพ้ขึ้นมา
โรคแพ้อากาศ ยังสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือจำพวกรุนแรง (มีลักษณะอาการน้อยกว่า 30 วัน) จำพวกครึ่งกะทันหัน (มีลักษณะอยู่ระหว่าง 30-90 วัน) รวมทั้งจำพวกเรื้อรัง (มีลักษณะอาการมากกว่า 90 วัน) โดยการอักเสบบางทีอาจเกิดกับไซนัสได้ทุกตำแหน่ง อาทิเช่น ไซนัสข้างตา (Ethmoid sinus), ไซนัสหน้าผาก (Frontal sinus), ไซนัสโหนกแก้ม (Maxillary sinus) แล้วก็ไซนัสที่อยู่ใต้ฐานกะโหลกศีรษะ (Sphenoidal sinus) แม้กระนั้นที่พบได้มากที่สุด คือ ไซนัสโหนกแก้ม (Maxillary sinus) ซึ่งจะมีผลให้มีอาการปวดที่รอบๆโหนกแก้ม  แม้กระนั้นโรคนี้ส่วนมากชอบไม่มีความร้ายแรง เว้นแต่สร้างความอารมณ์เสียหรือปวดทรมาทรกรรม ส่วนน้อยที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง แม้ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก ก็มักจะหายได้ หรือลดภาวะแทรกซ้อนลงได้
  โรคไซนัสอักเสบเป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดโรคหนึ่งที่ทำให้ผู้เจ็บป่วยมาพบแพทย์  ราวกันว่าราษฎรทั่วไป 1 ใน 8 คน  จะเป็นโรคไซนัสอักเสบในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต  เกิดการของการเกิดภูมิแพ้   มีลัษณะทิศทางที่เกิดเพิ่มมากขึ้นในฤดูกาลที่มีคนเจ็บป่วยหวัดหรือมีการอักเสบติดเชื้อในทางเดินหายใจมาก โดยปกติ
มากกว่า 0.5% ของผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคหวัด ได้โอกาสกำเนิดเป็นภูมิแพ้ตาม มา ผู้ป่วยที่เป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) หรือโรคหืดจะมีไซนัสอักเสบร่วมด้วยโดยประมาณ 40-50% อุบัติการของภูมิแพ้ประเภทกระทันหันที่เกิดขึ้นมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียในคนแก่ที่เกิดตามหลังหวัดพบได้ราวๆร้อยละ 0.5-2 รวมทั้งในเด็กพบได้ราวจำนวนร้อยละ 5-10 สำหรับโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังนั้น  ในกลุ่มมวลชนทั่วไปเจอโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังประมาณร้อยละ 1.2-6 
ที่มาของโรคแพ้อากาศ

  • การตำหนิดเชื้อของระบบฟุตบาทหายใจตอนบน (Upper respiratory tract infec tion) ระยะต้นเกิดจากเชื้อไวรัสโรคไข้หวัด ซึ่งจะไปทำให้เยื่อบุจมูกอักเสบ ซึ่งบางทีอาจอักเสบต่อ เนื่องเข้าไปถึงในไซนัส ถัดมามีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย โดยธรรมดาก็จะหายได้เป็นปกติ แม้กระนั้นหากการติดเชื้อนั้นร้ายแรง อาจเกิดการทำลายของเยื่อบุจมูกและก็เยื่อบุไซนัส ทำให้มีการบวมและมีพังผืด นำไปสู่การอุดตันของรูเปิดระหว่างไซนัสกับโพรงจมูก ร่วมกับการที่เซลล์ขน (Cilia) ที่มีบทบาทผลักดันสารคัดหลั่งในไซนัส ไม่ทำงาน ก็จะทำให้การอักเสบแปลงเป็นการอักเสบเรื้อรังได้
  • การต่อว่าดเชื้อของฟัน โดยยิ่งไปกว่านั้นฟันกรามน้อยและก็ฟันกรามแถวบน โดยธรรมดาพบว่า ประมาณ 10% ของการอักเสบของไซนัสแมกสิลลาจะเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากฟันผุ (เนื่องจากผนังด้านล่างของไซนัสแมกสิลลาจะชิดกับรากฟันดังที่กล่าวถึงมาแล้ว) บางรายจะออกอาการชัดแจ้งภายหลังที่ไปถอนฟันแล้วเกิดรูทะลุระหว่างไซนัสแมกสิลลาและเหงือก (Oroantral fistula) ขึ้น
  • โรคติดเชื้ออื่นๆอย่างเช่น ไข้หวัดใหญ่ โรคฝึก โรคไอกรน
  • การว่ายน้ำ มุดน้ำ ซึ่งบางทีอาจเกิดการสำลักน้ำเข้าไปในจมูกและก็เข้าไปในไซนัสได้ โดยอาจมีเชื้อโรคเข้าไปด้วย นำมาซึ่งการอักเสบได้ นอกเหนือจากนั้น สารคลอรีน (Chlorine) ในสระว่ายน้ำ ยังเป็นสารเคมีที่นำไปสู่การอักเสบของเยื่อบุไซนัสได้
  • การกระทบกระแทกอย่างแรงบริเวณใบหน้า อาจจะเป็นผลให้ไซนัสโพรงอันใดโพรงหนึ่งแตกหัก บอบช้ำบวม หรือมีเลือดออกข้างในโพรง กระตุ้นให้เกิดการอักเสบติดโรคตามมาได้
  • มีสิ่งปลอมปนในจมูก ดังเช่นว่า เมล็ดผลไม้ จึงก่อการอุดตันโพรงจมูก จึงเป็นสาเหตุให้มีการติดเชื้อโรคอีกทั้งในโพรงจมูก แล้วก็ในไซนัส
  • จากความเคลื่อนไหวความดันอากาศบริเวณตัวทันที (Barotrauma หรือ Aero sinusitis) ได้แก่ ขณะเครื่องบินขึ้นหรือลงจอด และการดำน้ำลึก เป็นต้น หากรูเปิดของไซนัสขณะ นั้นบวมอยู่ ดังเช่น กำลังเป็นหวัด หรือโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) กำเริบ จะทำให้เยื่อบุ บวมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงอาจมีการหลั่งของเหลว/สารคัดหลั่งออกมา หรือมีเลือดออกได้ ก็เลยก่อการอักเสบขึ้น ซึ่งพบบ่อยที่ไซนัสฟรอนตัล ที่มา  :    wikipedia                 


ส่วนไซนัสอักเสบเรื้อรังมักสำเร็จสอดแทรกจากภูมิแพ้ฉับพลันที่  มิได้รับการดูแลรักษาที่ถูก นอกเหนือจากนี้ ยังอาจเป็นเพราะเนื่องจากต้นเหตุอื่นๆอาทิเช่น หวัดภูมิแพ้เรื้อรัง ริดสีดวงจมูก เนื้องอกในโพรงจมูกหรือไซนัส ผนังกั้นจมูกคด การตำหนิดเชื้อของทางเท้าหายใจส่วนต้นซ้ำซาก การสูบบุหรี่ มลภาวะทางอากาศ โรคกรดไหลย้อน (หูรูดปลายหลอดอาหารเสื่อม ทำให้มีน้ำย่อยซึ่งเป็น กรดไหลย้อนขึ้นมาที่ไซนัส เวลาเข้านอนค่ำคืน) โรคฟันรวมทั้งช่องปากเรื้อรัง ภาวการณ์ภูมิคุ้มกันต่ำ (ดังเช่นว่า เบาหวาน เอดส์) เป็นต้น
อนึ่งสำหรับการอักเสบกะทันหันของไซนัส มักมีเหตุที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ดังเช่นว่า เชื้อไวรัสหวัด แม้กระนั้นเมื่อเป็นการอักเสบเรื้อรัง มักมีเหตุที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น Streptococci, Staphylococcus, Haemophilus influenzae, Klebsiella pneumoniae, Bacteroides melaninogenicus, แม้กระนั้นอาจพบจากการติดเชื้อราได้ ดังเช่นว่า Aspergillus และก็ Dematiaceous fungi
ลักษณะของโรคไซนัสอักเสบ
ภูมิแพ้กะทันหัน  ในผู้ใหญ่มักมีอาการปวดบริเวณใบหน้าบริเวณไซนัสที่อักเสบ เป็นต้นว่า ปวดที่บริเวณหัวตา หน้าผาก โหนกแก้ม  บริเวณกระบอกตา หรือข้างหลังกระบอกตา บางรายบางทีอาจรู้สึก เหมือนปวดฟัน         ที่มา  :    wikipedia               
ตรงฟันซี่บน บางทีอาจปวดเพียงแต่ฝ่ายเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้ ลักษณะของการปวดมักเป็นมากช่วงเวลาเช้าหรือบ่าย เวลาก้มศีรษะหรือเปลี่ยนแปลงท่า คนเจ็บมักมีอาการคัดแน่นจมูก พูดเสียงขึ้นจมูก มีน้ำมูกเป็นหนองออกข้นเหลืองหรือเขียว                 
หรือมีเสลดข้นเหลืองหรือเขียวไหลจากด้านหลังจมูกลงในคอ จำเป็นต้องคอยสูดหรือขากออก  อาจมีลักษณะของการปวดศีรษะ จับไข้ เมื่อยล้า เจ็บคอ ปวดหู ไอ หายใจมีกลิ่นเหม็น ความรู้สึก สำหรับการรับรู้กลิ่นหรือรสชาติลดน้อยลง
ในเด็ก อาการมักกำกวมเท่าผู้ใหญ่ อาจมีอาการเป็นหวัดเป็นเวลายาวนานกว่าธรรมดา กล่าวคือมีน้ำมูก (ใสหรือข้นเป็นหนองก็ได้) รวมทั้งไอเป็นเวลานานกว่า 10 วัน ชอบไอทั้งยังตอนกลางวันและกลางคืน อาจมีไข้ต่ำๆรวมทั้งหายใจมีกลิ่นเหม็นร่วมด้วย  เด็กบางรายอาจแสดงอาการเป็นหวัดรุนแรงกว่าธรรมดา เป็นต้นว่า จับไข้สูงยิ่งกว่า 39 องศาเซลเซียส น้ำมูกข้นเป็นหนอง ปวดที่ใบหน้า หลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วมองเห็นอาการบวมรอบๆตา ซึ่งลักษณะของภูมิแพ้ตอนนี้มีระยะเวลาฟื้นตัวจนหายดีราว 2 – 4 อาทิตย์
ไซนัสอักเสบเรื้อรัง มักมีอาการสม่ำเสมอวันแล้ววันเล่านานเกิน 90 วัน โดยในผู้ใหญ่มักมีลักษณะอาการคัดจมูก มีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียวไหลจากข้างหลังจมูกลงในคอหายใจมีกลิ่นเหม็น ความรู้สึกในการรับรู้กลิ่นน้อยลง ส่วนมากมักไม่มีไข้และอาการปวดไซนัสแบบที่พบในไซนัสอักเสบกะทันหัน  ในเด็กมักมีลักษณะไอ น้ำมูกไหล จาม หายใจมีกลิ่นเหม็น มีโรคติดเชื้อของทางเท้าหายใจส่วนต้น หรือหูชั้นกลางอักเสบ โดยในอาการของภูมิแพ้ช่วงนี้มักเกิดต่อเนื่องกำเนิด 12 อาทิตย์ และพบได้มากร่วมกับโรคภูมิแพ้
ทั้งนี้ไซนัสอักเสบมักมีสาเหตุจากการตำหนิดเชื้อไวรัส พบในอัตรา 90% ของคนป่วย ถ้าเกิดว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรือการพัฒนาโรคที่ร้ายแรงขึ้น อาการจะทุเลาลงและก็หายดีเองภายในช่วงระยะเวลาประมาณ 10 วัน ขณะที่การตำหนิดเชื้อแบคทีเรียจนถึงทำให้ไซนัสอักเสบจะพบได้ไม่บ่อยนัก ราวๆ 5-10% เท่านั้น แล้วก็จำต้องได้รับการดูแลรักษาด้วยยาต้านเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะ ซึ่งมักมีลักษณะเป็นเวลานานกว่า 10 วัน หรืออาการเกิดขึ้นอีกภายหลังเป็นมานาน 5 วัน
วิธีการรักษาโรคไซนัสอักเสบ ในพื้นฐานหมอจะไต่ถามอาการและก็ประวัติการป่วย ร่วมกับการตรวจร่างกายเป็นสำคัญรวมทั้งอาจมีการตรวจพิเศษเพิ่มเติมอีก ดังนี้
ประวัติการรักษา/ความเป็นมาอาการ

  • ประวัติที่ช่วยสำหรับการวินิจฉัยโรคภูมิแพ้กะทันหัน ตัวอย่างเช่น เป็นหวัดมานานมากกว่า 7-10 วัน,  เป็นหวัดที่มีลักษณะรุนแรงมากมาย,  ไข้สูง,  คัดจมูก, มีน้ำมูกเหลืองข้น,  ได้กลิ่นลดน้อยลง, ปวดหรือ
  • ตื้อทึบบริเวณโหนกแก้มคล้ายปวดฟันบน, ปวดรอบๆจมูก หัวคิ้ว หรือหน้าผาก, เจ็บคอ, เสมหะไหลลงคอ, ไอ, ปวดศีรษะ, อาการทางจมูกที่ไม่ดีขึ้นหลังให้ยาหดหลอดเลือด  โดยมีอาการดังกล่าวภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 เดือน   ผู้ป่วยโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังมักมีอาการไม่เฉพาะเจาะจงเช่น คัดจมูก, การรับกลิ่นลดลงหรือไม่ได้กลิ่น, มีน้ำมูกสีเขียวเหลืองในจมูกหรือไหลลงคอ, ปวดศีรษะ, มีกลิ่นปาก, ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น, ลิ้นเป็นฝ้า, คอแห้ง, มีเสมหะในคอ, เจ็บคอ ระคายคอเรื้อรัง, ไอ, ปวดหูหรือ หูอื้อ
  • การตรวจร่างกาย ได้แก่
  • การตรวจในโพรงจมูก มักพบว่าเยื่อบุจมูกบวมแดง อาจพบมีหนองหรือมูก บางรายอาจพบหนองตามตำแหน่งที่มีรูเปิดของไซนัส
  • มีอาการเจ็บ โดยเมื่อกดลงบนใบหน้า ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บ จุดกดเจ็บของไซนัสแม็กซิลล่าอยู่ที่ผนังด้านหน้าชิดกับจมูก จุดกดเจ็บของไซนัสฟรอนตัลอยู่ที่ใต้หัวคิ้วใกล้กับดั้งจมูก หรืออาจจะเคาะเบาๆที่บริเวณหน้าผากซึ่งถ้ามีการอักเสบจะรู้สึกเจ็บ จุดกดเจ็บของไซนัสเอธมอยด์อยู่ที่บริเวณหัวตา ส่วนไซนัสสฟีนอยด์ไม่สามารถตรวจได้เนื่องจากอยู่ลึกมาก แต่ทั้งนี้ ในไซ นัสอักเสบเรื้อรัง มักไม่มีอาการกดเจ็บอย่างชัดเจน ยกเว้นแต่มีการอักเสบเฉียบพลันแทรกซ้อน
  • การตรวจในช่องปาก อาจพบมีหนองไหลจากโพรงหลังจมูกลงมาบนผนังลำคอ เรียกว่า Postnasal drip ซึ่งเป็นตัวช่วยในการวินิจฉัยไซนัสอักเสบเรื้อรังที่ค่อนข้างจะแน่นอนอย่างหนึ่ง อาจพบผนังลำคอเป็นตุ่ม ขรุขระ เนื่องจากมีเนื้อเยื่อน้ำเหลืองในช่องคอโตขึ้น จากต้องทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคที่ติดมากับหนองจากไซนัส ซึ่งไหลลงมาในลำคอเป็นประจำ แต่ลักษณะขรุขระนี้ อาจจะพบได้ในผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ คอหอยอักเสบ และผู้ป่วยที่ผ่าตัดต่อมทอนซิล และอาจพบมีฟันผุโดยเฉพาะ ฟันกรามบน
  • การตรวจพิเศษ เช่น
  • การตรวจเพื่อดูการผ่านทะลุของแสง (Transillumination test) ใช้ช่วยการวินิจฉัยการอัก เสบของไซนัสแม็กซิลล่า และ ของไซนัสฟรอนตัล ถ้าไซนัสไม่มีแสงสว่างผ่านลอดไปได้เลยจะช่วยบอกว่ามีโรคได้อย่างแม่นยำ แต่ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี วิธีนี้มักไม่ได้ประโยชน์เพราะเยื่อบุและผนังกระดูกเด็กที่ล้อมไซนัส มักจะหนากว่าผู้ใหญ่ แสงจึงมักผ่านไม่ได้
  • การตรวจภาพไซนัสด้วยอัลตราซาวด์ สามารถตรวจหาหนองในโพรงไซนัสได้ดี
  • การเจาะไซนัส (Antral proof puncture) ใช้ตรวจไซนัสแมกซิลลา
  • Sinuscopy เป็นการส่องกล้องตรวจในไซนัส ปัจจุบันเกือบจะเข้ามาแทนที่วิธีเจาะไซนัส Antral proof puncture โดยทำต่อจากการถ่ายภาพเอกซเรย์ธรรมดา ไซนัสสำหรับผู้ป่วยโพรงอากาศข้างจมูกแม็กซิลล่าอักเสบเรื้อรัง ถ้าพบหนองก็สามารถเก็บตัวอย่างส่งเพาะเชื้อ และล้างหนองได้ในคราวเดียวกัน ถ้าพบเป็นถุงน้ำ หรือ ริดสีดวงขนาดเล็กก็จะตัดออกผ่านทางกล้องส่องได้ นอกจากนี้ การเห็นพยาธิสภาพและการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุและของรูเปิดไซนัสด้วยตาโดยตรง ทำให้สามารถวินิจฉัยและวางแผนให้การรักษาไซนัสอักเสบที่เหมาะสมต่อไปได้อย่างเหมาะสม
  • การถ่ายภาพไซนัสด้วยเอมอาร์ไอ ใช้แยกก้อนเนื้อ หรือถุงน้ำออกจากของเหลว
  • การตรวจด้วยการส่องกล้องโพรงจมูก (Nasal endoscopy)
  • การถ่ายภาพไซนัสด้วยเอกซเรย์
  • การถ่ายภาพไซนัสด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นวิธีดีที่สุดในการตรวจหาพยาธิสภาพของไซนัสในปัจจุบัน แต่ค่าใช้จ่ายในการตรวจค่อนข้างแพง
  • หลักในการรักษาโรคไซนัสอักเสบ ประกอบด้วย
  • กำจัดเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุ  โดยการให้ยาต้านจุลชีพ  เพื่อทำให้อาการของโรคดีขึ้นเร็ว   การเลือกชนิดของยาต้านจุลชีพขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ, การดำเนินโรค,  ความไวต่อยาต้านจุลชีพของเชื้อนั้นๆ และ อุบัติการของการดื้อยา     ระยะเวลาของการให้ยาต้านจุลชีพนั้น  ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเฉียบพลันควรให้ยาต้านจุลชีพอย่างน้อย 10-14 วัน หรือให้จนผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติแล้วให้ต่ออีก 1 สัปดาห์หลังจากนั้น     ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเรื้อรังควรให้ยาต้านจุลชีพเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3-6 สัปดาห์ เช่น ยากลุ่ม Amoxicillin, Clarithromycin และ Azithromycin แต่หากผู้ป่วยต้องอยู่อาศัยในบริเวณที่มีโอกาสติดเชื้อสูง หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังรับยาไปแล้ว 2-3 วัน แพทย์จะใช้ยารักษาในขั้นถัดไป เช่น Amoxicillin-clavulanate, Cephalosporins, Macrolides, Fluoroquinolones และ Clindamycin เป็นต้น
  • ทำให้การไหลเวียนของสารคัดหลั่งและอากาศภายในไซนัสดีขึ้น
  • 1 ยาหดหลอดเลือด ทำให้การบวมของเยื่อบุจมูกลดลง,  บรรเทาอาการคัดจมูก ทำให้รูเปิดของไซนัสโล่งขึ้น  อาจให้ในรูปยาพ่นหรือยาหยอดจมูก หรือ ยารับประทาน หรือให้ร่วมกันทั้งสองชนิดก็ได้    สำหรับยาหดหลอดเลือดที่พ่นหรือหยอดจมูก ไม่ควรใช้นานกว่า 7 วัน เพราะจะทำให้เยื่อบุจมูกเสียได้   ส่วนยาหดหลอดเลือดชนิดรับประทาน  ควรระวังผลข้างเคียง เช่น ความดันโลหิตสูง  หัวใจเต้นเร็ว  นอนไม่หลับ  กระสับกระส่ายด้วย เช่น pseudoephedrine และ phenylephrine โดยแพทย์จะจ่ายยาในปริมาณรับประทาน 10 - 14 วัน ยาลดอาการคัดจมูกแบบพ่นหรือหยด เช่น Oxymetazoline และ Hydrochloride ใช้รักษาภายใน 3-5 วัน
  • 2 ยาสตีรอยด์พ่นจมูก (Nasal Cortixosteroids) อาจมีประโยชน์ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือ ไซนัสอักเสบเป็นๆ หายๆ โดยเฉพาะถ้ามีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือชนิดที่ไม่แพ้ร่วมด้วย ยาพ่นจมูกดังกล่าวจะช่วยลดการอักเสบในจมูก  ทำให้รูเปิดของไซนัส ที่มาเปิดในโพรงจมูกโล่งขึ้น  ช่วยให้การไหลเวียนของอากาศ  การระบายของสารคัดหลั่งหรือ หนองที่อยู่ภายในไซนัสดีขึ้น
  • 3 ยาต้านฮิสตะมีน ไม่แนะนำให้ใช้ ยาต้านฮิสตะมีนรุ่นเก่าในผู้ป่วยไซนัสอักเสบ ที่ไม่ได้มีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร่วมด้วย   เนื่องจากอาจทำให้น้ำมูกและสารคัดหลั่งแห้งและเหนียวได้ ในรายที่มีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร่วมด้วย  ควรเลือกใช้ยาต้านฮิสตะมีนรุ่นใหม่  เนื่องจากมีผลข้างเคียงดังกล่าวค่อนข้างน้อย 
  • 4  ยาละลายมูกหรือเสมหะ ยังไม่มีการศึกษาที่แสดงถึงประสิทธิภาพของยาละลายมูกในการรักษาโรค ไซนัสอักเสบชัดเจน
  • 5 การล้างจมูกด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ  เป็นการชะล้างเอาน้ำมูก หนอง  สิ่งสกปรกในจมูก ซึ่งเกิดจากการอักเสบในโพรงจมูกและไซนัสออก  เพื่อให้โพรงจมูกและบริเวณรูเปิดของไซนัสโล่ง   ทำให้การพัดโบกของขนกวัดที่เยื่อบุจมูกดีขึ้น อาการต่างๆ ของผู้ป่วยจะดีขึ้นเร็ว
  • 6 การสูดดมไอน้ำเดือด จะช่วยทำให้เยื่อบุจมูกยุบบวม  โล่ง  อาการคัดจมูกน้อยลง  อาการปวดตื้อๆ ที่ศีรษะดีขึ้น   นอกจากนั้นยังทำให้การพ่นยาเข้าไปในจมูก มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • 7 การผ่าตัด   ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่เป็นโรคไซนัสอักเสบ มักจะหายได้โดยการใช้ยาอย่างเต็มที่  ส่วนน้อยที่ต้องรับการผ่าตัด  ดังนั้นในการรักษาจึงพยายามใช้ยาอย่างเต็มที่ก่อน   การผ่าตัดเป็นการแก้ไขพยาธิสภาพที่ทำให้รูเปิดระหว่างโพรงจมูกและไซนัสอุดตัน โดยแพทย์จะใช้การผ่าตัดด้วยวิธี Functional Endoscopic Sinus Surgery (FESS) เป็นการผ่าตัดผ่านทางรูจมูกด้วยกล้องเอ็นโดสโคปซึ่งเป็นกล้องขยายที่มีขนาดเล็ก แพทย์จะใช้เครื่องมือที่ถูกออกแบบมาพิเศษในการผ่าตัดนี้และมองภาพขณะผ่าตัดผ่านกล้อง ผู้ป่วยจะได้รับยาชาหรือยาสลบในขณะผ่าตัดโดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการป่วย
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำไปสู่โรคไซนัสอักเสบ

  • เป็นโรคหวัดเรื้อรังโดยไม่ได้รับการดูแลและรักษาให้หายขาด
  • การเกิดการต่อว่าดเชื้อที่ฟัน อาทิเช่น ฟันผุ การถอนฟันแล้วมีการติดเชื้อโรคภายหลัง
  • การถูกกระทบอย่างแรงที่บริเวณใบหน้าบริเวณโพรงไซนัส
  • คนที่มีภาวะของโรคภูมิแพ้
  • อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ดังเช่นบริเวณโรงงาน หรือ ชุมชนแออัด
  • ผนังด้านข้างของโพรงจมูกโค้งงอผิดแบบ (Paradoxical turbinate)
  • ต่อมอะดีนอยด์โต หรือ มีสิ่งปลอมปนในจมูกเด็กเป็นระยะเวลานานๆดังเช่น เมล็ดผลไม้ต่างๆ
  • ผู้เจ็บป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจ หรือใส่สายให้อาหารทางจมูก อยู่เป็นระยะเวลานาน
  • ภาวการณ์ที่ทำให้เซลล์ขน (Cilia) ซึ่งเป็นเซลล์สนับสนุนสารคัดเลือกหลั่งออกจากไซนัส เสียไป ก็เลยเกิดการคั่งของสารคัดเลือกหลั่งในไซนัส และก็เกิดการอักเสบติดโรคได้ ดังเช่นว่า ในภาวการณ์ข้างหลังเป็นโรคหวัด


การติดต่อของโรคแพ้อากาศ โรคไซนัสอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากการอักเสบบวมของเยื่อบุไซนัสกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการแคบของรูเปิดจากไซนัสที่เข้าสู่โพรงจมูก และมีการค้างของสารคัดหลั่ง (เมือก) ในโพรงไซนัสไม่อาจจะกระบายออกรวมทั้งเมื่อมีการสะสมของเมือกมากมายก็เลยเปลี่ยนเป็นหนองขังในไซนัสเกิดอาการต่างๆตามมา โดยโรคไซนัสอักเสบนี้ไม่จัดอยู่ในโรคติดต่อด้วยเหตุว่าไม่เจอการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคแพ้อากาศ

  • ควรจะกินยาดังที่แพทย์สั่งให้การรักษาอย่างจริงจัง รวมทั้งติดตามผลของการรักษากับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
  • พักให้เพียงพอ
  • ดื่มน้ำมากๆ
  • ดมละอองน้ำอุ่น รวมทั้งล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ (ในเรื่องที่หมอเสนอแนะและสอนให้ทำ)
  • หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ควันบุหรี่ และมลพิษทางอากาศ
  • งดเว้นดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำในสระว่ายน้ำนานๆเนื่อง จากคลอรีนในสระอาจส่งผลให้เกิดการเคืองเยื่อบุจมูกแล้วก็ไซนัสได้
  • หลบหลีกการเดินทางโดยเครื่องบินในเวลาที่จับไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ หรือภูมิแพ้กำเริบ ถ้าเกิดหลบหลีกไม่ได้ ควรรับประทานยาแก้คัดจมูก ยกตัวอย่างเช่น สูโดเอฟีดรีน (pseudoephedrine) ครั้งละ 1-2 เม็ดก่อนเดินทาง แล้วก็ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมงระหว่างเดินทางระยะไกล
การคุ้มครองตนเองจากโรคไซนัสอักเสบ

  • หมั่นดูแลรักษาสุขภาพร่างกายทั่วๆไปให้แข็งแรง (อย่างเช่น ทานอาหาร สุขภาพ บริหารร่างกาย นอนพักให้พอเพียง คลายเครียด)
  • ปกป้องตนเองจากไข้หวัด ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการป่วยภูมิแพ้ หรือหากเจ็บป่วยหวัดแล้วจำเป็นต้องรีบรักษาให้หายสนิทอย่างรวดเร็ว
  • อยู่ในที่มีอากาศระบาย ไม่มีฝุ่นละออง หรือสิ่งที่จะกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการโรคภูมิแพ้
  • อย่าให้ร่างกายจะต้องเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็วเกินความจำเป็น
  • ไม่ว่ายน้ำ มุดน้ำ ขณะที่มีการติดโรคในช่องจมูก
  • ลด หรือ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
  • รักษาสุขภาพฟันคุ้มครองไม่ให้ฟันผุเพื่อหลีกเลี่ยงการตำหนิดเชื้อในโพรงปากที่เป็นสาเหตุของโรไซนัสอักเสบ
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกัน/รักษาโรคไซนัสอักเสบ
ฟ้าทะลายขโมย ชื่อวิทยาศาสตร์Andrographis paniculata (Burm. f.) Nees วงศ์    Acanthaceae สารออกฤทธิ์ andrographolide, deoxyandographolide, didehydro-deoxyandrographolide และก็ neoandrographolide ฟ้าทะลายโจรได้ผลในการคุ้มครองหวัดแล้วก็บรรเทาอาการหวัด การศึกษาในผู้เรียนโตช่วงหน้าหนาว ให้รับประทานยาเม็ดฟ้าทะลายมิจฉาชีพแห้ง ขนาด 200 มก./วัน ในเดือนแรกของการทดลองยังไม่พบไม่เหมือนกันระหว่างกรุ๊ปที่รับประทานยาและก็กลุ่มควบคุม ภายหลัง 3 เดือนของการทดสอบ อุบัติการณ์การเป็นหวัดน้อยลงอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม อัตราการเป็นหวัดในกลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายโจรพอๆกับ 20% ในช่วงเวลาที่กลุ่มควบคุมมีอัตราการเป็นหวัดพอๆกับ 62%    การศึกษาทางสถานพยาบาล ในคนที่มีลักษณะติดโรคของระบบฟุตบาทหายใจส่วนบนอย่างฉับพลัน และก็กรุ๊ปอาการภูมิแพ้ด้วย กลุ่มทดลอง 95 คน รับประทานยา Kan Jang (มีสารสกัดมาตรฐานของฟ้าทะลายโจร 85 มิลลิกรัม (มี andrographolide 5 มิลลิกรัม) และก็สารสกัด Eleutherococcus senticosus 120 มก.) กลุ่มควบคุม 90 คน กินยาหลอก ทั้งสองกรุ๊ปรับประทานยานาน 5 วัน ประเมินผลโดยให้คะแนนจากการประมาณอุณหภูมิ อาการปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ อาการแสดงทางคอ ไอ อาการแสดงทางจมูก ความรู้สึกป่วยตัว และก็อาการทางตา ผลการศึกษาวิจัยพบว่า คะแนนรวมเบ็ดเสร็จของกลุ่มทดลองสูงยิ่งกว่ากลุ่มควบคุม โดยจะมีลักษณะปวดศีรษะ อาการทางจมูก อาการทางคอ แล้วก็ความรู้สึกป่วยตัวต่ำลง
ปีบ ชื่ออื่นๆ กาซะลอง กาดสะลอง (เหนือ)  ชื่อวิทยาศาสตร์  Millingtonia hortensis L.f. ชื่อสกุลBignoniaceae  คุณประโยชน์         ตำราเรียนยาไทย ดอก รสหวานขมหอม ขยายหลอดลม มวนเป็นยาสูบสูบรักษาหืด ดูดแก้ริดสีดวงจมูก ภูมิแพ้ บำรุงน้ำดี เพิ่มการหลั่งน้ำดี บำรุงโลหิต  ส่วนประกอบทางเคมี  ดอกมีสารฟลาโวนอยด์ hispidulin ช่วยขยายหลอดลม แล้วก็เจอฟลาโวนอยด์อื่นๆดังเช่น scutellarein, scutellarein-5-galactoside, hortensin, cornoside, recimic, rengyolone, rengyoside B, rengyol, rengyoside A,  iso rengyol, millingtonine ใบพบฟลาโวนอยด์ hispidulin, dinatin รวมทั้งสารอื่นๆอาทิเช่น ß carotene, rutinoside เปลือกต้น พบสารที่ให้ความขม และก็สารแทนนิน รากพบ Lapachol, β-sitosterol, poulownin
เอกสารอ้างอิง

  • ผศ.นพ.สุรเกียรติ อาศนะเสน.ไซนัสอักเสบ..รักษาได้.สาขาวิทยาโรคจมูกและภูมิแพ้ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.
  • รศ.นพ.สุรเกียร

29

โรคอีสุกอีใส (Chickenpox , Varicella)
โรคอีสุกอีใส คืออะไร อีสุกอีใส (Chickenpox/Varicella) เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่ทำให้ร่างกายเกิดผื่นคัน มีตุ่มนูนขนาดเล็ก หรือตุ่มน้ำใสๆทั่วร่างกาย สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และยังแพร่กระจายได้อย่างเร็ว เป็นโรคติดต่อที่มักพบในเด็ก โดยธรรมดาจะเจออัตราการป่วยได้สูงสุดในกลุ่มวัย 5-9 ปีรองลงมาเป็น 0-4 ปี, 10-14 ปี, 15-24 ปี และ 25-34 ปี ตามลำดับ ส่วนในอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปอาจพบได้บ้าง
                 มีรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี พ.ศ. 2552  มีคนป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสปริมาณ 89,246 รายทั่วทั้งประเทศแล้วก็เสียชีวิต 4 ราย และก็ในรอบ 5 ปีที่ล่วงเลยไปมีรายงานผู้ตายปีละ 1-3 ราย เมื่อพิจารณาตามกลุ่มอายุพบว่ากลุ่มวัย 5-9 ปี มีอัตราป่วยไข้สูงสุดพอๆกับ 578.95 ต่อมวลชน 100,000 คน รองลงมาเป็นกลุ่มอายุต่ำลงยิ่งกว่า 5 ปี, 10-14 ปีและก็กลุ่มอายุมากกว่า 15 ปี โดยมีอัตราป่วยไข้เท่ากับ 487.13, 338.45 และ 58.81 เป็นลำดับจากข้อมูล 10 ปีย้อนหลังพบว่าปริมาณผู้เจ็บป่วยโรคอีสุกอีใสมีแนวโน้มสูงมากขึ้น แล้วก็ในปี พ.ศ. 2557-2559 มีอัตราการป่วย 129.57 ต่อแสนราษฎร 79.82 ต่อแสนมวลชน แล้วก็ 66.57 ต่อแสนประชาชน เป็นลำดับ
ต้นเหตุของโรคอีสุกอีใส มีต้นเหตุมาจากเชื้ออีสุกอีใส ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่า เชื้อไวรัสวาริเซลลา (varicella virus) (VZV) หรือ  human herpes virus type 3 เป็นเชื้อตัวเดียวกับที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดงูสวัด ที่แพร่ระบาดได้ง่ายผ่านทางการสัมผัสกับแผลของคนเจ็บที่เป็นโรคโดยตรง หรือทางเรือลาย ไอ จาม หรือการหายใจเอาเชื้อที่ปะปนกลางอากาศเข้าไป โดยเชื้อนี้จะก่อให้กำเนิดโรคอีสุกอีใสในคนที่พึ่งติดโรคเป็นครั้งแรกแล้วก็โรคนี้เมื่อเป็นแล้ว มักมีภูมิต้านทานตลอดชีพ รวมทั้งคนเจ็บส่วนใหญ่จะไม่เป็นซ้ำอีก แต่ว่าเชื้ออาจหลบอยู่ในปมประสาท แล้วก็ได้โอกาสเป็นงูสวัดได้ในภายหลัง
ลักษณะโรคอีสุกอีใส เด็กจะมีไข้ต่ำๆเหน็ดเหนื่อยแล้วก็ไม่อยากกินอาหารเล็กน้อย ในคนแก่มักเป็นไข้สูง แล้วก็ปวดเมื่อยตามตัวเหมือนไข้หวัดใหญ่เอามาก่อน ผู้ป่วยจะมีผื่นขึ้น ซึ่งจะขึ้นพร้อมเพียงกันกับวันที่เริ่มจับไข้ หรือ ๑ ครั้งหน้าจากมีไข้ เริ่มแรกจะขึ้นเป็นผื่นแดงราบก่อน ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นตุ่มนูน มีน้ำใสๆอยู่ข้างใน และก็มีลักษณะอาการคัน ถัดมาจะกลายเป็นหนอง จากนั้น ๒-๔ วัน ก็จะเป็นสะเก็ด ผื่นและก็ตุ่มจะขึ้นตามไรผมก่อน แล้วลามไปตามหน้า ลำตัว แล้วก็แผ่นข้างหลัง จะทยอยขึ้นเต็มกำลัง ข้างใน ๔ วัน บางรายมีตุ่มขึ้นในช่องปาก ทำให้ปากยุ่ย ลิ้นเปื่อย เจ็บคอ บางรายบางทีอาจไม่มีไข้ มีเพียงแค่ผื่นและตุ่มขึ้น ทำให้รู้ผิดว่าเป็นเริมได้ เนื่องจากว่าผื่นตุ่มของโรคนี้จะค่อยๆออกระลอก (ชุด) ขึ้นไม่พร้อมกันทั่วร่างกาย โดยเหตุนั้นจะพบว่าบางที่ขึ้นเป็นผื่นแดงราบ บางที่เป็นตุ่มใส บางที่เป็นตุ่มกลัดหนอง แล้วก็บางที่เริ่มตกสะเก็ด ด้วยลักษณะนี้ ชาวบ้านก็เลยเรียกว่า อีสุกอีใส (มีอีกทั้งตุ่มสุกตุ่มใส) แต่ว่าคนเจ็บบางรายบางทีอาจเป็นเวลายาวนานกว่านั้นเป็น 2-3 อาทิตย์ โดยไม่เป็นแผลเป็น (นอกเหนือจากการที่จะมีการติดเชื้อโรคแบคทีเรียเข้าแทรก จนถึงแปลงเป็นตุ่มหนองและเปลี่ยนเป็นแผลเป็น)
                ด้วยเหตุว่าโรคอีสุกอีใสยังอาจจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้อีกเป็นต้นว่า การตำหนิดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง หรือติดโรคแบคทีเรียในกระแสโลหิต ปอดอักเสบ รวมทั้งภาวะแทรกซ้อนทางสมอง
คนเจ็บที่มีความเสี่ยงที่จะมีลักษณะอาการรุนแรง อย่างเช่น หญิงมีท้อง ทารกแรกเกิด ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น คนป่วยเอดส์ ผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว คนเจ็บเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก ผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ แล้วก็คนรับประทานยากด ภูมิต้านทานต่างๆ
หญิงตั้งท้องที่เป็นโรคนี้ในช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์อาจท่าให้เด็กในครรภ์ทุพพลภาพแต่ว่า เกิดได้แต่ว่าเจอนานๆครั้ง(น้อยกว่าจำนวนร้อยละ 2) หากเป็นช่วงๆที่ครรภ์คุณแม่อาจมีอาการรุนแรง และมีภาวะแทรกซ้อน เป็นต้นว่า ปอดอักเสบ ร่วมด้วย และก็แม้มารดาเป็นโรคในช่วงใกล้คลอด (5 วันก่อนคลอดจนกระทั่ง 2 วันหลังคลอด) ทารกแรกเกิดบางทีอาจรับเชื้ออีสุกอีใสรวมทั้งมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
เมื่อผู้เจ็บป่วยหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว เชื้อไวรัสจะไปหลบอยู่ที่ปมประสาท แล้วก็ท่าให้กำเนิดโรค งูสวัดได้เมื่อภูมิต้านทานของร่างกายน้อยลง
กรรมวิธีรักษาโรคอีสุกอีใส แพทย์จะวินิจฉัยโรคอีสุกอีใสจากการดูรูปแบบของผื่น ตุ่มน้ำ หรือตุ่มพองบนผิวหนังเป็นหลัก ร่วมกับการตรวจร่างกายทั่วๆไปและก็อาการที่เกิดขึ้นอยู่กับคนไข้ เช่น จับไข้ขึ้น เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ แม้กระนั้นในบางกรณีที่บอกมิได้เด่นชัดว่าเป็นโรคอีสุกอีใสหรือเปล่ารวมทั้งในคนไข้ที่เกิดผลกระทบเข้าแทรก หรือในกรณีจำเป็นจำต้องวิเคราะห์ให้กระจ่างแจ้ง หมอจะกระทำทดลองน้ำเหลืองเพื่อหาระดับสารภูมิต้านทานต่อไวรัสอีสุกอีใส หรือตรวจหาเชื้อจากตุ่มน้ำ ด้วยเหตุว่าโรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสการรักษาจึงเป็นการรักษาแบบเกื้อหนุนตามอาการ
                ซึ่งโรคนี้สามารถหายเองได้การรักษาด้วยยาต่อต้านเชื้อไวรัสอาจท่าให้ระยะการเป็นโรคสั้นลง ถ้าคนป่วยได้รับ ด้านใน 1 วันหลังผื่นขึ้น ผู้ป่วยไม่นายสิบเป็นต้องได้รับยาต่อต้านไวรัสทุกราย แพทย์จะตรึกตรองให้ในรายที่มีการเสี่ยง จะเกิดภาวะแทรกรุนแรงเท่านั้น ดังเช่นว่า

  • ถ้าพบว่าตุ่มมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรก (เปลี่ยนเป็นตุ่มหนอง ฝี แผลพุพอง) หมอจะให้ยายาปฏิชีวนะเสริมเติม ถ้าเกิดเป็นเพียงแต่ไม่กี่จุดก็บางทีอาจให้ประเภททา แต่หากเป็นมากก็จะให้จำพวกกิน
  • ถ้าหากมีอาการเข้าแทรกรุนแรง ซึ่งพบได้น้อยมาก ได้แก่ ปอดอักเสบ (ไข้สูง หอบ) สมองอักเสบ (ไข้สูง ปวดศีรษะมากมาย คลื่นไส้มากมาย ซึม ชัก ไม่ค่อยรู้ตัว) ตับอักเสบ (ดีซ่าน) หรือมีภาวะเลือดออกง่ายก็จะรับตัวไว้รักษาในโรงหมอ
  • ในรายที่มีภาวะภูมิต้านทานผิดพลาด (เช่น เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เอดส์ รับประทานยาสตีรอยด์อยู่นานๆเป็นต้น) หรือเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปที่มีโรคผื่นแพ้ประจำ โรคปอดเรื้อรัง สูดพ่นยาสตีรอยด์ (สำหรับเป็นโรคหืด) หรือรับประทานยาแอสไพรินอยู่ นอกเหนือจากให้การรักษาตามอาการแล้ว แพทย์บางทีอาจให้ยาต้านไวรัส ที่มีชื่อว่า อะไซโคลเวียร์ (acyclovir) เพื่อทำลายเชื้ออีสุกอีใส ป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจายรุนแรง และก็ช่วยทำให้โรคหายเร็วขึ้น ควรให้ยานี้รักษาด้านใน 24 ชั่วโมง ข้างหลังแสดงอาการจะได้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าให้พักหลังๆของโรค


ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคอีสุกอีใส เนื่องมาจากโรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่มีการติดต่อจากเชื้อไวรัสโดยการสัมผัสตุ่มหรือแผลของคนไข้ รวมทั้งติดต่อผ่านทางสารคัดหลั่งของคนป่วย ทั้งยังการสัมผัสหรือการหายใจเอาเชื้อโรคเข้าไป ด้วยเหตุผลดังกล่าวสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส คือ การคลุกคลีกับคนเจ็บ การสัมผัสคนไข้หรือสิ่งของเครื่องใช้ของคนป่วยโดยไม่ได้มีการปกป้องตนเองที่ดี รวมทั้งการไม่ได้รับวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคอีสุกอีใสกระทั่งครบ ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่มีความเสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดโรคอีสุกอีใสได้ด้วยเหมือนกัน
การติดต่อของโรคอีสุกอีใส โรคอีสุกอีใสเป็นโรคติดต่อได้อย่างเร็วมาก โรคอีสุกอีใสมีระยะฟักตัวราว 10 - 224 ชั่วโมง และผู้เจ็บป่วยจะเริ่มแพร่เชื้อได้ในช่วงประมาณ 5 วันก่อนขึ้นผื่น ไปจนกระทั่งเมื่อตุ่มน้ำแห้งแตกเป็นสะเก็ดหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้ระยะแพร่ระบาดในโรคอีสุกอีใสก็เลยนานได้ถึง 7 - 10 วันหรือเป็นเวลายาวนานกว่านี้ในผู้ใหญ่ จึงเป็นต้นเหตุให้เป็นโรคติดต่อที่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว
                ซึ่งเชื้อไวรัสประเภทนี้จะมีอยู่ในตุ่มน้ำของคนที่เป็นอีสุกอีใส ในน้ำลายและเสลดของผู้ที่เป็นอีสุกอีใสสำหรับในการติดต่อสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสถูกตุ่มน้ำโดยตรง หรือสัมผัสถูกของใช้ เช่น แก้วน้ำ ผ้า เช็ดหน้า ผ้าที่มีไว้สำหรับเช็ดตัว ผ้าสำหรับห่ม ที่พักผ่อน ที่เลอะเทอะ ถูกตุ่มน้ำของผู้ที่เป็นอีสุกอีใส หรือสูดหายใจเอาละอองของตุ่มน้ำ หรือฝอยละอองจากทางเดินหายใจของคนเจ็บเข้าไป
ดังนั้นอีสุกอีใสจึงเป็นโรคที่ระบาดแพร่ได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่เรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือตามชุมชนที่อยู่อาศัยทั่วๆไป สามารถเจอได้ตลอดทั้งปี แต่ว่าจะมีอุบัติการณ์เกิดสูงสุดในตอนม.ค.ถึงม.ย.

การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคอีสุกอีใส

  • หากเป็นไข้สูง ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเป็นประจำกินน้ำมากมายๆห้ามอาบน้ำเย็น นอนพักให้มากมายๆรวมทั้งให้ยาพาราเซตามอลบรรเทาไข้ ไม่สมควรให้ยาแอสไพรินลดไข้ เพราะยานี้ อาจจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม (Reye's syndrome) ซึ่งจะมีภาวะสมองอักเสบร่วมกับตับอักเสบ จัดว่าเป็นโรคอันตรายรุนแรงชนิดหนึ่ง
  • ถ้ามีลักษณะคัน ให้ทาด้วยยาแก้ผื่นผื่นคัน (คาลาไมน์โลชั่น) ถ้าเกิดคันมากให้รับประทานยาแก้แพ้ คลอร์เฟนิรามีนบรรเทา ผู้เจ็บป่วยควรตัดเล็บให้สั้น และก็มานะอย่าแกะหรือเกาตุ่มคัน อาจทำให้มีการติดโรคเปลี่ยนเป็นตุ่มหนองรวมทั้งเป็นแผลเป็นได้
  • ถ้าเกิดปากเปื่อย ลิ้นยุ่ย ให้ใช้น้ำเกลือกลั้ว พยายามกินอาหารที่เป็นของเหลวหรือเป็นน้ำแทนของกินแข็ง
  • สำหรับอาหาร ไม่มีของแสลงต่อโรคนี้ ให้กินอาหารได้ตามปกติ โดยเฉพาะบำรุงด้วยของกินพวกโปรตีน (ยกตัวอย่างเช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่างๆ) ให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสร้างเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย
  • ควรหยุดเรียน หรือหยุดงาน พักผ่อนอยู่บ้าน เพื่อคุ้มครองป้องกันมิให้แพร่เชื้อให้บุคคลอื่น ระยะแพร่เชื้อติดต่อให้ผู้อื่นหมายถึงตั้งแต่ระยะ 24 ชั่วโมง ก่อนมีตุ่มขึ้นจนกระทั่ง 6 วัน ข้างหลังตุ่มขึ้น
  • ควรเฝ้าดูอาการเปลี่ยนต่างๆโดยปกติอาการ จะค่อยดีขึ้นกว่าเดิมได้เองภายใน 1-3 อาทิตย์ แม้กระนั้นถ้าพบว่ามีอาการหายใจหอบ ซึม ชัก เดินเซ ตากระตุๆก โรคดีซ่าน (ตาเหลือง) มีเลือดออก ปวดหัวมาก คลื่นไส้มาก เจ็บทรวงอก หรือตุ่มกลายเป็นหนอง ฝี หรือพุพอง ควรจะไปพบ หมอโดยเร็ว
  • คนไข้ควรจะพักแล้วก็ดื่มน้ำมากมายๆขั้นต่ำวันละ 8 แก้ว
  • คนไข้ควรจะแยกตัวออกไปอยู่ต่างหากจนถึงพ้นระยะติดต่อ รวมถึงแยกของใช้ของสอยส่วนตัวต่างๆได้แก่ เสื้อผ้า ถ้วยน้ำ ช้อน จาน ถ้วยชาม ฯลฯ เพื่อหลบหลีกการแพร่ไปของเชื้อโรค
  • สำหรับยาเขียวที่ทำจากสมุนไพร (ยกตัวอย่างเช่น ยาเขียวหอม ที่บรรจุอยู่ในบัญชียาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ พ.ศ.๒๕๕๖) ไม่นับว่าเป็นข้อห้ามหรือมีผลกระทบต่อการดูแลรักษาโรคนี้ คนป่วยสามารถใช้ร่วมกับการรักษาธรรมดาได้ แถมยาเขียวยังช่วยทำให้กินน้ำได้มากขึ้นอีกด้วย
  • รักษาสุขลักษณะพื้นฐาน (สุขข้อบังคับแห่งชาติ) เพื่อสุขภาพแข็งแรงและก็ช่วยลดโอกาสสำหรับการเป็นผลข้างๆสอดแทรกจากการตำหนิดเชื้อโรค
การป้องกันตนเองจากโรคอีสุกอีใส

  • เนื่องจากว่าโรคสุกใสสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายโดยทางการหายใจ จำเป็นจะต้องแยกผู้ป่วยออกมาจากเด็กเล็ก หญิงมีครรภ์ และก็คนที่ไม่เคยติดโรคมาก่อน
  • ควรจะให้คนป่วยหยุดเรียนหรือหยุดงาน พักผ่อนอยู่บ้านเพื่อคุ้มครองป้องกันไม่ให้แพร่ระบาดให้บุคคลอื่น
  • ไม่สัมผัสหรือใกล้ชิดกับคนป่วยโรคอีสุกอีใส ถ้าจำเป็นต้องมีการป้องกันตนเองอย่างยอดเยี่ยม ดังเช่น สวมถุงมือ สวมหน้ากากอนามัยและควรรีบล้างมือภายหลังจากสัมผัสกับผู้ป่วย ฯลฯ
  • เดี๋ยวนี้มีวัคซีนฉีดคุ้มครองป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งราคาค่อนข้างแพง (โดยประมาณเข็มละ 800-1200 บาท) ควรจะฉีดในเด็กอายุ 12-18 เดือน ฉีดเพียงแต่ 1 เข็ม จะปกป้องโรคได้ตลอดไป ถ้าฉีดตอนโต หากอายุต่ำกว่า 13 ปี ก็ฉีดเพียงแค่เข็มเดียว แม้กระนั้นถ้าหากอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป ควรจะฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 4-8 อาทิตย์ หลังฉีดวัคซีน ควรจะหลบหลีกการใช้ยาแอสไพรินนาน 6 อาทิตย์ ดังนี้เพื่อลดช่องทางเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม วัคซีนจำพวกนี้ห้ามฉีดในหญิงตั้งท้อง มีสภาวะภูมิต้านทานขาดตกบกพร่อง ใช้ยาแอสไพรินอยู่ประจำ หรือใช้ยาสตีรอยด์ขนาดสูงมานาน บางทีอาจเกิดภาวะแทรกร้ายแรงได้ สำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์ (15-45 ปี) ถ้าเกิดยังไม่แน่ใจว่าเคยเป็นโรคนี้หรือยัง ควรจะขอคำแนะนำแพทย์ ตรวจทานว่ามีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้หรือยัง ถ้าเกิดยัง หมออาจเสนอแนะให้วัคซีนคุ้มครองปกป้องเพื่อไม่ให้มีอันตรายต่อลูกในท้องขณะตั้งท้อง และข้างหลังฉีดวัคซีนชนิดนี้ ควรคุมกำเนิดนาน 3 เดือน ก็เลยจะสามารถท้องได้อย่างปลอดภัย
  • ในเด็กที่ไม่มีข้อบ่งห้าม สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 12-15 เดือน ขึ้นไป และก็ฉีดกระตุ้นอีกครั้งที่อายุ 4-6 ปีหรืออาจฉีด 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งภูมิคุ้มกันจะขึ้นดียิ่งกว่าการฉีด 1 เข็ม
  • จากการศึกษาในเด็กอายุ 1-12 ปี หลังได้รับวัคซีนครั้งแรก จะมีภูมิต้านทานในระดับที่ปกป้องโรคได้ปริมาณร้อยละ 85และมากขึ้นเป็นปริมาณร้อยละ 99.6 หลังได้รับวัคซีนครั้งที่ 2
  • สำหรับคนที่สัมผัสใกล้ชิดกับคนป่วยโรคนี้ การฉีดยาบางทีอาจไม่ทันกาล ถ้าจำเป็นหมออาจชี้แนะให้ฉีดเซรุ่ม ที่มีชื่อว่า varicella-zoster immune globulin (VZIG) เป็นการฉีดภูมิคุ้มกันเข้าไปโดยตรง มักจะฉีดให้กับผู้ที่สัมผัสโรคอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหญิงมีครรภ์ คนที่มีภาวการณ์ภูมิคุ้มกันบกพร่อง คนเจ็บมะเร็งเม็ดเลือดขาว และเด็กอ่อนที่มีแม่เป็นอีสุกอีใสช่วง 5 วันก่อนคลอดถึง 2 คราวหลังคลอด
  • วัคซีนปกป้องโรคอีสุกอีใส ที่ใช้ในตอนนี้ทำมาจากเชื้ออีสุกอีใสที่มีชีวิตแล้วเอามาทำให้อ่อนฤทธิ์ลง ในประเทศไทยมีจำหน่าย 3 ประเภทหมายถึงVarilrix ในวัคซีน 1 เข็มมีเชื้อไม่ต่ำลงมากยิ่งกว่า 2,000 PFU, OKAVAX ในวัคซีน 1 เข็มมีเชื้อไม่ต่ำลงยิ่งกว่า 1,000 PFU, รวมทั้ง Varicella Vaccine-GCC ในวัคซีน 1 เข็มมีเชื้อไม่ต่ำยิ่งกว่า 1,400 PFU อีกทั้งปัจจุบันยังมีการผลิตวัคซีนคุ้มครองโรคอีสุกอีใสให้อยู่ในรูปวัคซีนรวม ได้แก่ วัคซีนรวมฝึก-โรคเหือด-คางทูม-อีสุกอีใส (MMRV) ซึ่งจะรวมอยู่ในเข็มเดียวกันทำให้สะดวก และไม่จะต้องเจ็บตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    สมุนไพรที่ช่วยรักษา/ทุเลา ลักษณะโรคอีสุกอีใส

  • เสมหะพังพอนตัวเมีย Clinacanthus nutans (Burm.f) มีอีกชื่อหนึ่งเป็น พญายอ ซึ่งเสลดพังพอนตัวเมียไม่เหมือนกับเพศผู้ คือ ตัวเมียไม่มีหนาม ใบเพศผู้มีสีเข้มกว่า ดอกตัวเมียมีสีแดง ดอกเพศผู้มีสีส้นสด วิธีการให้เด็ดใบเสมหะพังพอนตัวเมียมาล้างให้สะอาด แล้วเอามาตำหรือปั่นให้รอบคอบผสมกับน้ำดินสอพอง ทาที่ตุ่มเปล่งปลั่งเป็นประจำจะช่วยบรรเทาอาการคัน และก็ทำให้ตุ่มแผลแห้งเร็ว ลดอาการบวมแดงของตุ่มได้
  • ผักชี Coriandrum sativum การอาบน้ำต้มผักชีจะช่วยให้อีสุกอีใสหายไวขึ้น ซึ่งตามตำรายาแผนโบราณกล่าวว่า สรรพคุณของผักชีเป็นเป็นพืชธาตุเย็นที่ช่วยลดอาการผื่นแดง
  • สะเดา Azadiracta indica มีการศึกษาเล่าเรียนพบว่าสารเกดูนิน (Gedunin) และก็ นิมโบลิดี (Nimbolide) ในใบและเมล็ดสะเดามีคุณภาพสำหรับในการออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา แบคทีเรียและเชื้อไวรัสสูง โดยเหตุนี้ จึงสามารถทุเลาอาการของโรคที่เกิดจาก ไวรัส อย่างอีสุกอีใสได้
  • ใบมะยม Phyllanthus acidus ใช้ใบมะยมไม่อ่อนหรือแก่เหลือเกิน 2-3 กำมือ ใส่น้ำ 2-3 ลิตร ต้มให้เดือดประมาณ 20 นาที แล้วชูลงผสมน้ำเย็นให้อุ่นพอเพียงอาบได้ อาบวันละ 3 ครั้ง ตอนเช้า กลางวัน เย็น หลังอาบน้ำอาการจะค่อยๆดีขึ้นกว่าเดิม
  • ย่านาง Tiliacora triandra เอาราก “ย่านาง” แบบสดประมาณขยุ้มมือต้มกับน้ำหลากยากระทั่งเดือด ดื่มขณะอุ่นวันละครั้ง ทีละ 3 ส่วน 4 แก้ว ต้มดื่มเรื่อยต่อเนื่องกัน 3-5 วัน อาการที่เป็นจะดีขึ้น
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.อีสุกอีใส.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่296.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.ธันวาคม.2546
  • อีสุกอีใส เป็นได้ก็หายได้.เกร็ดความรู้สู่ประชาชน.หน่วยข้อมูลคลังยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “อีสุกอีใส (Chickenpox/Varicella)”. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 404-407.
  • Kuter B, Matthews H, Shinefield H, Black S, Dennehy P, Watson B, et al. Ten year follow-up of healthychildren who received one or two injections of varicellavaccine. Pediatr Infect Dis J. 2004; 23:132-7.
  • อ.พญ.เลลานี ไพฑูรย์พงษ์.สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.โรคอีสุกอีใส.สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย.
  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC)..Prevention of Varicella Recommendations of the Advisory Committee on Immunization Practices (ACIP). MMVR 2007; 56:1-40.
  • อีสุกอีใส.อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ http://www.disthai.com/
  • Heininger U, Seward JF. Varicella. Lancet. 2006; 368:1365-76.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • อ.พญ.จรัสศรี ฟี้ยาพรรณ,นางรษิกา ฤทธิ์เรืองเดช,พญ.พิชญา มณีประสพโชคและคณะ.โรคสุกใส(Chicken pox).ภาควิชาตจวิทยาคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล.
  • สำนักระบาดวิทยา. โรคอีสุกอีใส. สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรค 2552. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์. 2553; 55-6.
  • Krause PR, Klinman DM. Efficacy,immunogenicity,safety, and use of live attenuated chickenpox vaccine. J Pediatr. 1995; 127:518-25.
  • พญ.อารีย์ โอบอ้อมรัก.หนังสือเลี้ยงลูกด้วยสมุนไพร.หน้า 56.สำนักพิมพ์เอเชียบูรพา.



Tags : โรคอีสุกอีใส

30
อื่น ๆ / กระชายดำ ยอดเยี่ยมสมุนไพรไทย
« เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2018, 06:37:18 AM »

ขายกระชายดำสุดยอดสมุนไพรไทย
ขายส่งกระชายดำ ถิ่นกำเนินจะอยู่บริเวณในแถบเอเซียอาคเนย์แล้วก็ สามารถเจอกระชายดำ ที่มีเยอะมากๆนั้นจะในรอบๆประเทศมาเล และก็เกาะเกะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว อินโดคำพูดน รวมทั้งไทยซึ่งจะมี อยู่หนาแนนมากมายรวมทั้งยังมีการกระจายพันธุ์ของ ขายกระชายดำไปทั่วในทวีปเอเชียเขตร้อน ดังเช่นว่าเมืองจีนตอนใต้ ประเทศอินเดีย และประเทศพม่า
สำหรับเมืองไทยกระชายดำ ได้เป็นสมุนไพร ที่นิยมใช้กันเยอะมากก็เลยได้เริ่มปลูกขายกระชายดำ เพิ่มมากขึ้นเลื่อยๆใน จังหวัดต่างๆเช่น เลย ตาก กาญจนบุรี รวมทั้งจังหวัดอื่นๆของภาคเหนือ
ขายกระชายดำ นั้นเป็นประโยชน์และก็คุณประโยชน์ เยอะมากแล้วก็ยังช่วยรักษาโรคต่างๆได้หลากหลายชนิด
สรรพคุณและก็ประโยชน์ทั้งปวงของ{การขายกระชายดำ[/url]
สมุนไพรกระชายดำ มักใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยชะลอความแก่ลง คนรุ่นก่อนมีความคิดกันว่าเมื่อนำ กระชายดำ ไปปลุกเสกจะมีคุณทางคงกระพัน
คนสมัยเก่าจะใช้กระชายดำ ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ช่วยเพิ่มความสามารถทางเพศ แก้กามตายเส้นด้าย(เสื่อมความสามารถทางเพศ) โดยการใช้ เหง้าหรือท่อนหัวของ กระชายดำ ผสมกับสมุนไพรอื่นๆเอามาดอกเหล้าเพื่อใช้เป็นยาชูกำลัง
รับผลิตกระชายดำกระชายดำสามารถบำรุงธาตุภายในร่างกายได้ดี ช่วยกระตุ้นระบบประสาท บำรุงประสาท ทำให้ร่างกายสดชื่น
ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ในยามค่ำคืน ทำให้นอนสะบาย
ช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยจยายเส้นโลหิตหัวใจ แก้โรคหัวใจ ช่วยบำรุงโลหิต (บำรุงเลือด)
ส่วนประกอบสำคัญ
 

ผงกระชายดำ
ขายกระชายดำ ขายส่งกระชายดำ จำหน่ายกระชายดำ
แคปซูลกระชายดำ รับผลิตกระชายดำ
กระชายดำ เป็นยาอายุวัฒนะที่ได้รับความนิยมกว้างใหญ่
ทั้งผู้บริโภคและก็ในแวดวงแพทย์แผนไทย ได้มีสาระดังนี้
บำรุงหัวใจ ชูกำลัง ขยายหลอดเลือดในหัวใจ แก้ปวดมวลท้อง ขับปัสวะ ลดลักษณะของการปวดเมื่อย เพิ่มฮอร์โมนให้แก่ผู้ชาย
เพิ่มสมรรถนะทางเพศให้แก่ท่านชายได้เป็นอย่างดี
เหมาะสำหรับชายที่ต้องการต้องการกลับมาเป็นชายหนุ่มอีกที
ขายส่งกระชายดำ มีคุณประโยชน์ บำรุงร่างกาย ชูกำลัง
แก้จุกเสียด แก้ปวดท้อง ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ปวดเมื่อย
ในเพศชาย กระชายดำช่วยทำนุบำรุงฮอร์โมนเพศ เพิ่มความสามารถ
ทางเพศ ช่วยทำให้อวัยวะแข็งตัวนานขึ้น รวมทั้งในผู้หญิง
แคปซูลกระชายดำช่วยรักษาอาการมดลูกพิการ มดลูกหย่อน
ปรับสมดุลของฮอร์โมนเพศ นอกจากนั้นกระชายดำยังช่วยกระตุ้น
ระบบประสาท ช่วยทำให้นอนหลับก้าวหน้าขึ้น แก้โรคบิด ขับปัสสาวะ
รวมทั้งช่วยรักษาอาการขัดเบา ช่วยขับพิษภายในร่างกาย และยังช่วย
รักษาโรคเกี่ยวกับท้อง เนื่องจากว่ามีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ได้
แคปซูลกระชายดำช่วยทำให้อวัยวะสืบพันธุ์ชายแข็งได้ง่ายและบ่อยมากขึ้น มีช่วงเวลาในการแข็งนาขึ้น แล้วก็สำหรับคนที่มิได้มีปัญหาดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นก็สามารถรับประทานเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงขึ้นได้
นอกเหนือจากที่จะแคปซูลกระชายดำชูกำลังของ ผู้ชายแล้ว กระชายดำยังช่วยบำรุงรักษาโหลิตสตรี(บำรุงเลือดผู้หญิง)
ช่วยแก้อาการตกขาวของเพศหญิง
ช่วยขับเมนส์ ช่วยทำให้ระดูที่มาเปลี่ยนไปจากปกติ กลับมาปกติ
ช่วยแก้โรคมดลูกพิการ มดลูกย่อนยานได้ โดยการนำเหง้าหรือหัวของ สมุนไพรกระชายดำ มาโขลกแล้วก็สผมกับเหล้าขาว แล้วนำมาดื่ม
ช่วยขับพิษในร่างกาย
แก้อาการมือเท้าเย็น
แคปซูลกระชายดำช่วยรักษา อาการเหน็บชา
ช่วยรักษาลักษณะของการปวดตามข้อ
ช่วยรักษาโรคเก๊า
สมุนไพรอื่นๆ
เจียวกู่หลานคุณประโยชน์หมอแผนจีนใช้ส่วนเหนือดินหรือใบเป็นยาแก้อักเสบแก้ไอ ขับเสมหะแก้หลอดลมอักเสบจำพวกเรื้อรัง หมอแผนไทยใช้ส่วนที่เป็นก้านตากแห้งบดละเอียดเหมือนกันแก้อ่อนแรง แก้แผลอักเสบ ช่วยให้ไม่อ่อนเพลียง่าย แคปซูลกระชายดำเจียวกู่หลาน ในเจียวกู่หลานมีสารจีแพนโนไซด์ (Gypenoside) ที่ออกฤทธิ์คล้ายกับจินเซนโนไซด์ พบได้ในโสม จึงทำให้มีคุณประโยชน์ในตำราเรียนยาแผนโบราณหมายถึงช่วยบำรุงร่างกาย ชูกำลัง ช่วยเจริญอาหาร เป็นยาอายุวัฒนะ รวมถึงใช้ขับเสมหะ แก้ไอ แก้อักเสบ ทุเลาอาการปวดกระดูก ส่วนเจียวกู่หลานสำหรับการขายส่งกระชายดำหมอแผนปัจจุบันมีคุณประโยชน์ ลดไขมันและคลอเรสเตอรอลในเลือด ลดการเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ ปรับความสมดุลของระบบเลือด ลดระดับความดันโลหิต ควบคุมน้ำตาลในเลือด คุ้มครองโรคเบาหวาน ต่อต้านอนุมูลอิสระ คุ้มครองป้องกันความเสื่อมถอยของเซลล์ต่างๆในร่างกายรับผลิตกระชายดำอีกทั้งยังเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน มีฤทธิ์คุ้มครองปกป้องตับ ปกป้องโรคความจำไม่ดี ต่อต้านเซลล์ของมะเร็ง คุ้มครองการเกิดสภาวะตันของเส้นโลหิตในสมองได้ขายส่งกระชายดำ
คุณประโยชน์ชาเชียว

  • ชาเขียว มีส่วนสำหรับการรักษาโรคปวดหัวไปจนถึงโรคเศร้าใจได้อย่างดีเยี่ยม โดยจีนได้มีการใช้ชาเขียวสำหรับเพื่อการรักษาโรคต่างๆมาตรงเวลามากยิ่งกว่า 4,000 ปีมาแล้ว
  • มีส่วนช่วยแก้หวัด แก้อาการร้อนใน ช่วยสำหรับในการขับสารพิษ และช่วยขับเหงื่อในร่างกาย
  • ช่วยแก้อาการเมาแอ๋ ทั้งยังยังเป็นเหตุให้หายเมาได้อย่างดีเยี่ยมรับผลิตกระชายดำ
  • มีส่วนช่วยสำหรับการนำมาซึ่งการเจริญของกิน มีส่วนช่วยในการเพิ่มแบคทีเรียจำพวกดีในลำไส้ จึงมีส่วนช่วยสำหรับในการล้างพิษและก็ช่วยกำจัดพิษในไส้ได้
  • ช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดลิ่มเลือดภายในร่างกาย
  • แคปซูลกระชายดำปกป้องตับจากพิษต่างๆรวมทั้งโรคชนิดอื่นๆที่สามารถเกิดขึ้นกับตับได้
  • มีฤทธิ์ในการต้านทานอาการอักเสบ ต้านจุลชีพที่อยู่ในไส้ ต้านเชื้อแบคทีเรียและก็เชื้อไวรัส และช่วยต่อต้านเชื้อ Botulinus แล้วก็เชื่อ Staphylococcus
  • มีส่วนช่วยสำหรับการขับฉี่ และช่วยคุ้มครองปกป้องนิ่วในถุงน้ำดีและในไต
  • ช่วยสำหรับการห้ามเลือดหรือทำให้เลือดไหลได้ช้าลง
  • มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการคุ้มครองปกป้องโรคข้ออักเสบรูมาติก ซึ่งเป็นโรคที่มีลักษณะอักเสบบวมแดง ส่งผลทำให้ปวดเมื่อตามกล้ามและก็ข้อต่อ โดยอาการลักษณะนี้มักจะเกิดกับวัยกลางคนขายส่งกระชายดำ
  • ใช้เป็นยาพอกเพื่อรักษาแผลอักเสบ แผลพุพอง ฝีหนอง ไฟไหม้ และช่วยทุเลาอาการผดผื่นคัน แมลงสัตว์กัดต่อย ใช้เป็นยากันยุง และก็แก้ผิวร้อนแห้งได้เป็นอย่างดี
  • มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการคลายอารมณ์อารมณ์ ช่วยระบายความร้อนที่เกิดกับหัวรวมทั้งเบ้าตา ก็เลยทำให้ตาสว่าง ไม่ง่วง แถมยังมีผลให้หายใจแจ่มใสได้อีกด้วยรับผลิตกระชายดำ
  • ช่วยแก้อาการท้องร่วง ท้องร่วง และก็ท้องบิดได้อย่างดีเยี่ยม
  • มีส่วนช่วยสำหรับการแก้อาการอยากกินน้ำ ช่วยในการระบายความร้อนให้ออกจากปอด แถมยังช่วยขับเสมหะได้อีกด้วย


Tags : ขายส่งกระชายดำ

หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7